ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    QUIZ
    วันพรุ่งนี้ที่5 กรกฎาคม ชาวกรีกจะโหวตประชามติ
    1. Yes เพื่อรับแผนฟื้นฟูการเงินกรีซโดยเจ้าหนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นศรีปราชญ์ต้องลาออก รัฐบาลใหม่เข้ามาต้องรับเงื่อนไขโหดของเจ้าหนี้ เพื่อให้กรีซอยู่ในยูโรต่อไป
    2. No เพื่อปฏิเสธแผนของเจ้าหนี้ ศรีปราชญ์จะถือโอกาสต่อรองเงื่อนไขใหม่กับเจ้าหนี้ เพื่อให้ได้เงินกู้ก้อนใหม่ โดยอาจจะจะขอลดหนี้อย่างน้อย30%ตามที่รายงานการแก้ปัญหากรีซนำเสนอโดยฝ่ายวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรืออาจจะออกจากยูโรก็ได้
    โพลชี้ว่าผลของประชามติสูสีระหว่างโหวตYes (41.5%) และโหวตNo (40.2%) ที่เหลือยังไม่ตัดสินใจ ชาวกรีกออกมาชุมนุมเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปในทิศที่ตัวเองต้องการ ในขณะที่กรีซมาถึงทางสองแพร่ง
    คำถามท่านคิดว่า พรุ่งนี้ประชามติ Yes ชนะ หรือNo ชนะ
    ลองตอบเข้ามาลุ้นผลประชามติกรีซด้วยกัน
    thanong
    4/7/2015
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จำนำข้าวก็โดนแล้ว ประกันราคาข้าวก็โดนด้วย

    ป.ป.ช.รวมพยานคดีจีทูจีข้าวเสร็จ - จ่อแจ้งข้อหา "พรทิวา" ส่อโกงประกันข้าวใน 2 สัปดาห์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2558 17:37 น.

    [​IMG]
    @นางพรทิวา นาคาสัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (แฟ้มภาพ)

    "วิชา" เผยรวมพยานคดีจีทูจีข้าวเสร็จเรียบร้อย เตรียมสรุปชงที่ประชุม ป.ป.ช.ลงมติส่งอัยการสูงสุดฟัน รับศาลฎีกาเร่งรัดขอสำนวนที่เหลือ พบเอกชนเกี่ยวถึง 90 ราย ส่วนคดีระบายมันเส้นคาดสรุปได้เร็ว ใช้โมเดลเดียวกับจำนำข้าว บอกตัวละครก็คล้ายกัน ระบุคดีประกันราคายุค "มาร์ค" จ่อแจ้งข้อหาอดีต รมว.พาณิชย์ ส่อโกงได้ใน 2 สัปดาห์

    วันนี้ (4 ก.ค.) นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องในการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ ในส่วนที่เหลือหลังจากชี้มูลความผิดนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.กับพวก ว่า ขณะนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานเสร็จเรียบร้อย และทุกบริษัทได้เข้ามาชี้แจงกับคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว โดยคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. เตรียมจะสรุปคดีเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติและส่งสำนวนการไต่สวนให้กับอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อรวมกับสำนวนของนายบุญทรง กับพวก ที่ถูกฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นอกจากนี้ทางศาลฎีกาฯเอง ก็ได้เร่งรัดขอสำนวนเอกชนที่เหลือต่อ ป.ป.ช. ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้มีเอกชนที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้ประมาณ 80 - 90 ราย

    ส่วนกรณีการระบายมันสำปะหลัง (มันเส้น) แบบจีทูจี ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงอยู่นั้น นายวิชา กล่าวว่า คาดว่าคดีนี้จะสามารถสรุปได้รวดเร็ว เนื่องจากใช้โมเดลเดียวกันกับคดีระบายข้าวจีทูจีก่อนหน้านี้ที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดไปแล้ว รวมถึงคดีระบายข้าวจีทูจีล็อตใหม่ ที่ทำกับ 4 บริษัทจีนอีกด้วย ตัวละครก็คล้าย ๆ กัน ดังนั้นคาดว่าจะสรุปได้ในอีกไม่นานนี้

    นายวิชา ยังกล่าวถึงคดีโครงการประกันราคาข้าว สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการร้องขอให้ถอดถอนนางพรทิวา นาคาศัย อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวก กรณีส่อทุจริต และเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบคดีแล้ว และคาดว่าจะสามารแจ้งข้อกล่าวหาได้ภายใน 2 สัปดาห์ ทั้งนี้สาเหตุที่ล่าช้าเนื่องจากเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ติดขัดปัญหาบางประการ แต่ขณะนี้ได้คุยกันเรียบร้อยแล้ว การดำเนินงานต่าง ๆ ก็เดินหน้าต่อไปได้

