ขอสอบถามหน่อยค่ะ..เรื่องเวลาหลับตานอนแต่มีอาการเหมือนเปลือกตาเปิดอยู่คือมันสว่างไสวคล้ายลืมตา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oil-Nudchanat, 2 กรกฎาคม 2015.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธรรมะนั้น เป็นเรื่อง สัตบุรุษ !!

    คือ หมายถึงผู้กล้า ผู้พร้อมรับการท้าทายทุกชนิด แม้นชีวิตจะหาไม่

    เป็นเรื่อง แบ่งหญิง แบ่งชาย หรือเปล่า ....คนละเรื่อง สัตบุรุษ คือ คนที่กล้าหาญ
    เยี่ยงบุรุษ

    ต่อให้เป็น ผู้ชาย แต่เข้ามา แสดงธรรมเชลียร ณชก ณแช๊ท ไปวันๆ นั่นพวกนั้น
    หาความเป็นชายไม่ได้ ยิ่งพยายามสู้เพื่อขอ สิทธิปุถุชน นั่นยิ่งควรวิ่งไปใส่กระโปรง
    แม้นจะเป็นชาย

    กลับกัน หญิง ที่เพียรพิจารณา ธรรม ทนต่อการขนาบ ทุบ ตี นวด เฝ้น และ
    ค่อยๆ ก่อขึ้นรูป อย่าง หม้อดิน ที่ พระพุทธองค์ ทรงประทาน ธรรมขัดใจกิเลส
    ไว้ให้ หญิงคนนั้น คือ สัตบุรุษ ที่ คนที่เป็นพวก ชิทแช๊ท ขอสิทธิมนุษย์ปุถุชน
    ควรกราบแล้วกราบเล่า เพราะ เธอนั้นมีความเพียรปรารภ ที่มุ่งเผ้นธรรม ขจัดกิเลส
    ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ เขามาเมตตา รอพาไปเดินเล่นกิโลเจ็ด


    เว้นแต่ ศีลมันพร่องเสมอกัน สมาธิพร่องเสมอกัน ปัญญาพร่องเสมอกัน จาคะพร่องเสมอกัน
    ก็เรื่องของ potato
     
  2. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    สาธุ อนุโมทนา อ่านและปฏิบัติ อยู่ ส่วนเรื่องช่างหัวมัน ก็ช่างหัวมันนั้นแหละ ถ้าไม่อาจหาญ จะมาอ่านที่แมวเขียนได้รึ เค้าก็อาจหาญกัน ไม่เห็นใครไม่อ่าน และไม่เห็นใครร้องโอดโอยเป็นสาวเป็นนาง เห็นแต่เค้าตำหนิติเตียนอัตตาธรรมแค่นั้น ไม่มีใครติเตียนธรรม ไปๆ มาๆ ไปยกอัตตา ตัวผู้ตัวเมียมาสนทนา พูดแต่ธรรม ใครเค้ามาค่ะมาขากับแมวหรือ สัตบุรุษจะอย่างหญิงอย่างชายอะไรกัน แมวเห็นเป็นเพศไปอีก ไหนๆ จะสอนตัดกิเลสทั้งที ยังติดกิเลสเห็นอักษรเป็นตัวผู้ตัวเมีย
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กั๊กๆ อ่านข้างบน แล้ว ตีความว่า ผมสอน แบ่งหญิง แบ่งชาย หรือฮับ

    อ่าน ภาษาไทยก็ไม่เป็น นะเนี่ยะ เพราะอะไร


    เพราะ ดูหนังที่สร้างโดยพวกภารตะ ไง เลยแปลเจตนารมรณ์ที่สื่อออกไป ผิดเอาดื้อๆ

    แต่ ไม่แปลกหลอก อะไรที่ ใส่สีตีไข่ ยัดข้อหา แปลงสารเนี่ยะ มันเฝ้นหาตลอด
    แหละ ธรรมไม่มีในหัวใจ มีแต่ อี้ อยากอี้ อยากนอน
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ความสุขในการปฏิบัติคืออะไร

    ความสุขของชาวพุทธคืออะไร

    คือ การได้กำหนดรู้ทุกข์ การได้เห็นทุกข์ ได้สดับสุญญตาธรรม(ธรรมเพื่อการสิ้น
    อาสวะ สิ้นกิเลส ไม่อ้างความสุขจากการเป็นสัตว์ เป็นคน )

    แต่พอเขา ชี้ทุกข์ ปรารภแต่สุญญตา กล่าวแต่สิ่งที่เป็นไปเพื่อการพ้นโลก

    โอ้ยยยย คนฟัง มันด่าคนที่พูด ว่า เลว จานลาย มีอัตตา สอนด้วยตัณหา
    ไม่สอนธรรมโดยลำดับไม่ดูอินทรีย์


    เอาโลก เป็นใหญ่กว่าธรรม แล้วมาโทษ คนที่ชี้ทุกข์ พาเห็นสุญญตา เนืองๆ

    เพราะอะไร

    เพราะ เข้าใจสุขในการภาวนา คือ อาการหลงปลื้มธรรมะ เอาปิติ สุข เวทนา ตัณหา3
    แบบเดียรถีย์ มาเป็น " สุขจากการเห็นทุกข์ " " สุขในการดำริออกจากภพชาติ เนืองๆ"
     
  5. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    แมวตัวนี้ นี่ หลงในอัตตาจนไม่ลืมหูลืมตา ไม้บรรทัดที่ตัวเองใช้วัดคนอื่น ก็ไม่เคยวัดตัวเอง เขียนมาได้ว่าไม่ได้กล่าวหาว่า คนอื่นหน้าตัวเมีย อ้างพุทธธรรมด่าคนอื่น เด็กประถมยังอ่านเข้าใจว่า ว่าแมวมีกิเลสเอาอัตตาในธรรมไปด่าแบบสนุกปาก ปากอ้างว่าหลุดพ้นแต่จิตหยาบคาย ส่อเสียด คนอื่นที่โพสต์เค้าโพสต์แสดงความเห็นว่า แมวใช้ธรรม แสดงธรรมไม่เป็น ไม่เข้าใจสภาพธรรม แต่อัตตาแมวกลับไปมีอัตตาว่า เค้าชั่วมาด่าpototo แมว อัตตาแมวขึ้น เอาอัตตาธรรมมาขย่ม แมวมันเปฌนสัตว์เดรัจฉาน มันหลงไม่รู้ตัวว่าตะครุบหางตัวเอง พอบอกให้มันรู้ตัว มันจะกลายร่างเป็นศาสดาแบบอัตตาแมว ขึ้นอึงๆ ว่า มาว่าแมวเป็นสัตว์เดรัจฉาน นั้นคือ การด่าเอกวีร์ว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็เพราะไม่อ่านแบบใคร่ครวญ เอาแต่ภาษาศรีธนญชัย แล้วเที่ยวไปตำหนิคนอื่นๆ ทำอย่างกับว่า อาจอง ต้องอ่าน อา จอง ทั้งที่คนอื่นนั้น เค้ากมายถึง อาจ อง

