พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันจันทร์แจ่มใส

    "เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"

    ตอน บาตรน้ำมนต์เลียนแบบ

    ไม่มีในประวัติการสร้างวัตถุมงคลของวังหน้า และ วังหลวง
    หรือแม้แต่ที่วัดกลางบางแก้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.JPG
      1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      156.1 KB
      เปิดดู:
      87
    • 2.JPG
      2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      142.7 KB
      เปิดดู:
      41
    • 3.JPG
      3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      110.7 KB
      เปิดดู:
      63
    • 4.JPG
      4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.5 KB
      เปิดดู:
      59
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมได้ตั้งเฟสบุ๊ค กลุ่ม หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า

    ตามลิงค์ https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร-พระวังหน้า/1503999719890625?fref=nf

    เพื่อศึกษา"พระวังหน้า" ตามแนวทางที่ผมได้เรียนรู้และศึกษามากว่า 10 ปี

    หากท่านใดต้องการที่จะเรียนรู้เรื่อง "ประวัติคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)" และ "พระวังหน้า" ขอเชิญติดตามจากเฟสบุ๊ค กลุ่ม "หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า" ได้ครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10 ข้อต้องรู้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฉบับล่าสุด! ก่อนตกเป็นจำเลย-ส่งต่อรูปดอกไม้ผิดไหม คลิก!

    -http://hitech.sanook.com/1397893/-

    กฎหมายลิขสิทธิ์ที่ออกมาทำให้เกิดความสับสนในสังคมและมีคำถามตามมาว่าสิ่งใดทำได้สิ่งใดทำไม่ได้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ออกมาชี้แจงในเรื่องนี้

    วันที่ 4 ส.ค. - นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวถึงการคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ว่า หัวใจหลักของกฎหมายลิขสิทธิ์อยู่ที่การห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ต่อสาธารณะ แต่ก็มีข้อยกเว้นคือหากไม่ใช่การทำเพื่อการค้า มีการอ้างอิงที่มาก็สามารถทำได้ ภายใต้ข้อยกเว้นคือต้องไม่ทำให้ผลประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์ลดลง หรือกระทบกระเทือนถึงสิทธิ์ของเจ้าของ

    สำหรับการนำข่าวจากหนังสือพิมพ์ไปเล่าในรายการเล่าข่าวนั้น หากเป็นเพียงการนำเอาข้อเท็จจริงไปนำเสนอในลีลาของตัวเองถือว่าไม่มีความผิด แต่ก็จะต้องไม่ทำให้ยอดขายของหนังสือพิมพ์ลดลง เนื่องจากเป็นผลประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนกรณีการส่งต่อรูปดอกไม้ต่างๆ ในไลน์ ซึ่งเป็นรูปที่มีลิขสิทธิ์ถือว่ามีความผิด อย่างไรก็ตาม เป็นความผิดที่สามารถยอมความได้

    นางมาลีกล่าวว่า กฎหมายลิขสิทธิ์มีมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง จึงอยากฝากเตือนประชาชนหากไม่แน่ใจว่าการกระทำดังกล่าวละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ก็ไม่ควรทำ ทั้งนี้ เจ้าของลิขสิทธิ์จะต้องเป็นผู้แจ้งร้องทุกข์หากเกิดความเสียหาย

    1.ลิขสิทธิ์คุ้มครองอะไรบ้าง มีอะไรที่เราสามารถเอามาใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือไม่

    ตอบ ลิขสิทธิ์คุ้มครองงานสร้างสรรค์ เช่น บทความ หนังสือ ซอฟต์แวร์ เพลง รูปภาพ ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพข่าว ภาพยนตร์ ละคร เป็นต้น แต่ข้อเท็จจริงต่างๆ รวมทั้งข่าวประจำวันทั่วไปในส่วนของข้อเท็จจริงที่รายงานเพียงแค่ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ไม่เข้าข่ายงานอันมีลิขสิทธิ์ เราจึงสามารถเอามาใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต

    2. เราสามารถดาวน์โหลดภาพยนตร์หรือเพลงจากอินเตอร์เน็ตมาฟังและแชร์ต่อให้เพื่อนได้ไหม

    ตอบ การดาวน์โหลดถือเป็นการทำซ้ำที่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ กรณีเว็บไซต์ลิขสิทธิ์ที่เจ้าของลิขสิทธิ์อนุญาตให้ดาวน์โหลดได้ฟรีก็สามารถดาวน์โหลดได้ แต่ไม่สามารถแชร์ต่อได้ ส่วนกรณีเว็บไซต์ที่ให้บริการโดยเก็บค่าใช้จ่ายในการดาวน์โหลด เมื่อผู้ใช้เสียค่าบริการแล้ว จึงจะดาวน์โหลดมาเพื่อรับชมหรือรับฟังได้ แต่ไม่สามารถแชร์ต่อได้เช่นกัน

    3. การก๊อปปี้บทความหรือรูปภาพจากเว็บไซต์มาใส่เฟซบุ๊กของเราหรือแชร์ต่อทางไลน์ ทำได้หรือไม่

    ตอบ บทความหรือรูปภาพเป็นงานลิขสิทธิ์ การนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการก๊อปปี้หรือแชร์ต่อ ควรพิจารณาประกอบกับเงื่อนไขการอนุญาตให้ใช้เนื้อหาของเว็บไซต์นั้นๆ ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม ถ้านำมาใช้ในปริมาณน้อย เช่น 1 ถึง 2 ภาพที่ไม่ได้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ (economic value) อย่างมีนัยสำคัญและไม่ได้เป็นการใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือหากำไรโดยมีการแสดงที่มาของบทความหรือรูปภาพก็อาจถือว่าเป็นการใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม(fairuse) ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

    4. การนำงานมาใช้และเผยแพร่โดยอ้างอิงที่มาหรือให้เครดิตผู้สร้างสรรค์เพียงพอหรือไม่ที่จะไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

    ตอบ การนำงานมาใช้และเผยแพร่ต้องอ้างอิงที่มาหรือให้เครดิตเสมอจึงจะไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และต้องเป็นกรณีที่ไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์ รวมทั้งต้องไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควรด้วย

    5. การแฮ็กหรือหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงงานลิขสิทธิ์ เช่น รูปภาพหรือคลิปวิดีโอบนอินเตอร์เน็ต และลบลายน้ำดิจิทัลออก และปรับแต่งรูปภาพหรือคลิปวิดีโอและโพสต์ไว้บนเว็บไซต์ของเรา มีความผิดอย่างไร และมีโทษเท่าใด

    ตอบ การแฮ็กหรือหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงงานลิขสิทธิ์โดยรู้อยู่แล้วว่าการกระทำดังกล่าวอาจจูงใจหรือก่อให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงถือว่ามีความผิดฐานละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยีและหากทำการลบลายน้ำดิจิทัลออกโดยรู้อยู่แล้วว่าการกระทำนั้นอาจจูงใจให้เกิดก่อให้เกิด ให้ความสะดวก หรือปกปิดการละเมิดลิขสิทธิ์ ถือว่ามีความผิดฐานละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิ ส่วนการปรับแต่งรูปภาพหรือคลิปวิดีโอของผู้อื่นและโพสต์ไว้บนเว็บไซต์ของเราโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นมีความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์โดยการดัดแปลงและเผยแพร่งานลิขสิทธิ์นั้นต่อสาธารณชน

    โทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์ปรับ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท

    เพื่อการค้า 100,000 ถึง 800,000 บาท หรือจำคุก 6 เดือนถึง 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

    โทษฐานละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี ปรับ 10,000 บาทถึง 100,000 บาท

    เพื่อการค้า ปรับ 50,000 ถึง 400,000 บาท หรือจำคุก 3 เดือน ถึง 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

    6. การก๊อปปี้ภาพหรือบทความจากอินเตอร์เน็ตมาใช้ในลักษณะอย่างไรจึงจะต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ และอย่างไรจึงไม่ต้องขออนุญาต

    ตอบ กรณีที่ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ เช่น การนำภาพหรือบทความนั้นไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เป็นต้น กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ ต้องเป็นการใช้ในปริมาณพอสมควร เช่น นำมาใช้ในการวิจัยหรือศึกษางานซึ่งไม่ใช่เพื่อหากำไร ใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือเพื่อประโยชน์ของตนเองและบุคคลอื่นในครอบครัวหรือญาติสนิท ใช้ในการติชม วิจารณ์ หรือแนะนำผลงานโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานนั้น ใช้ในการเสนอข่าวทางสื่อสารมวลชนโดยมีการรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานนั้น และใช้ในการเรียนการสอน เป็นต้น

    7. การทำบล็อกแล้ว embed โพสต์ของยูทูบมาไว้ที่บล็อกของเรา ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่

    ตอบ การทำบล็อกแล้ว embed โพสต์ของยูทูบมาไว้ที่บล็อกของเรา ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวถือเป็นการทำซ้ำงานลิขสิทธิ์ในบล็อกและถือเป็นการเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วย ซึ่งสิทธิในการทำซ้ำและสิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์ต่อสาธารณชน เป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์

    ในกรณีของการแชร์ลิงค์ (link) เพื่อแนะนำและบอกที่มาของเว็บไซต์ ก็อาจไม่เข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์

    8. หากซื้อซีดีเพลง หนังสือ หรือรูปภาพมาอย่างถูกต้อง เมื่อใช้แล้วจะนำออกขายต่อได้หรือไม่ กรณีซื้อโดยดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ ภาพยนตร์ เพลงจากเว็บไซต์ จะขายต่อได้หรือไม่

    ตอบ การซื้อซีดีเพลงหรือรูปภาพ ผู้ซื้อได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในแผ่นซีดีหรือรูปภาพนั้น จึงสามารถนำออกขายต่อได้ แต่ผู้ซื้อไม่สามารถทำสำเนางานเพื่อนำออกขายได้ เนื่องจากสิทธิในการทำซ้ำและการนำออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ สำหรับกรณีการซื้อมาโดยวิธีการดาวน์โหลดนั้น เป็นการที่เจ้าของลิขสิทธิ์อนุญาตให้ใช้สิทธิ (License) ดังนั้น ไม่สามารถนำไฟล์งานดังกล่าวออกขายต่อได้

    9. ผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต (ISPs) เช่น YouTube Google True DTAC จะมีความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยหรือไม่ หากผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตอัพโหลดหนังหรือเพลงละเมิดลิขสิทธิ์

    ตอบ ผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต (ISPs) ไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์หากให้ความร่วมมือกับเจ้าของลิขสิทธิ์ในการนำงานละเมิดออกจากเว็บไซต์ตามคำสั่งศาล

    10. จะทำอย่างไรเมื่อมีคนนำงานลิขสิทธิ์ของเราไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ตอบ เมื่อพบว่ามีการละเมิดเกิดขึ้น เจ้าของลิขสิทธิ์อาจแจ้งเตือนให้ผู้กระทำละเมิดหยุดการกระทำดังกล่าว หรือเจ้าของลิขสิทธิ์อาจไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจหรือฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาล หรืออาจขอให้มีการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทโดยใช้บริการไกล่เกลี่ยของกรมทรัพย์สินทางปัญญาหรือศาล
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การแชร์ข่าวในภาวะฉุกเฉิน และโทษของการแชร์ข่าวเท็จ
    การแชร์ข่าวในภาวะฉุกเฉิน และโทษของการแชร์ข่าวเท็จ iT24Hrs by Panraphee
    -http://www.it24hrs.com/2015/warning-think-before-share-news/-



    วิธีการตรวจสอบ เรื่องจริงหรือหลอกบน Social Network ก่อนเชื่อหรือแชร์
    วิธีการตรวจสอบ เรื่องจริงหรือหลอกบน Social Network ก่อนเชื่อหรือแชร์ iT24Hrs by Panraphee
    -http://www.it24hrs.com/2014/check-news-on-social-network/-
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"

    ตอน พิมพ์ปิดตา 4 กร พิมพ์พิเศษ ลั่นล้า

    เนื้อแบบนี้ สร้างเลียนแบบขึ้นมาใหม่

    อย่างที่ผมเคยบอกไว้
    มีคนเป็นจำนวนมาก
    นิยมเก็บพระวังหน้าเก๊กัน
    รวมทั้งนำพระวังหลวงที่สร้างในปี 2451(ที่เขียน 2411)
    นำมาตีรวมเป็นพระวังหน้า

    เรื่องคำว่า ตี
    ผมก็ไม่เข้าใจว่า คนเหล่านี้ เห็นพระพิมพ์ต่างๆ เป็นผึ้ง ถึงต้องไปตี เพื่อเก็บรัง

    เรื่องคำว่า รัง
    นี่ก็แบบว่า งงงงงงงงงง สถานที่เก็บพระพิมพ์ต่างๆที่มีเป็นจำนวนมาก เรียกว่า รัง คงเห็น พระพิมพ์ต่างๆ เป็นสัตว์ ถึงต้องอยู่ในรัง

    เรื่่องคำว่า สวด
    ไม่เข้าใจว่า เห็นพระพิมพ์ต่างๆ เป็นศพ ถึงต้องนำไปวัด ไปสวด ไม่ได้ถามว่า สวดกี่คืน แล้วเผา หรือ ฝัง

    ตัวอย่างของการใช้ภาษาไทยที่ไม่ถูกต้อง อายกับคนในชาติอื่นที่คนไทย ใช้ภาษาไทยไม่เป็น คงต้องไปโทษ ครอบครัว และ สถาบันการศึกษา ที่ไม่ได้อบรมให้กับคนที่ไม่รู้เรื่องการใช้ภาษาไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2121.JPG
      2121.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      59
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"

    ตอน พิมพ์พระพุทธมหาธรรมราชา พิมพ์พิเศษ ลั่นล้า

    รูปที่ลง(รูปแรก เป็นพิมพ์พระพุทธมหาธรรมราชา) เป็นการสร้างเลียนแบบขึ้นมา
    รูปที่ 2 (รูปพระแถวล่าง) นั่นก็สร้างเลียนแบบของวังหน้าเช่นกัน


    สร้างเลียนแบบ พิมพ์พระพุทธมหาธรรมราชา (พิมพ์นี้เป็นอย่างไร ติดตามได้ในโอกาสหน้าที่เฟสฯกลุ่ม "หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า"

    พระพุทธมหาธรรมราชา ของจริงๆ ที่จะลงในโอกาสหน้าฯ มวลสารที่ใช้สร้าง เป็นมวลสารที่เหลือจากการหล่อองค์พระพุทธชินราชองค์จริงที่พิษณุโลก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2116.JPG
      2116.JPG
      ขนาดไฟล์:
      889.5 KB
      เปิดดู:
      65
    • 21161.JPG
      21161.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      46
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ควรรู้ไว้ ทวงหนี้อย่างไรไม่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ทวงหนี้ 2558
    เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ควรรู้ไว้ ทวงหนี้อย่างไรไม่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ทวงหนี้ 2558
    -http://money.kapook.com/view128453.html-

    เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ควรรู้ไว้ ทวงหนี้อย่างไรไม่ผิดกฎหมาย ลูกหนี้ร้องเรียนได้หากพบถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ 2558

    เปิด ข้อกฎหมายน่ารู้ สรุปสาระสำคัญใน พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2558 กับรายละเอียดที่เจ้าหนี้-ลูกหนี้ควรทราบ ทวงหนี้อย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ทวงหนี้แบบใดเข้าข่ายคุกคามหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกหนี้ และลูกหนี้ควรปฏิบัติอย่างไร หากได้รับความไม่เป็นธรรมจากการทวงหนี้

    เจ้าหนี้ควรรู้

    ลูกหนี้ เหนียวหนี้สุด ๆ แต่จะทวงหนี้ได้อย่างไรถึงจะไม่ผิดกฎหมาย และสามารถจ้างวางให้คนอื่นทำหน้าที่ทวงหนี้แทนได้หรือไม่ ใครเป็นเจ้าหนี้ควรเข้ามาดู รู้ไว้ก่อนทวงหนี้ ก่อนจะกลายเป็นฝ่ายเสียเงินค่าปรับแทนที่จะได้เงินคืน

    [​IMG]1. "ผู้ทวงถามหนี้" คือ เจ้าหนี้ ผู้ให้กู้เงิน ไม่ว่าจะโดยถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม รวมถึงผู้ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ให้ทวงถามหนี้ อาทิ บริษัทรับทวงหนี้

    [​IMG]2. "ธุรกิจทวงถามหนี้" คือ ผู้ประกอบธุรกิจรับจ้างทวงหนี้ ซึ่งต้องได้รับการจดทะเบียนทวงถามหนี้ต่อนายทะเบียน กรณีผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้เป็นทนายความ ให้จดทะเบียนกับสภาทนายความ ผู้ฝ่าฝืนไม่ไปจดทะเบียนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

    [​IMG]3. กรณีผู้ที่ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้อยู่หน้านี้ ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 90 วันนับแต่วันที่ พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ (2 กันยายน) โดยระหว่างนี้ให้ยังประกอบธุรกิจได้อยู่

    [​IMG]4. ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ทหาร ตำรวจ ประกอบธุรกิจรับทวงหนี้ หรือไปช่วยคนอื่นทวงหนี้ที่ไม่ใช่หนี้ของตัวเอง เว้นแต่เป็นหนี้ของสามีภรรยา พ่อแม่ หรือลูก ให้สามารถทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

    [​IMG]5. ห้ามทวงหนี้กับคนที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เว้นแต่เป็นบุคคลที่ลูกหนี้ระบุให้ไปทวงถาม โดยมีข้อปฏิบัติคือ

    - ผู้ทวงหนี้ต้องแสดงตัว แจ้งชื่อ-สกุล พร้อมแสดงเจตนาว่าต้องการถามหาข้อมูลเพื่อติดต่อลูกหนี้

    - ผู้ทวงหนี้ห้ามเผยข้อมูลการเป็นหนี้ของลูกหนี้ ยกเว้นผู้ที่ได้ติดต่อนั้นเป็นสามี ภรรยา พ่อ-แม่ หรือลูกของลูกหนี้ โดยให้บอกเล่าเท่าที่จำเป็น

    - ห้ามใช้ข้อความ เครื่องหมาย หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมาย

    - ห้ามหลอกลวงหรือทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด เพื่อให้ได้ข้อมูลของลูกหนี้

    - ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

    [​IMG]6. การทวงถามหนี้ ให้ปฏิบัติ ดังนี้

    [​IMG]

    - ติดต่อลูกหนี้ตามสถานที่ติดต่อที่ให้ไว้

    - ติดต่อในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-20.00 น. และในวันหยุดราชการ เวลา 8.00-18.00 น. หากฝ่าฝืนจะถูกสั่งระงับการดำเนินการ และหากยังฝ่าฝืนซ้ำจะถูกโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท

