กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ขอนอกเรื่องด้วยคนครับ ว่าจะไม่โพสแล้ว แต่มันคันยิบๆ ครับ

    แนะนำให้ คุณค้างคาวไฮเทค ลองไปหาใน overclockzone ดูจิครับ
    โอกาสโดนโกงน้อยกว่า olx , kaidee
    ค่อยๆหาน่าจะมีราคาที่ตรงงบ แล้ว สเปคเทพๆ แบบที่คุ้มสุด
    อาจเอื้อมได้ถึง i5 ลองหาดูครับ

    เอามาฝาก 4 เครื่อง ที่เหลือลองหาเองครับ

    >>> HP
    >>> SONY
    >>> DELL
    >>> HP

    แล้วแนะนำให้ย้อนกลับไปดูประวัติการขายของแต่ละท่านเอาครับ
    จะได้โอนเงินก่อนแบบสบายใจ นั่งตีขิมได้ โดยไม่ต้องพึ่ง ริวจิตสัมผัสเลยคร้าบบ
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ต้องจัดแบบนี้ ชอบมาก เสี่ยงน้อยฮะ!!
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จขกท.ตัวจริงคือท่าน lovepyou ครับ
     
  4. nuanpan2

    nuanpan2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +99
    กำลังเริ่มฝึกกสิณน้ำ สังเกตุตอนเดินจงกรมพื้นจะกลายเป็นคลื่นน้ำบ่อยๆ เลยจะฝึกกสิณน้ำค่ะ ปกติไม่ค่อยชอบเพ่งเพราะจะแน่นๆกลางอก และหัว และพอแน่นๆแบบนั้นก็จะไปรู้อาการนั้นแล้วพิจารณาธรรม จนวาง ว่าง สบาย เหมือนว่าสมาธิก็เลยถอยลงมา เป็นทำวิปัสสนาตลอด

    ตอนนี้คิดจะตั้งใจฝึกกสิณจริงๆแล้วค่ะ จึงอยากรบกวนคุณณพชี้แนะค่ะ

    คำถามคือเราจะจับความรู้สึกถึงธาตุน้ำในร่างกาย มาทำกสิณน้ำได้ไหมค่ะ โดยที่ไม่ต้องเพ่งน้ำ แต่ทำความรู้สึกถึงน้ำระหว่างคิ้ว? เวลาทำไปสักพักเกิดอาการเหมือนรอบๆตัวมีมวลหมุนวนตลอดเวลาและพยายามมารู้อยู่กลางหว่างคิ้วเท่านั้น ถูกแล้วไหมค่ะ?
     
  5. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๐๐.๒๗

    ...แต๊งค์หลาย ที่ให้หน
    ทางตน ไปค้นหา
    โซนี่ ที่เตะตา
    ตัวข้า สิเมล์ไป

    ...แต่บ่าย ยังไม่เห็น
    เมล์ตน มิตอบมา
    โซนี่ กะไอห้า
    เมล์มา มิเห็นมี

    ...มิมี ไอดีการ์ด
    มิอาจ จะควานหา
    มิรู้ ถึงที่มา
    มิหา มิรู้ดี

    ...ท่านพี่ มีไหมเล่า
    โปรดเข้า ไปค้นหา
    อดีต ที่ผ่านมา
    ไอห้า ให้ข้าที ฮิฮิฮิ


    สุนทรทู่ / ค้างคาวไฮเทค

    .
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อืมมมม คับขอย้อนหน่อยหนึ่งก่อนนะครับ..
    ที่แน่นหน้าอกเพราะเผลอไปกำหนดจิตตรงหน้าอกเนื่องจากความเคยชิน
    ที่ไปตามลมหายใจ และลมหายใจก็ไปหยุดที่หน้าอกเลยกลายเป็นว่าไปกำหนด
    จิตค้างไว้ที่หน้าอกแบบไม่รู้ตัว และต่อมาแม้ว่าจะเข้าใจว่าเราต้อง
    ทำความรู้สึกว่ามองผ่านเหนือระหว่างคิ้ว
    แต่ว่ายังเผลอใช้การมองด้วยลูกตาปกติร่วมด้วยกับการที่มองผ่านระหว่างคิ้ว
    ตรงนี้เลยกลายเป็นการไปดึงกระแสความคิดที่มาจากสมองเข้ามาร่วมโดยที่เราไม่รู้ตัว
    อีกเช่นกันครับ.เป็นสาเหตุให้ปวดศรีษะครับ
    ..ส่วนตอนเดินจงกลมเห็นพื้นน้ำเป็นคลื่น เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่า
    เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้ปกติในกำลังสมาธิไม่มาก เรียกว่าอยู่ในสภาวะที่จิตทำงานได้
    แบบเส้นสายนำทาง เราจะเห็นอย่างนี้ได้ปกติขอเพียงจิตมีความเป็นทิพย์เล็กน้อย
    แต่ประเด็นนี้ให้เฉยๆไว้ก่อน เพราะตรงนี้ยังไม่ถือว่าเกิดประโยชน์อะไรในตอนนี้ครับ...
    ให้แก้ด้วยการปรับระบบการหายใจด้วยการดันลมให้ลึกถึงท้อง คือหายใจเข้าท้องพองหายใจ
    ออกท้องยุบเพื่อสร้างกำลังสมาธิสะสมและปรับความละเอียดของลมหายใจไปในตัว
    ในขณะเดียวกันให้ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจทั้งเข้าและออกหยุดอยู่ที่ปลาย
    จมูกเพื่อสร้างกำลังสติทางธรรม ตรงนี้ต้องให้เวลาหน่อยเพื่อปรับพื้นฐานตรงนี้
    ก่อนไม่งั้นจะพัฒนาต่อยอดไปถึงระดับปฏิภาคนิมิต เพื่อสร้างกำลังจิต
    และสามารถเรียกให้เป็นพลังงานกสิณขึ้นมาจริงๆจะเป็นไปได้ยากมากครับ...
    และก็จะติดอยู่แต่ในการเห็นเฉพาะในนิมิต นำมาใช้งานอะไรไม่ได้จริง
    ซึ่งตรงนี้ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับ แรกๆจะหายใจหลงๆสลับๆเป็นเรื่องธรรมดาครับ
    ส่วนการที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้วถอยกำลังมาวิปัสสนาที่ว่าเป็นเรื่องที่ดี
    ที่ควรทำเป็นปกติ แต่วิปัสสนาในสภาวะที่จิตเป็นทิพย์ได้จะดี และรู้จักวาง
    อารมย์เรื่องที่จะพิจารณาเอาไว้ก่อน(คือคิดๆเรื่องนั้นไว้แล้วก็ลืมๆไม่สนใจ)
    เพื่อให้มันผุดขึ้นมาตอนสภาวะที่
    จิตเป็นทิพย์จะสามารถตัดกิเลสตัวนั้นๆได้ ถ้าทำบ่อยๆ ส่วนกิเลสตัวไหน
    ตรงนี้ต้องค้นหาด้วยตัวเองครับ.เช่น เกี่ยวกับสัญญาต่างๆ คำพูด
    ที่เคยให้ไว้ ฯลฯ.กำลังสติจะบอกเราได้เองครับ..

