ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คอร์รัปชันโทษประหาร! ป.ป.ช.คาดโทษข้าราชการทุจริต เริ่มต้นคุก 5-20 ปี ปรับ 1-4 แสน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กรกฎาคม 2558 19:08 น. (แก้ไขล่าสุด 12 กรกฎาคม 2558 20:16 น.)

    [​IMG]


    มีผลบังคับใช้แล้ว พ.ร.ป. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) เพิ่มโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ รับสินบน เริ่มต้นจำคุก 5 - 20 ปี หรือตลอดชีวิต ปรับ 1 - 4 แสน สูงสุดประหารชีวิต ชี้เหตุเพิ่มยาแรงเพราะไทยเข้าร่วมภาคีอนุสัญญา “ยูเอ็นแคค” ตั้งแต่ปี 2554 และกำลังถูกจับตามอง

    วันนี้ (12 ก.ค.) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 132 ตอนที่ 60 ก ลงวันที่ 9 ก.ค. 2558 ได้เผยแพร่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 โดยมีสาระสำคัญในมาตรา 13 เพิ่มบทบัญญัติการลงโทษอีก 7 มาตราแก่เจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทำความผิด คือมาตรา 123/2 มาตรา 123/3 มาตรา 123/4 มาตรา 123/5 มาตรา 123/6 มาตรา 123/7 และมาตรา 123/8 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542

    โดยเฉพาะใน มาตรา 123/2 บัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 - 20 ปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1 - 4 แสนบาท หรือประหารชีวิต

    และในมาตรา 123/3 บัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ กระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งในตําแหน่งนั้น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 - 20 ปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1 - 4 แสนบาท

    อ่านฉบับเต็ม : พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558

    สำหรับเนื้อหาที่สำคัญของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 มีดังนี้

    มาตรา 13 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 123/2 มาตรา 123/3 มาตรา 123/4 มาตรา 123/5 มาตรา 123/6 มาตรา 123/7 และมาตรา 123/8 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542

    “มาตรา 123/2 ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ของ องค์การระหว่างประเทศ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ จําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต

    มาตรา 123/3 ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ของ องค์การระหว่างประเทศ กระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งในตําแหน่งนั้น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงยี่สิบปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

    มาตรา 123/4 ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ ขององค์การระหว่างประเทศ โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน ให้กระทําการ หรือไม่กระทําการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

    มาตรา 123/5 ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

    ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลใดและกระทําไป เพื่อประโยชน์ของนิติบุคคลนั้น โดยนิติบุคคลดังกล่าวไม่มีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมเพื่อป้องกัน มิให้มีการกระทําความผิดนั้น นิติบุคคลนั้นมีความผิดตามมาตรานี้ และต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งเท่า แต่ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่ได้รับ

    บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลตามวรรคสอง ให้หมายความถึง ลูกจ้าง ตัวแทน บริษัท ในเครือ หรือบุคคลใดซึ่งกระทําการเพื่อหรือในนามของนิติบุคคลนั้น ไม่ว่าจะมีอํานาจหน้าที่ในการนั้น หรือไม่ก็ตาม

    มาตรา 123/6 ในการริบทรัพย์สินเนื่องจากการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ นอกจากศาลจะมีอํานาจริบทรัพย์สินตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้ด้วย เว้นแต่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วย ในการกระทําความผิด

    (1) ทรัพย์สินที่บุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทําความผิด

    (2) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่บุคคลได้มาจากการกระทําความผิด หรือจากการเป็นผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือผู้โฆษณาหรือประกาศให้ผู้อื่นกระทําความผิด

    (3) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่บุคคลได้มาจากการจําหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใดๆ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ตาม (1) หรือ (2)

    (4) ประโยชน์อื่นใดอันเกิดจากทรัพย์สินหรือประโยชน์ตาม (1) (2) หรือ (3)

    ในการที่ศาลจะมีคําสั่งริบทรัพย์สินตาม (1) ของวรรคหนึ่ง ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งการกระทําความผิด รวมทั้งโอกาสที่จะนําทรัพย์สินนั้นไปใช้ในการกระทําความผิดอีก

    ในกรณีที่ศาลเห็นว่ามีวิธีการอื่นที่ทําให้บุคคลไม่สามารถใช้ทรัพย์สินตาม (1) ของวรรคหนึ่ง ในการกระทําความผิดได้อีกต่อไป ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ดําเนินการตามวิธีการดังกล่าวแทนการริบทรัพย์สิน

    หากการดําเนินการตามวรรคสามไม่เป็นผล ศาลจะมีคําสั่งริบทรัพย์สินนั้นในภายหลังก็ได้

    มาตรา 123/7 บรรดาทรัพย์สินดังต่อไปนี้ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้ รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทําความผิด

    (1) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่บุคคลได้ให้ ขอให้ หรือรับว่า จะให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่

    (2) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้มาจาก การกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่ง หน้าที่ในการยุติธรรม

    (3) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศได้มาจากการกระทําความผิดตามมาตรา 123/2 หรือมาตรา 123/3 หรือความผิดในลักษณะเดียวกันตามกฎหมายอื่น

    (4) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่ได้ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ เพื่อจูงใจบุคคลให้กระทําความผิด หรือเพื่อเป็นรางวัลในการที่บุคคลได้กระทําความผิด

    (5) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่บุคคลได้มาจากการจําหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใดๆ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)

    (6) ประโยชน์อื่นใดอันเกิดจากทรัพย์สินหรือประโยชน์ตาม (1) (2) (3) (4) หรือ (5)

    มาตรา 123/8 เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคําขอของโจทก์ว่าสิ่งที่ศาลสั่งริบ ตามมาตรา 123/6 (2) (3) หรือ (4) หรือมาตรา 123/7 เป็นสิ่งที่โดยสภาพไม่สามารถส่งมอบ ได้สูญหาย หรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือได้มีการนําสิ่งนั้นไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น หรือได้มีการจําหน่าย จ่าย โอนสิ่งนั้น หรือการติดตามเอาคืนจะกระทําได้โดยยากเกินสมควร หรือมีเหตุ สมควรประการอื่น ศาลอาจกําหนดมูลค่าของสิ่งนั้นโดยคํานึงถึงราคาท้องตลาดของสิ่งนั้นในวันที่ศาลมี คําพิพากษาและสั่งให้ผู้ที่ศาลสั่งให้ส่งสิ่งที่ริบชําระเงินหรือสั่งให้ริบทรัพย์สินอื่นของผู้กระทําความผิด ตามมูลค่าดังกล่าวภายในเวลาที่ศาลกําหนด

    การกําหนดมูลค่าของสิ่งที่ศาลสั่งริบตามวรรคหนึ่งในกรณีที่มีการนําไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น หรือการกําหนดมูลค่าของสิ่งนั้นในกรณีมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้มาแทนต่ำกว่าการนําไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น ในวันที่มีการจําหน่าย จ่าย โอนสิ่งนั้น ให้ศาลกําหนดโดยคํานึงถึงสัดส่วนของทรัพย์สินที่มีการรวม เข้าด้วยกันนั้น หรือมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้มาแทนสิ่งนั้นแล้วแต่กรณี

    ในการสั่งให้ผู้ที่ศาลให้ส่งสิ่งที่ริบชําระเงินตามวรรคสอง ศาลจะกําหนดให้ผู้นั้นชําระเงินทั้งหมด ในคราวเดียว หรือจะให้ผ่อนชําระก็ได้ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่กรณี

    ผู้ที่ศาลสั่งให้ส่งสิ่งที่ริบซึ่งไม่ชําระเงินหรือชําระไม่ครบถ้วนตามจํานวนและภายในระยะเวลา ที่ศาลกําหนด ต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดตามอัตราที่กฎหมายกําหนด

    ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งริบทรัพย์สินเนื่องจากการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ แต่คําพิพากษายังไม่ถึงที่สุด ให้เลขาธิการมีอํานาจเก็บรักษาและจัดการทรัพย์สินดังกล่าว จนกว่าคดีถึงที่สุด หรือศาลมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการเก็บรักษาและจัดการ ทรัพย์สินให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด”

    สำหรับเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ ด้วยประเทศไทยได้ให้สัตยาบันร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2554 อันก่อให้เกิดหน้าที่ในการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญาดังกล่าวหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดําเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายภายในของประเทศไทยเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญา ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล อีกทั้งในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเป็นผู้ถูกประเมินและติดตามผลการปฏิบัติตามอนุสัญญา การที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเพื่ออนุวัติการตามพันธกรณีอนุสัญญาดังกล่าวก่อให้เกิดผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องความพยายามและความจริงจังในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายภายใน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตรวมถึงการแก้ไขปัญหาการทุจริตภายในประเทศ จึงมีความจําเป็นต้องแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุวัติการตามพันธกรณีอนุสัญญาดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องการกําหนดความผิดการให้หรือรับสินบนที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ การกําหนดอายุความ ในกรณีหลบหนีและอายุความล่วงเลยการลงโทษการกําหนดการริบทรัพย์สินในคดีทุจริตให้เป็นไปตามหลักการริบทรัพย์ตามมูลค่า อีกทั้งยังเป็นการสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ในการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตมีกลไกในการขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเนื่องจากการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุวัติการตามพันธกรณีอนุสัญญาดังกล่าวถือเป็นอาชญากรรมที่มีลักษณะพิเศษ จึงควรบัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นการเฉพาะ เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระและความเชี่ยวชาญของหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทํางาน และเป็นหลักประกันมิให้เกิดการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลมากเกินความจําเป็น นอกจากนี้ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินให้ถูกต้อง จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้.

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อาถรรพ์งู ๔ ตัว ในหลุมหลักเมือง โดย โรม บุนนาค 13 กรกฎาคม 2558 09:46 น.

    [​IMG]
    @ หลักเมืองวันนี้มี ๒ หลัก

    ตามประเพณีแต่โบราณกาลมา การสร้างเมืองใหม่จะต้องมีหลักธงชัยของบ้านเมือง เพื่อเป็นศูนย์รวมของความเชื่อมั่นต่อการดำรงอยู่ของประชาชน ว่าจะลงหลักปักฐานกัน ณ ที่ตรงนี้ให้วัฒนาถาวรสืบไป นั่นก็คือ การทำพิธียกเสาหลักเมือง

    กรุงเทพมหานครของเราก็เช่นกัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทำพิธีปราบดาภิเษกในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๓๒๕ แล้ว ก็ทรงดำริว่า เมืองธนบุรีนี้ ฝั่งฟากตะวันออกเป็นที่มีชัยภูมิดีกว่าฟากตะวันตก โดยเป็นแหลมมีแม่น้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง ถ้าตั้งพระนครฝั่งตะวันออก ก็จะต่อสู้ป้องกันข้าศึกได้ง่ายกว่าอยู่ข้างฝั่งตะวันตก

    ฝั่งตะวันออกนั้นเสียแต่เป็นพื้นที่ลุ่ม พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงเลือกฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นที่ดอน แต่ก็เป็นคุ้งน้ำเซาะทรุดพังอยู่เสมอ ทั้งพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถานก็มีวัดแจ้งและวัดท้ายตลาดขนาบอยู่ทั้ง ๒ ข้าง ทรงพระราชดำริดังนี้แล้วจึงดำรัสสั่งให้ พระยาธรรมาธิกรณ์ กับ พระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันออก จากนั้นจึงตั้งพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๓๒๕ ฤกษ์เวลาย่ำรุ่งแล้ว ๔๕ นาที

    ในพิธียกเสาหลักเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น มีเรื่องแปลกเล่ากันไว้ว่า เมื่อใกล้จะถึงเวลาพระฤกษ์ พระโหราจารย์กล่าวโฉลกบูชาฤกษ์แล้ว พระมหาราชครูอ่านพระราชโองการตั้งพระมหานคร ขุนโหรเริ่มประกอบพิธีกล่าวอุทิศเทพสังหรณ์ อัญเชิญก้อนดินซึ่งพลีมาแต่ทิศทั้ง ๔ แห่งพระนคร กระทำให้เป็นก้อนกลมดุจลูกนิมิตลงสู่ก้นหลุมเป็นลำดับกันไป เริ่มแต่ทิศบูรพา ทักษิณ ปัจฉิม และทิศอุดร จากนั้นก็นำแผ่นศิลาลงยันต์สำหรับรองรับหลักวางลงบนก้อนดินทั้ง ๔ ภายในก้นหลุมก็ตกแต่งไว้เรียบร้อย กรุด้วยผ้าขาวบริสุทธิ์ ดาดด้วยใบไม้อันเป็นมงคล ๙ ประการ โปรยด้วยแก้วนพรัตน์เรียงรายโดยรอบขอบปริมณฑลภายในก้นหลุม

    เมื่อถึงพระฤกษ์ โหราจารย์ก็ย่ำฆ้องบอกกำหนด ชีพ่อพราหมณ์เป่ามหาสังข์ แกว่งบัณเฑาะว์ เจ้าพนักงานประโคมดุริยางค์แตรสังข์และพิณพาทย์ เจ้าหน้าที่ประจำยิงปืนใหญ่เป็นมหาพิไชยฤกษ์ เริ่มพระราชพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองลงสู่ก้นหลุมโดยวางไว้บนแผ่นศิลายันต์

    ทันใดนั้นเองก็ปรากฏการณ์อันเป็นมหัศจรรย์ขึ้นอย่างไม่คาดคิด มีงูเล็ก ๔ ตัวปาฏิหาริย์ลงไปอยู่ในหลุมตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครเห็น มาเห็นก็ต่อเมื่อเสาหลักเมืองได้เคลื่อนลงสู่หลุมแล้ว จะยั้งไว้ก็มิได้ เพราะขั้นตอนพิธีทุกอย่างต้องเป็นไปตามพระฤกษ์ จึงต้องเลยตามเลย ปล่อยเสาลงก้นหลุมแล้วกลบดินทับงูทั้ง ๔ ตัวไว้ในหลุมหลักเมืองนั้นด้วย

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ได้ยังพระปริวิตกให้แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นอันมาก ทรงเรียกประชุมเหล่าเสวกามาตย์ ราชบัณฑิต ปุโรหิต โหราจารย์และพระราชาคณะ ตลอดจนผู้รู้ทั้งหลาย มาร่วมวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าจะดีร้ายประการใด ซึ่งที่ประชุมก็ถวายความเห็นสอดคล้องกันว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี คือ เป็นอวมงคลนิมิต แต่ก็ไม่มีผู้ใดบ่งชี้ได้ว่าอวมงคลที่ว่าจะปรากฏผลอย่างใด บอกแต่เพียงว่างูเล็กทั้ง ๔ ตัวนั้นจะเป็นเหตุที่นำความเสื่อมเสียไม่ดีมาสู่

    นอกจากนั้นยังมีเรื่องเล่ากันว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ได้มีผู้ทำนายว่าราชวงศ์จักรีจะดำรงอยู่ได้เพียง ๑๕๐ ปี แต่ก็ไม่มีรายละเอียดที่ทำให้น่าเชื่อถือได้ว่า งูเล็กทั้ง ๔ ตัวนี้เกี่ยวข้องอะไรกับราชวงศ์จักรี และเกี่ยวกับตัวเลข ๑๕๐ ปีอย่างไร

    อย่างไรก็ตาม งูเล็กในหลุมหลักเมืองของกรุงเทพฯ ก็ได้สร้างความวิตกกังวลให้ผู้คนตลอดมา โดยเฉพาะคนที่เชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๓๙๕ คือ ๗๐ ปีต่อมา ในแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเชี่ยวชาญในเรื่องของโหราศาสตร์ จึงโปรดเกล้าฯให้ทำพิธีสร้างเสาหลักเมืองขึ้นใหม่อีกเสาหนึ่งคู่กับเสาเก่า เมื่อวันพุธขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ พร้อมทั้งปรับปรุงเปลี่ยนแปลงศาลหลักเมืองจากของเดิมที่เป็นไม้ มาเป็นก่ออิฐถือปูนฉาบสีขาว มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง ทั้งยังทรงจะให้แก้เคล็ดในเรื่องนี้ด้วยการสร้างสะพานเชื่อม ๒ ฝั่งเจ้าพระยาให้ติดต่อถึงกัน ระหว่างเมืองเก่าหลวงและเมืองหลวงใหม่ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างได้ในขณะนั้น

    จนกระทั่งในปี ๒๔๗๐ ซึ่งมีการวางแผนที่จะจัดงานเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริก ในโอกาสที่กรุงเทพฯจะมีอายุครบ ๑๕๐ ปีใน พ.ศ.๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริที่จะให้สร้างอนุสรณ์สถานในพิธีนี้ด้วย และทรงวินิจฉัยให้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีผู้ให้กำเนิดกรุงเทพมหานคร พร้อมกันก็ให้สร้างสะพานเชื่อม ๒ ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชนที่จะไปมาหาสู่กัน โดยทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๔๗๒ และเปิดใช้ได้ในวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๗๕ ทันพิธีเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๕๐ ปีพอดี

    นอกจากนี้เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นหลักของแผ่นดิน ซึ่งประสูติในปีมะเส็ง ราศีงูเล็ก ๔ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ได้ร่วมกันทำบุญสร้างตึกคนไข้หลังหนึ่งให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พระราชทานชื่อตึกหลังนี้ว่า “ตึกสี่มะเส็ง”

    ล่วงเข้าบัดนี้ กรุงเทพมหานครก็มีอายุ ๒๓๓ ปีแล้ว เติบโตจนติดอันดับมหานครของโลก กษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ก็ได้รับความเคารพรักเทิดทูนจากประชาชนชาวไทยเหนือเกล้า ทั้งยังทรงได้รับความชื่นชมศรัทธาจากชาวโลก และเชื่อมั่นได้ว่าจะยืนยงสถาพรตลอดไป

    อาถรรพณ์งูเล็ก ๔ ตัวในหลุมหลักเมืองที่วิตกกันว่าจะเป็นอวมงคล อันจะนำความวิบัติอันตรายมาสู่กรุงเทพฯนั้น บัดนี้กาลเวลาที่ล่วงเลยมาจนพอจะบ่งบอกได้ว่า งูเล็กทั้ง ๔ ตัวนั้นมิได้มีผลใดๆ ต่อความเจริญรุ่งเรืองของกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์และราชวงศ์จักรีเลย

    [​IMG]
    @ วันเปิด “ตึกสี่มะเส็ง ที่ รพ.จุฬาฯ

    [​IMG]
    @ป้ายตึกสี่มะเส็ง


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิธีรับมือ...เมื่อคันเร่งค้าง updated: 11 ก.ค. 2558 เวลา 11:30:24 น.
    ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

    คอลัมน์ คาร์ทิปส์ นสพ.มติชนรายวัน

    [​IMG]

    เหตุการณ์คันเร่งค้างอาจเกิดกับรถคันไหนก็ได้ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์นี้ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสีย ยานยนต์ "มติชน" มีข้อมูลมาแนะนำผู้ขับรถยนต์ดังนี้

    สาเหตุของคันเร่งค้าง ทำให้รถนั้นเร่งตลอดจนเกิดอุบัติเหตุแบ่งออกได้ 2 สาเหตุหลัก คือความผิดพลาดของตัวผู้ขับเอง หรือปัญหาจากตัวรถ

    เมื่อเกิดคันเร่งค้าง ผู้ขับขี่อาจตกใจเวลาเจอเรื่องกะทันหัน อาจไปเหยียบคันเร่งแทนเบรก หรือการใส่รองเท้าส้นสูงขับรถ หรือมีสิ่งของต่างๆ เช่น ขวดน้ำไปขัดกับคันเร่ง กว่าจะถอนจากคันเร่งมาเหยียบเบรกก็ไม่ทันแล้ว

    ส่วนปัญหาเกิดจากตัวรถ อาจเกิดปัญหาคนเร่งจมค้าง ทำให้แป้นเบรกแข็งจนไม่สามารถใช้เบรก เป็นปกติของตัวรถเพื่อป้องกันการเหยียบเบรกพร้อมคันเร่งอยู่แล้ว หรือเบรกมีปัญหา เช่น เบรกจม เบรกแตก ทำให้ห้ามล้อไม่ได้ หม้อเบรกมีปัญหา ทำให้เบรกแข็งเกินไปจนหยุดรถไม่ทัน

    สำหรับวิธีการรับมือปัญหาเบรกและคันเร่งค้าง กรณีเกิดบนอาคารจอดรถ ตั้งสติให้ดีให้ใส่เกียร์ว่างทันที ทำให้รถไม่เร่งความเร็ว หลังจากนั้นให้เหยียบเบรกแรงๆ แม้จะไม่รู้สึกเหมือนว่าเบรกก็ต้องเหยียบเบรกไว้ จนรู้สึกว่ารถชะลอตัว

    กรณีเบรกไม่ทันให้ รีบประคองรถเข้าไปหาจุดที่คิดว่าแข็งแรง ในกรณีเป็นลานจอดรถจุดที่แข็งแรงที่สุดคือเสา อย่าพุ่งไปที่ผนังหรือกำแพง และเลือกฝั่งที่ไม่มีคนนั่งชนกับเสา เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

    สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาดคือการดับเครื่องยนต์ เพราะจะทำให้พวงมาลัยล็อก และเราจะไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถจนพุ่งตกอาคารได้ หากเป็นทางตรงยาว ให้ดับเครื่องยนต์ได้ทันที จะทำให้เครื่องยนต์ไม่ขึ้นรอบสูงจนเสีย และประคองรถเข้าข้างทางได้

    นอกจากนี้สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาดคือดึงเบรกมือ เพราะรถจะหมุนเสียการควบคุมทันที


    สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมี "สติ" จะช่วยให้แก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

    วิธีรับมือ...เมื่อคันเร่งค้าง : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ลำตะคอง” โคราชวิกฤตหนัก จัดเวร จนท.เดินตามน้ำ 24 ชม. สั่งเจอขัดขืนขอทหารช่วยทันที โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2558 12:09 น. (แก้ไขล่าสุด 13 กรกฎาคม 2558 14:13 น.)

