ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศก.ไอร์แลนด์ ส่อเค้ากลับมาเติบโตสดใส ขึ้นแท่นดินแดนเศรษฐกิจ “โตสุดในอียู” 2 ปีติด โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2558 21:28 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี / เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - เศรษฐกิจของสาธารณรัฐไอร์แลนด์มีการเติบโตที่ระดับ 1.4 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2015 นี้ ถือเป็นระดับของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มากกว่าคาดการณ์

    สำนักงานสถิติกลางแห่งไอร์แลนด์เผยข้อมูลล่าสุดในวันพฤหัสบดี ( 30 ก.ค.) โดยระบุ เศรษฐกิจของดินแดนยักษ์เขียวในปี 2014 ที่ผ่านมา มีการเติบโตของจีดีพีที่ระดับ 5.2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขการเติบโตที่สูงกว่า ที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าระดับของการเติบโตของเศรษฐกิจไอร์แลนด์จะอยู่ที่ระดับ 4.8 เปอร์เซ็นต์

    ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของไอร์แลนด์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2015 นี้ ซึ่งเป็นไตรมาสล่าสุดที่มีการประมวลผลข้อมูลเสร็จสิ้นระบุว่า พบการเติบโตของจีดีพีที่ระดับ1.4 เปอร์เซ็นต์

    ด้านธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐไอร์แลนด์ เพิ่งออกมาคาดการณ์ในสัปดาห์นี้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไอร์แลนด์ตลอดทั้งปี 2015 นี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 4.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าที่ว่า เศรษฐกิจแดนยักษ์เขียวปีนี้จะเติบโตได้ราว 4 เปอร์เซ็นต์

    ขณะเดียวกัน ระดับของการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2015 ของไอร์แลนด์ ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.1 เปอร์เซ็นต์ จะส่งผลให้ไอร์แลนด์กลายเป็นหนึ่งในดินแดนที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วที่สุดของสหภาพยุโรป (อียู) เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันในปีนี้ และตัวเลขการเติบโตดังกล่าวยังกลับไปอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงปี 2007 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างถึงขีดสุด

    ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ถูกเปิดเผยออกมาล่าสุด ถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกสำหรับเศรษฐกิจของสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในชาติสมาชิกยูโรโซนที่เคยประสบปัญหาหนักทางเศรษฐกิจ จนต้องขอรับความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรปมาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะก้าวออกจากโปรแกรมช่วยเหลือ ได้ก่อนกำหนดในปี 2013


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000086332
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'เฟด'แถลงศก.-แรงงานฟื้นต่อเนื่อง กูรูเชื่อประเดิมขึ้นดอกเบี้ยกันยายน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2558 23:20 น.

    [​IMG]
    @เจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด กล่าวย้ำถึงสองครั้งในเดือนนี้ว่า คาดว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ยปลายปีนี้
    เอเจนซีส์ – ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แถลงในวันพุธ (29 ก.ค.) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ใกล้ 0% ตามเดิม แต่คราวนี้ไม่บอกใบ้ใดๆ ว่าเมื่อใดจะเริ่มการปรับขึ้นไปอย่างที่ลุ้นกันมานาน กระนั้น นักเศรษฐศาสตร์รวมถึงนายแบงก์ในวอลล์สตรีทส่วนใหญ่คาดหมายว่า น่าจะเป็นเดือนกันยายนนี้ โดยตีความจากคำแถลงที่ว่า เศรษฐกิจและตลาดงานของอเมริกายังคงเติบโตเข้มแข็ง

    คำแถลงของเฟด ซึ่งออกมาภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมเป็นเวลา 2 วันของเอฟโอเอ็มซี ระบุว่า เศรษฐกิจอเมริกาขยายตัว “พอประมาณ” และตลาดแรงงานเข้มแข็งขึ้น แต่ตั้งข้อสังเกตว่า การลงทุนในภาคธุรกิจและการส่งออกยัง “เซื่องซึม” อย่างต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังต่ำกว่าเป้าหมายที่เอฟโอเอ็มซีต้องการคือ 2% ถึงแม้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สาเหตุใหญ่มาจากราคาพลังงานขาลงในช่วงปีที่ผ่านมา และสินค้านำเข้าราคาถูกลงอันเนื่องมาจากการแข็งค่าของดอลลาร์

    อย่างไรก็ดี คำแถลงของเอฟโอเอ็มซีคราวนี้ ไม่ได้มีข้อความซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าเมื่อใดจึงจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย

    คริส โลว์ นักวิเคราะห์ของเอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียล มองว่า ถ้อยคำในคำแถลงหนนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากคำแถลงภายหลังการประชุมเอฟโอเอ็มซีครั้งก่อนเพียงเล็กน้อย แสดงให้เห็นเพียงว่าข้อมูลในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เอฟโอเอ็มซีเข้าใกล้เวลาการขึ้นดอกเบี้ยอีกนิด แต่ยังต้องการรอฟังข่าวดีเพิ่มเติมก่อนลงมือ โดยเฉพาะรายงานการจ้างงานสองเดือนต่อไป ก่อนที่จะมีการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 16-17 กันยายน

    ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของเฟด ได้ปักหลักอยู่ที่ 0-0.25% มาตั้งแต่ปลายปี 2008 เพื่อช่วยดึงเศรษฐกิจสหรัฐฯขึ้นจากภาวะถดถอยรุนแรง และเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด กล่าวย้ำถึงสองครั้งในเดือนนี้ว่า คาดว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ยปลายปีนี้

    สถานการณ์ล่าสุดนั้น ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญๆ ถือว่าเข้าใกล้เป้าหมายที่เฟดระบุว่า ต้องการเห็นก่อนที่จะปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติหลังจากใช้มาตรการผ่อนคลายมานานหลายปี กล่าวคืออัตราว่างงานลดลงอยู่ที่ 5.3% ในเดือนมิถุนายน ซึ่งถือเป็นสถิติต่ำสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นอยู่ที่ 1.8% ในเดือนมิถุนายนเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว

    กระนั้น แม้แสดงความมั่นใจว่า กิจกรรมเศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เยลเลนยังแสดงความกังวลกับจุดอ่อนบางอย่าง เช่น อัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานยังต่ำมากที่ 62.6% ขณะที่การจ้างงานชั่วคราวสูง และการขยายตัวของค่าแรงยังคงอยู่ในระดับต่ำ

    เยลเลนยังย้ำมาตลอดว่า หากเฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้การฟื้นตัวหยุดชะงัก โดยจะขึ้นทีละน้อยและเว้นระยะเพื่อประเมินผลที่เกิดขึ้นจากต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น

    ทางด้าน เอียน เชปเพิร์ดสัน นักเศรษฐศาสตร์ของแพนทีออน แมกโครอิโคโนมิกส์ แสดงความเห็นว่า เฟดยังคงเปิดทางเลือกในการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้เช่นเดิม

    ส่วนไมเคิล แฮนสัน นักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ มองว่า การใช้ถ้อยคำที่ดูมั่นใจมากขึ้นของเฟดเกี่ยวกับตลาดแรงงานบ่งชี้ว่า ผู้วางนโยบายเข้าใกล้จุดที่จะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และเขาคาดว่า น่าจะเป็นเดือนกันยายนเช่นกัน

    สอดคล้องกับการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์และนายธนาคารในวอลล์สตรีทโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ในช่วงก่อนหน้านี้ที่พบว่า ส่วนใหญ่คาดว่า เศรษฐกิจอเมริกาจะฟื้นตัวต่อเนื่องและเฟดจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายน



    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000086360
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิกิลีกส์แฉอีกรอบ บอกมะกันสอดแนมญี่ปุ่นเพื่อนซี้มาหลายปีแล้ว โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 กรกฎาคม 2558 17:28 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - "วิกิลีกส์" เผยแพร่เอกสารสำคัญในวันศุกร์ (31 ก.ค.) ที่ระบุว่าสหรัฐอเมริกาได้ทำการสอดแนมนักการเมืองอาวุโสของญี่ปุ่น กับนายธนาคารระดับสูงและบริษัทใหญ่หลายแห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทในเครือมิตซูบิชิ รายชื่อเป้าหมายที่ถูกเผยแพร่ครั้งนี้มีอย่างน้อย 35 ราย

    ก่อนหน้านี้ทางวิกิลีกส์เคยอ้างว่า สหรัฐอเมริกาทำการจารกรรมข้อมูลของมิตรประเทศอย่างเยอรมันและฝรั่งเศสมาแล้ว

    วิกิลีกส์ไม่ได้ระบุชัดเจนในครั้งนี้ว่ามีการดักฟังโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ แต่สมาชิกอาวุโสในรัฐบาลของเขา อาทิ รัฐมนตรีพาณิชย์ "โยอิชิ มิยาซาวะ" กับผู้ว่าการแบงก์ชาติของญี่ปุ่น "ฮารุฮิโกะ คุโรดะ" อยู่ในกลุ่มผู้ที่ตกเป็นเป้าสอดแนมของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ

    ญี่ปุ่นคือหนึ่งในพันธมิตรรายสำคัญแถบภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ซึ่งมักจะหารือกันอย่างสม่ำเสมอทั้งในด้านกลาโหม เศรษฐกิจและการค้า

    การสอดแนมนั้นเริ่มขึ้นในช่วงสมัยการบริหารประเทศเทอมแรกของอาเบะเป็นอย่างน้อย ซึ่งเริ่มขึ้นช่วงปี 2006 ก่อนที่เขาจะกลับมาบริหารประเทศอีกครั้งช่วงปลายปี 2012

    วิกิลีกส์ ระบุว่า หลายรายงานแสดงให้เห็นถึงการจับตารัฐบาลญี่ปุ่นอย่างเข้มงวด มีการรวบรวมและประมวลข่าวกรองจากเจ้าหน้าที่และรัฐมนตรีของญี่ปุ่นหลายคน

    "เอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงข้อมูลลึกที่เกี่ยวกับการปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ ที่เป็นกิจการภายในของญี่ปุ่น ทั้งประเด็นในด้านการค้า นิวเคลียร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ รวมถึงเรื่องอื่นๆ" วิกิลีกส์ ระบุ

    รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่ออกมาแสดงปฏิกิริยาใดๆ เกี่ยวกับเอกสารที่วิกิลีกส์เผยแพร่ในครั้งนี้


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000086615
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มาเลเซีย “ค่อนข้างแน่ใจ” ซากเครื่องบินที่พบบนเกาะกลางมหาสมุทรอินเดีย เป็นของ “Boeing 777” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2558 15:58 น. (แก้ไขล่าสุด 30 กรกฎาคม 2558 19:47 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - มาเลเซีย “ค่อนข้างแน่ใจ” ว่าซากเครื่องบินที่พบบนเกาะเรอูว์นียงในมหาสมุทรอินเดียมาจากเครื่องบินโบอิ้ง 777 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวในวันนี้ (30 ก.ค.) ตอกย้ำความเป็นไปได้ที่ซากเครื่องบินดังกล่าวอาจเป็นซากชิ้นส่วนจากเที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายไป

    สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สใช้เครื่องบินโบอิ้ง 777 ในเที่ยวบินมรณะดังกล่าวซึ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ขณะอยู่ระหว่างเส้นทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปกรุงปักกิ่ง โดยถือเป็นหนึ่งในปริศนาที่เร้นลับที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน ทั้งนี้ เครื่องบินลำดังกล่าวบรรทุกผู้โดยสายและลูกเรือรวม 239 คน

    ความพยายามค้นหาที่นำโดยออสเตรเลียได้ทุ่มกำลังมุ่งเน้นที่น่านน้ำอันกว้างขวางของมหาสมุทรอินเดียตอนใต้นอกชายฝั่งออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะเรอูว์นียงของฝรั่งเศสราว 3,700 กิโลเมตร

    มีอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับโบอิ้ง 777 อยู่ 4 ครั้งในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่ที่อากาศยานลำตัวกว้างรุ่นนี้เริ่มถูกนำมาใช้งาน แต่มีเพียง MH370 ลำเดียวเท่านั้นที่ถูกคาดคะเนว่าตกบริเวณทางใต้ของเส้นศูนย์สูตร

    หน่วยงานสืบสวนเหตุเครื่องบินตกของฝรั่งเศส (บีอีเอ) ระบุว่า พวกเขากำลังตรวจสอบซากชิ้นส่วนดังกล่าว ที่ถูกพบว่าถูกซัดขึ้นมาบนเกาะเรอูว์นียงทางตะวันออกของมาดากัสการ์เมื่อวานนี้ (29) ร่วมกับทางการมาเลเซียและออสเตรเลีย แต่ชี้ว่า มันยังเร็วเกิดไปที่จะร่างข้อสรุป

    บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการบินซึ่งได้เห็นภาพของซากดังกล่าว ระบุว่า มันอาจเป็นส่วน “flaperon” ของปีกเครื่องบิน ซึ่งอยู่ใกล้กับลำตัวเครื่องบิน

    อับดุล อาซิส คาปราวี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมของมาเลเซียกล่าวว่า “มันค่อนข้างแน่นอนว่าส่วน “flaperon” ดังกล่าวมาจากเครื่องบินโบอิ้ง 777 หัวหน้าทีมสืบสวนของเราบอกกับผมเช่นนั้น”

    อับดุล อาซิส กล่าวว่า ทีมมาเลเซียกำลังมุ่งหน้าไปที่เกาะเรอูว์นียง ซึ่งอยู่ห่างจากมาดากัสการ์ไปทางตะวันออกราว 600 กิโลเมตร และเสริมว่า จะใช้เวลาประมาณ 2 วันในการพิสูจน์ยืนยันว่าชิ้นส่วนดังกล่าวมาจาก MH370 หรือไม่

    บุคคลผู้หนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับเรื่องนี้บอกกับรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ว่า ชิ้นส่วนดังกล่าวมาจากโบอิ้ง 777 เกือบจะแน่นอนทีเดียว เขาระบุด้วยว่า โดยปกติแล้วชิ้นส่วนนี้จะมีเครื่องหมายหรือหมายเลขชิ้นส่วนที่น่าจะทำให้ตามรอยได้ว่าเป็นของเครื่องบินลำใด

    ทีมสืบสวนเชื่อว่ามีใครบางคนจงใจปิดเครื่องรับส่งเรดาห์ของ MH370 ก่อนที่มันจะหันเหออกไปจากเส้นทางหมายพันไมล์ ทั้งนี้ ผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าวส่วนมากเป็นชาวจีน ด้านปักกิ่งระบุว่ากำลังติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิสราเอลผ่าน กม.บังคับให้อาหารนักโทษประท้วงอดข้าว กลุ่มสิทธิฯ รุมด่าขรม โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2558 17:37 น. (แก้ไขล่าสุด 30 กรกฎาคม 2558 19:56 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - รัฐสภาอิสราเอลผ่านกฎหมายอนุญาตให้ทางการสามารถบังคับให้อาหารนักโทษที่ประท้วงอดอาหารจนเสี่ยงเสียชีวิตได้ในวันนี้ (30 ก.ค.) โฆษกระบุ นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิต่างๆและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์

    กฎหมายฉบับดังกล่าวซึ่งมีเป้าหมายเพื่อขัดขวางไม่ให้นักโทษกลุ่มติดอาวุธชาวปาเลเสไตน์กดดันอิสราเอลด้วยการปฏิเสธอาหาร ได้รับเห็นชอบในเบื้องต้นเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2014 ในช่วงที่กระแสการประท้วงอดหารของนักโทษชาวปาเลสไตน์แพร่หลายสูงสุด และช่วงที่นักโทษหลายสิบคนถูกส่งเข้าโรงพยาบาล

    ในขณะที่กฎหมายฉบับดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงชาวปาเลเสไตน์โดยเฉพาะเจาะจง กิลาด เออร์ดัน รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงภายใน ซึ่งเป็นแกนนำการออกกฎหมายนี้ ระบุว่า มันมีความจำเป็นนับตั้งแต่ที่ “การประท้วงอดอาหารของผู้ก่อการร้ายในเรือนจำกลายเป็นเครื่องมือในการข่มขู่อิสราเอล”

    กฎหมายฉบับดังกล่าวซึ่งผ่านด้วยเสียงโหวต 46 ต่อ 40 เสียง “จะถูกใช้เฉพาะเมื่อหากแพทย์ระบุว่า การประท้วงอดอาหารจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตของนักโทษคนใดคนหนึ่งในทันที หรือสร้างความเสียหายต่อสุขภาพของเขาในระยะยาว” เดวิด อัมซาเล็ม จากพรรครัฐบาลลิคุด กล่าว

    อย่างไรก็ตาม บรรดาสมาชิกฝ่ายค้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายฉบับนี้อย่างรุนแรง โดยกลุ่มพรรคจอยท์ลิสต์ของชาวอาหรับวิจารณ์มันว่าเป็น “กฎหมายเพื่อทรมานนักโทษชาวปาเลสไตน์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อทำลายการต่อสู้โดยชอบธรรมของพวกเขา”