    ตอบว่าจับความรู้สึกของน้ำหรือแค่นึกถึงน้ำได้ครับ เพราะตอนนี้จิตมันพอมีความคุ้นเคย
    กับสภาวะความเป็นทิพย์ได้แล้ว เพราะฉนั้นจึงไม่ต้องไปมองน้ำเพ่งน้ำให้เสียเวลา
    แต่ให้แก้ตรงที่ว่า ไม่ต้องไปทำความรู้สึกถึงน้ำที่ระหว่างคิ้วอีก
    เด่วจะทำให้ตีงบริเวณระหว่างคิ้ว และหากใช้ตาไปมองร่วมด้วยก็
    จะปวดศรีษะได้อีกครับ ให้หายใจให้ลึกอย่างที่แนะไปก่อนหน้า และทำความรู้สึก
    รับรู้ว่ามีลมกระทบที่ปลายจมูกก่อนหน้านั้นนะครับ และฝึกหลับตาปกติก่อนโดยให้
    โน้มสายตาปกติลงมามองที่ลิ้นปี่ สังเกตุสายตาพระพุทธรูปไหมครับ
    หรือหลับตาปกติไปเลย เพื่อตัด
    การไปดึงกระแสความคิดจากสมองเข้ามาร่วมอย่างที่ไม่รู้ตัว มันจะเกิดความ
    รู้สึกได้เองว่า เราจะเหลือแค่ตาดวงเดียวมองผ่านระหว่างคิ้วของมันได้เอง
    อัตโนมัติครับ ย้ำว่าอัตโนมัตินะครับโดยที่ไม่ต้องไม่ทำความรู้สึกที่เหนือระหว่างคิ้ว
    ปรับระบบการหายใจอย่างที่แนะนำนะครับ ทำความรู้สึกอย่างที่แนะนำเด่ว
    อาการเหมือนกับว่ามีมวลลมหมุนที่แขน ที่ขา ที่ลำตัวแล้วมันยังมีมวลลม
    หมุนย้อนเข้ามาที่แขนบ้างส่วน ขาบางส่วน ลำตัวบางส่วน แทนที่มันจะหมุน
    วนอยู่รอบๆแขน รอบๆขา รอบๆลำตัวภายนอกนั้น
    และอาการหมุนที่บนกระโหลกศรีษะส่วนบน ในลักษณะที่มันหมุนแล้ว
    ยังมีการวนเข้ามาย้อนกินเข้ามาที่ศรีษะฝั่งซ้ายนั้น ซึ่งความจริงมัน
    ควรจะหมุนๆขึ้นไปข้างบนเลย
    ถ้าปรับระบบการหายใจ การทำความรู้สึกรับรู้
    ที่ปลายจมูก อาการมวลลมที่ว่ามาทั้งหมดมันถึงจะหาย
    และควรเป็นอย่างที่มันเป็นครับ.
    และการมองผ่านระหว่างคิ้วแบบอัตโนมัติ ซึ่งแรกๆมันมักจะมืดๆ
    ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดานะครับ ไม่ต้องไปเร่งให้เห็นอะไร
    เพราะจิตจะสร้างความเป็นทิพย์
    ด้วยตัวจิตเอง จะมีกิริยาอย่างนี้เป็นปกติก่อน
    และให้ทำอย่างนี้จนกว่าจะเห็นเป็นน้ำจริงๆ
    เป็นคลื่นใส แต่ไม่มีฟอง ต่างจากตอนที่เราเห็นด้วยตาเปล่าตรงที่
    มันไม่ใช่คลื่นอย่างเดียว แต่เป็นน้ำจริงๆที่ใส มีคลื่นแต่ไม่มีฟองครับ
    ถ้าไม่เห็นอย่างที่ว่า ไม่ต้องสนใจทุกๆกรณีนะครับ..
    เพราะการเห็นน้ำแบบอื่นๆมันจะมาขวางและ
    จะทำให้เราพัฒนาไปได้ช้านั่นเองครับ
    ปล.ประมาณนี้ ค่อยๆอ่านน่าจะพอเข้าใจได้ครับ..(^_^)
     