    วันนี้ แมวแหย่มา เลยตบกระโหลกแมวสักที
     
  6. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ผู้เจริญในธรรมย่อมไม่ใช้คำพูดไปในทางส่อเสียดค่ะ..การนำธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาใช้วิจารณ์วิเคราะห์ความคิดคนอื่นโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และสติทางธรรมก็เปล่าประโยชน์เช่นกันค่ะ..แม้กระทั่งตัวคุณเองยังวางในธรรมไม่ได้เลยแล้วจะไปต่อได้ยังงัยคะคุณเอกวีร์..คุณหลงในตนว่ามีความรู้ในธรรมมากกว่าคนอื่นและคอยจับผิดคำพูดของคนอื่นว่ารู้น้อยกว่าตน..พิจารณาตนเองดูเอาก่อนดีกว่านะคะ..ว่าคุณวางได้แค่ไหน..ถ้าคุณวางได้จริงๆคุณจะไม่ใช้ภาษาธรรมเที่ยวดูถูกผู้อื่นแบบนี้หรอกค่ะ..ขอโทษหากบทความนี้ทำให้ใครเกิดโทสะ..ถ้าคุณเป็นสัตบุรุษจริงคงน้อมรับคำพูดของดิฉันไปพิจารณาบ้างนะคะ..ข้าน้อยยังอ่อนด้อยในธรรมนัก..สาธุๆ
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คุณ ลองตีลังกา พิจารณาคำพูดของคุณดีๆ นะฮับ

    คุณอ้างตนว่า เป็นผู้น้อย

    คุณอ้างว่า ตนไม่มีปัญญาทางธรรม

    พูดซื่อ คุณสารภาพว่าตนเต็มไปด้วยกิเลส


    การที่ คุณพยายามให้ผมไปเชื่อฟังคำของคนมีกิเลส คุณคิดว่า ผมควรทำสิ่งนั้นไหม !?

    ไมว่าผมจะมีกิเลสอยู่เท่าใดก็ตาม ผมจะต้องพอกพูลกิเลสให้มีมากขึ้น ด้วยการ ก้มกราบ
    น้อมนำ ฟัง คำคนมีกิเลสอย่างคุณหรือเปล่า

    ลองประกาศมาให้ชัดๆ อีกทีว่า จะให้ กิเลส กดเราไว้กันหมด อย่างนั้นไหม
     
  8. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    สิ้นกิเลสแล้วหรือ แต่ถึงไม่สิ้นกิเลส แต่ถือตัวว่ามีกิเลสน้อยกว่าคนอื่น มันกิเลสชัดๆ สุญญตาหายไปไหน เข้าใจสุญญตาจริงหรือเปล่า จะมาเป็นศาสดาสอนให้คนอื่นเข้าใจสุญญตาอย่างแมว ทบทวนตัวเองบ้างครับ ขี้นั้น แม้จะมีแค่ปลายเล็บ เทวดาก็ยี้ตั้งแต่กลิ่นตดแล้ว ยังถือตัวอีกว่าฉันเหม็นน้อย สุญญตามันเป็นอย่างนี้เหรอ มีใครเค้าเรียกให้แมวมากราบ แมวก็คือแมว อ่านไปนะ เค้าตำหนิอัตตาธรรม ไม่ไดส้ตำหนิเอกวีร์ เอกวีร์น่ะแค่ชื่อเรียกขาน ให้อัตตาธรรมมันรู้

    ปล. แมวตะครุบหางตัวเองที่ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัวอีกล่ะ แมวน้อยเอย นั้นเรียกว่า โมฆะบุรุษ ไม่ใช่ผู้ชายผู้หญิง แต่คือความสูญเปล่า ไม่ใช่สุญญตา
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คุณ Crearati ครับค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับ เรื่องที่เราหันเข้ามาปฏิบัติธรรมได้
    เป็นเรื่องที่ดีแล้วครับ แต่เราก็อย่าลืมเหตุที่ทำให้เราเริ่มเข้ามาปฏิบัติด้วยครับ
    นั่นเพราะส่วนหนึ่งเราได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจมาก่อน
    เราใช้เวลาในการที่ทำให้ปัญหาพวกนี้มันเบาบางลงไปแล้วระยะเวลาหนึ่ง
    ไม่งั้นก็เป็นไปได้ยากที่จิตเรามันจะนึกถึงเรื่องการปฏิบัติ ซึ่งถือว่าดีครับ

