พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"

    ตอน พิมพ์พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ลั่นล้า

    ที่ลงให้ชมนี้ ไม่ใช่พระวังหน้า
    แต่เป็นพระที่สร้างเทียมเลียนแบบพระวังหน้า
    เลียนแบบชุดที่ลงรักสมุ(รักพม่า)
    ที่เห็นเป็นการลงสีวิทยาศาสตร์

    รูปสงวนลิขสิทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0242.JPG
      IMG_0242.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.1 MB
      เปิดดู:
      111
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"
    ตอน พิมพ์พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ลั่นล้า
    ที่ลงให้ชมนี้ ไม่ใช่พระวังหน้า
    แต่เป็นพระที่สร้างเทียมเลียนแบบพระวังหน้า
    เลียนแบบอีกแล้ว รูปสงวนลิขสิทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0228.JPG
      IMG_0228.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      113
    • IMG_0227.JPG
      IMG_0227.JPG
      ขนาดไฟล์:
      664.1 KB
      เปิดดู:
      63
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติหลวงพ่อองค์ดำ นาลันทา อินเดีย
    -http://www.kuay.org/?detail=detail&detail_id=251&name=%BB%C3%D0%C7%D1%B5%D4%CB%C5%C7%A7%BE%E8%CD%CD%A7%A4%EC%B4%D3%20%B9%D2%C5%D1%B9%B7%D2%20%CD%D4%B9%E0%B4%D5%C2-

    [​IMG]

    หลวงพ่อองค์ดำ* เป็นหลวงพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์ พระเกตุทรงบัวตูม ปางนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ชี้แม่พระธรณีเป็นพยาน ตามที่คนไทยนิยมเรียกว่า “ปางมารวิชัย” เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลัก จากหินสีดำ หน้าตักกว้าง ๖๐ นิ้วฟุต สูงนับจากพระเพลาถึงยอดพระเกตุ ๖๙ นิ้วฟุต เป็นพระพุทธรูปที่มีความสมบูรณ์ที่สุด พระนาสิกวิ่นและนิ้วพระหัตถ์บิ่นเล็กน้อย ซึ่งมีอายุ ๑,๐๐๐ กว่าปี ตั้งอยู่ทางตะวันตกของมหาวิทยาลัยนาลันทา สร้างในสมัยพระเจ้าเทวาปาล ระหว่าง พ.ศ. ๑๓๕๓ - ๑๓๙๓ โดยท่านธรรมปาล (ตามบันทึกของราม ปิล่า สิงห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยงานท่องเที่ยวอินเดีย) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เหลืออยู่องค์เดียวในบริเวณมหาวิทยาลัยนาลันทานี้ ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. ๑๗๖๖ ได้ถูกพวกมุสลิมซึ่งมีโมฮัมหมัด อิคเทีย ขิลจิ ลูกชายของภัคเทีย ขิลจิ เป็นหัวหน้า พาพวกมาทำลายสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งทุบทำลายพระพุทธรูป และเอกสารตำราทางพระพุทธศาสนาทั้งหมด ซึ่งได้ถูกเศษอิฐและหินทับถมจมลงใต้ดินเป็นเวลานานเกือบ ๗ ศตวรรต (๗๐๐ ปี) คงเหลือไว้แต่ซากปรักหักพักอย่างที่เราเห็น ได้ถูกค้นพบโดย ดร.สปูนเนอร์ ศิษย์ของท่านเซอร์ คันนิ่งแฮม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘

    สาเหตุที่ท่านถูกฝังจมลงในแผ่นดินเกือบ ๗๐๐ ปี นั้นท่านตารนารถ และท่าน ธรรมสวาทินพระ ธิเบต ผู้เห็นเหตุการณ์ได้บันทึกไว้ว่า กองทัพมุสลิม หลังจากเข้าปกครองดินแดนชมพูทวีปฝ่ายเหนือ และแคว้นมคธเกือบทั้งหมดได้แล้ว ก็เริ่มทำลายวัดวาอาราม ตลอดทั้งปูชนียสถานทางพระพุทธศาสนาเกือบทั้งหมดแล้ว ในปี พ.ศ. ๑๗๖๖ กองทัพมุสลิมน้ำโดยโมฮัมหมัด อิคเทีย ขิลจิ พร้อมด้วยทหารประมาณ ๒๐๐ คน ได้กรีฑาทัพเข้าไปในมหาวิทยาลัยนาลันทา ทำลายพระพุทธรูปและศิลปกรรมต่าง ๆ ที่ขวางหน้าอย่างมันมือและเมามัน โดยปราศจากผู้คนที่จะมาต่อต้านเกือบทั้งสิ้น เท่านั้นมิหนำใจยังเอาเชื้อเพลิงมาสุมแล้วจุดไฟเผา จนทำให้คัมภีร์ตำราทางพระพุทธศาสนาทั้งเก่าและใหม่ ถูกไฟไหม้เกือบหมดสิ้น พอสาสมแก่ใจแล้ว อิคเทีย ซิลจิ ก็ยกทัพกลับไปยังภัคเทียปูร์

    ท่านราม ปิล่า สิงห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยงานท่องเที่ยวอินเดีย ได้กล่าวไว้ว่า... ขณะนี้ชาวบ้านละแวกนั้นได้เคารพกราบไหว้ หลวงพ่อองค์ดำ นับถือเป็นที่พึ่งดุจเทพเจ้าประจำหมู่บ้าน รัฐบาลพยายามจะนำไปเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ก็ไม่ยอม เพราะหลวงพ่อได้กลายเป็นหมอที่ศักดิ์สิทธิ์ช่วยรักษาเด็ก ๆ ที่เกิดมารูปร่างผอมแกร็นให้กลับอ้วนท้วนสมบูรณ์ และแข็งแรงได้ โดยที่บิดา-มารดานำบุตรที่เจ็บป่วยหรือผอมแห้งแรงน้อยนั้นพร้อมด้วยน้ำมันเนยไปวางไว้ใกล้องค์หลวงพ่อ อธิษฐานจิตแล้วนำน้ำมันเนยนั้นลูบทาและชโลมให้ทั่วองค์ จากนั้นเอามือไปลูบไล้เพื่อให้น้ำมันเนยที่องค์หลวงพ่อมาลูบไล้ทั่วตัวเด็ก ตั้งแต่นั้นมาเด็กคนนั้นก็เริ่มแข็งแรง และอ้วนทัวนขึ้นทุกวันเหมือนรูปกลวงพ่อ ประชาชนเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงถวายพระนามท่านว่า “หลวงพ่อน้ำมัน” (เตลิยะ บาบา) บ้าง หลวงพ่ออ้วน (โมต้า บาบา) บ้าง ที่ถวายพระนามท่านเช่นนั้น เพราะหลังจากได้เอาน้ำมันไปทาที่องค์หลวงพ่อแล้ว เอากลับมาทาที่ตัวเด็กอีกที เด็กก็หายจากโรคผอมแห้งแรงน้อยและอ้วนเหมือนหลวงพ่อ แต่คนไทยได้ถวายพระนามท่านใหม่ว่า “หลวงพ่อองค์ดำ” อาจเป็นเพราะองค์ท่านถูกสร้างห้วยหินดำกระมัง พวกเราจึงถวายพระนามท่านว่า “หลวงพ่อองค์ดำ”

    เนื่องจากหลวงพ่อน้ำมัน หลลวงพ่ออ้วนหรือหลวงพ่อองค์ดำ มีความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวมาต่อๆกันมา และร่ำลือกันไปปากต่อปาก จนเข้าหูฝูงประชาชนที่มาอาบน้ำบูชาพระอาทิตย์ที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใกล้มหาวิทยาลัยนาลันทา ต่างก็ได้พากันมากราบไว้บูชาและตั้งจิตอธิษฐานและปรารถนาสิ่งที่ตนต้องการ ครั้นสมหวังดังที่คิด เมื่อมาบูชาพระอาทิตย์ในครั้งต่อไป ก็จะน้ำเอารูปเทียน ดอกไม้ น้ำมันเนย นม และหม้อที่เต็มด้วยข้าวสาร และเมล็ดถั่วมากชนิด เท่าที่ตนจะหาได้ น้ำมาถวายเพื่อแก้บน ยิ่งไปกว่านั้น

    ปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ได้ไปนมัสการ และอธิษฐานสิ่งที่ตนปรารถนาและทราบว่าสมดังเจตนาที่คิด หลวงพ่อองค์ดำจึงเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ทั้งชาวไทยและชาวอินเดียมาเคารพกราบไหว้จำนวนมาก และมีพระภิกษุชาวไทยพร้อมพุทธศาสนิกชนได้สร้างทางเดินเข้าถึงหลวงพ่อองค์ดำแล้ว



    คำบูชาหลวงพ่อองค์ดำ นาลันทา อินเดีย

    (ตั้งนะโม ๓ จบ)

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะฯ

    ***

    อิติปิโส ภะคะวา กาฬะวัณณะพุทธะปฏิมัง อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมาสาระถิ สัตถาเทวะ มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ



    ขอพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ พุทธบารมี หลวงพ่อองค์ดำ ที่ข้าพเจ้าได้บูชาแล้ว จงมีอานุภาพ พลานุภาพ บุญญฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ จงบันดาลส่งผลให้ข้าพเจ้า มีอุดมมงคลสูงสุดในตัวข้าพเจ้า และครอบครัว ธุรกิจการงานของข้าพเจ้า จงชนะตลอด ปลอดภัยตลอด เจริญรุ่งเรื่องตลอด ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บตลอดชีวิต มีพลานามัยที่สมบูรณ์ยิ่งตลอดไปฯ

    ตั้งจิตอธิษฐานสงบนิ่ง ๑ นาที ทุกอย่างจะโล่งสว่าง บริสุทธิ์

    ท่านสามารถเช่าบูชาที่วัดมหาธาตุ คณะสลัก ๓ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร. 081-721-5241

    * พระครูวินัยธรสมุทร ถาวรธมฺโม ผศ.ดร. อาจารย์ประจำภาควิชาศาสนาและปรัชญา และผู้อำนวยการกองทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต้องเอาจริง ทำให้จริง

    เวลาโฆษณา ให้ข้อมูลแบบนึง
    มีคำพูดเร็วๆตอนท้าย ฟังแทบไม่ทันในเรื่องคำเตือน

    แต่เวลาเกิดปัญหา กางกฎหมาย ในการจ่ายสินไหม

    แบบนี้ ต้องลงโทษให้หนัก ต้องลงโทษบริษัทก่อนพนักงาน
    เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ว่าจ้างพนักงานในการทำงาน
    และต้องลงโทษพนักงานตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงไปจนพนักงานปฎิบัติการด้วย