  7. nuanpan2

    nuanpan2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +99
    ขอบคุณคุณณพมากค่ะ
    คำแนะนำละเอียดมาก อ่านเข้าใจง่ายค่ะ
    จะทำตามคำแนะนำนะคะ :)
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขออภัย ขออนุญาติย้อนแย้งธรรม เพื่อ ธรรม

    การที่ หายใจเข้าแล้วบอกว่าท้องพองออก ตรงนี้ ฝากคนสนใจธรรมปฏิบัติ
    ตามความเป็นจริง จะด้วยอำนาจกสิณ หรือ สติสัมปชัญญะ ก็แล้วแต่ ต้อง
    ทราบว่า กระบวนการหายใจของร่างกายนั้น จะใช้กล้ามเนื้อ กระบังลม
    และ เวลาหายใจเข้า กล้ามเนื้อกระบังลมจะยกขึ้นบีบให้ซี่โครงพองออก ปอดจึง
    พองออก เกิดกระบวนการหายใจเข้า ....ดังนั้น หายใจเข้าตามสภาวะของร่างกาย
    ท้องจะต้องยุบ

    ส่วนพวกภาวนาไม่เป็น กสิณไม่เคยมี หรือ ไม่เคยเอาเข้าไปส่อง การทำงานของร่าง
    กาย มันจะ เอาความคิดมาทับการภาวนา การหายใจเข้าของพวกติดคิด มีกามราคะกล้า
    จึงเบ่งท้องที่ต่ำกว่าปอดลงไปออก แล้วคิดไปว่า นี่คือ การหายใจเข้า ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไร
    กับกระบังลม ปอดเปิดเลย สักนิดเดียว

    การภาวนาตามระลึกลาหายใจ หากไม่เอา ท้องน้อย ท้องทับน้อง มาเกี่ยวข้อง
    สังเกตเลย การหายใจจะละเอียดได้ง่าย กายไม่ขยับทำให้เกิดวิตกวิจารณ์ ระลึกลม
    หายใจจะเห็นจิต แต่ถ้าไป เอาท้องน้อยมาฟูมาแฟ๊บแบบคิดเอา ให้ความคิดมันครอบ
    กรรมฐาน มันจะอึดอัดไปหมด เพราะไป เอาความคิดทับกรรมฐาน สร้างสภาวะหายใจ
    ผิดธรรมชาติ

    *******************************************

    การภาวนาเดินจงกรม แล้วเห็นพื้นไหวเป็นคลื่น ตรงนี้ต้องพิจารณาให้ละเอียด
    หาก สภาวะเป็นคลื่นมันเกิดแล้ว รู้สึกถึงการเคลื่อนไปของกาย การเปลี่ยนตำแหน่ง
    ของกาย ตรงนี้จะไปสัมผัส วาโยธาตุ

    แต่ถ้าพื้นไหวแล้วรู้สึกถึงความแปลแยก เป็นจุดเป็นต่อมท่ามกลางความไหว อันนี้
    จะไปสัมผัสความเป็น ปฐวีธาตุ

    ถ้าพื้นไหวแล้วรู้สึกว่ากายก็ไหวไปพร้อมเพรียงกัน ไม่มีความต่าง ตรงนี้ถึงจะสัมผัส
    ได้ถึง อาโปธาตุ ความเป็นกลุ่มเดียวกันกับ สรรพสิ่ง

    ถ้าพื้นไหวแล้วรู้สึกถึงความแผ่ซ่านไปทั่วทุกสรรพธาตุ มีความรู้สุกกระจายออกไป
    ตรงนี้จะไปสัมผัส ธาตุไฟ

    หากจิตตั้งมั่นดี อาศัย การเห็น จิตมันเกาะกุมอยู่ตรงกลางอก โดยมีความทุกขบีบคั้น
    หน่อยๆ แต่ทว่า มีการ แลอยู่ ทุกข์นั้นห่างๆ มีการแลหอยู่ถึง วัฏที่มันหมุนเหมือนจักร
    วาลนั้นห่าง มีการแลเห็นทุกขคามินีปฏิปทานั้น ดำเนินอยู่ในพื้นจิต แต่ มีจิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง
    แยกออกมาต่างหากด้วย อำนาจแห่งวิปัสสนา

    หากจิตตั้งมั่นดี จะแล วัฏหมุนวนไปอย่างนั้นก็ได้ จะเห็นก้อนทุกขที่บีบคั้นกลางอกไปห่างๆ
    ก็ได้ จะเป็นการตามเห็น อนิจสัญญา(เห็นวัฏมันหมุน) จะเป็นการตามเห็นทุกขสัจจ(เห็น
    สภาวะขันธ์5ถูกบีบคั้นให้ส่งออกจากฐาน)[ ถ้ามีอำนาจวิปัสสนา จะเห็น อนัตตาสัญญา]