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องไม่ลืมว่า การที่เราจะปฏิบัติธรรมได้ดีนั้น องค์ประกอบ
    อย่างหนึ่งก็คือ ภาระหน้าที่ทางสมมุติเรามันต้องคลายด้วยครับ คล้ายๆว่าเรา
    ต้องไม่มีความกังวลหรือยังเป็นห่วงกับเรื่องทางโลก พูดง่ายๆว่าเรารับผิดชอบ
    มันได้อย่างดี ไม่งั้นพวกนี้มันก็เสมือนเป็นตัวขวางการปฏิบัติของเราได้ด้วยครับ....
    และอีกสิ่งหนึ่งที่เราควรจะต้องระมัดระวังมากที่สุด..ก็คือ การใช้ความคิด
    ใช้ความเห็น ใช้ความพยายาม ในการเข้าไปวิพากษ์ วิจารณ์ รวมทั้งพยายามตีความ
    หรือการไปตัดสิน เลือกข้าง เพราะพวกนี้มันก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่แสดงอัตตาของ
    ตัวเองอย่างที่เราอาจจะไม่รู้ตัวครับ ถ้าเราแบ่งฝ่าย ตัดสินไปแล้วว่านั้นใช่ ว่านั้นไม่ใช่
    จิตของเรามันก็จะไปยึดติด ยึดมั่นกับสิ่งนั้น พวกนี้นี่หละครับ ที่มันจะเป็นตัวมาบิดบังตัวจิต
    เรา และเป็นตัวมาขวางการปฏิบัติธรรมของเราให้ไปได้ช้า ทำให้เราขาดความเข้าใจ
    ในทางด้านการปฏิบัติธรรมต่างๆ ไม่ว่าแนวทางการปฏิบัติในอนาคต หรือ ความเข้าใจ
    ทางด้านนามธรรมต่างๆในทุกเรื่องของเราครับ..
    .
    เป็นที่มาของการที่เราต้องกลับมา
    พิจารณาหันมาดูที่กำลังสติทางธรรมของเรานั่นเองครับ...เพราะกำลังสติทางธรรม
    ก็เสมือนตัวที่จะคอยควบคุมพฤติกรรมของจิต ควบคุมพฤติกรรมของความคิด
    เพื่อให้จิต คลายออกจากความคิด คลายออกจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือความ
    คิดที่ผุดขึ้นมาอย่างที่เราไม่ได้ตั้งใจ คลายจนกระทั่งจิตเรามันแยกได้ว่าอะไรคือ
    ความคิดที่เกิดจากจิตหรือความคิดที่เราปรุงแต่งร่วมให้ดีหรือไม่ดีก็ได้ แยกได้ว่า
    อะไรคือความคิดที่ผุดขึ้นมาแบบไม่เลือกที่ ไม่เลือกเวลา บังคับเรื่องไม่ได้
    และมันมักเป็นเรื่องราวในอดีตที่มารบกวนจิตใจเรา เห็นตรงนี้เข้าใจตรงนี้ได้
    จิตเราถึงจะทราบกิริยาต่างๆของความคิดพวกนี้ได้
    และเราจะได้ไม่เผลอเข้าไปร่วม
    ไปตัดสิน ไปแยกแยะ ไปวิเคราะห์ ไปใช้ความเห็นในการตีความ จิตเราถึงจะมี
    ความเป็นกลางครับ..ทีนี้เมื่อเราเข้าถึงกิริยาตรงนี้ได้ เวลาเราอ่านข้อความของใครก็ตาม
    ใจเรามันถึงเป็นกลาง และไม่เตรียมเลือกข้าง ว่านั้นฉั้นไม่ชอบ ไม่ใช่แบบฉันคิด และก็ตัด
    สินไปต่างๆนาๆว่า เค้าเป็นอย่างนั้น เค้าเป็นอย่างนี้ โดยที่เราไม่รู้ตัว..
    เราต้องไม่ลืมว่า การถ่ายทอดสามารถบอกอะไรในตัวผู้ถ่ายทอดได้
    แต่ถ้าเรายังไม่มีความสามารถเข้าถึงในระดับจิตของผู้ถ่ายทอดได้
    เราอย่าพึ่งรีบไปตัดสินว่า อะไรเป็นอะไร ว่าเค้าเป็นอะไรอย่างไรครับ

    มันจะทำให้เรามองข้าม เจตนาที่แท้จริงที่ผู้ถ่ายทอดได้พยายามสื่อให้เราเห็นครับ
    ซึ่งตรงนี้เราต้องอ่านๆแบบองค์รวมให้ดีๆ
    และวางใจเป็นกลางก่อน เราจะพอเข้าใจเจตนาผู้ถ่ายทอดได้จริงๆครับ
    ซึ่งบางครั้ง บางมุมมันเป็นมุมที่เราไม่สามารถที่จะเห็นได้ด้วยตัวเราเอง
    เพราะยังปฏิบัติเข้าไม่ถึงก็มีคับ ไม่งั้นเราคงไม่เกิดคำถามขึ้นมา
    เพราะเรามีความสงสัยและไม่เข้าใจในสิ่งที่เรารับรู้และสัมผัสมานั่นเอง
    เพราะว่าเนื่องจากกำลังสติ
    เรามันยังไม่พอนั่นเอง ตรงนี้ต้องพิจารณาดีๆนะครับ
    เราจะได้ไม่เผลอพูด เผลอวิจารณ์ เผลอไปตัดสิน
    เผลอใช้คำพูดที่ไม่ควร ซึ่งพวกนี้มันล้วนแล้วแต่ขวางการปฏิบัติของเราได้ทั้งสิ้น
    ถ้าใจเราไม่มีความเป็นกลางพอ ยังอ่านทั้งหมดแล้วแปลเจตนาไม่ออก
    เราควรวางใจเป็นกลางๆเอาไว้ก่อน ถึงจะส่งผลต่อการปฏิบัติของตัวเองได้ดีที่สุดครับ
    เราจะเห็นในบางมุมที่เราไม่รู้ตัวและคาดไม่ถึงได้ครับ
    เช่นจากหลักกว่าจะผ่านกว่าเข้าใจได้เป็นปีเหมือนเมื่อก่อน
    มันอาจจะย่นย่อเหลือไม่กี่
    เดือนและบางกิริยาอาจจะเข้าใจได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน
    โดยไม่ทำให้เรามัวแต่ไปลังเลสงสัยเพื่อค้นคว้าหาคำตอบอยู่และก็เก็บ
    มันเอาไว้ในใจ
    ซึ่งการสงสัย ความลังเลต่างๆ การไม่เข้าใจในนามธรรมต่างๆ
    ที่เกิดขึ้นกับเรา โดยที่เราไม่ปล่อยวางหรือวางไม่เป็น
    การไปใช้ความคิด ไปใช้ความเห็น
    ไปใช้ความพยายามในการตีความ ถึงการปฏิบัติ ถึงกิริยาทางจิต
    ถึงสัมผัสต่างๆที่เกิดขึ้น โดยที่เรายังปฏิบัติเข้าไม่ถึงไม่ทราบถึงเหตุ
    ที่มันเกิดขึ้นได้จริงๆ
    และยังข้ามพ้นมันยังไม่ได้ ซึ่งถ้าข้ามได้ปกติมันจะทำให้เรา
    ทราบได้ด้วยตัวเราเองอยู่แล้วเป็นปกติครับ..พวกนี้
    ล้วนแล้วแต่เป็นตัวขวางการปฏิบัติของเราให้พัฒนาได้ช้าลงทั้งนั้น

    ปล.ประมาณนี้ พอเข้าใจที่สื่อนะครับ (^_^)
     
  10. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    รรมะนั้น เป็นเรื่อง สัตบุรุษ !!