    สมาคมการแพทย์อิสราเอลกระบุว่ากฎหมายฉบับนี้ “อันตรายและไม่จำเป็น” และเน้นย้ำในวันนี้ (30) ว่า แพทย์ของทางสมาคมจะ “ยังคงทำตามจรรณยาบรรณทางการแพทย์ ซึ่งห้ามไม่ให้แพทย์มีส่วนร่วมในการทรมานนักโทษ”

    ทางสมาคมระบุว่า การบังคับให้อาหาร “เท่ากับการทรมาน”

    กลุ่มแพทย์เพื่อสิทธิมนุษยชนในอิสราเอล (Physicians for Human Rights Israel) ระบุว่า กฎหมายอันน่าอับอายฉบับนี้เผยให้เห็น “โฉมหน้าต่อต้านประชาธิปไตย” ของรัฐสภาอิสราเอล และกล่าวว่า พวกเขาจะเดินหน้าคัดค้านกฎหมายฉบับนี้และการบังคับใช้มัน และ “สนับสนุนใครก็ตามที่จะไม่ยอมทำตามกฎหมายฉบับนี้”

    โฆษกหญิงของทั้งสองกลุ่มระบุว่า พวกเขากำลังพิจารณายื่นคำร้องคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ต่อศาลสูง

    Addameer กลุ่มเพื่อสิทธิของนักโทษชาวปาเลสไตน์ ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นช่องทางเพื่อสร้าง “เกราะคุ้มกันทางกฎหมาย” ให้กับการทรมานนักโทษของอิสราเอล พร้อมกล่าวว่ามันจะเปิดทางให้สามารถ “สังหารนักโทษที่ประท้วงอดหารได้เพิ่มเติม” นอกเหนือจาก 5 คนที่เสียชีวิตเพราะการบังคับให้อาหารในเรือนจำอิสราเอลเมื่ออดีต

    ข้อมูลจากสมาคมเพื่อสิทธิพลเรือนในอิสราเอลระบุว่า นักโทษส่วนใหญ่ที่ประท้วงอดอาหารเป็นชาวปาเลสไตน์ในการคุมขังโดยอำนาจพิเศษของฝ่ายบริหาร (administrative detention) ซึ่งกักขังพวกเขาเป็นเวลา 6 เดือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีการตั้งข้อหา

    โฆษกหญิงของสำนักงานเรือนจำอิสราเอลเปิดเผยว่า ปัจจุบันมีชาวปาเลสไตน์หนึ่งคน ซึ่งถูกคุมขังด้วยอำนาจพิเศษของฝ่ายบริหารและ “นักโทษความมั่นคง” 4 คนที่ทำการประท้วงอดอาหารเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัสเซียยื่นวีโต้ค้านมติยูเอ็น เรื่องตั้งศาลไต่สวนพิเศษหาตัวคนสอย MH17 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2558 18:17 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - รัสเซียได้ทำการยื่นวีโต้คัดค้านมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันพุธ (29 ก.ค.) เรื่องจัดตั้งศาลพิเศษขึ้นมาพิจารณาหาผู้รับผิดชอบการยิงเที่ยวบิน MH17 จนตกในภาคตะวันออกของยูเครน

    สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง 11 ชาติจากทั้งหมด 15 ชาติ ได้โหวตเห็นชอบกับมตินี้ ที่ถูกร่างขึ้นมาโดย ออสเตรเลีย , เบลเยียม , มาเลเซีย , เนเธอร์แลนด์และยูเครน ขณะที่ แองโกลา , จีน , เวเนซุเอลา เป็น 3 ชาติที่งดออกเสียง

    การประชุมเริ่มต้นด้วยการสงบนิ่งไว้อาลัยเพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้เสียชีวิต 298 ราย จากเหตุการณ์เครื่องบินตกในวันที่ 17 กรกฎาคม 2014

    มตินี้ได้รับการสนับสนุนโดยอังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา ซึ่งกล่าวหากลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนฝักใฝ่รัสเซียว่าเป็นผู้ยิงเครื่องบินโบอิ้ง 777 ด้วยจรวดภาคพื้นดินสู่อากาศ "บุ้ค" ที่ได้มาจากแดนหมีขาว

    รัสเซียได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องพร้อมทั้งกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือกองทัพยูเครน ซึ่งเมื่อวันพุธ "วิตาลี ชูร์คิน" เอกอัครราชทูตและเป็นผู้แทนถาวรของรัสเซียประจำสหประชาชาติ ได้พยายามปกป้องการกระทำของรัสเซีย

    ชูร์คินบอกว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนของรัสเซียถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงบริเวณพื้นที่จุดตกอย่างเท่าเทียมกับชาติอื่น โดยวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการดำเนินการแบบปกปิดข้อมูล

    "อะไรที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการลำเอียงในการสืบสวนแบบนี้" ชูร์คิน กล่าวต่อคณะมนตรีฯ พร้อมทั้งตำหนิการโฆษณาชวนเชื่อที่แสนอุกอาจผ่านสื่อต่างๆ

    ชาติมหาอำนาจตะวันตกในคณะมนตรีฯ รวมถึงออสเตรเลียและเนเธอร์แลนด์ที่มีพลเรือนอยู่บนเครื่องบินลำนั้นมากที่สุด พากันตำหนิรัสเซียสำหรับการยื่นวีโต้คัดค้านมติคณะมนตรีฯ ในครั้งนี้

    พวกเขายืนกรานว่า การยื่นวีโต้ของรัสเซียนั้นไม่อาจจะหยุดยั้งความพยายามที่จะจัดตั้งกระบวนการยุติธรรมในระดับสากลเพื่อลงโทษคนผิด

    "มันช่างน่าอนาถใจที่รัสเซียใช้สิทธิพิเศษที่ได้รับ มาทำลายสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ" ซาแมนธา เพาเวอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าว

    เพาเวอร์ระบุ สหรัฐอเมริกาเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าผู้ก่ออาชญากรรมนี้จะมิอาจปิดบังตัวตนและรอดพ้นการลงโทษไปได้

    "ไม่มีวันรอดไปได้และจะไม่มีการละเว้นโทษด้วย" เพาเวอร์ กล่าว

    จูลี บิชอป รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย ชาติที่มีพลเรือน 39 ราย เสียชีวิตจากเที่ยวบิน MH17 ได้เข้าร่วมประชุมคณะมนตรีฯ และตำหนิรัสเซียอย่างรุนแรง

    "ในโลกที่กลุ่มก่อการร้ายและพวกองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที นึกไม่ถึงเลยว่าคณะมนตรีความมั่นคงจะต้องหันหลังให้กับการจัดการพวกที่ยิงเครื่องบินพาณิชย์ การวีโต้ครั้งนี้มีส่วนทำให้เกิดเรื่องที่เลวร้าย บรรดาข้อแก้ตัวและการปกปิดสร้างความสับสนของสหพันธรัฐรัสเซีย ควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างดูแคลนถึงที่สุด" บิชอป กล่าว

    บิชอปได้รับปากกับครอบครัวและเพื่อนของบรรดาผู้เสียชีวิตว่า ออสเตรเลียจะเดินหน้าทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้กระทำความผิดอันแสนป่าเถื่อนนี้จะถูกจัดการ

    บิชอปบอกด้วยว่า ออสเตรเลียและชาติสมาชิกอื่นๆ ที่ร่วมทำการสืบสวน จะตัดสินใจใช้กลไกการดำเนินคดีที่เป็นทางเลือกอื่น เพื่อให้แน่ใจว่าความจริงจะถูกเปิดเผยและพวกที่ลงมือก่อเหตุนั้นจะถูกนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

    ด้านนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย "โทนี แอบบอตต์" ก็ได้กล่าวไปในทิศทางเดียวกับรัฐมนตรีของเขา โดยเรียกการวีโต้ของรัสเซียว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก

    "จากการกระทำ รัสเซียได้แสดงให้เห็นเต็มที่เลยว่าไม่สนใจถึงสิทธิ์ของบรรดาครอบครัวผู้ตาย ที่จะได้รับรู้ว่าใครเป็นคนลงมือก่อเหตุ รวมถึงการได้เห็นคนร้ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม" แอบบอตต์ ระบุในคำแถลง

    เบิร์ท โคเอนเดอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้แสดงออกถึงความผิดหวังอย่างสุดซึ้ง พร้อมทั้งบอกว่า เขานึกถึงบรรดาครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่ตั้งความหวังไว้กับการจัดตั้งศาลไต่สวนพิเศษนี้

    ทั้งนี้ ผู้โดยสารบนเที่ยวบิน MH17 เส้นทางอัมสเตอร์ดัม-กัวลาลัมเปอร์ ส่วนใหญ่เป็นชาวดัตช์

    MH17 ถูกยิงตกจากท้องฟ้าเหนือพื้นที่การควบคุมของกลุ่มกบฏในภาคตะวันออกของยูเครน ช่วงที่มีการสู้รบกันอย่างหนักระหว่างกองกำลังฝ่ายรัฐบาลยูเครนกับกบฏแบ่งแยกดินแดนฝักใฝ่รัสเซีย

    พาฟโล คลิมคิน รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ได้กล่าวหารัสเซียแบบตรงๆ เลยว่า "ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะคัดค้านมตินี้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง"

    "ศาลไต่สวนพิเศษนี้มันเกี่ยวกับการค้นหาความจริง ถ้าคุณกลัวความจริง คุณก็อยู่ผิดข้างแน่นอน" คลิมคิน กล่าว

    ก่อนที่จะมีการโหวตเสียงกัน รัฐมนตรีคมนาคมของมาเลเซียได้วิงวอนต่อคณะมนตรีฯ ให้ผ่านมติ พร้อมทั้งบอกว่า ศาลไต่สวนพิเศษนี้เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดในการมอบความยุติธรรมให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต

    "ผู้ที่ต้องเดินทางทางอากาศทั้งหมดคงจะมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น หากผู้กระทำผิดในเหตุการณ์นี้ไม่ถูกจัดการ" เหลียว เตียง ไหล กล่าว

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000086288
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics : เตรียมรับสังคมสูงอายุ!! ยูเอ็นชี้ คนไทยจะอยู่นานขึ้นถึง 87 ปี ปชก.หดเหลือ 41 ล้านก่อนปี 2100 - ไม่เกิน 7 ปี อินเดียแซงหน้าจีน "รั้งตำแหน่งคนมากที่สุดในโลก" โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2558 18:52 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ – องค์การสหประชาชาติออกแถลงการณ์ผ่านรายงานประจำปี 'World Population Prospects: The 2015 Revision' ในวันพุธ(29) คาดการณ์ถึงจำนวนประชากรในโลกว่า ก่อนปี 2022 อินเดียจะมีจำนวนประชากรสูงสุดแซงหน้าจีนไปได้ และในส่วนของไทยนั้น จากรายงานฉบับเดียวกันนี้พบว่า จำนวนประชากรของไทยในช่วงระหว่างปี 2015 -2100 จะมีจำนวนประชากรเพิ่มสูงสุดในปี 2030 อยู่ที่ 68 ล้านคนโดยประมาณ และมีแนวโน้มลดลงต่ำสุดในปี 2100 อยู่ที่ 41 ล้านคน แต่ทว่าในช่วงปีเดียวกันนี้(2100) คนไทยจะมีอายุยืนยาวนานขึ้นถึง 87 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับปี 1995 ที่คนไทยมีอายุยืนโดยเฉลี่ยแค่ 75 ปีเท่านั้น และมีการคาดการณ์ว่า สังคมเอเชียก่อนปี 2050 จะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งแนวโน้มนี้ปรากฏชัดเจนในสังคมยุโรป

    อีโคโนมิค ไทม์ส สื่อธุรกิจรายงานเมื่อวานนี้(29)ว่า ทั้งจีนและอินเดียสองชาติยักษ์ใหญ่ที่มีจำนวนประชากรสูงที่สุดในโลก ซึ่งประเทศทั้งสองต่างมีจำนวนประชากรเหยียบไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านคน

    โดยจีนมีประชากรคิดเป็นสัดส่วน 19% และอินเดีย 18% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในโลก สื่อธุรกิจชี้

    “แต่ทว่าก่อนปี 2022 มีการคาดกันว่า ตัวเลขจำนวนประชากรอินเดียจะแซงหน้าจีนขึ้นไป” รายงานจากรายประจำปีขององค์การสหประชาชาติ 'World Population Prospects: The 2015 Revision'

    และอีโคโนมิค ไทม์สยังกล่าวต่อไปว่า เมื่อพิจารณาดูจากประเทศที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นตามภูมิภาคต่างๆของโลก จะพบว่า ในทวีปแอฟริกา ไนจีเรียเป็นประเทศที่มีจำนวนคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ส่วนทวีปเอเชีย องค์การสหประชาชาติชี้ว่า มีอยู่ถึง 5 ประเทศที่มีประชากรอาศัยมากที่สุด ประกอบไปด้วย บังกลาเทศ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และปากีสถาน ส่วนในทวีปลาตินอเมริกา อีโคโนมิค ไทม์ส รายงานว่า มี 2 ประเทศที่มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากคือ บราซิล และ เม็กซิโก และส่วนในทวีปอเมริกาเหนือ มี 1 ประเทศที่รู้จักดีคือ สหรัฐฯ นอกจากนี้ ในส่วนทวีปยุโรป รัสเซียเป็นเพียงชาติเดียวที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น

    แต่อย่างไรก็ตาม จากรายงานของยูเอ็นชี้ว่า เป็นที่จับตาว่า ไนจีเรียถือเป็นชาติที่มีอัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็วมากที่สุดในเวลานี้ ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์ว่า ก่อนปี 2050 ไนจีเรียจะมีจำนวนประชากรแซงหน้าสหรัฐฯไป

    และในรายงานประจำปี 2015 ยังระบุอีกว่า ก่อนปี 2050 องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า 6 ประเทศที่ประกอบไปด้วย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ไนจีเรีย ปากีสถาน และสหรัฐฯ จะมีจำนวนประชากรเกิน 300 ล้านคน

    นอกจากนี้เมื่อพิจารณาดูในส่วนกลุ่มประชากรสูงอายุทั่วโลก อีโคโนมิค ไทมส์ชี้ว่า ในรายงานขององค์การสหประชาชาติระบุเพิ่มเติมว่า ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้ จำนวนประชากรสูงวัยที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปีในยุโรปนั้นจะมีสัดส่วนมากถึง 34% ของประชากรทั้งหมดก่อนปี 2025

    และอีโคโนมิค ไทม์ส ยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับในกลุ่มประชากรสูงวัยที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปีในแถบลาตินอเมริกา แคริบเบียน และเอเชีย คาดจะเห็นการเปลี่ยนแปลงตัวเลขจาก 11% ไป 12% ในปัจจุบันนี้ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 25% ก่อนปี 2050 อย่างแน่นอน

    และในรายงานของยูเอ็นยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับกลุ่มประชากรเด็กในทวีปแอฟริกาคิดได้ว่า เป็นสัดส่วนมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มช่วงอายุอื่นๆ แต่ทว่าเมื่อพิจารณาถึงจำนวนประชากรสูงวัยในแดนกาฬทวีปแล้ว รายงานฉบับนี้ระบุว่าจะมีประชากรแอฟริกันที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% ของประชากรทั้งหมดในปัจจุบันนี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 9% ก่อนปี 2050

    สื่อธุรกิจยังเปิดเผยถึงตัวเลขจำนวนประชากรรวมทั้งหมดของโลกในปัจจุบันจากรายงานประจำปีขององค์การสหประชาชาติว่า ในปัจจุบันนี้มีจำนวนประชากรโลกราว 7.3 พันล้าน คน และคาดว่าจะมีจำนวนประชากรโลกแตะ 8.5 พันล้านก่อนปี 2030 และจำนวนประชากรโลกรวมถึง 9.7 พันล้านก่อนปี 2050 และมีจำนวนประชากรโลกโดยรวมที่ 11.2 พันล้านคนในปี 2100 เป็นต้น

    ซึ่งยูเอ็นระบุว่า สาเหตุที่มีจำนวนประชากรโลกเคลื่อนตัวในทิศทางบวก เกิดมาจากกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางด้านประชากรอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในทวีปแอฟริกา หรืออยู่ในส่วนประเทศที่มีประชากรเป็นจำนวนมากอยู่ก่อนแล้ว

    อีโคโนมิค ไทม์ส ยังรายงานเพิ่มอีกว่า และเมื่อพิจารณาในช่วงระหว่างปี 2015-2050 รายงานประจำปีของยูเอ็นระบุเพิ่มเติมว่า มีการคาดการณ์ว่า ครึ่งหนึ่งของอัตราการเกิดประชากรโลกจะกระจุกตัวใน 9 ประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย อินเดีย ไนจีเรีย ปากีสถาน สาธารณรัฐคองโก เอธิโอเปีย แทนซาเนีย สหรัฐฯ อินโดนีเซีย และอูกันดา

    และเมื่อพิจารณาในส่วนของไทยอ้างอิงจากรายงานประจำปีขององค์การสหประชาชาติประจำปี 2015 ASTVผู้จัดการออนไลน์พบว่า จำนวนประชากรของไทยในช่วงระหว่างปี 2015 -2100 จะมีจำนวนประชากรเพิ่มสูงสุดในปี 2030 อยู่ที่ 68 ล้านคนโดยประมาณ และมีแนวโน้มที่การเติบโตประชากรจะลดลงต่ำสุดในปี 2100 อยู่ที่ 41ล้านคนซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการคาดการณ์ในรายงานฉบับนี้