    ปกติ ผู้บริหารระดับสูง มักจะติ๊ดชิ่ง ดีดตัวออกจากปัญหา
    เพราะออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรไปว่า ให้ปฎิบัติตามระเบียบ ตามกฎหมาย
    แต่เวลาสั่งด้วยวาจา เป็นคนละเรื่อง

    -----------------------------------------


    เอาจริง! คปภ.เตรียมเรียกบริษัทประกันแจงเหตุไม่จ่ายสินไหม
    โดย MGR Online
    28 พฤศจิกายน 2558 17:11 น. (แก้ไขล่าสุด 29 พฤศจิกายน 2558 10:50 น.)
    -http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000131880-

    คปภ. เอาจริง เตรียมเรียกผู้เอาประกัน นายหน้า และบริษัทประกัน เข้าชี้แจงการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในโซเชียลมีเดีย

    นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยถึงกรณีบริษัทประกันรายหนึ่งปฏิเสธการจ่ายสินไหมแก่ผู้เอาประกันที่กำลังเผยแพร่อยู่ในโซเชียลมีเดีย ว่า เป็นหน้าที่ของ คปภ. และเป็นเป้าหมายที่สำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นเบื้องต้น คปภ. พบว่า มีการชี้แจงจากบริษัทประกัน ว่า เป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตตลอดชีพที่จ่ายเบี้ยประกัน 20 ปี คุ้มครองตลอดชีพ และไม่ใช่ประกันผู้สูงอายุ หรือประกันผู้สูงวัยที่ไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ

    อย่างไรก็ตาม คปภ. เห็นว่า ข้อชี้แจงของบริษัทประกันยังมีรายละเอียดน้อยเกินไป และมีบางส่วนที่ต้องเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้บริโภคทั่วไปมีความเข้าใจมากขึ้น เนื่องจากเรื่องนี้มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นที่ส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย

    โดยหลังจากนี้ ทาง คปภ. จะเรียกผู้เอาประกัน นายหน้าประกัน รวมถึงบริษัทประกันเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งประเด็นที่ คปภ. ต้องการรายละเอียดมีดังนี้ ผู้เอาประกันทราบหรือไม่ว่ามีข้อกำหนดระบุถึงโรคประจำตัวที่ไม่สามารถทำประกันได้ (โรคที่ต้องแจ้งให้กับบริษัทประกันทราบก่อนทำประกัน ได้แก่ โรคมะเร็งลำไส้ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคตับแข็ง โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคลมชัก โรคไตวายร้ายแรง และโรคดีซ่าน)

    ในส่วนของตัวแทนขายประกันนั้น ได้มีการให้ข้อมูลทั้งหมดกับผู้เอาประกันหรือไม่ รวมไปถึงการกรอกเอกสารว่าเป็นการกรอกเอกสารโดยผู้เอาประกัน หรือตัวแทนเป็นผู้กรอกเอกสารเอง เป็นต้น

    “ส่วนผู้รับประกันนั้น ก็ต้องเข้ามาชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมด้วย เพราะนอกจากข้อกฎหมายแล้วจำเป็นต้องมีข้อเท็จจริงในประเด็นข้างต้นด้วยที่ต้องมาพิสูจน์กัน โดยหลังจากนี้ทาง คปภ. จะพยายามดูแลและแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับข้อขัดแย้งและการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าในเร็ว ๆ นี้ อาจมีการศูนย์ไกลเกลี่ยเบื้องต้นก่อนที่จะนำข้อพิพาทเข้าไปพิสูจน์ในชั้นอนุญาโตตุลาการ” นายสุทธิพล กล่าว
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หนุ่มเมาหนัก ! ขับกระบะแหกด่านหนีรอบเมือง-ตำรวจขับรถพุ่งชนสกัดจับ
    -http://hilight.kapook.com/view/129994-

    [​IMG]


    เกิดเหตุหนุ่มวัย 30 ปี เมาสุราหนัก ควบกระบะซิ่งชนด่านตำรวจ จ.ชลบุรี หลบหนีรอบเมือง ด้านตำรวจไล่สกัดจับให้วุ่นก่อนตัดสินใจขับรถพุ่งชนเพื่อให้รถหยุด ด้านผู้ต้องหาสารภาพ ทำไปเพราะตกใจกลัว

    วันที่ 4 ธันวาคม 2558 รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า เมื่อวานนี้ (3 ธันวาคม) เกิดเหตุรถกระบะสีบรอนซ์ ขับแหกด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เสม็ด บริเวณ ถ.พระยาสัจจา จ.ชลบุรี ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขับรถไล่ตามจับกุมแต่รถกระบะดังกล่าวไม่ยอมหยุดและได้ขับต่อไปยัง ถ.สุขุมวิท เข้าเขต ต.แสนสุข มุ่งหน้าจะไปทาง อ.ศรีราชา ด้วยความเร็วสูง

    นายบุญมี พลอดขุนทด คนขับรถร้อยเวร สภ.แสนสุข เล่าว่า ขณะที่ตนเองกำลังซื้อของอยู่นั้นได้ยินเสียงวิทยุให้สกัดจับรถต้องสงสัย ตนจึงขับรถตามไปจนตามทันและพยายามบีบแตรให้จอด แต่รถคันดังกล่าวไม่ยอมจอดตนจึงตัดสินใจขับรถชนประมาณ 2 ครั้ง เพื่อให้รถหยุดได้สำเร็จ บริเวณหน้าปั๊มน้ำมัน ปตท. สาขาบางพระ อ.ศรีราชา

    จากตรวจสอบพบว่า เป็นรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน ผน 165 ชบ ลักษณะแต่งซิ่ง อยู่ในสภาพยางแตก 3 เส้น ทราบชื่อคนขับภายหลังคือ นายอนุชา ธาราดล อายุ 30 ปี ให้การว่า ตนเองเมาสุราพอขับรถมาเห็นด่านก็ตกใจกลัว รวมทั้งรถยนต์ของตนเองก็แต่งซิ่งด้วย จึงตัดสินใจขับรถหนีด่าน

    อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาเมาแล้วขับ ขับรถประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่น และไม่หยุดช่วยเหลือ ก่อนนำตัวไปตรวจวัดแอลกอฮอล์และสารเสพติดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

    ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เรื่องเล่าเช้านี้
    -http://morning-news.bectero.com/regional/04-Dec-2015/63550-


    -------------------------------------------------


    อุทาหรณ์...กระบะเปิดประตูรถไม่ดู ทำคนขี่มอเตอร์ไซค์ล้มนิ่งกลางถนน
    -http://hilight.kapook.com/view/129988-

    เปิดคลิปวิดีโอเพื่อเป็นอุทาหรณ์ คนขับรถกระบะจอดข้างทางเปิดประตูไม่ดูรถวิ่งผ่านมา พลาดโดนคนขี่มอเตอร์ไซค์ล้มนอนแน่นิ่งกลางถนน

    วันที่ 4 ธันวาคม 2558 เฟซบุ๊ก ปราจีนเดลี่ - prachindaily ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน โดยภายในคลิปเผยให้เห็นภาพจากกล้องติดหน้ารถที่บันทึกเหตุการณ์ ซึ่งริมถนนมีรถจอดอยู่เต็มข้างทาง ระหว่างนั้นก็ได้มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขี่ออกมา กระทั่งถูกคนขับรถกระบะเปิดประตูออกมาทำให้ประตูไปถูกคนขี่มอเตอร์ไซค์จนรถล้ม และคนขี่ลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้นถนน

    ทั้งนี้คลิปดังกล่าวระบุข้อความไว้ว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2558 เจ้าของคลิปกำลังขับรถกลับบ้าน และได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ดีได้มีการสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการของคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ ทราบว่าฟื้นแล้ว แต่ยังต้องมีการเช็กภายในศีรษะอีกครั้ง เนื่องจากยังมีอาการมึนหัวอยู่

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    https://www.youtube.com/watch?v=r0T2KdMl59o
    -https://www.youtube.com/watch?v=r0T2KdMl59o-
    1050430518312490

    ภาพจาก เฟซบุ๊ก ปราจีนเดลี่ - prachindaily
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "โรคนอนกรน" มหัตภัยร้าย โรคระบบประสาท
    โดย MGR Online
    -http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000134306-
    5 ธันวาคม 2558 15:44 น.

    โดย...พ.อ.พิเศษ ดร.น.พ.โยธิน ชินวลัญช์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านอายุรกรรมสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

    การนอนหลับเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของมนุษย์ ที่ทำให้ร่างกายได้พักฟื้นจากความเหนื่อยล้าจากการทำกิจกรรมตลอดวันที่ผ่านมา ดังนั้น หากเราสามารถนอนหลับได้ปกติก็จะมีสุขภาพที่ดี ในทางตรงกันข้ามหากใครที่มีปัญหาการนอน ไม่ว่าจะเป็นการนอนกรน นอนไม่หลับหรือปัญหาง่วงนอนมากเกินไป ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันได้

    มีข้อมูลพบว่าการนอนหลับผิดปกติที่พบบ่อย คือ โรคนอนกรน ประมาณ 40% ของผู้ป่วยทั้งหมด ต่อมาจึงเป็นภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (30 %) ซึ่งคนที่มีภาวะนี้มักเริ่มต้นมากจากอาการนอนกรน

    โรคนอนกรน สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาทิ เนี้อเยื่อในลำคอมากเกินไปจากพันธุกรรมจนทำให้เกิดการสั่นในขณะนอนหลับ การอุดตันในทางเดินหายใจจากผลข้างเคียงของโรคภูมิแพ้และต่อมทอนซิลโต กล้ามเนื้อหย่อนลงไปจากอายุที่เพิ่มขึ้น โรคอ้วน การดื่มสุรา-ยาบางชนิดที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง การสูบบุหรี่ เป็นต้น โดยสามารถแบ่งการนอนกรนออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้

    1.การนอนกรนธรรมดา เกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเวลานอนหลับสนิท กล้ามเนื้อจะคลายตัว รวมทั้งกล้ามเนื้อบริเวณช่องคอด้วย ทำให้ลิ้นและลิ้นไก่ ตกไปทางด้านหลัง โดยเฉพาะในท่านอนหงายทำให้ทางเดินหายใจส่วนนี้ตีบแคบลง เวลาหายใจเข้าผ่านตำแหน่งที่แคบจะทำให้มีการสั่นสะเทือนของลิ้นไก่และเพดานอ่อนหรือโคนลิ้น ทำให้เกิดเสียงกรนขึ้นแต่ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญให้ผู้ที่อยู่ใกล้