    [​IMG]

    @สภาพลำตะคอง ช่วงจุดเขื่อนบ้านทุ่งกระโดนต.สีมุม อ.เมืองนครราชสีมา แห้งขอด เพราะน้ำปล่อยจากเขื่อนลำตะคอง มาไม่ถึง

    ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ฝนไม่ช่วยเติมน้ำเขื่อนโคราช “ลำตะคอง” ยังวิกฤตงดปล่อยเพื่อเกษตรสิ้นเชิงเพื่อใช้อุปโภคบริโภคเท่านั้น พร้อมจัดเวรเจ้าหน้าที่เดินติดตามเส้นทางน้ำตลอด 24 ชม. ป้องกันลอบสูบน้ำทำนาและรื้อทำนบกั้นลำตะคอง สั่งหากเกิดปัญหาโต้แย้งขัดขืนให้ขอกำลังทหาร “ทภ. 2” เข้าช่วยทันที ยันน้ำดิบผลิตประปาภูมิภาคและเทศบาลนครฯ ไม่ขาดแน่ ตั้งหน้ารอฝน ส.ค.หากไม่ตกต้องปรับแผนรับมือใหม่

    วันนี้ (13 ก.ค.) นายชิตชนก สมประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 8 นครราชสีมา เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของจังหวัดนครราชสีมาว่า ปริมาณน้ำโดยรวมของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางของจังหวัดนครราชสีมายังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วงและลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแม้มีฝนตกในบางพื้นที่แต่ไม่ได้เติมน้ำในเขื่อนแต่อย่างใด เนื่องจากฝนตกน้อย ขณะนี้ต้องบริหารจัดการน้ำที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าและเพียงพอ โดยเน้นน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นหลัก

    ทั้งนี้ ยืนยันว่าการประปาขนาดใหญ่ ทั้งการประปาส่วนภูมิภาคและประปาของเทศบาลนครนครราชสีมาไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำดิบในการผลิตประปาช่วงฤดูแล้งนี้แน่นอน แต่น้ำเพื่อการเกษตรจำเป็นต้องงดการปล่อยน้ำโดยสิ้นเชิงในพื้นที่เขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว, เขื่อนลำพระเพลิง อ.ปักธงชัย และเขื่อนลำปลายมาศ อ.เสิงสาง มีเพียง เขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี ที่ปล่อยน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่ 98,000 ไร่ และเขื่อนมูลบน อ.ครบุรี ปล่อยน้ำเพื่อการเกษตร 50,000 ไร่ แต่ในความจริงน่าจะมีการสูบน้ำไปมากกว่าพื้นที่ดังกล่าวแน่นอน

    นายชิตชนกกล่าวอีกว่า ลุ่มน้ำลำตะคองขณะนี้ยังมีปัญหาเกษตรกรลักลอบสูบน้ำจากลำน้ำไปใช้ทำนา ทำให้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคที่ส่งออกจากเขื่อนวันละกว่า 400,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) มาไม่ถึงปลายน้ำในเขต อ.เมืองนครราชสีมา จึงเกิดปัญหาการขาดน้ำดิบในการผลิตประปาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะ เทศบาลตำบลบ้านใหม่ ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงสำรวจเส้นทางน้ำและรื้อทำนบกั้นน้ำของชาวบ้าน รวมถึงตรวจสอบจุดสูบน้ำของเกษตรกรพร้อมขอความร่วมมือให้น้ำที่มีอยู่ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคเท่านั้น

    “หากจุดใดเกิดปัญหามีการโต้แย้งขัดขืนก็ให้ขอกำลังเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เข้าไปร่วมในการเดินสำรวจด้วย แต่ขณะนี้ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ถึงขั้นต้องขอกำลังทหารเข้าไปช่วยแต่อย่างใด และเจ้าหน้าที่ยังได้จัดกำลังเดินสำรวจติดตามน้ำตามลำน้ำลำตะคองตลอด 24 ชั่วโมง และล่าสุดเทศบาลตำบลบ้านใหม่สามารถเดินเครื่องสูบน้ำดิบไปทำประปาได้แล้ว” นายชิตชนกกล่าว

    อย่างไรก็ตาม วันนี้ยังคงต้องรอความหวังจากฝนที่จะตกลงมาในช่วงเดือน ส.ค.นี้ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้ โดยในวันที่ 20 ก.ค.นี้จะมีการหารือภายในของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดนครราชสีมาอีกครั้งเพื่อประเมินสถานการณ์ และวางแผนรับมือหากไม่มีฝนตกลงมาในช่วงดังกล่าวจะต้องปรับแผนการบริหารจัดการน้ำใหม่ โดยอาจต้องกำหนดเวลาปล่อยน้ำเป็นรอบ เพราะหากฝนไม่ตกต้องเผชิญภัยแล้งยาวนานต่อไปอีกถึง 9 เดือน

    [​IMG]

    [​IMG]

    @ลำตะคอง ช่วง ต.บ้านใหม่ อ.เมืองนครราชสีมา สันดอนโผล่เป็นระยะทางยาว เทศบาลตำบลบ้านใหม่ขาดน้ำผลิตประปา เดือดร้อนร่วม 8,000 ครัวเรือน

    [​IMG]
    @เขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา เขื่อนใหญ่สุดของโคราช ล่าสุดเหลือน้ำแค่ 51.6 ล้านลบ.ม.หรือ 16 % ของความจุ 314 ล้านลบ.ม. ต้องงดน้ำเพื่อการเกษตรสิ้นเชิงและปล่อยน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคเท่านั้น วันนี้ ( 13 ก.ค.)

    [​IMG]
    @ชลประทานจัดกำลังจนท.เข้าเวรเดินสำรวจติดตามเส้นน้ำตามลำตะคอง ตลอด 24 ชม. เพื่อป้องกันลักลอบสูบทำเกษตรและรื้อทำนบกั้นน้ำ

    [​IMG]
    @การลักลอบสูบน้ำเข้าทำการเกษตร

    [​IMG]
    @รื้อทำลายทำนบกั้นน้ำลำตะคองโดยไม่ได้รับอนุญาต

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พอล ครุกแมน” เจ้าพ่อเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลชี้ “อาจเห็นยูโรโซนแตก” จวกแมร์เคิลเป็นตัวการใหญ่ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2558 14:19 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ – พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิล และคอลัมนิสต์ประจำนิวยอร์กไทม์ให้ความเห็นถึงวิกฤตหนี้กรีซล่าสุดในวันอาทิตย์(12)ว่า เยอรมันและแผน Grexit เป็นตัวบ่อนทำลายเขตเศรษฐกิจยุโรปที่ก่อตั้งมาร่วม 15 ปีโดยการยื่นข้อเสนอให้กรีซในสิ่งที่ “ไม่มีทางเป็นไปได้” และยังเป็นการทรยศจุดยืนต่อ “จุดประสงค์การก่อตั้งเขตยูโรโซน” ที่ตอนนี้อยู่ในสภาพที่ยากลำบาก และคนอาจได้ทันเห็นการล่มสลายของเขตยูโรโซนในไม่ช้า

    หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์และบิสซิเนสอินไซด์เดอร์รายงานเมื่อวานนี้(12)ว่า พอล ครุกแมน เจ้าของรางวัลโนเบิล และคอลัมนิสต์ประจำนิวยอร์กไทม์ได้กล่าวผ่านบล็อกประจำสัปดาห์ถึงสถานการณ์วิกฤตยูโรโซน อันเกิดจากหนี้สิ้นของกรีซ ตลอดจนข้อเสนอ Grexit (ระหว่างการเลือกปฎิรูปใหญ่ทั้งประเทศโดยการใช้มาตรการรัดเข็มขัดและยอมให้บรัสเซลส์บริหารงบประมาณ หรือต้องออกจากยูโรโซนไม่ต่ำกว่า 5 ปี) ที่เป็นไปไม่ได้ของเยอรมันในการบังคับให้กรีซต้องเลือก ซึ่งในทัศนะนักเศรษฐศาสตร์ของครุกแมนถือว่า เป็นสิ่งที่ทำลายจุดประสงค์การก่อตั้งของเขตเศรษฐกิจยุโรปในตอนแรกเริ่ม

    ครุกแมนกล่าวว่า หากคนจะคิดถึงอเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐมนตรีกรีซว่า “อ่อนหัด” และหากคนต้องการให้รัฐสภากรีซหมดอำนาจ และเหนือกว่าอื่นใด หากคนต้องการแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จด้วยแนวคิดเขี่ยกรีซให้ออกจากยูโรโซน

    และถึงแม้ว่าทุกสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นจริงขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามตามความเห็นของครุกแมน “ข้อเสนอทั้งหมดจากเจ้าหนี้ทรอยกาที่รวมถึงกลุ่มสหภาพยุโรปอยู่ในนั้น เป็นข้อเสนอที่ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และสอดคล้องกับปรากฎการณ์ #ThisIsACoup ที่ประชาชนชาวกรีกร่วมใจประกาศความไม่เห็นด้วยต่อการสั่งการจากบรัสเซลส์ ศูนย์กลางอำนาจของสหภาพยุโรป ที่ต้องการบอกให้ชาวโลกรับรู้ว่า “ข้อเสนอของเจ้าหนี้กลุ่มทรอยกา เป็นการยึดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ”

    ซึ่งครุกแมนชี้ว่า #ThisIsACoup เป็นความจริง

    ทั้งนี้มาตรการที่ทางยุโรปยื่นมานั้นมันเกินไปกว่ามาตรการรัดเข็มขัดที่รัดจนแทบหายใจไม่ออก เพราะข้อเสนอที่ทางเจ้าหนี้ทรอยกา และแผนการ Grexit ล่าสุดได้กลายเป็นเสมือนการแก้แค้นอย่างหมดจด และการทำลายอำนาจของรัฐจนหมดสิ้น ซึ่งไม่มีความหวังที่จะฟื้นคืนเพราะเป็นเสมือนต้องการบอกว่า “การเป็นสมาชิกของกลุ่มยูโรโซนคือการยอมให้กลุ่มเจ้าหนี้สามารถทำลายระบบเศรษฐกิจของชาตินั้นได้ หากไม่ยอมทำตามข้อเสนอ หรือออกนอกลู่นอกทาง”

    ดังนั้นครุกแมนจึงสรุปว่า เป็นสิ่งที่คิดได้อย่างเดียวว่า เป็นข้อเสนอที่กรีซไม่อาจตอบรับได้ และอาจต้องเห็นเขตยุโรปต้องล่ม หลังกรีซถูกขับออก และการล่มสลายกลุ่มยูโรโซนไม่ได้อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของเอเธนส์ หรือความอ่อนหัดของซีปราส แต่ถือเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกทั้งหมดในเขตเศรษฐกิจยุโรป และที่สำคัญคือเยอรมัน

    ทั้งนี้ครุกแมนได้เคยออกงานข้อเขียนสนับสนุนการต่อสู้ของกรีซ และประณามข้อเสนอเจ้าหนี้ต่างชาติทรอยกา และมาตรการรัดเข็มขัดที่ได้เคยออกมา

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ด่วน!! ผู้นำยูโรโซนมีมติปล่อย "แพ็กเกจช่วยเหลืองวดที่ 3" ให้กรีซ หลังเจรจามาราธอน 17 ชม. โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2558 14:58 น.

    [​IMG]
    @โดนัลด์ ทัสก์ ประธานสหภาพยุโรป แถลงผลการประชุมซัมมิตยูโรโซนที่กรุงบรัสเซลส์ วันนี้ (13 ก.ค.)

    เอเจนซีส์ – ผู้นำกลุ่มยูโรโซนมีมติเป็นเอกฉันท์ “อนุมัติ” แพ็กเกจช่วยเหลืองวดที่ 3 ให้แก่รัฐบาลกรีซ หลังใช้เวลาเจรจาต่อรองนานถึง 17 ชั่วโมง โดนัลด์ ทัสก์ ประธานสหภาพยุโรป ออกคำแถลงล่าสุดวันนี้(13 ก.ค.)

    “ที่ประชุมผู้นำยูโรโซนมีมติเป็นเอกฉันท์ให้กลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป( อีเอสเอ็ม) จัดแพ็กเกจช่วยเหลือทางการเงินแก่กรีซ โดยมีเงื่อนไขปฏิรูปที่เข้มงวด” ทัสก์ กล่าว โดยหมายถึงกองทุนช่วยเหลือของยุโรปที่เคยอนุมัติเงินกู้ให้กรีซมาแล้ว 2 งวดตั้งแต่ปี 2010

    ผู้นำกลุ่มยูโรโซน 19 ประเทศใช้เวลาตลอดทั้งคืนวันจันทร์(13) เพื่อผลักดันข้อตกลงกู้วิกฤตหนี้กรีซ หลังยื่นคำขาดให้เอเธนส์ต้องยอมรับแผนปฏิรูปการคลังอย่างเข้มงวด หรือไม่ก็เป็นชาติแรกที่ถูกขับออกจากกลุ่มประเทศผู้ใช้เงินยูโร

    “ข้อตกลงวันนี้ช่วยให้กรีซรอดพ้นจากความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองที่จะเกิดขึ้น หากผลเจรจาเป็นลบ” ทัสก์ แถลงต่อสื่อมวลชนหลังสิ้นสุดการประชุม

    “รัฐบาลกรีซจะต้องปฏิบัติให้ได้ตามเงื่อนไขที่วางไว้”

    อย่างไรก็ดี ผู้นำยุโรปบางคนเตือนว่าข้อตกลงที่ได้ยังเป็นแค่ “พิมพ์เขียว” เพราะในกลุ่มยูโรโซนเองยังมีกระแสความไม่พอใจต่อทัศนคติและความดื้อแพ่งของกรีซตลอด 6 เดือนที่เจรจากันมา

    “ยุโรปได้โรดแมปมาแล้ว หลังจากนี้ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการนำไปปฏิบัติ” นายกรัฐมนตรี ทาวี รอยวาส แห่งเอสโตเนีย กล่าว

    ฌอง-โคลด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่มีความเสี่ยง” ที่กรีซจะต้องหลุดจากกลุ่มประเทศผู้ใช้เงินยูโรอีกแล้ว หลังจากเอเธนส์ตกลงรับเงื่อนไขที่ประเทศสมาชิกอื่นๆ เสนอมา

    “เกร็กซิต (Grexit) ไม่มีอีกแล้ว” จุงเกอร์ กล่าว

    ด้านนายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้นำยูโรโซนสายเหยี่ยวที่คัดค้านการปล่อยกู้ให้กรีซหากปราศจากแผนปฏิรูปที่เข้มงวด มิวายกล่าวเตือนวันนี้(13)ว่า ยุโรปยังจะต้องเผชิญอุปสรรคท้าทายอีกมากกว่าจะสรุปเงื่อนไขปล่อยเงินกู้งวดที่ 3 ให้แก่เอเธนส์ได้สำเร็จ

    “หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล และเมื่อดูจากการเจรจาตลอดคืนที่ผ่านมา คงไม่ใช่เรื่องง่าย”

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กษัตริย์ซาอุฯปรับคณะรัฐมนตรีใหม่อีก ตั้ง “เลขาฯพระราชวัง” คนใหม่ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2558 14:57 น.

    [​IMG]

    @สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดัลอะซิซ อาล สะอูด ของซาอุดีอาระเบีย

    เอเอฟพี – สมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบียโปรดเกล้าฯแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเคหะคนใหม่ในวันนี้ (13) และทรงเปลี่ยนตัวเลขาธิการสำนักพระราชวังใหม่ ในการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดของพระองค์

    พระราชกฤษฎีกาแต่งตั้ง คาลิด บิน อับดุลเราะห์มาน อัล-อิสซา รัฐมนตรีว่าการกิจการของรัฐเข้ารับตำแหน่งแทน ฮามัด บิน อัลดุลลาซิส อัล-สุไวเล็ม ในฐานะเลขาธิการสำนักพระราชวัง ตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการในวังหลวงให้กับกษัตริย์ซาอุฯ

    พระราชกฤษีกาดังกล่าวไม่ได้ให้เหตุผลสำหรับการปรับเปลี่ยนดังกล่าวหรือการปรับเปลี่ยนอื่นๆ

    สุไวเล็ม อยู่ในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว ซึ่งเขารับตำแหน่งต่อจากเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน พระราชโอรสผู้ทรงอิทธิพลของสมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน ในฐานะส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ซึ่งได้เห็นพระราชโอรสพระองค์นี้ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นรองมงกุฎราชกุมารและรัชทายาทอันดับ 2 ของราชอาณาจักรแห่งนี้

    เจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ยังทรงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและทรงนั่งตำแหน่งอื่นๆ ด้วย

    เพื่อรวมศูนย์อำนาจ ในเวลานั้นสมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน ยังได้โปรดเกล้าฯแต่งตั้งเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นมงกุฎราชกุมารด้วย

    หนึ่งวันหลังจากนั้น สมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน ทรงปรับปรุงการบริหารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยการรวมสำนักพระราชวังเข้ากับสำนักมงกุฎราชกุมาร จากคำแนะนำของเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ สื่อทางการรายงานในเวลานั้น

    พระราชกฤษฎีกาอีกฉบับหนึ่งในวันนี้ (13) แต่งตั้งให้ มาจิด บิน อับดุลเลาะห์ ฮามัด อัล-ฮูกอยล์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการเคหะ พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เรียก ฮูกอยล์ ว่าเป็นศาสตราจารย์

    เขาเข้ามาแทนที่เจ้าหน้าที่รายหนึ่งที่นั่งตำแหน่งนี้ชั่วคราว หลังจากที่รัฐมนตรีกระทรวงนี้คนก่อนหน้าถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือนเมษายน

    ราชอาณาจักรแห่งนี้กำลังสร้างบ้านเรือนหลายแสนหลังให้กับพลเมือง ซึ่งเป็นความพยายามที่จะจัดการกับปัญหาความขาดแคลนอย่างรุนแรง

    พระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 3 แต่งตั้งเจ้าชาย มิชาอัล บิน อัลดุลเลาะห์ เป็นผู้ปกครองภาคเหนือที่มีพรมแดนติดกับอิรัก แทนที่ผู้ปกครองคนก่อนหน้าที่เสียชีวิตในเดือนนี้

    เจ้าชาย มิชาอัล พระโอรสของสมเด็จพระราชาธิบดี อัลดุลเลาะห์ ที่สวรรคตเมื่อเดือนมกราคม เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงกลุ่มสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่จากรัชสมัยที่แล้ว

    พระองค์ทรงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับกษัตริย์เรื่อยมา นับตั้งแต่ที่สมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน ทรงปลดพระองค์ออกจากการเป็นผู้ปกครองนครศักดิ์สิทธิเมกกะเมื่อเดือนมิถุนายน ในฐานะส่วนหนึ่งของปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีขนานใหญ่ครั้งแรกของสมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักวิทย์ออสซี่พบ “กลุ่มภูเขาไฟโบราณ” นอกชายฝั่งซิดนีย์-คาดอายุกว่า 50 ล้านปี โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2558 13:11 น.