    แต่ถ้าไม่ไหว คือ ภาวนาแล้วเกิดความลังเล เกิดความรำคาญ เกิดความเสียว เกิดการถาม
    หาความสุข หรือ ปิติ อันนี้คือ จิตมันขาดกำลัง สมถะ เดินวิปัสสนาต่อจะทำไม่ได้ จะ
    เหมือนคนหมดแรง [ ตรงนี้สามารถอ่าน พระสูตรการตรึก ปฏิปักษ์ต่อสมาธิ แปลไทยว่า อันตรายของสมาธิ
    ถ้าจะเอา วิสุทธิมรรคให้อ่าน อัปนาโกศล10 ]

    ตรงนี้จะต้องใช้ศิลปในการ นมสิการธาตุโดยอนุโลมลงไป

    เช่น สัมผัสความไหวของพื้นแล้วจิตเห็นการเคลื่อนที่ ย้ายที่ อันนี้จะ นมสิการวาโยธาตุ
    ก็ได้ หรือ นมสิการธาตุไฟก็ได้ เมื่อนมสิการแล้ว จะสัมผัสได้ถึง การเคลื่อนที่ เปลี่ยน
    แปลง พุ่งออก กระจายออก ...(ซึ่ง ต้องไม่จมลงไป อย่าให้จิตรวม ....สติ สัมปชัญญะ
    จะต้อง รู้กายทั่วพร้อมเหมือนจิตปรกติ ...... จิตจะรวมลงแต่ไม่ เข้าสู่ ภวังคจิต แล้ว
    จะเห็นได้ถึง การนมสิการธาตุบรรพะ...ทีเป็น มหาสติปัฏฐาน อันตรงตามแบบ มหาอภิญญา
    ตามพระสูตร ให้ทราบทั่วถึงธรรมอย่างถูกต้อง โดยไม่เกิด นิมิต ไม่มีที่ตั้ง เป็นสุญญตา
    สมาธิ อนิมิตสมาธิ อัปณิหิตสมาธิ ตรงตาม สมาธิในพระพุทธศาสนาโดยทั่วถึง )
    [ ตรงนี้หากขยันภาวนา มีอิทธิบาท จะค่อยเห็น หรือ การเข้าสู่การเป็นพยานของ
    สมาธิแบบพุทธ ที่เอากายเนื้อทั้งกายไปเทวโลก พรหมโลก ไม่ใช่หลับตาปี๋ ไปโน้นไปนี่
    แต่ กายเนื้อเป็นหัวตออยู่ในโลก]


    กรณี นมสิการธาตุอื่น ก็ทำนองเดียวกัน หาก นมสิการถูกต้อง สมถะ จะควบกับ วิปัสสนา
    โดยไม่มี อะไรก้ำเกินกัน(อัญญมัญญะ) สมถะเกิดไม่ทำให้วิปัสสนาหาย วิปัสสนาเกิดไม่ทำให้สมถะหาย
    เหมือนเห็น ปฏิปทาทั้งสองเกิดในพื้นจิต แล้ว มีสิ่งหนึ่ง ธรรมหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับ สมถะ
    และ วิปัสสนานั้น มีอยู่(ไม่ใช่ไม่มีอยู่) ธาตุที่พ้นปัจจัย ก็หัดเอะใจ ใช้ปัญญาอันยิ่ง ทำการเลื่อมใส
    ใน อสังขตธรรม อสังขตธาตุ นั้นไว้ด้วย

    เมื่อทำได้แล้ว พวกที่เป็น มิจฉาทิฏฐิ สอนธรรมผิดๆ จะไม่สามารถหลอกเราได้อีกเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2015
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กรณี สติกล้า ปัญญากล้า เกิดมาพร้อมด้วยปัญญาเจตสิก พร้อมบรรลุธรรม ชาตินี้

    ตรงจุดที่ ผลิกไป นมสิการ ธาตุบรรพะ ให้เปลี่ยนเป็น ธรรมบรรพะในส่วนพิจารณา
    นิวรณ์บรรพะแทน

    เมื่อ สติสัมปชัญญะ กำหนดรู้ ทุกขสัจจ วัฏกลางอก มีจิตตั้งมั่น แลอยู่ ไม่รู้สึก
    ว่านั้นคือตัวเรา ทุกข์ หรือ ก้อน หรือ วังวนนั้นเป็นเรา

    แล้ว เวลานั้นจิตเกิดขาดกำลังขึ้นมา จิตขาดสมถะหนุนส่ง ..ด้วยความเป็นปัจจัยการ
    ตาม อิทัปปจัยยตา จิตจะขาดกำลัง มันต้องเกิดจากเหตุ และ เหตุของการทำให้สมถะ
    หมดกำลังช่วยหนุ่นส่ง ก็เพราะว่า จิตขณะนั้นที่ไม่ใช่เราผลิกไปสู่ " นิวรณ์5 " อันออก
    มาจากจิต บังคับบัญชาไม่ได้ ....คนที่มีวิปัสสนากล้า จะเห็นลงไปเลยว่า นิวรณ์กำลัง
    ปรากฏในจิต ให้กำหนดรู้ นิวรณ์ที่เกิดขึ้น จิตกำลังส่งออก กำลังเคลื่อนออก หากระลึก
    ได้ นิวรณ์จะดับ