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    ... "ภราดรภาพมุสลิม : สงครามเพื่ออิสลาม กับถูกป้ายสีว่าเป็นผู้ก่อการร้ายจากอเมริกา อิสราเอล และซาอุดิอาระเบีย"
    .
    ... "ภราดรภาพมุสลิม" หรือ Muslim Brotherhood = MB นั้นตั้งขึ้นเมื่อ 1928 โดย Hassan al-Banna ครูที่เคร่งครัดพร้อมกับเพื่อนชาวอียิปต์อีกหกคนที่ทำงานในบริษัทเกี่ยวกับคลองสุเอซ โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเริ่มกิจกรรมทางการเมืองหลายรูปแบบรวมทั้งที่มีกองกำลังติดอาวุธ ทั้งทางศาสนา ทางสังคมเช่นสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล กลุ่มธุรกิจ ที่ตอนนี้มีสมาชิกหลายล้านคนเป็นเครือข่ายใหญ่กระจายไปทั่วโลก ( ในอิหร่าน ที่เป็นชีอะห์ MB ก็มีสัมพันธฺที่ดี แม้ต่างนิกายกัน ) แต่ฐานใหญ่อยู่ที่ "อียิปต์" โดยมีแนวคิดหลักๆออกแนวอนุรักษ์นิยม เช่นต้องการเอากฏหมายอิสลามหรือ "ชาริอะห์" มาปกครองประเทศ หรือไม่เชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของสตรีแบบตะวันตก เช่นผู้หญิงต้องใส่ฮีญาบผ้าคลุมผมหรือหน้าโดยเคร่งครัด เป็นต้น
    ... " 1936 ต่อต้านอังกฤษ"
    ... หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษหมายตาเอาอียิปต์ไว้เป็นเมืองขึ้นต่อจากอ๊อตโตมันที่อ่อนแอ โดยมีเป้าหมายหลักคือ "คลองสุเอซ" ที่เป็นเส้นเลือดของการค้าการทหารของมหาอำนาจเจ้าอาณานิคม จึงเกิดการต่อต้านจากชาวอียิปต์มากมาย และหนึ่งในแกนนำคือ MB ด้วยเช่นกัน
    ... "1948 ต่อต้านรัฐอิสราเอล"
    ... หลังจากนั้นอังกฤษก็เอาคนยิวมาตั้งรัฐ "อิสราเอล" ขึ้นมาในปีนั้นทำให้ประเทศอิสลามรอบๆเช่น อียิปต์ จอร์แดน ซีเรีย ซาอุดิอาระเบียไม่พอใจ ร่วมกันทำสงครามกับอิสราเอล ที่มี "อเมริกา" มหาอำนาจใหม่ที่ต้องการน้ำมันในดินแดนนี้มาช่วยเต็มที่ สุดท้ายอิสราเอลชนะ
    ... "1952 ขัดแย้งกันเอง"
    ... ช่วงนั้น "สงครามเย็น" อียิปต์เป็นหนึ่งในแกนนำประเทศเป็นกลางและต้องการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยเพื่อให้ก้าวทันตะวันตก โดยการนำของ "กามาล นัสเซอร์" แต่ก็ทะเลาะกันเองกับ MB ที่ออกแนวอนุรักษ์จนทำให้ นัสเซอร์ กวาดล้างและจำคุก สมาชิก MB มากมายจนส่วนใหญ่หนีไปลี้ภัยไปที่ "ซาอุดิอาระเบีย" ในช่วงปี 1970
    ... "ซาุอดิอาระเบีย : จากเพื่อนสู่ศัตรู"
    ... ซาอุดิอาระเบีย นั้นเป็นผู้บริจาคเงินรายใหญ่ให้กับ MB มากว่า 50 ปี และ MB มีอิทธิพลอย่างมากในประเทศซาอุอาระเบียในช่วงแรกๆ เช่นครูทางศาสนาช่วงแรกๆของระบบการศาสนาของซาอุก็มาจากอุลามะห์อาวุโสของอียิปต์ ว่ากันว่าระบบการศึกษาอิสลามของซาดุนั้นมี อียิปต์ โดย MB เป็นผู้วางรากฐานให้เอง ... แต่ตอนหลังที่ราชวงศ์ซาอุด ต้องการเอาศาสนามารับใช้เพื่อค่ำบัลลังค์ของราชวงศ์โดยเน้นนิกาย "วาฮาบี้" หรือ สาลาฟี่ร์ จึงทำให้แตกแยกกับ MB ในทึ่สุด
    ... โดยมีสาเหตุที่แตกแยกระหว่าง MB กับ ซาอุดิอาระเบีย
    1) ... มีบางกลุ่มย่อยของ MB ที่หนุนการโค่นล้มระบบราชวงศ์กษัตริย์ในซาอุเพราะไม่ถูกหลักอิสลาม ที่ต้องเป็นระบบเลือกเคาะลิฟะห์
    2) ... ซาอุเริ่มจะออกเผยแพร่แนวคิดแบบ "วาฮาบี้" ของตัวเองไปทั่วโลก แทนที่จะเชื่อฟังแบบ "ซุนหนี่" แบบอุลามะห์คนเก่าๆของอียิปต์
    3) ... หลังจาก "สงครามหกวัน" ประเทศอิสลามหลายประเทศได้ยอมสิโรราบกับ "อิสราเอลและอเมริกา" เช่น จอร์แดน อียิปต์ และซาอุดิอาระเบียเอง เพราะรู้ว่านับวันอเมริกายิ่งสนับสนุนทางการเงิน การทหารและอาวุธแก่อิสราเอลหลายหมื่นล้านบาทต่อปี คงสู้ไม่ไหว แต่ MB ยังคงต่อต้านอิสราเอล ต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
    4) ... "สงครามอ่าว" ครั้งแรกปี 1991 ที่ซาอุยอมให้อเมริกามาตั้งฐานทัพเพื่อฆ่าคนอิรักที่ไปบุกคูเวต ซึ่ง MB ที่มีสาขาในอิรักไม่พอใจ
    ... และจากนั้นมาก็ไม่ลงรอยกันตลอด จนล่าสุดถึงจุด "แตกหัก" ปีที่แล้ว "2014" ที่ทางการ "ซาอุดิอาระเบีย" ได้ประกาศพร้อมๆกับรัฐบาลทหารของอับเดล ฟาตาห์ อัล ซีซี่ "หุ่นเชิด" ของอเมริกาและยิวว่า กลุ่ม MB เป็น "กลุ่มก่อการร้าย" อย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ
    ... ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์ฟางเส้นสุดท้ายระหว่างกัน
    ..." 2006 : เริ่มเปลี่ยนนโยบายจากใต้ดินขึ้นบนดิน"
    ... เริ่มมีการก่อตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงเลือกตั้งในหลายระดับ เพื่อจะมีพรรคการเมืองของตัวเอง เพื่อแข่งขันกับผู้นำรัฐบาลที่เป็น "หุ่นเชิด" ของอเมริกาและอิสราเอล ( ตั้งแต่ 1970 ) ที่นัสเซอร์เสียชีวิตที่ทฤษฎีที่ว่า "โดนวางยาพิษในกาแฟ" จาก "อันวา ซาดัด" ที่นิยมอิสราเอลเอง เพราะเสียชีวิตสามวันหลังกินกาแฟ โดยคนใกล้ชิดของนัสเซอร์กล่าวหาซาดัดเอง )
    ... หลังจากนั้นมา "อียิปต์" ก็ขายวิญญานให้กับอิสราเอลไป ทั้ง อันวา ซาดัด , มาถึง ฮอสนี่ มูบารัก ก็ยังรับเงินช่วยเหลือทางการทหารและเศรษฐกิจทางอเมริกา เพื่อ "เป็นมิตร" และยอมรับในรัฐอิสราเอล หยุดทำสงครามกัน ซึ่งตรงนี้ MB ไม่เห็นด้วยมาตลอด แต่ก็ลดความรุนแรงลง มาใช้วิธีการที่สันติมากขึ้น สงบ
    ... จนในช่วง "อาหรับสปริง" 2011 ที่เกิดการเดินขบวนโค่นล้ม "ฮอสนี่ มูบารัก" MB ก็ได้ส่งคนมาร่วมเลือกตั้งจนชนะได้ "โมฮัมเหม็ด มอร์ซี่" ที่เป็นสมาชิกของ MB ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งในประวัติศาสตร์ของอียิปต์
    ... ซึ่งตรงนี้ "อเมริกา และ อิสราเอล" เก็บความไม่พอใจเอาไว้เงียบๆ ... เพราะอะไร ?
    ... ก็เพราะว่า MB มีหลายสาขาทั่วโลกและสาขาหนึ่งก็คือ "ปาเลสไตน์" โดย MB ได้สนับสนุนทั้งการเงินอาหารและอาวุธสงครามแก่กลุ่ม "ฮามาส" ในการต่อต้านรัฐ "อิสราเอล" โดยมีการขุดอุโมงค์ลับในการขนส่งของดังกล่าว ทำให้" อิสราเอล" ยอมไม่ได้เพราะทำให้เกิดความไม่มั่นคง ครบทุกทิศทางอันตรายเกินไป ( ทางเหนือมีเฮสบุลเลาะห์ในเลบานอน ที่ซีเรีย อิหร่าน หนุนอยู่ )
    ... " 3 กรกฎาคม , 2013 โมอัมเหม็ด มอร์ซี่จึงถูก โค่นล้มโดยทหารของเขาเองคือ "อับเดล ฟาต้า อัล ซีซี่" ี่มี "อเมริกาและอิสราเอล" หนุนหลังอยู่ ( ที่อเมริกาไม่บ่นสักคำว่า ซีซี่เป็นเผด็จการทหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่กับทั่วโลก รวมทั้งไทย ว่าเอาทุกวัน = มือถือสากนิวเคลียร์ ปากถือเลือกตั้งธิปไตย ) จนมีการฆ่ากวาดล้างสมาชิก MB มากมายตายหลายพัน เจ็บและถูกจำคุกอีกหลายพันคน
    ... MB จึงเกิดการต่อสู้แบบใต้ดินอีกครั้ง ในทั่วอียิปต์ ทาง "หุ่นเชิด ซีซี่" จึงใช้กำลังกวาดล้างอย่างหนัก โดยการสนับสนุนโดยอเมริกาและอิสราเอล อย่างเปืดเผย แบบไม่เกรงกลัวยูเอ็น ล่าสุดเมื่อ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนทันยาฮู ของอิสราเอล บอกว่าจะช่วยอียิปต์ในการปราบปรามการก่อการร้ายในประเทศ ( แทรกแซงการเมืองภายในอียิปต์ชัดเจน )
    ... โดย "ข้ออ้าง" ที่ทางอเมริกาและอิสราเอล พยายามจะโดนบาปให้กับ MB คือเป็น "ผู้ก่อการร้าย" ทั้งสองพยายามจะสร้างภาพนี้ออกไปสู่สายตาชาวโลก แบบที่ ISIL เป็น
    ... โดยตั้งแต่ปลายปี 2014 ที่แล้ว ที่มีหัวหน้ากลุ่มก่อความไม่สงบในอียิปต์ได้ประกาศว่าพวกเขาเป็นเครือข่ายของ ISIL และมีการออกข่าวไปทั่วโลก ยิ่งกว่านั้น ศาลอียิปต์ก็ประกาศว่า MB เป็นกลุ่มก่อการร้ายไปแล้ว บวกกับ อดีตเพื่อนสะลาฟีร์ "ซาอุด" ก็บอกย้ำว่า พวกเขาเป็นผู้ก่อการร้าย
    ... ตอนนี้จึงมีกระแสการก่อการร้ายทั้งวางระเบิดในแหลมซีนายและลอบสังหารอัยการคนดังแล้วโดนบาปว่าเป็นผลงานของกลุ่ม ISIL และเชื่อมโยงว่าเกี่ยวกับ MB ด้วย เพื่อสุดท้ายเขากำลังเร่งออก "กฏหมาย" เพื่อเอามาเล่นงานกวาดล้างได้ถูกต้องตามกฏหมาย ทัวโลกว่าไม่ได้ เพราะการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายนั้น ภาพออกมาดูดีกว่าไหนๆ
    ... ดังนั้น MB นอกจากจะต้องต่อสู้กับ ผู้ปกครอง "หุ่นเชิดอเมริกาและยิว" อย่าง ซีซี่แล้ว ยังต้องต่อสู้กับภาพลักษณ์ที่ถูกสาดโคลนกว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย" อีกด้วย
    ... สงครามครั้งนี้ใหญ่หลวงมาก เพราะว่า "ภราดรภาพมุสลิม" MB นั้นเป็นไม่กี่กลุ่มอิสลามที่เหลือ ที่มีอำนาจและเครือข่ายใหญ่เพียงพอที่จะต่อสู้กับ ดัจญาลอเมริกาและอิสราเอล ( และเพื่อนเก่าซาอุด ) ได้ และการสงครามครั้งนี้จะมีผลกับโลกอิสลามและโลกส่วนที่เหลืออย่างมาก
    .
    https://en.wikipedia.org/wiki/Muslim_Brotherhood
    Who killed Gamal Abdul Nasser? - Intifada Palestine
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มั่นใจคนไทยล้านคนรู้ทันแผนร้ายอเมริกา
    4 กรกฏาคม วันชาติปีศาจอเมริกา

    [​IMG]