    [​IMG]
    @ทีมนักวิจัยของ CSIRO ค้นพบกลุ่มภูเขาไฟโบราณที่ดับแล้วนอกชายฝั่งซิดนีย์ ระหว่างออกเรือไปทำแผนที่ใต้น้ำ (ภาพ: CSIRO)

    เอเจนซีส์ – นักวิทยาศาสตร์แดนจิงโจ้ค้นพบกลุ่มภูเขาไฟโบราณนอกชายฝั่งนครซิดนีย์ ซึ่งคาดว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 50 ล้านปี และอาจเป็นกุญแจไขความลับเกี่ยวกับแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรระหว่างออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์

    นักวิจัยกลุ่มนี้ค้นพบภูเขาไฟโบราณ 4 ลูกซึ่งดับสนิทแล้วอยู่ห่างจากชายฝั่งซิดนีย์ไปราวๆ 250 กิโลเมตร ขณะที่พวกเขาออกเรือไปสำรวจแหล่งหากินของตัวอ่อนกุ้งล็อบสเตอร์เมื่อเดือนที่แล้ว

    ริชาร์ด อาร์คิวลัส ผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ระบุว่า กลุ่มภูเขาไฟซึ่งกระจายตัวกินพื้นที่ราว 20 ตารางกิโลเมตร “เป็นหน้าต่างไปสู่ชั้นเนื้อโลก (mantle)” ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้พื้นทะเล

    “ภูมิประเทศเหล่านี้บอกอะไรบางอย่างแก่เราว่า นิวซีแลนด์และออสเตรเลียแยกจากกันได้อย่างไรเมื่อราว 40-80 ล้านปีมาแล้ว และเป็นโอกาสที่นักวิทยาศาสตร์จะได้ไขปริศนาเกี่ยวกับแผ่นเปลือกโลก”

    กลุ่มภูเขาไฟเหล่านี้อยู่ลึกลงไป 4,900 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งทำให้มันไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน ทั้งที่ภูเขาไฟลูกที่ใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่าศูนย์กลางปากปล่องถึง 1.5 กิโลเมตร และสูงจากพื้นทะเลขึ้นมาถึง 700 เมตร

    อย่างไรก็ตาม เรือของทีมวิจัยชุดนี้มีอุปกรณ์โซนาร์ที่สามารถสำรวจพื้นทะเลลึกถึงระดับนั้นได้

    [​IMG]
    @ตำแหน่งที่ตั้งของกลุ่มภูเขาไฟโบราณ (ภาพ: CSIRO)

    “ผมเชื่อว่าทุกครั้งที่เราลงไปสำรวจพื้นทะเล เราจะพบในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน” อาร์คิวลัส ให้สัมภาษณ์

    “ผมมักพูดเสมอว่า เรารู้จักพื้นผิวดาวอังคารดีกว่าหลังบ้านของเราเองเสียอีก นั่นก็เพราะว่าบนดาวอังคารไม่มีน้ำมาขวางกั้น”

    อาร์คิวลัส อธิบายว่า หากนำลาวาที่ได้จากภูเขาไฟโบราณมาตรวจวิเคราะห์ นักวิทยาศาสตร์ก็จะสามารถระบุองค์ประกอบของชั้นแมนเทิลที่อยู่ลึกลงไปได้

    “มันก็เหมือนการเข้าไปคุ้ยถังขยะ เพื่อดูว่าบ้านนั้นเขาทานอะไรกันบ้างนั่นแหละ”

    ทีมวิจัยชุดนี้ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ 28 คนจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วออสเตรเลีย รวมถึงมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย และมหาวิทยาลัยอ็อคแลนด์

    “การเดินทางของเราครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดงาม” เอียน ซูเธอร์ส จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ กล่าว

    “เราไม่เพียงพบกลุ่มภูเขาไฟที่อยู่ห่างจากซิดนีย์ไปไม่เท่าไหร่ แต่ยังตื่นเต้นที่ได้รู้ว่า กระแสน้ำวนนอกชายฝั่งซิดนีย์ดึงดูดตัวอ่อนของกุ้งล็อบสเตอร์ให้เข้ามาหากินในฤดูกาลที่เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอพวกมัน”


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วอลล์สตรีทเผย! สหรัฐฯหาที่ประจำการ “โดรน” ในแอฟริกาเหนือเสริมจับตาไอเอส โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2558 12:19 น. (แก้ไขล่าสุด 13 กรกฎาคม 2558 12:36 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - สหรัฐฯ กำลังจัดการหารือกับประเทศต่างๆ ในแอฟริกาเหนือเกี่ยวกับการหาฐานทัพสำหรับให้อากาศยานไร้นักบิน (โดรน) ของตนไปประจำการที่นั่น เพื่อยกระดับการเฝ้าติดตามกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในลิเบีย หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานเมื่อวานนี้ (12) โดยอ้างจากเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสรายหนึ่ง

    เจ้าหน้าที่รายนี้บอกกับวอลล์สตรีท เจอร์นัล ว่า การส่งโดรนไปประจำการที่ฐานทัพใกล้กับที่มั่นสำคัญของกลุ่มไอเอสในลิเบียจะช่วยให้สหรัฐฯ “ทำความเข้าในกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ได้ดียิ่งขึ้น”

    หนังสือพิมพ์เจ้านี้รายงานว่า การใช้โดรนปฏิบัติการจะทำให้กองทัพและสำนักงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ได้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับกิจกรรมของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ในลิเบีย

    นักรบที่ภักดีกับผู้บัญชาการของกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรียกำลังบุกยึดพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นในลิเบีย ประเทศที่รัฐบาลคู่ขัดแย้ง 2 กลุ่มกำลังต่อสู้กันเพื่อให้ได้ซึ่งอำนาจการปกครอง และกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ได้ฉวยโอกาสจากภาวะสุญญากาศทางความมั่นคงนี้

    วอลสตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างจากเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ ระบุว่า ยังไม่มีชาติแอฟริกาเหนือแห่งใดตอบรับคำขอเข้าถึงฐานทัพ และอ้างจากคำพูดของเจ้าหน้าที่ต่อว่า สถานที่ดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นฐานทัพที่มีอยู่แล้วภายใต้การควบคุมของประเทศเจ้าบ้าน ซึ่งสหรัฐฯ จะได้รับอนุญาตให้นำโดรนไปประจำการไว้ได้พร้อมกับบุคลากรทางทหารในจำนวนจำกัด

    สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรกับอียิปต์และตูนิเซียที่มีพรมแดนติดกับลิเบีย แต่วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า เจ้าหน้าบริหารปฏิเสธที่จะระบุว่าประเทศใดๆ ที่อาจเป็นเจ้าบ้านรองรับโดรนของสหรัฐฯ

    เจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ บอกกับหนังสือพิมพ์เจ้านี้ว่า โดรนที่ถูกปล่อยจากฐานทัพที่นั่นก็อาจถูกใช้ในการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายกลุ่มไอเอสในลิเบีย และฐานทัพดังกล่าวอาจเป็นจุดปล่อยตัวสำหรับภารกิจปฏิบัติการพิเศษต่อต้านกลุ่มติดอาวุธ

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “เขื่อนลำนางรอง” บุรีรัมย์ยังงดปล่อยน้ำทำนา 4 หมื่นไร่ เหตุน้ำต้นทุนต่ำหวั่นวิกฤต โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2558 13:19 น. (แก้ไขล่าสุด 13 กรกฎาคม 2558 14:05 น.)

    [​IMG]

    เขื่อนลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ยังไม่ปล่อยน้ำเพื่อการเกษตรในเขตบริการกว่า 4 หมื่นไร่ หลังฝนตกน้อยไม่มีน้ำเติมอ่างทำให้น้ำต้นทุนต่ำหวั่นวิกฤตกระทบน้ำอุปโภคบริโภค วันนี้ (13 ก.ค.)

    บุรีรัมย์ - เขื่อนลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ยังไม่ปล่อยน้ำเพื่อการเกษตรในเขตบริการกว่า 4 หมื่นไร่ หลังฝนตกน้อยไม่มีน้ำเติมในอ่าง ทำให้น้ำต้นทุนต่ำหวั่นวิกฤตกระทบถึงน้ำอุปโภคบริโภค ขณะเกษตรกรเรียกร้องให้ทางเขื่อนปล่อยน้ำหล่อเลี้ยงต้นข้าวที่ใกล้แห้งตาย และให้เกษตรกรที่ยังไม่ไถหว่านปักดำข้าวได้ทำนาไปก่อน

    วันนี้ (13 ก.ค.) โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเขื่อนลำนางรองเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ของจังหวัดบุรีรัมย์ ยังงดปล่อยน้ำเพื่อการเกษตรให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในเขตพื้นที่บริการกว่า 40,000 ไร่ หลังฝนตกน้อยไม่มีน้ำเติมอ่างทำให้ปริมาณน้ำต้นทุนต่ำ โดยปัจจุบันมีน้ำเหลือกักเก็บในอ่างอยู่ 62 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปริมาณความจุอ่างทั้งหมดกว่า 121 ลูกบาศก์เมตร จึงเกรงว่าหากปล่อยน้ำเพื่อการเกษตรในช่วงนี้จะส่งผลกระทบถึงน้ำอุปโภคบริโภค

    เนื่องจากอ่างเก็บน้ำคลองมะนาว ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตประปาบริการประชาชนในเขต อ.โนนดินแดง มีสภาพตื้นเขินใกล้วิกฤต และหากไม่มีฝนตกลงมาเติมปริมาณในอ่างจะต้องดึงน้ำจากเขื่อนลำนางรองมาใช้ผลิตประปาแทน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อน้ำอุปโภคบริโภค

    ขณะที่เกษตรกรได้เรียกร้องให้ทางเขื่อนปล่อยน้ำมาหล่อเลี้ยงต้นข้าวของเกษตรกรที่ไถหว่านไว้และกำลังประสบปัญหาขาดน้ำเหี่ยวเฉาใกล้แห้งตาย ทั้งเพื่อให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้ทำนาได้ไถหว่านไปก่อนหลังจากต้องชะลอมานานกว่า 2 เดือนแล้ว

    นายพิน สะอิ้งรัมย์ อายุ 60 ปี เกษตรกร ต.โนนดินแดง อ.โนนดินแดง ซึ่งอยู่ในเขตบริการของเขื่อนลำนางรอง กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ทางเขื่อนและกรรมการผู้ใช้น้ำ ได้พิจารณาปล่อยน้ำเพื่อมาหล่อเลี้ยงต้นข้าวของเกษตรกรที่ขาดน้ำเหี่ยวเฉาใกล้แห้งตายได้รับความชุ่มชื้นและฟื้นตัว รวมทั้งให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้ไถหว่านปักดำข้าวได้มีน้ำในการไถหว่านข้าวจนกว่าฝนจะตกตามปกติ แต่หากทางเขื่อนไม่ปล่อยน้ำอีก 2-3 สัปดาห์ต้นข้าวของเกษตรกรคงจะแห้งตายเสียหายอย่างแน่นอน

    [​IMG]

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผอ.ย้ำแผ่นดินไหวห่างกัน 10 วัน 2 ครั้งไม่กระทบเขื่อนภูมิพล โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2558 11:21 น. (แก้ไขล่าสุด 13 กรกฎาคม 2558 11:41 น.)

    [​IMG]

    ตาก - ผอ.เขื่อนภูมิพลยันความปลอดภัยของเขื่อนฯ แม้จะมีเหตุแผ่นดินไหวในรอบ 10 วันเกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง และยังอยู่ในรัศมีของจังหวัดตาก แม้ครั้งหลังสุดจะห่างจากเขื่อนเพียง 44 กม. ส่วนระดับน้ำยังมีปริมาณไหลเข้าเขื่อนในระดับต่ำ

    นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล อ.สามเงา จ.ตาก เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์การเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่จังหวัดตาก โดยศูนย์กลางอยู่ใกล้กับเขื่อนภูมิพล ในรอบ 10 วันเกิดขึ้นถึง 2 ครั้งติดต่อกัน โดยล่าสุดวานนี้ (12 ก.ค.) เวลา 14.04 น. เกิดแผ่นดินไหวที่อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก มีจุดศูนย์กลางที่บริเวณสันเขาบ้านห้วยดินหม้อ ห้วยกระทิง ห้วยสินา ฝั่งขวาของลำน้ำแม่ตื่น ต.แม่ตื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก ห่างจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น 4 กิโลเมตร วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 3.6 ริกเตอร์ ลึกลงไปใต้พื้นดินประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ห่างจากเขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก ประมาณ 44 กิโลเมตร รัศมีการสั่นสะเทือนรับรู้ประมาณ 50 กิโลเมตร ไม่มีรายงานความเสียหาย

    โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 เวลา 14.27 น. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2.8 ริกเตอร์ บริเวณตำบลบ้านนา อ.สามเงา จ.ตาก บริเวณ Lat 17.75 Long 98.58 ที่ความลึกประมาณ 4 กิโลเมตร ห่างจากสันเขื่อนภูมิพลประมาณ 70 กิโลเมตร ประชาชนในพื้นที่สามารถรู้สึกได้เพียงเล็กน้อย และไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด

    นายณัฐวุฒิ ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ทันทีที่มีรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทางเขื่อนภูมิพลได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด มีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อนในจุดทดสอบต่างๆ รอบฐานเขื่อน และตัวเขื่อนทั้งหมด ซึ่งมีทั้งระบบดิจิตอลคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย และระบบแอนะล็อก มาตรวัดต่างๆ ซึ่งล่าสุดจนกระทั่งขณะนี้ไม่พบความผิดปกติ หรือมีสัญญาณอันตรายใดๆ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

    “โดยขณะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เครื่องตรวจวัดที่ตัวสันเขื่อนภูมิพลสามารถตรวจวัดรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เพื่อความสบายใจ และไม่ประมาท ทางเขื่อนภูมิพล และทุกๆ โรงไฟฟ้าพลังน้ำในทุกเขื่อนทั่วประเทศมีเจ้าหน้าที่ประจำห้องควบคุมติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ยืนยันได้ว่าทุกเขื่อนมีความมั่นคงแข็งแรง และยังสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ โดยเฉพาะ เขื่อนภูมิพล ซึ่งเป็นเขื่อนคอนกรีตที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นายณัฐวุฒิกล่าว

    นอกจากนี้ ยังมีรายงานถึงปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่เขื่อนฯ ว่า วานนี้มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล จำนวน 2.16 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 3,959 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 29.41 เปอร์เซ็นต์ มีปริมาณน้ำที่สามารถระบายได้เพียง 159 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 1.65 เปอร์เซ็นต์ โดยทำการระบายน้ำลงสู่พื้นที่ท้ายเขื่อนวันละ 8 ล้านลูกบาศก์เมตร

    ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 3,179 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 33.44 เปอร์เซ็นต์ มีปริมาณน้ำที่สามารถระบายได้เพียง 329 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 4.95 เปอร์เซ็นต์ โดยทำการระบายน้ำลงสู่พื้นที่ท้ายเขื่อนวันละ 17 ล้าน ลบ.ม.วานนี้มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำจำนวน 7.30 ล้านลูกบาศก์เมตร

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แล้งวิกฤตสิ้นกรกฎาน้ำหมดเขื่อน เจ้าพระยาฝั่งตอ.-ลพบุรี-ปทุมระทึก updated: 13 ก.ค. 2558 เวลา 11:15:16 น.

    [​IMG]

    ก ก ก
    ภัยแล้งยังวิกฤต หลังไม่มีฝนตกเหนือเขื่อน ลุ่มเจ้าพระยาเหลือน้ำใช้ไม่เกินสัปดาห์แรกเดือน ส.ค. กรมชลฯ ยื้อบริหารน้ำที่เหลือให้ถึง 15 ส.ค. รอฝน สัปดาห์หน้าต้องลดระบายน้ำลงอีก กระทบน้ำกินน้ำใช้ภาคกลาง

    ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนบนว่า ณ วันที่ 10 กรกฎาคม 2558 ปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของประเทศก็ยังมีปริมาณน้อยมาก โดยเขื่อนเก็บน้ำหลัก 4 เขื่อนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล-เขื่อนสิริกิติ์-เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำคงเหลือรวมกัน 633 ล้าน ลบ.ม. หรือ 3% มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างรวมกันแค่ 10.23 ล้าน ลบ.ม./วัน ในจำนวนนี้เป็นน้ำที่ไหลลงอ่างของเขื่อนสิริกิติ์มากที่สุด คือ 9.29 ล้าน ลบ.ม./วัน ขณะที่มีการระบายน้ำอยู่ที่วันละ 28.12 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งน้ำจำนวนนี้จะพอใช้อีกไม่เกิน 22-31 วัน

    [​IMG]

    ลดระบายน้ำหลังวันที่ 20 ก.ค.

    ในขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์พยากรณ์อากาศในช่วงนี้ว่า จะมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือทำให้มีฝนตกและตกหนักบางแห่ง แต่ต้องติดตามต่อไปว่าฝนที่ตกลงมาจะตกใต้เขื่อนหรือเหนือเขื่อน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าหากสถานการณ์น้ำยังวิกฤตอยู่เช่นนี้ (จนถึงวันที่ 20 กรกฎาคมยังมีฝนตกเหนือเขื่อนน้อย) กรมชลประทานจะไม่มีทางเลือกที่จะต้องสั่งลดการระบายน้ำในเขื่อนหลักทั้ง 4 แห่งลงอีก

    นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า จากปัจจุบันมีการระบายน้ำเพื่อใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของลุ่มน้ำเจ้าพระยารวมกันวันละ 28 ล้านลบ.ม. แต่มีปริมาณน้ำไหลลงอ่าง "น้อยมาก"ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านปริมาณน้ำใช้การได้จนถึงวันที่ 15 สิงหาคมนี้ กรมชลประทาน "อาจจะ" ต้องลดการระบายลงจากปกติที่ระบายในขณะนี้วันละ28 ล้าน ลบ.ม.ลงไปอีกในสัปดาห์หน้า ซึ่งต้องหารือกันกับ 10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป แม้ว่าเกษตรกรจะปลูกข้าวเพิ่มทุกวันวันละ 50,000 ไร่ก็ตาม (จากที่ปลูกข้าวนาปี 2558/2559 ไปแล้วมากกว่า 4 ล้านไร่)

    รายงานข่าวจากคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำเปิดเผยว่า หากกรมชลประทานจะต้องบริหารจัดการน้ำใน 4 เขื่อนหลักให้มีน้ำใช้จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม โดยที่ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำยังมีน้อยมากแบบนี้ กรมชลประทานก็จะต้องลดการระบายน้ำจากวันละ 28 ล้าน ลบ.ม. ให้เหลือวันละ15-20 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งการระบายน้ำที่ระดับนี้คำนวณจากปริมาณน้ำคงเหลือปัจจุบัน บวกลบ น้ำไหลลงอ่างสิริกิติ์วันละ10 ล้าน ลบ.ม.แล้ว โดยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก็คือ ระดับที่ลดต่ำลงของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก จังหวัดลพบุรี-ปทุมธานี มีความเป็นไปได้ว่าจะขาดน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคเพราะไม่มีน้ำไหลลงอ่างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

    กปน.จับมือกรมชลฯแน่น

    นายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) กล่าวว่า กปน.ประสานกับกรมชลประทานได้รับคำยืนยันว่า จะส่งน้ำป้อนภาคอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ จึงมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาขาดแคลนน้ำประปาในเขตบริการ 3 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ โดยกรมชลฯจะระบายน้ำจาก 2 เขื่อนหลัก (ภูมิพล, สิริกิติ์) วันละ 25 ล้าน ลบ.ม. แบ่งมาใช้ในกิจการประปาแค่ 3.7 ล้าน ลบ.ม. รักษาระบบนิเวศหรือผลักดันน้ำเค็ม2 ล้าน ลบ.ม. ส่วนความเค็มของน้ำดิบปัจจุบันอยู่ที่ 0.2 มก./ลิตร "จึงไม่มีปัญหานี้แต่อย่างใด"