    และเมื่อ นิวรณ์ดับ สมถะทีเป็นกำลังหนุนวิปัสสนาจะเกิดทันที

    แต่......ตรงนี้จะผลิกศิลปในการภาวนา อย่าเอา กำลังสมถะที่เกิดขึ้น ไปส่งออก
    แม้นจะเอาไปเกื้อหนุนการวิปัสสนา ก็ต้องพิจารณาโดยแยบคายด้วย ไม่งั่นจะชะเง้อ
    หา แสง หาจุด หาดวง หมุนวน อยู่อย่างนั้น เห็นก้อนทุกข์ เอาความ สละออก
    เอาการเบา จิตเบา กายเบาอยู่อย่างนั้น ...ตรงนี้ จะต้องทำการนมสิการ
    "ทำปัญญาให้ทุรพล" ไว้ด้วย

    ถ้าทำได้ จิตจะสำรอก ทั้งสมถะ และ วิปัสสนา ออกไปไม่เหลือเชื้อสาสวะ ภวสวะ( จริงๆ คือ ดำเนินอยู่
    ด้วย กิจอันควรทำได้ทำแล้ว ) เห็น อภิญญาที่ไม่มีในศาสนอื่น รำไร รำไร

    เป็นความ รำไร ที่เข้าสู่ การเป็น พยานให้กับ สงฆ์ ให้กับ หลวงพ่อฤาษี
    ในโศลกธรรมสีหนารถว่า "เทวโลกก็ไม่เอา พรหมโลกก็ไม่เอา นิพพานก็ไม่เอา !! "
    [ อันวิญญูชน พึง รู้ได้ด้วยตัวเอง ....คนปัญญาทราม หาชอบโศลกธรรมนี้ไม่ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2015
  10. nuanpan2

    nuanpan2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +99
    ขอบคุณคุณเอกวีร์และคุณณพค่ะ ปกติจะหายใจไม่เต็มปอดจริงๆค่ะ มันไปสุดที่กลางอก ซึ่งปกติในชีวิตประจำวันจะดูจิตอยู่ทั้งวัน ไม่ก็ว่างๆเอาจิตไว้ข้างหน้าบ้างข้างบนหัวบ้างเวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ท่านมีกำลังจิตเมตตาสบายๆ

    การเจริญวิปัสสนาทำมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว มีอาการตามที่คุณเอกวีร์กล่าวไว้คือ เมื่อเจริญวิปัสสนา เกิดเห็นจิตหมุนวน และมีของหนักไหลออกมา ต่อมาเมื่อเห็นกายมีแต่ทุกขเวทนาจึงมาดูกายและเวทนา อดทนจนเห็นเวทนาขาดเป็นกระแสในกาย เกิดและดับ เกิดและดับ ความเจ็บมีอยู่ แต่ไม่มีจริง จนสุดท้ายกลับมารู้ที่จิตที่กลางอกนั่นแหละที่ไหวยิบยับ ไปรู้สิ่งต่างๆภายนอก และจิตมีอาการยิ้ม ตอนนี้เข้าใจว่าผู้รู้ก็คือจิตที่อยู่กลางอกนั่นเอง จากเดิมคิดว่าผู้รู้นั่นคืออยู่ด้านบนหัวมาตลอด ยังไม่แน่ใจว่าที่รู้นั้นถูกไหม ตั้งใจจะไปสอบถามครูบาอาจารยเมื่อมีโอกาสค่ะ

    ส่วนเรื่องจิตหมุนวนสำรอกสมาธิ และวิปัสสนาออก อันนี้ยังไม่เข้าใจค่ะ ? นี่หมายถึงสิ่งที่ยังเหลืออีกรึเปล่าค่ะ

    ตอนนี้ตั้งใจจะทำสมถะให้มากขึ้นแล้วค่ะ คิดว่าจะมีประโยชน์ต่อไป เรื่องเห็นพื้นน้ำนั้น นานมากแล้ว ไม่แน่ใจว่าอะไรไหวบ้าง แต่ในเวลาปกติจะรู้สึกในกายที่ไหว พลังงานข้างนอกที่ไหว คือมันเป็นสิ่งเดียวกัน จะเป็นกสิณน้ำถูกแล้วใช่ไหมค่ะ?
     
  11. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    หายใจเข้า ท้องยุบ หายใจออก ท้องพอง เป็นการหายใจแบบเต๋า

    หายใจเข้า ท้องพอง หายใจออก ท้องยุบ เป็นการหายใจแบบพุทธ

    ตามที่เค้าสอนกัน

    การหายใจ ถ้าดูหลอดลม กับปอด มันแค่หน้าอกไม่ถึงท้อง

    การหายใจต้องกำหนดไปถึงท้องทุกกรณี จะแบบไหนก็ตาม เพราะการหายใจอัดเข้าปอดเต็มที่ ต้องใช้ท้องช่วยกระบังลม เพราะอวัยวะมันติดกัน

    ลม เข้าที่ปอด แต่ลมที่ไปถึงท้องน้อยก็ธาตุลม ลมปราณโคจรทั่วร่าง ไม่ใช่ลมที่เข้าปอด แต่ก็เป็นธาตุลม

    ลมเมื่ออัดเข้าปอดเต็มที่ จะเกิดภาวะอ็อกซิเจนล้น คือ ร่างกายไม่ต้องอ็อกซิเจน ร่างกายจะลดการหายใจจนเบาแผ่ว เหมือนไม่หายใจ ในภาวะที่อ็อกซิเจนมีมากแล้ว ห้ามอัดอ็อกซิเจนเข้าร่างอีก ร่างกายจะช็อค