    ในที่สุดโลกก็เริ่มตื่นตัวกับคำลวงคำโกหกของรัฐบาลสหรัฐ ที่ค่อยๆ ถูกเปิดเผยมากขึ้นทุกวัน ยิ่งมีผู้ออกมาเปิดโปงแผนลับต่างๆ ของอเมริกามากขึ้น ก็ทำให้โลกได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขามองสหรัฐ อย่างที่สหรัฐอยากให้เห็น ไม่ได้รู้จักสหรัฐ อย่างที่เป็น ในบทความนี้เราจะนำเสนอบรรดาบุคคลที่เคยเปิดโปงความลับ และแผนการอันน่ากลัวต่างๆที่รัฐบาลสหรัฐได้เคยทำไว้ โดยก่อนหน้าที่ทาง ABNEWS ได้นำเสนอเรื่องราว เกี่ยวกับ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน และ จูเลียน อาสซานจ์ เจ้าของวิกิลีกส์ ไปแล้วบางส่วน ในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับคนเหล่านี้เพิ่มเติมกัน

    ‪#‎10ลำดับชาวอเมริกันจอมแฉที่เปิดโปงความความชั่วของรัฐบาลสหรัฐ‬

    ‪#‎ลำดับ10‬ – แกรี่ สตีเฟน เวบบ์ (Gary Stephen Webb) : ผู้เขียน Dark Alliance และนักเขียนหนังสือพิมพ์ San Jose Mercury News

    แกรี่ คือนักเขียน หนังสือพิมพ์ San Jose Mercury เขาได้เขียนหนังสือ ชื่อว่า Dark Alliance หรือ พันธมิตรมืด โดย เวบป์ ได้ออกมาเปิดโปง ถึงเรื่องที่ CIA ได้ลักลอบขนยาเสพติดในปี 1980 และได้จำหน่ายในเมืองลอสแองเจลิส กรณีที่หน่วยงานของรัฐทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และเรื่องที่รัฐบาลได้ปกป้องนักขนของเถื่อนเมื่อถูกนำตัวพิจารณาคดี การเปิดโปงของเวบป์ ทำให้เกิดความโกลาหล งานเขียนของเขาเริ่มต้นด้วยการ กล่าวประนามรัฐบาลการค้าเสรี และบรรดาบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่ร่วมมือกันปิดบังความจริง การเปิดโปงครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของเว็บแพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว เขาต้องเสียอาชีพนักเขียนไปในที่สุด และไม่มีหนังสือพิมพ์หรือสำนักพิมพ์ไหนรับเขาเข้าทำงานอีก

    ต่อ มาในปี 2004 มีผู้พบศพเวบป์ โดยมีกระสุนฝังอยู่ที่ศรีษะถึง 2 นัด ข่าวแพร่ไปว่า เขาได้ฆ่าตัวตาย ถึงแม้ว่าครอบครัวของเขาเชื่อว่าเขาฆ่าตัวตาย เพราะหางานทำไม่ได้ แต่คนส่วนมากเชื่อว่า เว็บป์ตายเพราะถูกฆ่าปิดปาก

    ‪#‎ลำดับ9‬ – มาร์ค เฟลธ์ (Mark Felt) : ข่าวอื้อฉาววอเตอร์เกท (Watergate)

    มาร์ค เฟลธ์ อดีตเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ เขานับเป็นบุคคลที่โด่งดั่งที่สุดของอเมริกาในด้านการเปิดโปงความลับ เขาได้ส่งข้อมูลให้กับ บ็อบ วู้ดเวิร์ด นักข่าววอชิงตัน ข่าวฉาวเรื่องวอเตอร์เกท ทำให้ ริชาร์ด นิกสัน ต้องลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ มาร์ค เปิดโปงว่า รัฐบาลนิกสัน พยายามที่จะล้มคู่ต่อสู้อย่างผิดกฎหมาย พวกเขาไปรวมตัวอยู่ที่โรงแรมวอเตอร์เกท

    ‪#‎ลำดับ8‬ – แดเนียล เอลส์เบิร์ก (Daniel Ellsberg) : เอกสารลับเพนตากอน (Pentagon Papers)

    แด เนียล ได้นำบันทึกลับเพนตากอนออกมาเปิดโปงในปี 1971 สิ่งที่เขายืนยัน ก็คือ ประธานาธิบดีทั้งสี่คนได้โกหกประชาชนมาโดยตลอด ในเรื่องปฏิบัติการและการแทรกแซง ตลอดจนทั้งภารกิจต่างๆ ในสงครามเวียดนาม ”

    โร เบิร์ต แมกนามารา (Robert McNamara) รมต.กลาโหมในยุคสมัยนั้น ได้มอบบันทึกนี้ไว้ในปี 1967 เพื่อให้รัฐบาลในยุคหลังๆ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ความผิดพลาด จากสงครามเวียดนาม และคำสั่งเสียต่างๆ “สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง” สำหรับรัฐบาลต่อไปที่จะมาในอนาคต

    ทำให้ บุคคลจำนวนหนึ่ง เข้าใจว่า รัฐบาลสหรัฐพยายามโกหกประชาชนอยู่ตลอดเวลา แดเนียล รู้สึกรับไม่ได้ กับการที่จะต้องปิดบังคำหลอกลวงเหล่านี้ ทำให้เขาตัดสินใจออกมาเปิดโปงคำโกหก และการหลอกลวงของรัฐบาล และสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด เขาได้มอบบันทึกลับให้กับนิวยอร์กไทมส์ หลังจากที่บทความได้เผยแพร่ออกไป เกิดสั่นสะเทือนทางการเมืองในหลายๆ กรณี ดังนี้

    -รัฐบาลมีข้อมูลอย่างละเอียดและสมบูรณ์ ที่ทำให้รู้ว่า สงครามเวียดนามนั้นไม่ใช่สงครามที่จะสามารถเอาชัยชนะกลับมาได้ แต่ก็ยังดันทุรังไปเปิดสงคราม

    -อเมริกา ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จากการช่วยเหลือชาวเวียดนามใต้ พวกเขาเพียงแต่ต้องการที่จะเล่นการเมืองกันเท่านั้น

    -รัฐบาลของ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ได้วางแผนโค่นล้มประธานาธิบดีเวียดนามใต้ นาย โง ดินห์ เดียม (Ngô Đình Diệm Jean Baptiste)

    -ลินดอน บี จอห์นสัน ปธน.สหรัฐ ได้สัญญาในการปราศัยครั้งหนึ่ง ว่า อเมริกาจะลดการเข้าร่วมในสงครามเวียดนามให้น้อยลง และมีโปรแกรมในการทิ้งระเบิด ในเวียดนามทางตอนเหนือ

    -สหรัฐ ไม่เคยบอกความจริงกับประชาชนของตัวเองทั้งเรื่องสงครามและเรื่องการทิ้ง ระเบิด ว่าไปทำอะไรบ้างในเวียดนาม โดยสรุปแล้ว เคนเนดี้ จอห์นสัน นิกสัน ไอเซนฮาวร์ ทั้งหมด ต่างก็โกหกต่อชาวโลกในสงครามเวียดนาม

    ‪#‎ลำดับ7‬ – โทมัส แอนดรู เดรก (Thomas Andrews Drake) :โครงการเทรลเบลเซอร์ (project Trailblazer)

    โทมัส เดรก อดีตเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ NSA ได้ออกมาเปิดโปงแล้ววิจารรณ์ “โครงการเทรลเบลเซอร์” ที่สหรัฐถลุงเงินไปมากวว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ โดยโครงการดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนอเมริกัน ในช่วงเริ่มต้นนั้นทางรัฐบาลได้แนะนำโครงการเทรลเบลเซอร์ว่า เป็นเสมือนทางเลือกในการค้นหาข้อมูลต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต ในขณะนี้พวกเขามีโครงการทับซ้อนอีกอันหนึ่ง ทีเรียกว่า “Thinthread” ที่มีค่าใช้จ่าย สูงถึง 3 ล้านดอลลาร์ อยู่ ซึ่งรูปแบบการทำงานก็ไม่ได้แตกต่างกัน และยังมีประสิทธิภาพมากกว่า และคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนได้มากยิ่งกว่า มีการโฆษณาโครงการอันนี้อย่างแพร่หลาย แต่สุดท้าย โครงการที่มีค่าใช้จ่าย และมีปัญหาทางกฎหมาย อย่างเทรลเบลเซอร์ ก็เป็นโครงการที่สหรัฐ เลือกที่จะนำมาใช้

    ‪#‎ลำดับ6‬ – บันนาไทน์ กรีนเฮ้าส์ (Bunnatine Greenhouse) : หน่วยวิศวกรรมกองทัพอเมริกัน บริษัท แฮลลีเบอร์ตัน (Halliburton)

    ความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐบาลสหรัฐ กับ บริษัท แฮลลีเบอร์ตัน เป็นประเด็นที่ถูกตั้งข้อสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อถึงเวลาอันควร ในปี 2003 บันนาไทน์ ก็ออกมาเปิดโปงถึงเรื่องอื้อฉาวที่รัฐบาลสหรัฐได้กระทำไว้ นั่นคือ ทางฝ่ายรัฐบาลได้ให้การสนับสนุน แฮลลีเบอร์ตันคอมปานี ก็เพื่อสร้างช่องทางในการเก็บเกี่ยวผลกำไรจากน้ำมันในอิรัก และแน่นอนไม่มีคอมปานีใดที่จะมีสิทธิในโครงการนี้ นอกจาก แฮลลีเบอร์ตัน บันนาไทน์ได้ออกมาประนามรัฐบาลอย่างมากมาย ทั้งในเรื่องความไม่ยุติธรรมและประเด็นดำมืดด้านอื่นๆ