    - ติดต่อตามจำนวนครั้งที่เหมาะสม

    - กรณีเป็นผู้รับมอบอำนาจให้ทวงหนี้ต้องแสดงหลักฐานด้วยว่าตนเองได้รับมอบหมายมา

    ลูกหนี้ควรรู้

    ถูก เจ้าหนี้หน้าโหดตามมาทวงเงินถึงที่ หากถูกข่มขู่คุกคามจะทำอย่างไรดี แถมใช้ลูกไม้มาหลอกทวงหนี้กันแบบนี้ จะมีใครเข้ามาดูแลได้บ้างนะ และการถูกปฏิบัติแบบใดที่ถือว่าไม่เป็นธรรม จำข้อกฎหมายเหล่านี้เอาไว้ จะได้ไม่ถูกเจ้าหนี้เอาเปรียบ

    [​IMG]1. ข้อห้ามปฏิบัติของผู้ทวงหนี้

    - ข่มขู่ ใช้ความรุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายหรือทรัพย์สิน ผู้ฝ่าฝืนจําคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

    - พูดจาไม่สุภาพ ดูหมิ่น ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

    - เปิดเผยความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้คนอื่นได้รู้ ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

    - ทวงหนี้ผ่านไปรษณีย์ หรือโทรสาร โดยมีข้อความแสดงการทวงหนี้ชัดเจน ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

    - ห้ามระบุข้อความ เครื่องหมาย หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมาย ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

    [​IMG]2. ห้ามทวงหนี้แบบหลอกให้เข้าใจผิด

    - ส่งเอกสารทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดว่าเป็นการกระทำของศาล เช่น ส่งเอกสารที่มีตราครุฑมาให้ลูกหนี้ ผู้ฝ่าฝืนจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

    - ทำให้เชื่อว่ามีการส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถาม (Notice) จากทนายความ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

    - ใช้เอกสารที่ทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดว่าจะถูกดำเนินคดี หรือถูกยึดทรัพย์ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

    - แอบอ้างว่าเป็นการทวงหนี้จากบริษัทข้อมูลเครดิตใด ๆ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

    [​IMG]3. การทวงถามหนี้ไม่เป็นธรรม ห้ามปฏิบัติดังนี้

    - เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ในอัตราเกินกว่าที่กำหนด

    - เสนอให้ลูกหนี้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าลูกหนี้ไม่มีเงินชำระหนี้ตามเช็ค ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

    [​IMG]4. คณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการทวงหนี้ของผู้ทวงถามหนี้ โดยหากลูกหนี้หรือคนอื่น ๆ ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่เป็นไปตามกฎหมายจากผู้ทวงถามหนี้ สามารถร้องเรียนต่อคณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด

    [​IMG]5. ให้ที่ทำการปกครอง หรือกองบัญชาการตำรวจนครบาล มีอำนาจรับร้องเรียนการทวงหนี้ผิดกฎหมาย ติดตามพฤติกรรมของผู้ทวงถามหนี้

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    ราชกิจจานุเบกษา

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    ราชกิจจานุเบกษา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • nee01.png
      nee01.png
      ขนาดไฟล์:
      309.9 KB
      เปิดดู:
      63
    • nee02.png
      nee02.png
      ขนาดไฟล์:
      72.5 KB
      เปิดดู:
      34
    • nee03.png
      nee03.png
      ขนาดไฟล์:
      65.5 KB
      เปิดดู:
      32
    • nee04.png
      nee04.png
      ขนาดไฟล์:
      63.4 KB
      เปิดดู:
      128
    • nee05.png
      nee05.png
      ขนาดไฟล์:
      315.8 KB
      เปิดดู:
      48
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวัสดียามค่ำ วันอาทิตย์ หรรษา

    "เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"
    ตอนพิมพ์หลวงปู่อิเกสาโรยืน

    เป็นเนื้อทองเหลือง ทำเลียนแบบพระวังหน้า
    และไม่ใช่พิมพ์ที่หลวงปู่ฯท่านอธิษฐานจิตแน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0235.JPG
      IMG_0235.JPG
      ขนาดไฟล์:
      561.3 KB
      เปิดดู:
      35
    • IMG_0236.JPG
      IMG_0236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      599.1 KB
      เปิดดู:
      25
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตามรอยสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
    ที่วัดบางน้ำชน เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
    เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2555

    ที่วัดบางน้ำชนนี้ มีพระสมเด็จที่มีทีมช่าง 1 ใน 12 ทีมผู้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้สร้างไว้ และสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านมาอธิษฐานจิตพระสมเด็จชุดนี้
    พระสมเด็จชุดนี้ เป็นเนื้อปูนสอ
    เนื้อปูนสอเป็นอย่างไร ลักษณะของเนื้อเป็นอย่างไร
    ติดตามชมในเฟสฯ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • b01.png
      b01.png
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      102
    • b02.png
      b02.png
      ขนาดไฟล์:
      8.4 MB
      เปิดดู:
      127
    • b03.png
      b03.png
      ขนาดไฟล์:
      8.1 MB
      เปิดดู:
      124
    • b05.png
      b05.png
      ขนาดไฟล์:
      8 MB
      เปิดดู:
      112
    • b06.jpg
      b06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      915.2 KB
      เปิดดู:
      165
    • b07.png
      b07.png
      ขนาดไฟล์:
      7.9 MB
      เปิดดู:
      75
    • b11.png
      b11.png
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      150
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถ้าได้รับการอบรมมาจากครอบครัว , วงศ์ตระกูล และสถาบันการศึกษา แล้ว
    คงไม่มีการทำพฤติกรรมแบบนี้


    -----------------------------------------------------------------------------


    10 พฤติกรรมการขับรถสุดปวดตับ ที่เจอบ่อยบนถนนในเมืองไทย

    -http://car.kapook.com/view126704.html-



    คุณใช้เวลากี่ชั่วโมงต่อวันบนท้องถนน ? เชื่อว่าคำตอบของแต่ละคนจะใช้เวลาไม่เท่ากัน แต่มีผลสำรวจเมื่อต้นปี 58 ว่าคนไทยใช้เวลาบนท้องถนนเฉลี่ย 20 ชม. ต่อสัปดาห์ หรือราว ๆ 2 ชม. 30 นาทีต่อวัน

    แต่ใช่ว่าจำนวนรถที่เยอะจะเป็นต้นเหตุของรถติดเพียงอย่างเดียว วันนี้เราจึงมาเปิด 10 พฤติกรรมสุดปวดตับ ที่เจอบ่อยในถนนเมืองไทย ทั้งปัญหาวินัยจราจรและพฤติกรรมการขับขี่ที่ก่อให้เกิดปัญหารถติด รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ #‎ขับรถแย่แก้ไม่ยาก‬ ‪#‎ToyotaCampusChallenge‬

    1.จอดตรงไหนก็ได้ แค่เปิดไฟฉุกเฉิน?!?!

    [​IMG]

    เคยบ้างไหมที่ขับตามกันมาอยู่ ๆ เปิดไฟฉุกเฉินแล้วเดินลงจากรถไปเสียอย่างนั้น พบเห็นได้บ่อยมาก ที่ริมทางมีร้านอาหารเจ้าดังหรือมินิมาร์ทสะดวกซื้อ

    ทำให้รถที่ขับตามมาต้องเบี่ยงเลนออก เสี่ยงอุบัติเหตุ เสียการจราจรไปหนึ่งช่อง แค่สักพักเดี๋ยวรถก็เริ่มติดตามมาแน่นอน

    2.เปลี่ยนเลน ไม่เปิดไฟเลี้ยว

    [​IMG]

    นี่เป็นอีกสาเหตุที่มักก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ทั้งการเปลี่ยนเลน เลี้ยวเข้าซอย และบ่อยครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วมาเปิดไฟเลี้ยวทีหลังเพราะกลัวความผิดเสียอย่างนั้น

    3.ขับรถคล่อมเลนไปมา

    [​IMG]

    การที่ขับคร่อมเลนกินพื้นที่จราจร จะซ้ายไม่ซ้าย จะขวาไม่ขวา ทำให้รถคันหลังก็ไม่สามารถเดาทางได้ รวมไปถึงการคร่อมเลนเวลาเลี้ยวไม่ควรกินซ้ายหรือขวา เพราะอาจไปเบียดกับรถเลนอื่น

    4.เปิดไฟตัดหมอก โดยไม่จำเป็น

    [​IMG]

    เรื่องเปิดไฟตัดหมอกพบบ่อยเอามาก ๆ โดยชุดไฟตัดหมอกมีความสว่างจ้ากว่าปกติ รบกวนสายตาของเพื่อนร่วมทาง หลายคนบอกว่าแสงวาบที่สวนมา ทำตาพร่าไป 2-3 วินาทีเลยทีเดียว เชื่อเถอะว่าประเทศไทยนับครั้งได้ที่เจอหมอก ใครที่ชอบเปิดเพราะว่าสวยงามอยากให้คิดใหม่ ระวังโดนข้อหาเปิดไฟตัดหมอกหน้า-หลัง โดยไม่มีเหตุอันควร จับปรับ 500 บาท

    5.ขับหรือจอดรถ บนทางเท้า

    [​IMG]

    ตำรวจจราจรเองกวดขันกันอยู่บ่อย ๆ เพราะไปรบกวนผู้เดินสัญจรบนทางเท้า อย่าเอาความสะดวกสบายของตัวเองเป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีพบเจอกันบ่อย ๆ

    6.ปาดหน้าแซงคิว เส้นทึบไม่สน

    [​IMG]

    โดยปกติแล้วทางคับขัน ไม่ปลอดภัย หรือเป็นจุดเสี่ยง จะมีการตีเส้นทึบบอกห้ามเปลี่ยนเลนตัวอย่างเช่น คอทางขึ้นสะพาน เลนยูเทิร์น และทางเบี่ยงเลน แต่ก็บ่อยครั้งจะเจอคนขับนิสัยมักง่ายขับแทรก ปาดหน้าเอาไว ไม่คิดต่อแถว เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ ก่อปัญหารถติดหนักกว่าเดิม

    7.ขับช้าแช่ขวา

    [​IMG]

    เรื่องนี้เจอบ่อยแถมผู้มีพฤติกรรมแบบนี้จะมีข้ออ้างผิด ๆ อย่าง "ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนดแล้ว" แต่ควรรู้เพิ่มเติมไว้ด้วยว่า พ.ร.บ.จราจร มาตรา 34 และมาตรา 35 เขียนไว้ชัดเจนว่า เลนขวามีไว้สำหรับแซงและเมื่อมีรถที่เร็วกว่า ต้องหลบซ้ายเท่าที่กระทำได้ สรุปให้ได้ง่าย ๆ หากมีใครมาต่อท้ายคุณเมื่ออยู่เลนขวาสุด ก็ควรเบี่ยงหลบให้เขาไปครับ

    8.ขับรถจี้ท้ายคันหน้า

    [​IMG]

    การขับจี้ท้ายคันหน้านั้นเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายมาก ๆ เพราะระยะเบรกนั้นไม่พอ และรู้ไหมว่าผู้ชนท้ายนั้นผิดเสมอจากข้อหาขับรถโดยประมาท โดยอิงจาก พ.ร.บ.จราจร มาตรา 40 ที่บอกไว้ชัดเจนว่า ควรเว้นระยะให้ห่างจากคันหน้าตามระยะเบรกที่ปลอดภัย

    9.เปิดเลนถนนเอง

    [​IMG]

    ยามรถติดเรามักเจอปัญหานี้บ่อย ๆ เพราะเห็นเลนที่สวนมานั้นว่าง ก็ถือวิสาสะเปิดเลนหรือผู้ที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์กินเลนมาก็เจอบ่อยครั้ง เกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่คุ้มเอาเสียเลย

    10.ไม่ทำตามเครื่องหมายจราจร

    [​IMG]

    คนขับรถทุกคนควรสังเกตเครื่องหมายจราจรให้ดีไม่ว่าชนิดป้ายหรือสัญลักษณ์บนทาง ซึ่งในบางทางแยกก็มีกำกับไว้แล้วว่าเลนบังคับตรง แต่บ่อยครั้งก็พบเจอรถมาจอดรอเลี้ยว หรือห้ามยูเทิร์นก็ฝ่าฝืนกันบ่อย ๆ ส่งผลให้การจราจรติดขัด

    ตัวอย่างทั้ง 10 ข้อที่ยกมานั้นถือเป็นความผิดที่ชัดเจนและพบเจอบ่อยมากบนถนนเมืองไทย เอาจริง ๆ หากตำรวจจราจรกวดขันก็คงไม่มีใครกล้าทำผิด แต่ด้วยถนนนั้นมีมากมายลำพังตำรวจจราจรก็คงกวดขันไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด

    จะดีกว่าไหมถ้าเรามาปลูกฝังจิตสำนึกการขับขี่ที่มีวินัย โดยเริ่มจากกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งทางโตโยต้า ได้สนับสนุนระเบียบวินัยการขับขี่ผ่านกิจกรรม Toyota Campus Challenge 2015 ซึ่งเป็นการเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมขับขี่เริ่มจากจุดเล็ก ๆ อย่างในรั้วมหาวิทยาลัย

    โดยกิจกรรม Toyota Campus Challenge 2015 เปิดรับสมัครเป็นรูปแบบของทีม 4 คน ให้น้อง ๆ นักศึกษา ส่งไอเดียเข้ามาประกวดออกแบบแผนการประชาสัมพันธ์และรณรงค์ในหัวข้อ "สร้างความปลอดภัยบนท้องถนนในรั้วมหาวิทยาลัย"

    ส่วนผู้ชนะเลิศในโครงการนี้ จะได้ทริปทัศนศึกษาประเทศญี่ปุ่น 5 วัน (ระหว่างวันที่ 11-18 พฤศจิกายน 2558) และทุนการศึกษา 50,000 บาท/ทีม พร้อมโอกาสฝึกงานที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรรมแห่งการปรามาสลบหลู่พระรัตนตรัย ทั้งการ คิด พูด และกระทำโดยอาการ

    -http://larndham.org/index.php?/topic/39539-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3/-



    พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติ (สังเขป)

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่
    เราทำแล้วของเรา ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจก
    พุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
    เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส
    หลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เรา


    จึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะการกล่าวตู่พระเถระ
    นามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึง
    ท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน
    ถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผล
    กรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่


    เป็นจริง เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา
    สอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้
    น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มากมาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้
    ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภค
    กาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้น มาณพ


    ทั้งปวง เที่ยวไปภิกษาในสกุลๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีพวกนี้
    มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำ
    กล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ในกาลก่อนเราเป็นเด็ก
    (ลูก) ของชาวประมงอยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว
    เกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ)


    ได้มีแล้วแก่เราในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน พระเจ้าวิฏฏุภะ
    ฆ่าแล้ว เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้า
    พระนามว่าผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากิน
    ข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่
    ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า


    กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยาก
    อย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก
    (ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี
    ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทานชื่อ ปุพพกรรมปิโลติ
    อันเป็นบุพจารีตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้แล.



    -----------------อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๓๙. อัมพฏผลวรรค ๑๐. พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติ


    :57: :56: :104: :64: :72: :64: :104: :56: :57:



    พรรณนาพุทธาปทานในวิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาอปทาน(สังเขป)

    ก็ในกาลนั้น เราได้เป็นพราหมณ์ชื่อโชติปาละ ได้กล่าว
    กะพระกัสสปสุคตเจ้าว่า การตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีมาแต่ไหน
    การตรัสรู้เป็นของได้ยากยิ่ง.
    เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจึงต้องทำทุกรกิริยามากมาย
    อยู่ที่ตำบลอุรุเวลาถึง ๖ ปี จากนั้น จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ.
    เราไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดโดยหนทางนั้น เรา
    ถูกกรรมเก่าห้ามไว้ จึงได้แสวงหาโดยทางผิด.
    เรามีบุญและบาปสิ้นไปหมดแล้ว เว้นจากความเร่าร้อนทั้ง
    ปวง ไม่มีความโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน
    แล.



    ในชาติอื่นๆ ในครั้งก่อน เราเป็นนักเลงชื่อว่ามุนาฬิ ได้
    กล่าวตู่พระสุรภิปัจเจกพุทธเจ้าผู้ไม่ประทุษร้าย.
    เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจึงท่องเที่ยวไปในนรกสิ้น
    กาลนาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี.
    ด้วยเศษกรรมที่เหลือนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับ
    การกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี.




    พระพุทธเจ้าผู้ทรงครอบงำสิ่งทั้งปวง มีสาวกชื่อว่านันทะ เราเป็นพราหมณ์เรียนจบแล้ว เป็นผู้อันมหาชนสักการะ
    บูชา ได้สอนมนต์กะมาณพ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่.
    พระฤาษีผู้กล้า สำเร็จอภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในที่นี้
    นั้น และเราได้เห็นพระฤาษีนั้นมาแล้ว ได้กล่าวตู่ว่าท่านผู้ไม่
    ประทุษร้าย.
    แต่นั้น เราได้บอกกะศิษย์ทั้งหลายว่า ฤาษีนี้เป็นผู้บริโภค
    กาม แม้เมื่อเราบอกอยู่ มาณพทั้งหลายก็พลอยยินดีตาม.
    แต่นั้น มาณพทุกคนเที่ยวภิกขาไปทุกๆ ตระกูล ก็บอก
    กล่าวแก่มหาชนว่า ฤาษีนี้บริโภคกาม.
    เพราะวิบากของกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้จึงได้รับการ
    กล่าวตู่ด้วยกันทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี.




    เรากล่าวตู่พระสาวกชื่อว่านันทะนั้น จึงได้ท่องเที่ยวไปในนรก
    สิ้นกาลนาน.
    เราท่องเที่ยวไปในนรกตลอดกาลนานถึงหมื่นปี ได้ความ
    เป็นมนุษย์แล้ว ได้รับการกล่าวตู่มากมาย.
    เพราะกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมาณวิกาได้กล่าวตู่เรา
    ด้วยคำอันไม่เป็นจริงต่อหน้าหมู่ชน.




    เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระ
    พุทธเจ้า พระนามว่าผุสสะ ว่า พวกท่านจงเคี้ยว จงกินแต่
    ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย
    ด้วยวิบากของกรรมนั้น เราจึงได้เคี้ยวกินข้าวแดง
    ตลอดไตรมาส เพราะว่า ในคราวนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์
    แล้วจึงได้อยู่ในบ้านเวรัญชา.