    คนเริ่มฝึกหายใจ ถ้าไม่ฝึกฝน การเข้าถึงอารมณ์การหายใจอย่างละเอียด อยู่ๆให้หายใจสั้นๆ สิ่งที่เกิดคือ อึดอัด แน่น เพราะร่างกายยังไม่สงบระงับ ยังต้องการอ็อกซิเจนอยู่ เมื่อร่างกายยังติดขัด จะหายใจสั้นจนไม่หายใจได้สมาธิเร็ว เป็นไปได้ยาก

    ยังไงๆ คนเราปกติหายใจสั้นๆ ไม่ใช่หายใจยาว ลมหายใจหยาบ ยังไม่ละเอียด ค่อยๆ ปรับร่างกายไปก่อนครับ
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ที่ไม่เข้าใจ การดับ การสำรอก เพราะ ไปเข้าใจว่า ดับ สำรอก
    คือ อันตรธานหายไป สัญญา สังขาร ยังทับการภาวนา สัจจที่ประจักษ์อยู่
    ไม่เอาธรรมเป็นใหญ่ ก็เรียก ....ถือเอาการฟังตามๆกันมา ยังกุมจิตอยู่ก็เรียก

    แต่ถ้า การดับ การสำรอก คือ การอยู่ร่วมกันอย่างปรกติ มีสันติ ตรง
    นี้คือ เอารสแห่งธรรมชนะ ความคิดความอ่าน การถือตามกันไปทั้งปวง
    เอา การตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นหลักเป็นเกณฑ์



    ตรงนี้ ก็เนื่องกับข้างบน จิตยังเอา การฟังๆตามกันไป เป็นใหญ่ กว่าการประจักษ์
    เข้าไปแจ้ง เข้าไปรู้ ตามความเป็นจริง เลยทำให้ จิตมันขยับ แล้วมารสบ
    ช่องให้ ตั้งคำถามใครต่อใครว่า

    "จะเป็นกสิณน้ำถูกแล้วใช่ไหมค่ะ?"

    คือ ถ้า เราเอาการภาวนาของเรา การประจักษ์ของเรา เป็นเกณฑ์ โดยที่ กิเลส
    มานะ อาสวะใดๆ ไม่กำเริบแล้วละก้อ มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปถามใคร
    ว่า ถูกหรือไม่

    การภาวนาไป แล้ว ตั้งธงเอาว่า เดี๋ยวจะไปหาครู ไปเชื่อมครู นั่นมันเป็น
    "การคลุกคลี " "การเข้าหา" ซึ่ง มีไว้ ตัดกำลังใจไม่ให้ก้าวข้ามไป
    เห็น "ปัญญาอันยิ่งเอง "

    ครูบา อาจารย์ ท่านจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อ กิเลสในจิตมันมีกำลังกล้า เราจึง
    เข้าหา ครูบา อาจารย์ ให้ท่านเทศนาว่าการณ์อะไรก็ได้ เอาเข้าจริงๆ เรา
    แค่ขอ ชาร์จแบ๊ต ขอกำลังใจ ขอความเป็นพยานในธรรม นั้นๆ

    การตรัสรู้นั้น หากมีสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ คนเรา จะต้อง รู้เอง เห็นเอง ไม่มีใคร
    ไปปรากฏเพื่อบอก เพื่อกล่าว เพื่อให้การรับรอง ทั้งนั้น
     
  13. nuanpan2

    nuanpan2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +99
    ขอบคุณคุณเอกวีร์ค่ะ

    คำถามว่าเป็นกสิณน้ำนั่นถูกแล้วไหม เผื่อคุณจะมีความคิดเห็นเพิ่มเติมให้ค่ะ ยินดีรับฟังทุกคำแนะนำค่ะ ทั้งการเจริญสมาธิ เจริญสติ และเจริญวิปัสสนา

    เพิ่มเติมคุณเอกวีร์ เรื่องของการรับรู้พลังงานและกระแสต่างๆนั้นมีอยู่นะคะ ถ้าได้ปฏิบัติเอง จะรู้เองและเห็นเองเช่นกัน สมถะกรรมฐานมีความสำคัญต่อการเจริญวิปัสสนานะคะ เมื่อเจริญปัญญาไประยะนึงแล้วบางช่วงต้องใช้กำลังสมาธิสูงขึ้น บางครั้งใช้เวลาพิจารณาจิตที่ไหวยิบยับ3-4ชม ต่อเนื่องกัน เมื่อมีกำลังจิตที่สูงกว่าการเห็นจิตตนเองก็คมชัด หรือเห็นได้ ไม่ใช่แค่รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่เกิดที่จิตค่ะ มีประโยชน์ต่อการเจริญสติ ปัญญา

    จริงค่ะ อย่างที่ได้บอกไว้แล้วตั้งใจไปหาครูอาจารย์เพื่อตรวจสอบสิ่งที่รู้ว่าถูกตรงกันหรือไม่ หรือเป็นพยานในธรรมนั่นแหละค่ะ เรื่องเกี่ยวกับผู้รู้ ที่ได้เข้าใจใหม่ เหมือนที่ผ่านมาเข้าใจว่าคือตัวที่ดูอยู่บนหัวมาตลอด สุดท้ายคือจิตที่อยู่กลางอกนั่นเอง :) ผู้ปฏิบัติจะเป็นผู้รู้เอง เห็นเองค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2015
  14. nuanpan2

    nuanpan2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +99
    จะทำตามดูค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณณฉัตร:cool:
     
  15. firse007

    firse007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +109
    ขอสอบถามหน่อยนะครับ หลังจากไปฝึกกสิณน้ำมา
    ปรากฎว่า สามารถมองเห็นนิมิตรของน้ำได้ชัดเจนขึ้นแล้ว
    ต่อจากนี้ ควรทำอย่างไรต่อไปครับ
    ฝึกไปเรื่อยๆแบบนี้ใช่ไหมครับ หรือ ต้องสังเกตอะไรเพิ่มเติมไหมครับ ?