    ทั้งนี้ สามารถรักษาได้โดยการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการนอนหงาย การดื่มแอลกอฮอล์ ยานนอนหลับหรือ ยากล่อมประสาทก่อนนอน ส่วนการักษาในทางการแพทย์ คือ การใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Somnoplasty) เพื่อทำให้เนื้อเยื่อบริเวณลำคอทางเดินหายใจหดตัวลง การใช้แสงเลเซอร์ (Laser Surgery) ผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อในลำคอที่ขวางทางเดินหายใจ รวมไปถึงการใช้เครื่อง Nasal CPAP ให้ช่วยขยายทางเดินหายใจช่วงบนในขณะหลับ ซึ่งจะช่วยลดการหยุดหายใจขณะหลับและทำให้การหยุดหายใจมีความรุนแรงลดลง

    2.การนอนกรนที่เป็นอันตราย เกิดจากการที่มีทางเดินหายใจแคบมากเวลานอนหลับ จึงทำให้มีเสียงกรนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยมีเสียงที่ดังและค่อยสลับกันเป็นช่วงๆ และจะกรนดังขึ้นเรื่อยๆ จนมีช่วงหยุดกรนไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการหยุดหายใจที่ทำให้เกิดอันตรายเนื่องจากระดับออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลง จนอาจก่อให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด หัวใจ และสมอง หากว่าไม่มีลมผ่านจมูกหรือปากตั้งแต่ 10 วินาทีขึ้นไปจะเรียกว่าการหยุดหายใจในขณะหลับ (sleep apnea )

    อาการดังกล่าวนี้จะถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นโดยอาการสะดุ้งตื่นโดยการสั่งของสมอง อาจเหมือนสำลักน้ำลายตนเอง หรือคล้ายการหายใจอย่างแรงเหมือนขาดอากาศนต้นฌH ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตโดยเฉียบพลัน แต่ส่งผลเรื้อรังต่อร่างกาย โดยสามารถพบได้ในเพศชาย ประมาณ 4% และในเพศหญิงประมาณ 2% เฉพาะอย่างยิ่ง ในวัยกลางคนและคนที่มีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐาน เป็นต้น

    สำหรับการวินิจฉัยที่แม่นยำในปัจจุบัน คือ การตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) ซึ่งสามารถวิเคราะห์การทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายระหว่างการนอนหลับ เช่น ระบบการหายใจ, ระดับออกซิเจนในเลือด, การทำงานของคลื่นไฟฟ้าสมอง, คลื่นไฟฟ้า หัวใจและกล้ามเนื้อ รวมถึงพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้นขณะหลับ ทำให้แพทย์สามารถวางแผนและตัดสินใจในการรักษาได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้การรักษามีหลากหลายวิธี อาทิ การปรับพฤติกรรมด้วยการลดน้ำหนัก การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาจนถึงวิธีทางการแพทย์อย่างการใช้เครื่อง Nasal CPAP ซึ่งให้ผลการรักษาสูงถึง 70% การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม (Oral appliances) ที่ให้ผลการรักษาประมาณ 50 % เป็นต้น

    การการนอนกรนสามารถพัฒนาเข้าสู่ภาวะการหยุดหายใจในขณะหลับ ซึ่งจะทำให้เกิดสภาวะการขาดออกซิเจนที่ค่อยๆ ส่งผลร้ายแก่ร่างกายและการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย ความสามารถในการจำลดลง คุณภาพชีวิตลดลง ไม่มีสมาธิในการทำงาน และมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางระบบประสาท อย่างโรคหลอดเลือดในสมองหรืออาจจะนำไปสู่ภาวะความจำเสื่อมได้ในอนาคต
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โรคปอดอักเสบภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม
    โดย MGR Online
    -http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000134315-
    5 ธันวาคม 2558 18:36 น.

    โดย...พญ. ชญาณิศา เมฆพัฒน์ อายุรแพทย์โรคระบบทางดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ รพ.เวชธานี ลาดพร้าว 111

    ช่วงฤดูฝนใกล้ฤดูหนาวเป็นช่วงที่มักจะมีการระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆเช่น ไข้หวัดใหญ่และโรคปอดอักเสบ โดยในบทความนี้จะกล่าวถึงความรู้ทั่วไปของปอดอักเสบในแง่ของการสังเกตอาการเบื้องต้น การรักษา และวิธีป้องกันโรคเพื่อเป็นประโยชน์ในการลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่ตามมาได้

    ปอดอักเสบหรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ปอดบวม” เพราะมีลักษณะการอักเสบของเนื้อปอด โดยเฉพาะที่บริเวณถุงลมของปอด ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อย เมื่อเป็นแล้วทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยที่อาการของโรคจะมีความรุนแรงในผู้สูงอายุ (> 65ปี) และในผู้มีโรคประจำตัวผู้สูบบุหรี่ มีโรคปอดเรื้อรัง เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพอง มีภาวะขาดอาหาร หรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคตับแข็ง โรคไต มีภูมิต้านทานโรคต่ำเช่น ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ได้รับยา สเตีย-รอยด์ ได้รับยารักษาโรคมะเร็ง มีภาวะสำลักง่ายจากการเป็นโรคเส้นเลือดสมอง ดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งในผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อเกิดโรคปอดอักเสบแล้ว มักมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตที่สูง

    ดังนั้นการวินิจฉัยโรคนี้จึงต้องทำอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันการรักษาหรือป้องกันอย่างเหมาะสมก็ล้วนมีความสำคัญมากเช่นกัน

    สาเหตุการเกิดโรคปอดอักเสบเกิดจากสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ ปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ และปอดอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่โดยทั่วไปพบปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อมากกว่า โดยการติดเชื้อมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่มีเชื้อแบคทีเรียเป็นสาเหตุนั้น พบว่าเกิดจากการติดเชื้อนิวโมคอคคัสมากที่สุด ซึ่งสาเหตุของโรคจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอายุ และสภาพแวดล้อมที่เกิดปอดอักเสบ

    ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบมักมีอาการแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ อายุของผู้ป่วย และความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปมักมีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ อาการปอดอักเสบที่พบบ่อยคือ ไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย ในบางรายอาจมีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย ผู้ป่วยบางรายจะมีหนาวสั่นได้

    การรักษาแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ

    1.การรักษาจำเพาะ ในรายที่เป็นโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส ไม่มียารักษาที่จำเพาะควรให้การรักษาแบบประคับประคอง ยกเว้นไข้หวัดใหญ่ที่มียาต้านไวรัส สำหรับผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ควรได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

    2.การรักษาทั่วไป เช่น ให้สารน้ำให้เพียงพอ แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ ในรายที่หอบมาก ท้องอืด รับประทานอาหารไม่ได้ ,พิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและงดอาหารทางปาก ,ให้ออกซิเจนในรายที่มีอาการเขียวหายใจเร็ว หอบชายโครงบุ๋ม กระวนกระวาย หรือซึม ,ใช้ยาขยายหลอดลมในรายที่มีหลอดลมตีบ ,ให้ยาขับเสมหะ หรือยาละลายเสมหะในกรณีที่ให้สารน้ำเต็มที่แต่เสมหะยังเหนียวอยู่ นอกจากนี้การรักษาอื่นๆ ตามอาการ ได้แก่ ให้ยาลดไข้และถ้าหากผู้มีภาวะหายใจล้มเหลวหรือหยุดหายใจพิจารณาใส่ท่อหลอดลมและเครื่องช่วยหายใจ

    สำหรับการป้องกันโรคปอดอัดเสบทำได้ดังนี้

    1.หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีผู้คนหนาแน่น เช่น ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะไม่ควรพาเด็กเล็กๆไปในสถานที่ดังกล่าว

    2.หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเช่น ภาวะทุพโภชนาการ ควันบุหรี่ ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรืออากาศที่หนาวเย็น

    3.ไม่ควรให้เด็กเล็กโดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปีและผู้ที่สุขภาพไม่แข็งแรงคลุกคลีกับผู้ป่วยและผู้ป่วยควรใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

    4.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือใช้แอลกอฮอล์เจล

    5.ให้วัคซีนป้องกันโรคในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง โดยวัคซีนที่ได้รับการพิจารณาว่ามีผลในการลดอัตราการเกิดโรคปอดอักเสบในชุมชน คือวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ สำหรับวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ มีประสิทธิภาพในการป้องกันปอดอักเสบจากการติดเชื้อนิวโมคอคคัส จึงควรฉีดในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ผู้สูงอายุ(> 65ปี) ,ผู้ที่ไม่มีม้ามหรือม้ามทำหน้าที่ได้ไม่ดี, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจหรือโรคปอดเรื้อรัง, พิษสุราเรื้อรัง, โรคตับแข็ง, ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์ หรือยารักษาโรคมะเร็ง ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

    โดยที่วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบมีความปลอดภัยสูงมาก หากจำเป็นต้องฉีดทั้งสองชนิดสามารถฉีดพร้อมกันได้ โดยผลข้างเคียงที่พบได้แก่ อาการปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด อาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวซึ่งสามารถรักษาตามอาการได้ เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับจากวัคซีนนั้นถือว่าคุ้มค่ามากและแนะนำว่าผู้ที่มีความเสี่ยงข้างต้นสมควรมารับการฉีดวัคซีนทุกคน
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เคลียร์หนี้บัตรเครดิต อย่างไร หากอยู่ในช่วงตกงาน
    -http://money.sanook.com/339815/-

    เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นไรก็ล้วนแต่ไม่ต้องการที่จะเป็นหนี้กันหรอกนะคะ เพราะนอกจากดอกเบี้ยที่แสนแพงแล้วจะเป็นตัวถ่วงในระบบการเงินเมื่อเวลาจำเป็นเช่นการตกงาน หรือต้องการที่จะเก็บเงินเพื่อสำรองค่าใช้จ่ายในเวลาที่ฉุกเฉินอีกด้วย มันไม่ใช่เรื่องที่ดีๆอย่างแน่นอน เพราะทุกวันนี้อย่างที่เห็นกันได้อย่างชัดเจนนะคะว่าไม่ว่าใครๆต่างก็มีบัตรเครดิตกันมากมายเลยล่ะ ลองหันกลับไปเพื่อสอบถามตัวเองหรือไม่ส่าคุณนั้นมีความจะเป็นมากน้อยเพียงไหนในการใช้บัตร หรือบัตรเองมีความจำเป็นสำหรับคุณมากเพียงไหน หรือเพียงแค่ตามกระแส