    ------------อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค ๑. พุทธาปทาน


    Credit by :
    -http://84000.org/tip...924&pagebreak=0-
    -http://www.84000.org...b=32.0&i=1&p=11-



    ---------------------------------------------

    นรกใหญ่ - น้อย



    คำว่า นรก แปลว่า เหว ในภาษาบาลีมักเรียกว่า นิรยะ แปลว่า สถานที่ไม่มีความ เจริญ คือไม่มีสุข มีแต่ทุกข์ทรมาน คำว่า “นิรยะ” หรือ “นรก” ใช้ หมายถึงสถานที่ทรมานสัตว์ทำบาปดั่งกล่าวเช่นเดียวกัน นรกที่เป็นขุมใหญ่ มี ๘ ขุม คือ

    ๑. สัญชีวะ แปลว่าคืนชีวิตขึ้นเอง คือสัตว์นรกในขุมนี้ถูกตัดเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่แล้วก็กลับคืนชีวิตขึ้นมาเองอีก รับการทรมานอยู่ร่ำไป ในคัมภีร์มหายานของธิเบต แสดงว่านรกขุมนี้สำหรับบาปที่ทำฆาตกรรมตนเอง ทำฆาตกรรมผู้อื่น หมอที่ทอดทิ้งฆ่าคนไข้ของตน ผู้จัดการทรัพย์มรดกที่คดโกง และผู้ปกครองที่โหดร้ายเบียดเบียนประชาชน

    ๒. กาฬสุตตะ แปลว่าเส้นดำ คือสัตว์นรกในขุมนี้ถูกขีดเป็นเส้นดำที่ร่างกาย เหมือนอย่างตีเส้นที่ต้นซุงเพื่อจะเลื่อย แล้วถูกผ่าด้วยขวานเป็น ๘ เสี่ยง ๑๖ เสี่ยง แต่ตามคัมภีร์ธิเบตกล่าวว่าถูกเลื่อยด้วยเลื่อย และกล่าวการลงโทษอีกอย่างหนึ่ง คือลากลิ้นออกมาตอกและไถด้วยไถเหล็กแหลมเป็นจัก ๆ สำหรับบาปที่พูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกกัน และเข้าไปยุ่งเกี่ยวขัดขวางกิจการของผู้อื่น และแสดงโดยทั่วไปว่า นรกขุมนี้สำหรับบาปที่แสดงความไม่นับถือลบหลู่หมิ่นมารดา บิดา พระรัตนตรัย หรือพระศาสนา

    ๓. สังฆาฏะ แปลว่า กระทบกัน คือมีภูเขาเหล็กคราวละ ๒ ลูกจากทิศที่ตรงกันข้ามเลื่อนเขามากระทบกันเอง บดสัตว์นรกในระหว่างแหลกละเอียด จาก ๔ ทิศก็เป็นภูเขา ๔ ลูก เลื่อนเข้ามากระทบกันตลอดเวลา ในคัมภีร์มหายานของ ธิเบตกล่าวว่า ภูเขาศีรษะเป็นสัตว์ หรือเป็นเหล็กใหญ่รูปอย่างหนังสือ เลื่อนเข้ามาบดขยี้สัตว์เช่นเดียวกัน และกล่าวว่านรกขุมนี้สำหรับพวกพระ คฤหัถส์ และคนที่ไม่เชื่อในศาสนา ซึ่งลบหลู่ดูหมิ่นหรือทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์ และสำหรับพวกพระที่สะสมเงินเป็นก้อน ซึ่งพวกตนไม่ได้ประกอบการงานและแสดงการทรมานอีกอย่างหนึ่ง คือบดตำในครกเหล็ก ตีบนทั่งเหล็ก สำหรับทรมานผู้ทำโจรกรรม ผู้ที่มีสันดานร้ายกาจด้วยความโกรธริษยา โลภอยากได้ ผู้ที่ใช้เครื่องชั่งดวงวัดโกง และผู้ที่ทิ้งขยะมูลฝอยหรือสัตว์ตายลงในถนนหนทางสาธารณะ

    ๔.โรรุวะ แปลว่า ร้อง ครวญคราง คือมีเปลวไฟเข้าไปทางทวารทั้งเก้าเผาไหม้ในสรีระ จึงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ (ชาลโรรุวะ) บางพวกถูกหมอกควันต่าง ๆ (กรด) เข้าไปละลายสรีระจนละเอียดเหมือนแป้ง จึงร้องครวญครางเพราะหมอกควัน (ธูมโรรุวะ) ในคัมภีร์ธิเบตกล่าวว่า กรอกน้ำเหล็กแดงอันร้อนแรงทางปากผ่านลำคอลงไป สำหรับบาปที่กั้นปิดทางน้ำเพื่อประโยชน์ของตน แช่งด่าดินฟ้าอากาศ ทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เสียหาย

    ๕. มหาโรรุวะ แปล่า ร้อง ครวญครางมาก คือเป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อ ๔ ในคัมภีร์ธิเบตกล่าวว่าสำหรับพาหิรชนคนบาปหนา

    ๖. ตาปนะ แปลว่า ร้อน ได้แก่ถูกให้นั่งเสียบตรึงไว้ด้วยหลาวเหล็กบนแผ่นดินเหล็กแดง ลุกเป็นไฟร้อนแรง บ้างก็ถูกต้อนขึ้นไปบนภูเขาเหล็กแดงเป็นไฟลุกโพลง ลูกลมพัดตกลงมา ถูกเสียบด้วยหลาวเหล็กที่โผล่ขึ้นมาจากแผ่นดินเหล็กแดง ในคัมภีร์ธิเบตกล่าวว่า ถูกขังอยู่ในห้องเหล็กแดงเป็นไฟร้อนแรง สำหรับบาปที่ปิ้งทอดหรือเสียบสัตว์ปิ้งเป็นอาหาร

    ๗. ปตาปนะ แปลว่า ร้อนสูง มาก คือเป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อ ๖ ในคัมภีร์ธิเบตกล่าวว่า ถูกทิ่มแทงด้วยหอกสามง่ามล้มกลิ้งลงไปบนพื้นเหล็ก แดงอันร้อนแรง สำหรับบาปที่ละทิ้งพระศาสนา (เลิกนับถือ) หรือปฏิเสธความจริง

    ๘. อวีจิ แปลว่า ไม่มี ระหว่าง คือไม่เว้นว่าง บางทีเรียก มหาอวีจิ แปลว่า อเวจี ใหญ่ ภาษาไทยมักเรียกว่า อเวจี เปลวไฟนรก ในนรกขุมนี้ลุกโพลงเต็มทั่วไปหมด ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง สัตว์นรกในขุมนี้ก็แน่นขนัดเหมือนยัดทะนาน ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง แต่ก็ไม่เบียดเสียดกันอย่างวัตถุ ต่างถูกไฟไหม้อยู่ในที่เฉพาะตน ๆ และความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกในขุมนี้ ก็บังเกิดขึ้นสืบเนื่องกันไป ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง ฉะนั้นจึงเรียกว่า อวีจิ หรือ อเวจี ซึ่งมีคำแปลดั่งกล่าว ในคัมภีร์ทางธิเบตกล่าวว่า สำหรับบาปที่ถือว่าเป็นอุกฤษฏ์โทษตามลัทธิลามะ แต่ฝ่ายเถรวาทแสดงว่าสำหรับบาปที่เป็นอนันตริยกรรม

    เครื่องทรมานในนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมดั่งกล่าว มีเหล็ก เช่น พื้นแผ่นดินเหล็กและเครื่องอาวุธเหล็กต่าง ๆ มีไฟ คือเหล็กนั่นแหละลุกเป็นไฟร้อนแรง มีภูเขาเหล็กที่กลิ้งมาบด และมีหมอกควันชนิดเป็นกรดหรือด่าง

    ในขุมนรกที่ ๑ และที่ ๒ มีนาย นิรยบาล แปลว่า ผู้รักษานรก ไทยเราเรียกว่า ยมบาล เป็นผู้ทำการทรมานสัตว์นรก แต่นรกขุมที่ลึกลงไปกว่านั้น ในอรรถกถาสัง กิจจชาดกไม่ได้กล่าว ถึงนายนิรยบาล กล่าวถึงไฟ เหล็ก เช่น เครื่องอาวุธต่าง ๆ เป็นต้น บังเกิดขึ้นทรมานสัตว์นรกเอง



    นรกน้อย

    นรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุม มีนรกเล็กเป็นบริวารล้อมรอบ ๔ ด้าน ด้านละ ๔ ขุม รวม ๑๖ ขุม ในไตรภูมิพระร่วงเรียกว่า “ฝูงนรกบ่าว” รวมนรกบริวารของนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมได้ ๑๒๘ ขุม รวมนรกใหญ่อีก ๘ ขุม เป็น ๑๓๖ ขุม นรกบริวาร มีชื่อดังนี้

    ๑. เวตรณีนรก แปลว่า นรกแม่น้ำเวตรณี แปลว่า ข้ามยาก คือเป็นแม่น้ำต่างที่ร้อนเดือดพล่าน เรียกว่า เวตรณี บัวและสิ่งต่าง ๆ ในแม่น้ำนั้นเป็นอาวุธทั้งสิ้น นายนิรยบาลตกเบ็ดสัตว์นรกอีกด้วย สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบชาเบียดเบียนผู้ที่อ่อนแอกำลังกว่า

    ๒. สุนขนรก แปลว่า นรกสุนัข คือมีฝูงสุนัขขาว แดง ดำ เหลือง และฝูงแร้งกากลุ้มรุมกัดตีจิกทรมาน สำหรับบาปที่กล่าวร้ายด่าว่าสมณพราหมณ์และท่านผู้มีคุณ

    ๓. สัญโชตินรก แปลว่า นรกไฟ โพลง คือสัตว์นรกในขุมนี้มีสรีระลุกเป็นไฟโพลงแผดเผา ทั้งถูกทรมานต่าง ๆ สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้าเบียดเบียนบุรุษสตรีที่เป็นคนดีมีศีลธรรมไม่ มีความผิด

    ๔. อังคารกาสุนรก แปลว่า นรกหลุม ถ่านเพลิง คือตกลงไปไหม้ทรมานในหลุมถ่านเพลิง สำหรับบาปที่ฉ้อโกง เบียดบัง ถือเอาทรัพย์ที่เขาบริจาคเพื่อการกุศล หรือชักชวนให้เขาบริจาค อ้างว่าเพื่อการกุศล ได้ทรัพย์มาแล้วถือเอาเสียเอง แลสำหรับบาปที่เป็นหนี้ทรัพย์ผู้อื่นแล้วโกงหนี้นั้น

    ๕. โลหกุมภีนรก แปลว่า นรกหม้อ โลหะ ไทยเราเรียกว่า นรกหม้อทองแดง เป็นที่ตกลงไปไหม้ทรมาน สำหรับบาป ที่ทุบตีเบียดเบียนสมณพราหมณ์ผู้มีศีล

    ๖. คีวลุญจนรก แปลว่า นรกที่ดึงคอให้หลุด คือถูกเอาเชื่อกพันคอดึงจุ่มลงไปในน้ำร้อนในหม้อทองแดงให้คอหลุด ทรมาน สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า เบียดเบียน ทำลายหมู่เนื้อนก (นรกขุมนี้ในไตรภูมิพระร่วงเรียก" “โลหกุมภี” เหมือนกัน)

    ๗. ถุสปลาสนรก แปลว่า นรกข้าว ลีบและแกลบ คือสัตว์นรกขุมนี้ลงไปวักน้ำในแม่น้ำนรกดื่มด้วย ความกระหาย น้ำที่ดื่มไปนั้นก็กลายเป็นข้าวลีบและแกลบไฟ ไหม้ร่างกายทั้งหมดเป็นการทรมาน สำหรับบาปที่เอาข้าวลีบแกลบหรือฟางปนข้าวเปลือกลวงขายว่าข้าวดี (เอาข้าวสารไม่ดีปนข้าวดีลวงขายว่าข้าวดี ก็น่าจะอยู่ในนรกขุมนี้)

    ๘. สัตติหตสยนรก แปลว่า นรกที่แทงด้วยหอกจน ล้มลง หรือสัตว์นรกในขุมนี้ถูกแทงด้วยอาวุธต่าง ๆ จนตัวพรุนอย่างในไม้เก่า สำหรับบาปที่ประกอบกรรมมิชอบ เลี้ยงชีวิตด้วยอทินนาทานต่าง ๆ มีปล้นสะดม ขโมย ฉ้อโกง ทุจริต เบียดบัง เป็นต้น

    ๙. วิลกตนรก แปลว่า นรกแล่เนื้อ คือแล่เนื้อสัตว์นรกออกเป็นชิ้น ๆ สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

    ๑๐. ปุราณมิฬหนรก แปลว่า นรกมูตรคูถหรือนรก อาจมเก่า คือสัตว์นรกในขุมนี้กินอาจมเก่าที่เหม็นนักหนาและลุกเป็นควันหรือเป็นไฟร้อน แรง สำหรับบาปที่ประทุษร้ายเบียดเบียนมิตรสหาย หรืออาศัยกินข้าวเขาแล้วยังขู่เอาทรัพย์ของเขา หรือเจ้าหน้าที่ผู้ขูดรีด

    ๑๑. โลหิต ปุพพนรก แปลว่า นรกน้ำเลือดน้ำหนอง คือสัตว์นรกในขุมนี้อยู่ในแม่น้ำแห่งเลือดและหนอง หิวกระหาย กินน้ำเลือดน้ำหนองซึ่งร้อนเป็นไฟเข้าไปลวกไหม้ทรมาน สำหรับบาปที่ทำร้ายมารดาบิดาและท่านที่มีคุณควรกราบไหว้บูชาทั้งหลาย

    ๑๒. อยพลิสนรก แปลว่า นรกเบ็ด เหล็ก (หรือเรียกว่าโลหพลิสนรก) คือสัตว์นรกในขุมนี้ถูกเบ็ดเหล็กร้อนแดงเกี่ยวลิ้นลากออกมา ให้ล้มไปทามานบนพื้นเหล็กแดงแรงร้อน สำหรับบาปที่กดราคาของซื้อ โก่งราคาของขายเกินควร และใช้วิธีชั่งดวงวัดคดโกงด้วยโลภเจตนา

    ๑๓. อุทธังปาทนรก แปลว่า นรกที่ จับเท้ายกขึ้นเบื้องบน ทิ้งลงไปให้ลมฝังลงไปแค่สะเอว แล้วยังมีภูเขากลิ้งจากทิศทั้ง ๔ มาบดทามาน เป็นนรกสำหรับสตรีที่นอกใจสามี เป็นชู้ด้วยชายอื่น(นรกแยกเพศเฉพาะหญิง)

    ๑๔. อวังสิรนรก แปลว่า นรกที่จับศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำ ทิ้งลงไปให้ไหม้ทรมานเช่น เดียวกัน เป็นนรกสำหรับบุรุษที่เป็นชู้ด้วยภรรยาของคนอื่น (นรกแยกเพศเฉพาะชาย)

    ๑๕. โลหสิมพลีนรก แปลว่า นรกต้นงิ้วเหล็ก คือ สัตว์นรกในขุมนี้ตองปีนต้นงิ้วเหล็กมีหนามเหล็กแหลมแดงเป็นเปลวไฟร้อนแรง สำหรับบาปผิดศีลข้อ ๔ ทั้งชายและหญิง (นรกสหเพศ หรือสหนรก)

    ๑๖. ปจนนรก แปลว่า นรกหมก ไหม้ (หรือเรียกวามิจฉา ทิฏฐินรก) คือสัตว์นรกในขุมนี้ต้องถูกหมกไหม้และถูกทิ่มแทงทรมาน สำหรับบาปที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคือเห็นผิด ว่าผลทานผลศีลไม่มี ผลกรรมดีกรรมชั่วไม่มี คุณมารดาบิดาไม่มี คุณสมณพราหมณ์ไม่มี เป็นต้น

    นรก ๑๖ ขุมนี้มีในไตรภูมิพระร่วง ส่วนในเนมิราชชาดก มีเพียง ๑๕ ขุม เว้นนรกสหเพศ (ขุมที่ ๑๕) ขาดไป เพราะมีนรกแยกเพศอยู่แล้ว จึงยังมีที่สำหรับผู้ผิดศีลข้อ ๓ ไปได้อยู่ เป็นแต่ต้องแยกกันอยู่คนละแห่ง

    นรกทั้ง ๑๖ ขุมนี้ ท่านว่ายัดเยียดเสียดเต็มไปด้วย สัตว์นรก จึงเรียกว่า อุสสทนรก แปลว่า นรกยัดเยียดเบียดเสียด เป็นนรกบริวาร ซึ่งอยู่ ๔ ด้านของสัญชีวนรก ซึ่งเป็นนรกใหญ่ขุมที่ ๑ มีนายนิรยบาลเป็นผู้ทำหน้าที่ทรมานประจำอยู่ทุกขุม เป็นจำพวกนรกร้อนเช่นเดียวกัน

    ส่วนนรกบริวารของนรกใหญ่อีก ๗ ขุม ยังไม่พบแสดงไว้ นอกจากนี้ยังกล่าวว่ามีนรกอนุบริวารถัดออกไป อยู่รอบนอกของนรกบริวารทั้ง ๑๖ นั้นอีกมากมาย สัตว์นรกทั้งปวงที่ถูกทรมานอยู่ในนรกจะไม่ตาย รับการทรมานต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรม

    การนำตัวคนบาปไปสู่การพิจารณาของยมบาล (พญายม) แล้วถูกนำตัวไปสู่นรก พรรณนานรกต่างกันไป เช่น

    ในเทวทูตสูตร เล่าไว้ว่า สัตว์(คน) ผู้ประกอบด้วยทุจริตทางกาย วาจา และใจ ติเตียน ด่าว่าคนดี ประเสริฐ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือกรรมของคนมิจฉาทิฏฐิ ครั้นกายแตกสลายตายลง นายนิรยบาลจับไปแสดงแก่ยมราชขอให้ลงโทษ ยมราชซักถามว่า เคยเห็นเทวทูต ๕ คือ เด็กแรกคลอด คนแก่ คนเจ็บ คนถูกราชทัณฑ์ คนตาย บ้างหรือไม่ เมื่อผู้นั้นตอบว่าเคยเห็น ก็ซักต่อไปว่า ได้เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเรามีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา ผู้ทำกรรมชั่วก็จะต้องถูกลงราชทัณฑ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน และเรามีความตายเป็นธรรมดา เอาละ เราจะทำกรรมที่ดีงาม ทางกาย วาจา ใจ ต่อไป เมื่อผู้นั้นกล่าวว่าไม่ได้คิดมัวประมาทไปเสีย ยมราชจึงกล่าวว่า เจ้ามีความประมาท จึงไม่ทำกรรมงามทางกาย วาจา ใจ ก็จักทำเจ้าให้สาสมกับที่ประมาทไปแล้ว บาปกรรมนั้น มารดาบิดาเป็นต้น ไม่ได้ทำให้เจ้า เจ้าทำเอง ก็จักเสวยวิบากของกรรมนั้นเอง เมื่อยมราชว่าดั่งนี้แล้วก็นิ่งอยู่