    ด้านนายธงชัย ระยะกุญชร ผู้อำนวยการกองสื่อสารองค์กร สำนักสื่อสารองค์กรและลูกค้าสัมพันธ์ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์น้ำดิบใน กปภ.สาขา ประมาณ 50 สาขา อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวัง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนล่าง โดยมี 11 สาขาที่สถานการณ์รุนแรงที่สุด คือ สาขาปักธงชัย สาขาพิมาย จ.นครราชสีมา, สาขาเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี, สาขากระนวน จ.ขอนแก่น, สาขาแก้งคร้อ สาขาหนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ, สาขาเดชอุดม จ.อุบลราชธานี, สาขาอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ, สาขาจุน จ.พะเยา, สาขาท่าตะโก จ.นครสวรรค์ และสาขาวิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ต้องจ่ายน้ำเป็นเวลา โดยหลายสาขาไม่สามารถกำหนดเวลาจ่ายน้ำที่แน่นอนได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์น้ำดิบ

    น้ำใช้อุตสาหกรรมยังเพียงพอ

    นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า ล่าสุดได้รวบรวมข้อมูลปัญหาของโรงงานทั่วประเทศที่คาดว่าอาจจะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อใช้สำหรับกระบวนการผลิตภายในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเสนอ นางอรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาหาแนวทางแก้ไขแล้ว เบื้องต้นข้อมูลที่รวบรวมได้คือ จำนวนโรงงานในพื้นที่ทั้งหมด ปริมาณการใช้น้ำและความต้องการใช้น้ำเพิ่ม พบว่าปริมาณน้ำใช้ของแต่ละโรงงานยังมีเพียงพอ ส่วนใหญ่มีอ่างเก็บน้ำสำรองของตนเอง ส่วนแผนระยะยาวของ กรอ.ได้วางยุทธศาสตร์การดูแลโรงงานทั่วประเทศที่มีอยู่ 80,000 โรง เพื่อรับมือปัญหาภัยแล้งในอนาคต

    นายวีรพงษ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า นิคมในภาคตะวันออกที่อยู่ภายใต้การดูแลของ กนอ. อาทิ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (แหลมฉบัง) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (โครงการ 3) นิคมอุตสาหกรรมอมตะนครนิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำกว่า 500,000 คิว/วันนั้นยังคงมีน้ำสำรองเพียงพอจนกว่าจะเข้าฤดูฝนที่คาดว่าฝนจะเริ่มตกในปลายเดือนกรกฎาคมนี้

    นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA กล่าวว่า สถานการณ์ภัยแล้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้ง 2 แห่ง (อมตะนครชลบุรี-อมตะซิตี้ระยอง) และยังได้เตรียมแผนรับมือและการบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจรได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการทำแก้มลิงกว่า 500 ไร่ให้เป็นพื้นที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งในและนอกพื้นที่นิคม จึงทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อความต้องการใช้

    หัวหิน-ชะอำ-พัทยา น้ำยังพอใช้

    นายนุกูล พรสมบูรณ์ศิริ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองชะอำ จังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่าปัญหาภัยแล้งยังไม่กระทบต่อการผลิตน้ำประปาในพื้นที่ชะอำ ขณะนี้โรงแรม รีสอร์ตยังสามารถใช้น้ำได้ตามปกติ สอดคล้องกับนายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ว่าน้ำประปาในเขตชุมชนหนาแน่น ที่มีการลงทุนโรงแรม รีสสอร์ตยังไหลปกติ แต่ได้เตรียมศึกษาการขุดอ่างสำรองน้ำดิบรองรับการเติบโตของเมืองหัวหินในอนาคต

    ด้าน ดร.รุ่งโรจน์ สีเหลืองสวัสดิ์ ที่ปรึกษานายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ กล่าวว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะตุนน้ำประปาไว้ใช้ เพื่อลดความเสี่ยงหากน้ำประปาไหลช้าหรือหยุดไหล โดยการซื้อถังเก็บน้ำสำรองไว้ใช้ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ขณะที่นายเอกชัย อัตถการณ์นา ผู้อำนวยการการประปาส่วนภูมิภาค เขต 1 กล่าวถึงน้ำประปาในจังหวัดชลบุรี "ยังจ่ายน้ำปกติ" แม้ว่าปีนี้จะแล้งหนัก เนื่องจากน้ำต้นทุนที่มีอยู่คาดว่าจะสามารถจ่ายน้ำประปาได้ตามปกติประมาณ 3-4 เดือน

    แล้งวิกฤตสิ้นกรกฎาน้ำหมดเขื่อน เจ้าพระยาฝั่งตอ.-ลพบุรี-ปทุมระทึก : Prachachat Mobile
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฮาน้ำตาเล็ด หลายคนสงสาร หนุ่มจีนซื้อลูกหมาจากเวียดนาม 2 ปีต่อมาหมาน้อยกลายเป็นหมี โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กรกฎาคม 2558 17:40 น. (แก้ไขล่าสุด 12 กรกฎาคม 2558 22:31 น.)

    [​IMG]

    สำหรับบางคน การจะแยกลูกหมาออกจากลูกหมีนี่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยนะ... โปรดเข้าใจด้วย.

    ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- หนุ่มจีนในมณฑลหยุนหนันคนหนึ่ง มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในช่วงข้ามสัปดาห์มานี้ เขาตกเป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวชั้นนำของโลก ในเว็บบล็อก-เว็บไซต์ของคนรักสัตว์ และ อีกมากมาย เมื่อเจ้าหน้าที่ของทางการนำเอาหมี 2 ตัวที่เขาเลี้ยงดูมากับมือออกจากบ้านไป และ หนุ่มคนนี้ได้ตระหนักว่า ลูกสุนัขที่ซื้อไปจากชาวเวียดนามเมื่อ 2 ปีที่แล้วนั้น แท้จริงมิใช่ลูกหมา ที่เขาปรารถนาจะนำไปเลี้ยงเป็นเพื่อน หากเป็นลูกหมี.. หมีควาย (Black Bear) อีกต่างหาก
    ผู้อ่านทั่วโลกที่ได้อ่านเรือราวของเขา ได้ชมวิดีโอของสำนักขาวซินหวา มีจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชมจิตใจรักและเมตตาต่อสัตว์ของเขา รักเดียวใจเดียว ถึงแม้จะรู้ตัวในภายหลัง ว่าที่เขาเลี้ยงมากับมือนั้น มิใช่สัตว์เลี้ยง ที่เขาปรารถนาจะมีก็ตามที แต่หลายคนได้หัวเราะเยาะใน "ความซื่อ" ของเขา กล่าวว่าเขาใช้เวลานานเกินไปกว่าจะรู้ว่า ตนเองมีสัตว์ที่เป็นอันตรายอยู่ภายในบ้าน
    https://www.facebook.com/XinhuaNewsAgency/videos/1088971737796936/
    คลิปต้นฉบับที่โพสต์ในเฟซบุ๊กสำนักข่าวซินหวา ในช่วง 12 วันที่ผ่านมานี้ มีผู้เข้าชมกว่า 1 ล้าน 4 แสนครั้ง
    แน่นอน.. หลายคนได้อ่านข่าว ชมคลิป และ เห็นหน้าค่าตาของเขาแล้ว ปล่อยหัวเราะก้ากใหญ่ นายหวัง ไค่ยู่ (Wang Kaiyu) คือบุคคลที่ชาวโลกกำลังพูดถึงมากที่สุดคนหนึ่งในช่วงนี้ เขาเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแห่งหนึ่ง ใน อ.หม่ากวน ทางตอนใต้ของมณฑลใหญ่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ที่มีชายแดนต่อกับภาคเหนือเวียดนาม
    เขาบอกกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าจากนครคุนหมิงว่า ปีโน้นได้ซื้อ "ลูกหมา" ทั้งสองตัวจากชาวเวียดนาม ที่นำไปเสนอขายให้ ผู้ซื้อกับผู้ขายสองฝ่ายพูดกันคนละภาษา แต่เขาเองเชื่ออย่างสนิทในว่า เจ้าตัวเล็กทั้งสองตัวนี้มิใช่อย่างอื่น หากเป็นสัตว์ที่เขาปรารถนาจะเลี้ยงเอาไว้เฝ้าบ้าน
    หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลีของจีนกล่าวว่า นายหวังสู้อุตสาห์อาบน้ำแปรงขนให้ลูกสุนัขของเขาทุกวัน เลี่้ยงดูด้วยอาหารอย่างดี ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เฉลียวใจอะไรแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มโตขึ้น จะเคยไล่จับลูกไก่ของเพื่อนบ้านไปฉีกเป็นชิ้นๆ ยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ ก็ตาม เขาก็ยังเข้าใจว่านั่นคือพฤติกรรมของสุนัขที่กำลังโตนั่นเอง
    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดปรกติอยู่บ้างก็คือ เจ้าสองตัวนี้ไม่เคยเห่าให้ได้ยินเสียงเลย.. แต่.. เอ๊ะ.. สุนัขก็ไม่ได้เห่าทุกตัวนิ.. ยิ่งเป็นหมาดุด้วยแล้ว ไม่มีเห่า .. ปรี่เข้ากัดอย่างเดียว นั่นอะดิ...
    .
    เมื่อสัตว์เลี้ยงแสนรักของเขาโตเริ่มโต นายหวังจึงได้นำขึ้นไปเลี้ยงในกรงบนชั้นดาดฟ้าของบ้าน และ ความก็เริ่มแตก เนื่องจากหมีเป็นสัตว์ขี้เล่น ส่งเสียงดังอึกทึกอยู่บ่อยๆ เพื่อนบ้านต่างก็รับรู้ และ มีบางคนโทรศัพท์แจ้งทางการอย่างหวาดกลัว .. กลัวว่าหมีจะหลุดออกจากกรงในวันใดวันหนึ่ง และ ไล่ขย้ำลูกหลาน ในละแวกเดียวกัน
    ปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าหลายคน ได้ยกกันไปยังบ้านของนายหวัง ตรวจสอบสัตว์เลี้ยงตัวโตของเขา จนแน่ใจได้ว่านี่คือ หมี.. หมีควาย ไม่ใช่หมา เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้เขาทราบอีกว่า หมีพันธุ์นี้เป็นสัตว์ป่าที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของจีน ไม่สามารถจะเลี้ยงเอาไว้ในเคหะสถานบ้านเรือนได้
    เจ้าหน้าที่ใช้เวลานานทีเดียวกว่า จะทำให้นายหวังแน่ใจว่า สิ่งที่เขาเลี้ยงมานั้น มิใช่สุนัข หากเป็นหมี จนในที่สุดในวันที่ 30 มิ.ย. เขาจึงจำยอม ให้นำสัตว์เลี้ยงที่แสนจะรักและหวงแหน ไปดูแลที่ศูนย์ฯ ก่อนปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ในเวลาต่อไป
    ไชน่าเดลี่กล่าวว่า ในขณะนี้หมีควายหนุ่มทั้งสองตัว คือ เซียง (Xiong) กับ อี้เซียง (Yixiong) มีสุขภาพดีเยี่ยม แต่จะต้องให้เวลาอีกสักพัก เพื่อให้ปรับตัวเข้ากับโลกภายนอกได้ดีเสียก่อน ก่อนจะนำไปปล่อยในเขตป่าสงวนติดชายแดนเวียดนาม อันเป็นถิ่นฐานเดิม.
    @เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่ามณฑลหยุนหนันกล่าวว่า สองหนุ่มที่เห่าไม่เป็น คือ เซียง (Xiong) กับ อี้เซียง (Yixiong) ตอนนี้สุขภาพดีอยู่ภายในศูนย์พักฟื้น ไม่นานก็จะได้กลับไปอยู่ถิ่นฐานเดิม ที่จากมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว.
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx…
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    EU ประณามร่าง “กฎหมายโหด” พม่าห้ามสาวพุทธแต่งหนุ่มข้ามศาสนา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กรกฎาคม 2558 15:25 น. (แก้ไขล่าสุด 10 กรกฎาคม 2558 15:46 น.)

    [​IMG]

    @สังคมเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่อีกยุคหนึ่ง แต่กฎหมายยังคงปิดกั้น เพื่อมิให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นเจตนาอันแท้จริงของการออกกฎหมาย ห้ามหญิงสาวเหล่านี้แต่งงานกับหนุ่มต่างศาสนา ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ยังคงห้ามสตรีที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ ดำรงตำแหน่งระดับสูง.

    เอเอฟพี - สหภาพยุโรประบุว่า ร่างกฎหมายแต่งงานของพม่าเป็นการเลือกปฏิบัติ และเสี่ยงที่จะบ่อนทำลายความก้าวหน้าทางประชาธิปไตย หลังรัฐสภาพม่าผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวในสัปดาห์นี้ ที่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของอิทธิพลชาตินิยมชาวพุทธหัวรุนแรง
    ร่างกฎหมายแต่งงานพิเศษของสตรีชาวพุทธที่ได้รับการรับรองจากรัฐสภาเมื่อวันอังคาร (7) เป็นส่วนหนึ่งของชุดกฎหมายที่แต่เดิมมาจากการแนะนำของพระสงฆ์หัวรุนแรง
    ร่างกฎหมายดังกล่าวได้ออกเผยแพร่มาตั้งแต่เดือน ธ.ค. เพื่อควบคุมการแต่งงานระหว่างหญิงชาวพุทธ และชายต่างศาสนา ที่คู่ชายหญิงต้องยื่นเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อขออนุญาต และประกาศต่อสาธารณชนถึงการหมั้นหมาย หากไม่ถูกคัดค้าน ทั้งคู่จึงจะสามารถแต่งงานกันได้ และหากไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกนาน 2 ปี
    “ร่างกฎหมายนี้เลือกปฏิบัติต่อสตรี ด้วยการกำหนดข้อจำกัดต่อสิทธิของสตรีที่นับถือศาสนาพุทธที่จะสมรสกับผู้ที่นับถือต่างศาสนา” สหประชาชาติระบุในคำแถลงที่ออกในวันพุธ (8) และว่ากฎหมายนี้จะเป็นอันตรายต่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ
    อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังจำเป็นที่จะต้องได้รับการลงนามให้เป็นกฎหมายจากประธานาธิบดีเต็งเส่ง เป็นกฎหมายฉบับที่ 2 จากทั้งหมด 4 ฉบับ ที่ถูกเสนอผ่านรัฐสภา โดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนมองว่า เป็นการใช้ประโยชน์จากความกลัวระหว่างชุมชนชาวพุทธ และมุสลิม
    กฎหมายควบคุมประชากร ยังอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นออกกฎระเบียบการวางแผนครอบครัวเพื่อลดอัตราการเกิด ที่ได้รับการรับรองจากประธานาธิบดีไปเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อนำมารวมกันแล้ว กฎหมายชุดนี้จะบ่อนทำลายการมุ่งไปสู่การปรองดองในชาติ และสังคมประชาธิปไตย สหภาพยุโรป ระบุ
    พม่า ที่ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศนับถือศาสนาพุทธต้องเผชิญต่อความรุนแรงทางศาสนาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังคลื่นความรุนแรงปะทุขึ้นในรัฐยะไข่ ในปี 2555 ที่เป้าหมายส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม และได้แพร่ลามเกิดขึ้นไปทั่วประเทศ
    กลุ่มสิทธิมนุษนชนสตรีราว 100 กลุ่ม ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกต่อต้านกฎหมายแต่งงาน ที่เป็นผลให้หลายกลุ่มถูกข่มขู่คุกคาม
    “ประชาธิปไตยของประเทศเรานั้นอ่อนแอ และเปราะบางมาก กฎหมายนี้ไม่ควรออกบังคับใช้” สมาชิกรัฐสภาจากรัฐชิน กล่าวต่อสภาก่อนการลงมติในวันอังคาร (7) แต่สมาชิกพรรครัฐบาลกล่าวว่า กฎหมายจะให้สิทธิเท่าเทียมกับหญิงชาวพุทธ หากพวกเขาแต่งงานกับชายที่นับถือต่างศาสนา
    ประชากรพม่าเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามอย่างน้อย 4% และอีกประมาณ 4% นับถือศาสนาคริสต์ แม้ตัวเลขเหล่านี้จะเป็นตัวเลขเก่า และน่าจะประเมินต่ำไป
    พม่าได้เผชิญต่อการตรวจสอบของต่างชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังผู้อพยพสิ้นหวังหลายพันคนได้รับการช่วยเหลือขึ้นจากเรือง่อนแง่นที่ลอยลำอยู่ในน่านน้ำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    ชาวโรฮิงญาราว 140,000 คน ต้องไร้บ้านหลังเกิดความรุนแรงในรัฐยะไข่เมื่อ 3 ปีก่อน และหลายคนได้หลบหนีการเลือกปฏิบัติ และความสิ้นหวังในค่ายผู้อพยพ.
    http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx…
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยอดจำหน่ายหยกพม่าลดฮวบ เหตุแหล่งผลิตอยู่ในพื้นที่ขัดแย้ง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กรกฎาคม 2558 18:20 น. (แก้ไขล่าสุด 10 กรกฎาคม 2558 08:36 น.)

    [​IMG]

    พ่อค้าหยกกำลังตรวจสอบก้อนหยกที่พม่านำมาจัดประมูลในงานแสดงอัญมณีพม่า ครั้งที่ 52 ในกรุงเนปีดอ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.--Xinhua/U Aung.

    รอยเตอร์ - รายได้จากการจัดแสดงอัญมณีประจำปีในพม่าที่สิ้นสุดลงในสัปดาห์นี้ ลดลงถึง 63% จากปีก่อนที่ 1,260 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยอดขายที่ลดลงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากผลผลิตที่มีอย่างจำกัดเพราะการต่อสู้ในรัฐกะฉิ่น
    ยอดขายลดลงจากปี 2557 ที่ทำรายได้ไว้มากถึง 3,400 ล้านดอลลาร์ เพราะการปะทะกันระหว่างกองกำลังของรัฐบาล และกองทัพกะฉิ่นอิสระ (KIA) ที่ปฏิเสธเข้าร่วมในกระบวนการสันติภาพทั่วประเทศจนกว่าจะตกลงเงื่อนไขกันได้ ส่งผลให้การผลิตหยกต้องหยุดชะงัก
    “สาเหตุสำคัญที่ยอดจำหน่ายลดลงคือ การผลิตหยกลดลงเพราะการต่อสู้ที่ยังดำเนินต่อเนื่อง” เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงเหมืองแร่พม่า กล่าว
    รัฐกะฉิ่น เป็นพื้นที่ที่มีหยกมากที่สุดในโลก แต่ความขัดแย้งได้ปะทุขึ้นนับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิง 17 ปี สิ้นสุดลงในปี 2554 ปริมาณ และมูลค่าหยกที่จำหน่ายได้ลดลงจากผลของความขัดแย้ง
    หยก เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศจีน ที่ผู้ซื้อจำนวนมากเชื่อว่าการสวมหยกจะทำให้โชคดี รุ่งเรือง และอายุยืนยาว
    งานจัดแสดงอัญมณีของพม่ามีขึ้นเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่ปี 2507 ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของหยกพม่าถูกซื้อขายกันอย่างไม่เป็นทางการ และจบลงที่การข้ามชายแดนไปฝั่งจีนโดยไม่มีการจัดเก็บภาษีอย่างถูกต้อง
    การผลิตหยกระหว่างช่วงปีงบประมาณที่สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 มี.ค. รวมทั้งสิ้น 13,200 ตัน ลดลงจาก 15,000 ตัน ในปี 2556-2557 ตามการระบุของทางการพม่า.
    http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx…
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เปิดโปงกลุ่มไอเอสลวงโลก เพื่อปกป้องอิสราเอลจากภัยคุกคามต่างๆ โดย admin - กรกฎาคม 12, 2015

    [​IMG]

    เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เผย อบูบักร บัฆดาดี ได้ผ่านการฝึกฝนจาก มอสสาดมา หนึ่งปีเต็ม..
    เขายังกล่าวเสริมอีกว่า ในความเป็นจริง CIA, MI6 และมอสสาด ได้รวมกันสร้าง “ดาอิช” ขึ้นมา เพื่อเป็นขบวนการก่อการร้ายของตน ในนามของขบวนการมุสลิม เพื่อปกป้องอิสราเอลจากภัยคุกคามต่างๆ
    สหรัฐ อังกฤษ และอิสราเอล ต้องการยุบกลุ่มก่อร้ายที่ตนสร้างขึ้นมาหลายกลุ่มลง และให้เหลือเพียงกลุ่มเดียว คือ ดาอิช เพื่อที่พวกเขาจะสามารถคุมและบัญชาการได้ง่ายขึ้น ดังนั้นกลุ่มดาอิช ก็คือขบวนการก่อร้ายในนามมุสลิม ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากศัตรูอิสลาม เพื่อรักษาความมั่นคงของอิสราเอล และทำลายภาพลักษณ์ของศาสนาอิสลามต่อสายตาประชาคมโลก,,,,,
    เพิ่มเติมจาก บก.
    มันสร้างกลุ่มก่อการร้ายมาโดยตลอด เพื่อทำลายประเทศมุสลิม เพื่อทำลายภาพลักษณ์อิสลามที่แท้จริงของท่านศาสดา(ศ็อลฯ)
    แบบฉบับของนบีฯ ท่านไหนหรือครับที่เราเห็น ภาพแบบนั้นมีมั้ยในสมัยท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ทำสงครามกับศัตรู เปล่าเลย ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)มีจริยวัตรงดงามมาก แม้แต่ศัตรูอิสลามยังให้เกียรติ