    โดยในปี 2015 ซึ่งเป็นปีปัจจุบัน จากรายงานระบุว่า ไทยมีจำนวนประชากรทั้งสิ้นราว 67,959,000 คน และจะเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 68,250,000 คนในปี 2030 และหลังจากนั้นประชากรจะลดลงมาอยู่ที่ 62,452,000 คนในปี 2050 และจะเหลืออยู่แค่ 41,604,00 คนในปี 2100 ซึ่งดูจะสอดคล้องกับอัตราเจริญพันธุ์โดยเฉลี่ยที่ไทยรั้งอันดับ 8 ใน 10 อันดับแรกของกลุ่มประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์ต่ำสุด

    และนอกจากนี้ASTVผู้จัดการออนไลน์ พบว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า ในช่วงระหว่างปี 1950 – 2100 ฐานจำนวนประชากรกลุ่มช่วงอายุที่มีจำนวนมากที่สุดในไทยในแต่ละปี มีแนวโน้มที่จะมีฐานกลุ่มอายุเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับจาก 18.6 ปี ไปจนถึง 51.9 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ที่การเปลี่ยนแปลงของช่วงอายุของกลุ่มฐานประชากรที่กว้างที่สุดในแต่ละปีนั้นไม่แตกต่างกันมากนักที่ระหว่าง 30 ปี ไปจนถึง 44 ปี ซึ่งถือเป็นกลุ่มวัยทำงาน สร้างรายได้ให้ประเทศ

    กล่าวคือ ในปี 1950 ไทยมีฐานประชากรในช่วงอายุ 18.6 ปี กว้างมากที่สุด ส่วนฐานประชากรในช่วงอายุ 19.7 ปีเป็นกลุ่มที่เป็นฐานกว้างที่สุดในปี 1980 ส่วนปี 2015 ไทยมีฐานประชากรในกลุ่มช่วงอายุ 38.0 ปี กว้างมากที่สุด และในปี 2030 กลุ่มคนที่มีอายุราว 44.8 ปีจะมีจำนวนมากที่สุดในไทยโดยเฉลี่ย และในปี 2050 ไทยจะมีฐานประชากรในช่วงอายุ 50.6 ปีกว้างมากที่สุด ส่วนปี 2100 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย คาดว่าไทยจะมีฐานประชากรกว้างมากที่สุดคืออยู่ในกลุ่มช่วงอายุ 51.9 ปี

    ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ในช่วงระหว่างปี 1950 – 2100 ASTVผู้จัดการออนไลน์พบว่า ฐานประชากรที่กว้างมากที่สุดในปี 1950 และ 1980 คือคนกลุ่มอายุ 30 ปี ขณะที่ในปี 2015 สหรัฐฯมีประชากรกลุ่มช่วงอายุ 38 ปี จำนวนมากที่สุดในประเทศโดยเฉลี่ย และในปี 2030 สหรัฐฯมีกลุ่มช่วงอายุ 40 ปีมากที่สุด นอกจากนี้ในปี 2050 ฐานประชากรที่กว้างที่สุดของสหรัฐฯอยู่ในกลุ่มช่วงอายุ 41.7 ปี และในปี 2100 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย สหรัฐฯจะมีประชากรอยู่ในช่วงอายุ 44.7 ปีมากที่สุด

    นอกจากนี้ รายงานประชากรโลกของยูเอ็นยังกล่าวไปถึงอัตราเจริญพันธุ์(Fertility Rate) ซึ่งเป็นหน่วยจำนวนบุตรเฉลี่ยที่ผู้หญิงแต่ละคน สามารถให้กำเนิดได้ เช่น สมมุติว่า ในปี 2009 ผู้หญิงไทยแต่ละคนจะมีลูกเฉลี่ย 1.8 คน ซึ่งหมายถึงประชากรของไทยกำลังลดลง

    ทั้งนี้จากรายงาน 'World Population Prospects: The 2015 Revision' บ่งชี้ว่า ในช่วงระหว่างปี 2025-2030 และ 2045-2050 พบว่า ไทยติดโผรั้งอันดับ 8 เท่ากันของ 10 ประเทศแรกที่มีอัตราเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดในโลก คืออยู่ที่ 1.43 และ 1.58 ตามลำดับ

    และในรายงานฉบับเดียวกันนี้ยังคาดการณ์ไปถึงอัตราอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด (Life Expectancy at Birth) หรือจำนวนปีที่คาดว่าคนจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย

    โดยในช่วงระหว่างปี 1990 – 2100 องค์การสหประชาชาติระบุว่า ไทยมีแนวโน้มที่คนไทยจะมีอายุยืนยาวขึ้น โดยในช่วงระหว่างปี 1990- 1950 พบว่าไทยมีอัตราอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดอยู่ที่ 70.2 ปี และในส่วนช่วงระหว่างปี 2010-2015 2015 คาดว่าไทยจะมีอัตราอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดที่อายุ 74.1 ปี ส่วนช่วงระหว่างปี 2015-2020 มีค่าเฉลี่ยที่ 75.1 ปี และในช่วงระหว่างปี 2095 - 2100 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้าย คนไทยจะมีอัตราอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดอยู่ที่ 87.0 ปี เป็นต้น


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000086295
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดินถล่มในเนปาล ฝัง 2 หมู่บ้านจมมิด คร่าชีวิตไปร่วม 15 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2558 18:58 น.

    [​IMG]

    เอพี/รอยเตอร์ – วันนี้(30)เกิดดินถล่มขึ้นในลูเมิล( Lumle )ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางตะวันตกราว 200 กม. ซึ่งสถานที่เกิดเหตุเป็นบริเวณเทือกเขา และเหตุเกิดหลังจากฝนตกหนักตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ทำให้หมู่บ้านในพื้นที่จำนวน 2 แห่งถูกฝังใต้ธารดินทันที มีผู้เสียชีวิตไปไม่ต่ำกว่า 15 ราย

    กระทรวงมหาดไทยเนปาลเปิดเผยในวันพฤหัสบดี(30)ว่า มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 11 คน ในเหตุการณ์ดินถล่มหลังจากฝนตกหนักในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา และทำให้หมู่บ้านในเขตลูเมิล ( Lumle )ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางตะวันตกราว 200 กม.ถูกฝังจมมิด

    มีบ้านเรือนอย่างน้อย 22 หลังถูกทำลายราบ ซึ่งเขตลูเมิลนั้นอยู่ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางตะวันตกราว 200 กม.

    เอพีรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถดึงอย่างน้อย 4 ร่างออกจากบริเวณจุดถล่มใกล้กับหมู่บ้านดูเธ( Dudhe) ในวันพฤหัสบดี(30) ในขณะที่ เบช ราจ ปาราจูลี (Bhesh Raj Parajuli )เจ้าหน้าที่หมู่บ้านกล่าวว่า สะพาน 2 แห่งที่เชื่อมหมู่บ้านได้พังลงมา และถูกพัดพาไป

    และมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวน 13 คนจากเหตุดินถล่มในบริเวณเทือกเขา และเกิดน้ำท่วมฉับพลันบริเวณที่ราบทางใต้ของประเทศ

    [​IMG]

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000086153
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ออสเตรเลีย “มั่นใจ” ค้นหา MH370 ถูกพื้นที่แล้ว โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    31 กรกฎาคม 2558 13:25 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – ออสเตรเลียระบุในวันนี้ (31) ว่า พวกเขามั่นใจว่าการค้นหา MH370 มีขึ้นถูกพื้นที่แล้ว และซากเครื่องบินที่พบบนเกาะเรอูว์นิยงถูกซัดมาตามกระแสน้ำจากพื้นที่ดังกล่าวที่พวกเขากำลังตระเวนค้นหาอยู่

    “เรายังคงมั่นใจว่า เรากำลังค้นหาถูกพื้นที่แล้ว และหากในความเป็นจริงชิ้นส่วนเครื่องบินดังกล่าวที่ถูกพบบนเกาะเนอูว์นิยงมีส่วนเกี่ยวโยงกับ MH370 นั่นจะยิ่งให้น้ำหนักกับประเด็นที่ว่าเราอยู่ในพื้นที่ที่ถูกต้องแล้ว” วอร์เรน ทรัสซ์ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน กล่าว

    “นี่ไม่ใช่การพิสูจน์ในแง่บวก แต่ความจริงที่ว่าซากชิ้นส่วนดังกล่าวถูกพบบนพื้นที่ทางเหนือของเกาะรีอูว์นิยงนั้นสอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของกระแสน้ำ มันสัมพันธ์กับสิ่งที่เราอาจคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อมเหล่านี้”

    ออสเตรเลียเป็นหัวเรียวหัวแรงในการค้นหาเครื่องบินลำดังกล่าวของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส นับตั้งแต่มันหายสาบสูญไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมปีที่แล้ว ขณะบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปกรุงปักกิ่งพร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่อง 239 ชีวิต

    [​IMG]
    ตำรวจฝรั่งเศสตรวจวัตถุที่เข้าใจว่าเป็นชิ้นส่วนซึ่งหลุดออกจากเครื่องบินเมื่อวันพุธ (29 ก.ค.) ชิ้นส่วนนี้ถูกคลื่นซัดเกยหาดบนเกาะลาเรอูว์เนียง อาณานิคมของฝรั่งเศสในมหาสมุทรอินเดีย

    ข้อมูลดาวเทียมและข้อมูลอื่นๆช่วยให้ทีมสืบสวนสามารถกำจัดขอบเขตการค้นหาลงมาที่แนวโค้งส่วนหนึ่งของมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ทางตะวันตกของแดนจิงโจ้ โดยใช้เรือตะเวนหาบริเวณพื้นมหาสมุทรลึกขนาด 50,000 ตารางกิโลเมตร แต่ไร้ซึ่งความคืบหน้าใดๆ

    ทางการกำลังมีแผนที่จะทำการค้นหาบริเวณพื้นที่ขนาด 120,000 ตารางกิโลเมตร

    ทรัส กล่าวว่า หากซากชิ้นส่วนความยาว 2 เมตรที่ถูกพบบนดินแดนฝรั่งเศสนี้มาจาก MH370 จริง มันจะลบล้าง “ทฤษฏีที่ออกจะเพ้อฝัน” บางทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินลำนี้

    หากชิ้นส่วนดังกล่าวถูกพิสูจน์ว่ามาจาก MH370 จริง “มันจะเป็นที่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเครื่องบินลำดังกล่าวจมอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ไม่ใช่จอดอยู่ในสถานที่ลับบางแห่งบนแผ่นดินในส่วนอื่นใดของโลก” เขากล่าว

    “มันจะลบล้างทฤษฎีเหล่านั้นบางทฤษฎี แต่ไม่ได้มีส่วนช่วยอย่างมากมายในการระบุโดยเจาะจงว่าเครื่องบินลำดังกล่าวอยู่ที่ใดในปัจจุบัน”

    “ด้วยการประเมินข้อมูลดาวเทียมอย่างละเอียด เรามั่นใจว่าพื้นที่ค้นหาดังกล่าวถูกต้องแล้ว”



    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000086506
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    เครื่องบินรบล่องหน (Stealth) F-35B G.5 ของสหรัฐฯมีแต่ปัญหาและต้นทุนสูงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ - เลขาธิการกองทัพอากาศสหรัฐฯ

    [​IMG]

    ------------
    เมื่อวันที่ 30 ก.ค.58 ที่ผ่านมาแอ็ดมิน (คุณอาย) ได้ไปอ่านเจอข่าวเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ (เครื่องบินรบ) F-35B เจนเนอร์เรชั่นที่ 5 ที่สหรัฐฯคุยเสมอว่าเจ๋งที่สุดในโลก (แต่รัสเซียบอกว่าก็งั้นๆแหละ ฮ่าๆๆ) จากสำนักข่าว RT news ของรัสเซียซึ่งพาดหัวเรื่องว่า "F-35 fighter jet more problematic and costly than ever imagined – Air Force secretary" อยากจะแปลให้แฟนเพจที่ชอบเรื่องอาวุธได้อ่านบ้าง แต่… เวลาไม่ค่อยเอื้ออำนวยสักเท่าไร เพราะติดพันกับการเขียนข่าวอื่น จึงรบกวนให้แฟนท่านหนึ่งช่วยแปลให้หน่อย (ไม่หน่อยหละ เอาทั้งหมดนั่นเลย คริๆ) ซึ่งก็คือคุณ "Noraseth Tanthasiri" ผู้แปลบอกว่า "ไม่มีปัญหาครับแอ็ดมิน เดี๋ยวจัดให้" โอ๋ยยยย เจ๋งอ่ะ ขอบคุณคุณ Noraseth Tanthasiri มากๆ และก็ไม่ผิดหวังครับ เชิญอ่านได้ตามสบายนะครับ
    เลขาธิการกองทัพอากาศสหรัฐ: F-35 เครื่องบินรบที่มีปัญหามาก (กว่าที่คาดไว้) และมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้
    เลขาธิการกองทัพอากาศสหรัฐฯ Ms.Deborah Roche Lee James ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางด้านความมั่นคงแห่งชาติในรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและภาคเอกชนมากว่า 30 ปีได้ออกมายอมรับ(สารภาพ)(ท่านเลขาฯพูดเองเลยวุ๊ย สงสัยจะอัดอั้นมานาน 55 ) ว่า มีปัญหาจำนวนมาก "อย่างต่อเนื่อง" เกี่ยวกับปัญหาราคาแพง(มากๆๆ) ของเครื่องบินรบ F-35 ในโครงการเครื่องบินขับไล่ต่อสู้ร่วม หรือโครงการ JSF : joint strike fighter aircraft เธอกล่าวว่า " บทเรียนที่ใหญ่ที่สุดที่ฉันได้เรียนรู้จาก F-35 เป็นอีกครั้งที่เราไม่ควรจะบินเครื่องบินในขณะที่เรากำลังสร้างมัน เธอกล่าวต่อผู้ฟังที่ the Aspen Security Forum โคโรลาโด รายงานโดย : the Military Times F-35 ที่สร้างโดยล็อกฮีดมาร์ตินคอร์ป เป็นระบบอาวุธที่มีราคาแพงที่สุดของสหรัฐ มูลค่าประมาณ 4 แสนล้านเหรียญ เทียบอัตราแลกเปลี่ยน 1 USD=34.99 บาท โครงการนี้มีมูลค่า 13,995,400 ล้านบาท กับเครื่องบินรบจำนวน 2,400 กว่าลำ และเพนทากอนต้องลงทุนในการบำรุงรักษาและความพร้อมปฏิบัติงานตลอดอายุการใช้งานประมาณ $ 1000000000000 (1 ล้านล้านเหรียญ) (อะไรจะแพงระยับขนาดนั้น สงสัยเพนทากอนเตรียมเอาไว้รับมือ UFO มั๊งครับ 55) ตัวเลขนี้ไม่ได้มั่วมานะครับ แต่ตามสำนักงานบัญชีกลางสหรัฐ Government Accountability Office (GAO) เลขาธิการเจมส์ยังพูดว่า ในช่วงระหว่างการพัฒนาประชาชนเชื่อว่าเราจะสามารถทำได้ เร็วกว่า ถูกกว่า และดีกว่า โดยการออกแบบและการสร้างควบคู่กันไป " แต่กลยุทธ์นั้นไม่ได้ทำงานเช่นเดียวกับที่เราหวัง บางทีอาจเป็นการพูดที่น้อยไป (understatement=คำกล่าวน้อยไปกว่าความจริง)ในวันนี้ " (ฮ่า..สงสัยเธอคงอยากจะพูดว่าเป็นกลยุทธ์ที่ล้มเหลวมากกว่า คริ คริ) ยังเสริมต่อด้วยว่า " มัน (JSF) มันยืดเวลาเรานานเกินไปมีต้นทุนค่าใช้จ่ายทางการเงินมากขึ้นกว่าที่เราเคยคาดการณ์ว่าเป็นไปได้ " ในช่วงการพัฒนาตลอด 15 ปี F-35 ยังพบสิ่งบกพร่องที่เกี่ยวข้อง
    การทำงานผิดปกติของฮาร์ดแวร์และข้อบกพร่องของซอฟแวร์ที่มีการตั้งโปรแกรมกลับมา 3 ปีว่าต้องการผลักดันงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 2 แสนล้านเหรียญ เกินกว่าจากงบประมาณเริ่มต้น ตามรายงาน CNN (ความจริงแหล่งข่าวต้นฉบับมาจากเว็บไซด์ที่ความหมายว่า "ไม่เอาสงคราม" และได้รับบันทึกย่อ 5หน้าจากนักบิน ที่ระบุว่าไม่ใช่เอกสารลับ แต่ใช้ในราชการเท่านั้น รวมทั้งได้รับคำบอกเล่าจากนักบินทดสอบ F-35 ซึ่งเหตุการณ์นี้ทั้งเพนทากอน และล็อกฮีดมาร์ตินไม่ได้ปฏิเสธ.เรื่องจริงที่เกิดขึ้นใดๆ แต่ออกมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ บลา บลา) ในเหตุการณ์จำลองการจำลองการต่อสู้ระยะประชิด (dog-fight) ระหว่าง F-35 กับ F-16C เมื่อ ม.ค.58 โดยบอกว่า F-35 ล้มเหลว(failed) ในเรื่องการ turn อย่างรวดเร็ว พอทีจะประมือกับ F-16 เจมส์บอกต่อว่าการต่อสู้จำลองให้ข้อมูลที่มีค่า (ยอมรับว่า F-35 แพ้ F-16) แต่เน้นว่า F-35 จะเป็นเครื่องบินที่แตกต่างกันเมื่อมันดำเนินงานอย่างเต็มที่ (fully operational) (เพิ่งเขียนไปซักครู่ว่าดาหน้ากันออกมาแก้ตัว ท่านเลขาฯก็ไม่เว้น คริ คริ แล้วกว่าจะ full จะต้องลงทุนงบบานอีกเท่าไหร่ ฮ่า ฮา) และในที่สุดจะรับประกันได้ว่าเครื่องบินรบสหรัฐจะ "มีอำนาจสูงสุด"(supremacy)อย่างต่อเนื่องเหนือกว่าเครื่องบินคู่แข่ง (อิ อิ ไม่ค่อยโม้ซักเท่าไหร่เลยนะ ว่าแต่ไปแก้ปัญหาhardware กับ softwareให้ได้ก่อนดีกว่า) ปัญหาอื่นๆรวมไปถึงเครื่องยนต์ไฟไหม้ ความไม่น่าเชื่อถือของสมรรถนะเครื่องยนต์ ระบบซอฟแวร์ที่ระบุปัญหาในการบำรุงรักษานอกจากนี้ยังพบว่าการอ่านที่เป็นเท็จ (false-positive) ถึง 80%
    ป.ล. Cr: Noraseth Tanthasiri (ผู้แปล)
    The Eyes
    02/08/2558
    ----------
    F-35 fighter jet more problematic and costly than ever imagined – Air Force secretary — RT USA
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    มหากาพย์เรือ Mistral ระหว่างรัสเซีย-ฝรั่งเศสยังไม่จบ