    นายนิรยบาลทั้งหลายก็จะทำกรรมกรณ์ มีพันธนะ (การผูกตรึง หรือจองจำ) ๕ อย่าง ได้แก่ ตรึงดุ้นเหล็กอัน ร้อนที่มือ ๒ ข้าง ที่เท้า ๒ ข้าง และที่กลางอก เขาเสวยเวทนาเผ็ดร้อน แต่ไม่ทำกาลกิริยาจนกว่าบาปกรรมนั้นจะสิ้นไป ต่อจากนี้แสดงวิธีทรมานที่ยิ่งขึ้นไป คือ

    ๑. นายนิรยบาล ถากด้วยผึ่ง

    ๒. จับตัวให้หัวห้อยเท้าชี้ฟ้า ถากด้วยพร้า

    ๓. เอาตัวเทียมรถให้วิ่งไปวิ่งมาบนพื้นอันร้อนโชน

    ๔. ให้ขึ้นภูเขาถ่านเพลิงอันร้อนโชน

    ๕. จับตัวเอาหัวห้อยเท้าชี้ฟ้า ทิ้งลงไปในโลหกุมภี (หม้อเหล็ก) อันร้อนโชน ถูกเคี่ยวอยู่ในนั้นผุดเป็นฟอง ผุดขึ้นข้างบนบ้าง จมลงข้างล่างบ้าง รี ๆ ขวาง ๆ บ้าง แต่ก็ไม่ตาย

    ต่อจากนี้แสดง ถึงมหานิรยะ ว่า นานิรยบาล ใส่ลงไปในมหานิรยะ (นรกใหญ่) ได้แก่ อเวจีนรก ซึ่งเป็นนรกใหญ่ขุมที่ ๘ ที่กล่าวแล้ว) นรกใหญ่นั้นมีสัณฐานเป็น ๔ เหลี่ยม มี ๔ ประตู (ด้านละ ๑ ประตู) ภายในจัดเป็นส่วน ๆ มีกำแพงเหล็กล้อมครอบข้างบนด้วยเหล็ก พื้นเป็นเหล็กร้อนโชน เป็นเปลวไฟแผ่ไป ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบ เปลวไฟเกิดจากฝาทั้ง ๔ ทิศ พุ่งไปกระทบฝาด้านตรงกันข้าม สัตว์นรกเผาไหม้ดั่งนั้น ก็ไม่ตาย บางคราวเห็นประตูด้านใด ด้านหนึ่งเปิด ก็วิ่งไปเพื่อจะหนี ผิวหนัง เนื้อ เอ็นไหม้ กระดูกร้อนเป็นควัน ไปยังไม่ทันถึง ประตูปิดเสีย


    เทวทูต

    เทวทูต แปลว่า ทูตของเทวะ อะไร คือเทวะ ยกตัวอย่างว่า มัจจุ (ความตาย) ชื่อว่าเทวทูตของมัจจุ ได้แก่ทุกสิ่งที่ เตือนว่าใกล้ความตายเข้าทุกที เช่น เมื่อเส้นผมบนศีรษะหงอก ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่าใกล้ความตายแล้ว ผมหงอกจึงเป็นเทวทูตอย่างหนึ่ง ทุก ๆ สิ่งที่เป็นลักษณะแห่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย และราชทัณฑ์ ชื่อว่าเทวะทั้งนั้น และ เพราะเป็นเครื่องเตือนใจเหมือนอย่างทูตมาบอกข่าว จึงเรียกว่า เทวทูต

    อีกอย่างหนึ่ง เทวทูต แปลว่า ทูตเหมือนเทพยดา คล้ายคำว่า ทูตสวรรค์ คือ เหมือนเทวดามาบอกเตือนให้ไม่ประมาท

    อีกอย่างหนึ่ง เทวทูต แปลว่า ทูตของวิสุทธิ-เทพ หมายถึงพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เพราะได้สอนให้พิจารณาเนือง ๆ เพื่อความไม่ประมาท

    ฉะนั้น เมื่อเห็นเทวทูต ก็ย่อมจะไม่ประมาทและ เว้นทุจริตต่าง ๆ ได้ ส่วนคนที่ประพฤติทุจริตต่าง ๆ นั้น ก็เพราะไม่เห็นเทวทูตมาตักเตือนใจ จึงเป็นผู้ประมาทมัวเมาต่าง ๆ แม้จะได้พบเห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย และคนถูกลงราชทัณฑ์ แต่ก็ไม่ได้ข้อเตือนใจ เทวทูตก็ไม่ปรากฏ เรียกว่าไม่เห็นเทวทูตนั่นเอง

    ฉะนั้น คนที่ทำบาปทุจริตทั้งปวงเรียกว่าไม่เห็นเทวทูต ทั้งนั้น ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า เทวทูต ไม่อาจจะเห็นได้ด้วยตาธรรมดา จะเห็นได้ด้วยตาปัญญา เช่นเดียวกับเทวดา (ตามที่เชื่อถือกัน) ตาธรรมดามองไม่เห็น น่าจะเรียกว่าเทวทูต เพราะมีแยบยลดั่งกล่าวนี้ด้วย

    ครั้นยมราชซักแล้ว ปรากฏว่าผู้นั้นไม่เห็นเทวทูต คือได้ทำบาปทุจริตแล้ว ก็นิ่งอยู่หาได้สิ่งให้ลงโทษอย่างไรไม่ การที่ซักถามนั้น ก็เป็นเงื่อนให้คิดว่า เตือนให้ระลึกถึงบุญกุศลคือความดีที่ได้ทำมาแล้วด้วยความไม่ประมาท เพราะได้เห็นเทวทูตในบางครั้งคราว ถ้าไม่ได้ทำกุศลไว้บ้างเลย ก็เป็นการจนใจช่วยไม่ได้

    ดูยมราชก็จะช่วยอยู่ เท่ากับเป็นตัวสตินั่นเอง แต่เมื่อช่วยไม่ได้ ไม่ได้สติที่จะระลึกคติธรรมดาและบุญกุศลบ้างเลยแล้ว ก็จำต้องนิ่งอยู่ เหมือนอย่างวางอุเบกขาปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ยมราชจึงไม่ต้องสั่งลงโทษสัตว์ผู้ทำบาปต้องเป็นตาม กรรมของตนเอง ตามหลักกรรมในพระพุทธศาสนา

    เทวทูตสูตร นี้จึงแฝงคติธรรมที่สุขุมมาก แต่แสดงเป็นปุคลาธิษฐาน คือตั้งเรื่องขึ้นเป็นบุคคลมีตัวตนและแสดงนรกตามเค้าคติความคิดเรื่องนรกใน ชาดกดั่งกล่าวนั่นแหละ แต่ปรับปรุงรวบรัดเข้า

    มหานิรยะที่กล่าวในเทวทูตสูตรก็คือ อวีจินีรยะ หรือ อเวจีนรก อเวจีใน ชาดกสำหรับบาปหนัก แต่มหานิรยะในพระสูตรเป็นนรกกลางสำหรับบาปทั่วไป เพราะมิได้ระบุประเภท ชนิดของบาปไว้ ทั้งในพระสูตรนี้ยังเอื้อถึงกฎหมายบ้านเมือง แสดงราชทัณฑ์เป็นเทวทูตอย่างหนึ่ง เพราะแม้จะไม่คำนึงถึงคติธรรมดา นึกถึงกฎบ้านเมือง เกรงราชทัณฑ์ ก็ยังช่วยให้ละเว้นทุจริตต่าง ๆ ตามกฎหมายได้ เป็นเค้าเงื่อนให้เห็นความสัมพันธ์แห่งชาติและศาสนาเหมาะดีอยู่

    และในเทวทูตสูตรนั้นไม่ได้กล่าวว่านรกอยู่ที่ไหน ต่างจากคติที่กล่าวว่านรกอยู่ใต้แผ่นดินนี้ลงไป ซึ่งพระอาจารย์นำมาอธิบายนรกที่กล่าวในชาดก พิจารณาดูจะเห็นได้ว่า คติความคิดว่านรกอยู่ใต้พื้นแผ่นดิน น่าจะเป็นของเก่ากว่า คือ เก่าแก่มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เช่นเดียวกับคติเรื่อง กัป กัลป์ และ ๔ ทวีป แล้วจึงเปลี่ยนแปลงมา เป็นคติความคิดที่ไม่แสดงว่าอยู่ที่ไหน ทั้งในพระสูตรนั้นกล่าวว่า สัตว์นรกไม่ตายจนกว่าจะสิ้นกรรม ต่างจากที่พระอาจารย์อธิบายในชาดกว่าตายแต่เกิดอีกทัน


    นรกรอบนอก

    บางคราวสัตว์นรกหนีออกไปได้ทางประตูใดประตู หนึ่ง แต่ก็ไปตกนรกใหญ่ ซึ่งมีอยู่หลายนรกด้วยกัน ตั้งอยู่ถัดกันออกไปโดยลำดับ คือ

    ๑. คูถนิรยะ แปลว่า นรกคูถ มีสัตว์ปากแหลมเหมือน อย่างเข้มพากันบ่อนผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อกระดูก เจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก แต่ก็ไม่ตาย

    ๒. กุกกุลนิรยะ แปลว่า นรกเถ้ารึง อยู่ถัดจากนรกคูถไป เต็มไปด้วยถ่านเพลิง มีเปลวแรงร้อน สุมเผาให้เร่าร้อน แต่ก็ไม่ตาย

    ๓. สิมพลีวนนิรยะ แปล ว่า นรกป่าไม้งิ้ว อยู่ถัดจากนรกเถ้ารึงไป มีป่างิ้วใหญ่ แต่ละต้นสูงตั้งโยชน์ มีหนามยาว ๑๖ นิ้ว ร้อนโชน ถูกให้ปีนขึ้นปีนลงต้นงิ้ว ถูกหนามทิ่มแทงเจ็บปวดร้อนแรง แต่ก็ไม่ตาย

    ๔. อสิปัตตวนนิรยะ แปลว่า นรกป่าไม้มีใบคมดุจดาบ เมื่อถูกลมพัดก็บาดมือ เท้า ใบหูและจมูก ให้เกิดทุกขเวทนาเผ็ดร้อน แต่ก็ไม่ตาย

    ๕. ขาโรทกน ทีนิรยะ แปลว่า นรกแม่น้ำด่างหรือน้ำกรด อยู่ ถัดไปจากนรกป่าไม้มีใบคมดุจดาบ เป็นที่ตกลงลอยไปตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง รี ๆ ขวาง ๆ เสวยทุกขเวทนาเผ็ดร้อน แต่ก็ไม่ตาย นายนิรยบาลเอาเบ็ดเกี่ยวขึ้นมาบนบก ถาม ว่าอยากอะไร เขาบอกว่าหิว นายนิรยบาลเอาขอเหล็กแดงงัดปาก ยัดก้อนเหล็กแดงเข้าไป ไหม้ริมฝีปาก ไหม้ปาก คอ อก พาเอา ไส้ใหญ่ไส้น้อยออกมาทางเบื้องล่าง แต่ถ้าบอกว่ากระหาย นายนิรยบาลงัดปากเอาทองแดงละลายคว้างกรอกเข้าไปในปาก เผาอวัยวะที่ที่กล่าว แล้วนำออกมาเบื้องล่าง เสวยทุกขเวทนาเผ็ดร้อน แต่ก็ไม่ตาย (นรกแม่น้ำด่างนี้ เรียกว่า นรกแม่น้ำเวตรณี ชื่อเดียวกับนรก บริวารในชาดกที่กล่าวแล้ว) นายนิรยบาล เอาตัวใส่เข้าไปในมหานิรยะอีก ก็จะเสวยทุกขเวทนาแรงกล้าถึงเพียงนั้นก็ไม่ตายจนกว่าจะสิ้นกรรม

    -http://poobpab.com/c...ipoom/narok.htm-

    ...............................................................................................

    พยสนสูตร
    พยสนสูตร
    [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย กล่าวโทษพระอริยะ
    ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
    ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส
    ความฉิบหาย ๑๐ อย่างเป็นไฉน
    คือ ภิกษุนั้นไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ ๑
    เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๑
    สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๑
    เป็นผู้เข้าใจว่าตนได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย ๑
    เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ๑
    ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑
    ย่อมถูกโรคอย่างหนัก ๑
    ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ๑
    เป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ ๑
    เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
    กล่าวโทษพระอริยะ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย
    ๑๐ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ฯ

    โทษของการกล่าวโทษพระอริยะ ๑๐ ประการ ได้แก่
    ๑.ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
    ๒.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว
    ๓.สัทธรรมย่อมไม่ผ่องแผ้ว
    ๔.เป็นผู้เข้าใจว่าตนได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย
    ๕.ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์
    ๖.ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ๗.ย่อมถูกโรคอย่างหนัก
    ๘.ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน
    ๙.เป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ(ตายอย่างขาดสติ)
    ๑๐.เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก
    จาก"พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ ข้อ ๘๘
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บทสวดโพชฌงคปริตร การสวดมนต์ขจัดโรคร้าย
    -http://horoscope.sanook.com/88367/-

    การสวดมนต์ขจัดโรคร้ายทำอย่างไร โดย ธ.ธรรมรักษ์

    ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่า เมื่อครั้งที่ตัวเราเองหรือคนใกล้ชิดเกิดอาการเจ็บป่วยมากๆ มักจะมีการสวดมนต์และอธิษฐานจิตการสวดมนต์ขจัดโรคร้ายทำอย่างไรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะเชื่อว่าการสวดมนต์และการอธิษฐานนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดกำลังใจ และบางรายก็มีความเชื่อมั่นว่าจะทำให้หายป่วยได้ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ก็ไม่ผิดแต่เราต้องทำความเข้าใจข้อเท็จจริงให้ถ่องแท้

    ความเจ็บป่วยนั้นถือว่าเป็นเครื่องที่กระตุ้นให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ถ้าป่วยเป็นก็เห็นธรรมได้ เราต้องพิจารณาตามความจริงข้อนี้อยู่เสมอ จะได้ไม่ต้องเชื่ออะไรอย่างงมงายไร้เหตุผล

    บทสวดมนต์ แท้ที่จริงแล้วก็คือบทที่ใช้สวดเพื่อระลึกถึง เช่น บทสวดบูชาพระรัตนตรัย ใช้สวดเพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ การสวดมนต์เป็นการทำจิตให้แน่วแน่แล้วจึงได้เจริญภาวนา

    การสวดมนต์หรือคาถาใดๆ นั้น ยังผลประโยชน์คือ ช่วยทำจิตใจให้เบิกบาน ที่ว่าป้องกันภัย หมายความว่า “ผู้ที่มีศีลดีแล้ว” แล้วเมื่อเจอปัญหาต่างๆ เวลาได้สวดมนต์หรือพระคาถาเพื่อให้จิตสงบ แล้วเจริญภาวนาจะทำให้ผู้ที่สวดนั้นได้รับความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหตุนี้จึงเป็นที่มาของการสวดมนต์หรือพระคาถาป้องกันภัย ผู้ที่ทุศีลหรือไม่รักษาศีลสวดไปก็อาจจะไม่เป็นผล

    การสวดมนต์คาถานั้น ที่เราได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่เด็กจะนิยมสวดเป็น ภาษาบาลี ซึ่งหากแปลความหมายออกมาก็จะพบว่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นคำสวดบูชาเพื่อรำลึกถึงพระคุณของ พระรัตนตรัย อันได้แก่พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แทบทั้งสิ้น

    ในพระพุทธศาสนา เน้นเรื่องการใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผล คำว่า มนต์ หมายถึง “หลักธรรม บทสอนใจ” มากกว่า ถ้อยคำที่ขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าจะตีความไปถึงถ้อยคำที่ขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ให้ได้จริง ๆ ก็จะต้องอธิบายว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ได้ “เมื่อนำไปสอนใจ นำไปเป็นข้อปฏิบัติ” ให้เกิดผลที่ปรารถนาได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนั้นการทำจิตให้สงบในบทสวดก็มีคุณค่าเป็นอย่างมาก

    การสวดมนต์จึงกลายเป็นอุบาย กลวิธี ที่จะทำให้จิตมีสมาธิในระดับหนึ่ง จดจ่ออยู่ที่ใดที่หนึ่งที่เดียวเมื่อใจสงบอาการของกายก็จะสงบระงับตามไปด้วยเข้าทำนอง “กายป่วยแต่ใจไม่ป่วย” ซึ่งบทสวดมนต์ทางพระพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และทรงพลานุภาพเกี่ยวกับเรื่องความเจ็บป่วยก็คือ บทสวดโพชฌงคปริตร



    บทสวดโพชฌงคปริตรคืออะไร ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร

    บทสวดนี้เป็นบทสวดสำคัญที่พระสงฆ์นิยมนำมาสวดในงานทำบุญคล้ายวันเกิด หรือสวดเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้มีพลังจิตในการสร้างสติขึ้นซึ่งบทนี้จะเกิดอานุภาพมากหากประกอบกับการบำเพ็ญจิตเจริญภาวนาควบคู่ไปด้วย

    การที่เชื่อกันว่าบทสวดมนต์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะ มีเรื่องในพระไตรปิฎกเล่าว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธอยู่ได้รับความทุกข์ทรมานมาก พระองค์จึงทรงแสดงบทสวดโพชฌงค์แก่พระมหากัสสปะให้ท่านได้ฟังและน้อมจิตปฏิบัติตาม

    หลังจากฟังบทสวดและท่านพระมหากัสสปะได้พิจารณาธรรมตามก็พบว่า ท่านสามารถหายจากโรคได้ และอีกครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธอยู่ในลักษณะเดียวกัน หลังจากนั้นก็พบว่า พระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธได้

    และเรื่องราวที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่าพระพุทธเจ้าก็หายประชวร พุทธศาสนิกชนจึงพากันเชื่อว่า โพชฌงค์นั้น สวดแล้วช่วยให้หายโรค

    แต่ในความเป็นจริง พระไตรปิฎกกล่าวว่า โพชฌงคปริตรนั้นเป็น หลักธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นธรรมเกี่ยวกับปัญญาเป็นธรรมชั้นสูง เป็นคำสอนในการทำใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส ซึ่งสามารถช่วยรักษาใจ เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับร่างกาย เนื่องจากกายกับใจเป็นสิ่งที่อาศัยกันและกัน หากใจดี ร่างกายย่อมดีตาม

    หลักของโพชฌงค์เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปซึ่งไม่จำกัดเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น เพราะโพชฌงค์แปลว่า “องค์แห่งโพธิ” หรือ “องค์แห่งโพธิญาณ” เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา ดังนั้นถ้าเราสวดมนต์บทนี้ด้วยความเข้าใจในสาระก็จะมองเห็นความเจ็บป่วยว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรของชีวิต เป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็จะเป็นการกระตุ้นเตือนให้ลุกขึ้นมาปฏิบัติธรรม คือมองว่า เวลาที่ป่วยอยู่นี้แหละคือเวลาที่ดีที่จะได้พักผ่อนจิต ได้ปฏิบัติธรรม

    บทสวดโพชฌงคปริตร

    โพชฌังโคสะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะตะถาปะเร สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเต เต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา

    สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯเอกัสะมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิสะวา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ เต จะ ตัง อะภินันทิตะวาโรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตะวานะ สาทะรัง สัมโมทิตะวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ

    ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ

    คำแปล

    โพชฌงค์ 7 ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ 7 ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน

    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำบาก จึงทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม โรคก็หายได้ในบัดดล

    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน

    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ องค์นั้น หายแล้วไม่กลับเป็นอีก ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ…

    ผู้ที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมโพชฌงค์ก็จะเข้าใจความธรรมดาของชีวิต ว่าเป็นของไม่เที่ยง มีการแตกดับไปเป็นของธรรมดา เมื่อเข้าใจก็จะเห็นความแตกดับเป็นเรื่องที่ปกติ สิ่งใดเกิดมาสิ่งนั้นย่อมดับไป ก็จะทำให้มุ่งรักษาใจไม่ให้ป่วยนี่แหละคือความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงของโพชฌงคปริตร

    การสวดขอขมากรรม

    การสวดมนต์เพื่อการขอขมากรรมนั้น ถือเป็นหนึ่งบทสวดหนึ่งที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความสำนึกผิด ยอมรับผิดและต้องการขอขมาลาโทษจากเจ้ากรรมนายเวร ให้เขาอดโทษ ผ่อนปรนโทษ หรืออโหสิกรรมให้เพราะเราได้ไปล่วงเกินเขามาก่อน เมื่อได้ทำบุญใดๆ แล้วก็มักจะมีการสวดมนต์บทนี้เป็นการกล่าวขอขมาในการกระทำ

    การสวดขอขมากรรมมีผลในทางจิตใจมาก ทำให้รู้สึกโปร่งเบาทั้งกายและจิต เหมือนได้ปลดแอกความผิด เพราะได้ขอโทษแล้ว แต่เรื่องที่เจ้ากรรมนายเวรจะให้อภัยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลของแต่ละบุคคลได้ทำส่งให้เขามากน้อยแค่ไหน หากทำมากส่งให้มากเจ้ากรรมนายเวรย่อมอโหสิกรรมให้ได้เร็วยิ่งขึ้น

    บทสวดขอขมากรรม

    “หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย

    หาก ข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมาขออนุญาตมีคู่มีครอบครัว ได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร

    ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วย อายุวรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆโรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่าง ทั้งทางโลก ทางธรรม ตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพาน เทอญ

    หากมีผู้ใดเคย สร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาตและคำสาปแช่งในทุกชาติทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม เทอญ…”

    จากหนังสือเรื่อง เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ 5 บุญฤทธิ์ พิชิตโรคร้าย (โรคเวรโรคกรรม) โดย ฤทธิญาโณ และจิตตวชิระ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีแก้ปัญหา รายจ่าย > รายรับ ของมนุษย์เงินเดือน

    -http://money.sanook.com/315627/-
    -http://www.moneyguru.co.th/-

    บริหารรายได้ ให้มากกว่ารายจ่าย

    ทุกวันนี้ แม้ว่าการทำธุรกิจส่วนตัวจะบูมอย่างมากในบ้านเรานะครับ แต่การเป็นพนักงานออฟฟิศ หรือผู้ที่มีรายได้ประจำนั้นก็ยังเป็นเรื่องปกติครับ จะเห็นได้ว่ามองไปทางไหนก็จะมีแต่มนุษย์ออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือนเต็มไปหมด และเชื่อไหมครับว่า ในบรรดามนุษย์เงินเดือนเหล่านี้ ต้องมีคนที่มี รายจ่าย มากกว่ารายรับอยู่เยอะแน่ๆ

    ดังนั้น การบริหารเงินที่จะมานำเสนอในครั้งนี้ ก็คือการทำอย่างไรให้รายรับมากกว่ารายจ่าย สำหรับมนุษย์เงินเดือนนั่นเอง ซึ่งวิธีข้างล่างนี้ รับรองว่าทำง่ายเห็นผลชัวร์ครับ

    ลดรายจ่าย

    การลดรายจ่ายนี้ หลายคนอาจจะทำได้ง่ายหน่อย เพราะเพียงแค่ตัดบางอย่างออกไปเท่านั้น โดยการที่เราต้องรู้ว่าอะไรเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับเราบ้าง ก็ตัดส่วนนั้นออกไปครับ เช่น กาแฟ ขนม เป็นต้น ซึ่งมีวิธีต่างๆ ดังนี้…

    1. ลดอาหารบางอย่าง

    เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ขนมหวาน เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้คุณสิ้นเปลืองอย่างมากครับ เช่น กาแฟแก้วละ 50 บาท หากคุณทานไป 1 เดือน คุณจะเสียค่าใช้จ่ายไปกับกาแฟ 1,500 บาท ถ้าคุณดื่มไป 1 ปี ก็เท่ากับคุณเสียเงินไปกับกาแฟตั้ง 18,000 บาท เลยครับ และหากว่าคุณไม่สามารถงดกาแฟได้ แนะนำให้คุณชงกาแฟที่มีอยู่ในออฟฟิศดื่มเองดีกว่าครับ เพราะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

    2. ลดการซื้อของฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น

    เช่น สินค้าแบรนด์เนมราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า น้ำหอม นาฬิกา หรือโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ เป็นต้น เพราะหากว่าคุณยังมีรายจ่ายมากกว่ารายรับอยู่ หรือมีรายรับมากกว่ารายจ่ายก็จริง แต่ไม่มีเงินออมเลย แถมยังไปซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนี้ รับรองว่าคุณจะไม่มีเงินเก็บเลยครับ และยังต้องเสี่ยงเป็นหนี้บัตรเครดิตอีกด้วย แนะนำว่าถ้าคุณมีรายรับมากกว่ารายจ่าย จนพอมีเงินออมในทุกๆ เดือนเมื่อไหร่ ตอนนั้นค่อยซื้อก็ไม่เสียหายอะไรครับ

    3. ลดการทานข้าวนอกบ้าน หรือลดทานอาหารฟาสต์ฟู้ด

    เพราะอาหารนอกบ้านหรืออาหารฟาสต์ฟู้ดพวกนี้มีราคาแพง อีกทั้งอาหารฟาสต์ฟู้ดยังทำให้ร่างกายได้รับแต่แป้ง ไขมัน น้ำตาล โซเดียม และพลังงานเกินความจำเป็นของร่างกาย และทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาอีกด้วยครับ ทางที่ดีแนะนำว่าคุณควรทำอาหารทานเอง เพราะจะประหยัด และมีประโยชน์มากกว่าครับ

    การเพิ่มรายได้

    การเพิ่มรายได้อาจเป็นเรื่องยากสักหน่อยนะครับ แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าความสามารถของคุณ ลองคิดดูว่า นอกจากงานประจำที่ทำแล้ว ยังมีงานอื่นๆ ที่คุณพอทำได้เป็นงานเสริมหรือไม่ เช่น ทำธุรกิจเสริมส่วนตัว สอนพิเศษ ขายของออนไลน์ เขียนบทความ ช่างภาพ เป็นต้น หากใครยังคิดไม่ออกว่าจะเพิ่มรายได้ด้วยวิธีไหนดี ลองมาดูวิธีข้างล่างนี้ไว้เป็นตัวเลือกก็ไม่เลวนะครับ

    1. อย่าทิ้งขยะจำพวก แก้ว กระดาษ หรือหนังสือพิมพ์

    เพราะเจ้าขยะที่คุณไม่ใช้แล้วเหล่านี้ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้จำนวนมากเลยครับ โดยหากคุณซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดมาดื่ม เมื่อดื่มหมดแล้ว ก็อย่าทิ้งขวด ให้ทำการเก็บรวบรวมใส่ถุงไว้ เมื่อได้ในปริมาณมากพอสมควรแล้ว ก็ให้นำไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่าครับ

    2. สมัครทำธุรกิจขายตรง

    ไม่ว่าจะเป็น นูสกิน ยูนิซิตี้ แอมเวย์ กิฟฟารีน วิธีนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนบุคคล แต่วิธีนี้ก็สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับหลายคนมาแล้วอย่างมากครับ

    3. การลงทุนในตลาดทุน

    การเล่นหุ้น การลงทุนกับทองคำ การลงทุนในพันธบัตร หรือหุ้นกู้ต่างๆ ซึ่งการลงทุนด้วยวิธีนี้ มีปัจจัยหลายด้านที่เข้ามาเกี่ยวข้องและมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วครับ ดังนั้น การลงทุนด้วยวิธีนี้จึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและข้อมูลหลายด้านในการประกอบการตัดสินใจครับ อีกทั้งผู้ลงทุนจะต้องศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดก่อนการตัดสินใจทุกครั้งด้วยครับ

    เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับการบริหารเงินให้รายรับมากกว่ารายจ่ายของมนุษย์ออฟฟิศ หากใครที่กำลังมีปัญหาดังกล่าวอยู่ เมื่อทำตามวิธีข้างต้นก็จะได้มีเงินเก็บ เงินออมกันสักทีนะครับ และหากทำได้แล้ว ก็อย่าลืมบอกเพื่อนในที่ทำงานด้วยนะครับ จะได้มีเงินเก็บกันถ้วนหน้าครับ

    ติดตามสาระความรู้ และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยว การเงิน และประกันภัยรถยนต์ได้ที่ MoneyGuru.co.th

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก: krungsri, uptoadvance, nationejobs
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อุทาหรณ์ ! สำเนาบัตรประชาชนหลุด ตกเป็นหนี้บัตรเครดิตนับแสนบาท

    -http://money.kapook.com/view130334.html-

    อุทาหรณ์เตือนใจ ใครหลาย ๆ คนระวังสำเนาบัตรประชาชนที่ใช้สมัครงานหรือติดต่อธุรกรรมต่าง ๆ หลุด อาจตกเป็นหนี้บัตรเครดิตนับแสนแบบไม่รู้ตัว ชาวเน็ตแนะวิธีป้องกันมิจฉาชีพนำเอกสารไปใช้ประโยชน์ต่อ

    วันที่ 28 กันยายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในตอนนี้ชาวโซเชียลกำลังให้ความสนใจกระทู้ "เตือนภัย เป็นหนี้บัตรเครดิตกว่า 150,000+ โดยไม่รู้ตัว" ของ คุณ Ordinary diary สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้โพสต์เล่าเรื่องราวจากประสบการณ์จริง หลังตกเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตของธนาคาร 2 แห่ง ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่เคยสมัคร

    โดยระบุว่า เมื่อประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2558 เจ้าของกระทู้ได้รับจดหมายทวงหนี้บัตรเครดิตจากธนาคาร A ที่ถูกส่งไปยังบ้านตามที่ระบุไว้ในบัตรประชาชน ทั้งนี้ ใบแจ้งหนี้ระบุว่า ตนเป็นหนี้จำนวน 76,000 กว่าบาท ซึ่งตอนที่น้องสาวถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ดูก็คิดว่า คงถูกมิจฉาชีพส่งข้อมูลปลอมมาหลอก แต่เมื่อลองโทรไปสอบถามกับธนาคาร A จึงทราบว่า เป็นหนี้บัตรเครดิตจริง ๆ ทั้งที่ไม่เคยสมัคร

    ต่อมา ตนได้เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของธนาคาร A เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทำให้ทราบว่า บัตรเครดิตถูกเปิดใช้ที่ธนาคาร A สาขารังสิต ช่วงเดือนมีนาคม 2558 มีวงเงิน 73,000 บาท แต่ใช้เกินวงเดือน ยอดรวมทั้งหมดจึงเป็น 76,000 กว่าบาท และเมื่อเดินทางไปยังธนาคาร A สาขารังสิต เพื่อแจ้งความ เจ้าหน้าที่ของธนาคาร ชื่อว่า น.ส.Y ก็มาชี้แจงให้ทราบว่า ได้มีฝ่ายบุคคลของ บจก.XXX เอาหลักฐานของพนักงาน (สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเรา) มายื่นกับธนาคารเพื่อสมัครบัตรเครดิตให้พนักงาน พร้อมทั้งนำสลิปเงินเดือน สเตทเม้นท์และใบเสียภาษีมาประกอบการสมัคร ประกอบกับธนาคารได้โทรไปสอบถามตามเบอร์ของ บจก.XXX ก็ยืนยันว่า พนักงานที่สมัครใช้บัตรเครดิตมีตัวตนจริง จึงอนุมัติบัตรเครดิต

    ตนจึงพยายามขอข้อมูลคนที่มาเปิดบัตรเครดิต ปรากฏว่า น.ส.Y ปฏิเสธ เนื่องจากเป็นข้อมูลของลูกค้า แต่ น.ส.Y จะส่งเรื่องไปให้สำนักงานใหญ่ดำเนินการต่อให้ หลังจากนั้นตนก็ได้เช็กกับเครดิตบูโร พบว่า มีคนร้ายแอบใช้บัตรเครดิตของธนาคาร B อีก 2 ใบ วงเงินใบละ 40,000 บาท หลังทราบเรื่องก็รีบเดินทางไปธนาคาร เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ก่อนจะไปแจ้งความและนำเอกสารไปติดต่อธนาคารซึ่งเป็นสถานที่เปิดใช้บัตรเครดิตดังกล่าวทันที เรียกว่า กว่าจะเดินเรื่องจนหลุดพ้นหนี้บัตรเครดิตที่ตนเองไม่ได้ก่อ ก็ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนทีเดียว

    นอกจากนี้ เจ้าของกระทู้ยังได้โพสต์เล่าการสอบถามเรื่องการทำบัตรเครดิตกับพนักงานของธนาคาร เพิ่มเติมด้วยว่า

    1. เราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้คนร้ายไปเปิดบัตรมั่วซั่วอีก?

    พนักงานของธนาคาร ตอบว่า ป้องกันไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือ รอว่าจะมีเซอร์ไพรส์จากธนาคารไหน แล้วค่อยตามไปแจ้งเรื่อง

    2. เราสามารถฝากเอกสารให้เพื่อนหรือใครมาสมัครบัตรเครดิตแทนเราได้ไหม?

    พนักงานของธนาคาร ตอบว่า ได้

    3. เจ้าของหลักฐานไม่ต้องเซ็นชื่อต่อหน้าพนักงานเหรอ?

    พนักงานของธนาคาร ตอบว่า แล้วแต่กรณีว่า ลูกค้ากับพนักงานมีข้อตกลงกันว่าอย่างไร

    4. ถ้าเราทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ล่ะ จะช่วยได้ไหม?

    พนักงานของธนาคาร ตอบว่า ไม่ได้ เพราะข้อมูลยังเป็นข้อมูลของเรา


    อย่างไรก็ดี คุณ Ordinary diary ยังตั้งข้อสังเกตทิ้งท้ายว่า สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่หลุดไปถึงมือคนร้ายนั้น อาจหลุดไปกับการสมัครงานเมื่อช่วงต้นปี 2557 เนื่องจากแฟนของคุณ Ordinary diary ที่ยื่นใบสมัครที่เดียวกัน ก็ถูกนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไปเปิดบัตรเครดิตในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน

    ภายหลังที่เรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปก็มีบรรดาชาวเน็ตเข้ามาสอบถามว่า ธนาคารต้นเรื่องทั้ง 2 แห่งคือที่ไหนกัน เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงไม่ตรวจเช็กข้อมูลของลูกค้าอย่างละเอียด ก่อนอนุมัติบัตรเครดิต หรือมัวแต่คิดเพิ่มยอดจนไม่สนใจอะไร ขณะที่บางส่วนก็เข้ามาต่อว่า บริษัทรับสมัครงานที่ทางเจ้าของกระทู้คาดว่าอาจเป็นต้นตอที่ทำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหลุดไปอยู่ในมือมิจฉาชีพว่า บริษัทดังกล่าวไม่มีจรรยาบรรณในการจัดเก็บเอกสารส่วนตัวหรือทำลายเอกสารสำคัญของผู้สมัครงานเลย และบางส่วนก็เข้ามาแนะนำเทคนิคการเซ็นรับรองสําเนาถูกต้องให้ปลอดภัย อาทิ ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนข้อความรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว เจ้าของเอกสารควรเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เป็นต้น


    เทคนิคการเซ็นรับรองสําเนาถูกต้องให้ปลอดภัย

    ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก คุณ Ordinary diary สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม



    เทคนิคการเซ็นรับรองสําเนาถูกต้องให้ปลอดภัย
    -http://hilight.kapook.com/view/86082-

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องยื่นเอกสารสำคัญต่าง ๆ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาทะเบียนบ้าน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สิ่งสำคัญที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง คือเรื่องของการเซ็นชื่อรับรองในสำเนาเอกสารเหล่านั้น เนื่องจากอาจมีบางท่านเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารอย่างไม่รัดกุม จนส่งผลให้ได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง หรืออาจเป็นเพราะบางท่านไม่ทราบว่าควรเซ็นสำเนาอย่างไรถึงจะถูกวิธี ดังนั้นวันนี้เราจึงนำข้อมูลมาฝากกันค่ะ

    วิธีเซ็นชื่อรับรองสําเนาถูกต้อง

    1. การเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง จะใช้วิธีขีดเส้นคร่อมบนตัวสำเนาในส่วนที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของเอกสารหรือไม่ก็ได้ เนื่องจากการขีดคร่อม และเขียนข้อความกำกับบนสำเนาเอกสารนั้น ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดไว้ แต่อาจเป็นวิธีการหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้มิจฉาชีพนำสำเนาเอกสารนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ แต่บางครั้งการขีดคร่อมเอกสารเพื่อนำไปใช้ประกอบเป็นหลักฐาน หากทำไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้สำเนาเอกสารฉบับนั้น ไม่สามารถใช้บังคับได้ตามกฎหมาย หรืออาจกลายเป็นลักษณะของการขีดฆ่าเอกสารทิ้งนั่นเอง

    2. ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนข้อความรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว เจ้าของเอกสารควรเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เช่น "ใช้เฉพาะการสมัครงานเท่านั้น" หรือ "ใช้สำหรับติดต่อเรื่อง...เท่านั้น"

    3. นอกจากเขียนรายละเอียดกำกับการใช้แล้ว เจ้าของเอกสารควรระบุ วัน เดือน ปี ณ วันที่ยื่นเรื่อง ลงบนสำเนาดังกล่าว ซึ่งจะช่วยกำหนดอายุการใช้สำเนาเหล่านั้นได้

    4. ต้องเขียนข้อความทั้งหมดทับลงบนสำเนาส่วนที่เป็นบัตรประชาชนหรือสำเนาทะเบียนบ้านเพื่อให้ยากต่อการปลอมแปลงเอกสาร แต่อย่าทับบริเวณสาระสำคัญของสำเนาเอกสาร เช่น ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด

    สำหรับวิธีการเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเจ้าของเอกสาร โดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะถูกกลุ่มมิจฉาชีพหรือผู้ไม่ประสงค์ดีนำสำเนาเอกสารสำคัญต่าง ๆ ที่มีชื่อของเราไปใช้ได้อย่างง่ายดาย