    ถ้าใครได้อ่านการทำสงครามของท่านศาสดา(ศ็อลฯ) การปฏิบัติต่อเชลยศึก มันงดงามจนศัตรูอิสลามต้องบันทึกยกย่องในตำราการรบของพวกเขา แต่ไอเอส ไม่มีส่วนใดเลยที่เป็นแบบฉบับที่กล่าวมา
    บินลาเดน, ตอยีบัน, ไอเอส ไซออนิสต์อิสราเอล อเมริกา ซาอุฯ ประเทศมุสลิมบางประเทศ มันสนับสนุนผู้ก่อการร้าย มันก็คือพวกเดียวกัน สมคบคิดกัน ทำลายประเทศมุสลิม เพื่อรักษาปกป้องอำนาจของตัวเอง ปกป้องความมั่นคงของอิสราเอล
    ขณะที่อิสลามเจริญขึ้นทุกวัน ผู้คนหันมาสนใจอิสลามมากขึ้น กลุ่มขบวนการเหล่านี้ก็จะมีมากขึ้น กลุ่มหนึ่งขึ้น กลุ่มหนึ่งลง กลุ่มหนึ่งไป กลุ่มใหม่มา ล้วนแต่เป็นกลุ่มเดียวกัน บนประโยชน์ร่วมกันต่างตอบแทนด้วยผลประโยชน์ แต่ทั้งหมดเพื่อทำลายประเทศมุสลิมที่ไม่ขึ้นตรงกับพวกเขา และไม่ต้องการให้มีการปกครองในแบบอื่นตามที่ตนเองปรารถนา มิต้องการให้ประเทศอื่นร่ำรวยทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องการให้มีอำนาจใดๆ เพื่อบางประเทศทำตัวเป็นพี่ใหญ่ในโลกมุสลิม น่าเศร้าที่ประเทศมุสลิมในอาหรับนิ่งเฉยและเดินตามเกมส์ของศัตรูอิสลาม เพราะต้องตอบแทนบุญคุณที่ทำให้พวกเขามีอำนาจตลอดมา
    ขบวนการสมคบคิดนี้จะมีอยู่ต่อไป จนกว่าศัตรูของอิสลามมองเห็นว่าพวกนี้ทำงานไม่สำเร็จและไม่เป็นไปตามแผนของพวกมันแล้ว มันก็จะกำจัดกลุ่มนั้น แล้วสร้างกลุ่มใหม่ขึ้นมา บนรากฐานเดียวกันคือ ความโหดร้าย ป่าเถื่อน บิดเบือน ทำลาย จนประเทศเหล่านั้นพังยับเยินด้วยสงครามกลางเมืองที่ประสงค์ให้เกิดขึ้น เพื่อทำลายเศรษฐกิจ ทำลายความสงบ ปั่นป่วน ก่อกวน จนพินาศ ยากที่จะฟื้นฟู อยู่แบบยากไร้ ต้องรอความช่วยเหลือ นี่คือแผนที่สำเร็จของศัตรูอิสลาม ที่ดำเนินแผนการนี้โดยน้ำมือของผู้ที่อ้างว่าเป็นมุสลิม
    แท้จริงแล้วมันคือการทำลายภาพลักษณ์อิสลาม สร้างความหวาดกลัวให้คนทั้งโลกเกลียดชังอิสลาม ทำลายเอกภาพในหมู่ชนมุสลิม สร้างเรื่องราวบิดเบือนให้ผิดใจกัน เพื่อให้มุสลิมฆ่ากันเอง ทั้งหมด ไม่มีส่วนใดๆ เกี่ยวกับอิสลามหรือจริวัตรอันดีงามของท่านศาสด(ศ็อลฯ)เลยแม้แต่น้อย แต่ส่วนมากของมุสลิมหรือคนทั่วไปไม่ทราบ และที่ร้ายไปกว่านั้นคือการกุเรื่องสงครามความขัดแย้งระหว่างสุนนีและชีอะอฺให้เกิดขึ้น ทั้งที่สองกลุ่มนี้มิได้ทำสงครามต่อกัน มิได้เกลียดชังต่อกัน เมื่อใดก็ตามที่มีการฆ่าหรือสงครามเกิดขึ้น กลุ่มก่อการร้ายมักจะอ้างตนว่าเป็นสุนนี เพื่อไปฆ่าชีอะอฺในนาม นี่คือการโยนความไปให้สุนนี ทำให้สองกลุ่มผิดใจกัน แต่ไม่ได้ผลแล้ว เพราะสองกลุ่มนี้รู้เท่าทันเกมส์ชั่วนี้เสียแล้ว มันจะทำลายย่อยยับไม่ว่าจะเป็นสุนนีหรือชีอะอฺ ไม่สนใจเด็กหรือสตรีและคนชรา มันฆ่าหมดไม่เว้นเชลยสงคราม ซึ่งสิ่งนี้ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)มิได้ทำ…
    ขณะที่เป้าหมายที่แท้จริงของประชาชาติมุสลิมคือ รัฐเถื่อนอิสราเอล หรือไซออนิสต์อิสราเอล อเมริกา คือศัตรูตัวจริง และดำเนินสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นในโลกอิสลาม ในตะวันออกกลาง ในพื้นที่ที่มีมุสลิม ในประเทศที่ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ทั้งหมดต้องทำลายให้ย่อยยับ โดยใช้สมุนเหล่าก่อการร้ายเข้าไปจัดการ บนผลประโยชน์ร่วมของกลุ่มสุดโต่งทางแนวคิด ทำได้แม้แต่ผลิดชีพของผู้ศรัทธาด้วยกัน เพียงแค่พวกเขาต่างสำนักคิด หรือมีทัศนะเรื่องศาสนาไม่ตรงกัน นี่เป็นข้ออ้างเพื่อดึงมุสลิมบางส่วนไปรว่มกับพวกเขา ทั้งที่แนวคิดสุดโต่งเป็นอันตรายต่อศาสนาทุกศาสนา และในอิสลามนั้นไม่มีแนวคิดเช่นนั้น…
    ถ้าพวกเราไม่รู้จักหรือเข้าใจแนวคิดของท่านศาสดา(ศ็อลฯ)แล้วไซร์ ท่านจะบอกหรือว่าท่านเข้าใจไอเอสดีแล้ว แนวทางทั้งสองท่านคิดว่าแบบไหนคืออิสลามที่แท้จริง มิได้ใช้ปัญญาไตร่ตรองหรอกหรือ หากท่านได้ทำการศึกษาแล้วจริงๆ ท่านก็จะทราบว่า แนวทางของท่านศาสดา(ศ็อลฯ) สวยงามนัก
    ประชาชาติมุสลิมต้องการเอกภาพ มิใช่สงครามระหว่างกัน ดังนั้นทั้งสุนนีและชีอะอฺเป็นพี่น้องกัน เอกภาพจากสองกลุ่มนี้คือเป้าหมายการทำลายของศัตรูอิสลาม และมุสลิมผู้สมคบคิด…
    เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เปิดโปงกลุ่มไอเอสลวงโลก เพื่อปกป้องอิสราเอลจากภัยคุกคามต่างๆ | สำนั
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช

    [​IMG]