    แล้วคุณทราบหรือไม่ว่าต้นเหตุของการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากบัตรเครดิตนี่ล่ะค่ะ แต่หากเลือกที่จะหยุดไม่ได้ก็ควรที่จะใช้อย่างพอดี อย่างรู้ค่า และควรเป็นอย่างมากเลยที่จะต้องคิดทบทวน ก่อนที่จะทำการรูดนั่นเอง เรามั่นใจเป็นอย่างมากเลยว่าคุณสามารถที่จะใช้มันได้อย่างถูกต้องไม่มากจนเกินไป หากวันนี้คุณได้ใช้อย่างมีสติค่ะ


    บัตรเครดิตเป็นสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้จ่าย แถมยังมีแต้มสะสมให้สามารถนำไปแลกเป็นของรางวัลอื่นๆได้ แต่ในความสะดวกเหล่านี้ก็เป็นกับดักอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์เงินเดือน ที่สนุกสนานกับการใช้จ่ายมากเกินไปจนทำให้ใช้จ่ายเกินตัว ซ้ำร้ายยังต้องมาตกงานกะทันหัน แล้วทีนี้จะ เคลียร์หนี้บัตรเครดิต อย่างไรดี


    แม้ว่าในช่วงตกงาน คุณอาจจะได้รับเงินชดเชยจากการเลิกจ้างและเงินประกันสังคม และหลายคนอาจจะพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่การเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่แถมยังต้องมาตกงาน ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจไม่น้อย เพราะยอดเงินที่ต้องชำระมีอยู่เป็นจำนวนมาก และถ้าขาดส่งไปเลยก็จะทำให้กลายเป็นแบล็กลิสท์และเสียเครดิตในการทำธุรกรรมในวันข้างหน้าอีกต่างหาก ดังนั้นวิธีการรับมือกับหนี้บัตรเครดิตในวันที่ต้องตกงานสามารถทำได้โดย


    • ถ้าเป็นไปได้จะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลยล่ะ หากวันนี้คุณเลิกใช้บัตรเครดิตไปเลย และให้ใช้เฉพาะเงินสดที่มีอยู่ในมือ เพราะยิ่งใช้จ่ายมากขึ้นหนี้บัตรเครดิตของคุณก็จะยิ่งพอกพูน ยิ่งในช่วงตกงานที่ยังไม่รู้ว่าจะได้งานใหม่เมื่อไหร่ ยิ่งต้องระมัดระวังค่าใช้จ่ายให้มากขึ้นและลดการเป็นหนี้โดยไม่จำเป็น และคุรทราบหรือไม่ว่าการที่มือได้สัมผัสเงินในการใช้จ่ายนั้นจะเป็นตัวที่ทำให้คุณได้เกิดความเสียดายเละนึกคิดว่าสิ่งเหล่านั้นมีความจำเป็นมากน้อยเพียงไหน เป็นการทบทวนความจำเป็นได้อีกทางหนึ่งเลยล่ะ


    • หากต้องเจอกับเหตุการณ์ที่กล่าวมานั้น มันจะเป็นการตอกย้ำระบบการเงินเป็นอย่างมากเมื่อบิลค่าต่างๆได้โถมเข้ามาสู่ตัวคุณ ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้คือการชำระขั้นต่ำไปก่อน หรือถ้าหากมียอดหนี้ที่ไม่สูงมากนัก ก็ให้ชำระเต็มจำนวนและปิดยอดบัตรเครดิตไปเลย


    • การสร้างรายได้ หรือการหาเงินที่ดีอีกทางหนึ่งคือพยายามขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ที่เกิดขึ้น อย่างเช่น เครื่องประดับมีค่า รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เป็นต้น หากมีงานทำที่มั่นคงและมีเงินเก็บพอสมควรแล้ว จะซื้อใหม่อีกทีก็ยังไม่สาย เพราะจากที่เห็นนั้นคือสิ่งของบางสิ่งบางอย่างนั้นคุณแทบจะไม่ได้แตะเพื่อการใช้งานเลย การที่เก็บไว้เฉยๆก็ใช้ว่าจะดีเสมอไปหรอกนะ ดังนั้นเมื่อเวลาที่ย่ำแย่แบบนี้จะเป็นการสร้างจำนวนเงินเก็บ หรือเงินในการเคลียร์หนี้ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ อย่าไปเสียดาย เพราะนั่นมันสิ่งของนอกกาย


    • ขอเตือนไว้ก่อนสำหรับคนที่มีความคิดในการเบี้ยวหรือหนีหนี้ เพราะการหนีหนี้มันไม่ใช่ทางออกเสมอไปหรอกนะ อีกทั้งเป็นการสร้างประวัติทางการเงินที่ไม่ดีเอาไว้ติดตัวเสียอีก เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่างๆติดตัวคุณไปตลอดเลยก็ว่าได้หากรู้ตัวว่าไม่มีกำลังที่จะจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตไหว อย่าหนี ให้หันหน้าเข้าเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อประนอมหนี้และปรับโครงสร้างหนี้สิน นอกจากนี้อาจเลือกโอนยอดหนี้หรือรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตเพื่อลดภาระค่าดอกเบี้ย ซึ่งอาจเป็นทางเลือกในระยะท้ายๆเพราะแม้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้ แต่ก็แค่ในระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวจะทำให้คุณมีหนี้เพิ่มขึ้น


    • ท้ายที่สุด หากต้องตกงานเป็นระยะเวลานาน และไม่สามารถหาเงินมาจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้จริงๆ ก็ต้องหยุดจ่ายและยินยอมปล่อยให้เจ้าหนี้บัตรเครดิตฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งแม้จะฟังดูน่ากลัว แต่ในความเป็นจริงแล้วจะทำให้คุณมีเวลาตั้งตัว ไม่ต้องนำเงินที่มีอยู่ไปชำระหนี้จนหมดตัว และยังมีโอกาสเจรจาไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้เพื่อต่อรองลดหนี้สินได้


    ทางที่ดีที่สุดที่จะไม่ต้องมีปัญหา เคลียร์หนี้บัตรเครดิต เมื่อต้องตกงานก็คือ ใช้จ่ายเงินตามกำลังที่มี ไม่ใช้บัตรเครดิตถ้าไม่จำเป็นและต้องรีบชำระเงินเต็มจำนวนทุกครั้ง ไม่จ่ายเฉพาะขั้นต่ำ เพื่อลดดอกเบี้ยและค่าปรับที่จะทำให้สถานการณ์ทางการเงินของคุณมีปัญหาได้เมื่อต้องตกงาน

    บทความนี้เป็น Advertorial
    สนับสนุนเนื้อหาโดย Money Hub
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องชวนหัวในยุคราชวงศ์จีน ตอน เตือนสติฉีอ๋อง
    โดย MGR Online
    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9580000130374-
    9 ธันวาคม 2558 11:41 น.

    กาลครั้งหนึ่งในยุคสงครามระหว่างรัฐ (战国; 475-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ฉีเซวียนอ๋องกล่าวกับเหล่าขุนนางคนสนิทว่า “รัฐของเราตั้งอยู่ท่ามกลางรัฐที่เข้มแข็ง แต่ละปีๆ เพื่อป้องกันชายแดน จำต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จนลำบากลำบนเหลือจะกล่าว ตอนนี้ข้ามีความคิดว่าจะรวบรวมเอาชายฉกรรจ์ในแผ่นดินมาสร้างกำแพงเมืองอันมโหฬารขึ้น ทางตะวันออกจรดทะเลตะวันออก ทางตะวันตกจรดไท่หังซาน* ความยาวรวมกว่าสี่พันลี้ เช่นนี้จะคุ้มครองให้รัฐฉีพ้นจากภัยคุกคามของรัฐใหญ่ที่รายล้อมได้ โดยรัฐฉินที่อยู่ทางตะวันตกก็ยากที่จะสอดแนมรัฐฉี รัฐฉู่ทางใต้ก็ยากที่จะรุกรานรัฐฉี ส่วนรัฐหาน รัฐเว่ย และรัฐอื่นๆ ก็ไม่สามารถคิดฟุ้งซ่านกับรัฐของเราได้อีกต่อไป เช่นนี้มิใช่เป็นเรื่องประเสริฐหรอกหรือ?

    “ถึงแม้วันนี้ประชาราษฎร์จะต้องเหน็ดเหนื่อยสักหน่อย แต่เมื่อกำแพงเมืองสร้างสำเร็จแล้วพวกเขาก็ไม่ต้องออกไปรบราฆ่าฟัน ทั้งไม่ต้องกังวลว่าใครจะมารุกรานอีกแล้ว นี่เท่ากับว่าเหน็ดเหนื่อยเพียงครั้งเดียวก็สบายไปชั่วลูกชั่วหลาน ดังนั้นไม่ว่าใครเมื่อได้ยินคำสั่งนี้ของข้าแล้ว ย่อมต้องกระโดดโลดเต้น เดินแถวกันมาช่วยกันสร้างกำแพงเมืองใช่หรือไม่?”

    ด้านอ้ายจื่อเมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบกราบทูลท่านอ๋องแห่งรัฐฉีความว่า

    “ท่านอ๋อง! เช้าวันนี้ ระหว่างที่ข้าน้อยเดินทางมาเข้าเฝ้า มีหิมะตกลงมาอย่างหนัก ระหว่างทางข้าน้อยแลเห็นที่ข้างถนนมีชายที่เสื้อผ้าขาดวิ่น นอนแหงนหน้าอยู่ท่ามกลางหิมะ สายตามองไปยังฟากฟ้าที่เวิ้งว้าง ปากพลางขับร้องเป็นเพลงดังก้องไปทั่วบริเวณ ข้าน้อยเห็นดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง จึงสั่งให้ผู้ติดตามหยุดขบวน จากนั้นข้าน้อยจึงลงไปไต่ถามชายคนดังกล่าวว่า เหตุใดจึงมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดเยี่ยงนี้

    “ชายประหลาดคนดังกล่าวจึงตอบข้าน้อยมาว่า ‘เหมันตฤดูปีนี้ ฟ้าประทานหิมะลงมามากมาย คาดว่าฤดูเก็บเกี่ยวของปีหน้าผลผลิตข้าวน่าจะงอกงาม พวกเราก็น่าจะซื้อหาข้าวกินได้ในราคาถูกแล้ว ติดอยู่ที่ว่า ณ วันนี้มีเรื่องน่าเสียดายประการหนึ่ง คือ ข้าพเจ้าคงต้องนอนหนาวตายท่ามกลางกองหิมะอันหนาวเหน็บ ปีหน้าคงไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสข้าวราคาถูกอันหอมหวาน’ … สิ่งที่ข้าน้อยพบเห็นเมื่อเช้านี้ เมื่อนำมาเปรียบกับความคิดในการสร้างกำแพงเมืองของพระองค์แล้วก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันคือ วันนี้ชาวบ้านต้องลำบากยากเข็ญเหน็ดเหนื่อยอย่างแสนสาหัส เพียงเพื่ออนาคตอันสดใสที่ไม่รู้จะมาถึงหรือไม่!”