    ‪#‎ลำดับ5‬ – โคลีน โรว์ลีย์ (Coleen Rowley) : เอฟบีไอ (FBI)

    ภายหลังจาก เหตุการณ์ 11 กันยา ผ่านไปไม่ทันไร ชาวอเมริกันต่างก็กำลังตกอยู่ในภาวะของความเศร้าโศก และไม่รู้เลยว่า กลุ่มก่อการร้ายเล็กๆ สามารถจู่โจมแผ่นดินสหรัฐได้อย่างไร โดยที่เจ้าหน้าที่สายลับและเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองจะไม่ได้กลิ่นนี้ แน่นอนว่า เป็นไปไม่ได้แน่นอน หนึ่งในเจ้าหน้าที่ ที่ออกมาชี้แจงในเรื่องนี้ คือ โคลีน โรว์ลีย์ เจ้าหน้าที่ FBI เขาได้ออกมาเปิดโปงว่า สำนักงานในพื้นที่ๆเขาประจำอยู่นั้น ได้รับข่าวกรองว่า ซะการียา มูซาวีย์ หนึ่งในสมาชิกผู้ซึ่งปรากฎตัวในเหตุการณ์ 11 กันยา ได้ใช้เงิน 8 พันดอลลาร์ เพื่อเรียนขับเครื่องบิน ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 747 เสียด้วย และหน่วยข่าวกรองยังรายงานอีกว่า บุคคลผู้นี้ มีเป้าหมายเพื่อปล้นและระเบิดเครื่องบิน ในขณะมีการเรียกร้องให้สืบสวนเกี่ยวกับบุคคลต้องสงสัย โดยให้ทำการตรวจค้นที่พักอาศัยของ ซะการียา มูซาวีย์ แต่ท้ายที่สุด ก็ถูกปฏิเสธไปง่ายๆ

    โรว์ ลีย์ ยังได้เปิดโปงถึงการใช้วิธีการสกปรกของหน่วยงานภายใน ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ 11 กันยา บันทึก 13 หน้าที่ได้คัดลอกสำเนาจาก รอบเลต มูเลอร์ ประธานเอฟบีไอ โดยในบันทึกมีบทสนทนาว่า เอฟบีไอ “จงใจ” ที่จะหยุดความพยายามในการทำงานของพวกเขา ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะทำไปเพื่อปกป้องเหตุการณ์ 11 กันยา นิตยาสารไทมส์ก็ได้เปิดเผยรายละเอียดในบันทึกนี้ ในปี 2002 เช่นเดียวกัน โรว์ลีย์ ได้ให้การยืนยันว่า ถ้าหากสำนักงานของเขาอนุญาตให้เขาสืบสวนเรื่องนี้ เหตุการณ์11กันยา ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น หรืออาจจะยับยั้งมันได้

    ‪#‎ลำดับ4‬ – แบรดลีย์ แมนนิ่ง (Bradley Manning) : ทหารกองทัพสหรัฐ

    แมนนิ่ง คือ หนึ่งในทหารของกองทัพสหรัฐ ที่ได้ทำการเปิดโปงความลับชิ้นใหญ่เกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ ของกองทัพประเทศนี้ ซึ่งเขาได้มอบเอกสารลับให้เว็บไซต์วิกิลีกส์ ที่เขาสามารถเปิดโปงความลับเหล่านี้ได้ ก็เพราะเขาได้เก็บบันทึก และรวบรวมแฟ้มลับต่างๆนับเป็นพันๆ แฟ้ม แต่เดิม แมนนิ่ง เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเคยถูกส่งไปอิรัก ซึ่งข้อมูลส่วนมากก็ได้จากที่้นั่น ซึ่งในภายหลังเขาค่อยๆ ออกมาเปิดโปงความลับต่างๆของสหรัฐ ตัวอย่างข้อมูลที่แมนนิ่ง ได้นำออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ได้แก่

    -วิดิ โอลับ ที่เหล่าบุคคลผู้มีอิทธิพล กำลังหัวเราะขำขันกับการนั่งดูเฮลิคอปเตอร์อเมริกัน กำลังสังหารผู้คนหลายสิบคน อันได้แก่พลเรือนและผู้สื่อข่าว

    -แฟ้ม รายงานที่ชี้ถึงสถิติตัวเลขผู้ถูกสังเวยในอิรัก ในขณะที่กองทัพสหรัฐ มักจะอ้างโต้งๆ ว่า พวกเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสถิติพวกนี้ ซึ่งจากสถิติยอดผู้เสียชีวิตตลอดระยะเวลา 6 ปี คือ 109,000 คน ซึ่ง 66,081 คนเป็น พลเรือนที่ไม่มีอาวุธ

    -ทหารอเมริกันได้ทรมาน เหล่านักโทษสงครามชาวอิรัก มีการร้องเรียนมากกว่าร้อยครั้ง แต่วอชิงตันก็ไม่ได้สืบสวนการร้องเรียนเหล่านี้

    ภายหลัง แมนนิ่ง ถูกตั้งข้อหา ให้การช่วยเหล่าศัตรู และมีโทษ จำคุกตลอดชีวิต

    ‪#‎ลำดับ3‬ – รัสเซล ไทส์ : เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงแห่งชาติ

    ตามคำกล่าวของ รัสเซล ไทส์ อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งชาติ ระบุว่า “พวกเขาได้เก็บข้อมูลต่างๆของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น แฟกซ์ บทสนทนาทางโทรศัพท์ ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ ไม่สำคัญเลยว่า คุณจะอยู่ในภาคกลางของอเมริกาหรือไม่ หรือคุณจะไม่ติดต่อกับต่างประเทศ พวกเขามีข้อมูลของคุณทั้งหมด”

    ไทส์ เผยว่า มีคนหลายคนที่ได้ทำการบันทึกข้อมูลต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง และตลอด 7 วัน ซึ่งถึงแม้เราจะไม่รู้ว่า พวกเขาเอาข้อมูลเหล่านี้ไปทำอะไร แต่ก็มั่นใจได้เลยว่า ข้อมูลเหล่านี้ ถูกบันทึกไว้ในสถานีอย่างแน่นอน

    ‪#‎ลำดับ2‬ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน : เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ

    ชื่อนี้ เป็นชื่อ เรามักจะคุ้นหู ถึงบทบาทการของนายคนนี้เกี่ยวกับการออกมาเปิดโปงความลับของสหรัฐ โดยเขาได้เปิดโปงปฏิบัติการและโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลสหรัฐและอังกฎษ ได้อนุมัติและกระทำ โดยละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน การเปิดโปงของสโนว์เดน ทำให้เกิดกระแสการตื่นตัวของประชาชนมากยิ่งขึ้น และทำให้ประชาชนได้เข้าใจว่า รัฐบาลสหรัฐเข้ามายุ่งเกี่ยวและสอดแนมชีวิตของแต่ละคนมากน้อยแค่ไหน โดยข้อมูลบางส่วนที่สโนว์เดน ได้ออกมาเปิดโปง และส่งผลกระทบอย่างมากมาย มีตัวอย่างดังต่อไปนี้

    -คำ สั่งจากศาลให้ทำการเฝ้าระวังข้อมูลภายนอก ซึ่งเป็นโครงสร้างในการนำเสนอโครงการ metadata บทสนทนต่างๆ ทางโทรศัพท์มือถือทุกๆ การสนทนาของประชาชนจะถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด

    -โครงการสอดแนม PRISM เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคง สามารถที่จะเข้าไปขโมยอีเมลต่างๆ ทางอินเตอร์เน็ตของประชาชนทุกๆ คน

    -การแฮกข้อมูลต่างๆ ทางคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัย และบริษัทต่างๆ

    ใน ปี 2013 สโนเดน ต้องหลบหนีอยู่ตลอดเวลา จากประเทศหนึ่งสู่ประเทศหนึ่ง เพื่อหาที่ลี้ภัย หรือประเทศที่จะไม่ส่งตัวเขาให้กับสหรัฐ ซึ่งถ้าหากเขาเดินทางกลับสหรัฐเมื่อไหร่ เขาจะถูกตั้งข้อหาอย่างมากมาย หลายกระทง อาทิ การเผยแพร่ข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ประชาชนส่วนมากชาวอเมริกัน ถือว่า สโนเดน คือ จอมแฉที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา

    ‪#‎ลำดับ1‬ ปีเตอร์ เบิรกซ์ตัน

    ความไม่เป็นธรรม และการจารกรรมข้อมูลของสหรัฐ ที่ได้กระทำกับประชาชนคนธรรมดา ดำเนินไปถึงขั้นที่เป็นไปได้ว่า พวกเขาสามารถที่เปลี่ยนให้มนุษย์เป็นคนจน หรือคนป่วยได้ จากการทดลอง ขององค์กรดังกล่าว

    Cr. 10 ลำดับชาวอเมริกันจอมแฉ ที่เปิดโปงความความชั่วของรัฐบาลสหรัฐ | abnewstoday
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    ... ชาว"ออสเตรีย" 260,000 คนร่วมลงชื่อ เพื่อขอให้รัฐสภาอนุมัติให้ออกการทำประชามติ เพื่อโหวตในการ "ออกจากสหภาพยุโรป" หรือไม่? ... นอกจากออสเตรียที่ถือว่าเป็นประเทศที่รวยอันดับที่ 11 ถ้านับตาม GDP และมีอัตราการว่างงานแค่ 4.3% ที่อยากออกจากสหภาพยุโรปแล้ว ยังมี "อังกฤษ" ที่มีแผนจะทำประชามติเพื่อออกจากสหภาพยุโรปในปี 2017 ด้วยเช่นกัน

    http://rt.com/news/271279-austria-petition-eu-exit/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อัลเฮาซี : "เขาของมาร (ชัยฏอน) เป็นผู้รับใช้อเมริกาและอิสราเอล"
    Category: News & Event Published on Saturday, 04 July 2015 01:44 Written by Islamicstudiesth Team.