    คือ หมายถึงผู้กล้า ผู้พร้อมรับการท้าทายทุกชนิด แม้นชีวิตจะหาไม่

    เป็นเรื่อง แบ่งหญิง แบ่งชาย หรือเปล่า ....คนละเรื่อง สัตบุรุษ คือ คนที่กล้าหาญ
    เยี่ยงบุรุษ

    ต่อให้เป็น ผู้ชาย แต่เข้ามา แสดงธรรมเชลียร ณชก ณแช๊ท ไปวันๆ นั่นพวกนั้น
    หาความเป็นชายไม่ได้ ยิ่งพยายามสู้เพื่อขอ สิทธิปุถุชน นั่นยิ่งควรวิ่งไปใส่กระโปรง
    แม้นจะเป็นชาย


    กลับกัน หญิง ที่เพียรพิจารณา ธรรม ทนต่อการขนาบ ทุบ ตี นวด เฝ้น และ
    ค่อยๆ ก่อขึ้นรูป อย่าง หม้อดิน ที่ พระพุทธองค์ ทรงประทาน ธรรมขัดใจกิเลส
    ไว้ให้ หญิงคนนั้น คือ สัตบุรุษ ที่ คนที่เป็นพวก ชิทแช๊ท ขอสิทธิมนุษย์ปุถุชน
    ควรกราบแล้วกราบเล่า เพราะ เธอนั้นมีความเพียรปรารภ ที่มุ่งเผ้นธรรม ขจัดกิเลส
    ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ เขามาเมตตา รอพาไปเดินเล่นกิโลเจ็ด


    เว้นแต่ ศีลมันพร่องเสมอกัน สมาธิพร่องเสมอกัน ปัญญาพร่องเสมอกัน จาคะพร่องเสมอกัน
    ก็เรื่องของ potato


    ผมนั่น ไม่ถือหรอกนะ และไม่ได้ตำหนิตัวตนของคนแต่การวางตัววางใจเป็นกลางๆ คือการที่อะไรไม่ควร เราปล่อยไปอย่างนั้นเหรอ พิจารณาแต่ข้อความที่ขีดเส้นใต้ มีประโยชน์อะไรที่จะเขียน ลองอ่านทั้งประโยค แล้วผมมีความจำเป็นอะไรต้องเชลีย เออออห่อหมกกับชายหรือหญิงที่ไหน มีประโยชน์อะไร ผมรู้จักหน้าค่าตาหรอ ผมไปรู้จักตัวตนของใคร ผมแสดงความเห็นตามที่อ่าน การแสดงความเห็น มีทั้งเห็นด้วย ทั้งการค้าน โต้แย้ง แต่ไปย้อนดู ผมไปตำหนิใครที่เป็นตัวตน คนที่ปล่อยให้สังคมมีการกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม คนที่ขยายความที่ตนคิดว่าคือความชั่ว ความเลว ความบกพร่องของคนอื่น แม้มีธรรมะพุทธเจ้าอยู่ เป็นสัตตบุรุษ หรือ?

    การแสดงความคิด ความเห็น การเลือกฝ่าย คือการแสดงตัวตน แล้วทุกคนที่แสดงความเห็นโดยไม่มีตัวตนมีด้วยเหรอ แม้พระอรหันต์เข้ามาแสดงความเห็นก็ต้องสร้างตัวตนอวตาร และแม้พระอรหันต์หรือคนธรรมดาจะปรากฎตัวจริงหรืออวตารหรือจะแสดงเหตุผลและความเห็นโดยปราศจากความยึดมั่นในตัวตน คนที่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็เห็นทุกอย่างเป็นตัวตน เพราะมีอัตตวาทุปาทานอยู่ในขันธสันดาน และเลือกข้าง แม้จะเป็นกลาง วางตนเป็นกลางจากฝักฝ่ายไม่เลือกพวก แต่จะถือว่าเป็นกลางหรือไม่ ยังไม่แน่ ถ้ามีความเห็นเข้าข้างหรือวางเฉยต่อสิ่งไม่ดี ไม่ควร แล้วเรียกว่าเป็นกลาง

    แล้วพอเขียนไป เขียนมา ก็ต้องมาระวัง โดนตำหนิว่า มีกิเลส ตัณหา มาหาพวกไปรุมตี กระหนาบเค้า เป็นคนชั่ว ไม่ถึงอรหันต์ ไม่เข้าใจสุญญตาธรรม ทั้งที่ แค่จับสาระการแสดงความเห็นว่า การแสดงความเห็นจะเป็นการแสดงธรรมหรือไม่ ก็ตาม ให้ระวังเป็นการกล่าวหา ใส่ร้าย โดยไม่เป็นธรรม ให้อธิบายโดยไม่กล่าวถึงตัวบุคคล ไม่พาดพิง แค่นั้น เมื่อพาดพิงก็กลายเป็นมหากาพย์ เพราะถ้าไม่แก้เข้าใจผิด คนก็เข้าใจผิด เข้าใจคนผิดไม่เท่าไร แต่เข้าใจธรรมผิด ก็ยังปล่อยวางเป็นกลางอีกอย่างนั้นหรือ

    ถ้ามันลำบากลำบนขนาดนั้น แนะนำ Cearati ง่ายๆ ไม่ต้องแสดงความเห็นอะไร เพราะคือการโชว์ความโง่ โชว์กิเลส โชว์อัตตา พูดง่ายๆ หลุดพ้นจากบอร์ด ออกจากบอร์ดไป ที่บอร์ดนี้อาจเป็นดอกบัวที่ผุดกลางอากาศอันเป็นสุญญตา ไม่ได้ผุดมาจากโคลนเลนตม แต่ถ้าเข้าถึงสุญญตาธรรม ก็แสดงความเห็นไปเลย อ่านไปเลย วิพากษ์วิจารณ์ไปเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2015
  11. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆแล้วในเว็บพลังจิตนี้จะหาความจริงได้จากที่ไหนล่ะค่ะ..ในเมื่อความคิดเห็นมีหลากหลายแล้วดิฉันควรจะต้องเอาคำแนะนำของทุกคนไปปฏิบัติอย่างนั้นหรือคะ..แล้วอะไรคือผิดอะไรคือถูก..คนตัดสินคือใคร?ดิฉันไม่ได้เลือกข้างค่ะเพียงแค่แสดงความคิดเห็นจะผิดหรือถูกก็ขอให้แก้ต่างมาอธิบายมา..เพื่อจะได้พิจารณาถูก..จริงๆไม่ต้องใช้ถึงญาณหยั่งรู้ถึงจิตหรอกค่ะ..แค่จากตัวอักษรที่พิมพ์มาดิฉันคิดว่าทุกคนที่มีธรรมและมีความเป็นกลางดูออกค่ะว่าใครเป็นเช่นไร
     
