เจริญสมาธอยู่สม่ำเสมอค่ะแต่สิ่งที่เจอนี้คืออะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มณีดิน, 27 ตุลาคม 2015.

  1. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    จงสุขกับความไม่มีอะไรเหลือ
     
  2. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    ละแวกป่ารกชัฏแถวนี้ เค้าเรียกกันว่า เจ๋งจริง

    ไม่ใช่ สัมภเวสีสัตว์ประหลาดสามหัวแน่นอน กุ๊กกุ๊กกุ๊ก กรู....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2015
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ใครเขาริษยากันล่าาา
    มีแต่ช่วยเหลือกันไปทั้งนั้น
    ผมเห็นคนที่มีคนแนะนำสิ่งดี ๆ ให้
    มักคิดว่าคนเขาริษยาตนซะอยู่เรื่อย
    แทบจะเป็นแพทเทิร์นแล้วมั้ง
    ไม่อยากให้คิดแบบนั้นเลย
    มลทินมันพาคิดไปเองทั้งนั้น
    เข้าใจเรื่องมลทินมั้ยครับ
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    มันก็ดีอยู่ เป็นการดับด้วยการข่มเอาไว้ ไม่คิด
    ต่อไปถ้าจิตมันหงาย มันคลายออกนะ
    หนังคนละม้วนเลย ค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ศึกษาไป ๆ
    ให้มันอิ่มตัวซะก่อน..แล้วจะเข้าใจเอง
    นี่มันยังไม่อิ่ม คงเคยขู่เขามาเยอะ
    วิบากกรรมมันเลยปิดกั้นให้หนีท่าเดียว
     
  5. muisun

    muisun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +94
    การคิด การพูด การทำ มีอยู่ 5 อย่าง
    1. คิด พูด ทำ เพราะยึดถือ เรียกว่า ทำเพราะบ้า
    2. คิด พูด ทำ เพราะละโมภอยากได้ของเขา เรีกว่า ทำเพราะปราถนาลามก
    3. คิด พูด ทำ แบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ลุ่มหลงงมงาย เรียกว่าทำเพราะโง่
    4. คิด พูด ทำ เพราะเห็นว่ามันดี ก็เที่ยวแข่งดีแล้วก็อวดดี สรุปแล้วก็หาดีไม่ได้ เรียกว่า
    ทำเพราะเห็นว่าดี
    5. คิด พูด ทำ เพื่อมีประโยชน์แห่งความบริสุทธิ์และพ้นทุกข์ดับชอบ ชัง เฉย เสียได้ เพื่อความไม่เดือดร้อนแห่งกายและใจ เรียกว่า ทำเพื่อรู้ทัน
    (ไม่มีอะไรที่จะวิเศษณ์เกินกว่าความรู้ทันอีกแล้ว เพราะเป็นหัวใจของปฏิสัมภิทา 4)

    จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์
     
  6. muisun

    muisun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +94
    ไม่มีบาปอะไรที่จะรุนแรงและเดือดร้อนเท่ากับการเพ่งโทษแล้วติเตียนไปว่าเขา เห็นผลทันตาเลย ไม่ต้องคอยชาติหน้าและชาติโน้น จะว่าดับๆ

    จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์
     
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ไม่โกรธเสียก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องนึกว่า ใครจะมาติเตียนเพ่งโทษ จริงมั้ย
     
  8. muisun

    muisun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +94
    สาธุ นั่นแหละคืออารมณ์ของอนาคามี
    ถ้าดับความสงสัยได้ ก็โสดาบัน
    ถ้าดับความโกรธได้ ก็อนาคามี
    ถ้าดับความถือตัวได้ก็อรหันต์

    จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จริง ๆ ตรงนี้มีตอบไว้บ้างแล้ว ที่นี่

    +++ ส่วนคำถามถึง "วิธีปฏิบัติ" ตรงที่ "ทำอย่างไรจะให้จิตนิ่ง ไม่ส่ายซัด" นั้น คำตอบคือ

    +++ "จิตจะต้องมี ฐาน ที่อยู่ให้เรียบร้อยเสียก่อน" จึงจะพ้นอาการของ "เจ้าไม่มีศาล เที่ยวเพ่นพ่านประดุจดั่ง สัมพเวสี" ได้

    +++ ฐานที่ดีที่สุด คือ "ฐาน นามกรรมฐาน ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ รูปกรรมฐาน" ง่ายที่สุดคือ "ความรู้สึกตัว ทั่วถึง"