    [​IMG]

    ผู้นำอันซอรุลลอฮ์แห่งเยเมนได้เรียกร้องกองทัพและคณะกรรมการประชาชนให้มีความอดทนและยืนหยัดในการเผชิญกับการโจมตีของ "บรรดาอำนาจที่เป็นอาชญากร"

    อัลอาลัมรายงานว่า "อับดุลมาลิก อัลเฮาซี" ในสาส์นที่ส่งถึงกองทัพและคณะกรรมการประชาชนของเยเมนได้กล่าวว่า : เขาของซาตาน (ซาอุดิอาระเบีย) เป็นผู้รับใช้อเมริกาและอิสราเอล และเป็นหุ่นเชิดที่อยู่ในมือของพวกเขา และไม่ให้ความเคารพใดๆ ต่อสิทธิของประเทศเพื่อนบ้านและพยายามที่จะยังอันตรายต่อประเทศ

    เขากล่าวเสริมว่า : บทบาทของอิสราเอลในการรุกรานนี้ เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาของชัยฏอน (ซาตาน) นั้นเป็นที่ชัดเจน

    อัลเฮาซีได้ย้ำว่า : เยเมนจะไม่ปราชัย และศัตรูได้ปราชัยแล้วในความพยายามที่จะทำให้ประชาชนเยเมนกลายเป็นทาสของตน

    เขากล่าวไปยังกองกำลังของเยเมนว่า : พวกท่านกำลังปกป้องประชาชนชาวมุสลิมและผู้ถูกกดขี่

    ผู้นำอันซอรุลลอฮ์กล่าวว่า : พวกท่านจงร่วมมือกันและจงยืนหยัดอย่างมั่นคงและจงอดทนในการเผชิญหน้ากับปัญหาอุปสรรคและความยากลำบากทั้งหลาย

    อัลเฮาซีได้กล่าวเสริมว่า : เพื่อที่จะจัดการกับอำนาจอาชญากรทั้งหลายนั้นจำเป็นต้องมีความมั่นคงและจะต้องร่วมมือกันและจะต้องระวังจากการพิพาทและความขัดแย้งทั้งมวล

    เขากล่าวย้ำว่า : การต่อสู้วันนี้ในความเป็นจริงแล้วคือการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและเพื่อเผชิญหน้ากับบรรดาผู้ที่ต้องการดึงประชาชนไปสู่ความเป็นทาส


    ที่มา : fa.alalam


    อัลเฮาซี : "เขาของมาร (ชัยฏอน) เป็นผู้รับใช้อเมริกาและอิสราเอล"
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กองทัพเยเมน ยึดฐานทหารรับจ้างซาอุฯ ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด "เอเดน"
    Category: News & Event Published on Saturday, 04 July 2015 05:26 Written by Islamicstudiesth Team.

    [​IMG]

    กองทัพและคณะกรรมการประชาชนของเยเมนสามารถควบคุมค่ายทหาร "บีร อะห์มัด" ในจังหวัด "เอเดน" ได้แล้ว

    สำนักข่าวฟาร์สรายงานว่า กองทัพและคณะกรรมการประชาชนของเยเมนประสบความสำเร็จในการยึดค่ายทหาร "บีร อะห์มัด" ในจังหวัด "เอเดน" กลับคืนมาได้แล้ว

    เว็บไซต์ข่าว "เยเมนเพรส" ได้รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวทางทหารว่า ค่ายทหาร "บีร อะหฺมัด" ซึ่งก่อนหน้านี้มีชื่อว่า "คอลิด บินวะลีด" เป็นฐานทหารที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มอัลกออิดะฮ์และทหารรับจ้างของซาอุดีอาระเบีย ในฐานนี้มีรถถังมากกว่า 95 คันและอาวุธหนักอื่นๆ

    ตามการรายงานของแหล่งข่าวนี้ ขณะนี้กองกำลังของกองทัพและคณะกรรมการประชาชนของเยเมนยังคงรุกคืบต่อไปในเขตพื้นที่ "บีร อะห์มัด" และได้กวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์ ซึ่งอาศัยอาคารต่างๆ เป็นแหล่งรวมตัวจำนวนมาก

    ในอีกด้านหนึ่ง กองทัพเยเมนยังรุกคืบไปในพื้นที่ "อัลกะราอ์" ต่อไป และได้ผลักดันกลุ่มอัลกออิดะฮ์ให้ถอยร่นออกจากพื้นที่นี้

    รายงานต่างๆ ที่ได้รับจากเยเมน ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์และซาอุดีอาระเบียกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และกำลังหลบหนีออกจากพื้นที่นี้อย่างผิดปกติ

    ที่มา : farsnews

    กองทัพเยเมน ยึดฐานทหารรับจ้างซาอุฯ ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด "เอเดน"
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การนมาซวันศุกร์ร่วมกันระหว่างชีอะฮ์และซุนนีโดยการเข้าร่วมของประมุขคูเวต + ภาพ Category: News & Event Published on Saturday, 04 July 2015 06:11 Written by Islamicstudiesth Team.

    [​IMG]

    การนมาซวันศุกร์ร่วมกันระหว่างชีอะฮ์และซุนนีชาวคูเวตโดยการเข้าร่วมของประมุขคูเวต โดยมีเป้าหมายเพื่อเน้นย้ำเอกภาพและความสามัคคีระหว่างชาวชีอะฮ์และชาวซุนนี

    สำนักข่าวตัสนีมรายงานโดยอ้างที่มาจากสื่อต่างๆ ของคูเวตว่า วันนี้ (วันศุกร์ 3/7/58) ชาวชีอะฮ์และชาวซุนนีของคูเวตได้จัดนมาซญุมอะฮ์ร่วมกันในมัสยิดใหญ่ของประเทศนี้

    ตามรายงานนี้ ประมุขของคูเวตได้เข้าร่วมนมาซวันศุกร์ครั้งนี้ด้วย

    ชาวชีอะฮ์และชาวซุนนีของคูเวต ได้จัดนมาซวันศุกร์ร่วมกันในสัปดาห์นี้ เพื่อเน้นย้ำเอกภาพและความสามัคคีในการเผชิญหน้ากับแผนการต่างๆ ของต่างชาติ ในประเทศนี้

    การดำเนินการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ในการนมาซวันศุกร์ของสัปดาห์ที่ผ่านมาของคูเวต หนึ่งในผู้ก่อการร้ายระเบิดฆ่าตัวตายได้ระเบิดตัวเองในท่ามกลางบรรดาผู้นมาซชาวชีอะฮ์ในมัสยิดอิมามซอดิก (อ.) เป็นผลทำให้มีผู้เป็นชะฮีด (เสียชีวิต) จำนวน 27 คนและบาดเจ็บอย่างน้อย 202 คน

    หลังจากการสืบสวนกระทรวงมหาดไทยของคูเวตได้ประกาศว่า ตัวการในการระเบิดฆ่าตัวตายเป็นชาวซาอุดีอาระเบียและได้เดินทางผ่านสนามบินนานาชาติเข้าสู่ประเทศคูเวต 8 ชั่วโมงก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ระเบิด


    ที่มา : tasnimnews

    การนมาซวันศุกร์ร่วมกันระหว่างชีอะฮ์และซุนนีโดยการเข้าร่วมของประมุขคูเวต + ภาพ
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทัพซีเรีย-กลุ่มฮิซบอลเลาะห์เปิดศึกใหญ่ชิง “เมืองชายแดนติดเลบานอน” จากกลุ่มกบฏ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2558 18:22 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ – กองทัพซีเรียและกลุ่มแนวร่วมฮิซบอลเลาะห์เปิดฉากจู่โจมครั้งใหญ่เพื่อชิงเมืองซาบาดานีของซีเรียที่ฝ่ายกบฏยึดครองอยู่ สถานีโทรทัศน์ของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ กลุ่มนิกายชีอะห์ในเลบานอน รายงานในวันนี้ (4)

    สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ระบุว่า กองทัพซีเรียและพันธมิตรใช้ทั้งปืนใหญ่และการโจมตีอากาศเพื่อยึดเมืองนี้ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงของซีเรียไปทางตะวันตกเฉียงเหนือใกล้กับพรมแดนติดเลบานอน จากสถานีโทรทัศน์ช่องนี้เผยให้เห็นกลุ่มควันไฟก้อนใหญ่พวยพุ่งขึ้นมาจากเมืองดังกล่าว

    กองทัพซีเรียกับกลุ่มฮิซบอลลเลาะห์พยายามที่จะแย่งชิงเมืองซาบาดานีจากลุ่มติดอาวุธสายสุหนีมานานแล้ว เมืองแห่งนี้อยู่ใกล้กับทางหลวงเบรุต-ดามัสกัส ซึ่งเชื่อม2 ประเทศเข้าด้วยกัน และการยึดเมืองนี้จะถือเป็นผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับรัฐบาลของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด

    อดีตเมืองตากอากาศยอดนิยมแห่งนี้คือหนึ่งในที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มกบฏที่อยู่เลียบแนวพรมแดนดังกล่าว มันเป็นส่วนหนึ่งของของเส้นทางเสบียงที่สำคัญ ซึ่งซีเรียเคยใช้ส่งอาวุธให้กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก่อนความขัดแย้งในซีเรียจะปะทุขึ้น สงครามกลางเมืองนาน 4 ปีนี้ก่อให้เกิดความรุนแรงในเลบานอนอยู่บ่อยครั้ง

    กองทัพซีเรียและกลุ่มนักรบนิยมรัฐบาลมักปะทะกับกลุ่มกบฏในพื้นที่ดังกล่าวที่เต็มไปด้วยภูเขาทางเหนือของกรุงดามัสกัส พวกกลุ่มกบฏในพื้นที่นี้มีกลุ่มอัลนุสราฟรอนท์สาขาของกลุ่มอัลกออิดะห์ในซีเรียรวมอยู่ด้วย

    กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งมีอิหร่านคอยหนุนหลังและกำลังสู้รบกับพวกกลุ่มติดอาวุธในซีเรียเคียงข้างกองทัพซีเรีย ได้ยกระดับการโจมตีด่านหน้าของพวกกบฏตามแนวภูเขากอลามุนที่คร่อมพรมแดนเลบานอน-ซีเรียในช่วงไม่กี่เดือนมานี้

    การประกาศเริ่มต้นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่เพื่อชิงเมืองซาบาดานีของกองทัพซีเรียและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ถูกคาดหมายเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้

    พวกกบฏเผยว่า พวกเขาวางกับระเบิดไว้รอบเมืองนี้ ซึ่งเป็นทะเลทรายเกือบทั้งหมด และเตรียมการรับมือการจู่โจมดังกล่าวมาอย่างดี

    กองทัพซีเรียกำลังสู้รบอยู่ที่แนวหน้าอื่นๆ อีกหลายแห่ง และกำลังทำศึกกับพวกกบฏรอบเมืองเดราอาทางใต้ ตลอดจนเมืองอเลปโปทางเหนือ อีกทั้งกำลังต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) เนื่องจากนักรบญิฮาดกลุ่มนี้พยายามที่จะยึดพื้นที่ในเมืองฮาซากาทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ฝ่ายรัฐบาลครอบครอง


     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาหลีใต้ระบุมีผู้ติดเชื้อ “เมอร์ส” จากโรงพยาบาลซัมซุงเพิ่มอีกรายแล้ว
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2558 13:50 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – รัฐบาลเกาหลีใต้แถลงในวันนี้ (4) ว่า มีแพทย์ติดเชื้อไวรัสกลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (เมอร์ส) เพิ่มอีกหนึ่งรายแล้วที่โรงพยาบาลของเครือบริษัทซัมซุง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้

    แพทย์หญิงวัย 25 ปีรายนี้ที่ศูนย์การแพทย์ซัมซุงนับเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวรายที่ 187 ในแดนกิมจิ

    ผู้ติดเชื้อรายแรกของประเทศนี้ถูกวินิจฉัยพบเชื้อเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดที่ใหญ่ที่สุดของเชื้อไวรัสชนิดนี้นอกซาอุดีอาระเบีย กระทรวงสาธารณสุข ระบุ

    90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันแล้วทั้งสิ้น 185 รายมาจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่แห่งนี้ที่ดำเนินงานโดยกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ซัมซุง

    เมื่อรวมแพทย์หญิงรายนี้ด้วยแล้ว จำนวนเรวมของแพทย์ที่ติดเชื้อที่โรงพยาบาลนี้จะอยู่ที่ 13 ราย

    หลังจากที่ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่นาน 4 วัน เมื่อวันพฤหัสบดี (2) และวันศุกร์ (3) พยาบาล 2 คนที่โรงพยาบาลแห่งนี้ถูกยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 183 และ 184 ตามลำดับ

    หน่วยงานด้านสาธารณสุขได้มีคำสั่งในทันทีให้เคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อ 12 ใน 15 คนที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ไปยังโรงพยาบาลแห่งอื่น

    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการตบหน้าศูนย์การแพทย์ซัมซุงอีกฉาดหนึ่ง หลังจากที่หลายตึกของโรงพยาลแห่งนี้ถูกสั่งปิด ยกเว้นแต่ตึกที่ถูกสงวนไว้ให้กับผู้ติดเชื้อ 15 คนดังกล่าว

    ยอดผู้เสียชีวิตยังคงเดิมอยู่ที่ 33 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตมาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน

    จากผู้ที่ถูกวินิจฉัยพบว่าติดเชื้อไวรัสเมอร์สทั้งหมด 185 ราย 41 รายยังคงอยู่ที่โรงพยาล ในจำนวนนี้ 11 รายมีอาการอยู่ในขั้นวิกฤติ


     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    ปูตินบอกโอบามา “ความสัมพันธ์รัสเซีย-สหรัฐฯ” คือสิ่งค้ำจุนเสถียรภาพโลก
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2558 19:33 น.

    รอยเตอร์ – ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียกล่าวในวันนี้ (4) ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกและวอชิงตันคือสิ่งสำคัญที่จะรับประกันเสถียรภาพของโลก พร้อมเรียกร้องให้มีการเจรจาโดยยึดหลัก “ความเท่าเทียมและความเคารพ”

    ในข้อความถึงประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯเนื่องในวันชาติของแดนอินทรี ปูติน กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและรัสเซียเป็น “ปัจจัยสำคัญในการรับประกันเสถียรภาพและความมั่นคงของโลก แม้ว่าทั้ง 2 ประเทศจะมีความแตกต่างกันก็ตาม”

    “รัสเซียและสหรัฐฯสามารถที่จะหาทางออกให้กับปัญหาระหว่างประเทศที่ยากจะแก้ไขที่สุดได้ และสามารถที่จะตอบโต้ภัยคุกคามและความท้าทายระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ” เขากล่าวในโทรเลข วังเครมลินเผย

    สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วย “การสร้างการเจรจาบนหลักการของความเท่าเทียมและการเคารพในผลประโยชน์ของอีกฝ่าย” ข้อความดังกล่าว ระบุ

    รัสเซียใช้คำพูดโจมตีสหรัฐฯมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ที่ความขัดแย้งในยูเครนเริ่มต้นขึ้น และอ้างว่าการที่ตะวันตกคว่ำบาตรมอสโคจากบทบาทของพวกเขาในความขัดแย้งดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่สหรัฐฯกดดันบรรดาประเทศสหภาพยุโรป (อียู)

    เมื่อเดือนที่แล้ว นิโคไล ปาตรูเชฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงของ ปูติน อ้างว่า สหรัฐฯต้องการที่ทำลายรัสเซีย

    กลุ่มผู้กุมอำนาจทางทหารของรัสเซียเฝ้าจับตาการวางกำลังขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในยุโรปตะวันออก ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุดต่อความมั่นคงของประเทศ

    อย่างไรก็ตาม ปูติน ยังได้ติดต่อกับ โอบามา เพื่อหารือเรื่องภัยคุกคามการก่อการร้ายโดยเฉพาะจากกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)

    ปูติน ได้มอบหมายให้ เซียเกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียปรึกษาหารือกับ จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯเรื่องยุทธศาสตร์ต่อต้านการก่อการร้ายร่วมกัน

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รมว.คลังกรีซโวยสื่อดังอังกฤษ “ปล่อยข่าวมั่ว” หลังแฉชาวกรีซจะถูก “ยึดเงินฝาก 30%” มากู้วิกฤตธนาคาร โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2558 08:37 น. (แก้ไขล่าสุด 4 กรกฎาคม 2558 16:38 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - ยานิส วารูฟากิส รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกรีซ ออกมาประณามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สของอังกฤษว่าเป็นความพยายาม “ปล่อยข่าวโจมตี” หลังระบุว่าพลเมืองกรีซเสี่ยงถูกยึดเงินในบัญชีธนาคารถึง 30% เพื่อนำไปกอบกู้สถานะธนาคารในประเทศ

    “รายงานของไฟแนนเชียลไทม์สเรื่องการอุ้มธนาคารกรีซเป็นข่าวลือจากผู้ไม่หวังดี ซึ่งประธานสมาคมธนาคารกรีซได้ออกมาปฏิเสธแล้วเมื่อเช้านี้” วารูฟากิส เผยผ่านสื่อทวิตเตอร์เมื่อวานนี้ (3 ก.ค.)