  12. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    แล้วอีกอย่างที่ดิฉันหันมาปฏิบัติธรรมแบบจริงจังก็เพราะว่ามีจิตใฝ่ในธรรมมาตั้งแต่เด็ก..ดิฉันใช้เวลาในวัยเด็กเพียง9-10ขวบไปคลุกคลีอ่านหนังสือธรรมะและสวดมนต์กับคุณยายข้างบ้านเกือบทุกวัน..พอย่างเข้าวัยรุ่นก็เริ่มห่างๆไปใช้ชีวิตตามแบบวัยรุ่นทั่วไปและเริ่มมาปฏิบัติจริงจังอีกครั้งก็คือหลังจากสวดมนต์บทมหาเมตตาใหญ่ซึ่งตอนนั้นในความรู้สึกคือยาวมากแต่พยายามตั้งใจสวดจนจบในระหว่างที่สวดนั้นเองที่ดิฉันได้ยินเสียงสวดมนต์ดังกึกก้องอยู่ในบริเวณใกล้ๆจนกระทั่งสวดจบเสียงสวดมนต์นั้นก็ยังดังแว่วในหูตลอดเวลา..และสิ่งนี้เองที่ทำให้ใจดิฉันยิ่งฝักใฝ่ที่จะศึกษาและปฏิบัติมากกว่านี้ดิฉันเริ่มหาหนังสือธรรมะมาอ่านศึกษาประวัติครูบาอาจารย์พระอรหันต์หลายๆท่าน..จุดเริ่มต้นเกิดจากตรงนี้เองค่ะ..ส่งผลให้ในปัจจุบันดิฉันทำเป็นนิสัย..เพราะฉะนั้นอันไหนที่มันขัดแย้งกับที่ดิฉันรู้มาเลยอยากแนะไป..แล้วเหตุใดถึงต้องโกรธถึงไม่อธิบายมาว่าจริงไหมที่ดิฉันได้กล่าวไป..ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆก็เท่ากับเปล่าประโยชน์ที่มาตั้งกระทู้ปรึกษาเพราะดิฉันไม่ได้อะไรกลับไปเลยนอกจากคำตำหนิติเตียน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กรกฎาคม 2015
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การฟังธรรม คืออะไร

    คือ การมาฟังหนทาง สู้รบกับกิเลส

    เวลาฟัง จะต้อง ยกกิเลสเป็นฝ่ายข้าสึก จะเจ็บแค้น พระพุทธองค์ แนะให้ว่า
    อย่าเอา เรื่องตัวตน บุคคล มายกเป็นเรื่องเจ็บแค้น แต่จงเจ๊บแค้นที่ตัณหาที่เป็นนาย หรือหัวหน้า

    และ พระพุทธองค์ก็ตรัสบอกอีกว่า อย่าเชื่อเพราะศรัทธา หรือรัก หรือโน้มไป
    เพราะสำคัญว่าเขาเป็นอริยะ มันจะโดน ตัณหาหลอกเอาป่นปี้

    พระพุทธองค์ตรัสในกาลามสูตรว่า ให้ยก กิเลส เป็นฝ่ายศัตรู กำหนดรู้ถึงการ
    เป็นไปเพื่อละ เพื่อขจัด ขัดเกลา นำออก ....หาก คำสอนใดเป็นอุบายให้เห็น
    กิเลส ก็จงเห็นซะ เห็นแล้ว ก็ พิจารณาเอาเองว่า เห็นเป็นหรือไม่เป็น
    เมื่อเห็นเป็นแล้ว ใจมันเห็นคุณ หรือโทษ ได้หรือเปล่า ซึ่ง พระพุทธองค์
    บอกว่า เด็กเล็กยังพิจารณาได้ว่า โลภะ โทษะ โมหะ มันมีคุณ หรือโทษ

    ซึ่งหากทำได้แบบนั้น ทุกคนควรจะโน้มจิตไป เพื่อการตรัสรู้โดยชอบด้วยตนเอง
    ไม่ใช่ ฟังเพื่อลอกงานการภาวนาของใคร


    ซึ่ง อุบายธรรใด สหธรรมิกยกอุบายขึ้น เพื่อให้เห็นกิเลส หรือ ถูกชี้กิเลสแล้ว ก็ไม่ใช่
    ให้ถีบคนชี้ ให้คว่ำ ในฐานะสอนธรรมไม่เป็น ไม่เข้ามาสมยอมกิเลสที่กัดกินเคยูก่อน

    หน้าที่ของคนที่ ได้เห็นกิเลส กิจอันดับแรก คือ รู้ทุกข์ที่มีในตน แล้ว ดำริออกซะ อย่ารอคนช่วย !!

    เน้นนะว่า เห็นกิเลสแล้ว อย่ารอคนช่วย

    เน้นนะว่า เห็นกิเลสแล้ว อย่ารอคนช่วย

    ไม่ใช่ เห็นกิเลสแล้ว แหมมมม อยากถีบคนชี้ให้คว่ำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2015
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มาปรึกศาธรรม

    คนที่มาปรึกษาธรรม ส่วนใหญ่ ไม่มั่นใจตัวเอง ตำหนิสิ่งที่เรียกว่าจิต

    ดังนั้น

    คนที่เขารู้วิธีออกจาก "วงจรการขอคำปรึกษา" คือ ให้มั่นใจในตัวเองซะ อย่าส่งจิต
    ไปให้คนอื่นมาช่วย

    กิเลสมันอยู่ในจิตของตน ตนเท่านั้นที่เห็นได้ ต่อให้อรหันต์ หรือ พระพุทธเจ้า
    ก็เข้าไป กำจัดกิเลสของคนๆนั้นไม่ได้ ได้แต่ กล่าวให้เห็นทุกข์ ที่มันบีบคั้น
    และ ตลบแตลงให้ นักภาวนาเข้าใจความสามารถของตนผิด ตลอดเวลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2015
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แล้ว ขอซื้อ หรือ อะไรก็ได้

    เรื่อง การชี้หนทางให้ภาวนา กำจัดกิเลส

    เขาชี้เข้าไปเนี่ยะ เขาหวังเห็นอะไร

    เขาหวังเห็น ความเป็น พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้น ที่คุณ

    แล้ว คนหน้าส้นสิบที่ไหน ที่หวังเห็น พระพุทธเจ้า อนุพุทธ ปรากฏตรงหน้า
    เพื่อมุ่งหวังหลอกด่า หลอกตำหนิ ....................