    +++ ฐานนี้เป็นฐานที่สำคัญ เพราะเป็นฐานที่ "สติ พัฒนาเป็น สัมปชัญญะ และจะผ่าน รูป+อรูป ฌาน ทั้ง 8 ประการ" ในฐานอันเดียว

    +++ และจะพัฒนาไปจนถึง "อาการรู้ อาการตื่น อาการเบิกบาน" ในสภาวะของ "อรูป" ซึ่ง "อาการตื่น กับ อาการเบิกบาน (จิตเปล่งรังสี)" นี้ เลย ฌาน 8 ไปแล้ว

    +++ "จิตเดิมแท้ เป็นประกายประภัสสร" "เบิกบานสว่างไสว" ตรงนี้เป็นอาการที่ "สัมปชัญญะ" ทรงตัวได้อย่าง "เต็มที่" และ "ครองอรูปฌาน" เต็มใบ

    +++ ตรงนี้เป็น "จุดสิ้นสุดทาง สมถะกรรมฐาน" แต่ยังไม่ได้เริ่มต้นทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" เหมือนกับ รถที่เติมน้ำมันเต็มถังแล้ว "แต่ยังไม่ได้วิ่ง" เท่านั้นเอง

    +++ แต่ตรงนี้ทั้งหมด "เกิดจาก จิตอยู่กับฐาน อันเดียวเท่านั้น" คือ ความรู้สึกตัวทั่วถึง ตรงนี้เป็นฐานเบื้องต้นของ "เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน"

    +++ เมื่อพัฒนาไปถึงที่สุดที่เป็นอาการของ "ผู้ตื่น ผู้เบิกบานสว่างไสว" ในชั้นอรูปฌาน ตรงนั้นเป็น "ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" ของสมถะกรรมฐาน

    +++ เมื่อ "ชำนาญ" แล้ว ต่อไปในการดำรงชีวิตประจำวันมันก็จะพัฒนามาเป็น "วิปัสสนากรรมฐาน" ด้วยตัวของมันเอง โดยใช้ประสพการณ์จริง ของการดำรงค์ชีพ เป็นตัว "บังคับฝึก" ด้วยตัวของมันเอง ตรงนี้ "ไร้รูปแบบ" โดยสิ้นเชิง และในยามใดที่พลาด ยามนั้น "ทุกข์" จะเกิดขึ้นมาทันที

    +++ ตรงนี้ "ทุกข์จะเป็น เนื้อหา" โดยเต็มตัว จะเรียกว่า "ทุกข์สัจจะ" ก็ได้ แล้วแต่สะดวก

    +++ เมื่อโดนทุกข์ "บี้มากเข้า" นิสัยที่เคยฝึก "สติสัมปชัญญะ จนเป็นสมาธิ" ก็จะทำให้เกิดการ "อยู่-ย้าย-โยก-หนี" กลับเข้าสู่ "ฐาน" ที่เคยปฏิบัติ

    +++ ก็จะค่อย ๆ รู้ได้เองว่า "ยามใดที่จิตส่งออก เพ่นพ่านเป็นสัมภเวสี ยามนั้นย่อมเกิด ทุกข์ ตามมา" เมื่อเห็น "เหตุ" ตรงนี้เมื่อไร เมื่อนั้นก็จะรู้จัก "สมุทัยสัจจะ" เมื่อนั้น

    +++ และยามใดที่เกิดการ "อยู่-ย้าย-โยก-หนี" กลับเข้าสู่ "ฐาน" เมื่อไร ทุกข์ก็พ้นไปเมื่อนั้น ตรงนี้ก็จะรู้จัก "มรรคสัจจะ" เมื่อนั้น

    +++ เมื่อกาลเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็จะพบได้เองว่า "แม้แต่ใน ฐาน ก็ยังมีทุกข์ นอนแนบสนิทอยู่ในตัวฐานเองได้" และยามใดที่ "รู้คลุมฐานได้อย่างถ้วนทั่วแล้ว" ก็จะรู้ได้เองว่า "ก็ฐานนี้แหละ ก็คือ ความเป็นตน นั่นเอง"

    +++ แล้วก็จะเข้าใจได้เองว่า "ทำไมจึง มีตนเป็นเกาะเป็นที่พึ่ง" และยามใดที่ "ฐานหรือตน ทั้งหมดถูกรู้ ส่วนสภาวะรู้ที่ไร้ตน รู้อยู่" ก็จะเข้าใจได้เองว่า "ทำไมจึงต้อง พ้นจากความเป็นตนเท่านั้น จึงพ้นทุกข์สัจจะได้"