    [​IMG]

    -----------
    เมื่อวันก่อนคนใกล้ชิดปูตินปล่อยข่าวออกมาว่า รัสเซียกับฝรั่งเศสได้บรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการชำระเงินคืนให้รัสเซียกรณีฝรั่งเศสเบี้ยวไม่ยอมส่งมอบเรือบรรทุกเฮลิค็อปเตอร์ Mistral จำนวน 2 ลำให้รัสเซียแม้ว่าได้รับเงินมัดจำล่วงหน้าบางส่วนไปเรียบร้อยแล้ว เบี้ยวกันซึ่งๆหน้า โดยอ้างเรื่องวิกฤตยูเครนว่างั้นเถอะ ตามใบสั่งของจักรวรรดิเฮเก
    วันต่อมา ปธน. Francois Hollande ของฝรั่งเศสคงกลัวว่าจักรวรรดิเฮเกจะทำตาเขียวใส่จึงรีบออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวจากฝั่งรัสเซียว่า ไม่จริ๊งงงง ไม่จริง รัสเซียเอาอะไร ที่ไหน มาพูด ยังไม่ได้ไฟนอลเลย สำนักข่าว RTL อ้างคำพูดของ ปธน. Hollande ของฝรั่งเศสว่า "พวกเรายังไม่ได้บรรลุข้อตกลงกันเลย" (อ้าวววว! แล้วมันยังไงหละนี่?)
    มันส์หละสิคราวนี้... รัสเซียปล่อยไปหนึ่งหมัด แล้วก็นั่งดูพวกนักการเมืองฝรั่งเศสทะเลาะกันอย่างสบายอุรา วันนี้มีนักการเมืองฝรั่งเศส 4 คนออกมาซัดหมัดสั่งสอนผู้นำฝรั่งเศส คนแรกคือ Nadine Morano อดีตรมว.ฝึกงานและพัฒนาวิชาชีพ (Minister for Apprenticeship and Professional Formation) ของฝรั่งเศสและปัจจุบันเป็นสมาชิก สหภาพกลาง-ขวา (the center-right Union) สังกัดพรรค Popular Movement (UMP) ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของ ปธน. Francois Hollande กรณีแซงชั่นกรุงมอสโคว์ว่า "ไร้ประโยชน์" (useless)
    Morano ได้เขียนในเฟซบุคของเธอว่า "มันเป็นการแซงชั่นที่เปล่าประโยชน์ เช่นเดียวกับการที่รัสเซียสั่งห้ามผลิตภัณฑ์ของพวกเรานั่นเอง ปธน. Francois Hollande ทำให้ฝรั่งเศสได้รับความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด"
    Nadine Morano เน้นย้ำว่า "ฝรั่งเศสได้ประสบกับความทุกข์ยากก็เพราะนายออลลองด์ไม่สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ต่างๆกับกรุงมอสโคว์ได้ และสร้างปัญหาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินเฮลิค็อปเตอร์รุ่น Mistral-class ขึ้นมา"
    คนที่สองและสามที่ออกมาวิจารณ์การตัดสินใจของปธน. Francois Hollande เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ Thierry Mariani และ Nicolas Dupont-Aignan จากพรรค UMP เช่นกันโดยได้เขียนจดหมายถึงปธน.ฝรั่งเศสตามรายงานข่าวของเว็บไซต์ Atlantico ว่า "หากปธน. Francois Hollande ของฝรั่งเศสล้มเหลวในการรักษาความปลอดภัยในข้อตกลงเรือ Mistral กับรัสเซีย เขาจะต้องอธิบายการตัดสินใจของเขาต่อหน้าประชาชนทั่วฝรั่งเศสให้ได้"
    Mariani และ Dupont-Aignan ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างประเทศของปธน.อองลองด์ว่าไม่สอดคล้องและขึ้นตรงต่อกรุงวอชิงตัน (inconsistent and dependent on Washington)
    สื่อฯรัสเซียอ้างคำพูดของ Mariani จากเว็บไซต์ Atlantico ว่า "ถ้าหากคุณ [Hollande] เลือกที่จะไม่ส่งมอบเรือ [Mistrals] เหล่านี้ให้รัสเซีย คุณจะต้องอธิบายต่อสาธารณชนชาวฝรั่งเศสให้ได้ว่าทำไมประเทศฝรั่งเศสถึงต้องสูญเสียเงินมูลค่ากว่า 1 พันล้านยูโรทั้งโดยตรงและโดยอ้อมด้วย แม้ว่าข้อเท็จจริงจะพบว่าการแซงชั่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการทำสัญญาก็ตาม"
    ประธานาธิบดีจะต้องอธิบายด้วยว่าการยกเลิกสัญญาได้มีความจำเป็นต่อวิกฤตการณ์ในยูเครนอย่างไร และจดหมาย (เปิดผนึก) ที่ส่งถึงปธน. Hollande ได้เขียนเอาไว้ว่า "เรือ (ทั้งสองลำนี้) จะไม่เปลี่ยนแปลงดุลอำนาจแน่นอน ไม่ว่าจะมีการส่งมอบหรือไม่ มันจะไม่มีผลกระทบต่อจุดยืนทางการทูตของรัสเซีย [ที่มีต่อวิกฤตยูเครน] เลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่ามันเป็นเพราะกรุงเคียฟนั่นเองที่ปิดกั้นการดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพกรุงมินส์ก"
    นักการเมืองฝรั่งเศสยังได้กล่าวต่ออีกว่า "ข้อตกลงเรือ Mistral จะช่วยรักษาอัตราการจ้างงานใน St. Nazaire เอาไว้ได้หลายพันอัตรา ในขณะที่มีการต่อเรือ Mistral และยิ่งจะทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นหุ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียในภาคอุตสาหกรรม นำเงินมาให้ฝรั่งเศสได้หลายพันล้านยูโรด้วย" (ไม่ดีหรือไง?)
    Mariani และ Dupont-Aignan กล่าวอีกว่า "ชื่อเสียงระดับนานาชาติของฝรั่งเศสขึ้นอยู่กับข้อตกลงเรือ Mistral ด้วย ซึ่งจะแสดงให้ทั่วโลกได้เห็นว่าประเทศฝรั่งเศสเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่กระทำการตัดสินใจด้วยตัวเองและรักษาคำมั่นสัญญา" (ว้าววว! อันนี้เจ็บมาก เจ็บลึก เพราะพิสูจน์แล้วว่าการตัดสินใจของฝรั่งเศสในครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินใจของฝรั่งเศสเอง แต่เป็นการรับคำสั่งมาจากจักรวรรดิเฮเก และการที่ฝรั่งเศสชักดาบในครั้งนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า ประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและเป็นมหาอำนาจด้วย ก็พร้อมที่จะไม่รักษาคำพูด ซึ่งภาษาชาวบ้านเรียกว่าพลิกลิ้น ตลบตะแลง กะล่อน ปลิ้นปล้อนได้ทุกเมื่อ ถูกใจโปรตะวันตกและโปรอเมริกาหละสิ ฮี่ๆๆ)
    อ้อ… รายงานข่าวจากฝั่งรัสเซียบอกว่า ช่วงที่ฝรั่งเศสไม่ส่งมอบเรือ Mistral ให้รัสเซียนี้ ฝรั่งเศสจะต้องจ่ายค่าดูแลเรือ (maintenance) ซึ่งเป็นภาษีจากประชาชนถึงเดือนละ 5.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็เกือบ 200 ล้านบาทต่อเดือน ไม่ใช่น้อยๆนะนั่นหนะ
    แถมให้อีกซักคนหนึ่ง เป็นนักการเมืองฝรั่งเศสเหมือนกัน นาย Florian Philippot กล่าวว่า "การตัดสินใจไม่ส่งมอบเรือ Mistral-class ให้กับกองทัพเรือของรัสเซียถือว่าเป็น 'ความผิดพลาดในประวัติศาสตร์ (ของฝรั่งเศส)' และขัดกับผลประโยชน์ทั้งด้านการเมืองและด้านอุตสาหกรรมของฝรั่งเศส" (แต่เป็นประโยชน์ต่อจักรวรรดิเฮเก) Philippot กล่าวว่า "ความเสียหายที่มีต่อการทูต ความซับซ้อนทางอุตสาหกรรมและธุรกิจจะมีสูงมากกว่านี้อย่างมีนัยสำคัญ"
    Philippot ยังได้วิพากษ์วิจารณ์ ว่านายออลล็องด์ได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกัน (inconsistent) โดยนาย Philippot ได้ตั้งคำถามว่า "เราจะตัดสินการขายอาวุธภายใต้ข้อตกลงที่มีมูลค่าเป็นพันล้านยูโรให้กับซาอุดิอาระเบียซึ่งเปิดการโจมทีทางกองทัพที่อุกอาจ/ชั่วร้าย (an outrageous military campaign) ในเยเมน และถูกกล่าวหาโดย HRW ว่าเป็นการก่ออาชญากรรมสงครามที่ชั่วร้าย/น่ารังเกียจ (heinous war crimes) ได้อย่างไร?"
    นักการเมืองชาวฝรั่งเศสเรียกตรรกะของปธน.ออลล็องด์ที่อยู่เบื้องหลังยุทธศาสตร์ที่มีต่อรัสเซียว่า "ไร้สาระ/บ้าบอคอแตก" (absurd) Philippot ยังได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส "ฟื้นฟูการทำงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ด้านการเมืองและการค้ากับรัสเซีย และหยุดมองประเทศฝรั่งเศสด้วยสายตาของพวกอเมริกัน" (มีเหน็บอีกแล้วครับท่าน)
    นักการเมืองฝรั่งเศสยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "เกษตรกรของพวกเราและพวกคนงานของพวกเราที่อู่ต่อเรือไม่จำเป็นต้องมาจ่ายให้กับความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ทางการเมืองของพวกผู้นำของพวกเรา"
    ตรงนี้น่าสนใจมาก... ตรงไหนหรือ? ก็ตรงที่นักการเมืองฝรั่งเศสบอกว่าตรรกะของออลลองด์เป็นเรื่องบ้าบอคอแตกนี่ไงครับ สหรัฐฯและอียูกล่าวหาและอ้างว่ารัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตยูเครนจึงออกมาตรการแซงชั่นรัสเซียรอบแล้วรอบเล่า แต่ในขณะเดียวกันทั้งสหรัฐฯและอียูโดยเฉพาะฝรั่งเศสกลับขายอาวุธหนักให้ซาอุดิอาระเบียเพื่อไปทำการรุกรานเยเมน อย่างไม่มีความละอายใจทั้งฝั่งซาอุดิฯและสหหรัฐฯกับอียูด้วย แถมสั่งห้ามประเทศต่างๆไม่ให้สนับสนุนอาวุธให้เยเมน แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในกรณีที่ซาอุดิฯส่งกองกำลังภาคพื้นดินบางส่วนติดอาวุธเข้าไปในเยเมน
    อีกกรณีหนึ่งก็คือเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเคิร์ดในอิรัคและตุรกี สหรัฐฯสนับสนุนอาวุธให้ชาวเคิร์ดอ้างเพื่อใช้สำหรับต่อสู้กับพวกไอซิส ในขณะเดียวกันก็ยุให้ชาวเคิร์ดแบ่งแยกดินแดนออกจากอิรัค แต่สหรัฐฯทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในกรณีที่ตุรกีส่งเครื่องบินรบไปถล่มกลุ่ม PKK ชาวเคิร์ดทางตอนเหนือของอิรัคซะงั้น นี่แหละคืออเมริกันสแตนดาร์ดผลิตภัณฑ์ห้องน้ำของแท้
    กลับมาที่ฝรั่งเศสต่อ เป็นไงเล่าผู้นำฝรั่งเศสโดนไปเต็มๆ เมื่อรัสเซียบอกว่า "จบเหอะ" แต่ผู้นำมหาอำนาจในยุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศสเกี่ยวกับกรณีนี้กลับบอกว่า "ยังไม่จบ/ยังไม่ไฟนอล" (ตามใบสั่งของสหรัฐฯ) รัสเซียก็บอกว่าตามใจ งั้นมาซัดกันอีกซักตั้ง ด้วยการแซงชั่นรัสเซียรอบใหม่ที่สหรัฐฯพึ่งจะประกาศไปวันก่อนนี้เองและทางอียูก็บอกว่าเอาด้วย อันนี้ก็มันส์เหมือนกันนะ อยากอ่านป๊ะ? คริๆ เรื่อง Windows 10 ที่บอกว่าจะมีการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานละเอียดยิบ (ความเป็นส่วนตัวของคุณจะหายไปทันทีหากคุณยอมรับเงื่อนไขบางอย่างจากไมโครซอฟท์) ก็น่าสนใจ เรื่องอังกฤษแท็กทีมกับญี่ปุ่นกำลังจะชิงโครงการต่อเรือดำน้ำของออสเตรเลียมาจากเยอรมันก็น่าสนใจ เรื่องพวกนีโอนาซี Right Sector ของยูเครนประกาศว่าจะเผากรุงมอสโคว์ก็น่าสนใจ แล้วเรื่องอังกฤษกับฝรั่งเศสกำลังทะเลาะกันเกี่ยวกับปัญาผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองจากฝรั่งเศสไปอังกฤษก็น่าสนใจอีกเช่นกัน เรื่องบินเครื่องครอบครัวบินลาเดนตกที่อังกฤษเสียชีวิต 4 คนก็น่าสนใจ เรื่องเบลเยี่ยมกำลังเดือดหนักเกษตรกรปิดถนนประท้วงในตอนนี้เอาอย่างฝรั่งเศสบ้างก็น่าสนใจมากๆ เรื่องอินเดียทวงเพชร Koh-i-Noor คืนจากอังกฤษสมัยตกเป็นอาณานิคมก็น่าสนใจ เอาเรื่องไหนก่อนดีหละครับท่าน ฮ่าๆๆ
    The Eyes
    01/08/2558
    ----------
    French Lawmaker Slams Hollande for Useless Anti-Russia Sanctions / Sputnik International
    High Stakes: France Risks Its Honor, Pride Over Failed Mistral Deal / Sputnik International
    Hollande Denies Finalizing Mistral Deal Termination With Russia / Sputnik International
    'Historic Mistake': Mistral Non-Delivery Runs Counter to France's Interests / Sputnik International
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2015
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    รอยร้าวนาโต้: เยอรมันเรียกร้องให้ถอนหน่วยขีปนาวุธแพทริออทออกจากตุรกี

    [​IMG]