    กรุณาทำความเข้าใจ ผลแห่งการภาวนา ชนะนายคือตัณหา เสียใหม่

    แล้วจะรู้ว่า การดำริว่าถูกหลอกด่า ถูกตำหนิ เป็นอะไรที่ มาร เท่านั้น มันจะกระซิบ
    หลอก และ สร้างเรื่องราว ร้อยรัดให้คุณ คิดไปทางนั้น
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    จงฟังให้ดี

    ถ้าผมเป็นคนชั่ว มุ่งหลอกด่าคนเท่านั้น

    ถ้าผมเลวอย่างนั้น ผมจะอยู่ใน ห้องกระทู้เพียงห้องเดียว
    หรือ คอยวิ่งแจ้นไปในทุกๆ หัวข้อกระทู้

    ลองพิจารณาเอา นะ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ประเด็นนี้เห็นด้วยครับ เห็นด้วยเพราะเคยผ่านมาก่อน
    มีประสบการณ์มาก่อนมิใช่เรื่องอื่นๆ
    มารในที่นี้ส่วนตัวเรียกว่า กระแสที่มันอยู่ใกล้ๆตัวจิตครับ
    หรือความคิดที่มันไม่ใช่ความคิดของเรา
    แต่ว่ามันจะอยู่ใกล้กับจิตเรามากๆแต่ว่า
    ด้วยกำลังสติทางธรรมของเราที่ไม่พอ เราจึงรู้ไม่เท่าทันตรงนี้ มันก็เลยดึงเรา
    ให้เข้าไปปรุงแต่งร่วมกับความคิดที่มันอยู่ข้างๆจิตตัวนี้ และโดยมากมันมักจะ
    โน้มให้เราคิดแต่เรื่องอกุศลทำให้เรามองเจตนาของบุคคลที่พยายาม
    ถ่ายทอดไปในเชิงลบนั่นเอง ตลอดจนคิดปรุงไปต่างๆนาๆตาม
    ความเห็นของเราเพราะ ใจเรามันยังไม่เป็นกลางเราจึงเห็นว่า
    ความคิดนั้นไม่ใช่ ไม่ถูก เพราะมันไม่ใช่ดังใจเราตั้งไว้นั่นเองครับ....

    ส่วนตัวถึงได้เน้น ถึงได้พยายาม ให้ฝึกสร้างสติทางธรรมให้มากๆ..
    เพราะส่วนใหญ่ พอบอกไปว่า ให้ฝึกสร้างสติทางธรรมกลับไปมอง
    ว่าเป็นการตำหนิ มันจะไปตำหนิอย่างไรหละครับ เพราะสิ่งที่กล่าวมา
    ผู้แนะนำก็ดูจากคำพูดและคำถามของเรานั้นหละครับ มันเป็นตัวฟ้อง

    ถ้าคนที่มีกำลังสติทางธรรมเป็นปกติอยู่แล้ว เรื่องกิริยาทางจิตอย่าง
    คุณเจ้าของกระทู้เนี่ย เค้าไม่ต้องเอามาถามหรอกครับ..เพราะว่ามันจะ
    ทราบได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วครับ ไม่ว่ากิริยาอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น
    ไม่ว่าทางจิต ทางกาย ทางเสียง ทางสัมผัสต่างๆ...
    และสัมผัสอย่างเจ้าของกระทู้ มันก็เป็นสัมผัสแบบปกติธรรมดาๆครับ
    แต่ไอ้เด็กๆที่หละครับ มันสร้างอัตตาตัวตนให้เราได้ดีนัก
    ถ้าเราไม่เข้าใจมันจริงๆ แถมเป็นตัวขวางการปฏิบัติเราที่ดีด้วยครับ
    ผมถึงบอกไปว่า สัมผัสอย่างนี้ แม้ว่าคุณไม่ต้องฝึกสมาธิอะไรมา
    มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับนักปฏิบัติทุกคนครับ
    และยังบอกต่อไปอีกว่า ถ้ากิริยาอย่างนี้จะฝึกให้ถึงระดับใช้งานได้
    ต้องวางตัวอย่างไร บอกจนถึงขั้นที่ว่าต้องเกิดกิริยาอะไรถึงจะเรียก
    ว่าอยู่ในระดับใช้งานเหมือนคนที่เค้าใช้งานได้ทั่วๆไป...

    ถึงได้บอกเอาไว้ว่าให้วางใจเป็นกลางให้ได้ก่อนไงครับ..
    เพราะเรายังไม่รู้ตรงนี้ เรายังไม่ทันตรงนี้จริงๆ
    แต่เราคิดว่าเรารู้ทั้งๆ ที่เราก็พูดไปในขณะที่ความคิดที่มันอยู่ข้างๆ
    หรือกระแสข้างมันปรุงร่วมกับเราแล้ว แต่เราก็ยังคิดว่าเรารู้...
    ถ้าเรารู้ทันจริงๆ สัมผัสและกิริยาอย่างนี้ เค้าไม่ต้องมาถามใครแล้วครับ
    ถ้าสัมผัสได้แบบคนที่เค้ามีกำลังสติทางธรรมจริงๆ...