    +++ เรื่องพวกนี้ "คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องทำเอาเองเท่านั้น" ส่วนวิธีทำก็คือ การอยู่กับฐาน ตรงนี้เป็น "หยุดคิด จึงรู้ และเลิกเป็น สัมภเวสี"

    +++ เอกายนะมัคโค (มหาสติปัฏฐาน 4) ของพระพุทธเจ้า ส่งผลได้ภายในไม่เกิน 7 วัน อย่างกลาง ๆ ไม่เกิน 7 เดือน อย่างแย่ ๆ ไม่เกิน 7 ปี แต่ถ้าเป็นพวก "บารหมด" ชาตินี้ก็ พระอนาคามี

    +++ ดังนั้น "ใครเป็นคนสอน" ว่า "มันต้องยาก มันต้องนาน มันต้องไม่มีทาง มันต้องไม่ใช่ชาตินี้" ไอ้พวกคำสอนแบบนี้ "มันมาจากใคร" ไอ้พวกนอกศาสนาพุทธ ใช่หรือเปล่า รอบคอบสักหน่อยนะ

    ปัจจุบันนี้ขอแค่มีจิตที่ละเอียดมีสติก็พอแล้วค่ะ

    +++ จิตจะละเอียดด้วยตัวของมันเอง ไม่ได้ "สติที่ละเอียดเท่านั้น จึงจะนำพาให้ จิตละเอียดได้" ค่อย ๆ ทำไปก็จะรู้เองว่า ใช่หรือไม่ นะ

    +++ อือ... จู่ ๆ ก็คิดจะ "วิ่งแซงรถที่กำลังเหยียบมิดคันเร่ง" มันก็อย่างนั้นแหละ "ทำไมไม่ วางเรือใบ หรือ ทำเบรคให้มันค้างไว้ก่อนล่ะ มันจะได้ วิ่งไม่ออก" แล้วเราก็ "ค่อย ๆ เดินแซงมันไปสบาย ๆ" คำตอบตรงนี้ก็คือ ยังไม่มี "ฐาน" เลยก็พยายามวิ่งไล่จับ "ผี หรือ สัมภเวสี" ซะแล้ว

    +++ หา "ฐาน" ให้เจอก่อนก็แล้วกัน อย่างอื่น "ค่อยว่ากันทีหลัง" ไม่งั้นก็จะกลายเป็น "สัมภเวสี" อยู่ตลอดเวลา ยังไม่ต้องไป "หาจิต หาสมาธิ" หรอก "หาฐานให้เจอ แล้วอยู่กับมัน" นั่นแหละ สมาธิ ตัวจริง "ฐาน 4 ตัวที่พระพุทธเจ้าชี้ทางไว้คือ 1. กาย 2. ความรู้สึกกาย 3. จิต และ 4. ความรู้สึกจิต" เลือกเอาใน 4 ตัวนี้ ชอบตัวไหน ก็ตัวนั้นแหละคือ "ฐาน" เท่านั้นเอง นะครับ
     
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ใช้คำไม่ถูก "ดับ" กับ "ละ" ไม่เหมือนกัน
    ไม่ใช่ดับไอ้นั่นได้ไอ้นี่ได้แล้วเป็นนั่นเป็นนี่นะ
    ท่านใช้คำว่า"ละ"สังโยชน์อะไรได้บ้าง
    คำว่า "ละ" คือยังไง คือละความยึดมั่นถือมั่น
    "ดับ" คือ ใช้กำลังดับ เจตนาเพื่อจะดับ หรือถึงไม่ใช้
    สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

    เรื่องพยากรณ์อย่าเลยดีกว่าครับ ว่ากันที่ทำอย่างไร
    จึงจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ นั่นจะมีประโยชน์กว่ามาก
     
  11. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    <blockquote style="width:500px;line-height:1.7em;margin:0px">

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    บุคคลเป็นพระอรหันต์เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้เต็ม บริบูรณ์
    เป็นพระอนาคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอรหันต์
    เป็นพระสกทาคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามี
    เป็นพระโสดาบัน เพราะ อินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระสกทาคามี

    เป็นพระโสดาบันผู้ธัมมานุสารี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระโสดาบัน
    เป็นพระโสดาบันผู้สัทธานุสารี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อน กว่าอินทรีย์ของพระโสดาบันผู้ธัมมานุสารี

    </blockquote>
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน? คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธินทรีย์เป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
    เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พุทธะท่านนั้น เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่า สัทธินทรีย์
    ก็วิริยินทรีย์เป็นไฉน? อริยสาวกพูดถึงสัมมัปปธาน ๔ ย่อมได้ความเพียร นี้เรียกว่า วิริยินทรีย์
    ก็สตินทรีย์เป็นไฉน? อริยสาวกพูดถึงสติปัฏฐาน ๔ ย่อมได้สติ นี้เรียกว่า สตินทรีย์
    ก็สมาธินทรีย์เป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ยึดหน่วงนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต นี้เรียกว่า สมาธินทรีย์
    ก็ปัญญินทรีย์เป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีปัญญา ประกอบ ด้วยปัญญาเครื่องกำหนดความเกิดและความดับ อันประเสริฐ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์ โดยชอบ นี้เรียกว่า ปัญญินทรีย์

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้แล"

    ดูจากท่านนี้กล่าว น่าจะขึ้นกับระดับอินทรีย์เป็นหลัก นะ ...
    และในทางโลกียะ อาศัย ฌาน (ด้วยสมองของสัตว์ก็พอไหว เข้าถึงพอได้อยู่)
    และในทางโลกุตตระ อาศัย ญาน(ปัญญาแห่งอริยะ) ที่เรียกว่า ญานทัสสนะ
    (แต่หากปัญญาของสัตว์ ไม่สามารถเข้าได้ถึงความเป็นโลกุตตระ)

    ที่ขีดเส้นใต้ นั้นไม่ใช่แยกเป็นคำๆ แล้วตีความ ... มันเป็นสภาวะร่วมกัน
    ปัญญากำหนด ... ไม่ใช่
    กำหนดความเกิดและดับ ... ไม่ใช่
    ปัญญาเครื่องกำหนดความเกิดและความดับ อันประเสริฐ ... ถูกต้อง ปัญญาเหนือปัญญาเหนือสมมุติ ... จนกว่าจะสิ้นทุกข์


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2015
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เรียกสรรพนาม พระพุทธองค์ กดลงเหลือแค่ ท่าน หรือครับ แหม เริ่มจับไหล่
    พระพุทธองค์ สนทนา ละ

    หลังจาก ละเมอ เที่ยว ขุดกระทู้ที่คนเขาโพส สองปีบ้าง สามปีบ้าง ขึ้นมา ตอบปัญหา

    การสำคัญตัวมันก็ พองใหญ่ เรียกพระพุทธองค์ว่า " ท่าน " เติมด้วย " นี้ "
    ในเชิงภาษา ก็ผลักออก เหมือน เขียนด้วยมือ ผลักออกด้วยเท้า เลยนะนั่น

    คุณจะไปรู้รสของ " ด้วยปัญญาเครื่องกำหนดความเกิดและความดับ อันประเสริฐ "
    ได้อย่างไรหละคร้าบ หากคุณยังไม่เห็นพระพุทธองค์ คือ พระผู้มีพระภาค ผู้สิ้นกิเลส ผู้ชี้ทาง
    ประเสริฐ ผู้เป็นมหาศาสดา เพราะ พูดแต่สิ่งที่เป็นจริง ขาดแล้วซึ่งความเห็นชั่ว
    คิดชั่ว พูดชั่วๆ สอนชั่วๆ

    " ปัญญาเครื่องกำหนดความเกิดและความดับ อันประเสริฐ " เนี่ยะ
    ศัพท์เดิมคือ " ธรรมฐิติ " จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ ยกพระพุทธองค์เป็น
    ศาสดาเสียก่อน แค่เพียงยกพระพุทธองค์เท่านั้นที่ตรัสสอนแต่คำจริง
    อันไม่มีศาสดาอื่นสอนสิ่งนี้ " ธรรมฐิติ " ปัญญาเครื่องกำหนดรู้
    หรือ หลักการพิจารณาที่ทำให้เปิดหนทางเห็น มรรค มันถึงจะเกิด
    ผล(ญาณ)เกิดทีหลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2015
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตะกี้เห็นแว๊บๆ