    -------------
    วันที่ 30 ก.ค.58 Sputnik news พาดหัวข่าวเรื่องหนึ่งว่า "NATO Split: Germany Wants to Withdraw Patriot Missiles From Turkey" อูยส์... เยอรมันนีช่างกล้าแฮะ ไม่กลัวว่าจะมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นในประเทศบ้างหรือ ฝรั่งเศสเจอไปเยอะแล้วนะ เครื่องบินตกครั้งเดียวกับ Patriot พึ่งถูกแฮ็กไปหยกๆ ไม่ทำให้เยอรมันรู้สึกหวั่นบ้างหรือไงถึงได้กล้าออกมาท้าทายอำนาจจักรวรรดิเฮเกเช่นนี้?
    รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ DWN ของเยอรมันนีบอกว่านาย Florian Hahn ผู้เชี่ยวชาญทางกองทัพในพรรค CSU ของเยอรมันได้ออกมาเรียกร้องให้มีการถอนกำลังขีปนาวุธแพทริออท (Patriot missiles) ของเยอรมันออกจากตุรกี เนื่องจากกองกำลังของรัฐบาลตุรกี (ส่งเครื่องบินรบไป) โจมตีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเคิร์ด (แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเยอรมันด้วย? อ่านต่อไป แล้วจะเล่าให้ฟังนะครับ คริๆ)
    ผู้เชี่ยวชายเชื่อว่า "เยอรมันนีและตุรกีมีอะไรที่เหมือนกันน้อยยยยยมาก (Germany and Turkey have less and less in common due…) เกี่ยวกับการโจมตีชาวเคิร์ดในตอนเหนือของอิรัคโดยกองทัพของตุรกี"
    หนังสือพิมพ์ของเยอรมันเขียนว่า "สิ่งนี้หมายถึงรอยแยกครั้งแรกภายในนาโต้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ตัดสินใจห้ความช่วยเหลือด้านกองทัพแก่ตุรกีที่เป็นหนึ่งในชาติสมาชิกของนาโต้" (อันนี้สื่อฯเยอรมันนีเขียนเองนะครับ โดยต้นฉบับบอกว่า "This signifies the first split inside NATO…" จะมาบอกว่าสื่อฯรัสเซียเสี้ยมให้นาโต้แตกกันอีกหละ คริๆ และพาดหัวข่าวต้นฉบับภาษาเยอรมันนีก็พูดว่า "Riss in der Nato: CSU will Patriot-Raketen aus der Türkei abziehen" ชัดนะ! ฮี่ๆๆ)
    ในกรณีที่เกี่ยวกับปฏิบัติการทางกองทัพของตุรกีต่อต้านชาวเคิร์ดทางตอนเหนือของอิรัค นอกจากนาย Florian Hahn จะเรียกร้องให้มีการถอนขีปนาวุธแพทริออทออกจากตุรกีแล้ว เขายังได้กล่าวไว้อีกด้วยว่า ระบบป้องกันขีปนาวุธแพทริออทของนาโต้ไม่มีความจำเป็นในการปกป้องตุรกีอีกต่อไป และการประจำการขีปนาวุธนี้ไว้ได้กลายเครื่องหมายเป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีของพวกเราไปซะแล้ว (พูดกระทบถึงใครหรือเปล่า? เขาไม่ได้บอกนะว่าเป็นสัญลักษณ์ความจงรักภักดีต่อตุรกี เวลาอ่านข่าวหรือตีความหมายคำพูดของนักการเมืองพวกนี้ต้องใช้กล้องจุลทัศน์ส่องลงไปดูด้วย ถึงจะเห็นนัยบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้นๆ)
    ผู้เชี่ยวชาญทางกองทัพของเยอรมันกล่าวอีกว่า "การพัฒนาในปัจจุบันนี้ พวกเราจำเป็นต้องกลับมาคิดเกี่ยวกับการติตตั้งขีปนาวุธนี้ให้ละเอียดรอบคอบอีกครั้ง" (หมายความว่ามันจำสำหรับเยอรมันนีจริงๆหรือที่จะต้องนำขีปนาวุธของตนเองไปตั้งอยู่ในตุรกีติดกับชายแดนซีเรียหนะ?)
    กองทัพ Bundeswehr ของเยอรมันนีได้ประจำการระบบป้องกันขีปนาวุธแพทริออทห่างจากชายแดนซีเรียประมาณ 100 กม. โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปกป้องประเทศ จากการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นจากเพื่อนบ้าน
    นักการเมืองพรรค CSU ของเยอรมันนีวิจารณ์ปธน.Recep Tayyip Erdogan ของตุรกีเกี่ยวกับเพิกถอนกระบวนการสันติภาพกับกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเคิร์ดว่า "การที่ตุรกีโจมตีชาวเคิร์ดนั้น นาย Erdogan ได้แสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าตุรกีและเยอรมันนีกำลังไล่ตามเป้าหมายร่วมกันน้อยลงเรื่อยๆ"
    รายงานข่าวบอกว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นาโต้ได้ตัดสินใจสนับสนุนตุรกีในการต่อสู้กับพวกไอซิส (จริงๆแล้วสหรัฐฯต่างหากที่ตัดสินใจ มีหรือที่นาโต้จะกล้าขัดคำสั่งของสหรัฐฯ แต่ก็อ้างชื่อนาโต้ไปอย่างนั้นแหละ) อย่างไรก็ตามตุรกีได้ให้ความวุ่นวายเพื่อเปิดปฏิบัติการโจมตีชาวเคิร์ดทางตอนเหนือของอิรัคและกล่าวหานักรบชาวเคิร์ดที่อยู่บนแผ่นดินของตุรกี - สำนักข่าว DWN ของเยอรมันนีรายงาน
    เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีปฏิบัติการโจมตีทางอากาศสองแห่งคือฝั่งสหรัฐฯและตุรกี โดยเครื่องบินรบของสหรัฐฯบินออกจากฐานทัพอากาศ Diyarbakir Air Base อ้างว่าไปโจมตีผู้ก่อการร้ายไอซิสในทางตอนเหนือของซีเรียใกล้ชายแดนตุรกี ส่วนเครื่องบินรบของตุรกีไปอีกทางหนึ่งอยู่ตรงกันข้ามคือแถวเทือกเขา Qandil Mountains ทางตอนเหนือของอิรัค ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองของชาวเคิร์ด
    แต่รัฐบาลอิรัคที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิเฮเกไม่กล้าเอ่ยปากซักคำ ทั้งๆที่ต่างชาติเอาเครื่องบินรบลุกล้ำน่านฟ้าของตนเองบินเข้าไปทิ้งระเบิดในประเทศของตัวเองแท้ๆ แล้วอย่างนี้จะให้ชาวเคิร์ดในอิรัคไม่คิดตีจากอิรัคได้อย่างไร? อยู่กับอิรัค แต่อิรัคก็ไม่สามารถปกป้องได้ แล้วประโยชน์อะไรจะอยู่ต่อไปงั้นแยกปกครองตนเองเลยดีกว่า ส่วนทางอิรัคแทนที่จะใจกว้างก็คิดว่าเอามันเลยพวกกบฎ ซะงั้น เจริญหละอิรัคเอ๋ยคราวนี้
    มาดูประวัติความเป็นมาและพื้นที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยทำมาหากินของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเคิร์ดบ้าง เพื่อให้เข้าใจภาพรวมได้มากขึ้นว่าทำไมคนเหล่านี้เขาถึงขัดแย้งและสู้รบกัน ถ้าดูตามแผนที่ซึ่งแนบมากับโพสต์นี้ (หรือหาดูได้จากแผนที่อื่นๆในอินเตอร์เน็ทก็ได้) ก็จะพบว่าถิ่นที่อยู่ของชาวเคิร์ดนั้นได้ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของอิรัค ซีเรีย อิหร่าน ตุรกี และอาร์เมเนียด้วย โดยส่วนที่คาบเกี่ยวหรือทับซ้อนกับประเทศต่างๆนี้ล้วนอยู่ติดกันหรือใกล้เคียงกันทั้งนั้น และมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่มากพอสมควร สามารถแยกเป็นประเทศใหม่ได้เลยหละ
    ข้อมูลโดยคร่าวๆจากวิกิพีเดียบอกว่า ชาวเคิร์ดมีต้นกำเนิดที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ (หมายความว่ากระจายกันอยู่ในหลายประเทศตามแผนที่โลกในปัจจุบัน แต่ถ้ายึดตามกลุ่มชาติพันธุ์ของพวกเขาและพื้นในเขตปกครองของพวกเขาที่อยู่ติดกันแล้วถือว่าเป็นกลุ่มเชื้อชาติเดียวกัน) ชาวเคิร์ดนั้นมีความสัมพันธ์ทั้งด้านวัฒนธรรมและภาษาที่ใกล้ชิดกับประชาชนชาวอิหร่าน และผลที่ตามมาก็คือถูกจัดกลุ่มให้เป็นชาวอิหร่านด้วย (คำว่าอิหร่านในที่นี้น่าจะหมายถึงชาวเปอร์เซีย มากกว่าคำว่าชาวอาหรับ เหมือนกับชาติอาหรับอื่นๆในตะวันออกกลาง) (ส่วนเรื่องการกล่าวอ้างว่ามีบรรพบุรุษมาจากกลุ่มนั้นกลุ่มนี้นั้นขอไม่พูดถึงเพราะจะยาวเกินไปและต้องใช้เวลาศึกษาข้อเท็จจริงอีกมาก)
    ปัจจุบันนี้มีชาวเคิร์ดอาศัยอยู่ในเอเซียตะวันตก (West Asia) ราว 40 ล้านคน โดยชุมชนชาวเคิร์ดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็อยู่ที่เมืองอิสตันบูลประเทศตุรกี และเมื่อเร็วๆนี้ก็มีชาวเคิร์ดพลัดถิ่นที่อยู่ในตะวันตกก็ได้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ประเทศเยอรมันนี อ่ะฮ่า!... รู้แล้วใช่ไหมว่านี่คือเหตุผลหนึ่งที่เยอรมันนีไม่ชอบใจที่ตุรกีเอาเครื่องบินรบไปบอมใส่ชาวเคิร์ดในตอนเหนือของอิรัค ชาวเคิร์ดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขาปกครองตนเองในอิรัคซึ่งเรียกว่า "Iraqi Kurdistan" และเขตปกครองตนเอง Rojava ในซีเรีย ขบวนการชาตินิยมชาวเคิร์ดยังคงดำเนินการเรียกร้องสิิทธิการปกครองตนเองและด้านวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้นด้วย
    ข้อมูลเบื้องต้นบอกว่ามีชาวเคิร์ดอาศัยอยู่ในตุรกีราว 11-15 ล้านคน, ในอิหร่านราว 5.9-7.9 ล้านคน, ในอิรัคราว 4.6–6.5 ล้านคน, ในซีเรียราว 1.3-3 ล้านคน และยังมีกระจายอยู่ในประเทศตะวันตกอีกจำนวนมาก เฉพาะในเยอรมันนีมีจำนวนประมาณ 800,000 คน ฝรั่งเศส 150,000 คน ฯลฯ ก็เยอะอยู่เหมือนกันนะ
    ป.ล.สุดท้ายไหนๆก็ได้พูดถึงชาวเคิร์ดมาบ้างแล้ว คราวนี้จึงเก็บภาพนักรบสาวชาวเคิร์ดมาฝากแฟนเพจบ้าง คริๆ
    The Eyes
    01/08/2558
    ----------
    NATO Split: Germany Wants to Withdraw Patriot Missiles From Turkey / Sputnik International
    http://deutsche-wirtschafts-nachrichten.de/…/riss-in-der-n…/
    http://deutsche-wirtschafts-nachrichten.de/…/nato-unterstu…/
    https://en.wikipedia.org/wiki/Kurds
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักท่องเน็ตพึงระวังไว้กฎหมาย พรบ. ลิขสิทธิ์ ใหม่เริ่มใช้บังคับ 4 สิงหาคม 2558 ปรับ 2 แสนจำคุก 6 เดือน
    จากเพจของทนายดัง ทนายเกิดผล แก้วเกิด ได้มีการนำกฏหมายเกี่ยวกับ พรบ.ลิขสิทธิ์ ฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 สิงหาคม 2558 มาเผยแพร่ลงในเฟสบุ๊คส่วนตัวเพื่อให้ความรู้กับผู้เล่นเฟสบุ๊ค ไลน์ ทวีตเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้สร้างเซอร์ไพรส์มาแล้วด้วยการอัดคลิป ถามตำรวจใช้กฏหมายข้อไหนยึดรถ กรณี พรบ.จราจร จนเป็นที่ฮือฮาและมีการแชร์ออกไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ในเรื่องดังกล่าวยังไม่มีนายตำรวจระดับผู้บริหารออกมาตอบคำถามให้กับผู้ใช้รถทราบ จนทำให้ผู้เข้าชมคิดไปเองว่าคงจะเป็นจริงอย่างที่ทนายคนดังอัดคลิป มาวันนี้ได้นำความรู้เกี่ยวกับ พรบ.ลิขสิทธิ์ มาให้นักท่องเน็ตทราบเพื่อไม่ให้ตนเองถูกฟ้องเนื่องจากไปละเมิดลิขสิทธิ์ ที่นี้มาดูรายละเอียดของทนายเกิดผล แก้วเกิดที่ได้โพสไว้ในเพสบุ๊คส่วนตัว

    กฎหมายใหม่ พรบ ลิขสิทธิ์ ใหม่ ใช้บังคับ เริ่ม 4 สิงหาคม 2558 ที่ควรรู้ดังนี้โทษจำคุก-ปรับตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ 2558 เริ่ม 4 สิงหาคม 2558 นี้

    ปัจจุบันการแชร์เนื้อหาสาระ การแชร์ข่าวผ่าน social network เช่น Line , facebook , youtube หรือแม้กระทั่ง การใช้ภาพและวีดีโอ จากทางอินเทอร์เน็ต หรือทาง Social Network นั้น ล้วนมีลิขสิทธิ์ หากคุณแชร์โดยไม่รู้กฎหมายลิขสิทธิ์ คุณก็มีสิทธิที่จะถูกฟ้องร้อง และอาจถูกทั้งจับคุกและปรับได้ซึ่งกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ 4 สิงหาคม 2558 นี้

    โดยอาจารย์ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย และที่ปรึกษาด้านกฏหมาย กล่าวถึงกฎหมายลิขสิทธิ์ที่คนทำเว็บและผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ต้องระวัง ในงานสัมมนางานจิบกาแฟคนทำเว็บ ( Webpresso ) เรื่อง ตอบคำถามกับปัญหาคาใจบนโลกออนไลน์ ไว้ว่า

    หากรูปใน facebook ถูก copy ไปใช้ในทางเชิงพาณิชย์ ในทางกฎหมาย ถ้าเราถ่ายเองหรือจ้างคนอื่นถ่าย ถือว่าภาพถ่ายนั้นเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ทั้งนี้รูปที่มีปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นศิลปินดารา ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ กฎหมายลิขสิทธิ์จะมีผลบังคับใช้ หากคุณทำการลบลายน้ำในรูป หรือทำการตัดครอปรูปโดยไม่นำชื่อเจ้าของภาพ แล้วนำไปใช้ในเว็บตัวเอง หรือแชร์ทาง Social Network โดยไม่อ้างอิงเจ้าของตัวจริง มีโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 2 แสนบาท ดังนั้น การ Copy รูปภาพบน facebook , youtube , instagram , twitter , flickr หรือจากเว็บอื่น ต้องให้ Credit ใส่ชื่อเจ้าของรูปอ้างอิงไว้ด้วยเสมอ กฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ที่จะมีผลในวันที่ 4 สิงหาคม 2558 นั้น มีเจตนารมณ์คือ เวลาจะเอาผลงานของใครมาจะต้องเอาชื่อคนนั้นมาใส่ด้วย
    คำถาม?
    หากเป็นการ copy เนื้อหาบนหน้าเว็บมาโพสต์ทาง facebook หรือเว็บเรา ผิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ?
    คำตอบ
    1.ถ้าเป็นรายบุคคลเป็น facebook ใช้ส่วนตัวสามารถใช้ได้ทั้งนี้ต้อง อ้างอิงแหล่งที่มาว่าใช้ส่วนตัว และ ไม่มีแสวงหาผลกำไร ถึงจะไม่ผิดลิขสิทธิ์
    2.แต่ถ้าในกรณีนิติบุคคล ถือว่าไม่ได้ ถ้าเว็บไซต์คุณมีแบนเนอร์ หรือ facebook มีกิจกรรมชิงโชค ถือว่า ผิดลิขสิทธิ์
    คำถาม?
    ถ้าเว็บไซต์ หรือ blog ของเรา นำ embed วีดีโอจาก youtube แปะใส่ในหน้าเว็บเราล่ะ ทำได้มั้ย ผิดหรือเปล่า?
    คำตอบ
    embed ของ youtube ใส่หน้าเว็บเราเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย เพราะลิขสิทธิ์ของเขา แต่อยู่ภายใต้เวบของเรา ซึ่งผิดลิขสิทธิ์
    ดังนั้นวิธีแก้คือ ใส่ภาพนิ่งเป็นตัวอย่างภาพวีดีโอนั้น พร้อมกับทำลิงค์ไปยังวีดีโอเจ้าของคลิป อันนี้สามารถทำได้ ไม่ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์
    คำถาม?
    หากกลุ่มผู้ผลิตรายการทีวี ต้องการนำคลิป Youtube ไปใช้ควรทำอย่างไร ?
    คำตอบ
    1.ต้องเผยชื่อ user youtube เจ้าของคลิปนั้น เพื่ออ้างอิง และคลิปที่ใช้ได้ต้องเผยแพร่แบบสาธารณะ
    2.ถ้าเป็นคลิป youtube แบบ Private หรือแชร์ลิงค์เฉยๆที่ไม่ใช่สาธารณะนำมาใช้ ถือว่าผิดลิขสิทธิ์
    3.กรณีแฟนเพจ facebook แชร์ภาพของ fanpage อื่น เพื่อเรียกเรตติ้ง มีความเสี่ยงถูกฟ้อง เพราะเรื่องแสวงหาผลกำไร
    ดังนั้นหากไม่อยากโดนฟ้องเรื่องลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ควรถ่ายเอง วาดเอง หรือขอจากเจ้าของรูปเอง ก็ใช้ได้ แต่ถ้าเอาจาก google อาจโดนฟ้องได้ และถูกเรียกเงินสูงด้วย
    คำถาม?
    ถ้าแปลจากเว็บต่างประเทศ แล้วอ้างอิงให้แล้ว ผิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ?
    คำตอบ
    ถ้าเป็นเนื้อหาข่าว ไม่ผิดลิขสิทธิ์ แต่ถ้าเป็นบทความอาจผิดลิขสิทธิ์ได้ ถ้าใช้ในเรื่องแสวงหาผลกำไร หรือใช้ในเชิงพาณิชย์
    ทั้งนี้ การนำเนื้อหามารีไรท์เรียบเรียงใหม่ ถือว่าไม่ผิด แต่ถ้า copy paste แปลรายคำ ถือว่าผิดลิขสิทธิ์
    ตัวอย่าง
    เนื้อหาข่าวที่ไม่ผิดลิขสิทธิ์ เช่น เนื้อหาข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น ข้อมูลทั่วไป ราคาหุ้น พยากรณ์อากาศ หนังฉายวันนี้ ราคาน้ำมัน ผลการแข่งขันฟุตบอล อันนี้ไม่เป็นลิขสิทธิ์ สามารถแชร์ หรือใช้ได้
    แต่ถ้าเป็น พวกภาพข่าว รูป บทสัมภาษณ์ข่าว คอลัมน์ข่าว ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ หากนำไปใช้โดยไม่ขออนุญาตเจ้าของภาพ หรือเจ้าของคอลัมน์ อาจเสี่ยงถูกฟ้องในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ได้
    สรุป ความผิดตามกฎหมายลิขสิทธิ์เริ่ม 4 สิงหา 2558 นี้ที่คนเล่น Net หากกระทำผิดจะต้องรับโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ /////