    พอเราคิดว่าเรารู้ทั้งๆที่เราไม่ทันมัน เราคิดไปเองว่าเรารู้ทันมันทั้งๆ
    ที่มันได้ปรุงแต่งร่วมกับจิตของเราและปรุงแต่งร่วมกับความคิดของเรา
    กลายเป็นตัวเราเองอย่างที่เราไม่รู้ตัว ที่เค้าเรียกว่า อัตตานั่นหละครับ..
    กลายเป็นสร้างอัตตาให้เราอย่างไม่รู้ตัว....
    ตรงนี้ไม่ว่านักปฏิบัติระดับไหนก็ตาม ก็ต้องคอยระวังตรงจุดนี้ให้ดีๆครับ...
    และควรสร้างสติทางธรรม เพื่อที่เราจะได้รู้เท่าทัน ความคิดที่เกิดจากจิต
    ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมตรงนี้ให้ได้ก่อน...
    การไปใช้ความเห็นไปใช้ความคิดในการตีความ เราอย่าลืมว่า
    เราไม่ได้มาปฏิบัติธรรม มาฝึกสมาธิเพื่อเรียนเอาเกรดนะครับ...
    เรามาฝึกก็เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ถ้าความคิดที่เกิดจากจิตคุณยังแยกไม่ได้
    ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรมคุณยังไม่รู้ แล้วคุณจะเอาอะไรไปรู้
    ความคิดข้างๆที่มันมาแหย่ หรือที่เราชอบเรียกว่า มาร ได้หละครับ...
    เมื่อคุณใช้ความคิดความเห็นปรุงร่วมเข้าไปกับตัวจิตกับความคิดที่เกิด
    จากจิตคุณแล้ว คุณจะรู้จักสภาวะเป็นกลางได้อย่างไรครับ..
    ก็ตัวจิตคุณมันเกิดแล้ว หมายถึงมีความคิดพวกนี้ไปรวมแล้ว...
    นี่หละครับ...ผมถึงบอกว่า มันจะขวางความก้าวหน้าในทางปฏิบัติ
    ธรรมของเรา
    แล้วคุณ Crearati ยังมาพูดอีกว่าได้ยินเสียงสวดมนต์
    หรือเสียงนามธรรมตั้งแต่สมัยมาปฏิบัติเริ่มสนใจตั้งแต่เด็กๆ
    นั้นก็ดีครับ ผมถามว่านับตั้งแต่เวลานั้นมาถึงปัจจุบันนี้
    ที่คุณเริ่มได้ยินเสียงนามธรรมมันกี่ปีล่วงมาแล้วครับ
    เพราะถ้าคนได้ยินอย่างนั้น ปัจจุบันนี้ไม่กี่เดือนเค้าก็พัฒนาการไม่มาก
    กว่านี้จน
    สามารถได้ยินเสียงสัตว์เอาร่างกายกระทบกันแปลออกมาเป็นเสียงได้แล้วครับ
    แม้ว่าปากจะบอกไม่สนใจแต่มันก็จะเกิดขึ้นได้เองครับ....
    และถามว่าไอ้ที่ปฏิบัติๆมาจนถึงทุกวันนี้ เราได้อะไรบ้างครับ
    จากการปฏิบัติ เรามีสัมผัสทางเสียง สัมผัสทางตาเห็นนามธรรมโน้นนี่
    ถามว่าปัจจุบันนี้ เรามีความสามารถใช้งานอะไรได้ซักอย่างไหมครับ.
    และถามอีกว่า ปัจจุบันนี้ได้ยินเสียงนามธรรมชัดแจ๋วหรือยังครับ...
    และทำไม กิริยาสัมผัสทางจิตแค่ระดับพื้นๆทำไมคุณถึงไม่เข้าใจ
    ถึงต้องมาถามหละครับ.ทั้งๆก็พูดๆว่าสนใจอ่านโน้นอ่านนี้ตั้งแต่เด็กๆ
    เริ่มปฏิบัติจริงๆจังๆตั้งแต่ตอนนั้นตอนนี้
    .นั้นหละครับผมถึงบอกว่าให้สร้างสติทางธรรม
    เอาไว้ และบอกไปว่ามันจะช่วยพัฒนาการหลักปีๆของเรา
    เหมือนเมื่อก่อนให้เร็วขึ้น..เพราะกำลังสติทางธรรม
    มันจะเป็นตัวบอกเราได้ และก็ช่วยให้เราหัดวางให้เป็น ปล่อยให้เป็น
    มันถึงจะมีพัฒนาการขึ้นไปอีกได้ครับ.

    ..ไม่ใช่พอมาถามและมีคนบอกตรงๆ
    อย่าง อาจารย์เอกวีร์ แม้กับผม ก็ไม่ใช่เค้าไม่เคยด่าผมครับ เค้าใช้คำพูด
    กับผมแรงกว่าที่พูดกับคุณอีก แต่เราก็ยังมาพูดอีก

    ''ว่าจริงๆไม่ต้องใช้ถึงญาณหยั่งรู้ถึงจิตหรอกค่ะ.
    แค่จากตัวอักษรที่พิมพ์มาดิฉันคิดว่าทุกคนที่มีธรรม
    และมีความเป็นกลางดูออกค่ะว่าใครเป็นเช่นไร''
    นี่หละครับ
    มันเป็นอัตตาความเชื่อมันแบบที่เราไม่รู้เท่าทันมัน
    เพราะคุณมันว่าคุณมันรู้ไงครับ..
    และผมจะถามกลับว่า ทุกคนที่คิดว่าตัวเองมีธรรมและมีความเป็นกลาง
    ตอบผมได้ไหมว่า ความคิดที่เกิดจากจิตมันเป็นอย่างไร
    ความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจหรือความคิดที่เกิดจาก
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมกิริยามันเป็นอย่างไร
    จิตกระเพื่อมเป็นอย่างไร เวลาที่จิตเกิดเป็นอย่างไร
    และกระแสที่มันมาแหย่ที่อยู่ข้างๆจิตถามหน่อยว่า
    รู้และเข้าใจพวกนี้หรือยัง ถึงจะบอกว่าตัวเองมีธรรม
    และมีความเป็นกลางครับ...
    เหตุเพราะกำลังสติเรามันไม่พอนั่นหละครับ
    ถึงปรากฏลักษณะคำพูดอย่างนี้
    ออกมาได้ครับ..
    อ่านดีๆครับ และอ่านให้หมด ไม่อ่านก็ไม่ต้องอ่านครับ
    ถ้าคิดว่าเก่งแล้วก็ไม่ต้องเข้ามาครับ
    ถ้าเข้ามาแล้ว ก็ต้องรู้ว่าควรจะวางอารมย์อย่างไร
    มันไม่มีใครว่าอะไรหรอกครับในเรื่องการแสดงความเห็น
    คำแนะนำมีทั้งที่ถูกใจเรา และไม่ถูกใจเรา
    ที่สำคัญเราต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง
    และเรารู้เจตนาที่เค้าแนะนำเราหรือยังหละครับ..
    ถ้าเราปฏิบัติผ่านมาแล้ว รู้แล้ว ไม่มีใครเข้าว่าอะไรครับ
    ถ้าเราจะแสดงความเห็นในเชิงปฏิบัติครับ..
    ถ้าเราไม่รู้ ปฏิบัติไม่ได้ แต่เจตนาดี
    ตำราคำสอนก็มีและควรอ้างอิงที่มาที่ไป
    ให้ผู้ถามได้ไปพิจารณาเอง....
    การแสดงความเห็น คุณจะหมายหมั่นเอาว่า
    บุคคลที่เค้าเสนอความเห็น เค้าจะแนะนำได้แบบที่เราชอบ
    เค้าจะแนะนำได้ตรงกับใจเราที่สุด แค่คิดอย่างนี้ก็ช้าแล้วครับ

    โดยนัยยะหมายถึง คุณต้องไปอยู่โลกส่วนตัวของคุณคนเดียวครับ
    ถ้าเราปฎิบัติได้แล้ว รู้จริงแล้ว เข้าใจแล้ว...
    เราก็วางทิฐิมานะของตนเองลงเก็บเอาไว้ก่อน
    และยวกกับเจตนาที่ดี
    ค่อยมาแสดงความเห็น ค่อยมาตีความ
    จากสิ่งที่ตนเองเห็นแล้ว รู้แล้ว ปฏิบัติเข้าใจแล้ว
    ก็ยังไม่สายครับ


    อ่านข้อความที่ผมเขียนใน#69 ก่อนหน้าและข้อความนี้ให้ดีๆนะครับ...
     