    มีการ ยกคำถามว่า มีหรือ พระพุทธองค์....ตำหนิ และ ปรามาส มีไหม
    ถามมาก่อนจะ อะอื้ม เรือหายและ มันต้องมีสิ เพราะ พวกศาสดาขีฉ้อ
    ในโลกมีทุกวัน ทุกครั้งที่แผ่นดินไหว 7ริกเตอร์ขึ้นมาเนี่ยะ จะเกิด ศาสดา
    ใหม่หวังรวยรัด แอบเข้ามาในพระพุทธศาสนา กะมาเรียนสรรพวิชา แล้ว
    ค่อยออกไป เสริมสร้างศาสนาตน นี้มีอยู่เป็นธรรมดา มีมาแต่สมัยพุทธกาล

    ก็ " สุนักขัตสูตร " นั่นก็ พระสูตรหนึ่ง ที่ นักแสวงบุญนอกศาสนาส่ง
    บร๊ะบุตรในสำนักตน จงไปลอกการบ้านของ พระสมณะโคดมออกมา ให้หมด
    พอเข้ามาแล้ว ก็ งง เป็นไก่ตาแตก พระวินัยกำกับเอาไว้ห้ามกล่าวสอนพวกขี้ฉ้อ
    ที่เข้ามายังไม่ถึงสามเดือน ก็เลยโพทนาว่า ศาสนาของพระพุทธองค์ มีปัญญา
    อันแปลกแหวกแนว ใส่ไคร้ พูดให้ดูเหมือนว่า ปัญญาแบบนั้นสามัญมนุษย์มีไม่ได้
    ต้องเป็นอริยะขึ้นมาลอยๆเสียก่อน จึงจะมีได้

    พระพุทธองค์ ก็ตรัสปราม พร้อมปรามาสว่า ตกนรกนะ จะเป็น มิจฉาทิฏฐิชั่วกาลปาวสาน
    นะ พระพุทธองค์เจ้าอุบัติอีกแสนพระองค์ ก็ นิพพาน ไม่ได้นะ

    แล้วจึงตัดบท สรุปว่า จงจำใส่......ไว้ให้ดีๆ

    " บริษัทของพระพุทธองค์ ธรรมฐิติเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง " [ ติ๊ง จบพระสูตร ]

    ปัจจัยให้เกิด ธรรมฐิติ นั้นคือ จงก้มกราบ ยกพระพุทธองค์คือ ศาสดาเดียวที่กล่าว
    คำสอนให้พ้นทุกข์ได้จริง อันไม่มีศาสดาอื่นสอนอย่างนี้ได้

    ด้วยเหตุเพียงเท่านี้

    การไตร่ตรอง อาธิ ว่า กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา สรรพธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา เกิด
    ขึ้นจากปัจจัยการ ไม่ใช่เพราะใครสร้าง หรือ ดลบันดาล ก็จะ สถิต นำทางแหวก
    อาสวะ มีเครื่องมือประกอบการภาวนา ประกอบความเพียร

    แค่ มีเครื่องมือหน่าคร้าบ ยังไม่ได้บอกว่า สำเร็จอะไร ยังล้มเหลวได้ หาก
    ขาดความต่อเนื่องในการ ระลึกลงปัจจุบันธรรม ไม่ใช่ไปดับคิด กลายเป็น อาสัญญีสัตตา
    นิพพานหักคอนกแก้กรรมเดี๋ยวหนอ เดี๋ยวหนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2015
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อนึ่ง พึงทราบว่า สำหรับกรณีพุทธบริษัท จะไม่มีการไล่ คนที่เป็น มิจฉาทิฏฐิ
    ให้ไปจาก พระพุทธศาสนา

    บุคคลชนใด แม้นจะเป็น มิจฉาทิฏฐิ หรือ นิยตมิจฉาทิฏฐิ(ลอกคำสอนไปเรื่อยๆชั่วกัลปาวสาน)
    พระพุทธองค์ไม่ให้ไล่ และ ยังให้กราบ ให้เคารพ ให้ข้าว ให้น้ำ ให้เครื่องบริโภคปรกติทุกประการ
    อีกทั้ง หากพวก มิจฉาทิฏฐิจะกล่าวสอนธรรมะ ก็ให้ ฟังได้ ไม่ต้องปฏิเสธ

    ถ้าเปิดโอกาสเป็นกระทู้ ก็ให้ โต้ตอบตามวาระ ตามความสมควร แต่ถ้า ท่ามาก(ปทปรมะ) เลห์มาก
    เทห์มาก นั่นแหละ ก็ให้ฟังอย่างเดียว ไม่ต้องคัดค้านก็ยังได้