    ที่มาเนื้อหา ทนายเกิดผล แก้วเกิด

    แหล่งที่มา
    ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    Bloggang.com : rajasit -
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช ·
    อิสราเอลหัวรุนแรงไล่แทงม็อบยกย่องเกย์กลางถนนเลือดสาดเจ็บ 6 สาหัส 2 ชาวปาเลสไตน์นั่งดูอยู่บนยอดเขามองข้ามกำแพงคอนกรีต
    -------------
    ไปเที่ยวอิสราเอลกันบ้างไหม? เมื่อไม่มีใครให้ทะเลาะด้วย เขาก็ทะเลาะกันเองซัดกันเอง ซะงั้น... เมื่อวานนี้สำนักข่าว RT news ของรัสเซียพาดหัวข่าวเรื่องหนึ่งว่า "Ultra-Orthodox Jew stabs at least 6 at Jerusalem gay pride parade" ฮ่าๆๆ เป็นไงเล่าเอล (สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งก็รายงานข่าวนี้ด้วยเช่นกัน)
    รายงานข่าวบอกว่า มีประชาชนอย่างน้อย 6 คนได้รับบาดเจ็บจากการถูกไล่แทงด้วยอาวุธมีดในขบวนพาเหรดยกย่องกลุ่มรักร่วมเพศ (LGBT pride parade) ในเมืองเยรูซาเรม รายงานจากสำนักข่าวท้องถิ่น ซึ่งอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่พยาบาล ผู้ต้องสงสัยในการโจมตีครั้งนี้ชื่อ Yishai Schlisse เป็นชาวยิวกลุ่ม ultra-Orthodox (ultra-Orthodox Jew) สาวกของ Haredi Judaism ถูกจับกุม (ในที่เกิดเหตุ) ตำรวจกล่าวว่า มีประชาชนถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บ 6 คนและมีอาการสาหัส 2 คน
    Moshe Edry หัวหน้าตำรวจประจำเขต Jerusalem District Police กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Jerusalem Post ว่า "พวกเราได้เตรียมการรับมือกับทุกสถานการณ์ แต่ก็มีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น นี่คือความรุนแรง เหตุการณ์ที่ร้ายแรง ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจสอบต่อไปว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ที่อยู่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นมาได้"
    รายงานข่าวบอกว่าผู้ก่อเหตุพึ่งจะได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกหลังจากติดคุกมาเป็นเวลา 10 โดยในขั้นต้นถูกพิพากษาจำคุก 12 ปีในข้อหาพยายามฆ่า แต่ศาลฎีกาของอิสราเอลได้ลดโทษให้เขา (ลด 2 ปี) ก่อนที่จะทำก่อเหตุด้วยการเอามีดไล่จ้วงแทงผู้คนในปี 2005 (ทำให้นึกถึงพฤติกรรมของผู้ก่อการร้ายอุยกูร์ในเขาปกครองตนเองซินเจียงของจีนขึ้นมาทันทีเลยแฮะ) เขาได้ตะโกนว่า "I came to kill in God’s name" (ข้ามาเพื่อฆ่าในนามของพระผู้เป็นเจ้า)
    ส่วนอีกข่าวหนึ่งเกี่ยวกับอิสราเอลเช่นกันมีดังนี้... เมื่อวันพุธที่ผ่านมานายกฯเนทันยาฮูของอิสราเอลได้อนุมัติให้มีการก่อสร้างบ้านเรือนใหม่จำนวน 300 หลังขึ้นมาในการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขต Beit El ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเวสต์แบงค์กลางโดยไม่สนใจคำประณามจากนานาชาติ ก.ต่างประเทศของสหรัฐฯออกมาเล่นละครรับลูกด้วยการแกล้งตำหนิอิสราเอลว่าเป็นการก่อสร้างที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย (แต่หลังฉากบอกว่าลุยไปเลย! ฮ่าๆๆ)
    ในขณะเดียวกันทางการของอิสราเอลก็ได้แสดงความไม่พอใจในการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวบางคนในเขต Beit El เนื่องจากศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ทำลายบ้านเรือนจำนวน 2 คูหาที่สร้างขึ้นมาอย่างผิดกฎหมายบนพื้นดินที่ชาวปาเลสไตน์เป็นเจ้าของในพื้นที่เดียวกัน การรื้อถอนสิ่งก่อสร้างได้จุดชนวนต่อต้านอย่างรุนแรงของผู้ตั้งถิ่นฐานต่างพากันประท้วงและมีการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
    รายงานข่าวบอกเพิ่มเติมว่า บ่อยครั้งที่ชาวยิวหัวรุนแรง (Jewish extremists) ตอบโต้ต่อมาตรการต่อต้านการตั้งถิ่นฐานชาวยิว (anti-settler measures) ด้วยการโจมตี โดยเริ่มจากการเขียนอักษรประดิษฐ์และใช้คำพูดแนวป่าเถื่อนเล็กน้อย (graffiti and minor vandalism) ในการทำลายทรัพย์สินและการลอบวางเพลิง เช่นการเผาโบสถ์ชาวคริสต์นิกาย Catholic Church of the Multiplication เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
    เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมาสื่อฯต่างประเทศก็รายงานว่ากลุ่มวัยรุ่นชาวยิวที่ต้องสงสัยว่าลอบวางเพลิงเผาโบสถ์คริสตศาสนานิกาย Catholic Church of the Multiplication ซึ่งเชื่อว่าพระเยซูแสดงปาฎิหาริย์ตามคำภีร์ไบเบิล (Jesus is believed to have performed a Biblical miracle) ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ถูกดำเนินคดีใตๆ ทางการอิสราเอลบอกว่าจะหาตัวผู้ลอบวางเพลิงมาให้ได้
    The Eyes
    31/07/2558
    ----------
    Ultra-Orthodox Jew stabs at least 6 at Jerusalem gay pride parade — RT News
    http://www.rt.com/…/311216-palestinian-toddler-killed-jewi…/
    ​Israel questions, sets free 16 young Jewish settlers after Christian church burned down — RT News
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “จีน” ตามเล่นงานพวกทำชอร์ตเซลทุบหุ้นแดนมังกรถึง “ตลาดฮ่องกง-สิงคโปร์” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 สิงหาคม 2558 21:21 น. (แก้ไขล่าสุด 2 สิงหาคม 2558 09:44 น.)

    [​IMG]

    @กิริยาท่าทางของนักลงทุนชาวจีนขณะอยู่ในห้องค้าของบริษัทหลักทรัพย์ โดยที่ตลาดหุ้นแดนมังกรยังไม่มีทีท่าจะกระเตื้องขึ้นมาได้อย่างหนักแน่นมั่นคง ถึงแม้ทางการพยายามอัดฉีดมาตรการจำนวนมากเข้าช่วยเหลือ รวมทั้งพยายามมองหา “ตัวการ” ที่ปั่นราคามุ่งทุบตลาด

    รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - จีนกำลังกดดันพวกบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งตั้งอยู่ในฮ่องกง และสิงคโปร์ ทั้งที่เป็นของต่างชาติและที่เป็นของจีน ให้ส่งรายงานบันทึกการซื้อขายหุ้นแดนมังกรแก่พวกเขา ทั้งนี้ ตามการเปิดเผยของแหล่งข่าวหลาย ๆ ราย ความเคลื่อนไหวคราวนี้แสดงให้เห็นว่า ปักกิ่งขยายการไล่ติดตามพวกทำชอร์ตเซล “ผู้ประสงค์ร้าย” ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการส่วนหนึ่งในการ “ทุบตลาดหุ้นจีน” ออกไปจนถึงอาณาเขตนอกแผ่นดินใหญ่ด้วย

    ตลาดหลักทรัพย์หลัก ๆ ของจีน ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ และ เซินเจิ้น ซึ่งต่างเป็นตลาดยักษ์ใหญ่ระดับท็อปเทนของโลก ได้ตกฮวบลงมาถึงราว 30% นับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน เป็นต้นมา และพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบต่างกำลังใช้ความพยายามอย่างขึงขังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเทขายต่อไปอีก ซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องกระทบกระเทือนถึงเศรษฐกิจวงกว้าง

    หน่วยงานกำกับตรวจสอบตลาดหุ้นแดนมังกร อันได้แก่ คณะกรรมการจัดระเบียบหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (CSRC) ต้องการได้บันทึกการซื้อขาย เนื่องจากพวกเขากำลังพยายามระบุชี้ตัวพวกที่ทำ “ชอร์ตเซลลิง” สุทธิ ซึ่งจะได้กำไรในกรณีที่หุ้นในตลาดจีนเซซวดลงมาอีก ทั้งนี้ ตามการเปิดเผยของแหล่งข่าว 3 รายในบริษัทโบรกเกอร์จีนหลายแห่ง และแหล่งข่าวอีก 2 รายซึ่งอยู่ในสถาบันการเงินต่างประเทศ

    สำหรับ CSRC เองนั้น ระหว่างการแถลงข่าวตามปกติเมื่อวันศุกร์ (31 ก.ค.) ที่ผ่านมา หน่วยงานผู้คุมกฎหลักทรัพย์จีนแห่งนี้ บอกว่า ไม่ได้มีการติดต่อโดยตรงกับพวกผู้บริหารระดับท็อปของบริษัทหลักทรัพย์ในฮ่องกง แต่ก็ชี้ด้วยว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาในการสืบสวนสอบสวนของตน ที่จะต้องมีการติดต่อขอความร่วมมือจาก “ฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง”

    อย่างไรก็ตาม CSRC แถลงปฏิเสธรายงานข่าวชิ้นอื่นของสื่อมวลชนโดยที่มิได้มีการระบุชื่อ ซึ่งบอกว่าหน่วยงานกำกับตรวจสอบแห่งนี้ ได้เรียกให้พวกหัวหน้าบริษัทโบรกเกอร์จีน ให้เดินทางมาประชุมหารือในกรุงปักกิ่งหรือไม่ก็ที่เมืองกว่างโจว

    ทั้งนี้ CSRC ประกาศเอาไว้อย่างชัดเจนว่าจะทำสงครามกวาดล้าง “พวกทำชอร์ตเซลที่มีความประสงค์ร้าย” ซึ่งหมายถึงพวกที่พยายามทำกำไรจากการดำดิ่งของราคาหุ้น แทนที่จะทำชอร์ต ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะใช้เป็นเครื่องมือประกันความเสี่ยงทางการเงิน

    “การคุกคามของ CSRC มีความหมายเท่ากับว่า นอกจากทำชอร์ตเพื่อประกันความเสี่ยงแล้ว การทำชอร์ตอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ทั้งสิ้น” แหล่งข่าวรายหนึ่งในฮ่องกง ซึ่งทราบเรื่องนี้ดี กล่าวกับรอยเตอร์ แหล่งข่าวรายนี้ยังพูดต่อไปว่า พวกบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ได้รับการขอร้องจากหน่วยงานกำกับตรวจสอบของจีน ก็น่าจะยินยอมให้ความร่วมมืออย่างดีที่สุด “เมื่อใดที่ CSRC ยื่นข้อเสนอมา คุณไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้หรอก”

    แหล่งข่าวเหล่านี้ของรอยเตอร์ทุก ๆ ราย ต่างเป็นผู้ที่ทราบเรื่องนี้โดยตรง ทว่าขอไม่ให้เอ่ยชื่อเนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวสูง


    ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติมาก

    เป็นเรื่องธรรมดาที่หน่วยงานกำกับตรวจสอบหลักทรัพย์จะขอข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานของต่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่อย่างเดียวกัน เพื่อช่วยการสอบสวนของตนที่กำลังดำเนินการอยู่ภายในประเทศ ทว่าการที่ CSRC แสวงหาข้อมูลข่าวสารจากบริษัทโบรกเกอร์ทั้งระดับระหว่างประเทศ และที่ตั้งอยู่นอกแผ่นดินใหญ่โดยตรงเช่นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก แหล่งข่าวรายหนึ่งในฮ่องกงให้ความเห็น

    CSRC ไม่ตอบคำถามเมื่อรอยเตอร์ติดต่อไปขอความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลที่แหล่งข่าวบอกให้ทราบนี้ ขณะที่หน่วยงานกำกับตรวจสอบหลักทรัพย์ทั้งในสิงคโปร์ (MAS) และในฮ่องกง (SFC) ก็ไม่ขอแสดงความเห็นอะไรเช่นกัน

    พวกแหล่งข่าวของรอยเตอร์ชี้ว่า CSRC กำลังโฟกัสไปที่พวกทำชอร์ตเซลลิง ทั้งที่สั่งซื้อขายผ่าน “ช่องทางเชื่อมการซื้อขายหุ้นเซี่ยงไฮ้ - ฮ่องกง” (Shanghai-Hong Kong Stock Connect trading link) และที่กระทำโดยอาศัยพวกผลิตภัณฑ์ทางการเงินซึ่งจดทะเบียนในตลาดต่างแดนแต่เคลื่อนไหวขึ้นลงตามราคาหุ้นของแผ่นดินใหญ่ เป็นต้นว่า พวกตราสารฟิวเจอร์สอิงดัชนีราคาหุ้น (index futures) และ กองทุนรวมที่มีนโยบายให้ผลตอบแทนเช่นเดียวกับดัชนีราคาหุ้น (exchange traded funds ใช้อักษรย่อว่า ETFs)

    “มีคำถามขอมา (จากทาง CSRC) จำนวนหนึ่งในช่วง 2 อาทิตย์หลังมานี้ พวกเขากำลังติดตามกิจกรรมการเทรด ไม่ว่าประเภทไหนก็ตามทีที่มีการอ้างอิงพาดพิงไปถึงจีน” ผู้บริหารคนหนึ่งในบริษัทโบรกเกอร์ระหว่างประเทศซึ่งตั้งฐานอยู่ในฮ่องกงเล่า

    ขณะที่แหล่งข่าวรายหนึ่ง ณ บริษัทโบรกเกอร์แผ่นดินใหญ่ในฮ่องกง บอกว่าพวกเขาได้รับการสอบถามผ่านทางโทรศัพท์ซึ่ง CSRC ติดต่อมาโดยตรง โดยที่ CSRC กำลังมุ่งหาหลักฐานเรื่องการทำชอร์ตแบบ “จับเสือมือเปล่า” (naked shorting) ซึ่งหมายถึงการที่นักลงทุนพยายามทำกำไรจากราคาของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่กำลังหล่นลงมา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของครอบครองหุ้นดังกล่าวเอาไว้อย่างแท้จริง พฤติการณ์ “จับเสือมือเปล่า” เช่นนี้เป็นเรื่องต้องห้ามในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่

    “เราพูดตอบไปทันทีว่าเราไม่มีลูกค้ารายไหนเลยที่กำลังทำชอร์ตแบบจับเสือมือเปล่า แต่พวกเขาไม่เชื่อเราหรอก พวกเขาขอให้เราจัดส่งบันทึกการซื้อขายที่กระทำผ่านทาง Shanghai-Hong Kong Stock Connect และบันทึกการทำชอร์ตเซลลิงตราสาร index futures ...”