    เรียบเรียงจาก 《艾子杂说》โดย ซูซื่อ (苏轼), ราชวงศ์ซ่ง


    หมายเหตุ :
    *ไท่หังซาน (太行山) หรืออู่หังซาน เป็นเทือกเขาทางตะวันออกของประเทศจีนยาวกว่า 400 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เมืองปักกิ่ง มณฑลเหอเป่ย ซานซี และเหอหนาน
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แจ้งปิดเส้นทางปั่นเพื่อพ่อ 11 ธ.ค. รวม 85 เส้นทาง พร้อมเส้นทางเลี่ยง
    -http://hilight.kapook.com/view/129197-

    แจ้งปิดการจราจร กิจกรรม Bike for dad ปั่นเพื่อพ่อ วันที่ 11 ธันวาคม 2558 รวม 85 เส้นทาง พร้อมปิดถนน 4 สาย รอบพระลานพระราชวังดุสิต ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เริ่มเคลื่อนขบวน 15.00 น. พร้อมเส้นทางเลี่ยง

    เป็นที่ทราบกันดีว่า ในวันที่ 11 ธันวาคม 2558 เวลา 15.00 น. จะมีการจัดกิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad" เพื่อปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 88 พรรษา รวม 29 กิโลเมตร โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปั่นนำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และประชาชน แบ่งเป็น 4 ขบวนด้วยกัน

    ทั้งนี้จะเริ่มปิดการจราจรตั้งแต่เวลา 12.00 น. ในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งหมด 85 เส้นทาง พร้อมปิดถนน 4 สาย รอบพระลานพระราชวังดุสิต เริ่มจากสี่แยกไฟแดงโดยรอบลานพระราชวังดุสิต ถนนอู่ทองใน ถนนศรีอยุธยา ถนนราชดำเนินนอก ถนนราชสีมา และจะเปิดเส้นทางให้สัญจรตามปกติเมื่อขบวนจักรยานได้ผ่านไปแล้ว ดังนี้

    1. เริ่มต้นที่พระลานพระราชวังดุสิต เข้าสู่ถนนศรีอยุธยาไปจนถึงแยกมักกะสัน เลี้ยวขวาเข้าถนนราชปรารภ เมื่อถึงแยกราชประสงค์เลี้ยวขวา เข้าสู่ถนนพระรามที่ 1 ต่อด้วยถนนพญาไท และเลี้ยวซ้ายเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นจุดประทับที่ 1

    จากนั้นจะปั่นผ่านแยกสามย่านเข้าสู่ถนนพระรามที่ 4 ผ่านแยกศาลาแดง เลี้ยวขวาเข้าถนนสีลม ตามด้วยถนนเจริญกรุง ไปจนถึงวงเวียนโอเดียน เข้าถนนเยาวราช จนถึงแยกวัดตึกแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนจักรวรรดิ ข้ามสะพานพระปกเกล้า แล้วกลับรถรอบวงเวียนใหญ่ เข้าถนนประชาธิปก ผ่านแยกบ้านแขก เข้าถนนอรุณอมรินทร์ และจะเข้าสู่จุดประทับที่ 2 คือ พระราชวังเดิม จากนั้นข้ามสะพานพระราม 8 กลับเข้าถนนราชดำเนินนอก ขบวนกลับสู่ลานพระราชวังดุสิต

    2. ในส่วนขบวนปั่นสีเขียว ซึ่งเป็นขบวนของประชาชนทั่วไป หรือเส้นทางแก้มลิง จะเริ่มต้นจากแยกราชประสงค์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพลินจิต เข้าถนนวิทยุ ข้ามสะพานสาทรใต้ เข้าถนนกรุงธนบุรี กลับรถที่แยกตากสิน ข้ามสะพานสาทรกลับมาฝั่งพระนคร เข้าถนนสาทรเหนือ และถนนพระราม 4

    ทั้งนี้สามารถสรุปถนนที่ใช้ในการปั่นจักรยานใน กิจกรรม Bike for dad ปั่นเพื่อพ่อ 15 เส้นทาง ดังนี้

    1. ถนนศรีอยุธยา

    2. ถนนราชปรารภ

    3. ถนนราชดำริ

    4. ถนนพระราม 1

    5. ถนนพญาไท

    6. ถ.พระราม 4 แยกศาลาแดง

    7. ถนนสีลม

    8. ถนนเจริญกรุง

    9. ถนนเยาวราช

    10. ถนนจักรวรรดิ์

    11 ถนนประชาธิปก

    12. ถนนอรุณอัมรินทร์

    13.ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า

    14. ถนนราชดำเนินกลาง

    15. ถนนราชดำเนินนอก มุ่งหน้าสู่ลานพระราชวังดุสิต

    และก่อนวันปั่นจักรยานจริง เจ้าหน้าที่ได้กำหนดห้ามจอดยานพาหนะตามเส้นทางกิจกรรมตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 10 ธันวาคม 2558 โดยในวันที่ 11 ธันวาคม 2558 ประชาชนสามารถใช้เส้นทางเลี่ยงการจราจร ดังนี้

    1. รอบพื้นที่จัดกิจกรรม สามารถใช้ถนนราชวิถี ถนนคู่ขนานลอยฟ้า สะพานกรุงธนบุรี ถนนราชสีมา

    2. เส้นทางระหว่างทิศเหนือกับทิศใต้ฝั่งธนบุรี สามารถใช้ถนนจรัญสนิทวงศ์ ถนนราชพฤกษ์ ถนนรัชดาภิเษก ถนนพระราม 3 ฝั่งพระนครสามารถใช้ถนนรัชดา ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ถนนศรีนครินทร์ ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนพหลโยธิน ถนนดินแดง และถนนพระราม 9 สำหรับเส้นทางทิศตะวันออก และทิศตะวันตก จากฝั่งธนบุรี สามารถใช้สะพานพระราม 7 สะพานพระราม 5 สะพานกรุงธนบุรี สะพานพระราม 3 สะพานกรุงเทพ ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนงามวงศ์วาน ถนนรัชดาภิเษก ถนนนครอินทร์ ถนนราชวิถี ถนนพระราม 3 ถนนเพชรบุรี ถนนพระราม 9 และถนนลาดพร้าว

    นอกจากนี้ในวันเดียวกัน การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ประกาศงดเก็บค่าธรรมเนียม ทั้งหมด 11 ด่าน ตั้งแต่เวลา 09.00-23.00 น. ได้แก่

    ด่านยมราช
    ด่านหัวลำโพง
    ด่านสะพานสว่าง
    ด่านอุรุพงษ์
    ด่านสุรวงศ์
    ด่านจันทน์
    ด่านสาทร
    ด่านพระรามสี่ 1
    ด่านพระรามสี่ 2
    ด่านเพลินจิต
    ด่านเพชรบุรี

    ภาพจาก bikefordad2015.com

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    -http://www.tnamcot.com/content/346893-

    https://www.youtube.com/watch?v=3dIUrCPZtlo
    -https://www.youtube.com/watch?v=3dIUrCPZtlo-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้ไหม? ...โครงสร้างใหม่ภาษีรถ เริ่มใช้ 1 ม.ค.59 ทำรถยนต์แพงขึ้นเท่าไร !!
    -http://money.sanook.com/340979/-

    เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมานายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยระหว่างแถลงข่าวร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมถึงความพร้อมในการจัดเก็บภาษีสรรพาสามิตรถยนต์ที่อิงจากการปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์(CO2)ว่ากระทรวงการคลังกระทรวงอุตสาหกรรมมีความพร้อมที่จะจัดเก็บภาษีสรรสามิตรถยนต์แบบใหม่ตั้งแต่วันที่1มกราคม2559เป็นต้นไป

    โดยที่ผ่านมาได้ให้ผู้ประกอบการปรับตัวมาแล้วถึง3 ปี ซึ่งการจัดเก็บภาษีแบบใหม่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาผลิตรถยนต์ที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทยมากขึ้น


    นายสมชายพูลสวัสด์อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่าขณะนี้กรมสรรพสามิตพร้อมจะออกประกาศเพื่อจัดเก็บภาษีสรรสามิตรถยนต์จากการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯแล้วเพื่อให้สามารถเริ่มจัดเก็บได้ตั้งแต่วันที่1มกราคมซึ่งรถยนต์กระทบกับรถยนต์ขนาดเล็ก หรืออีโอคาร์จะไม่ได้รับผลกระทบ รถยนต์ที่ขนาด 1,800-2,000 ซีซีขึ้นไป จะต้องมีการจ่ายภาษีเพิ่มในอัตรา 3-5% จากที่เคยจัดเก็บในอัตรา 30-35% ก็จะจัดเก็บเพิ่มเป็น 35-40% คาดว่าภาษีใหม่นี้ทำให้กรมจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์เพิ่มได้ 7-8 พันล้านบาท

    นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ยืนยันว่ากระทบวนการตรวจสอบค่าคาร์บอนฯนั้นทำได้เร็ว ขณะนี้มีรถยนต์ที่ส่งมาตรวจสอบและได้ป้ายข้อมูลรถยนต์ หรือ อีโค สติกเกอร์ตั้งแต่ 1 ตุลาคม2558 จำนวน 677 ครอบคลุมรถยนต์กว่า 95%

    -http://www.matichon.co.th/index.php#-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mon1312581.jpg
      mon1312581.jpg
      ขนาดไฟล์:
      221.7 KB
      เปิดดู:
      97
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เด็ก-สตรี ถูกกระทำรุนแรง ช่วยแจ้งได้ 1669 / 1300
    -http://icare.kapook.com/content_detail.php?t_id=0&id=3572-

    กระทรวงสาธารณสุข เผยปี 2558 มีเด็กและสตรีถูกกระทำรุนแรง 2 หมื่นกว่าราย เฉลี่ยวันละ 66 ราย ส่วนใหญ่ถูกทำร้ายร่างกายและถูกกระทำรุนแรงทางเพศจากคนใกล้ชิด ขยายการรับแจ้งเหตุ การคัดกรอง การช่วยเหลือเบื้องต้นและการส่งต่อเด็กในระดับตำบล

    นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี องค์การสหประชาชาติกำหนดเป็นวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล ให้ทุกประเทศตระหนักและเร่งป้องกันแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี สำหรับประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อปี 2542 ให้โรงพยาบาลของรัฐทุกสังกัด ตั้งศูนย์บริการช่วยเหลือเด็กและสตรีในภาวะวิกฤติจากความรุนแรง ในส่วนกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้ง “ศูนย์พึ่งได้” ในโรงพยาบาลศูนย์ / โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชนรวม 896 แห่ง เพื่อให้การดูแลเด็กและสตรี รวมถึงผู้สูงอายุ ผู้พิการ ที่ถูกกระทำรุนแรงทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และทางเพศ อย่างครบวงจรเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว บริการตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมทั้งการรักษาพยาบาล ทางกาย ทางจิต ทางสังคม และการประสานหน่วยงานช่วยเหลือด้านกฎหมายและด้านสวัสดิการสังคมอื่นๆ ที่จำเป็น โดยมีทีมแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ บูรณาการทำงานแบบทีมสหวิชาชีพ

    โดยปี 2558 พบว่ามีเด็กและสตรีถูกกระทำรุนแรง 23,977ราย เป็นเด็ก 10,712 ราย สตรี 13,265 ราย เฉลี่ยวันละ 66 ราย ในกลุ่มเด็กจะถูกล่วงละเมิดทางเพศและตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์มากเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นการทำร้ายร่างกาย ผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่เด็กรู้จัก ไว้วางใจ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น แฟน รองลงมาคือเพื่อน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากสภาพแวดล้อม ได้แก่ สื่อลามก ความใกล้ชิด โอกาสเอื้ออำนวย และการดื่มสุรา การใช้สารเสพติด เป็นต้น ส่วนความรุนแรงในกลุ่มสตรี ปัญหาอันดับ 1 ที่พบได้แก่ การทำร้ายร่างกาย รองลงมาคือถูกกระทำทางเพศและตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ผู้กระทำเป็นคู่สมรสมากที่สุดรองลงมาคือแฟน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากสัมพันธภาพในครอบครัว การนอกใจ หึงหวง ทะเลาะวิวาทกัน

    นอกจากนี้ ในปี 2558 ได้ร่วมกับมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ พัฒนาระบบการรับแจ้งเหตุ การคัดกรอง การช่วยเหลือเบื้องต้นและการส่งต่อเด็กถูกทารุณกรรมหรือการเลี้ยงดูไม่เหมาะสมให้ได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างครบวงจร โดยมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็นหน่วยประสานงานหลัก นำร่องใน 2 จังหวัดๆละ 2 อำเภอ คือระยองและชุมพร คัดกรองเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีลงมา 3 เรื่องคือ ความรุนแรง ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และการถูกทอดทิ้ง เพื่อวางแผนดูแลร่วมกับสถานศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้คัดกรองจำนวน 2,270 คน

    แบ่งการดูแลเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธงแดง คือต้องรีบให้การช่วยเหลือคุ้มครองโดยเร็ว กลุ่มธงเหลือง คือมีความเสี่ยงต่อการถูกทารุณกรรม ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และกลุ่มธงเขียว คือเด็กปกติ มีการส่งเสริม ป้องกัน เพื่อไม่ให้อยู่ในกลุ่มธงเหลืองและธงแดง โดยอบรม ให้ความรู้ และทักษะชีวิต การดูแลสุขภาพและเพศศึกษาศิลปะการป้องกันตัว เป็นต้น สำหรับในปี 2559 ได้ขยายการดำเนินงานไปยังอำเภออื่นๆ และขยายเพิ่มอีก 2 จังหวัด คือ ขอนแก่นและปทุมธานี

    ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องความรุนแรงสังคมต้องช่วยกันแก้ไข ป้องกัน หากประชาชนพบเห็นเหตุการณ์ผู้ถูกกระทำรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่ท่านรู้จักหรือไม่ก็ตาม โปรดแจ้ง 1669 หรือ 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.
    -http://www.thaihealth.or.th/-

    ลงประกาศ ณ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558




    -------------------------------------------------------



    5 ไม่ ลดความรุนแรง
    -http://icare.kapook.com/content_detail.php?t_id=0&id=3573-


    กรมสุขภาพจิต ชวนครอบครัวสร้างสัมพันธ์ ลดความรุนแรง แนะนำ ‘5 ไม่' ป้องกันตัว เพื่อนำไปสู่การสร้างระบบเฝ้าระวังการป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่งหรือเรื่องส่วนตัวของใคร

    นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเนื่องในวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กสากล ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ว่า สถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี จากข้อมูลของศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า สตรีและเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงและเข้ารับบริการศูนย์พึ่งได้ตามโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยปี 2556 มีสตรีและเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง 31,866 ราย เฉลี่ยการถูกทำร้าย 87 รายต่อวัน หรือกล่าวได้ว่า ในทุกชั่วโมงมีเด็กและสตรีถูกกระทำความรุนแรง 4 ราย

    ในขณะที่ปี 2555 มีสตรีและเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง 20,572 ราย หรือเฉลี่ย 56 ราย/วัน ทั้งนี้ พบว่า เด็กถูกกระทำความรุนแรงทางเพศมากที่สุด ในขณะที่สตรีถูกกระทำความรุนแรงทางกายมากที่สุด สำหรับผู้กระทำความรุนแรงในเด็กมากที่สุด คือ แฟน เพื่อน และคนในครอบครัว ขณะที่ผู้กระทำความรุนแรงในสตรีมากที่สุด ได้แก่ สามี แฟน และคนในครอบครัว ส่วนสาเหตุของการกระทำความรุนแรงในเด็ก อันดับ 1 ได้แก่ สภาพแวดล้อม อาทิ สื่อลามกต่างๆ หรือความใกล้ชิด รองลงมา คือ การใช้สารกระตุ้น อาทิ การดื่มสุรา ใช้สารเสพติดอื่นๆ และสัมพันธภาพในครอบครัว ขณะที่สาเหตุการกระทำความรุนแรงในสตรีอันดับ 1 ได้แก่ สัมพันธภาพในครอบครัว อาทิ การนอกใจ ทะเลาะ หึงหวง รองลงมา คือ การใช้สารกระตุ้น และสภาพแวดล้อม

    อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ผลกระทบจากการถูกกระทำความรุนแรง ในผู้หญิงนั้น บาดแผลทางจิตใจที่เกิดขึ้นอาจไม่สามารถลบเลือนไปได้ง่ายๆ ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์บุคลิกภาพ และการดำเนินชีวิตประจำวัน อาจมีความกระวนกระวาย จิตใจแปรปรวน ขณะที่บางคนมีอาการเครียด ท้อแท้เรื้อรัง สูญเสียความมั่นใจในตนเอง อับอาย ซึมเศร้า หรือบางรายมีอาการทางจิต หวาดกลัว หวาดผวา เป็นต้น ขณะที่เด็กทั้งที่ได้รับผลกระทบโดยตรง หรือแม้แต่ทางอ้อมโดยการเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ก็สามารถมีโอกาสซึมซับและยอมรับความรุนแรงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยเข้าใจผิดว่าปัญหาต่างๆ สุดท้ายต้องแก้ไขด้วยความรุนแรง

    อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ การดื่มสุรา ที่พบว่าเป็นอีกปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่นำไปสู่การกระทำความรุนแรงต่อทั้งสตรีและเด็กนั้น ก็จำเป็นต้องร่วมกันรณรงค์เชิญชวนให้ลด ละ เลิกกันมากขึ้น เนื่องจากสุราจะมีผลกับสมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับการคิด การตัดสินใจ และการใช้เหตุผล โดยจะไปมีฤทธิ์กดสมองส่วนนี้ ทำให้ผู้ที่ดื่มขาดการยับยั้งชั่งใจ ใช้เหตุใช้ผลได้ไม่ดีนัก ไม่รับรู้ว่าสิ่งใดผิดหรือถูก ประกอบกับทำให้เกิดความรู้สึกคึกคะนอง และก้าวร้าว การกระทำความรุนแรงจึงเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่รอบข้างได้ง่าย

    สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการถูกผู้ดื่มสุราทำร้าย ขอแนะ 5 ไม่ ในการป้องกันตัว คือ

    1. ไม่นิ่งนอนใจ โดยตรวจสอบว่ามีอาวุธอยู่กับตัวของผู้เมาสุรา หรือบริเวณใกล้เคียงหรือไม่ ถ้ามี และไม่มั่นใจว่าปลอดภัย ให้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ

    2. ไม่ใช้กำลัง ในการยุติความ เว้นแต่จะเป็นการกระทำไปเพื่อป้องกันตัวตามเหตุผลที่สมควร

    3. ไม่สร้างบรรยากาศ ข่มขู่ ตำหนิ หรือกดดัน ไม่ยิ้มเยาะหรือหัวเราะ ไม่โต้แย้งหรือ ท้าทาย หรือตะโกนใส่ เพราะจะยิ่งเพิ่มความโกรธและหงุดหงิดให้เขามากขึ้น จึงควรยุติการสนทนาลง

    4. ไม่ให้บุคคลนั้นเข้าใกล้เครื่องยนต์กลไกหรือขับขี่ยานพาหนะ

    5.ไม่เข้าไปใกล้บุคคลนั้นมากเกินไป เพราะจะเป็นอันตรายได้ จึงควรมีระยะห่าง ตลอดจนหลีกเลี่ยงการจ้องตาหรือการมองตาอย่างต่อเนื่อง

    ที่สำคัญ ทุกคนในครอบครัว ชุมชน และสังคม ถ้าเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นต้องไม่เพิกเฉย ควรรีบให้ความช่วยเหลือตามกำลังความสามารถ เช่น โทรศัพท์แจ้งตำรวจ แจ้ง OSCC (One Stop Crisis Center) แจ้งสายด่วน 1300 รวมทั้ง ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน สายด่วน 1111 หรือศูนย์ดำรงธรรม ตลอดจนช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงภายในชุมชน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในชุมชน

    หากพบคนในครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิดมีปัญหาทางจิตใจเนื่องจากถูกกระทำความรุนแรง สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    ลงประกาศ ณ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.
    -http://www.thaihealth.or.th/-

    ลงประกาศ ณ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขึ้น-ลงภูทับเบิกกับ 'รถเกียร์ออโต' ขับยังไงดีคะคุณ?
    -http://www.thairath.co.th/content/551031-