    อีกคำถามนึงครับ : รู้สึกว่าจากที่ผมได้ลองไปปฎิบัติมานั้น ผมได้แอบลองจับกสิณลมเพียงเล็กน้อย แล้วผมสามารถมองเห็นเส้นทางของลมพัดผ่านมากระทบตัว แต่มองเห็นไม่ชัดหรอกนะครับ แต่มีความรู้สึกว่าจะจับภาพนิมิตรได้ไวกว่ากสิณน้ำมาก แบบนี้ควรเปลี่ยนมาฝึกกสิณลมจะดีไหมครับ ?

    ช่วยพิจารณาคำถามของกระผมด้วยนะครับ ^^ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2015
  16. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๑.๐๕

    แน่ใจนะหนู ว่าเป็นมือใหม่ ๕๕๕ อ่านขาดเลยนี่หน่า
    เฉพาะจุดนี้ แจ๋วกว่าท่านเอกหลายขุมเลย ขอบอก หึหึหึ

    การฝึกฝนควบคุมจิตนั้น จะมีระยะที่ต้องใช้กำลังแรงสูงเป็นระยะ
    เพื่อการข้ามขีดจำกัดขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ภาวนาอย่างเดียว
    ถ้าไม่มีกำลังสำรองไว้บ้าง ก็จะไปไม่ถึงไหนหรอก ขอบอก หึหึหึ

    การฝึกโยคะ ทั้งโยคะอาสนะ และปราณยาม
    ก็เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมาก สำหรับเราเองนะ
    เพราะเป้าหมายมีแยะ และอยู่ไกล ต้องใช้พลังงานสูงมาก อย่างต่อเนื่อง

    อีกทั้งการฝึกลมปราณ และการเดินกำลังภายในของจีน
    ทั้งแบบไท้เก๊ก หรือแบบเต๋า ล้วนมีคุณประโยชน์มากมากก่ายกอง
    แต่ละสายวิชา แม้จะคล้ายกัน แต่ก็แตกต่างกันในรายละเอียด
    ซื่งมีเยอะแยะ และซับซ้อน องค์ความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละสาขานั้นสำคัญนัก
    เคล็ดวิชาสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างใหญ่หลวง

    ซึ่งเมื่อมีการศีกษาและฝึกฝนในสายวิชาที่หลากหลาย
    ก็ย่อมมีมุมมองกว้างไกลกว่า การแก้ปัญหาก็จะทำได้หลายวิธีมากขึ้น
    อันสอดคล้องรองรับกับธรรมชาติ ที่มีความหลากหลายเป็นจุดที่สำคัญสุดๆ

    เอ...ออกทะเลไปไกลอีกแล้วสิเรา ๕๕๕
    พวกเค้าหรือใคร จะเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนากันไปได้บ้างไม๊น๊า หึหึหึ

    ว่าแต่ท่านเอกเคยฝึกอะไรแบบนี้บ้างไม๊เอ่ย
    นอกจากอ่าน และจำ แล้วหลับตาทำตามตำรามาเรื่อยอ่ะ
    กรุณาแหกตาดูโลกภายนอกซะบ้างเหอะน่า
    อย่ามัวแต่ด่าว่าพวกใบไม้นอกกำมือ ให้มันมากนัก หมั่นไส้อ่ะ ๕๕๕

    แต่อาการดีขึ้นแยะแล้วนี่ ทั้งภาษาหยาบคายบ้าบอพวกนั้นอ่ะนะ
    ยังเหลือไวรัสโรคจิกกัด กระแหนะกระแหนอีกนิดหน่อยเอง ๕๕๕
    พะยามหน่อยท่าน หึหึหึ


    กระต่ายป่า แห่งเกาะนาฬิเกร์ / ค้างคาวปล่อยแสง

    .

    ปล.ขออภัยท่านนพ จขกท.ผู้มีใจดั่งทะเล ๕๕๕
    แม้จะไม่ได้ว่าด้วยเรื่องกสิณ แต่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะมั้ง นะ
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็ต้อง จดจำสภาวะจิต จังหวะของจิต เหตุของกริยาจิต ที่ระลึกภาพน้ำ นั้นไว้

    แล้วทำบ่อยๆ ทำให้มากๆ .....สิ่งที่ต้องทำ หรือ พิจารณา คือ ธรรมฉันทะ
    ในความพอใจในการระลึกภาพน้ำได้ ....พอยกเห็น ธรรมฉันทะได้ ก็ให้สังเกต
    วิริยะ จิตตะ วิมังสา ซึ่งจะเอามาเป็น ประธานสังขาร ในการทำกรรมฐานไม่ว่า
    จะทำตามรูปแบบ หรือ นอกรูปแบบ เรียกว่า นั่งถ่ายทุกข์อยู่ก็ต้อง วางจิต
    ระลึกได้ในเวลาไม่กี่วินาที