    แหล่งข่าวหลาย ๆ รายในบริษัทหลักทรัพย์แผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีการดำเนินงานในฮ่องกงบอกว่า บริษัทของพวกเขาได้ส่งบันทึกดังกล่าวไปให้ CSRC แล้วด้วยซ้ำ

    การรณรงค์เช่นนี้ของ CSRC ถือเป็นหนึ่งในมาตรการล่าสุดที่มุ่งสกัดกั้นการดำดิ่งของตลาดหุ้นจีน โดยที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เรียกระดมทั้งแบงก์ชาติ (PBOC), รัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้จัดหาสินเชื่อมาร์จินสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์, พวกธนาคารพาณิชย์, บริษัทหลักทรัพย์, ผู้จัดการกองทุน, บริษัทประกันภัย และกองทุนเงินบำนาญ ให้เข้าซื้อหุ้น หรือไม่ก็ช่วยเหลือเรื่องเงินทุนสำหรับการเข้าซื้อหุ้น เพื่อทำให้ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น ไม่ทรุดตัวลงมาอีก

    CSRC นั้นไม่ได้มีอำนาจการกำกับตรวจสอบในฮ่องกง และก็ไม่มีอำนาจในดินแดนของประเทศอื่น ๆ อย่างสิงคโปร์ หรือ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกผลิตภัณฑ์การลงทุนอิงกับดัชนีหุ้นในแผ่นดินใหญ่ทั้งหลายไปจดทะเบียนซื้อขายกันอยู่ และด้วยเหตุนี้จึงสามารถทำชอร์ตได้โดยไม่ขัดต่อระเบียบกฎหมายของที่นั่น

    ทว่า แหล่งข่าวในแวดวงตลาดหลายรายแสดงความวิตกกังวลว่า หน่วยงานกำกับตรวจสอบของจีน ดูมีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปราบปรามกวาดล้างความพยายามใด ๆ ก็ตามที่จะทำกำไรจากภาวการณ์ไหลรูดลงของตลาดจีนในเวลานี้ โดยรวมไปถึงการเล่นงานพฤติกรรมการลงทุนซึ่งอันที่จริงแล้วถูกกฎหมาย ด้วยการพาดพิงใช้ถ้อยคำที่คลุมเครืออย่างคำว่า “ประสงค์ร้าย”

    ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลจีนก็กำลังพยายามรณรงค์ให้พวกนักลงทุนรายย่อยซึ่งครอบงำการซื้อขายในตลาดหุ้นจีนอยู่ นำเอาเงินกลับเข้าไปเล่นหุ้นอีกครั้งหนึ่ง ภารกิจนี้ย่อมจะประสบความลำบากยากเย็นยิ่งขึ้นแน่ๆ ถ้าหากพวกนักลงทุนออฟชอร์กลับยังคงวางเดิมพันกันว่า ตลาดหุ้นแดนมังกรจะต้องซวนเซลงมาอีก

    เล่นงานพวกซื้อขายตามโปรแกรมคอมพิวเตอร์

    เมื่อวันศุกร์ (31 ก.ค.) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการซื้อขายในสัปดาห์ที่แล้ว CSRC หน่วยงานกำกับตรวจสอบหลักทรัพย์ของจีน ประกาศว่า กำลังตรวจสอบผลกระทบของการสั่งซื้อขายอัตโนมัติตามโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีต่อตลาดหุ้น ถือเป็นเป้าหมายล่าสุดที่ถูกจับตาว่าจะเป็นตัวการในการทำให้หุ้นแดนมังกรดำดิ่งหนักหรือไม่

    CSRC ระบุในคำแถลงเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของตน ว่า กำลังตรวจสอบสถาบันและบุคคลต่าง ๆ ที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สั่งซื้อขายหุ้นแบบอัตโนมัติ ซึ่งมีผลเป็นการขยายให้การผันผวนของตลาดยิ่งรุนแรงขึ้นอีก

    ขณะที่ หวัง เฟิง หัวหน้าผู้บริหารของ อัลฟา สแควเรด แคปิตอล ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของคนจีน บอกกับรอยเตอร์ว่า CSRC กำลังโฟกัสไปที่โปรแกรมเทรดดิ้งอัตโนมัติซึ่งมีพฤติการณ์ยกเลิกคำสั่งซื้อสั่งขายอยู่บ่อยครั้ง

    เขาบอกว่า พฤติการณ์เช่นนี้เป็นการรบกวนขัดขวางตลาด และก็ใช้เป็นยุทธวิธีในการปั่นราคาหุ้นได้ “พฤติการณ์แบบนี้ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดจากพวกหน่วยงานกำกับตรวจสอบในสหรัฐฯเช่นกัน” หวัง กล่าว

    ทั้งนี้ CSRC ได้ระบุบัญชีซื้อขายหุ้น 24 บัญชี ซึ่งตรวจจับได้ว่ามีการสั่งซื้อขายอย่างผิดปกติ หรือมีการยกเลิกคำสั่งซื้อขายอย่างผิดปกติ และในเวลาต่อมา ทั้งตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ต่างประกาศระงับการสั่งซื้อขายของบัญชีเหล่านี้ไว้ชั่วคราวจนกระทั่งถึงวันที่ 30 ตุลาคม

    สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจีนในวันศุกร์ (31 ก.ค.) นั้น ปรากฏว่า ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของเซี่ยงไฮ้ ปิดตลาดโดยติดลบ 1.13% หรือ 42.04 จุด อยู่ที่ 3,663.73



     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปชป.จี้คลังจ่ายชดเชยแล้ง - “อุเทน” หยันกดค่าบาทไม่คุ้มเสีย แนะประหยัดงบ คุมราคาสินค้า โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 สิงหาคม 2558 12:43 น. (แก้ไขล่าสุด 2 สิงหาคม 2558 13:02 น.)

    [​IMG]

    @นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)

    เลขาฯ ประชาธิปัตย์ จี้นายกรัฐมนตรี สั่งคลังจ่ายชดเชยภัยแล้งให้เกษตรกร ส่วนเศษที่เหลือหักเป็นค่าประกันภัยพืชผล ด้าน หัวหน้าพรรคคนไทย บอกส่งออกไทยติดลบน่าห่วง แถมสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ปรับลดจีดีพี สะท้อนทีมเศรษฐกิจผิดพลาด หยันลดดอกเบี้ยกดค่าบาทอ่อนคิดตื้นไป ได้ไม่คุ้มเสีย แนะประหยัดงบแทน ควบคุมค่าสินค้าและบริการภายในประเทศ หนุนไม่ต่อรถเมล์ - รถไฟฟรี

    วันนี้ (2 ส.ค.) นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาภัยแล้งของรัฐบาลว่า ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาดำเนินการจ่ายเงินชดเชยปัญหาภัยแล้งให้กับชาวนาและเกษตรกร เนื่องจากกระทรวงการคลังมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากปัญหาภัยแล้ง โดยการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 15 ไร่ ดังนั้น ตนจึงอยากเสนอให้ช่วยเหลือเกษตรกรเฉลี่ยคนละไม่เกิน 20 ไร่ตามเกณฑ์เดิม และจ่ายเงินชดเชยไร่ละ 1,000 กว่าบาท โดยเศษที่เหลือขอให้หักเป็นค่าประกันภัยพืชผล เพราะปีนี้ถือเป็นปีที่แล้งที่สุดในรอบ 36 ปี และหากปีหน้าเกิดน้ำท่วม ฝนแล้ง บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนนี้ รัฐบาลจะได้ไม่ต้องกังวลในการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกร เพราะมีเงินประกันความเสี่ยงให้เกษตรกรแล้ว ทั้งนี้ แนวคิดดังกล่าวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่ประชานิยม และข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ทำให้เกษตรรู้จักกับการประกันความเสี่ยง

    ด้าน นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงการที่กระทรวงพาณิชย์ ออกมาเปิดเผยตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือน มิ.ย. 58 ติดลบ 7.87% ว่า น่าเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวเลขการส่งออกที่ลดลงค่อนข้างสูง และยังเป็นการขยายตัวติดลบเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน รวมทั้งขยายตัวติดลบมากสุดในรอบ 3 ปี 6 เดือนอีกด้วย ขณะเดียวกัน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ก็ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของปีนี้เหลือเพียง 3% จากที่ก่อนหน้านี้ก็เคยปรับลดมาแล้ว สะท้อนให้เห็นว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลดำเนินนโยบายผิดพลาดมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายที่หวังให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง เพื่อกระตุ้นยอดการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแนวคิดชั้นเดียว หรือตื้นเกินไป สุดท้ายก็ไม่ได้ผลตามที่คาดไว้ การส่งออกนอกจากไม่ดีขึ้นยังแย่กว่าเดิม ส่วนการท่องเที่ยวอาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป เพราะในทางกลับกัน ทำให้ในภาคส่วนที่เกี่ยวกับการนำเข้าต้องแบกภาระเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการนำเข้าพลังงานของภาครัฐที่ต้องใช้งบประมาณมากขึ้นอย่างมหาศาล

    “ส่วนตัวได้มีโอกาสเดินทางไปในหลายประเทศ ทั้งในเอเชียและยุโรป ก็พบว่าส่วนใหญ่มีบรรยากาศไม่คึกคักเท่าที่ควร และจากการสอบถามก็ทำให้ทราบว่า การใช้จ่ายใช้สอยของทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวลดลง เมื่อสภาวะทั่วโลกเป็นเช่นนี้ และรัฐบาลก็มักอ้างว่าเศรษฐกิจโลกซบเซา จึงต้องตีโจทย์ให้แตก ว่า ไม่ใช่ว่าของจากประเทศไทยขายไม่ได้ แต่คนซื้อไม่มีเงินมาซื้อต่างหาก ดังนั้น ช่วงนี้ไม่ควรคิดแต่เรื่องสร้างรายได้จากการส่งออก หรือการท่องเที่ยว อย่างที่เป็นอยู่ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ ปรับนโยบายในการประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายมากกว่า” นายอุเทน กล่าว

    นายอุเทน กล่าวต่อว่า ส่วนตัวเคยเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ให้นำคนที่คิดได้และทำได้จริงเข้ามาทำงาน แต่เมื่อเห็นรายชื่อแคนดิเดตที่ออกมาในขณะนี้ ก็ไม่เชื่อว่าจะสามารถเข้ามากอบกู้วิกฤตได้ จึงอยากฝากไปถึงนายกฯ ว่า ต้องนำคนที่คิดได้ทำเป็น และคิดเป็นได้เข้ามา และหากมีการปรับตัวบุคคลแล้ว ก็จำเป็นต้องปรับแนวนโยบายควบคู่กันไปด้วย มิเช่นนั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ที่ผ่านมา เห็นด้วยกับการที่นายกฯได้สั่งชะลอการใช้งบประมาณในหลายโครงการขนาดใหญ่ แต่ควรที่จะเน้นย้ำภาครัฐให้มีการพิจารณาการใช้งบประมาณอย่างถี่ถ้วนถึงประโยชน์ที่ได้กลับมา โดยเฉพาะในช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงท้ายของปีงบประมาณ ไม่จำเป็นต้องเร่งรัดใช้จ่ายงบประมาณให้หมด โดยที่ผลตอบแทนที่ได้กลับมาไม่คุ้มค่า เรื่องใดไม่จำเป็นก็ให้ชะลอไว้ เพื่อไปดำเนินการในช่วงที่มีความพร้อมมากกว่านี้ งบประมาณที่เหลือก็นำไปสมทบกับงบประมาณในปีหน้าได้

    นายอุเทน กล่าวด้วยว่า นอกเหนือจากการประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว รัฐบาลควรหันมาให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการผลิต ต้นทุนสินค้า และบริการภายในประเทศด้วย ซึ่งจะช่วยประชาชนในแง่ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน อีกทั้งยังจะแก้ไขปัญหารายได้ของการท่องเที่ยวที่ลดลงด้วย เนื่องจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ มองว่า ค่าบริการ และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงเกินความเป็นจริง จนมีความรู้สึกว่าถูกเอารัดเปรียบ หรือมีการค้ากำไรเกินควร จึงเลือกที่จะไม่ใช้จ่ายมากเท่าที่ควร รัฐบาลจึงต้องเข้ามาควบคุม เริ่มจากต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตลาดโลกลดลง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า สินค้าและบริการที่เกี่ยวกับภาคขนส่งในประเทศกลับไม่ลดลงเลย หากรัฐบาลเอาจริงในการควบคุม หรือทำให้ปรับลดราคาลงได้ ก็เชื่อว่า จะทำให้มีการหมุนเวียนของเงินในระบบมากขึ้น ตลอดจนอัตราค่าโดยสารแท็กซี่สาธารณะที่กำลังจะเพิ่มขึ้นตามระเบียบใหม่ ยิ่งไม่สะท้อนข้อเท็จจริงของปัญหา เพราะการที่ผู้ประกอบการ หรือคนขับแท็กซี่ ประสบปัญหาขาดทุน ไม่ใช่เพราะรายได้ที่น้อยลง แต่เป็นเพราะจำนวนรถแท็กซี่ที่มากเกินไป ปล่อยให้รถเก่าและไม่ได้มาตรฐานออกมาวิ่ง โดยขาดการควบคุมจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ

    “นายกฯ ต้องคิดเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ให้เหมือนกับค่าใช้จ่ายในบ้าน ที่ต้องไม่ใช่เงินเกินตัว สิ่งไหนไม่จำเป็นก็ต้องตัดไปก่อน และเลือกใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นในสิ่งที่จะได้ประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญ ต้องเอาจริงกับการควบคุม และลดต้นทุนการผลิตในประเทศ ซึ่งจะเป็นทางรอดของวิกฤตในตอนนี้ ทั้งยังช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนได้ด้วย” นายอุเทน ระบุ

    นายอุเทน ยังได้กล่าวถึงมติ ครม. ที่ให้ขยายเวลาโครงการให้บริการรถไฟ - รถเมล์ฟรี แก่ประชาชนออกไปอีก 3 เดือนระหว่างวันที่ 1 ส.ค.- 31 ต.ค. นี้ ด้วยว่า ในความเป็นจริงโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนในระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน - 1 ปี แต่ปัจจุบันมีการดำเนินการมาแล้วกว่า 8 ปี สร้างความเสียหายให้แก่หน่วยงานทั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป็นอย่างมาก แม้จะมีเงินอุดหนุนจากทางรัฐบาลก็ตาม จึงขอสนับสนุนรัฐบาลในการที่จะไม่ขยายมาตรการนี้ต่อไปอีก และกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะโดยสารฟรีให้ชัดเจน ซึ่งหากเป็นตามประเทศอื่น ๆ ก็ควรจำกัดเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณ และนักเรียน นักศึกษา เท่านั้น เพราะสามารถแสดงบัตรประชาชน หรือบัตรนักศึกษาได้เลย ส่วนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยนั้น ก็ควรได้รับประโยชน์ แต่การแสดงสถานะอาจทำได้ยาก อีกทั้งการออกแบบระบบสมาร์ทการ์ดก็อาจจะทำให้สูญเสียงบประมาณเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จก่อนที่จะสิ้นสุดการขยายเวลาในรอบนี้ เพราะเมื่อพ้นปีนี้ไปที่จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) หากรัฐบาลยังคงมาตรการนี้อยู่โดยไม่จำกัดขอบเขตให้ชัดเจน ก็จะไม่สามารถควบคุมผู้ที่แฝงเข้ามาใช้ประโยชน์จากการโดยสารรถสาธารณะฟรีได้ จะยิ่งสร้างความเสียหายให้กับภาครัฐ ในการรับภาระเรื่องสวัสดิการให้แก่บุคคลสัญชาติอื่น ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของโครงการไปอย่างสิ้นเชิง

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิหร่านร้อนนรก อุณหภูมิที่รู้สึกได้พุ่ง 74 องศา

    [​IMG]

    อิหร่านร้อนนรก ทั้งชื้นทั้งร้อน อุณหภูมิที่รู้สึกได้พุ่ง 74 องศา สูงสุดอันดับสองเท่าที่เคยบันทึกได้อย่างไม่เป็นทางการ

    วันที่ 31 กรกฎาคม 2558 เว็บไซต์วอชิงตันโพสต์ มีรายงานว่า อิหร่าน เผชิญความร้อนหนัก คำนวณอุณหภูมิที่รู้สึกได้ (feel-like temperature) ในเมืองดาร์มาร์ชาร์ เมืองเอกของจังหวัดคูเซสถาน เมื่อช่วงเวลาประมาณ 16.30 น. ของวันศุกร์ที่ผ่านมา (31 กรกฎาคม) สูงถึง 74 องศา นับว่าสูงที่สุดเป็นอันดับสองเท่าที่เคยมีบันทึกมาอย่างไม่เป็นทางการ