    โดย อาคม รวมสุวรรณ 20 ธ.ค. 2558 08:05


    อากาศหนาวเย็นในช่วงวันหยุดที่กำลังจะมาถึงทำให้หลายท่านขับรถออกทางไกลขึ้นภูเขาไปสูดอากาศหนาวกับครอบครัว ทางขึ้น-ลงเขาที่ลาดชันนั้นเต็มไปด้วยอันตราย มีทั้งหมอกที่บดบังทัศนวิสัยและน้ำค้างที่ฉาบผิวถนนทำให้ลื่นไถลได้ง่ายๆ การขับรถลงจากภูเขาซึ่งมีความลาดชันมากๆอย่างทางขึ้นภูกระดึง ทางที่จะไปยังภูทับเบิกหรือทางหลวงที่จะมุ่งหน้าไปยังอำเภอปายอุดมไปด้วยโค้งขึ้น-ลงเขาที่คดเคี้ยววกไปวนมา สำหรับท่านที่ไม่เคยชินกับเส้นทางหรือเพิ่งจะซื้อรถคันใหม่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญชำนาญการควบคุมรถยนต์มากพอเมื่อพบเจอกับเส้นทางบนภูเขาแบบที่กล่าว คุณควรใช้เกียร์ต่ำขับขึ้นหรือลงตลอดเส้นทางรวมถึงไม่เข้าไปใกล้กับเส้นทึบแบ่งเลนกลางถนน ปรับเปลี่ยนเกียร์ให้ลงสู่เกียร์ต่ำที่มีแรงฉุดลากมากกว่าเกียร์สูง เช่นเกียร์ในตำแหน่ง 2-3 อย่าพยายามขับแบบลากเกียร์จนสุดรอบเครื่องยนต์ ถ้ารถยนต์ที่ใช้เป็นเกียร์อัตโนมัติ (ซึ่งส่วนใหญ่ในปัจจุบันรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมีเกียร์แบบนี้ทั้งนั้น) ใช้เกียร์ 2 ในการขับขึ้น-ลงจากเขา โดยเปลี่ยนไปใช้เกียร์ D เมื่อรถวิ่งอยู่บนทางราบ การขับโดยใช้เกียร์ต่ำสลับไปมาบนเส้นทางแบบภูเขาสูงชัน เกียร์ต่ำจะหน่วงความเร็วของรถไม่ให้พุ่งลงจากเขาเร็วเกินไปจนอาจเกิดอุบัติเหตุแบบที่ปรากฏในคลิปวีดีโอรถตกเหวในภูทับเบิกเมื่อเร็วๆนี้

    ขับมาพบเข้ากับทางลงเขาที่ลาดชันและเต็มไปด้วยทางโค้ง เมื่อเริ่มต้นขับลงจากเนินชันให้เปลี่ยนจากเกียร์ในตำแหน่งปกติหรือเกียร์ D สลับมาอยู่ที่เกียร์ 2 เมื่อใช้เกียร์ 2 แล้วรถยังพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วก็ยัดเข้าเกียร์ 1 ไปเลยพร้อมกับใช้เบรคช่วยในการประคองความเร็วไม่ให้สูงมากจนเอาไม่อยู่เมื่อไหลลงมาพบเจอกับโค้งหักศอก ความเร็วต่ำกับตำแหน่งเกียร์ต่ำคือความอยู่รอดของลูกชายสุดที่รักของคุณโดยไม่กระโจนพรวดพลาดเสียหลักแหกโค้งตกลงไปในเหวลึกแบบที่เห็นกันในคลิป เกียร์ 1 หรือเกียร์ L (Low) ใช้สำหรับไต่ทางลาดชัน ไม่ว่าจะเป็น SUV ขับสี่ล้อประสิทธิภาพดีหรือรถเก๋งเล็กๆแบบ City Car / ECO Car ไม่ควรเปลี่ยนเกียร์ขณะห้อลงมาจากเขา ความเร็วที่ไม่มากจะทำให้คุณควบคุมการเบรคและทิศทางได้ดีขึ้น

    ตรวจสอบระบบห้ามล้อให้ดีเพราะคุณจะต้องใช้งานมันหนักมากตลอดเส้นทางขึ้นลงภูดอย บางช่วงบางตอนเล่นกันจนถึงกับเบรคไหม้ก็มี ผ้าเบรคและจานเบรคต้องอยู่ในสภาพดี รถบางรุ่นโดยเฉพาะรถรุ่นใหม่จะมีระบบ Hill start assist control คอยช่วยเหลือพวกมือใหม่หัดขับได้ดี เมื่อขับมาจนพบเจอกับทางขึ้นเขาสูงชันก็ใช้คันเร่งแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยคงความเร็วให้มีความสม่ำเสมอ เพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวลไม่ขับแบบโชว์เพาว์กระโชกโฮกฮาก เนินบางที่นั้นมีความสูงชันในระดับที่น่าขนหัวลุกเมื่อขับขึ้นเนินแบบนั้นก็ต้องใช้คันเร่งแบบค่อยเป็นค่อยไป ข้อห้ามเด็ดขาดสำหรับพวกมือใหม่กับการยัดเกียร์ว่างวิ่งลงเนินชัน เกียร์ว่างหรือตำแหน่งเกียร์ N ทำให้รถไหลลงเขาด้วยความเร็วสูงจนไม่สามารถที่จะควบคุมทิศทางหรือเบรคได้เลยเมื่อไหลลงเนินด้วยตำแหน่งเกียร์ต้องห้ามบนยอดภู เกียร์ว่างหรือเกียร์สูงนั้นจะไม่มีแรงหน่วงจากเครื่องยนต์และทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงนับครั้งไม่ถ้วน ใช้เกียร์ต่ำทุกครั้งที่ขับขึ้น-ลงเขา โดยปล่อยรถให้ไหลลงเนินสูงชันตามรอบเครื่องยนต์ในตำแหน่งเกียร์ 2 พร้อมๆไปกับการใช้เบรคเพื่อควบคุมความเร็วของรถให้สัมพันธ์กับเกียร์ต่ำ นั่นก็คือการวิ่งแบบย่องๆหยอดๆลงมาจากภูดอยสูงเสียดฟ้านั่นเอง

    การเว้นช่วงระยะห่างระหว่างรถคันข้างหน้าบนเส้นทางภูเขามีความสำคัญมากโดยเฉพาะเมื่อรถคันข้างหน้าคุณนั้นเป็นรถบรรทุกล้อเยอะหรือรถตู้ที่ขนคนขนของกันมาแบบเต็มพิกัด ช่วงขับขึ้นเนินชันให้เว้นช่วงจากรถคันข้างหน้าเพื่อป้องกันการไหลถอยหลังหรือการบรรทุกหนักจนไม่มี่เรี่ยวแรงในการตะกายขึ้นภูเขาเมื่อเจอเข้ากับทางขึ้นเขาที่ชันสุดติ่ง การเว้นระยะให้ห่างจากรถคันนำจะทำให้คุณมีพื้นที่มากพอในการเหยียบคันเร่งส่งรถขึ้นเนินและทำให้ขับได้ง่ายขึ้นอีกด้วยแถมยังปลอดภัยจากการขับชนท้ายรถคันข้างหน้าหรือรถคันหน้าเกิดชะงักไหลกลับลงมา ในช่วงของขาลงก็ต้องพยายามเว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัยเช่นเดียวกัน บนเส้นทางท่องเที่ยวในช่วงหน้าหนาว คุณจะพบกับรถที่ขับแบบไม่ระวัง รถที่มีกำลังแรงม้าสูงๆหรือรถที่มีสมรรถนะสูงมากกว่าปกติพวกรถแต่ง รถที่ขับออกแนวอันตรายท้าทายความตาย พวกชอบแซงกระชั้นชิดหรือแซงในที่คับขันอันจะก่อให้เกิดอันตราย เช่น แซงโดยไม่สนใจเส้นทึบห้ามแซงบนทางโค้ง หากเป็นไปได้อย่าพยายามขับตามรถบรรทุก หรือรถตู้โดยสารในระยะกระชั้นชิด ทิ้งระยะห่างให้เพียงพอต่อการหักหลบกระทันหันให้ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นทางชันขึ้นหรือลาดลง ไม่จำเป็นอย่าขับชิดรถคันหน้า ให้คุมระยะห่างคันหน้าซัก 30-50 เมตร มีรถจ่อท้ายมาก็ชิดซ้ายให้เขาหน่อยแล้วเปิดสัญญาณไฟให้เขาแซงไป ถ้าจำเป็นต้องแซงโดยเฉพาะรถสิบล้อคันใหญ่หรือรถที่ขับช้ามากออกแนวเต่ากัดยาง ใจร่มๆ ใจเย็นๆ ให้รอจังหวะเมื่อเจอทางราบหรือทางไม่ชันมากไม่มีเส้นทึบห้ามแซง ควรรีบแซงซะเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว

    -ทางลงเขาไม่ควรขับแบบเลียเบรคหรือใช้เท้าเหยียบเบรคคาไว้ เมื่อต้องการเบรคให้กดเบรคแบบปกติ(แต่ลึกหน่อยเมื่อขับลงเขา) หากขับแบบเลียเบรคไปตลอดทาง ไม่นานเบรครถคุณจะร้อนหรือไหม้ทำให้เกิดอาการเบรคเฟรดหรือเบรคไม่อยู่ซึ่งอันตรายมาก

    -ห้ามใช้เกียร์ว่างหรือเกียร์ N เด็ดขาดเมื่อขับลงจากเขาหรือทางที่มีความลาดชันมากๆ เนื่องจากในตำแหน่งเกียร์ว่างจะไม่มีการหน่วงความเร็วของเครื่องยนต์และเกียร์ รถจะไหลลงเขาอย่างเร็วจนคุณไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ สุดท้ายจะไปจบลงที่ก้นเหวทุกรายไป

    -ไม่ควรเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ขณะขับอยู่ในโค้งขึ้น-ลงภูเขา ผิวถนนที่มีกรวดทรายหรือเปียกชื้นจากน้ำค้างเมฆหมอกแล้วคุณทำพิเรนเปลี่ยนเกียร์ไปมากลางโค้งจะทำให้เกิดอาการลื่นไถลเอาได้ง่ายๆ


    -ใช้ความเร็วต่ำโดยเฉพาะเมื่อขับลงเขา ความเร็วที่พอดีกับสภาพทางจะช่วยทำให้คุณควบคุมทิศทางของรถได้ดี รวมถึงยังมีเวลามากพอสำหรับการแก้ใขเหตุการฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

    -จำไว้ว่าเส้นทึบบนโค้งในทางแบบหุบเขาสูงคือสัญลักษณ์ของการห้ามแซงอย่างเด็ดขาด หมั่นสังเกตุป้ายกำกับตามเส้นทางขึ้นลงเขา จุดอันตราย ความเร็วที่กำหนด ขับตามที่ป้ายบอก แม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็แลกกับความปลอดภัยของตัวคุณเองและครอบครัว ไม่ต้องมาแงะมางัดด้วยเครื่องตัดถ่างไฮดรอลิกเมื่อหลุดจากโค้งจนตกลงไปในเหวลึก งานของพวกกู้ภัยในช่วงวันหยุดยาวนั้นมากพอแล้วกับการรับมืออุบัติเหตุตามเส้นทางที่รับผิดชอบ อย่าไปเพิ่มงานให้พวกเค้าอีกเลยครับ