    พอทำได้แล้ว จิตมันหนัก มันหน่วง อะไรไหม มีพยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกไหม
    เช่นการกลัวการเบียดเบียน หรือ มุ่งหวังใช้อำนาจ ...ตรงนี้จะเป็น ทางแยกระหว่าง
    มาร กับ ปฏิบัติเพื่อถ่ายถอนออกจากสังสารวัฏ

    หากจิตผลิกทางพยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก อะไรมากระซิบหลอก จะถูกเขาจูงไปเชือด

    หากจิตไม่ผลิกไปทางพยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก การหมั่นระลึก ฝึกให้คล่องตัว
    มันจะ เบา ควรแก่การงาน จิตแทบจะรวมเป็น ตติย จตุถะ ให้ได้ แต่.....
    เราจะยังไม่ให้จิตรวมลงไปก่อน จะเก็บกำลังเอาไว้ ออมเงินเอาไว้

    พอมีจังหวะชีวิต ที่สมควรแก่การบำเพ็ญสมณะธรรม เมื่อนั้น ค่อย สั่งจ่ายเช็ค
    เอากำลังสมาธิจ่ายไปในคราวเดียว .....ซึ่ง เวลากลับมาจาก เจโตสมาธิเกิดขึ้น
    จิตจะไม่กระเดิดไปทาง อุปกิเลส ดีไม่ดี ยังสามารถแหวกอาสวะออกไปตาม
    ความสมควรแก่ธรรม


    การจะเปลี่ยนอารมณ์กสิณ ก็พิจารณา ธรรมฉันทะ

    กสิณตัวไหน พอจิตดำเนินได้เห็นภาพ หรือไม่เห็นภาพ จะควบคุมได้ หรือไม่ได้
    แต่ จิตมันไม่หงุดหงิด ไม่สัดส่าย ไม่โลเล ยังคงเห็น ความพอใจในการสมาทาน
    สิกขามีอยู่ ผลได้แค่ไหนก็เห็นความพอใจนั้นจะต้องดับ(จะต้องยกเห็นด้วย)
    ความอยากไม่กำเริบ มีแต่ธรรมฉันทะ พอใจในอารมณ์กรรมฐานตัวนั้นตัวเดียว
    ก็พิจารณาเอาอันนั้นเป็นใหญ่

    ส่วนอันอื่นมันจะแฉลบออกของมันอยู่แล้ว เพราะ มหาภูตรูป4 จริงมันปรากฏพร้อม
    กัน ไม่ได้แยกกันปรากฏ เพียงแต่ จิตมันชอบเข้าช่องไหน มันจะพอใจมุมของธาตุ
    นั้นๆเป็นส่วนใหญ่ ก็เท่านั้น ได้กองเดียว จึงเหมือนได้หมดอยู่แล้ว


    ปล. กรณีที่มี ต้นทุนทางศีลดี จะอนุโลมให้มีความพิศดาร แตกต่างกันไป แต่ถ้า
    ศีลไม่ค่อยมีแนะนำให้ ภาวนาแบบเก็บกำลัง อย่ารีบออกรู้ออกเห็น หากไม่มี ครูสมาธิแนะนำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2015
  18. nuanpan2

    nuanpan2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +99
    คุณกระต่ายป่า หนูเป็นผู้ใหม่จริงๆ :D สนใจเรื่องสมาธิกับการเรียนรู้ของสมองมานานแล้ว เพิ่งทำจริงจังคือ2-3ปีนี้ค่ะ เพิ่งจริงจังเพราะเพิ่งเกิดศรัทธาความเชื่อในพระรัตนตรัย

    แต่ว่าเรื่องสมาธินั้นไม่ได้เรื่องเลยค่ะ ทำสมาธิลึกๆไม่ได้ เห็นคนทำได้ พอลองแล้วไม่ง่ายเลย ก็เลยถอดใจ ความสงบเลยทำพอเอาไว้เดินปัญญา ทำเท่าที่ทำได้ ถ้าวันไหนเหนื่อยเวทนามากจะต้องทำ ถ้าบางวันไม่หนักหนาก็ไม่ทำค่ะ

    ตอนนี้จะเริ่มทำอีกครั้งค่ะ หลังจากที่เคยถอดใจไปแล้ว เลยมาหาวิธีการทำกสิณน้ำ โชคดีเจอกระทู้นี้ เห็นคุณนพแนะนำท่านอื่นๆดีมากๆเลยถามบ้างค่ะ เริ่มจากการหายใจ สะสมกำลังต่อไป :D พยายามทำอยู่ค่ะ แอบมีอึดอัดบ้าง ตามลมไปบ้าง
     
  19. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านครับ

    กำหนดตามลมหายใจ แต่อย่าไปเป็นลมหายใจ เมื่อใดที่ไปยึดเอาลมหายใจ ถ้าเกิดลมอึดอัดเพราะอาการของกายใจก็จะอึดอัด ถ้าเกิดลมสบายเพราะอาการของกายใจก็จะสบาย แต่ถ้าเราแค่รู้ลมเฉยๆ กายอึดอัดใจก็เฉยๆ กายสบายใจก็เฉยๆ เป็นธรรมดาแค่นั้นเอง

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จริงๆ แค่อ่านจบ ก็รู้สึกใจเบาเลยฮะ
    จริตลุงแมว เป็นได้แค่นี้ฮะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...