  18. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    คุณnopphakanดิฉันไม่ได้มีเจตนาอวดรู้หรือว่าอะไรคุณเองทำไมถึงหยั่งใจดิฉันไม่ได้ว่าที่ดิฉันต้องอธิบายถึงที่มาของการศึกษาธรรมนั้นเพราะอะไรเพราะดิฉันมีความสนใจตั้งแต่เด็กหมายถึงไม่ได้มีเรื่องกระทบกระเทือนทางจิตใจใดๆแบบที่คุณบอกไว้..ส่วนที่บอกว่าได้ยินเสียงตั้งแต่เริ่มปฏิบัติเป็นเพียงการอธิบายถึงสาเหตุของแรงดึงดูดให้สนใจยิ่งขึ้นซึ่งนั่นก็เมื่อประมาณสามปีที่แล้วและถึงแม้จะไม่พัฒนาถึงระดับใช้งานได้เพราะดิฉันไม่ได้ก้าวหน้าไปจริงๆไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งอะไรอวดภูมิอะไรดิฉันเคยได้รับการแนะนำมาจากหลายบุคคลหลายที่ซึ่งล้วนแล้วสามารถรับฟังและโต้ตอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้..คุยกันด้วยเหตุด้วยผล..คุณว่าดิฉันมีอัตตา..ถูกต้องค่ะดิฉันมีอัตตาจากแค่การถาม..ทำไมถึงไม่ชี้แจงให้เข้าใจในคำถามล่ะคะ..คุณบอกว่าดิฉันเลือกข้างและไม่รู้ถึงเจตนาของคนสอนที่แท้จริง..คุณเองก็ไม่เข้าใจถึงเจตนาของดิฉันเช่นกันและดิฉันเข้าใจยิ่งขึ้นเมื่อคุณเรียกคุณเอกวีร์เป็นอาจารย์..ทั้งๆที่ดิฉันชื่นชมคุณมาตลอดว่าอธิบายได้ดีและเวลาเข้ามาปรึกษาในห้องนี้จะได้รับคำตอบดีๆจากคุณเสมอ..แต่นี่คุณกลับเข้าใจไปว่าดิฉันคิดว่าเก่งแล้วมาปรึกษาทำไม?ทำไมคุณถึงคิดแบบนี้ได้..ทำไมคุณแปลเจตนาดิฉันไม่ออก..ทำไมคิดว่าดิฉันเลือกข้างแค่เพราะดิฉันออกมาโต้ตอบกับคุณเอกวีร์แค่บทความเดียว..อยากบอกว่าเสียใจมากจริงๆค่ะที่ถูกบอกให้ไปอยู่ในโลกส่วนตัวไปศึกษาเองปฏิบัติเองดิฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้น:'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2015
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    เข้าใจเจตนาของคุณ nopphakan นะครับ ความคิด ความเห็น มันแสดงโดยไม่มีตัวตนได้หรือครับ ความคิดมันคือสังขารปรุงแต่ง เป็นกระบวนการต่อจากเวทนา คือ สุข ทุกข์ กลาง อย่างนั้น แล้วไม่รู้เท่าทันอดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงถูกตัณหา อุปาทานลากจนเกิดเรื่อง ทุกคนที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ก็อยู่ในกระบวนการนี้ จนกว่าจะอรหันต์ แต่ความเบาบางของกิเลสก็ลดลงตั้งพระโสดาบัน

    ความชื่นชอบและเรียกท่าน เอกวีร์ ว่า อาจารย์ ของคุณnopphakan ผมไม่คิดอะไร ผมเองการใช้คำว่าท่านบ้าง คุณบ้าง แมวบ้าง ร์วีกอเ บ้าง ก็ล้วนเป็นถ้อยคำที่ไม่ได้เกลียดโกรธแค้น คนที่คุยกันได้ อ่านหรือเขียนถึงกัน ย่อมบ่งบอกว่า ไม่เกลียดกัน คนที่ติงกันได้ก็ย่อมแสดงว่าไม่ได้รังเกียจกัน ความชอบและการแสดงว่าชอบ ความไม่ชอบและแสดงว่าไม่ชอบ ย่อมแสดงตัวตน แสดงอัตตา เว้นไว้แต่มีสติเท่าทันว่า เป็นพูดเพื่อหักล้างอัตตา แต่กระบวนการพูดแบบนี้ก็ไม่พ้นให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นอัตตา

    สมมุติหรือจริง จริงหรือสมมุติ การที่ผมเข้ามาบอกผมได้เคยประสบเหตุการณ์ได้ยินได้เห็นเสียงสวดมนต์จากเทวดาโดยตรง เจตนาที่พูดเพื่อให้คนที่อ่านทราบว่ามีบุคคลที่รับรู้เหตุการณ์อย่างนี้ได้ ชี้ให้เห็นเป็นระลึกความดีเทวดา เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งแล้ว แต่ผู้มีอัตตาในขันธ์ย่อมเข้าใจไปโดยปริยายว่า ไอ้นี่ หลงอัตตา หลงในธรรม ทั้งที่ ยังไม่ได้บอกสภาพจิตของผู้เขียน แต่ถูกตีความไปแล้ว และมันมีความจำเป็นอะไรที่จะบอกออกไปว่า อรหันต์แล้ว สมมุติหรือจริง จริงหรือสมมุติ กัน

    เมื่อลากมาถึงตรงนี้ คุณCearati ย่อมพิจารณาได้ว่า การแสดงความเห็น คืออะไร การแสดงอัตตา คืออะไร

    ส่วนกระบวนการคิดแบบปัญญา ขั้นกว่า ท่านnopphakan และท่านเอกวีร์ เชิญอธิบายครับ แต่อย่าติดกับดักทางภาษา ที่มันจะแสดงให้เข้าใจ ให้เห็นเป็นอัตตาตลอด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2015
  20. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    คุณ Crearati รู้จักอธิบายรู้จักรับฟัง เป็นคนมีเหตุผล อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...