    หนังสือพิมพ์ธธุรกิจรายวันฉบับนี้ได้อ้างแหล่งข่าวนายธนาคารและนักธุรกิจซึ่งระบุว่า ชาวกรีซที่มีเงินฝากในบัญชีเกินกว่า 8,000 ยูโรอาจถูกรัฐยึดเงินบางส่วน ตามมาตรการ “แฮร์คัต” อย่างที่พลเมืองไซปรัสก็เคยโดนมาแล้วเมื่อปี 2013 โดยเป็นการบังคับยึดเงินทุนที่ไม่ได้รับความคุ้มครองเพื่อนำมาเสริมเสถียรภาพแก่ระบบธนาคาร

    “การยึดเงินฝากจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปโครงสร้างธนาคาร หลังจากที่กรีซตกลงยอมรับแพ็กเกจเงินช่วยเหลืออีกครั้ง” แหล่งข่าวผู้หนึ่งเผย

    ธนาคารกรีซทั่วประเทศปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (29 มิ.ย.) และเสี่ยงที่จะถูกธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) ประกาศให้เข้าสู่ภาวะล้มละลาย หากรัฐบาลกรีซไม่ยอมชำระหนี้ค้าง

    นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซีปราส ประกาศจัดทำประชามติชี้ชะตาในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ค.) เพื่อให้ชาวกรีซได้ตัดสินใจว่า พวกเขาจะยอมกลืนเลือดรับแผนปฏิรูปการคลังอย่างเข้มงวดเพื่อแลกเงินกู้งวดใหม่จากองค์กรเจ้าหนี้ “ทรอยกา” คือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ), คณะกรรมาธิการยุโรป และอีซีบี หรือไม่

    ซีปราส ยังคงรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันโหวต “โน” ทั้งที่ผู้นำอียูเตือนแล้วว่า ผลประชามติเช่นนั้นอาจทำให้กรีซต้องหลุดออกจากยูโรโซน

    “นี่ไม่ใช่แค่การตัดสินใจว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปหรือไม่เท่านั้น แต่เป็นการเลือกที่จะอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในยุโรปหรือไม่ด้วย” ซีปราส แถลงต่อผู้สนับสนุนโหวต “โน” ราว 25,000 คนที่ด้านหน้าอาคารรัฐสภา

    “ผมขอให้ท่านโหวตโนต่อเงื่อนไขเหล่านั้น และจงหันหลังให้กับใครก็ตามที่ข่มขู่คุกคามชีวิตท่าน” ผู้นำกรีซวัย 40 ปีกล่าว

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    น่าสงสารคุณลุงกรีซคนนี้มากครับ เห็นภาพนี้แล้ว ผมอยากให้วิกฤตในกรีซผ่านไปด้วยดี ขอให้ประเทศในยูโรที่ทำตัวเป็นเจ้าหนี้เงินโหดจงพบสภาพเดียวกับที่ทำกับกรีซ ที่ทำให้คุณลุงคนนี้ต้องพบสภาพนี้น่ะครับ
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พรุ่งนี้เรามาช่วยส่งใจกัน ขอให้กรีซเลือกทางที่ดีกับชีวิตประชาชนชาวกรีซน่ะครับ

    Weekend Focus : ทั่วโลกเฝ้าลุ้น บทสรุปมหากาพย์หนี้กรีซจะอยู่หรือไปใน “ยูโรโซน” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2558 08:08 น.

    [​IMG]

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาวิกฤตหนี้สิน รวมถึงสถานะทางเศรษฐกิจที่ร่อแร่เจียนอยู่เจียนไปของ “กรีซ” อดีตดินแดนแห่งอารยธรรมที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นเสมือนศูนย์กลางของโลกใบนี้ ได้กลายเป็นข่าวเด่นประเด็นร้อนที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงกันด้วยความกังวลใจมากที่สุดข่าวหนึ่งในรอบกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะในแง่ของความเสียหายต่อตลาดเงิน-ตลาดทุนของประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงไทย

    ตลอดระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์มานี้ แทบไม่มีเรื่องดีๆ เกี่ยวกับกรีซให้สื่อมวลชนได้เขียนถึงกันมากนัก และเมื่อวันอังคารที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา “ที่สุดของข่าวร้าย” ก็ถาโถมเข้าโจมตีกรีซอีกจนได้ นั่นคือ ข่าวเศร้าที่กรีซมีอันต้องถูกจารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลกว่า เป็นประเทศพัฒนาแล้วชาติแรกในประวัติศาสตร์ที่ “ผิดนัดชำระหนี้” ต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หลังไม่สามารถจ่ายคืนหนี้สินจำนวน 1,500 ล้านยูโร (ราว 50,680 ล้านบาท) ที่ครบกำหนดชำระคืนไปเมื่อเวลา 05.00 น.ของวันพุธตามเวลาประเทศไทย

    ที่ผ่านมา รัฐบาลฝ่ายซ้ายของกรีซภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซีปราสและกลุ่มการเมือง “ซีริซา” ได้พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อทาบทามเหล่าเจ้าหนี้นานาชาติจนถึงในนาทีสุดท้าย เพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงินในวันอังคาร (30 มิ.ย.) แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องกรีซจากการกลายเป็นประเทศพัฒนาชาติแรกที่ต้องผิดนัดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟนำมาซึ่งความโกลาหลทางการทูตและภาวะตื่นตระหนกตกใจของบรรดานักลงทุนทั้งรายใหญ่รายย่อยทั่วโลก ที่ต่างไม่คาดคิดว่าการเจรจารอบแล้วรอบเล่าระหว่างกรีซและเจ้าหนี้ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 เดือนจะจบลงแบบพังครืนไม่เป็นท่า และปราศจากข้อสรุปที่เป็นชิ้นเป็นอัน

    ด้านหนังสือพิมพ์ “Süddeutsche Zeitung” ของพวกเสรีนิยมหัวก้าวหน้าและพวกกลุ่มการเมืองสายกลาง-ซ้ายซึ่งมีฐานอยู่ที่นครมิวนิคของเยอรมนี เปิดเผยข้อมูลซึ่งอ้างเอกสารลับของรัฐบาลเยอรมนี ที่ระบุว่า ในความเป็นจริงแล้ว ภาวะหนี้สินของกรีซนั้นสูงลิ่วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิดเอาไว้ถึงขั้นที่ว่าเมื่อถึงปี ค.ศ. 2030 ยอดหนี้สินของกรีซในเวลานั้นก็จะยังคงพุ่งสูงถึงระดับ 118 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเลยทีเดียว ถึงแม้ว่ากรีซจะยอมถอยด้วยการรับข้อเรียกร้องทั้งหมดของเจ้าหนี้ 3 ฝ่าย (ทรอยกา) ที่ประกอบด้วยสหภาพยุโรป (อียู), กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)

    ในเวลานี้กรีซซึ่งต้องแบกรับตัวเลขหนี้สินที่มีสัดส่วนสูงถึง 175 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพีถูกมองว่า กำลังนับถอยหลังสู่การก้าวออกจากกลุ่มยูโรโซนหรือกลุ่ม 19 ประเทศในยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน แต่นั่นก็ถือเป็นผลโดยตรงจากความไร้วินัยทางการเงินการคลังของกรีซตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

    ด้านผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดที่จัดทำและเผยแพร่ในกรีซเมื่อ 1 ก.ค. ระบุว่า ประชาชนชาวกรีกส่วนใหญ่จะโหวต “โน” ไม่เอาแผนปฏิรูปรับเงินช่วยเหลือจากองค์กรเจ้าหนี้ทรอยกาในการทำประชามติครั้งประวัติศาสตร์ ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ (5 ก.ค.)

    โดยผลสำรวจความคิดเห็นซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 มิ.ย. และเผยแพร่เมื่อ 1 ก.ค.ทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งของกรีซ พบข้อมูลว่า ชาวกรีก 54 เปอร์เซ็นต์ ที่จะออกไปใช้สิทธิลงประชามติในวันอาทิตย์นี้ “ไม่เห็นด้วย” กับการยอมรับเงื่อนไขปฏิรูปที่พวกเจ้าหนี้เสนอมา ขณะที่อีก 33% คิดว่ากรีซควรกัดฟันยอมรับเงื่อนไขสุดโหดของเจ้าหนี้ เพื่อความอยู่รอด

    อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจในช่วงก่อนและหลังจากที่รัฐบาลกรีซได้ประกาศใช้มาตรการควบคุมเงินทุน และปิดสถาบันการเงินทั่วประเทศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (28 มิ.ย.) พบว่า ช่องว่างระหว่างกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเริ่มจะ “ลดน้อยถอยลง” โดยกลุ่มตัวอย่างชาวกรีก 57 เปอร์เซ็นต์ ที่ตอบคำถามก่อนที่รัฐบาลเอเธนส์จะสั่งปิดธนาคาร ระบุว่าพวกเขาจะโหวต “โน” ในขณะที่ผู้โหวต “เยส” มีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

    แต่หลังจากที่มีการสั่งปิดธนาคารและจำกัดการถอนเงิน กลุ่มที่จะโหวต “โน” ลดลงมาเหลือ 46 เปอร์เซ็นต์แต่พวกที่คิดจะโหวต “เยส” กลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 37 เปอร์เซ็นต์

    แต่ถึงกระนั้น กระแสโหวต “โน” ยังถือว่าค่อนข้างมาแรงในกลุ่มพลเมืองกรีกที่ว่างงาน (62%) และในภาพรวมประชาชนทุกกลุ่มอาชีพก็ยังพบว่ามีผู้จะโหวต “โน” มากกว่า “เยส” ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ คนวัยเกษียณที่รับเงินบำนาญ พนักงานบริษัทเอกชน รวมถึงแม่บ้าน