    อุยกูร์ (ตอนที่3) : อุยกูร์เข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายตั้งแต่สมัยรัฐบาลชุดไหน? เจาะลึกการส่งตัวผู้อพยพผิดกฎหมายและผู้ก่อการร้ายชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนจากหลายประเทศในอดีต, และแกะรอยเส้นทางอุยกูร์เข้าไทยอย่างผิดกฎหมาย
    ------------
    นึกว่าเรื่องอุยกูร์จะจบแล้วซะอีก ยังไม่จบ... เพราะมีพวกคอยเสี้ยมคอยบิดเบือนข่าวให้สังคมเข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้สอดรับกับแผน anti-China ตามที่จักรวรรดิเฮเกโมนิสม์ (Hegemonic Imperialism) นั่นเอง และตามที่ได้แจ้งให้แฟนเพจทราบไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะมาเล่า "อุยกูร์ ภาค 3" ให้ฟัง หลังจากที่ได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ทั้งข้อมูลเก่าและข้อมูลใหม่พบว่ามีอะไรที่น่าสนใจมาก มีหลายเรื่องเช่น อุยกูร์เข้ามาในไทยได้ตั้งแต่เมื่อไร? (ในยุคของรัฐบาลไหน?) เศรษฐกิจของอุยกูร์ดีขึ้นมากหลังจากที่รัฐบาลกลางของจีนเข้าไปกำหนดให้เป็นจุดหนึี่งในเส้นทางสายไหมและมีการพัฒนาในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น แล้วก็เรื่องย้อนรอยการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนขบวนการก่อการร้ายชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนจากหลายประเทศในอดีต รวมถึงแกะรอยเส้นทางอุยกูร์เดินทางผ่านเมืองไทย และล่าสุดสื่อฯจีนนำเสนอมุมมองและความคิดเห็นจากนานาประเทศที่เห็นด้วยกับการที่ไทยร่วมมือกับจีนในการพิสูจน์สัญชาติและส่งตัวผู้กระทำผิดกฎหมายกลับจีน ซึ่งรวมถึงจีนออกมาแฉว่าชาวอุยกูร์บางคนที่หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายทั้งกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายไทยอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายไอซิสในตะวันออกกลางด้วย จีนเตือนตุรกีดีๆ ไม่ฟัง ดื้อ ไปเชื่อคำยุยงของสหรัฐฯในการสนับสนุนขบวนการก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนในจีนดีนัก งั้นจีนก็จะเปิดเผยข้อมูลออกมาเรื่อยๆว่างานนี้ตุรกีอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นด้วยก็ได้ เกมนี้ลึกล้ำ ล้ำลึก ซ่อนเงื่อนเยอะมาก
    + อุยกูร์ลักลอบเข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายได้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลชุดไหน?
    ------------
    อยากรู้ไหมว่าพวกผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่เป็นชาวอุยกูร์เหล่านี้เข้ามาสู่ประเทศไทยได้ตั้งแต่เมื่อไร? ลองหาข้อมูลแล้ว จากไหน? จากเว็บไซต์ของสมาคมอเมริกันอุยกูร์ (Uyghur American Association (UAA)) และขององค์กร Human Rights Watch โดยตรงเลยรวมทั้งสื่อฯต่างๆด้วย เอามาจากพวกที่ออกมากล่าวหาว่าไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีที่ไทยส่งชาวอุยกูร์ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายกลับไปให้จีนนี่แหละ จะได้เถียงไม่ออกว่าเราบิดเบือนข้อมูลหรือเอาข้อมูลมาจากแหล่งอื่นที่บางคนชอบแถว่าไม่น่าเชื่อถือ
    เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2014 (ใครเป็นรัฐบาลในยุคนั้น? ฮ่าๆๆ นังยิ่งรั่วกับรัฐบานเบอะนะสิครับ) HRW พาดหัวบทความว่า "Thailand: More Uighurs Face Forced Return to China Group of 112 Detained Near Thai-Cambodia Border" แปลว่า "ประเทศไทย: ชาวอุยกูร์จำนวนมากกำลังเผชิญหน้าถูกบีบให้กลับไปยังประเทศจีน มีจำนวน 112 คน ซึ่งถูกควบคุมใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา" นั่นไง! และแล้วความจริงก็ปรากฎ ยิ่งรั่วนี่เองที่รับเข้ามา
    HRW พยายามเลี่ยงที่จะบอกว่าพวกนี้ (อุยกูร์) เป็นพวกลักลอบหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย สำนักข่าวรอยเตอร์ ตะวันตก สหรัฐฯ และอัลจาซีร่า ไม่ใช่คำว่า illegal immigrants (ผู้อพยพผิดกฎหมาย) อย่างที่จีนและไทยใช้ซึ่งเป็นการบ่งบอกสถานที่ถูกต้องของพวกเขาในปัจจุบัน แต่เลือกที่จะใช้คำว่า "Uighur Muslims" (ชาวมุสลิมอุยกูร์) แทน เพื่ออะไร? มันเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาในการเรียกร้องความเห็นใจและเสียงสนับสนุนจากชาวมุสลิมทั่วโลกที่ไม่รู้ที่ไปที่มาของเรื่องให้ออกมาสนับสนุนข้อเรียกร้องของสหรัฐฯและ HRW ที่กล่าวหาไทยและจีน และเพื่อให้สนับสนุนชาวอุยกูร์ที่กระทำผิดกฎหมายในจีนแล้วหลบหนีออกไปต่างประเทศจนมาถึงเมืองไทยนี่แหละ ผู้กระทำผิดกฎหมายชาวอุกูร์เหล่านี้บางคนอาจจะได้รับสถานะเป็น "ผู้ลี้ภัยจาก" UNHCR ด้วยซ้ำไป เห็นหรือยังว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังของกลุ่มผู้ก่อการร้ายอุยกูร์เหล่านี้? จีนรู้ทันว่าสหรัฐฯจะมามุกไหน จึงรีบออกมาตบปากพวกที่ชอบบิดเบือนความจริงซะเลยว่า "Illegal immigrants are not refugees" (แปลว่า "ผู้อพยพผิดกฎหมายเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย")
    กลับมาที่ข่าวของ HRW ต่อนะครับ สมัยนั้น HRW กระแดะออกมาเรียกร้องว่า "รัฐบาลไทยควรจะทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวจำนวน 112 คนซึ่งเชื่อว่าเป็นกลุ่มชาติพันธ์อุยกูร์จะไม่ถูกบังคับให้เดินทางกลับไปที่ประเทศจีน (แต่ไม่บอกว่าผู้ที่มีคดีติดตัวมาหลังจากก่อเหตุในจีนแล้วควรจะถูกส่งตัวกลับไปรับโทษที่จีนหรือไม่ เนียนเชียวนะ HRW) (รายงานบอกว่า) ทางการไทยได้ควบคุมกลุ่มคนดังกล่าวไว้ที่จังหวัดสระแก้วใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา และได้นำตัวเข้ามาไว้ที่ศูนย์ผู้อพยพกลางในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานเกี่ยวกับผู้อพยพของไทยกล่าว่า เจ้าหน้าที่จีน ซึ่งได้เข้าไปตรวจสอบกลุ่มผู้อพยพ (ผิดกฎหมาย) เหล่านั้นและระบุว่ามีชาวอุยกูร์อย่างน้อยจำนวน 30 คน เป็นชาวมุสลิมและเติอร์จากภาคตะวันตกของจีน" (สังเกตไหมว่าพวกนี้ จะพยายามใช้คำว่า "มุสลิม" แทนคำว่า "ชาวอุยกูร์ผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย" นี่คือเทคนิคทางจิตวิทยาอีกอย่างหนึ่งในการพยายามเรียกร้องความเห็นใจของพวกเขาหละ แม้จะเป็นความจริง แต่ก็จะพูดไม่หมด จะกั๊กไว้ เพราะหากบอกว่าเป็น "ชาวอุยกูร์ผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย" ก็จะไม่สามารถเรียกความสนใจจากบางศาสนาและความเห็นใจจากทั่วโลกได้)
    รายงานข่าวจาก HRW บอกอีกว่า ทางการไทยได้ตรวจพบว่าก่อนหน้านี้มีชาวอุยกูร์ (ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย) (คำนี้ต้องย้ำบ่อยๆ เพื่อให้รู้ว่าพวกนี้หนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ไม่อย่างนั้นพวกติ่งอเมริกาจะเอาไปบิดเบือนอีก) จำนวน 220 คนที่ถูกควบคุมในจังหวัดสงขลาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2557 อ้างว่าเป็นชาวตุรกีและได้ขอให้ส่งตัวไปยังตุรกี (แล้วทำไมถึงไม่อยากไปสหรัฐฯหละ? ซึ่งก็มีชาวอุยกูร์อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย ไม่ได้หรอก ไปอยู่สหรัฐฯจะไปฝึกการสู้รบกับพวกไอซิสในซีเรียและตะวันออกลางได้อย่างไร? อย่าลืมว่าหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯใช้เป็นฐานฝึกกลุ่มติดอาวุธก็คือตุรกี โดยอ้างว่าฝึกเพื่อให้ไปสู้กับรัฐบาลของซีเรียที่มาจากการเลือกตั้งแต่สหรัฐฯไม่ชอบดังนั้นจึงหาทางล้มให้ได้)
    ถ้าพวกนี้เป็นชาวตุรกีจริงๆ แล้วจะมาทำไมที่เมืองไทย? คำถามนี้น่าสนใจมาก ขอเก็บไว้ตอบทีหลังนะครับ (ถ้าไม่ลืมซะก่อน) ประเด็นหลักในหัวข้อนี้ก็คือว่า ชาวอุยกูร์ลักลอบเข้าเมืองเหล่านี้เข้ามาถึงประเทศไทยได้ในสมัยใด? ช่วงเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา (2557) ใครเป็นรัฐบาล? "ยิ่งรั่ว!" ชัดนะ! แล้วรับเข้ามาทำไม? ทำไมไม่ผลักดันออกไป? ต้องไปถามยิ่งรั่วกับรัฐบานเบอะของนางแล้วหละว่ารับเข้ามาให้เป็นปัญหาของประเทศไทยทำไม? ทำไมถึงไม่พยายามผลัดดันออกไปอย่างที่รัฐบาลลุงตู่และคสช.ผลักดันผู้อพยพผิดกฎหมาายชาวโรฮิงญาออกไปจากอาณาเขตประเทศไทยและแก้ไขปัญหานี้ได้? (รัฐบานเบอะชุดนั้นมีความสามารถกระทำได้อย่างนั้นด้วยรึ?)
    ขอตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัยว่า นี่เป็นแผนการสมคบคิดของบางคนบางกลุ่มหรือไม่? ในการรับมุกสหรัฐฯและ UNHCR โดยรับเข้ามาไว้ในไทยก่อน แต่ก็ไม่กล้าที่จะผลักดันออกไปในสมัยรัฐบาลของตน ทิ้งไว้ให้เป็นภาระของรัฐบาลต่อมา พอรัฐบาลนี้จะผลักดันออกไปตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายไทย พวกสหรัฐฯและ UNHCR และ HRW ก็ออกมาตำหนิไทยว่าทำไม่ถูก เฮ้อ… องค์กรพวกนี้มันมาร่างกฎหมายและรัฐธรรมนูญให้ไทยตั้งแต่เมื่อไร ถึงมีสิทธิ์มาทำปากดีอย่างนี้? อย่าลืมว่าในบรรดาผู้อพยพผิดกฎหมายชาวอุยกูร์เหล่านี้บางคนมีคดีติดตัวมาด้วย โดยทางการจีนได้พิสูจน์แล้วว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อนการร้ายในเขตปรกครองตนเองซินเจียงกุยอูร์และในมณฑลอื่นๆของจีนด้วย ถ้าพวกนี้ไปรวมเข้ากับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทย รวมทั้งพวกหัวรุนแรงที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านด้วย จะเกิดอะไรขึ้น? พอรัฐบาลชุดปัจจุบันของไทยกำลังแก้ไขปัญหาภาคใต้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จักรวรรดิเฮเกฯก็ส่งพวกผู้ก่อการร้ายชาวอุยกูร์เข้ามาที่ประเทศไทยซะงั้น
    + พวกสมุนอเมริกาพยายามบิดเบือนข้อมูลในโลกโซเชียลและสื่อฯขี้หมาแห้ง
    --------------
    พอไทยส่งตัวกลับไปให้จีน พวกแกล้งโลกสวยและสื่อฯขี้ข้าอเมริกาก็มาบอกว่าไทยไม่ควรทำอย่างนั้น ตามสคริปต์ที่สหรัฐฯเขียนให้พูดเป๊ะ! ยิ่งกว่านั้น พวกนี้ยังเที่ยวบิดข่าวตามโลกโซเชียลอีกว่า "โอ… น่าสงสารพวกเขาจังเลยนะ" (พวกผู้ก่อการร้ายนี่นะ?) "โอ… ดูสิจีนเอาถุงดำคลุมหัวชาวอุยกูร์เหล่านั้นขึ้นเครื่องบินกลับไปที่จีนด้วย ไม่น่าทำรุนแรงขนาดนั้นเลย (ด้วยการเอาผ้าดำคลุมศรีษะขณะในระหว่างการเดินทางเลย) พวกผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นคงจะหายใจอึดอัดลำบากหน้าดู" นั่นแหละคำพูดของพวก "แกล้งฉลาด" ทั้งหลาย
    บางราย (นังแวด) ไปไกลกว่านั้นอีก เอาภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจจีนเอาผ้าดำคลุมหัวชาวอุยกูร์ที่มีคดีติดตัวกลับไปที่จีนบนเครื่องบินนี่แหละมาหากินต่อ พอถูกสังคมเข้าไปเม้นท์ด่าในเฟซบุคของหล่อน หล่อนก็แถไปว่าเดี้ยนทำผิดอะไรเหรอ? ภาพพวกนี้ก็เอามาจากสื่อฯของจีน และสื่อฯทั่วไปนี่นา นั่นแหละลูกกระแดะของนาง เนียนเชียว... ไม่ผิดหรอก แต่ขาดสามัญสำนึกบางอย่างในการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ทีอย่างนี้แกล้งซื่อบื้อ เรื่องบางเรื่องหนะทั้งเสี้ยมทั้งชี้นำไม่มีใครเกินหล่อไปได้
    ทางการจีนตั้งใจจะเผยแพร่ภาพนี้ ดูในสื่อฯหลักของจีนที่รัฐบาลเขาเป็นเจ้าของก็ได้ และทางการจีนก็ทำคลิปให้ดูด้วยว่าพวกนี้อันตรายมากขนาดไหน ลงคลิปการก่อการร้ายฝีมือของผู้ก่อการร้ายชาวอุยกูร์ให้ดูและระบุว่าบางคนมีส่วนร่วมกับผู้ก่อการร้ายไอซิสในตะวันออกลางด้วย ขนาดตำรวจจีนจับได้ในจีน และมีตำรวจยืนล้อมกันไว้หลายคน ต่อผู้ก่อการร้ายหนึ่งคน เขาก็ยังกระโดดเข้าไปจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเพื่อแย่งอาวุธปืนจากตำรวจก็ไม่รู้ สุดท้ายถูกเป่าคาที่เลย
    ติ่งอเมริกาก็แชร์คลิปนั้นออกไป แต่พาดหัวตรงกันข้ามกับจุดประสงค์ในการนำเสนอข่าวจากทางการจีน โดยบอกว่าถ้าพวกนี้ถูกส่งไปถึงจีน คงจะต้องถูกทรมานและประหารชีวิตแน่ๆเลย (จีนนะไม่ครับ ไม่ใช่ซีไอเอของสหรัฐฯนะ) สงสารพวกเขาจังเลย หรือพูดว่า ดูสิตำรวจจีนทำอย่างนั้นกับชาวอุยกูร์ โหดร้ายมาก (กรรม!) แหม… สงสัยว่าสมองติ่งอเมริกาจะมีปัญหาหรือเปล่า? ว่างๆน่าจะค้นหาภาพที่สหรัฐฯควบคุมตัวและทรมานนักโทษต่างชาติที่สงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายมาดูบ้างนะว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะคุกลับของซีไอเอในต่างประเทศ ที่มีการทรมานนักโทษเป็นจำนวนมากโดยไม่มีการนำเข้าขึ้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม อย่างที่จีนกำลังนำผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อการร้ายชาวอุยกูร์เหล่านี้ไปดำเนินคดีตามกระบวนทางกฎหมายของจีน ติ่งอเมริกาเอ๊ยยย หัดทำตัวหรือเขียนอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสงคมไทยบ้างเถอะ ถ้านึกหาเหตุผลในการทำดีกับประเทศไทยไม่ได้ก็คิดซะว่าปัจจุบันนี้ยังกินข้าวไทยเป็นอาหารหลัก ซึ่งไม่ใช่แฮมเบอร์เกอร์ของฝรั่ง เอ… หรือว่าพวกนี้จะกินอย่างอื่นแทนข้าวนะ? (คริๆ)
    + ประเทศที่เคยส่งตัวชาวอุยกูร์ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายกลับไปให้จีน
    --------------
    คราวนี้มาดูว่านอกจากประเทศไทยแล้ว มีประเทศอื่นที่ส่งผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่เป็นชาวอุยกูร์กลับไปที่จีนบ้างหรือไม่? เมื่อเช็คดูข้อมูลย้อนหลังดูแล้วคำตอบที่พบก็คือ "มี" แล้วมีประเทศไหนบ้าง? นี่เอาข่าวมาจากสื่อฯและเว็บไซต์ของโปรอเมริกาและโปรอุยกูร์รวมทั้ง HRW โดยตรงเลยนะ จะได้เถียงไม่ออกว่ามั่วข่าว เว็บไซต์ Radio Free Asia (RFA) ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงวอชิงตัน (ชื่อมันบอกว่าปลดปล่อยเอเซีย แต่เจตนามันก็คือยึดเอเซียตะหาก) เขาทำแผนที่ประกอบเลยว่าประเทศที่มีผู้อพยพ (ผิดกฎหมาย/หนีคดี/หลบหนีเข้าเมือง) ชาวอุยกูร์เข้าไปอาศัยและได้ส่งตัวกลับให้จีนประกอบด้วย คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กิสถาน ปากีสถาน ลาว เวียตนาม กัมพูชา มาเลเซีย
    รายงานข่าวจาก HRW บอกว่าเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 มาเลเซียส่งตัวผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายชาวอุยกูร์กลับไปให้จีนจำนวน 6 คน ซึ่งตำรวจมาเลเซียตรวจพบว่าใช้พาสปอร์ตปลอมเดินทางเข้าประเทศมาเลเซีย ซึ่งทั้ง 6 คนได้ลงทะเบียนกับ UNHCR มีสถานะเป็น "ผู้ขอลี้ภัย" (asylum seeker) (เห็นไหมว่าเขาทำงานกันเป็นทีมอย่างไรบ้าง พอถูกจับได้ พวก UNHCR ก็จะรีบออกมารับลูกทันทีว่า "เฮ้ยยย จับคนของเราไปทำไม จับผู้ก่อการร้ายของจักรวรรดิเฮเกฯที่เลี้ยงมากับมือส่งไปให้จีนได้อย่างไร?")
    และเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2556 ก็มีรายงานข่าวว่ามาเลเซียได้ส่งชาวอุยกูร์อพยพผิดกฎหมายกลับไปให้จีนอีก และในปี 2554 ชาวอุยกูร์บางส่วนก็ถูกส่งกลับไปที่จีนข้อหาสมรู้ร่วมคิดในขบวนการแบ่งแยกดินแดน (separatism charges) แน่นอนว่าทั้งสหรัฐฯ HRW และ UNHCR ก็ออกมาเต้นร้องเต้นกาโหวกเหวกโวยวายตามระเบียบ แต่จีนและมาเลเซียก็ไม่สน
    เมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 ประเทศกัมพูชาก็ส่งตัวชาวอุยกูร์อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายกลับไปให้จีนจำนวน 22 คน ทาง UNHCR บอกว่าพวกนี้ร้องขอสถานะเป็นผู้ลี้ภัยหลังจากที่หลบหนี (ความผิด) ออกมาจากจีน แต่ไปไม่รอด ถูกทางการกัมพูชาควบคุมเอาไว้ก่อน แล้วก็ส่งกลับไปให้จีน
    เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา รายงานข่าวต่างประเทศบอกว่า มีประชาชนชาวจีนจำนวน 18 คนเสียชีวิตเนื่องจากถูกโจมตีด้วยอาวุธมีดและระเบิดโดยกลุ่มชาติพันธุ์อุยกูร์ในช่วงเดือนรอมฎอน ณ จุดตรวจจราจรของตำรวจในเมืองซินเจียง (เริ่มจะเหมือนในตะวันออกกลางแล้ว) แหล่งข่าวอ้างว่าเป็นการตอบโต้ที่จีนสั่งห้ามประกอบพิธีทางศาสนาในช่วงเดือนรอมฎอน ตามที่มีการปล่อยข่าวลวงก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็พบว่าไม่ใช่ความจริง ปธน.ของตุรกีก็ออกมายืนยันด้วยว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่ก็มีการก่อการร้ายที่โหดเหี้ยมไปแล้วไร้มนุษยธรรมไปแล้วโดยใช้ศาสนาเป็นข้ออ้างในการก่อเหตุและสร้างความชอบธรรมให้กับความชั่วของตัวเอง ตอนจะพูดถึงผู้ก่อเหตุ FRA จะใช้คำว่า "by a group of ethnic Uyghurs" (โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวอุยกูร์) ไม่ใช้คำที่บ่งบอกถึงศาสนาใดๆ แต่พูดถึงการสั่งห้าม (ข่าวลือ) ที่จะเรียกร้องความสงสารจากบางศาสนิกชนได้โดยไม่สืบข่าวให้รู้จริงว่าเป็นความจริงหรือไม่ เขาก็จะใช้ศัพท์ที่อ้างถึงศาสนาบางศาสนาแทน นี่คือเทคนิคในการเขียนข่าวของสื่อฯสหรัฐฯและสื่อฯตะวันตก (เทคนิคแย่ๆ)
    + แกะรอยเส้นทางชาวอุยกูร์ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเข้ามาในไทยและผ่านไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
    --------------
    คำถามต่อมา... ต่อมาแล้วผู้อพยพผิดกฎหมายชาวอุยกูร์ เหล่านี้ใช้เส้นทางไหนในการหลบหนีออกจากซินเจียงเข้ามาถึงไทยได้ คำตอบก็คือมีหลายเส้นทาง สำนักข่าวต่างประเทศบางแห่งสรุปโดยคร่าวๆว่ามีประมาณ 4 เส้นทางคือ 1.) ขึ้นเครื่องบินจากซินเจียงไปลงที่คุนหมิง (ในจีน) แล้วก็ไปยัง Tha Chi Lek รัฐฉานในพม่า จากนั้นก็เข้ามายังแม่สาย ในเชียงราย แล้วก็มาที่อําเภอสะเดา จังหวัดสงขลา 2.) จากซินเจียงมาที่คุนหมิง เข้าไปที่ลาว แล้วก็เข้ามาที่เชียงแสน จังหวัดเชียงรายและตรงไปที่อำเภอสะเดา 3.) จากซินเจียงไปที่คุนหมิง เข้าไปเวียตนาม ต่อไปที่กัมพูชา ผ่านจุดตรวจที่สระแก้ว เข้าไปที่สะเดา 4.) จากซินเจียง ไปยังคุนหมิง เข้าไปเวียตนาม ไปยัง กัมพูชา แล้วก็ตรงไปยังสะเดาทางทะเล สำนักข่าวต่างประเทศบอกว่าพวกนี้เดินทางผ่านพวกขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ที่มาเลเซีย (โล่งไปที นึกว่าจะโยนอี้ให้ประเทศไทยอีกแล้ว งานนี้มาเลเซียช่วยรับไปหน่อยละกัน ข้อหานี้ไทยรับไม่ไหวอีกแล้ว) โดยทั้ง 4 เส้นทางนี้จะมุ่งหน้าไปยังมาเลเซีย และพอถูกจับได้ก็จะอ้างว่าจะเดินทางต่อไปยังตุรกี เพราะ UNHCR จะให้สถานะผู้ลี้ภัยที่มาเลเซีย แต่ก็ไม่รอดเช่นกัน
    คราวนี้มาดูสื่อฯยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯอีกแห่งหนึ่ง (The Wall Streed Journal) พูดถึงเส้นทางของผู้อพยพผิดกฎหมายชาวอุยกูร์เหล่านี้บ้าง สื่อฯ สหรัฐฯบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้เดินทางด้วยรถยนต์/เรือ/เดินเท้า จากซินเจียงไปยังอัฟกานิสถาน (ซึ่งอีกนิดเดียวก็จะไปถึงตุรกีอยู่แล้วแต่ไปติดอิหร่านคงจะเป็นเพราะอิหร่านไม่ให้ผ่านไปได้จึงไม่สามารถเดินทางต่อไปยังตุรกีที่มีชายแดนอยู่ติดกับอิหร่านได้ หรือไม่ก็ออกจากอัฟกานิสถานเข้าไปยังเติร์กเมนิสถานข้ามทะเลแคสเปี้ยนเข้าอาเซอร์ไบจานหรือจอร์เจียก็จะสามารถเข้าถึงตุรกีได้เช่นกัน แต่พวกนี้ไม่ไปทางนั้นซึ่งเป็นหนทางที่ใกล้กว่า) จากอัฟกานิสถานก็วกกลับมาที่ปากีสถานเข้าอินเดีย ผ่านบังคลาเทศ เข้าพม่า มาไทย ตรงไปยังมาเลเซีย บางส่วนพบว่าไปถึง Poso ในอินโดนีเซียก็มี จากนั้นก็จะขึ้นเครื่องบินจากมาเลเซียตรงไปยังตุรกี
    ผ่านมาตั้งหลายประเทศพวกนี้จะกล้าพกเงินจำนวนมากเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายมาด้วยได้หรือ ไม่กลัวถูกปล้นถูกยึดระหว่างทางหรือ? จะต้องมีคนคอยอำนวยความสะดวกให้ ซึ่งจะต้องเป็นหน่วยงานหรือองค์กรหว่างประเทศที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องแน่ๆถึงสามารถทำได้ขนาดนั้น ใครหละที่มี power ทำได้ขนาดนั้น ก็จะใครซะอีกหละที่ชอบออกมาโวยวายอยู่บ่อยๆ พอพวกผู้อพยพผิดกฎหมายชาวอุยกูร์เหล่านี้ถูกจับได้แล้วส่งกลับไปดำเนินคดีที่จีน (ลองเดาดูซิว่านังแวดจะกล้าตั้งข้อสังเกตแบบนี้กับสหรัฐฯหรือ UNHCR บ้างไหม? หล่อนฉลาดตั้งข้อสังเกตชี้นำกับจีนและไทย แต่กับกรณีของสหรัฐฯหล่อนจะแกล้งไม่ฉลาดหรือว่าอาจจะไม่ฉลาดจริงๆก็ได้ ก็ไม่รู้สินะ คริๆ)
    + มโนวิเคราะห์เล่นๆ
    --------------
    นี่ไม่ใช่แค่เรื่องผู้อพยพธรรมดาทั่วไปซะแล้ว ที่อัฟกานิสถานมีผู้ก่อการร้ายตาลีบัน ที่ตะวันออกกลางมีอัลเคด้ากับไอซิส ในเอเซียกำลังจะมีอุยกูร์ เริ่มที่ซินเจียงก่อน จากนั้นก็แผ่นมาเรื่อยๆในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อดูว่าจะตั้งหลักในประเทศใดได้บ้าง เหมือนโยนหินถามทาง พอตั้งค่ายหลักไม่ได้ก็ย้ายไปต่อที่มาเลเซีย พอถูกจับได้ก็อ้างว่าจะไปต่อที่ตุรกี ถ้ามีค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากซินเจียงมาถึงมาเลเซียเพื่อเดินทางต่อไปยังตุรกีได้มากขนาดนั้น ทำไมถึงไม่เดินทางจากซินเจียงไปยังตุรกีเลยหละ? ระยะทางแค่ 1 ใน 3-4 เองนะ จักรวรรดิเฮเกฯกำลังเล่นแผนอะไรอยู่?
    จีนกับรัสเซียและองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้มองเกมนี้ออกว่า ถ้าปล่อยให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนและผู้ก่อการร้ายชาวอุยกูร์เหล่านี้มีกำลังกล้าแข็งขึ้น อีกหน่อยสหรัฐฯและนาโต้ก็จะใช้อิรัคโมเดล ซีเรียโมเดล หรือตะวันออกกลางโมเดลประกาศทำสงครามในกลุ่มประเทศเอเซียอ้างว่าเพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นแน่ๆ (หากแบ่งแยกดินแดนในตอนแรกไม่สำเร็จ) พอทำสงครามไปได้สักพัก ก็จะเสนอให้แบ่งแยกดินแดนซะเลย เยเมนเคยเจอมาแล้ว ล่าสุดสหรัฐฯยังเสนอให้แบ่งอิรัคออกเป็น 3 ฝ่ายเลย โดยยึดตามกลุ่มอิทธิพลคือของฝ่ายชีอะห์ซึ่งเป็นรัฐบาลกลางของอิรัค ฝ่ายซุนหนี่ที่ไอซิสยึดครอง และชาวเคิร์ด แผนนี้เคยได้รับการเสนอมาแล้วในสมัยบุชผู้ลูกตอนทำสงครามอิรัคเพื่อโค่นล้มอำนาจซัดดัม แต่ตอนนั้นสหรัฐฯมองว่ากินรวบเลยดีกว่า เพราะมั่นใจมากว่ายังไงก็ต้องยึดอิรัคให้ได้ แต่สุดท้ายก็มีไอซิสปรากฎขึ้นมา สู้บ้างถอยบ้าง ไม่มีทางปราบไอซิสได้หมด เพราะแอบฝึกมาเพิ่มอยู่เรื่อยๆ จึงมีผู้หยิบแผนแบ่งแยกอิรัคออกเป็น 3 ส่วนขึ้นมาอีกครั้ง สำนักข่าว Sputnik news หรือ RT news ของรัสเซียลงข่าวนี้อยู่ว่าจะหยิบมาเล่าให้ฟังแต่ได้ไม่มีโอกาส วันนี้จึงเล่าย่อๆก็พอ
    เพื่อไม่ให้แผนนี้ของจักรวรรดิเฮเกฯ ประสบผลสำเร็จ ทางมหาอำนาจใหม่จึงรวมตัวกันจัดตั้งกองกำลัง SCO ขึ้นมาเพื่อจัดการกับปัญหาภัยก่อการร้ายในเอเซียด้วยตัวเองซะเลย ก่อนที่จอมเจือกจะแส่เข้ามาทำให้มันยุ่งยิ่งกว่าเดิม ซึ่งก็ทำให้จ้าวโลกโกรธมากที่ SCO รู้ทัน จึงพยายามหาเรื่องบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของทั้งรัสเซียและจีนอยู่เรื่อยๆ ใครที่คบกับจีนและรัสเซียก็จะถูกกลั่นแกล้งอยู่เรื่อยๆอย่างนี้เช่นกัน
    ส่วนกรณีของอุยกูร์นี้สหรัฐฯไม่ชนกับจีนโดยตรง แต่จะเสี้ยมให้ตุรกีขัดแย้งกับจีน โดยใช้ซีนเจียงอุยกูร์เป็นเครื่องมือ หากตุรกีหลงเชื่อสหรัฐฯ เพราะอยากจะได้ซินเจียงจากจีนมาครอบครองซะเอง ซึ่งสุดท้ายไม่มีทางที่สหรัฐฯจะปล่อยให้ตุรกีได้สมหวังอย่างเด็ดขาด เพราะฐานใหญ่ของกลุ่มแบ่งแยกตนเองซินเจียงอุยกูร์อยู่ที่สหรัฐฯ ไม่ใช่ในตุรกี สุดท้ายแล้วงานนี้ตุรกีที่ฝันตอนกลางวันก็กลายเป็นเพียงหมากตาหนึ่งของสหรัฐฯที่ถูกใช้ให้ชนกับจีนเท่านั้นเอง ก็เหมือนกรณีที่สหรัฐฯพยายามจะเสี้ยมให้ฟิลิปปินส์กับญี่ปุ่นชนกับจีนแทน แล้วสหรัฐฯเองก็ทำเป็นตาอยู่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลังนั่นแหละ จีนกับรัสเซียมองว่าเรื่องนี้รอช้าไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงดึงอินเดียกับปากีสถานเข้าร่วมในองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ซะเลย
    ส่วนโพสต์ต่อไปเกี่ยวกับอุยกูร์เช่นกันจะพูดเรื่อง นานาชาติบอกว่าไทยทำถูกต้องแล้วที่ร่วมมือกับจีนในกรณีส่งตัวผู้กระทำผิดกฎหมายกลับจีน จากการเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนให้ฟังนะครับ
    The Eyes
    13/07/2558
    ----------
    http://www.theguardian.com/…/malaysia-uighur-asylum-seekers…
    http://cogitasia.com/illegal-uighur-immigration-in-southea…/
    http://www.nytimes.com/2009/…/22/world/asia/22cambodia.html…&
    http://www.aljazeera.com/…/china-neighbours-send-uighurs-15…
    http://www.reuters.com/…/us-thailand-uighurs-turkey-idUSKCN…
    http://www.wsj.com/…/as-muslim-uighurs-flee-china-sees-jiha…
    https://uyghuramerican.org/…/muslim-uighurs-flee-china-sees…
    http://www.nationmultimedia.com/…/UN-help-sought-to-protect…
    http://www.jamestown.org/regions/chinaasiapacific/single/…
    https://en.wikipedia.org/wiki/Uyghurs_in_Pakistan
    https://www.hrw.org/…/thailand-more-uighurs-face-forced-ret…
    http://uyghuramerican.org/…/thailand-emerges-china-uyghur-b…
    https://www.hrw.org/…/02/03/malaysia-stop-forced-returns-ch…
    http://www.rfa.org/…/ne…/uyghur/malaysia-08232011174042.html
    http://www.rfa.org/engl…/…/uyghur/attack-06232015182353.html
    http://www.rfa.org/engl…/…/uyghur/deport-02042013020002.html
    Deported illegal Chinese immigrants planned joining jihad: police - People's Daily Online
    http://www.wsj.com/…/overseas-uighur-group-disputes-chinas-…
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    อุยกูร์ (ตอนที่4) : จีนกระโดดปกป้องไทยอีกครั้งกรณีอุยกูร์ "การส่งตัวชาวอุยกูร์อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายกลับจีนถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย - ผู้เชี่ยวชาญกล่าว"