    นอกจากนี้ การเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารต่อหน้าเจ้าหน้าที่หรือพนักงานที่เราติดต่อเพื่อทำธุรกรรม ย่อมปลอดภัยกว่าการเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารแล้วส่งทางไปรษณีย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เอกสารดังกล่าวอาจตกหล่นสูญหาย หรืออาจถูกมิจฉาชีพนำไปดัดแปลงแก้ไขจนสร้างความเดือดร้อนให้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ถ้าจำเป็นจะต้องยื่นเอกสารสำคัญเพื่อติดต่อธุรกรรมต่าง ๆ ก็อย่าลืมนำวิธีดังกล่าวไปใช้กันนะคะ



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค , เว็บไซต์กองบิน 4
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    8 สัญลักษณ์ “ฮวงจุ้ย” กับเคล็ดลับเลือกและวางอย่างไรให้ชีวิตไม่อับจน
    -http://home.sanook.com/6977/-

    [​IMG]

    สำหรับผู้ที่มีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย คุณแน่ใจไหมว่าคุณเลือกใช้สัญลักษณ์ฮวงจุ้ยได้อย่างถูกต้อง และวางสิ่งเหล่านั้นถูกตำแหน่งในบ้านแล้ว เพราะหากคุณวางผิดที่ผิดทาง มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคุณและสมาชิกในบ้าน ดังนั้น Sanook! Home จึงนำเคล็ดลับการเลือกใช้สัญลักษณ์ฮวงจุ้ยที่ถูกต้องพร้อมการวางในตำแหน่งที่จะก่อให้เกิดโชคลาภกับสมาชิกในครอบครัวมาฝากทุกคนค่ะ

    1.มังกร เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของฮวงจุ้ย ถือเป็นสัตว์มงคลที่ควรวางไว้รอบๆ บ้าน เพราะมังกรเป็นสัญลักษณ์ของการช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย ทั้งยังช่วยเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิต

    ตำแหน่งที่เหมาะสม : หากตั้งมังกรไว้ในห้องทำงานหรือบนโต๊ะทำงานถือว่าเป็นสถานที่ๆ เหมาะสมเพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี และควรตั้งมังกรไว้ในทิศตะวันออก แต่ควรหลีกเลี่ยงการตั้งมังกรไว้ในห้องนอนเพราะพลังของมังกรอาจทำให้ชีวิตวุ่นวาย สำหรับการเลือกมังกรนั้นอาจเลือกมังกรที่ทำจากเซรามิคซึ่งถือว่าเป็นมังกรที่มีพลังมาก ถ้าเป็นมังกรไม้แกะสลักจะยิ่งมีพลังเหนือกว่า แต่ควรหลีกเลี่ยงมังกรที่ทำจากโลหะ

    2.ไม้ไผ่ เติบโตในดินดังนั้นจึงสะท้อนถึงการบำรุง หล่อเลี้ยง ดูแล ปกป้อง และเติบโต ในขณะเดียวกันไม้ไผ่ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงเรื่องโชคลาภอีกด้วย

    ตำแหน่งที่เหมาะสม : หลายคนอาจไม่สามารถปลูกต้นไผ่ไว้ในบ้านหรือออฟฟิศได้ สิ่งที่แนะนำคือการใช้ระฆังหรือกระดิ่งลมที่ทำจากไม้ไผ่แทน เพราะมันจะช่วยเรื่องความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและอาชีพ รวมถึงความสัมพันธ์ที่ดี โดยไม่มีข้อจำกัดในการวาง คุณสามารถเลือกวางในตำแหน่งที่เหมาะสมได้เลย

    3.เลข 88 ตามความเชื่อของชาวจีนและศาสตร์ฮวงจุ้ยเลข 88 โดยเฉพาะถ้าเป็นคู่นั้นถือเป็นสิ่งมงคลที่ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง เหตุผลน่าจะมาจากลักษณะของเลข 8 หมายถึงอินฟินิตี้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งตามศาสตร์ของจีนแล้วเลข 8 จะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องการงานและชีวิตส่วนตัว

    ตำแหน่งที่เหมาะสม : เลข 88 สามารถนำไปตั้งไว้ในห้องนอนได้เพราะมันจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความรักให้แน่นแฟ้นขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถนำไปตั้งไว้ในออฟฟิศหรือโต๊ะทำงานได้อีกด้วย ซึ่งมันจะเพิ่มพลังความคิดสร้างสรรค์ และถ้าคุณทำการค้า หรือนำไปตั้งในร้านค้าก็ควรตั้งในทิศตะวันออกเฉียงใต้

    4.พระยิ้ม เป็นสัญลักษณ์ที่คนทั่วไปนิยมมากเพราะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต และความมั่งคั่งทั้งเรื่องอาชีพและการใช้ชีวิต

    ตำแหน่งที่เหมาะสม : ขนาดของพระยิ้มที่เหมาะสมคือขนาดความสูง 30 นิ้ว และควรตั้งไว้ด้านหน้าประตูหลักของบ้านหรือสำนักงาน เพราะมันจะทำให้คนที่เข้าไปในบ้านหรือออฟฟิศนั้นมีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังความคิดบวก หรือจะตั้งพระยิ้มไว้มุมโต๊ะที่ทแยงมุมกับประตูก็ได้

    5.เหรียญจีน เหรียญจีนเหล่านี้มักมีอักษรจีนอยู่ด้านบน และมีเชือกสีแดงผูกไว้ ดังนั้นจึงเหมาะที่จะแขวนหรือทำเป็นพวงกุญแจ

    ตำแหน่งที่เหมาะสม : จำนวนของเหรียญจีนที่คนทั่วไปนิยมใช้คือจำนวน 3,6,7หรือ 8 ถ้าเป็นจำนวนอื่นถือว่าไม่เป็นมงคล โดยคุณสามารถแขวนเหรียญเหล่านี้ไว้ด้านในประตู สำหรับคนที่ทำธุรกิจสามารถนำเหรียญใส่ซองแล้ววางไว้บนโต๊ะหรือใต้โต๊ะ เพราะมันหมายถึงการได้รับกำไร ผลตอบแทนแบบไม่มีที่สิ้นสุด หรือบางคนอาจจะนำไปผูกไว้กับกระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋าถือก็ยังได้ นอกจากนี้เหรียญจีนยังถือเป็นของขวัญที่เป็นมงคลสำหรับการจะมอบให้คนอื่นๆ อีกด้วย

    6.ปม 8 เหลี่ยม ถ้าทางอินเดียจะเชื่อว่ามันคือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ถ้าตามศาสตร์ฮวงจุ้ยมันจะมีลักษณะเหมือนงูกินหางตัวเอง ซึ่งสะท้อนถึงการเกิดและการเกิดใหม่ และมันยังเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ไม่รู้จบอีกด้วย

    ตำแหน่งที่เหมาะสม : สีที่นิยมเลือกใช้คือสีแดง ถ้านำไปวางไว้ในห้องนอนควรวางทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เพราะมันจะช่วยเพิ่มพลังความรักและความสัมพันธ์ หากจะนำไปวางที่ออฟฟิศทิศที่เหมาะสมก็เป็นทิศเดียวกัน เพราะจะช่วยให้ทีมงานทุกคนรักและสามัคคีกัน

    7. Foo Dogs หรือ สุนัขสิงโต ตามความเชื่อของชาวจีนถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง ป้องกันอันตราย และป้องกันความคิดไม่ดี

    ตำแหน่งที่เหมาะสม : เวลาซื้อควรซื้อเป็นคู่ และควรวางไว้นอกบ้านหรือนอกสำนักงานเพื่อให้เป็นผู้คุ้มกัน ในขณะเดียวกันก็สามารถนำสัญลักษณ์นี้ไว้ในที่สูงได้โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ด้านนอกประตู

    8.เจดีย์หอคอย เป็นสัญลักษณ์สำคัญตามศาสตร์ฮวงจุ้ย สะท้อนถึงการช่วยจัดระเบียบความคิด เป็นสัญลักษณ์ของการที่จะทำให้ทุกคนโฟกัสความคิด เป็นตัวแทนของผู้ที่สำเร็จการศึกษา

    ตำแหน่งที่เหมาะสม : สามารวางเจดีย์ไว้บนโต๊ะทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้

    ลองใช้วิจารณญาณในการพิจารณาและเลือกสัญลักษณ์ฮวงจุ้ยต่างๆ ให้เหมาะสมกับบ้านและออฟฟิศของตัวเองดูนะคะ


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจาก Prokerala.com – Health, Ayurveda, Travel, Astrology, Ringtones, News
    ภาพจาก Stock photos, royalty-free images, video & music clips - iStock
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปิดปูมประวัติแก๊งหมอหยอง พร้อมลำดับคดีโดนจับหมิ่นเบื้องสูง
    -http://hilight.kapook.com/view/128178-
    เปิดปูมประวัติแก๊งหมอหยอง พร้อมลำดับคดีโดนจับหมิ่นเบื้องสูง

    เป็นคดีใหญ่และสำคัญระดับชาติ ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ จับกุมตัว "หมอหยอง" หรือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หมอดูชื่อดัง รวมถึงนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ "อาท" เลขาฯ คนสนิท และพ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา หรือ "สารวัตรเอี๊ยด" สารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ในความผิดร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยพบว่ามีพฤติกรรมแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง เพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัว

    ลำดับเหตุการณ์ของคดี มีดังนี้

    * ลือสนั่นตำรวจรวบตัว หมอหยอง

    จุดเริ่มต้นของข่าวและคดีนี้ เริ่มจากช่วงเย็นวันที่ 16 ตุลาคม 2558 เกิดกระแสข่าวลือแพร่สะพัดในโซเชียลมีเดียว่า ตำรวจกองปราบปรามจับกุมตัว หมอหยอง ในคดีร้ายแรง พร้อมเตรียมเรียกประชุมชุดทำคดีเวลา 21.00 น. และมีสื่อบางสำนักเอาไปรายงานลงเว็บไซต์ แต่ลบออกในเวลาต่อมา

    ต่อมา พล.ต.ต. อัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการปราบปราม ออกมาให้ข้อมูลกับสื่อว่า กองปราบฯ ไม่ได้จับกุมหมอหยองตามที่มีกระแสข่าว และไม่มีการนัดหมายประชุม คณะพนักงานสอบสวน ที่กองปราบฯ ตามที่มีการส่งข้อความต่อกันทางแอพพลิเคชั่นไลน์

    * เผย 'คสช.' เรียกสอบ-คุมตัวเอง

    ข้อเท็จจริงประเด็นข้างต้นคลี่คลาย ในวันที่ 21 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันนำตัวหมอหยอง นายอาท และสารวัตรเอี๊ยด มาศาลทหารกรุงเทพ เผื่อขอฝากขังผลัดแรก ก่อนนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราว มทบ.11

    โดย พล.ต.ท. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีความมั่นคงและหมิ่นสถาบัน แจกเอกสารกับผู้สื่อข่าว ซึ่งมีเนื้อหาเผยว่า หน่วยงานที่เรียกตัวหมอหยองไปสอบสวนและควบคุมตัวเอาไว้ ก็คือ ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือเจ้าหน้าที่ทหารนั่นเอง

    เหตุผลเพราะทาง คสช. ตรวจพบว่า บุคคลกลุ่มนี้ร่วมกันกระทำความผิด โดยมีพฤติการณ์แอบอ้าง หรือแสดงออกในลักษณะต่างกรรม ต่างวาระกัน เพื่อให้ประชาชน หรือบุคคลโดยทั่วไปเข้าใจว่าตนเองมีความใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูง และได้เรียกหรือรับผลประโยชน์กับการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งได้กระทำความผิดตาม กฎหมายอื่น ๆ อีกหลายฐานความผิด



    * พบมีมูล-ทำผิด ม.112 จริง

    ข้อมูลในเอกสารระบุต่อไปว่า การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบัน และความเสียหายอื่น ๆ ในวงกว้าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหารได้ใช้อำนาจตามคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 เรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบถามข้อมูลและควบคุมตัวไว้

    จากการซักถามพบว่า มีมูลกระทำความผิดจริง จึงมอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่าย กฎหมาย คสช. แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้ กระทำผิดฐาน "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ตาม ป.อาญา มาตรา 112



    * ตั้ง 'ศรีวราห์' หัวหน้าชุดสอบ 3 ผู้ต้องหา

    ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดย พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มีคำสั่งที่ 578/2558 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2558 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน มี พล.ต.ท. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็นหัวหน้า พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. เป็นรองหัวหน้า ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหาร สืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานจนเป็นที่แน่ชัด และเชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลที่ร่วมกระทำความผิด ประกอบด้วย

    1. นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง อายุ 53 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2558 ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความ อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ

    2. นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ อายุ 29 ปี เลขาฯ ส่วนตัวคนสนิทของหมอหยอง โดนหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ

    3. พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา อายุ 44 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2558 ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง, มีใช้ซึ่งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตฯและตั้งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต, ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม, ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ

    ทั้งนี้ ศาลทหารอนุมัติหมายจับ นำไปสู่การฝากขังผลัดแรก 12 วัน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดย พล.ต.ท. ศรีวราห์ ระบุว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 รายให้การรับสารภาพ

    ส่วน "พฤติการณ์" การแอบอ้างเบื้องสูงนั้น จนถึงวันนี้ (22 ตุลาคม) ยังไม่มีการแถลงเป็นทางการ



    * โยงสั่งเด้ง 8 นายตำรวจ

    คดีของหมอหยองและพวก เกิดเหตุ "แทรกซ้อน" ขึ้นมา เมื่อในวันที่ 18 ต.ค. ทางพล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) มีคำสั่งย้ายด่วน 8 ตำรวจ ยศ "พ.ต.อ.-พ.ต.ท." สังกัด "กองปราบ-ทางหลวง-ปคม." ไปช่วยงานที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)

    รายชื่อ 8 นายตำรวจประกอบด้วย

    1. พ.ต.อ. ศิวพงษ์ พัฒน์พงศ์พานิช รองผู้บังคับการปราบปราม

    2. พ.ต.อ. ไพโรจน์ โรจนขจร ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม

    3. พ.ต.ท. วสุ แสงสุกใส รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม

    4. พ.ต.ท. ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม

    5. พ.ต.ท. จีรวัฏฐ์ บุญวัฒนาภรณ์ สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง

    6. พ.ต.ท. ณัทกฤช พรหมจันทร์ สารวัตร กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม

    7. พ.ต.ท. พิทยา กล่ำเอม สารวัตรกลุ่มถวายงานความปลอดภัย กองบังคับการตำรวจทางหลวง

    8. พ.ต.ท. สุวัฒนชัย ศรีทองสุข สารวัตร กองกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์



    * 'จักรทิพย์' แย้มมีเอี่ยวคดีแอบอ้างเบื้องสูง

    วันที่ 19 ตุลาคม เหตุผลของการเด้งฟ้าผ่า 8 นายตำรวจ ก็พอมองภาพชัดเจนขึ้น หลังจาก พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ระบุว่า กรณีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีคำสั่งโยกย้ายนายตำรวจ 8 นาย ในสังกัดเข้ามาช่วยราชการนั้น เนื่องจากการตรวจสอบพบว่านายตำรวจทั้ง 8 นาย เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวทาง ใดทางหนึ่ง แต่ยังไม่ได้รับรายงานที่แน่ชัด ซึ่งคงต้องสอบถามไปยัง พลตำรวจโท ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะรองหัวหน้าพนักงานสอบสวนอีกครั้ง หากพบว่ามีความผิดก็อาจมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

    ต่อมา วันที่ 22 ตุลาคม ผบ.ตร. แถลงเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาตำรวจทั้ง 8 นายให้ความร่วมมือกับชุดสอบสวนเป็นอย่างดี ทำให้ในเบื้องต้นคาดว่าอาจยังไม่มีการแจ้งข้อหาใด ๆ ส่วนในอนาคตจะมีการเรียกข้าราชการและพลเรือนมาสอบปากคำเพิ่มเติมหรือไม่ คงปรึกษากับ พล.ต.ท. ศรีวราห์ อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าไม่หนักใจในการทำงาน เนื่องจากเคยคลี่คลายคดีในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว โดยทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

    * ลุยสืบหาตัวผู้ร่วมขบวนการต่อ

    ล่าสุด ในวันที่นำตัวหมอหยอง นายอาท และสารวัตรเอี๊ยด มาขอฝากขัง พล.ต.ท. ศรีวราห์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนยังไม่ทราบว่าตำรวจทั้ง 8 นายที่ถูกโยกย้ายถูกออกหมายจับหรือยัง แต่ในส่วนของตน ยังไม่มีออกหมายจับ เพราะอยู่ในช่วงพิจารณาหลักฐาน หากใครผิดก็ต้องดำเนินการ ส่วนหมอหยองกับพวกซัดทอดไปยังนายตำรวจทั้ง 8 นายหรือไม่ ต้องอยู่ที่พยานและหลักฐาน

    พล.ต.ท. ศรีวราห์ ยังกล่าวด้วยว่า กลุ่มหมอหยอง ทำพฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูงมากกว่า 1-2 เดือน ส่วนจะทำเป็นขบวนการหรือไม่อยู่ที่ตามหมายจับ จะมากกว่า 3 คนหรือ ไม่ก็อาจมีอีก ทั้งนี้ขึ้นกับพยานหลักฐาน ตอบไม่ได้ตอนนี้ หากมีหลักฐานพาดพิงถึงใครต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งจะเป็นเจ้าหน้าที่และพลเรือนเพิ่มอีกหรือไม่ ตนตอบไม่ได้ เพราะข้อหาแอบอ้าง เบื้องสูงมีโทษร้ายแรง

    สำหรับ พ.ต.ต. ปรากรม หรือสารวัตรเอี๊ยดนั้น ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน


    * เปิดปูมประวัติแก๊งหมอหยอง

    เริ่มจากตัวหมอหยอง ที่ผ่านมาประชาชนคนไทยรู้จักกันดีในภาพของนักโหราศาตร์ หมอดูพูดเก่ง มีรายการทีวีเป็นของตัวเอง ตามประวัติมีบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดตรัง การศึกษาจบ ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเซนต์มาติน ลอนดอน ด้านการออกแบบโฆษณาและงานประชาสัมพันธ์

    เคยเป็นอาจารย์พิเศษวิชาโฆษณา และประชาสัมพันธ์ และอาจารย์พิเศษวิชาจิตวิทยา และการพัฒนาตนเอง ของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ตลอดจนเป็นผู้บริหารสถาบันพัฒนาการฝึกอบรมชีวิตและคุณภาพ โดยจัดทีมอบรมให้กับหน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาบุคคลากร

    ล่าสุด ก่อนถูกจับกุมฐานแอบอ้างสถาบันหาผลประโยชน์ มีฐานะเป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานกิจกรรมพิเศษโครงการ "Bike for Mom" กิจกรรมมหามงคลปั่นเพื่อแม่ รวมทั้งเป็นคณะกรรมการฝ่ายจัดกิจกรรมถวายราชสดุดี "ปั่นเพื่อพ่อ Bike for Dad"



    * 'อาท' มือขวาคนสนิท

    ตามด้วย นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ชื่อเดิม "จิรวงศ์ ทองนา" หรือ "อาท" เกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2529 เป็นชาวจังหวัดตรัง ภายหลังขอจดทะเบียนชื่อสกุลเป็น “วัฒนเทวาศิลป์”

    มือขวาคนสนิทที่เคียงบ่าเคียงไหล่หมอหยอง มานานกว่า 6 ปี ในตำแหน่งเลขานุการ และผู้ติดตาม รับหน้าที่ประสานงานต่าง ๆ รวมถึงงานกิจกรรมด้านศาสนาต่าง ๆ

    นอกจากนั้น ยังร่วมรายการโทรทัศน์กับหมอหยอง และเป็นช่างภาพที่มีฉายาว่า "อาท ชัตเตอร์มหาเทพ"

    ในทางมุมความเชื่อด้านศาสนา ประกาศตัวเป็นผู้ศรัทธาพระพิฆเนศตัวยง

    นายจิรวงศ์ ยังเคยได้รับมอบเข็มเครื่องหมายวชิราวุธ ของ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ รวมทั้งยังได้รับเข็มศักดิ์เดชของกรมทหารปืนใหญ่ 1 รักษาพระองค์



    * 'สารวัตรเอี๊ยด' เคยโดนคดีปลอมลายพระหัตถ์สังฆราช

    ส่วน "สารวัตรเอี๊ยด" หรือ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา สารวัตรกองกำกับการ 1 ปอท. นั้นก่อนจะตกเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประวัติของตนเอง กับนิตยสาร "คอปส์แมกกาซีน" ฉบับเดือนเมษายน 2558 สรุปใจความว่า

    เคยศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยประเทศอังกฤษโดยทุนจากกระทรวงกลาโหม จากนั้นเข้ารับราชการทหารในสังกัดศูนย์การทหารปืนใหญ่ ก่อนจะเข้ารับราชการตำรวจสังกัดศูนย์ข้อมูลข่าวสาร

    ต่อมา เข้าอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศฯ ทำหน้าที่ตามเสด็จคอยรับใช้สมเด็จพระสังฆราช จนได้รับฉายาว่า "นายเวรพระสังฆราช" กระทั่งถูกกล่าวหาว่า ปลอมลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช จนถูกให้ออกจากราชการในที่สุด

    แต่ในภายหลัง พ.ต.ต. ปรากรม ก็พ้นจากข้อกล่าวหาเนื่องจากอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี โดยผ่าน พ.ร.บ.ล้างมลทิน และได้กลับเข้ามารับราชการตำรวจอีกครั้ง ในสังกัด บก.ปอท. และเพิ่มยศจากเดิม ร.ต.อ. เป็น พ.ต.ต. โดยได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ตรวจสอบเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูง

    อีกผลงานที่เป็นข่าวดังของ พ.ต.ต. ปรากรม คือ ได้รับมอบหมายรวบรวมพยาน หลักฐาน และข้อมูลต่าง ๆ ในคดี ม.112 ของ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. แต่ขณะนี้กลับมากระทำความผิดในฐานเดียวกันเสียเอง


    ทั้งหมดนี้คือการประมวลภาพรวมของคดีหมอหยอง กับพวกหมิ่นสถาบัน ซึ่งต้องติดตามกระบวนการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ต่อไปว่าจะกระชากหน้ากากผู้ร่วมขบวนการได้อีกกี่ราย !
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “หมอดูเทวดา” ให้นักสืบร่วมแก๊งสืบหาข้อมูลก่อนเล่นละครฉากใหญ่
    โดย มานพ
    -http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000118804-
    23 ตุลาคม 2558 19:20 น. (แก้ไขล่าสุด 23 ตุลาคม 2558 19:36 น.)

    เรื่องดัง - ข่าวเด็ด / เขย่าสีกากี โดย “บิ๊กเกรียน”.....เปิดเทคนิค “หมอดูเทวดา” ให้นักสืบร่วมแก๊งสืบหาข้อมูลก่อนเล่นละครฉากใหญ่ทำนาย ทายทักหลอกต้มคุณหญิงคุณนาย / เผย 5 อันดับสุดยอดเก้าอี้ไฝ่ฝันตำรวจไทย

    00000.....ประเดิมด้วยคดีความผิดตามมาตรา 112 มี”หมอหยอง”สุริยัน สุจริตพลวงศ์ เป็นตัวนำตามติดด้วย “อาท ชัตเตอร์มหาเทพ”จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หนุ่มน้อยเลขาฯตัวล่ำบึก และ “สารวัตรเอี๊ยด”พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา นายตำรวจคนดังผู้เคยตกเป็นจำเลยกรณีปลอมลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ใครเป็นใคร มีที่มาน่าสนใจอย่างไรกองบรรณาธิการ “ASTV ผู้จัดการ”หามาให้อ่านกันอย่างจุใจไปแล้ว.....

    00000.....ที่เหลือยังคันๆ ขาดๆเกินๆมาแรงจัดไม่พ้นสกุ๊ป “ลากไส้หมอหยอง” เพราะพ่วงสองสาวนักต้มคุณหญิงกิมเอ็ง และคุณนายไก่ วันทนีย์ เจ้าเก่าขาประจำนักข่าวสายอาชญากรรม “บิ๊กเกรียน”อ่านสองรอบ “ชอบใจ”ข้อมูลเด็ดแต่จะให้ระบุโต้งๆใคร “จิ้ม”กับใคร หรือหมอหยอง กิมเอ็ง ไก่วันทนีย์ เป็นพี่น้องคลานกันมาจริงหรือไม่ “อ่านเรื่องจริง” ผสมความมันต้องที่นี่ที่เดียว.....00000.....คำถามที่พอเฉลยได้ นักการเมือง ส.แห่งภาคอีสานแคบไปอีกนิดคือ จ.ชัยภูมิ ส่วนคนที่ทักด้วยความข้องใจเมื่อคุณนายไก่ วันทนีย์ ขับเบนซ์คันยาวไปดูเรือนหอราคา 3 ล้านก่อนเกี่ยงงอนขอขยับเนื้อที่มีสนามเทนนิส และสระว่ายน้ำให้ว่าที่สามีนักการเมืองก็คือ “เฮียเพ้ง”นักการเมืองดัง อดีตพรรคการเมืองใหญ่ ด้วยเหตุภายในเบนซ์คันยาวไม่มีหมอน ตุ๊กตาหรือประดับยนต์ใดๆตามประสารถบ้านทั่วไป แถมลงแว๊กขัดเงาจนมันแผล่บเหมือนเพิ่งเช่ามาจากเตนท์รถ.....

    00000......ส่วนนายตำรวจที่เกี่ยวข้องหลายคนเกษียณอายุฯไปแล้ว ส่วนหมวดหนุ่มอนาคตใกลหลังผ่านมรสุมเมียนักตุ๋นไปได้ ข่าวว่าค่อยประคองตัวรับราชการทางจังหวัดภาคใต้จนบัดนี้ติดยศ พล.ต.ต. เป็นผู้บังคับการ หรือมากกว่านั้นไปแล้ว ที่เหลืออยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมลองไปถามพล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ อดีต ผบก.ป.กันดู ถ้าไม่โดนเตะเสียก่อนอาจจะมีอะไรเด็ดๆมาเล่าสู่กันฟังบ้าง.....

    00000.....หากสมองเปรียบเสมือน “เชือก”ใช้ความยาววัดระดับสติปัญญา “บิ๊กเกรียน”คงแค่จ่อปากๆบ่อ ขอมองเพื่อนมนุษย์ให้รอบด้านในหลายมิติ มีอีกมุมที่ค้นพบว่าบรรดาแก๊งต้มตุ๋นที่หากินกับ “ความเชื่อ” และ “ศรัทธา”ของผู้คนนั้นส่วนใหญ่ไอ้-อี ตัวดีทั้งหลายมีพื้นเพมาจากครอบครัวยากจน ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ.....ลองไล่ดูเถิด หมอคนนั้น หมอคนนี้ น้อยคนนักที่จะมาจากชนชั้นกลางหรือคนร่ำรวย....แต่คนรวยแล้วมาจากครอบครัวมีอันจะกินกลับเป็นคนชั่วช้าเลวทรามก็มีอยู่ไม่น้อย พวกนี้มันน่ากระทืบนัก

    00000....สุริยัน สุจริตพลวงศ์ เป็นใครมาจากไหน!? ประวัติความลำบากยากแค้นสังคมมักได้ยินได้ฟังเขาพูด และเขียนอย่างไม่ปิดบังว่าเป็นเด็กบ้านนอกมาจาก จ.ตรัง ครอบครัวฐานะยากจนพ่อ-แม่มีลูก 13 คนโดยเขาเป็นคนที่ 9 ต้องหาเลี้ยงตัวเองแต่เด็ก ข้อมูลพื้นๆแต่ทำให้พอมองเห็นภาพวิถีคนจนที่ต้องดิ้นรนต่อสู้
    .
    .....00000......จากนิมิต หรือ “มโน” ของ ด.ช.หยอง เมื่อแตกเนื้อหนุ่มชื่อเสียงด้านโหราศาตร์ หรือการทำนายทายทักพุ่งเร็วขึ้นสู่แนวหน้า กลายเป็น “หมอหยอง”ที่คุณหญิงคุณนายนักธุรกิจ นักการเมือง เข้าแถวใช้บริการให้ทำนายทายทัก.....มีเรื่องเล่าว่า “แก๊งหมอหยอง”จะไม่รับนัดใครแบบปัจจุบันทันด่วน เขามักอ้างว่า “คิวเต็ม”แล้วกำหนดวันเวลาให้กับลูกค้าเสียเอง......ทางหนึ่งมองว่าขลังจริง มีคนศรัทธาจริง แต่อีกทางที่เหนือกว่าคือใช้เวลาที่ทอดไปนั้นศึกษา ค้นหาข้อมูลของลูกค้าอย่างละเอียด.....

    00000.....รายไหนรายนั้น ผัวมีเมียน้อย เมียมีกิ๊ก ชอบอะไร เกลียดอะไร กลัวอะไร ก็ล้วนแต่จ้างนักสืบค้นหาข้อมูลมาให้ แต่การเป็นหมอดูมันต้องมีบริบทอิงกับข้อเท็จจ่ริงค่อนข้างมาก แถมรวยช้า จาก “หมอดู”จึงแปลงร่างเป็น “เทพ” จนประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด มีโอกาสเป็นอาจารย์สอนพิเศษมหาวิทยาลัยรังสิต มีห้องทำงานแกเช่นอาจารย์ท่านอื่นๆ สำคัญกว่านั้นมักติดสอยห้อยตาม ผู้ใหญ่ของมหาวิทยาลัย ไปในงานสำคัญต่างๆเป็นประจำกระทั่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีสำคัญ “ช๊อก”ความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศ......จากเด็กยากจนต้องวิ่งขาย นสพ.หาเงินมายาใส้ไปวันๆจนประสบความสำเร็จขั้นสูงสุดของชีวิต หากสามารถย้อนกลับไปได้ “สุริยัน”จะหยุดอดีตไว้ตรงไหน....

    00000.....ต่างกับคุณนายไก่ วันทนีย์ คนที่ครั้งหนึ่งต้องปล่อยลูกน้อยวัย 3 ขวบไว้ในแฟลตห้องพักตามลำพัง มีเพียงชามข้าวเปล่าทิ้งไว้ให้ประทังชีวิต...เส้นทางที่ตีคู่มากับหมอหยอง และคุณหญิงกิมเอ็ง ....ฉากการต่อสู้ ล้มบ้างลุกบ้าง ต้องก่ออาชญากรรมลวงโลก สร้างนิยายแม่หม้ายพันล้านให้ผู้ชายโง่ๆเข้ามาเป็นเหยื่อในชีวิต คนที่1 ต่อเป็นบันไดไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงยอด.....จากวันนั้นถึงวันนี้เด็กน้อยที่ถูกปล่อยในห้องแคบๆโตเป็นหนุ่มใหญ่ไปแล้ว ส่วนคุณนายไก่ วันทนีย์ ผู้เป็นแม่ข่าวว่ามีฐานะขั้นเศรษฐีคนหนึ่ง ชีวิตคงไม่ต้องเดินเฉียดคุกเฉียดตะรางอีกต่อไป.....

    00000..... สำหรับคดีทุจริตเครื่องราชฯที่ยัง “คาใจ”และไถ่ถามมามากนั้น “บิ๊กเกรียน”ขออนุญาตหยิบข้อมูลเก่าฉายซ้ำอีกครั้ง คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2530 มีผู้ต้องหาเกี่ยวข้องจำนวนมากเช่นอดีตเจ้าคุณอุดม หรือพระราชปัญญาโกศล รองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ในขณะนั้น รวมทั้งนักการเมือง เจ้าหน้าที่ต่างๆเกือบ 20 คน ว่ากันว่ามีค่าความเสียหายจากยอดบริจาคเท็จ 1,400 ล้าน และเมื่อตรวจสอบ 750 รายชื่อของผู้บริจาคแล้วบางรายเป็นนักข่าวอาวุโสระบุจำนวนเงิน 5 ล้านบาทแต่ในชีวิตจริงยังนั่งรถเมล์ไปทำงาน .....00000.....สืบสาวราวเรื่องเกิดจากแก๊ง”ลวงโลก”ต้องการยืมมือสื่อสร้างความเชื่อถือ ทำตัวเป็นนายหน้า “ขายเครื่องราชฯ”รับมาหลักแสนหลักล้านบริจาคจริงแค่หลักร้อยหลักพัน......ตอนหนึ่งของคำสารภาพของเจ้าคุณอุดม ระบุว่าอาตมาไม่รู้หนังสือ เขาให้มา 500 ก็แก้ตัวเลขเป็น 5 แสนหรือ 5 ล้าน นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น.....

    00000.....สรุปๆได้ว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยต่างกรรมต่างว่าระบางคนเจอ 152 กระทง ไอ คุก คุก 3,000 ปี ปี 2556 หรือ 26 ปีต่อมาศาลฎีกาปิดฉากคดีเครื่องราชด้วยการยกฟ้องจำเลย มีการรวบรวมสถิติของคดีนี้ว่าระหว่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้นจำเลยเสียชีวิตไป 9 คน ผู้พิพากษาหมดลมหายใจไปอีก 1 ทนายเอาด้วยตายอีก 4 ....และนักข่าวที่เกี่ยวข้องก็พลอยล้มหายตายจากไปด้วย.....บ้างก็แก่เป็นคุณปู่คุณย่า ไม่เชื่อถามเจ้เจี๊ยบ แนวหน้า ดูได้

    00000.....เหลือตัวละครคนสุดท้ายคือคุณหญิงกิมเอ็ง ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน หากคุณผู้อ่านยังติดใจสงสัย กราบงามๆให้นักสืบโซเชียลฯช่วย “บิ๊กเกรียน”อีกหลายๆแรง ลองสืบค้นหาตัวให้เจอ “บิ๊กเกรียน”นักข่าวรุ่นเก๋า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรู้จักมักคุ้นกับคุณหญิงกิมเอ็ง หรือเจ้ตุ่ม เป็นอย่างดี “ขันอาสา”แบกหน้าเหี่ยวไปคุ้ยเบื้องหน้าเบื้องหลังให้ถึงแก่นอีกครั้ง เว้นแต่ว่าถ้าไม่โดนด่าเปิงมาเสียก่อน ....

    .00000.....อ่ะ อ่ะ สัปดาห์ก่อนเขียนติงตำรวจทางหลวง กก.1 สระบุรี เรื่องมีตำรวจบางคนของที่นี่ทำมาหากินกับเปอร์เซ็นต์ “ใบสั่ง”วันนี้ยังไม่มีอะไรกระดิก ขบวนการรีดเลือดจากประชาชนยังหน้าด้านหน้ามึนกันต่อไป “บิ๊กเกรียน”ฝากพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 ดูแลการจราจร นโยบายพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ให้เลิกด่านลอยและให้มีนายตำรวจระดับสารวัตรคุมการตั้งด่านทั่วไปนั้น ไหงท่านประวุฒิ “แบะท่า-อ้าซ่า”ลดสเปกให้กลายเป็นนายตำรวจระดับ ร.ต.อ.ควบคุมด่านเท่านั้น แถมอ้างความจำเป็นตำรวจจราจร -ตำรวจทางหลวง รู้สึกหนักใจเพราะคำสั่ง ผบ.ตร.ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ไม่คล่องตัว มีรถบรรทุกแอบวิ่งก่อนเวลาห้าม แถมด้วยพวกขับย้อนศร.....

    00000......เฮ้อ ตำรวจไถ นะตำรวจไถ...เอ๊ย !?...”ตำรวจไทย” ก็แค่ห้ามไถชาวบ้านแค่นั้นทำจะเป็นจะตาย ...คนทำผิดกฎจราจร ผิดกฎหมายทุกประเภทจับไปซิ ไม่มีใครขอให้ยกเว้น “บิ๊กเกรียน” ก็ขอให้ “เข้ม”แต่อย่าหาเรื่องไถ หาเรื่อง “หาเงิน”มันแค่นั้นจริงๆ วันก่อนได้ยินมากะหู ตำรวจชั้นประทวนเขาตั้งวงนิทานายกันพร้อมจัด 5 อันดับ “ขุมทรัพย์”สีกากี คือ 1.กองปราบปราม 2.ตำรวจทางหลวง 3.ตำรวจน้ำ 4.ตำรวจเศรษฐกิจ 5. ตำรวจ ปคม. เพราะทั้ง 5 หน่วยงานนี้สามารถทำมาหากิน...เอ๊ย ผิดอีกแล้ว.....สามารถทำงานได้ทั่วทั้งประเทศ ใครที่เคยนั่งตำแหน่ง ผบก. ทั้งห้ามาก่อนถือว่า “นายแน่มาก” แต่ถ้านั่งติดกัน 2-3 สมัยถือว่า “ดูแลนายได้ทั่วถึงมาก”.....00000

    ---------------------------------------

    “หมอหยอง” ดวงแตก
    โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
    -http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9580000118812-
    24 ตุลาคม 2558 06:31 น.


    ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การจับกุม “แก๊งแอบอ้างเบื้องสูง” เรียกรับผลประโยชน์อันมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบด้วย “หมอหยอง-นายสุริยัน สุรจริตพลวงศ์” “สารวัตรเอี๊ยด-พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา” และ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ อาท ชัตเตอร์มหาเทพ คนสนิทของหมอหยองนั้น นับเป็นคดีใหญ่คดีที่สองที่สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วราชอาณาจักรไทยไม่แพ้คดีแรก ซึ่งมี “เดอะกิ๊ก-พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ “อดีตพี่น้องสกุลอัครพงศ์ปรีชา” ที่ภายหลังเปลี่ยนมาใช้ “สุวะดี” เลยทีเดียว

    เนื่องเพราะใครเลยจะคาดคิดว่า หลังคดีของเดอะกิ๊กแล้ว จะมีใครหน้าไหนกล้าในบ้านนี้เมืองนี้แอบอ้างเบื้องสถาบันไปเรียกรับผลประโยชน์ได้อีก

    กองทัพร้องทุกข์ “แก๊งหยอง” เหิม อ้างสถาบันเรียกรับผลประโยชน์

    ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ศาลทหารจะมีการออกหมายจับและนำตัวไปฝากขังเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมานั้น ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เต็มไปด้วยความสับสนและเต็มไปด้วยข่าวลือเรื่องของหมอดูคนดัง กระทั่งมีความชัดเจนขึ้นเมื่อ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้ลงนามในคำสั่ง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ 267/2558 วันที่ 18 ตุลาคม 2558 ย้ายตำรวจ 8 นาย

    ประกอบด้วย 1. พ.ต.อ. ศิวพงษ์ พัฒน์พงศ์พานิช รองผู้บังคับการปราบปราม 2. พ.ต.อ. ไพโรจน์ โรจนขจร ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 3. พ.ต.ท. วสุ แสงสุกใส รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 4. พ.ต.ท. ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 5. พ.ต.ท. จีรวัฏฐ์ บุญวัฒนาภรณ์ สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง 6. พ.ต.ท. ณัทกฤช พรหมจันทร์ สารวัตร กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 7. พ.ต.ท. พิทยา กล่ำ เอม สารวัตรกลุ่มถวายงานความปลอดภัย กองบังคับการตำรวจทางหลวง 8. พ.ต.ท. สุวัฒนชัย ศรีทองสุข สารวัตร กองกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์

    สังคมงุนงงว่า ตำรวจเหล่านั้นโดนย้ายด้วยเรื่องอะไร

    ถัดจากนั้นไม่นานนัก เรื่องก็มีความชัดเจนขึ้นทีละน้อยในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 19 ตุลาคม 2558 เมื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ยอมรับว่ามีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในกรณีที่มีบุคคลแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงไปกระทำการมิบังควร ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านความมั่นคง เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวน และมี พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เป็นรองหัวหน้าพนักงานสอบสวน

    และได้รับการเปิดเผยจาก พล.ต.ท.ศรีวราห์ว่า หน่วยงานที่ร้องทุกข์เรื่องดังกล่าวก็คือ “กองทัพบก” และศาลได้อนุมัติหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อบุคคล จำนวน และรายละเอียดพฤติการณ์ และแย้มว่าจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังในวันที่ 21 ตุลาคม

    ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ได้ยอมรับในเวลาต่อมาว่ามีข้าราชการตำรวจและพลเรือนที่มีชื่อเสียง ซึ่งปรากฏในสื่อก่อนหน้านี้เข้ามาเกี่ยวข้องจริง

    “ผู้ต้องหาคดีนี้ทั้งหมดมีพฤติกรรมชัดเจนว่า แอบอ้างเบื้องสูงในการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งมีเจ้าทุกข์เป็นกองทัพบกนำข้อมูลมาร้องให้ตำรวจดำเนินคดี”บิ๊กแป๊ะแย้มรายละเอียดมาทีละน้อย

    ต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง พร้อมด้วย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ นำเอกสารคำร้องมายื่นต่อศาลทหารกรุงเทพ เพื่อขอฝากขังผู้ที่ถูกหมายจับในฐานความผิดคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผลัดแรก เป็นระยะเวลา 12 วัน พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอศาลทหารกรุงเทพอนุมัติออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมด้วยอีก 1 คน

    และในที่สุดรายชื่อก็เปิดเผยออกมาว่า ผู้ต้องหาคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกรับผลประโยชน์ที่ศาลทหารออกหมายจับและขอฝากขังในชุดแรกมีทั้งหมด 3 คนด้วยกันคือ

    หนึ่ง-หมอหยอง นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หมอดูชื่อดัง อายุ 53 ปี

    ถูกดำเนินคดีในข้อหา ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ

    สอง-นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อาท ชัตเตอร์มหาเทพ” อายุ 29 ปี คนสนิทของหมอหยอง

    ถูกดำเนินคดีในข้อหา ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ

    และสาม-สารวัตรเอี๊ยด พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา สว.กก.1 บก.ปอท. อายุ 44 ปี

    ถูกดำเนินคดีในข้อหา ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ และข้อหา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง / มีใช้ซึ่งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และตั้งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต / ปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชปลอมอีกด้วย

    พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผช.ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนเปิดเผยว่า ทั้งสามคนถูกตั้งข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง โดยเบื้องต้นทั้ง 3 คนให้การรับสารภาพแล้ว ส่วนหลักฐานและพฤติกรรมที่จะบ่งชี้ความผิดอยู่ในสำนวน ไม่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งยังมีข้อหาอื่นๆ อีกด้วย เช่น อาวุธสงคราม เป็นต้น

    “จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสามคนให้การรับสารภาพ และให้การพาดพิงถึงตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 8 นาย ที่ถูกสั่งช่วยราชการก่อนหน้านี้ และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้ต้องหากระทำความผิดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 เดือน และมีความผิดมากกว่า 1 กรรม และเชื่อว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีก และขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบหลักฐานว่ามีความความเชื่อมโยงถึงบุคคลใดบ้าง ก็จะมีการดำเนินคดี และออกหมายจับเพิ่มเติม” พล.ต.ท.ศรีวราห์ให้ข้อมูล

    อย่างไรก็ตาม นอกจากจับกุมคุมขังแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้มีการมีการยึดรถและทรัพย์สินของบุคคลทั้งสามเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปืน รถ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ วิทยุสื่อสาร เป็นต้น

    ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ตรวจพบว่า มีกลุ่มบุคคลร่วมกันกระทำผิดโดยมีพฤติการณ์แอบอ้างหรือ แสดงออกในลักษณะต่างกรรมต่างวาระกัน เพื่อให้ประชาชนหรือบุคคลโดยทั่วไปเข้าใจว่า ตนเองมีความใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูง และได้เรียกหรือรับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งได้กระทำความผิดตามกฎหมายอื่นๆ อีกหลายฐานความผิด การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันฯ และความเสียหายอื่นๆในวงกว้าง

    เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหาร ได้ใช้อำนาจตามคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 เรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องมาเพื่อสอบถามข้อมูลและควบคุมตัวไว้ จากการซักถามพบว่ามีมูลกระทำผิดจริงจึงได้มอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช. มาแจ้งความร้องทุกข์ ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ฐาน “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 จากนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยมี พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน

    อย่างไรก็ตาม นอกจากนายตำรวจสัญญาบัตร 8 นายที่ถูกย้ายฟ้าผ่าไปก่อนหน้านี้แล้ว ในวันที่นำตัว “หมอหยองแอนด์เดอะแก๊ง” ไปขออนุญาตศาลทหารฝากขัง กองปราบปรามก็ได้มีคำสั่งย้ายตำรวจระดับประทวนอีก 5 นายไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการจำนวน 5 นาย ซึ่งคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว

    ประกอบด้วย 1. สิบตำรวจตรี สายชล ศิลาไศล ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม 2. สิบตำรวจตรี อภิวัฒน์ นาคจีน ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม 3. สิบตำรวจตรี ราชฤทธิ์ พวงไสว ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม 4. สิบตำรวจตรี สารัตน์ แก้วดอนโมง ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม และ 5. สิบตำรวจตรี คมสัน ชงสกุล ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม

    ตีแผ่เส้นทางชีวิต “หยอง-อาท-เอี๊ยด”

    กล่าวสำหรับหมอหยองนั้น มีชื่อจริงว่า “สุริยัน สุจริตพลวงศ์” ซึ่งในแวดวงโหราศาสตร์หรือแวดวงหมอดูต่างรู้จักกันดี และหลายคนที่ติดตามแฟนเพจของเขาคงมักคุ้นเคยกับคำพูดที่หมอดูชื่อดังคนนี้ใช้อยู่เป็นประจำคือคำว่า “จริงใจนะ”

    หมอหยองเกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พื้นเพเป็นคนเมืองตรังโดยกำเนิด สำเร็จการศึกษามัธยมต้นจากโรงเรียนวิเชียรมาตุ อ.เมือง จ.ตรัง ระดับมัธยมปลาย ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท กรุงเทพฯ ระดับปริญญาตรี จบคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเซนต์มาร์ติน ลอนดอน ด้านการออกแบบโฆษณาและงานประชาสัมพันธ์

    เคยเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง อาจารย์พิเศษสอนวิชาจิตวิทยาและการพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จ เป็นผู้บริหารสถาบันพัฒนาการฝึกอบรมชีวิตและคุณภาพ โดยจัดทีมอบรมให้กับหน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาบุคลากร

    เคยเป็นกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รองเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการอำนวยการสภาสังคม สงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาชิกกิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นกรรม การบริหารศูนย์ส่งเสริม และประสานงานครอบครัวอบอุ่นและเป็นสุข กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ

    หมอหยองมีชื่อเสียงในฐานะนักโหราศาสตร์ชื่อดังระดับแนวหน้ามาเป็นเวลานาน

    หมอหยองหายหน้าหายตาจากแวดวงสื่อและแวดวงโหราศาสตร์ไปพักใหญ่ หรือถ้าจะใช้คำว่า “ตกสวรรค์” หรือ “ดวงแตก” มาแล้วครั้งหนึ่งก็คงจะไม่ผิดไปจากความจริง กระทั่งกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะ “ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานกิจกรรมพิเศษโครงการ “ไบค์ ฟอร์ มัม”

    หลังเสร็จงานหมอหยองได้รับการแต่งตั้งจากสมาคมจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็น “ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์” จากนั้นก็ปรากฏตัวตามสื่อต่างๆ เป็นระยะๆ

    ก่อนหน้าที่จะถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นสถาบัน แอบอ้างเบื้องสูงเรียกรับผลประโยชน์ หมอหยองเป็นคนแรกที่เปิดเผยกิจกรรม “ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม 2558 และจากนั้นได้เดินสายเข้าร่วมประชุมกิจกรรม “ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad” กับภาคเอกชนและภาครัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลักฐานปรากฏในแฟนเพจ “สุริยัน หมอหยอง สุรจริตพลวงศ์” ดังนี้

    วันที่ 1 ตุลาคม 2558 เข้าพบ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” แห่งคิงเพาเวอร์และครอบครัว และในวันเดียวกันก็เข้าหารือกับ “มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ” ประธานบริหารเมืองไทยประกันภัย

    วันที่ 5 ตุลาคม 2558 เข้าพบหารือ “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

    วันที่ 9 ตุลาคม 2558 เข้าร่วมประชุมกับ “นายวีระ โรจน์พจนรัตน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเตรียมการเรื่องการจัดโขนกลางแปลงพระราชทานในกิจกรรมวันปั่นเพื่อพ่อ

    วันที่ 11 ตุลาคม 2558 ปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสมาคมจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมอบเหรียญรางวัลให้กับนักกีฬาที่เข้าร่วมแข่งขันจักรยานรายการ ACC ASIAN TRACK

    วันที่ 14 ตุลาคม 2558 เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการจัดกิจกรรมปั่นจักรยานฝ่ายต่างประเทศ โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ตามต่อด้วยการเข้าร่วมประชุมกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่กรมประชาสัมพันธ์ และเป็นการโพสต์ข้อความสุดท้ายของหมอหยองก่อนที่จะถูกจับกุมดำเนินคดีในการแอบอ้างเบื้องสูง

    ขณะที่ “สารวัตรเอี๊ยด” นั้นถือเป็นนายตำรวจคนดังที่มีคดีความถึงขั้นถูกไล่ออกจากราชการไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งมียศ ร.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง สว.งาน1กก.4 ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยข้อหากระทำความผิดวินัยร้ายแรง ปลอมแปลงลายพระหัตถ์ กำหนดการเสด็จของสมเด็จพระสังฆราช ตามคำสั่งตร.ที่ 441/2541 เมื่อปี พ.ศ.2541

    ต่อมา พ.ต.ต.ปรากรมได้ทำเรื่องขอกลับเข้ารับราชการใหม่หลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ได้มีมติเอกฉันท์ให้รับกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งในตำแหน่งสารวัตร สังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท.

    มติ ก.ตร.ให้เหตุผลว่า เหตุที่ให้กลับเข้ารับราชการเป็นเพราะพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และผ่าน พ.ร.บ. ล้างมลทิน แสดงว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ประกอบกับทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความรู้ความสามารถและจบการศึกษาด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ฯ จึงพิจารณาเพิ่มยศ และให้สังกัด ปอท. เพื่อให้เข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน

    “พิจารณาแล้วเห็นว่า ร.ต.อ.ปรากรม ไม่ได้กระทำความผิดจริง อีกทั้งพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้มีความผิดติดตัว และผ่านการนิรโทษกรรม พ.ร.บ. ล้างมลทิน แล้ว ประกอบกับเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ จบปริญญาโทด้านเทคโนโลยี ซึ่งน่าจะสามารถช่วยงานแก้ปัญหาเว็บไซต์หมิ่น และเว็บไซต์ผิดกฎหมายอื่นๆ ได้ จึงเสนอ ก.ตร. ให้รับกลับเข้าราชการอีกครั้ง โดยที่ประชุม ก.ตร. มติเอกฉันท์ ส่วนสาเหตุได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นเนื่องจากที่ประชุมเห็นว่าไม่ได้มีความผิดจริงตามถูกกล่าวหา เมื่อกลับเข้ามาจึงต้องให้สิทธิที่ก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบเสียสิทธิไป” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ในขณะนั้นแจกแจงเหตุผลเมื่อครั้งรับสารวัตรเอี๊ยดกลับเข้ารับราชการ

    สารวัตรเอี๊ยดได้รับคำสั่งให้ช่วยราชการที่ กก.2 บก.ป. โดยได้รับมอบหมายหน้าที่หลักในการตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานและข้อมูลต่างๆ อันเป็นที่มาของการทลายเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.ในคดีหมิ่นเบื้องสูง รวมทั้งมีการตรวจค้นและยึดทรัพย์สินจำนวนมากจนเป็นข่าวโด่งดังในช่วงก่อนหน้านี้

    ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศได้เซ็นคำสั่งไว้เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา วันสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ โดยให้ พ.ต.ต.ปรากรมมาดำรงตำแหน่ง สว.กก.ปพ.บก.ป.ซึ่งจะมีผลในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ แต่ทาง พ.ต.ต.ปรากรม กลับมาถูกจับกุมคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงและถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์มีคำสั่งให้ออกจากราชการในขณะนี้

    เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว สารวัตรเอี๊ยดเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร “คอปส์แมกกาซีน” ฉบับเดือนเมษายน 2558 สรุปใจความได้ว่า เป็นลูกชายของ พล.ต.ท.วัฒนชัย วารุณประภา เป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 4 คน สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมให้ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยที่ประเทศอังกฤษ หลังจากสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรจึงเข้ารับราชการทหารในสังกัดศูนย์การทหารปืนใหญ่

    ในช่วงต้นของการรับราชการตำรวจได้สังกัดศูนย์ข้อมูลข่าวสาร โดยเคยรับหน้าที่เป็นอนุกรรมการจัดซื้อจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ทดแทนระบบคอมพิวเตอร์เดิมที่ล้าสมัย จากนั้นได้เข้าอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศฯ โดยช่วงที่บวชเป็นพระภิกษุและลาสิกขาได้ทำหน้าที่ตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราช เป็นที่มาของคำเรียกว่า “นายเวรพระสังฆราช” ซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลรับใช้ ดูหมายเสด็จ มีนามเรียกขานว่า “นว.รังษี 1” ออกวิทยุสื่อสารประสานงานตำรวจ ต่อมา พ.ต.ต.ปรากรม ได้ถูกกล่าวหาว่าปลอมลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช จากกรณีเรื่องเส้นทางเสด็จของสมเด็จพระสังฆราช จนเป็นสาเหตุที่ถูกให้ออกจากราชการ แต่ภายหลัง พ.ต.ต.ปรากรม พ้นจากข้อกล่าวหาเนื่องจากอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี และผ่าน พ.ร.บ.ล้างมลทิน

    และเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2558 สารวัตรเอี๊ยดเพิ่งได้รับโล่เกียรติยศจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะตำรวจดีเด่น พร้อมเข้ารับโล่จาก พล.ต.อ.สมยศ ก่อนถูกหมายจับพร้อมกับหมอหยองในคดีแอบอ้างสถาบันเรียกรับผลประโยชน์

    สารวัตรเอี๊ยดนั้นถือว่ามีความสนิทสนมและทำงานร่วมกับหมอหยองมาโดยตลอด จนอาจใช้คำว่าอยู่ใน “ก๊วนเดียวกัน” เลยก็คงจะว่าได้

    ด้านนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรืออาท ชัตเตอร์มหาเทพนั้นถือเป็นคนสนิทและทำงานให้กับหมอหยองในฐานะเลขานุการส่วนตัว โดยมักติดสอยห้อยตามหมอหยองไปเข้าร่วมประชุมในที่ต่างๆ เสมอ

    อาท เกิดเมื่อวันที่ 9 ม.ค.2529 ภูมิลำเนาเป็นชาวจังหวัดตรัง เป็นคนบ้านเดียวกับหมอหยอง นามสกุลเดิมคือ “ทองนา” ก่อนที่ภายหลังจะขอจดทะเบียนชื่อสกุลเป็น “วัฒนเทวาศิลป์” เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2558

    จากการตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเฟซบุ๊กส่วนตัว พบว่า มีภาพจำนวนมากที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์กับหมอหยอง ในฐานะเจ้านายอย่างใกล้ชิด รวมทั้งเวลาที่หมอหยองออกงานเข้าพบบุคคลสำคัญ เช่น นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ หรือจะเป็นนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ มหาเศรษฐีอันดับที่ 1 ของประเทศไทย ก็ยังมีรูปถ่ายร่วมกัน

    นอกจากนี้ ยังพบว่า เขายังเคยรับมอบเข็มเครื่องหมาย วชิราวุธ ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ โดยระบุว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญคุณงามความดี มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งยังได้รับเข็มศักดิ์เดช ของกรมทหารปืนใหญ่ 1 รักษาพระองค์ ในฐานะสนับสนุนและสร้างคุณงามความดีให้กับกรมทหาร และกองทัพบก เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาอีกด้วย

    และนั่นคือเรื่องราวของ “หมอหยองแอนด์เดอะแก๊ง” ที่วันนี้ “ดวงแตก” ตกสวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...