    โดยตัวเลขอุณหภูมิที่รู้สึกได้นี้ ได้มาจากการคำนวณอุณหภูมิจริงที่วัดได้ ร่วมกับปริมาณลม และอุณหภูมิจุดน้ำค้าง ซึ่งคืออุณหภูมิจุดที่อากาศชื้นถูกทำให้เย็นลงแต่ปริมาณไอน้ำในอากาศยังคงที่ หรือความชื้นสัมพันทธ์ในอากาศนั่นเอง โดยอุณหภูมิจริงที่วัดได้ในเมืองดาร์มาร์ชาร์ คือ 46 องศาเซลเซียส ขณะที่อุณหภูมิจุดน้ำค้างวัดได้ค่อนข้างสูง ที่ 32 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดภาวะร้อนชื้น (เหงื่อไม่สามารถระเหยจากผิวได้) เทียบเท่าอุณหภมิหภูมิรู้สึกได้ 74 องศาเซลเซียส

    สภาพอากาศเช่นนี้สืบเนื่องจากที่ตั้งของอิหร่าน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวเปอร์เซีย ไอน้ำที่ระเหยขึ้นจากบริเวณอ่าวนี้เมื่อถูกกระแสลมพัดเข้าสู่อิหร่าน ทำให้อิหร่านกลายเป็นภูมิภาคหนึ่งที่มีความชื้นสูงที่สุดในโลก ยิ่งประกอบกับอากาศในหน้าร้อน ทำให้โดมความร้อน (heat dome) ปกคลุมพื้นที่ดังกล่าว

    ทั้งนี้ อุณหภูมิที่รู้สึกได้สูงสุดที่มี การบันทึกเอาไว้ คำนวณได้ 81 องศาเซลเซียส ที่เมืองดาห์ราน ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2546 โดยวัดอุณหภูมิที่แท้จริงได้ 42 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิจุดน้ำค้าง 35 องศาเซลเซียส

    ขณะที่อิรักซึ่งได้ประกาศหยุดราชการ 4 วันรวด (อ่านข่าว รัฐบาลอิรักประกาศหยุดราชการ 4 วันรวดเจอคลื่นความร้อนทะลุ 50 องศา ) ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม-2 สิงหาคม เนื่องจากอากาศร้อนจัดนั้น สามารถวัดอุณหภูมิในวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (30 กรกฎาคม) ได้ 50 องศาเซลเซียส ขณะที่อุณหภูมิจุดน้ำค้างอยู่ที่ 7 องศาเซลเซียส ทำให้มีอุณหภูมิสูงแต่ความชื้นในอากาศไม่มากเท่าไร

    ภาพจาก weather.com

    อิหร่านร้อนนรก อุณหภูมิที่รู้สึกได้พุ่ง 74 องศา
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    IMF อนุมัติเงินช่วยเหลือก้อนใหม่ค้าง 1.7 พันล้านดอลลาร์ ท่ามกลางวิตกวิกฤตหนี้สาธารณะพุ่ง – สงครามยูเครนตะวันออก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 สิงหาคม 2558 14:08 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์/เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ – เคียฟกำลังจะได้รับเงินความช่วยเหลือก้อนใหม่ที่คงค้างจาก IMF จำนวน 1.7 พันล้านดอลลาร์ หลังทาง IMF เสร็จสิ้นการประเมินความก้าวหน้าของรัฐบาลเคียฟ ท่ามกลางความวิตกถึงหนี้สาธารณะของยูเครนเพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงเหตุการณ์ความไม่แน่นอนของการปะทะระหว่างกองกำลังรัฐบาลยูเครน และกลุ่มกบฏยูเครนตะวันออก ซึ่งการอนุมัติครั้งนี้เกิดขึ้นในวันศุกร์(31 กค.)ที่ผ่านมา และเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจเงินช่วยเหลือ(EFF) ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ IMF อนุมัติให้ยูเครนรวม 17.5 พันล้านดอลลาร์

    RT สื่อรัสเซียและเอเอฟพีรายงานล่าสุดถึงสถานการณ์ความช่วยเหลือด้านการเงินให้กับยูเครน ประเทศที่กำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤตหนี้สาธารณะและความตรึงเครียดด้านความมั่นคงว่า ยูเครนกำลังจะได้รับเงินแพ็กเกจความช่วยเหลือก้อนใหม่ที่คงค้างมาจากการอนุมัติของ IMF ในวันที่ 11 มีนาคม 2015

    โดยในวันศุกร์(31 กค.)ที่ผ่านมา IMF ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนจำนวน 1.7 พันล้านดอลลาร์จากทั้งหมด 17.5 พันล้านดอลลาร์ในตลอดระยะเวลาช่วย 4 ปี หลังจากทางสถาบันการเงินระหว่างประเทศได้เสร็จสิ้นการประเมินโครงการความช่วยเหลือยูเครน (EFF)กับรัฐบาลเคียฟถึงความก้าวหน้าในมาตรการรัดเข็มขัดต่างๆที่ทางสถาบันการเงินระดับนานาชาติได้กำหนดไว้

    จากแถลงการณ์ของ IMF ที่เปิดเผยบนเว็บไซต์ในวันศุกร์(31 กค.) พบว่า จำนวนเงินที่ทางยูเครนที่ทางยูเครนได้รับจาก IMF รวมไปถึงเม็ดเงินก้อน 1.7 พันล้านดอลลาร์ที่ได้รับการอนุมัติในวันศุกร์(31 กค.) มีจำนวนราว 6.68 พันล้านดอลลาร์

    ซึ่งนโยบายของทาง IMF ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี จะช่วยเหลือด้านการเงินแก่ประเทศที่มีความน่าจะเป็นสูงว่าจะสามารถชำระคืนได้ด้วยการปฎิบัติตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้

    โดยในส่วนความช่วยเหลือที่ให้กับยูเครน ทางสถาบันการเงิน IMF ได้กำหนดความช่วยเหลือเป็นเวลา 4 ปี เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปฎิรูปประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ระบบเศรษฐกิจขิงยูเครนกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง และยังรวมไปถึงการทำให้งบดุลประเทศมีความเข้มแข็ง

    ทั้งนี้เอเอฟพีรายงานว่า เงินคงค้างก้อนใหม่ หลังจากก้อนแรกที่ได้รับการอนุมัติเริ่มแรกจำนวนราว 5 พันล้านดอลลาร์แก่ยูเครนที่ปล่อยให้กับทางยูเครนในเดือนมีนาคมนั้น เกิดขึ้นหลังจากทาง IMF ได้ประเมินความก้าวหน้าของรัฐบาลยูเครนว่าได้ทำตามที่ได้รับปากไว้หรือไม่ โดยกระทำในรูปมาตรการรัดเข็มขัด และควบคุมงบดุลประเทศ

    ด้านผู้อำนวยการ IMF คริสติน ลาการ์ด กล่าวให้ความเห็นว่า “สถานการณ์ในยูเครนดูนับวันมีแนวโน้มด้านบวกมากขึ้น” และเสริมต่อว่า “เราได้เห็นพลังการเมืองยูเครที่มีความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศ”

    ในขณะที่เคียฟแสดงความยินดีต่อการปลดล็อกเงินช่วยเหลือก้อนล่าสุดนี้ โดยตั้งเป้าจะนำเงินเพื่อไปเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารแห่งชาติยูเครนต่อไป

    และนอกจากนี้กระทรวงการคลังยูเครนออกแถลงการณ์ว่า “แพ็กเกจความช่วยเหลือใหม่จะเสริมการเติบโตให้กับเศรษฐกิจยูเครน และเสริมความมั่นใจให้กับทั้งตลาดในและต่างประเทศ”

    อย่างไรก็ตาม จากรายงานพบว่า สภาพเศรษฐกิจยูเครนโดยทั่วไปดิ่งเหวหนัก และมีหนี้สาธารณะพุ่งแตะ 135 % ของ GDP ปี 2015 ซึ่งมากเป็น 2 เท่าของ GDP ปี 2014 ที่มีหนี้สาธารณะราว 70%

    RT รายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากอดีตประธานาธิบดียูเครนวิกเตอร์ ยานูโควิช ถูกโค่นอำนาจลงในต้นปี 2014 รัฐบาลยูเครนใหม่ได้เข้ามากอบกู้ระบบเศรษฐกิจของประเทศด้วยการรับความช่วยเหลือจาก IMF ที่ได้กำหนดให้ทางเคียฟต้องเพิ่มอัตราก้าวกระโดดของระบบน้ำประปา ไฟฟ้า และโทรศัพท์ รวมไปถึงการยกเลิกมาตรการอื่นๆ และตัดความช่วยเหลือทางสังคมแก่พลเมืองยูเครน

    สื่อรัสเซียรายงานว่า หลังจากนั้นเป็นต้นมา จะพบว่าชาวยูเครนจำนวนมากที่ถูกเลิกจ้าง หรือได้รับค่าจ้างช้ากว่ากำหนด หรือรวมไปถึงการตัดความช่วยเหลือสังคมให้กับประชาชนยูเครน และการยกเลิกมาตรการที่ไม่ได้รับความนิยม

    นอกจากนี้ทางเคียฟได้ร้องขอกับเครดิเตอร์เอกชนต่างชาติต่างๆให้ช่วยทำการตัดลดวงเงินหนี้ลง 40% แต่ทว่าบริษัทสัญชาติอเมริกัน แฟลงคลิน เทมเพลตัน (Franklin Templeton) ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มเจ้าหนี้บริษัทเอกชนต่างชาติยอมลดวงเงินหนี้แค่ 5 %เท่านั้น

    ทั้งนี้ IMF กล่าวว่า “ภายใน 4 ปีนับแต่นี้ เคียฟต้องจ่ายคืนให้กับกลุ่มเจ้าหนี้บริษัทเอกชนร่วม 15.3 พันล้านดอลลาร์”

    นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯจาคอบ ลิว (Jacob Lew) ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนการตัดสินใจของ IMF ในการอนุมัติเงินกู้รอบใหม่ให้กับยูเครน

    IMF ͹
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยูเอ็นเตือนยอดเหยื่อน้ำท่วม 'พม่า'พุ่ง หลายปท.เอเชียสำลักฝน-โคลนถล่ม โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 สิงหาคม 2558 00:28 น.

    [​IMG]
    @สภาพรันเวย์ของสนามบิน (ด้านบน) อยู่ท่ามกลางบ้านเรือนที่ประสบอุทกภัยในเมืองกะเล เขตสะกาย ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของพม่าเมื่อวันอาทิตย์ (2 ส.ค.)

    เอเอฟพี – ยูเอ็นเตือนน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในพม่ามีแนวโน้มสร้างความเสียหายรุนแรงขึ้น โดยขณะนี้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 คน และส่งผลต่อประชาชนกว่า 150,000 คน ขณะที่ฤดูมรสุมยังสร้างความเดือดร้อนในอีกหลายประเทศของภูมิภาคแถบนี้

    รัฐบาลพม่าประกาศให้ 4 พื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตกเป็นเขตภัยพิบัติแห่งชาติ โดยบริเวณที่ประสบภัยพิบัติรุนแรงที่สุดคือรัฐชินและยะไข่ทางตะวันตก เมื่อถึงวันอาทิตย์ (2 ส.ค.) พบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย และมีประชาชนได้รับผลกระทบ 156,000 คน

    ความพยายามในการกู้ภัยต้องเผชิญอุปสรรคจากฝนที่ยังตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลหลายแห่ง

    สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรม (โอซีเอชเอ) แห่งสหประชาชาติ แถลงในวันอาทิตย์ (2) ว่า ได้รับแจ้งจากกระทรวงบรรเทาทุกข์และย้ายถิ่นฐานของพม่าว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในขณะนี้ 156,000 คน แต่มีแนวโน้มที่ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นสูงมาก เนื่องจากยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ทีมประเมินสถานการณ์ยังเข้าไม่ถึง

    โอซีเอชเอสำทับว่า ยอดผู้เสียชีวิตของทางการที่ 27 ราย อาจเป็นตัวเลขประเมินที่ต่ำเกินไปเช่นเดียวกัน

    ทางด้านสภากาชาดพม่าระบุว่า บ้านเรือน 300 หลังในยะไข่ถูกทำลายราบหรือได้รับความเสียหาย และประชาชนราว 1,500 คนต้องอพยพไปยังศูนย์หลบภัย

    [​IMG]
    @ภาพถ่ายจากทางอากาศแสดงให้เห็นน้ำที่ยังคงท่วมบ้านเรือนและไร่นาในเขตเมืองกะแล เขตสะกาย ของพม่า เมื่อวันอาทิตย์ (2)

    ปัจจุบัน ยะไข่รองรับผู้พลัดถิ่นอยู่แล้ว 140,000 คน ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมโรฮิงญาที่อยู่ในค่ายชั่วคราวริมชายฝั่ง หลังเหตุการณ์ปะทะรุนแรงระหว่างชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้กับชาวพุทธเมื่อปี 2012

    สื่อของรัฐบาลพม่ายังรายงานว่า เมืองฮาคา เมืองเอกของรัฐชิน เกิดเหตุดินถล่มในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้บ้านเรือน 60 หลัง ถนนสำคัญหลายสาย และสะพาน 7 แห่งได้รับความเสียหาย

    อุทกภัยครั้งรุนแรงนี้ถือเป็นบททดสอบปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ของรัฐบาลพม่า

    เจ้าหน้าที่กระทรวงสวัสดิการสังคมของพม่าที่ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (1) ว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยหลายแห่ง

    พม่านั้นเผชิญฤดูมรสุมเป็นประจำทุกปี แต่บ่อยครั้งที่ฝนและพายุไซโคลนมีความรุนแรงมาก ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มจนกลายเป็นเหตุการณ์ปกติ

    เมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 รัฐบาลทหารพม่าถูกวิจารณ์อย่างหนักจากความล่าช้าและไม่พอเพียงในการรับมือพายุไซโคลน “นาร์กิส” ที่ถล่มลุ่มแม่น้ำอิระวดี ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 140,000 ราย

    สำหรับในขณะนี้ นอกเหนือจากพม่าแล้ว ฤดูมรสุมยังแผลงฤทธิ์ในอีกหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้

    เจ้าหน้าที่ในรัฐมณีปุระทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเปิดเผยเมื่อวันเสาร์ว่า คาดว่า มีประชาชนราว 20 คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ภูเขาถล่มทับหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับชายแดนพม่า หลังจากฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง

    ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักยังทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของอินเดีย โดยเฉพาะที่รัฐคุชราตทาง
    ตะวันตกที่มีผู้เสียชีวิตถึง 53 ราย

    ที่เวียดนาม หน่วยกู้ภัยเร่งให้ความช่วยเหลือเหยื่อโคลนถล่มที่ปนเปื้อนสารพิษจากเหตุน้ำท่วมเหมืองถ่านหินในจังหวัดกว๋างนิง ทางเหนือ ซึ่งเป็นที่ตั้งอ่าวฮาลองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยรายงานระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้ว 17 ราย

    ปากีสถานเป็นอีกประเทศที่ประสบอุทกภัยรุนแรงในขณะนี้ โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 81 ราย และประชาชนได้รับผลกระทบเกือบ 300,000 คนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีผู้เสียชีวิตอีก 36 รายจากเหตุดินถล่มในเนปาล



     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝนตกหนักทำดินถล่มในอินเดีย กู้ภัยเร่งค้นหาผู้เคราะห์ร้าย 20 ราย โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 สิงหาคม 2558 20:04 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของอินเดียระบุว่า ทีมกู้ภัยกำลังค้นหาชาวบ้านประมาณ 20 คนในวันอาทิตย์ (2 ส.ค.) ซึ่งเกรงว่าอาจจะเสียชีวิตแล้วด้วยดินถล่มที่เกิดจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ

    เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ระบุว่า บริเวณด้านข้างของเนินเขาแห่งหนึ่งได้พังถล่มลงมาเมื่อวันเสาร์ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัฐมณีปุระ ใกล้กับชายแดนเมียนมาร์

    "จนถึงตอนนี้เรามีรายงานผู้เสียชีวิต 20 รายจากเนินเขาที่พังถล่มลงมาแล้วกลบฝังพวกชาวบ้านเอาไว้" เจ้าหน้าที่บอกกับเอเอฟพีทางโทรศัพท์

    เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ได้ในที่สุด หลังจากที่ต้องเจอกับอุปสรรคบนเส้นทางไปจุดเกิดเหตุ หลายภาพแสดงให้เห็นว่ามีสะพานที่ถูกน้ำซัดพังเสียหาย

    ขณะเดียวกันสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นก็แพร่ภาพให้เห็นถึงการพังถล่มของบ้าน รวมถึงภาพผู้คนหลายครอบครัวต้องไปหลับนอนกันที่ศูนย์อพยพ

    รัฐบาลอินเดียได้สั่งให้ส่งหน่วยกู้ภัยและทีมบรรเทาทุกข์เข้าไปที่รัฐนี้แล้ว ขณะลมมรสุมที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีกำลังสร้างความเสียหายไปทั่วพื้นที่

    ที่รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดีย มีผู้เสียชีวิตในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เพราะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นจากฝนตกหนัก อยู่ที่จำนวน 53 ราย โดยมีทั้งที่จมน้ำและถูกไฟฟ้าช็อต รวมถึงแบบอื่นๆ

    มากกว่า 10,000 คนที่ต้องอพยพออกจากรัฐคุชราตในสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่า ระดับน้ำกำลังลดลง ซึ่งจะทำให้ไฟฟ้าและการสื่อสารกลับมาใช้งานได้อีก


     

แชร์หน้านี้

Loading...