    [​IMG]

    ------------
    วันนี้ติดตามอ่านข่าวเกี่ยวกับกรณี "อุยกูร์" จากสื่อฯจีนมีอยู่หลายข่าวที่น่าสนใจ แต่มีอยู่ข่าวหนึ่งที่อ่านแล้วรู้สึกว่าชอบและรู้สึกสบายใจเมื่ออ่านจบแล้ว อ่านไปก็ยิ้มไป จิบกาแฟไปสบายๆ ชิวๆ อยากจะเอามาเล่าให้แฟนเพจ "ปอกเปลือก ทรราช" ได้รับทราบบ้าง ครั้นจะเล่าย่อๆ ก็เกรงว่าจะเสียอรรถรส ดังนั้นจึงตัดสินใจแปลมาให้ทั้งหมดตามต้นฉบับเขาเลยละกันน้อ จะได้ไม่ถูกมองว่าบิดเบือนหรือเล่าความจริงไม่หมด และที่สำคัญเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้สึกดีๆ เหมือนกับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษจากสำนักข่าว People's Daily Online ของจีนโดยตรงเลย (เอ๊ะ… ปูตินคงจะไม่น้อยใจหรอกนะที่ช่วงนี้แอ็ดมินหันมาเกาะติดข่าวจากสื่อฯจีน ก็มีเหตุผลอยู่นะเพราะว่าไม่สามารถหาข่าวนี้ได้จากสื่อฯฝั่งรัสเซีย มีแต่สื่อฯจีนเท่านั้นที่ลงข่าวนี้ค่อนข้างละเอียด แฟนคลับปูตินไม่ต้องน้อยใจนะครับ เดี๋ยวจะกลับไปเล่าข่าวรัสเซียและเกาะติดข่าวจากสื่อฯรัสเซียเช่นเดิม แต่ข่าวจากสื่อฯจีนก็มีอะไรน่าสนใจเยอะเหมือนกันนะ อ่านไปอ่านมาเริ่มชอบเฉยเลย คริๆ)
    กลับมาที่ข่าวอุยกูร์ต่อนะครับ เมื่อวานนี้ (14 ก.ค.58) สำนักข่าว People's Daily Online ของจีนพาดหัวข่าวเรื่องหนึ่งว่า "Thailand's repatriation of illegal immigrants to China lawful, experts say" (แปลตามที่ชื่อของโพสต์นี้ข้างต้นนั่นแหละครับ) มาดูเนื้อข่าวบ้างว่าเขาพูดอย่างไรบ้าง
    กรุงปักกิ่ง วันที่ 12 กรกฎาคม (2558) (ว้าว...เริ่มต้นยังภาคหนังฮอลลิวูดเลยแฮะ) เมื่อเร็วนี้ได้มีการส่งตัว (repatriation) ผู้อพยพผิดกฎหมาย (illegal immigrants) (ซึ่งเป็นชาวจีนอุยกูร์) จำนวน 100 กว่าคนจากประเทศไทยกลับมาไปยังประเทศจีน (ติ่งอเมริกาตั้งใจอ่านให้ดีนะ ไทยกับจีนเรียกว่า "illegal immigrants" ไม่ใช่ "refugees" อย่าแถอีกหละ) ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดระหว่างประเทศ (international practice) ซึ่งเป็นการปราบปรามการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (illegal immigration) ซึ่งถือว่าเป็นความรับผิดชอบและพันธกรณีระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่ต่างประเทศ ผู้ชำนาญการ และนักวิชาการกล่าว (ส่วนติ่งอเมริกาก็ตั้งใจอ่านให้จบด้วยนะ จะได้ไม่หน้าแตกบ่อยๆเวลาจะแถหนะ อันนี้สื่อฯจีนเขาไม่ได้พูดนะครับ ผู้แปลพูดเอง ฮี่ๆๆ)
    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาทางการไทยได้ส่งตัวผู้อพยพ/ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายจำนวนทั้งหมด 109 คนกลับไปที่จีน ซึ่งกำลังจะมุ่งหน้าไปยังตุรกี ซีเรีย อิรัค เพื่อเข้าร่วมกับพวกจีฮัด (jihad) รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ (Ministry of Public Security) ของจีนยืนยันเมื่อวันเสาร์
    ในจำนวน 109 คนที่ถูกส่งกลับไปที่จีนภายในสัปดาห์นี้นั้น มี 13 คนเคยหลบหนีออกจากจีนหลังจากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรมการก่อการร้าย และมีอีกสองคนได้หลบหนีออกจากสถานที่คุมขัง แถลงการณ์ของรัฐมนตรีกล่าว (ชัดมะ! แน่นอนติ่งอเมริกาก็จะบอกว่า ไม่เชื่อ เออ… งั้นก็ตามใจ อยากจะเชื่อข่าวลวงที่พวกขบวนการแบ่งแยกดินแดนอุยกูร์หัวรุนแรงก่อการร้ายและสื่อฯตะวันตกปล่อยข่าวว่าจีนสั่งห้ามการถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฏอน แม้ปธน.ของตุรกีจะออกมายืนยันแล้วว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง หลังจากที่ถูกทางการจีนออกสั่งสอนว่าให้ไปหาหลักฐานมาซิว่าจีนพูดหรือมีคำสั่งอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไร? ก็ตามใจ มันยากที่จะดึงคนบางคนออกจากกระลาครอบ มันยากที่ชวนมนุษย์ถ้ำยุคหินออกมาสู่แสงสว่างนอกถ้ำ ถึงอธิบายให้เขาฟังอย่างไรหรือแสดงหลักฐานมาให้ดูอย่างไร พวกนี้ก็จะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด เปล่าประโยชน์ที่อธิบายให้ผู้ที่ไม่คิดจะยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น แต่ชอบที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นยอมรับในความคิดที่ไร้เหตุผลของพวกเขาโดยใช้วาทกรรมเดิมๆว่า "ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นต่าง")
    Bambang Suryono ประธานมูลนิธิ Nanyang ASEAN Foundation ประจำกรุงจาการ์ตา (Jakarta) ประเทศอินโดนีเซียกล่าวว่า "จีนและไทยมีความร่วมมือกันในการส่งตัวผู้อพยพ/เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายชาวอุยกูร์สัญชาติจีนหลังจากมีการติดต่อสื่อสารการอย่างใกล้ชิด การดำเนินการซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงระดับทวิภาคีของทั้งสองประเทศ และหลักการปฏบัติระหว่างประเทศ จะช่วยเป็นการต่อสู้กับการลักลอบค้ามนุษย์และการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศได้"
    Mohamed Abdel-Wahhab al-Saket อดีตทูตอาหรับลีคประจำประเทศจีนกล่าวว่า "มันเป็นเรื่องปรกติและสมเหตุผลสำหรับประเทศไทยที่จะส่งพลเมืองของจีนเหล่านั้นกลับไปตามคำร้องขอของจีน การส่งมอบตัวกลับ (repatriation) เป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกันของทั้งสองประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ การทำให้เป็นเรื่องการเมืองเป็นเรื่องเรื่องโคมลอย (the politicization of the issue is groundless)" (ว้า… แบบนี้ทั้งสหรัฐฯ UNHCR HRW และติ่งอเมริกาก็หน้าแตกสินี่ groundless! อ่านออกป๊ะ? ฮี่ๆๆ)
    al-Saket กล่าวต่ออีกว่า "มีข้อน่าสงสัยหลายอย่าง (suspicions) เกี่ยวกับพลเมืองชาวจีนที่เดินทางอย่างผิดกฎหมายไปยังประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับบทบาทความเป็นไปได้ของพวกเขาในอนาคต ในการดำเนินการต่อต้านจีน ดังนั้น จีนจึงมีสิทธิ์ที่จะร้องขอให้มีการส่งมอบตัวพลเมือง (ผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย) ที่น่าสงสัยเหล่านั้นกลับไปที่จีน เพื่อหลีกเลี่ยงการมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการก่อการร้ายต่างๆ หรือการกระทำใดๆที่ผิดกฎหมาย"
    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยได้กล่าว่า "รัฐบาลไทยได้ปฏิบัติ 'ตามกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศ' (laws and international obligations) อย่างเต็มที่ ด้วยพิสูจน์สัญชาติของผู้อพยพ (ผิดกฎหมาย) ซึ่งเป็นชาวอุยกูร์ และได้ส่งพวกเขากลับไปยังประเทศของพวกเขาตามเดิม ไม่ควรมีประเทศใดออกประท้วงหรือประณามรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ (ชัดไหมสหรัฐฯ? อายเป็นบ้างไหมหนะพวกชอบแถชอบบิดเบือนทั้งหลาย)"
    ลุงตู่กล่าวต่ออีกว่า "เราปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เราก็ยังมีกฎหมายของประเทศเราเองที่จะต้องปฏิบัติตามด้วย... สิ่งที่พวกเราจะต้องพิจารณาก็คือว่าพวกเขาได้ทำการละเมิดกฎหมายต่างๆและในประเทศที่พวกเขาจากมาหรือไม่?" (ว้าวววว! ลุงตู่สุดยอดมากขอรับ พวกติ่งอเมริกาที่ชอบออกมาเรียกร้องความสงสารให้กับผู้กระทำผิดกฎหมาย หัดประพฤติปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองซะบ้างนะ)
    ในขณะที่นายเสข วรรณเมธี โฆษกระทรวงต่างประเทศของไทยกล่าว่า "รัฐบาล (ไทย) ได้ดำเนินการส่งมอบตัว (ชาวอุยกูร์ที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย) โดยรอบคอบให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศและหลัการด้านมนุษยธรรม (with international obligations and humanitarian principles) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจะส่งคณะผู้แทนไปยังประเทศจีนเพื่อสังเกตการณ์กระบวนการทั้งหมดตามคำเชิญของทางการจีน" (ดูสิส่งกลับไปแล้วก็ยังไม่วายที่ไทยเราจะต้องตามไปดูอีกเพื่อให้แน่ใจและเป็นสักขีพยายานว่าจีนได้ดำเนินการกับชาวอุยกูร์เหล่านั้นอย่างยุติตามมาตรฐานสากลอีกด้วย ซึ่งจีนมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธก็ได้ แต่เพื่อเป็นการช่วยเหลือไม่ให้ไทยถูกจักรวรรดิเฮเกฯ ใช้เป็นข้ออ้างในการหาเรื่องไทยในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีก ก็จำเป็นที่จีนจะต้องเชิญไทยตามไปดูไปสังเกตการณ์ทั้งหมดอีก แล้วในกรณีที่สหรัฐฯมีคุกลับของซีไอเออยู่ในหลายประเทศรวมทั้งในกัวตานาโมนั้นหละที่มีการจับนักโทษอาหรับไปทรมานโดยไม่ต้องขึ้นศาล สหรัฐฯได้เชิญประเทศไหนไปสังเกตการณ์บ้างหรือไม่? แถอีกสิติ่งอเมริกา!)
    Chieng Feng รองประธานหนังสือพิมพ์ Asia News Time ของไทยกล่าวว่า "การส่งตัวผู้อพยพ/เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับจีน เป็นเรื่องระหว่างประเทศและไม่ควรนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการออกมาเรียกร้องทางการเมืองของพวกเขา ชาวอุยกูร์ (เหล่านั้น) ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยและอยู่ในประเทศไทยโดยช่องทางที่ผิดกฎหมาย ผู้เข้าเมืองที่ผิดกฎหมายเหล่านั้นควรจะถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศที่พวกเขาถือสัญชาติภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ มันเป็นการยุติธรรม สมเหตุสมผล และถูกต้องตามกฎหมายของประเทศไทยที่จะกักตัวและส่งตัวพวกเขากลับคืนไปและจากที่มีการพิสูจน์สัญชาติแล้ว การส่งตัวกลับเป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศและข้อตกลงระดับทวิภาคี (ในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน) เช่นเดียวกับกฎหมายและระเบียบปฏิบัติระหว่างประเทศ เกี่ยวกับการปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย"
    Mahbubur Rahman อดีตเสนาธิการ (chief of staff) กองทัพบังคลาเทศกล่าวว่า "การส่งมอบตัว (ผู้กระทำผิดกฎหมาย) เป็นความร่วมมือตามปรกติระหว่างจีนและไทยและไม่ควรจะมีประเทศใดนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง ผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายมาจากจีน ดังนั้นจีนจึงมีสิทธิ์ที่จะนำตัวพวกเขากลับไป" (สหรัฐฯได้ยินหรือเปล่า? รู้สึกระอายบ้างไหมที่ถูกบังคลาเทศสอนมวยหนะ เดี๋ยวพวกติ่งอเมริกาก็จะแถไปเรื่องโรฮิงญาอีก)
    Shahjahan Mridha เลขาธิการใหญ่ศูนย์เศรษฐกิจวัฒนธรรมบังคลาเทศ-จีน กล่าวว่า "การดำเนินการของไทยเป็นเรื่องที่ปรกติกมากและชัดเจนภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศ หากพวกว่าพวกเขา (ชาวอุยกูร์เหล่านั้น) มีความผิด จีนก็จะนำตัวพวกเขาเข้าสู่การพิจารณาคดีอย่างยุติธรรมและเป็นที่ยอมรับได้"
    Sheuli Akter บรรณาธิการสื่อออนไลน์จาก NsNewsWire ได้ตอกย้ำประสานเสียงทัศนคติที่เหมือนกันนี้อีกว่า "ทุกประเทศมีสิทธิ์ที่จะนำตัวประชาชนของพวกเขาที่เดินทางไปอยู่ต่างประเทศโดยผิดกฎหมายกลับประเทศของตนได้อยู่แล้ว พวกเราคิดว่านี่กิจการภายในของจีน จีนมีกฎหมายเป็นของตนเอง เพื่อรับประกันด้านความปลอดภัยและมั่นคงของประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนา และสวัสดิการของพวกเขา (จีนไม่ต้องพึ่งพากฎหมายของสหรัฐฯ สหรัฐฯรู้จักคำว่าเคารพกฎหมายของประเทศอื่นบ้างไหม?)"
    ว้าววว! อ่านแล้วเป็นไงบ้างครับ ไทยเราก็มีเพื่อนเยอะอยู่เหมือนกันนะ งานนี้พี่สีจิ้นผิงจำเป็นต้องปกป้องไทยอย่างเต็มที่ ไม่มีทางที่จีนจะปล่อยให้สหรัฐฯหรือใครมารังแกไทยได้ง่ายๆอีกแล้ว แบบนี้จะไม่ให้รักจีนได้อย่างไรหละ ใช่ป๊ะ?
    อ้อ… มีข่าวล่าสุดเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายอุยกูร์ในจีนอีกแล้ว รายงานข่าวจาก People's Daily Online พึ่งลงข่าวว่า ผู้ก่อการร้ายอุยกูร์จำนวน 3 คนถูกตรวจจีนยิงเสียชีวิตในปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่เมือง Shenyang ในจังหวัด Liaoning Province เนื่องจากไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมโดยใช้อาวุธมีดเข้าจู่โจมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในขณะที่ผู้ต้องสงสัยอีกรายที่เป็นผู้หญิงได้รับบาดเจ็บในระหว่างการต่อสู้ ถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล รายงานข่าวบอกว่าพวกนี้ตะโกนสโลแกนของพวกจีฮัด (Jihad slogans) เพื่อจู่โจมตำรวจ จีนใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 200 นายล้อมบ้านพักของผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายทั้ง 4 ราย หลังจากที่ตำรวจตะโกนให้ผู้ต้องสงสัยมอบตัวแต่ถูกปฏิเสธหน่วนคอมานโด 4 นายจึงบุกเข้าไป แต่ผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย (the suspected terrorists) ทำการต่อสู้จู่โจมใส่ตำรวจด้วยอาวุธมีดจึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจีนสอยร่วงไป 3 คน ส่วนอีกคนที่เป็นผู้หญิงได้รับบาดเจ็บจึงถูกนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาล (ถ้าเป็นที่สหรัฐฯหรือในยุโรปคิดว่าเขาจะปล่อยให้รอดซักรายไหม?)
    The Eyes
    14/07/2558
    ----------
    Thailand's repatriation of illegal immigrants to China lawful, experts say - People's Daily Online
    http://www.chinadaily.com.cn/…/2015…/13/content_21255580.htm
    Deported illegal Chinese immigrants planned joining jihad: police - People's Daily Online
    China protests US comments on deportation of Uyghurs - People's Daily Online
    China protests US comments on deportation of Uyghurs - Global Times
    http://www.chinadaily.com.cn/…/2015…/13/content_21255537.htm
    http://usa.chinadaily.com.cn/…/2015…/11/content_21253429.htm
    Xinjiang Uygur autonomous region - Latest China business news – China Business Search
    http://usa.chinadaily.com.cn/…/2015…/11/content_21253004.htm
    U.S. investment immigration increases in popularity among Chinese - People's Daily Online
    3 Suspected Uyghur Terrorists Killed in Shenyang, China - People's Daily Online
    3 Suspected Uyghur Terrorists Killed in Shenyang, China - People's Daily Online
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    เอามาลงให้อ่านอีกครั้ง เรื่องเงินดี vs เงินเลว (Good Money vs Bad Money) ว่าผมอยากเห็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ดร.วิรไท สันติประภพทำอะไรบ้างในการบริหารแบงค์ชาติในอีก5ปีข้างหน้า:
    เริ่มจะมีการคาดหวังสูงจากประชาชนคนไทยในผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว การเงินเริ่มติดขัด หนี้ก็สูง ของก็ขายไม่ได้ ข้าวของแพงทุกอย่าง ค่าครองชีพสูงขึ้น คนไทยน่าจะมีชีวิตที่แย่ลงในอีกหลายๆปีข้างหน้า แต่ถ้ามีการปรับโครงสร้างที่ถูกต้อง เราจะรอด แต่ถ้าปรับผิดวิธี หรือยังคงเดินในแนวทางเดิม ประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะหายนะ อาจจะเหมือนกรีซหรืออาร์เจนติน่าก็ได้ อย่าได้ประมาท
    ในความเห็นของผม คิดว่าได้เวลาแล้วที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องปรับเปลี่ยนมุมมองหรือวิธีการทำงานใหม่เพื่อรื้อฟิ้นgood money และทำให้การบริหารการเงินสอดคล้องกับความเป็นจริงของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ผู้ว่าการแบงค์ชาติคนใหม่ต้องทุบโต๊ะ ต่้องมีความคิดที่ชัดเจนในการดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคและประโยชน์สุขโดยรวมของชาวสยาม โดยที่ไม่ได้เอาความมั่นคงหรือความร่ำรวยของแบงค์พานิชย์เป็นที่ตั้ง มี ม.44 ของบิ๊กตู่อยู่ในมือแล้วจะกลัวอะไร สามารถทำสิ่งที่ผิดให้ถูกได้ ฟันทีเดียวโช๊ะเลย
    สิ่งที่ควรทำมีดังต่อไปนี้:
    1. ลดเสปรด (spread)ดอกเบี้ย หรือมาร์จิ้นที่แบงค์พานิชย์เอาเปรียบผู้กู้คนไทยลงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มาร์จิ้นแบงค์พานิชย์ไทยตอนนี้เกือบจะสูงที่สุดในโลกแล้ว ความยุติธรรมในสังคมจะเกิดขึ้นไม่ไม่ถ้าทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ เพราะว่าภาวะหนี้ที่สูงของคนไทยทำให้เกิดปัญหาหนี้และเศรษฐกิจที่หนักหน่วงเวลานี้
    2. เลิกนโยบายลดค่าเงินบาทเพื่อสนับสนุนผู้ส่งออก การลดค่าเงินถือว่าประเทศนั้นหมดท่าแล้วเพราะว่าต้องพึ่งพาbad money หน้าที่แบงค์ชาติคือดูแลกำลังซื้อของเงินบาทให้เป็นgood money ไม่ให้เสื่อมค่าเมื่อเวลาผ่านไป แต่ตอนนี้แบงค์ชาติได้หันหลังให้กับพันธะกิจนี้แล้ว โดยเอานโยบายเป้าหมายทางอัตราแลกเปลี่ยนมาใช้ เพื่อดันการส่งออก แต่ผลที่ตามมาคือกำลังซื้อที่ลดลงของคนที่ถือบาท และเงินเฟ้อในความเป็นจริงไม่ใช่ตัวเลขของทางการที่สูงอยู่แล้วในประเทศ
    ผู้ส่งออกไม่ใช่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเศรษฐกิจไทยที่ต้องเอาใจ ผู้ส่งออกได้ประโยชน์มามากแล้ว โดยมากจะเป็นต่างชาติด้วยที่ใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออก ใช้ทรัพยากรธรรมชาติบ้านเรา ใช้โครงสร้างพื้นฐานบ้านเรา น้ำ ไฟถนนหนทาง แล้วจ้างคนไทยทำงานจ่ายค่าจ้างถูกๆ เสร็จแล้วก็ทำลายทรัพยากรธรรมชาติบ้านเราและทิ้งขยะtoxicให้ลูกหลานเรา ความร่ำรวยจากการส่งออกไม่ยั่งยืน ไม่คุ่มกับที่สูญเสียไป เพราะผู้ได้ประโยชน์คือต่างชาติและนายทุนกลุ่มหนึ่ง
    ผู้ว่าแบงค์ชาติไม่จำเป็นต้องเจอหน้าตัวแทนผู้ส่งออกอีกต่อไปที่ร้องเย้วๆทุกครั้งที่ขายของไม่ออก คนขายก๊วยเตี๋ยว หรือแม่ค้่าขายส้มตำข้างถนนเวลาขายของไม่ออกไม่เห็นโวยวายเหมือนพวกผู้ส่งออกหมื่นล้านแสนล้านเลยลองเดินตลาดสดดูว่าข้าวของแพงขึ้นแค่ใหน ดูแลเงินเฟ้ออย่างไร ท่ามกลางเศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างไรจะได้ภาพที่ดีกว่า
    อีกประการหนึ่งกำลังการซื้อของต่างชาติหมดแล้ว เพราะว่าหนี้สูงเกินไป ตลาดระยะเวลา30กว่าปีที่ผ่านมา ตะวันตกสร้างหนี้เพื่อบริโภคการส่งออกของตะวันออก เกมนี้กำลังจะจบลงเพราะว่าตะวันตกต้องเข้าสู่ภาวะการปรับโครงสร้างหนี้ จีนเองตอนนี้เริ่มส่งออกไม่ได้แล้ว แล้วเราจะสนับสนุนการส่งออกต่อไปอีกทำไม
    3. ในเมื่อผู้ส่งออกที่ต่างชาติคุมเกมไม่ใช่พระเอกของเศรษฐกิจอีกต่อไป ผู้ที่จะมาเป็นพระเอกแทนคือผู้ผลิตเพื่อการบริโภคภายในที่คนไทยคุมเกม เพราะว่าเราควรปรับเปลี่ยนมาใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจที่ใช้การส่งออกนำเหมือนสมัยป๋าเปรมเป็นต้นมา ในเศรษฐกิจแบบพิเพียงคือเราผลิตเพื่อการบริโภคภายใน ไม่เน้นการส่งออกมาก แต่ถ้ามีเหลือการกำลังการผลิตexcess capacityก็สามารถส่งออกได้เพื่อเป็นเงินออมพิเศษ ผู้ผลิตต้องได้เครดิตที่ดีจากแบงค์ด้วยระดับอัตราดอกเบี้ยที่สมน้ำสมเนื้อกับนโยบายดอกเบี้ยพื้นฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน ในระบบนี้เงินจะไม่สะพัดเหมือนระบบที่ได้รายได้สูงจากการส่งออก แต่มันจะพอดีพองาม จีดีพีไม่ต้องโตมาก ไม่ต้องไปสนใจมันมาก เอาอะไรที่พอดีพองามเป็นหลัก
    4. ช่วยการปรับโครงสร้างหนี้ ยิ่งรีบทำยิ่งดี ตอนนี้หนี้ทั้งหมดของประเทศต่อจีดีพีอยู่ที่185%แล้ว สูงมากๆ ถ้าจะดันจีดีพีต่อ ต้องสร้างหนี้เพิ่ม เมื่อวิกฤติรอบใหม่มา เราจะเป็นเหมือนอย่างกรีซที่ล้มละลายและเจ้าหนี้ต่างชาติเข้ามาบงการทวงหนี้ ให้เราขายทรัพย์สินของแผนดิน หนี้่ครัวเรือนที่เกือบ90%ต่อจีดีพีต้องลดลงให้ได้ ผ่านนโยบายลดภาระดอกเบี้ย
    5. แบงค์พานิชย์ต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งนั้น ผลพวงจากวิกฤติ1997ที่เราถูกบังคับให้เปิดเสรีภาคการธนาคารให้ฝรั่งเข้ามาถือหุ้น ตอนนี้แบงค์พานิชย์กำไรมาก ชาร์จดอกเบี้ยสูง คนไทยทำงานใช้หนี้ให้ผู้ถือหุ้นต่างชาติรวยโดยที่แบงค์ชาติไม่ได้ปกป้อง เวลาเขาโยกเงินกำไรกลับ สภาพคล่องในประเทศก็หด คนไทยอยู่ในมือฝรั่งที่เขาจะเชือดเมื่อไหร่ก็ได้
    คนแบงค์ชาติเข้าใจผิดอย่างมากเรื่องการเปิดเสรีแบงค์ให้ต่างชาติ คิดว่าโลกเราเข้าสู่โลกาภิวัฒน์ แบงค์ต้องทำธุรกรรมการเงินทุกอย่างได้ (universal banking)เพื่อปรับปรุงบริการให้ลูกค้า ต้องสนับสนุนนวตกรรมการเงินใหม่ ๆ เพราะว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายเสรี ความเป็นเจ้าของสถาบันการเงินเป็นมหาชนไปหมดแล้ว ถ้าได้ฝรั่งมาเป็นเจ้าของแบงค์ไทยจะช่วยเรื่องเทคโนโยยี่และความมั่นคง
    เข้าใจผิดหมดเลย
    ดูเอาก็แล้วกันแบงค์วอลล์สตรีทและแบงค์ในยุโรปที่บอกว่าเก่งในเวลานี้ล้มละลายกันหมดแล้วตั้งแต่ปี2008 ที่ยังพอยืนอยู่ได้ เพราะว่าUS Federal Reserve, European Central Bankพิมพ์เงินเข้าไปอุ้ม ระบบการเงินไทยไปคบกับพวกนี้มีแต่ฉิบหายอย่างเดียวเพราะว่าเขาทำประเทศเขาเจ้งไปแล้ว ทำไมเขาจะทำเราเจ้งไม่ได้ ตอนนี้ในยุโรปกำลังเตรียมมาตรการ bank bail-inหรือยึดเงินฝากประชาชนเพื่อชดใช้ความเสียหายในงบดุลของแบงค์อยู่ เพราะว่าพวกฝรั่งถือว่าแบงค์ล้มไม่ได้ แต่ประชนล้มได้
    EU regulators force 11 countries to adopt bail-in rules
    http://investmentresearchdynamics.com/eu-regulators-order-…/
    ต้องค่อยๆเอาแบงค์คืนมาคนไทย จะได้คุมสะดวก ในสมัยก่อนนายแบงค์เริ่มทำธุรกิจใหม่ๆจะสงบเสงี่ยมมาก ขึ้นลงกดอกเบี้ยต้องปรึกษาทางการก่อน ตอนนี้นายแบงค์รวยเป็นแสนล้านเป็นล้านล้าน ลืมตัวนึกว่าตัวเองเป็นนายของจักรวาล (master of the universe) เลยไม่ได้มองใครอยู่ในสายตาอีกต่อไป เพราะว่าคุมเงินทั้งหมดของประเทศในมือ
    แต่เจ้ามือตัวจริงของระบบการเงินคือแบงค์ชาติ ไม่ใช่แบงค์พานิชย์ ถ้าเล่นเป็น แบงค์พานิชย์มีหรือจะกล้าหือได้ เพราะว่าแบงค์ชาติเป็นผู้พิมพ์เงินบาท จะให้บาทท่วมระบบ หรือจะดูดบาทให้แห้งจากระบบก็ได้ จะใช้มาตรการควบคุมเงินไหลออกไหลเข้าก็ได้ แค่นี้แบงค์พานิชย์ก็เดี้ยงแล้ว แต่เมื่อเล่นไม่เป็น นายธนาคารจึงกำแหงขึ้นทุกวัน ชาร์จดอกเบี้ยและค่าบริการตามใจชอบ โดยที่คนแบงค์ชาติทำอะไรไม่ได้กลายเป็นหงอนายแบงค์ ไม่ปกป้องประชาชนหรือผู้กู้
    เมื่อใดก็ตามที่แบงค์ชาติหงอแบงค์พานิชย์ เมื่อนั้นเป็นจุดเริ่มของจุดจบของระบบการเงิน bad moneyจะมาแทน good money และจะสร้างวิกฤติในอนาคต
    6. ส่งเสริมสถาบันการเงินของชุมชนที่ดูแลกันเอง บริหารกันเองอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าให้แบงค์ใหญ่เข้ามาเอาเปรียบ
    7. ไม่เพิ่มปริมาณเงินที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ เพราะว่าเงินเฟ้อทำลายอำนาจซื้อของผู้ถือบาททุกคน เมื่อเงินเฟ้อเสถียร และบาทเสถียร กลไกเศรษฐกิจจะปรับตัวของมันเอง
    8. หาวิธีการใหม่ในการวัดเงินเฟ้อ เพราะว่าวิธีคิดเงินเฟ้อในแบบปัจจุบัน ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่เงินเฟ้อขึ้นสูงมากอาจจะถึง8-10% ในขณะที่ตัวเลขทางการบอกว่าเงินเฟ้อติดลบ มันสวนทางกัน ถ้าหากว่าเครื่องมือวัดเงินเฟ้อบกพร่อง จะทำให้การบริหารนโยบายการเงินผิดพลาดไปหมด การกำหนดทิศทางดอกเบี้ยจะผิดเพี้ยนหมด ทำให้เศรษฐกิจมีปัญหาหมักหมม ลองดูChapwood.comเป็นตัวอย่างในการวัดเงินเฟ้อที่น่าจะเป็นจริงมากกว่า
    9. อะไรก็ตามที่เป็นbad moneyให้คุมให้หมด ให้มันอยู่ในระดับที่มันไม่สามารถไล่เงินดีออกจากระบบได้ ไม่ใช่เดินหน้าสร้างระบบหนี้เพื่อดันจีดีพีเหมือนในปัจจุบัน
    10. ทบทวนการเปิดเสรีการเงินใหม่หมด เพราะว่ามันเป็นต้นเหตุของbad money ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ช่วงผันผวนเพราะว่าดอกเบี้ย0%ไม่สามารถลดหนี้ได้ ซ้ำมีแต่เพิ่มหนี้ การเพิ่มหนี้อย่างนี้ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้นาน วงจรของความตกต่ำมันกำลังจะมา เห็นได้จากตลาดบอนด์ที่กำลังผันผวนส่ออาการมีปัญหาหนัก ยิลด์กำลังกระโดดขึ้นสูงเป็นเท่าตัว ในรอบเดือนกว่าๆที่ผ่านมา นักลงทุนตลาดบอนด์ขาดทุนไปแล้ว$600,000กว่าล้าน และถ้าตลาดบอนด์แครช มันจะลามไปสู่ตลาดหุ้นที่เป็นฟองสบู่ก้อนโตเป็นอันดับต่อไป
    http://theeconomiccollapseblog.com/…/investors-start-to-pan…
    11. หยุดการขาดทุนสะสมของแบงค์ชาติที่อยู่ระดับสูง700,000ล้านบาทให้ได้ และมีแนวทางที่ชัดเจนในการฟื้นงบดุลของแบงค์ชาติให้กลับมาเป็นบวก ไม่ใช่ว่าจะบริหารงบดุลขาดทุนแค่ไหนก็ได้โดยไม่มีเพดาน ยิ่งขาดทุนสูงความเชื่อมั่นในการบริหารงานหรือนโยบายการเงินของแบงค์ชาติยิ่งลดลง
    12. แบงค์ชาติไทยต้องคบกับแบงค์ชาติจีนให้ดีๆ เพราะว่าเวลาเกิดวิกฤติงวดหน้า มีจีนเท่านั้นที่จะพอช่วยไทยได้ ส่วนฝรั่งจะรุมทึ้งเรา ดูจากที่เขาเคยทำกับเราปี1997 และให้ดูกับที่เขากำลังทำกับกรีซในตอนนี้เอา เลิกคบฝรั่งหรือเห็นฝรั่งดีได้แล้ว
    ทำบาท/หยวนสว๊อปให้มากๆ เพิ่มการถือทองคำในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศให้มากๆ เพราะว่าต่อไปสมอหลักของระบบการเงินโลกคือเงินหยวน
    เปโตรหยวนแจ้งเกิดแล้ว จีนสามารถซื้อน้ำมันโดยไม่ต้องแลกดอลล่าร์ก่อนอีกต่อไป เพราะว่าGazpromของรัสเซียตกลงขายพลังงานทั้งหมดให้จีนเป็นเงินหยวนแล้ว The PetroYuan Is Born: Gazprom Now Settling All Crude Sales To China In Renminbi
    http://www.zerohedge.com/…/petroyuan-born-gazprom-now-settl…
    ถ้าหยวนเลิกอิงดอลล่าร์ หันมาอิงทองคำ หยวนจะกลายเป็นเสาหลักและมีเสถียรภาพผิดกับเงินกระดาษอื่นๆที่จะแกว่งมากในทิศทางขาลง เมื่อบาทต้องอิงหยวนมากขึ้น บาทจะอิงทองโดยปริยายและจะมีเสถียรภาพ แม้หยวนไม่อิงทอง แต่ในอนาคต น่าจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเป็นเสาหลักที่น่าเชื่อถือกว่าดอลล่าร์ที่มีภาระหนี้ที่สูงจนไม่สามารถชำระได้ มีแต่การบริโภคไม่มีภาคการผลิต
    ขอเสนอความเห็นแต่เพียงเท่านี้ ควรมิควรแล้วแต่จะพิจารณา
    thanong
    13/7/2015
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    บทเรียนฟองสบู่ตลาดหุ้นจีน
    ผมเพิ่งจะออกรายการNow@Noonในช่องNOW26กับดร.สมภพ มานะรังสรรค์ เรื่องฟองสบู่หุ้นจีน มีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้:
    1. ไม่มีทางที่ทางการจีนจะรักษาหุ้นจีนให้อยู่ในระดับสูงที่เป็นฟองสบุ่ต่อไป เพราะว่าต้องใช้เงินมาก เพราะว่ามาร์เก็ตแค๊ปของหุ้นจีนหายไปแล้วเกือบ$3ล้านล้าน น้อยกว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่จีนนิดหน่อย
    2. มาร์เก็ตแค๊ปจีนเพิ่มจาก$3ล้านล้านกว่าเป็น$10ล้านล้าน พอๆกับขนาดของจีดีพีในช่วงปีกว่าๆที่ผ่านมา เป็นฟองสบู่ก้อนใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนที่ตลาดจะถล่มลงมาช่วงกลางเดือนมิถุนายนนำโดยการขายขอบกองทุนฝรั่ง ทำให้มูลค่ารวมของตลาดหายไปประมาณ$3ล้านล้าน หรือตกลงไปประมาณหนึ่งในสาม
    3. ทางการจีนอาจจะต้องการรักษาหุ้นจีนในตลาดเซี่ยงไฮ้ให้อยู่ในระดับ3,000-4,000ที่ถือว่าพอไปได้ หลังจากทำสถิติสูงสุด5,166 ในวันทื่12 มิถุนายนที่ผ่านมา
    4. ตอนนี้หุ้นเซี่ยงไฮ้อยู่ที่3,970 บวกประมาณ2.39%จากวันศุกร์ เนื่องจากมาตรการต่างๆของรัฐ ร่วมมือกับโปรกเกอร์และกองทุนจีนที่จะช่วยกันพยุงตลาด รวมทั้งการอัดฉีดสภาพคล่องจากธนาคารกลางจีน
    5. ตลาดหุ้นจีนเป็นฟองสบู่หลังจากมีการเชื่อมโยงการเทรดกับตลาดฮ่องกงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี2014 ทำให้ฝรั่งเข้าไปเทรดหุ้นจีนได้ง่ายมากขึ้น
    6. กองทุนฝรั่งที่แอบแฝงเข้าไปเทรดหุ้นจีน แม้จะมีกฎระเบียบต่างๆบังคับ แต่ก็ปิดไม่สนิท ระบบธนาคารเงาของจีน (shadow banking ที่มีขนาด$20ล้านล้านก็มีส่วนในการโยกเงินเข้าตลาดหุ้นทำให้เกิดฟองสบู่
    7. มีบัญชีเล่นหุ้นในจีนทั้งหมด215ล้านบัญชี แต่ที่มีการเคลื่อนไหวแค่100ล้านบัญชี ที่ขยันเทรดจริงๆคือ50-60ล้านบัญชี
    8. ในเดือนพฤษภาคมช่วงตลาดกำลังไต่ไปทำสถิติสูงสุดมีการเบิดบัญชีใหม่4.5ล้านบัญชี พวกนี้เป็นแมงเม่าชุดใหญ่จริงๆ
    9. บัญชีเล่นหุ้นรายย่อยที่เปิดทีหลังขาดทุนหนักมาก หลายคนล้มละลาย อาจจะมีข่าวฆ่าตัวตายตามมา
    10. ปริมาณการกู้เงินเล่นหุ้นมาร์จิ้นสูงถึง$230,000ล้าน เวลาหุ้นตก พวกเล่นมาร์จิ้นจะโดนบังคับขาย
    11. เป็นความจริงที่ทางจีนตั้งข้อสงสัย กองทุนฝรั่งดั๊มเทขายหุ้นจีนรวมกัน$7,000ล้านในสัปดาห์แรก จุดปะทุการถล่มตลาดจีนตามมาจากการเทขายของรายใหญ่และรายย่อยอื่นๆ จนทำให้ฟองสบู่แตก
    12. ต้องดูผลกระทบต่อไป เพราะว่าจีนเป็นตลาดส่งออกของไทย13% ถ้าบริษัทจีนมีปัญหาทางการเงิน จะซื้อของไทยน้อยลง และบริษัทจีนขอส่งเสริมการลงทุนจากไทยมากเป็นอันดับสองรองจากญี่ปุ่นแล้ว
    สรุป
    จีนเรียนรู้บทเรียนราคาแพงที่ 1. ปล่อยให้รายย่อยมาเก็งกำไรในตลาดหุ้นมากเกินไป 2. ปล่อยให้shadow bankingหรือระบบะนาคารเงาที่กู้หนี้ยืมสินนอกระบบธนาคารขยายตัวใหญ่เกินไปจนเป็นฟองสบู่ที่ทะลักเข้าตลาดหุ้น และ3. คุมกองทุนฝรั่งไม่ได้ กองทุนฝรั่งจุดปะทุให้มีการถล่มตลาดจีน เหมือนกับที่ถล่มรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว
    thanong
    13/7/2015
     

แชร์หน้านี้

Loading...