    -ขับตัดโค้งเพื่อ ? โชว์ความสามารถในการควบคุมรถของคุณหรือจงใจตัดเพื่อลดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางหรือแรงจีที่ทำให้เวียนหัว แต่ไม่จำเป็นต้องขับแบบนั้นก็ได้เพราะมันอันตรายต่อตัวของคุณเองและรถคันอื่นที่วิ่งสวนมา เมื่อโค้งที่คุณตัดเป็นโค้งตาบอดหรือโค้งมุมปิดที่มองไม่เห็นข้างหน้า จะขับแบบนั้นเพื่ออะไรหากคุณไม่ได้กำลังห้อเร็วจี๋แข่งกับรถคันอื่นอยู่ในสนามแข่งรถ ใช้ความเร็วทีี่ไม่มากตามป้ายบอกนอกจากจะควบคุมได้ง่ายยังช่วยลดแรงเหวี่ยงไปมาซ้ายทีขวาทีซึ่งทำให้ภรรยาที่นั่งข้างๆ กิ้กใหม่หรือแม้แต่แม่ยายสุดที่รักทำรถคุณเลอะด้วยการอาเจียนใส่ ขับช้าปลอดภัยถึงที่หมายทุกคันใช้เกียร์ต่ำพร้อมมองให้ไกลเข้าไว้ ขึ้นไปยืนสูดอากาศบริสุทธิ์พร้อมๆกับคนที่คุณรักคือของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดแล้ว ขาลงก็ยัดเกียร์ต่ำเหมือนเดิมแล้วค่อยๆไหลประคองลงมา อยู่ให้ห่างจากเส้นทึบตามหัวโค้ง ขอให้มีความสุขในช่วงที่ลมหนาวกำลังโชยมาครับ.

    อาคม รวมสุวรรณ
    E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
    Facebook -https://www.facebook.com/chang.arcom-
     
  15. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    สวัสดีค่ะ ดิฉันมีความเคารพนับถือให้องค์หลวงปู่เทพโลกอุดรเช่นกัน เคยได้ยินเรื่องพระสมเด็จวังหน้าก็อยากได้ไว้สักการะบูชา แต่สู้ราคาไม่ไหว พอดีดิฉันอาจกระทู้นี้หน้าแรกๆและมาอ่านหน้าท้ายๆเลย ไม่ทราบว่าการบูชามีกติกาเหมือนเดิมหรือไม่ช่วยแจ้งด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
     
  16. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับคุณเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ สาธุๆ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตอนนี้ผมให้พระวังหน้า ต้องทำบุญครับ

    จำนวนเงินทำบุญในปัจจุบันก็สูงเช่นกัน

    และให้ทำบุญตามวาระและโอกาส ซึ่งผมจะมาแจ้งในกระทู้ฯนี้เป็นระยะครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    " พระบิณฑบาต "
    . . . ยืนให้พร ต้องอาบัติทุกกฏ !!!

    ที่มา Facebook- Mahabunpot Kh Makam

    " พระบิณฑบาต "
    . . . ยืนให้พร ต้องอาบัติทุกกฏ !!!

    เนื่องจาก ...
    มีชาวพุทธจำนวนมากเข้าใจว่า
    พระสงฆ์เมื่อรับอาหารบิณฑบาตแล้ว
    ก็ต้อง ให้พร พระรูปไหนไม่ให้พร เป็นอันใช้ไม่ได้
    หรือ ไม่ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ และเชื่อกันจนคิดว่า
    " ถ้าพระไม่ให้พร เราก็จะไม่ได้บุญ " จนเป็นเหตุ
    ตำหนิพระเลยก็ว่าได้

    พระคุณเจ้า ...
    ที่รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้
    ก็อยากจะฉลองศรัทธาญาติโยม ก็เลยให้พร
    ตามที่ญาติโยมต้องการ จนบางทีก็เกินไป เช่น
    ให้พรเสียงดังบ้าง ให้พรจนยืดยาวบ้าง บางรูป
    ให้ยถา - สัพพี แล้วต่อด้วย ภะวะตุสัพฯ เลยก็มี
    บางทีก็แทบจะกลายเป็นพิธีเจริญพระพุทธมนต์
    ถวายภัตตาหารแบบย่อมๆ เลยทีเดียว

    ความจริงแล้ว ...
    การให้พรขณะบิณฑบาตนั้น ไม่ว่าพระท่านจะให้
    หรือไม่ก็ตาม บุญก็สำเร็จตั้งแต่เมื่อผู้มีศรัทธา
    ได้ถวายอาหารนั้นไปแล้ว การให้พรของท่าน
    ก็เป็นเพียงการอนุโมทนาในทานที่ถวายเท่านั้น
    ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องว่าจะได้บุญ หรือไม่ได้บุญ
    จากคำให้พรเหล่านั้นเลย

    อีกอย่างหนึ่ง ...
    สาเหตุที่พระสงฆ์บางรูปท่านไม่ได้ให้พร
    หลังจากรับอาหารบิณฑบาต ท่านทำแต่เพียง
    ยืนสงบนิ่งครู่หนึ่ง แล้วก็เดินต่อไป ก็เป็นเพราะ
    ท่านปฏิบัติตามพระวินัยว่า

    " พระภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
    เรายืนอยู่ จะไม่แสดงธรรมแก่ผู้ไม่เป็นไข้ นั่งอยู่ "

    พระวินัยข้อนี้ ...
    อยู่ในเสขิยวัตร ข้อปฏิบัติของพระ ว่าด้วย
    เรื่องการแสดงธรรม คือพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
    ให้พระภิกษุ ที่ยืนอยู่ ไม่แสดงธรรมให้กับผู้ไม่
    เจ็บป่วย ที่นั่งอยู่

    ถามว่า ...
    สิกขาบทข้อนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องการให้พร
    ก็เพราะการให้พรนั้น มักให้พรเป็นภาษาบาลี
    และเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยธรรม คือการแสดงธรรม
    อยู่แล้ว และบทให้พรบางบท ก็เป็นการแสดงธรรม
    โดยตรงเลยทีเดียว เช่นบทที่เรียกกันว่า " สัพพีฯ "
    ในตอนท้ายเป็นคำแสดงธรรมแบบหนึ่ง ที่ว่า

    " อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
    จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง "

    ซึ่งแปลว่า ...

    " ธรรมะสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ย่อมเจริญ บังเกิดขึ้นแก่ผู้มีปกติกราบไหว้
    และอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิจ "

    เนื่องจาก ...
    การให้พรนั้น เป็นการแสดงธรรมแบบหนึ่ง
    และชาวบ้านผู้มาใส่บาตร เมื่อใส่เสร็จแล้ว
    ก็นั่งยองๆ อยู่ ซึ่งถ้าหากท่านให้พรไป
    ก็จะเป็นการแสดงธรรมแก่ผู้นั่งอยู่
    โดยที่ตัวท่านเองก็ยืนอยู่ การแสดงธรรม (ให้พร)
    ไปในลักษณะนั้น ก็เท่ากับเป็นการไม่เคารพ
    พระธรรม ดังนั้นพระคุณเจ้าหลายๆ รูป ที่รู้พระวินัยดี
    จึงกระทำเพียง ยืนสงบนิ่ง ตั้งจิตเมตตาปรารถนาดี
    อนุโมทนาทาน ต่อผู้ถวายอาหารบิณฑบาต
    แล้วก็เดินต่อไป จนชาวบ้านที่ไม่เข้าใจ ก็นึกตำหนิว่า
    " พระอะไรใช้ไม่ได้ รับอาหารแล้ว ก็ยืนนิ่ง ไม่ยอมให้พร "

    ดังนั้น ...
    ถ้าหากผู้มีศรัทธา มีจิตเป็นบุญกุศล ถวายอาหาร
    บิณฑบาตแล้ว ก็ควรเอื้อเฟื้อพระคุณเจ้าตามพระวินัย
    ของท่านด้วย ไม่ควรให้ท่านต้องฝ่าฝืนพระวินัย
    แม้จะเป็นข้อเล็กน้อยก็ตาม การที่เราได้ถวายอาหาร
    บิณฑบาต บุญกุศลก็เกิดขึ้นแก่เราอยู่แล้ว จะได้รับพร
    หรือไม่ ก็ไม่ต่างกัน อนึ่ง โดยปกติพระภิกษุท่านมารับ
    อาหารบิณฑบาต ท่านก็ต้องตั้งจิตเมตตาปรารถนาดี
    เป็นเบื้องหน้ากับทุกผู้คนอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้อง
    เอ่ยปากให้พรเสียยืดยาว

    สำหรับ ...
    ท่านที่ยังต้องการจะรับพรอยู่
    (อาจเพื่อความสบายใจ หรือเพื่อเจริญศรัทธามากขึ้น)
    ก็ควรกระทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาพระวินัยของ
    พระสงฆ์ โดยเมื่อถวายอาหารเสร็จแล้ว ก็ควรถอด
    รองเท้า (บางท่านถอดรองเท้าตั้งแต่ก่อนใส่บาตร)
    หุบร่ม ถอดหมวก (ถ้ามี) แล้วยืนพนมมือ กล่าวกับ
    พระคุณเจ้าว่า " ขอนิมนต์พระคุณเจ้าได้โปรด
    อนุโมทนา ให้พร แก่กระผม / ดิฉัน หรือ ให้พร
    แก่โยม ด้วย " แล้วก็ยืนพนมมือรับพร หรือถ้าจะ
    รับในท่านั่ง ก็หาเก้าอี้มาให้พระคุณเจ้าได้นั่ง
    แล้วผู้จะรับพรก็นั่งคุกเข่า หรือนั่งกระโหย่ง
    พนมมือรับพร การทำแบบนี้ นอกจากจะเป็นการ
    เคารพในพระธรรม ในพรที่ท่านให้มาแล้ว ก็ยังเป็น
    การช่วยเอื้อเฟื้อให้พระสงฆ์ไม่ต้องผิดพระวินัยอีกด้วย

    ***ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาบุญ . . .
    ท่านเจ้าของ ข้อความ และ รูปภาพ นะครับ
    . . . ขอให้บุญรักษา ธรรมะคุ้มครอง ทุกๆ ท่าน***


    " มีแต่สุข & ทุกข์ไม่มี "
     
  19. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    ขอบคุณมากๆค่ะที่แจ้ง จะมาติดตามดูเรื่อยๆเผื่อมีโอกาสค่ะ ขออนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...