    เพราะอะไร ถึงได้เปิดเผยอย่าง สง่า องอาจ แม้นจะให้ พวกลักขโมยเข้ามาทำการ
    จาบจ้วงกล่าวสอน " อธรรมวาที "

    ก็เพราะว่า คำสอนของพระพุทธองค์นั้น คนที่เป็นตาสี ตาสา ธรรมดาๆ ที่รู้จัก
    ว่านี่ โลภะ นี่โทษะ นี่โมหะ และเห็นได้ด้วยว่า คุณ และ โทษของ โลภะ โทษะ โหมะ
    เป็นอย่างไร เขาคนนั้น ก็จะเป็น พุทธะ ที่สามารถแหวก แยกแยะ คำสอนใด
    มีมรรคมีผล คำสอนใดไม่มีมรรคไม่มีผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละ คือ " การกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง "
    ถึงกระนั้น ก็ยังต้องอาศัย ความเลื่อมใส หมอบสิโรราบลงเป็น สาวก เสียก่อน ถึงจะมี "พละ"
    และ " อินทรีย์ " ที่พร้อมในการ ตรัสรู้เองโดยชอบ กิเลสตน ตนย่อมเป็นผู้ละ เท่านั้น ไม่ใช่ พระเจ้าองค์ไหนจะมาทำหน้าสันติ!!! หลอกรับประธาน ( ธ ธง หน่าหาบ
    อย่างอ่านแล้ว แล่นไปพ้องเสียง ด เด็กเด็ดขาด )


    ปล.

    หลักการที่เปิดให้ แม้น " อธรรมวาที " ก็สามารถอาศัย ทำกิจเทศนาสอนธรรม รับบริขาร ได้อย่าง
    ปรตกิ เรียกว่า หลัก " ธรรมสามัคคี " ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจ วิธีปกครองการเป็น หมู่คณะแบบนี้
    ก็จะสำคัญผิดว่า พระพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมาธิปไตย ...แล้วไป แปลเอาตามฝาหรั่ง ว่า ใช้หลัก
    ความดีนำ หรือตัดสิน ไม่ช่ายหน่าฮับ ผิดก็อยู่ได้ รับอาหาร เครื่องบริโภคได้ สอนสั่งได้ตามปรกตินี่แหละ

    เพราะอะไร


    เพราะ เราศรัทธาในมนุษย์ ทุกรูปนาม ว่า มีสำนึกผิดชอบ ชั่วดี แยกแยะ คุณ และโทษ ของโลภะ โทษะ โมหะได้ด้วยตัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2015
  15. ComeFromSaturn

    ComeFromSaturn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2007
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +330
    เคยเป็นแบบนี้ แต่แค่ครั้งเดียวค่ะ เล่าให้ใครฟังก็ดูประหลาด จนเลิกเล่าไปเอง

    ตอนนั้นเราอยู่ปี 3 ไปเตรียมพื้นที่เพิ่อทำค่ายรับน้อง ที่ปากช่อง

    รีสอร์ทที่เราไปพัก พื้นที่เหมือนเอากระทะหลายๆใบมาวางชิดกัน
    ส่วนของขอบกระทะเป็นทางเดินที่ปูอิฐอย่างดี 2 ข้างทางเดินเป็นพ่มไม้ดอก

    ก้นกระทะเป็นสนามหญ้า พอแดดร่มงูจะออกมาเต็มเลย
    เราเห็นละเลยเดินเฉพาะบนขอบกัน

    ช่วงประมาณบ่ายแก่ๆ แดดอ่อนแล้วแต่ยังไม่ร่มดี
    ขณะที่เราเดินแบบ กึ่งเดิน กึ่งกระโดด ไปตามทางเดินบนขอบกระทะ

    ก็พลันได้ยิน.... ไม่ใช่สิ .... เหมือนเป็นเสียง แต่ไม่ได้ยินด้วยหู
    มันเกิดขึ้นดังในหัว ว่า
    หยุด! เดินแบบนี้ ถ้างูโผล่มาต้องเหยียบโดนแน่ หยุด!!

    เราก็หยุด และอึ้งอยู่แป๊บเดียวเท่านั้น
    ก็มีงูตัวนึง พุ่งออกมาจากพงหญ้าซ้ายมือ
    มันหันมามองหน้าเรา พร้อมกับเลื้อยตัวไปข้างหน้า
    แล้วพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้ด้านขวามือ

    เรา... อึ้งกว่าเดิม ...นึกใจหายแว๊บว่า เมื่อกี้ถ้าไม่เชื่อ
    เมื่อกี้ถ้าไม่หยุด อีกก้าวเดียวคือเหยียบกันแน่

    เราสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ว่ามันคืออะไร
    แต่ก็ไม่รู้จะถามใคร เล่าแล้วเหมือนบ้า เหมือนเพ้อเจ้อ

    ขอบคุณ จขกท. และคนที่มาตอบกระทู้นี้ด้วยค่ะ

    ปล. แต่มันมีแค่ครั้งเดียวนะ ลางสังหรณ์อื่นๆ ก็นิดๆหน่อย แต่เป็นแบบ รู้ไปก็เท่านั้น แก้ไรไม่ได้ ทำไรไม่ได้
     
  16. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    ไม่เห็น ใช่ว่าจะไม่มี

    บางครั้ง ก็มีอะไรแปลกแฝงอยู่ ในเวลาขับคับ เหมือนกัน

    บางทีอาจเป็น ญานหยั่งรู้ล่วงหน้า
    บางทีอาจเป็น สิ่งที่ไม่เห็นจริงๆ ก็ได้ ที่มักคอยเกื้อกูลกันอยู่เสมอๆ

    อยากรู้ ต้องฝึกเจริญฌานดู ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองเลย

    แต่ถ้าขี้เกียจ ก็คิดซะว่า เราก็มีดีเหมือนกัน
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กั๊กๆๆๆ เชยระเบิดระเบ้อ

    คุงปลาน้อย ใต้ใบบัว ชื่อเขาก็บอกนัยย สัมมาทิฏฐิ อยู่แว้ว

    ยิ่งตรง ปล.ลิง ตะลิงปลิง ระบุว่า " รู้ไปก็เท่านั้น แก้ไม่ได้ ไม่ต้องแก้ "


    นั่นก็คือ มีสติ มีสัมปชัญญะบริบูรณ์ จนไม่ต้อง ทัก แนะ อะไรอีก

    แต่ดู บาซูซู NGO จิ พอได้จังหวะ หยอดไปหา "พระเจ้า"

    สอดแทรกเข้ามาเจียว

    แล้วปิดด้วย การหยอดให้หลงสำคัญตนอีก

    ถ้าขยัน ไปเจอ พระบิดดาสันตี ! ของมัน รอปลุกปล้ำ

    ถ้าขี้เกียจ สำทับให้ละเมอว่า " มีดี " ขี้เกียจบ้านสันตี!เหรอได้ดี
     
  18. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    ชาตินี้ขอแค่ดับความโกรธได้ก็ประเสริฐสุดแล้วค่ะ ปัญหาคือ มันเกิดๆดับๆ
    พอโกรธสักพักรู้ตัวก็ดับได้ แต่ห้ามไม่ให้โกรธก็ยากอยู่เหมือนกันค่ะ เพราะยังต้องเวียนว่ายอยู่ในวังวน
    ถ้าหลุดพ้นเมื่อไรก็คงไม่มีความโกรธอย่างสิ้นเชิงแล้วค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 พฤศจิกายน 2015
  19. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    จะบอกว่าเป็นสัมัสที่ ๖ ก็ได้ แต่กรณี เจ้าของกระทู้คือนั่งสมาธิจนกระทั่ง
    เกิดหูทิพย์ ประเภทได้ยินเสียงของวิญญาณหรือสิ่งลึกลับได้
    เสียงทีบอกนั้นคือเสียงของโอปาติกะที่มากระซิบบอกว่าว่ามีเหตุอันตรายนั่นเอง
    (เขากระซิบบอกแค่ไหนก็รู้แค่นั้นไม่สามารถรู้มากไปกว่านั้นได้)โบราณเรียกว่ามีพรายกระซิบ

    เวลาคนที่จะหมดอายุไข ออร่าหรือราศีของเขาจะเศร้าหมอง ทำให้ผู้พบเห็น
    (บาง)สามารถรู้ได้ว่า คนๆนี้หน้าตาไม่ผ่องใสเอาซะเลย ทำให้คาดได้ว่าคนนี้ใกล้หมดบุญ(ตาย)
     

แชร์หน้านี้

Loading...