    ล่าสุดมีรายงานว่า ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังยูโรโซน (ยูโรกรุ๊ป) ออกโรงเตือนว่าจะยอมเจรจาคำร้องขอเงินกู้ยืมใหม่หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลประชามติในกรีซ 5 ก.ค.นี้ว่า ชาวกรีกจะยอมรับข้อตกลงช่วยเหลือตามเงื่อนไขของเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ หรือไม่ เพราะหากชาวกรีกส่วนใหญ่โหวต “โน” ก็คงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่ฝ่ายเจ้าหนี้จะช่วยเหลือกรีซต่อไป

    แต่ในทางกลับกัน หากชาวกรีกโหวต “เยส” บรรดาเจ้าหนี้ก็จะได้ชัยชนะ และรัฐบาลฝ่ายซ้ายที่นำโดยนายอเล็กซิส ซีปราสก็จะต้องกระเด็นจากอำนาจ ซึ่งจะช่วยให้ฝ่ายเจ้าหนี้กลับมาเป็นผู้กุมอำนาจในการเจรจา และเป็นผู้กุมชะตากรรมของชาวกรีก 10.8 ล้านคนทั่วประเทศไว้ในกำมือ และคงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ชะตากรรมของประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างกรีซอาจมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากวันที่ 5 ก.ค.นี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดกันต่อไป


    Weekend Focus :
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ระเบิดกลางมัสยิดในซีเรีย คร่า “สมาชิกอัลกออิดะห์” ดับอย่างน้อย 25 ราย
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2558 10:11 น. (แก้ไขล่าสุด 4 กรกฎาคม 2558 16:39 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - เกิดเหตุระเบิดกลางมัสยิดแห่งหนึ่งในเมืองอารีฮา (Ariha) ทางตอนเหนือของซีเรีย ระหว่างที่ผู้ศรัทธาชาวมุสลิมกำลังประกอบพิธีละหมาดในเดือนรอมฎอน ทำให้สมาชิกและแกนนำเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ในซีเรียเสียชีวิตรวม 25 คน

    รามี อับเดล ราห์มาน ผู้อำนวยการศูนย์สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียซึ่งมีฐานในกรุงลอนดอน ระบุวานนี้ (3 ก.ค.) ว่า ยอดเสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบศพ เนื่องจากมีพลเรือนทั่วไปอยู่ในมัสยิดเป็นจำนวนมากเพื่อประกอบพิธีละหมาดหลังละศีลอด

    “สมาชิกกลุ่มติดอาวุธ อัล-นุสรรา ฟรอนท์ รวมถึงแกนนำ 1 คนของพวกเขา เสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่มัสยิดในเมืองอารีฮา จังหวัดอิดลิบ” ศูนย์สังเกตการณ์ระบุ สำหรับต้นตอของการระเบิดยังไม่ทราบแน่ชัด

    ด้านคณะกรรมการกลางปฏิวัติซีเรีย (Syrian Revolution General Commission) ซึ่งเป็นเครือข่ายนักเคลื่อนไหว ระบุว่า “เวลานั้นมีประชาชนหลายร้อยคนไปชุมนุมกันที่มัสยิดซาเล็มทางตะวันตกของเมืองอารีฮา เพื่อละศีลอดและประกอบพิธีละหมาด แต่ก็มาเกิดระเบิดขึ้น”

    นักเคลื่อนไหวกลุ่มนี้ยืนยันว่ามีพลเรือนเสียชีวิตด้วย แต่ไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

    พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดอิดลิบยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกบฏซีเรีย หลังกลุ่มต่างๆ ที่ต่อต้านรัฐบาล บาชาร์ อัล-อัสซาด รวมถึง อัล-นุสรา ฟรอนท์ ได้ผนึกกำลังขับไล่ทหารซีเรียออกไป

    การชุมนุมขับไล่ประธานาธิบดีอัสซาด เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2011 ซึ่งลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ได้คร่าชีวิตพลเมืองซีเรียไปแล้วกว่า 230,000 คน และทำให้กองกำลังของรัฐบาลดามัสกัส เครือข่ายกบฏ และกลุ่มนักรบญิฮาดต้องจับอาวุธห้ำหั่นกันเรื่อยมา


     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    InPics & Clips : โพลประชามติกรีซสุดสูสีไม่รู้ออกหัวหรือก้อย สองฝ่ายชุมนุมแสดงพลังก่อนถึงวันชี้ชะตา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2558 02:30 น.

    [​IMG]
    @นายอเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ ขึ้นเวทีของผู้สนับสนุนโหวตโน ประชามติข้อตกลงช่วยเหลือตามเงื่อนไขของเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ ที่รวมตัวกันหน้ารัฐสภาในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ

    เอเอฟพี - นายอเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐมนตรีกรีซเมื่อวันศุกร์(3ก.ค.) เรียกร้องผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเมินข่าวปล่อยที่หวังกระพือความตื่นตระหนกของสหภาพยุโรปและโหวต "โน" ประชามติข้อตกลงช่วยเหลือตามเงื่อนไขของเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ ที่โพลล่าสุดพบเสียงสนับสนุนแกว่งไปทาง "เยส" มากกว่าเล็กน้อย ขณะที่สองฝ่ายความคิดเห็นต่างออกมาชุมนุมแสดงในเมืองหลวง ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่จะใช้สิทธิ์ในสุดสัปดาห์นี้

    ชาวกรีซจำนวนมาก ที่ต้องเดือดร้อนจากมาตรการควบคุมเงินทุน ซึ่งจำกัดการถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มไม่เกิน 60 ยุโรต่อวัน เริ่มกังวลมากขึ้น เมื่อเหล่าผู้นำอียูเตือนว่าการโหวต "โน" หมายถึงกรีซอาจต้องออกจากยูโรโซน และความรู้สึกดังกล่าวก็เข้าสู่ภาวะวิกฤตมากขึ้น หลังกองทุนการเงินระหว่างประเทศประกาศว่ากรีซกลายเป็นชาติพัฒนาแล้วชาติแรกซึ่งผิดนัดชำระหนี้พวกเขา

    อย่างไรก็ตามนายซีปราส ยืนกรานว่าการตัดสินใจหยุดเจรจาหนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วและประกาศลงประชามติไม่ได้หมายความว่าแยกตัวออกจากยุโรป ทั้งนี้เขาได้เรียกร้องเหล่าเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ ปรับโครงสร้างหนี้อันมโหฬาร 323,000 ล้านยูโร ด้วยการยกหนี้ให้ 30 เปอร์เซ็นต์และขอระยะเวลาระยะเวลาผ่อนผันปลอดดอกเบี้ย 20 ปี


    ในผลสำรวจความเห็นคิดล่าสุดของ 2 สำนักโพลที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์(3ก.ค.) พบว่าเสียงสนับสนุนของทั้งสองฝ่ายออกมาคู่คี่สูสีอย่างมาก โดยผลสำรวจของสถาบันอัลโค พบว่ามีชาวกรีก 44.8 เปอร์เซ็นต์ที่ตั้งใจโหวต "เยส" และ 43.4 เปอร์เซ็นต์ตั้งใจโหวต "โน" ส่วนผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมาเซโดเนียของกรีซที่เผยแพร่ผ่านบลูมเบิร์ก ออกมาเกือบเท่ากัน โดย 43 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าจะโหวต "โน" และโหวต "เยส" 42.5 เปอร์เซ็นต์

    ฌอง-โคลด จุงเกอร์ ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป เตือนว่าสถานะในการเจรจาของกรีซ ที่เดิมทีก็ห่างไกลจากจุดเข็มแข็งอยู่แล้ว จะอ่อนแอลงอย่างฉับพลันหากผลประชามติออกมาว่า "โน" และแม้กรณี "เยส" เป็นฝ่ายชนะ แต่การเจรจาที่ยากลำบากก็ยังรออยู่ข้างหน้า

    เจ้าหน้าที่ยูโรโซนยืนยันหนักแน่นต่อข้อตกลงกู้ยืมที่หมดอายุไปเมื่อวันอังคาร(30มิ.ย.) ในวันเดียวกับที่กรีซพลาดเส้นตายชำระคืนหนี้ 1,500 ล้านยูโรแก่ไอเอ็มเอฟ กลายเป็นชาติพัฒนาแล้วชาติแรกซึ่งผิดนัดชำระหนี้ และก็ดูเหมือนว่าในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ทาง เอเธนส์ คงจะไม่สามารถจ่ายหนี้ 3,500 ล้านยูโรคืนแก่ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) เช่นกัน

    ในช่วงค่ำวันศุกร์(3มิ.ย0.) สองฝ่ายที่เห็นต่างในศึกประชามติของกรีซ ต่างพากันออกมาเดินขบวนในกลางกรุงเอเธนส์ โดยตำรวจเผยว่าส่วนฝ่ายสนับสนุนโหวต "เยส" มีราว 20,000 คน ส่วนฝ่ายสนับสนุนโหวต "โน" มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเพิ่มเป็น 25,000 คนแล้วและนายกรัฐมนตรีซีปราส ก็ได้เดินทางไปร่วมด้วยท่ามกลางเสียงเชียร์อย่างบ้าคลั่งของฝูงชน

    ขบวนสนับสนุนโหวต "โน" รวมตัวกันบริเวณด้านหน้ารัฐสภา โดยมีนายซีปราส ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยด้วย ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีรายนี้เรียกร้องและเชื่อว่าประชาชนจะปฏิเสธข้อเสนอของเจ้าหนี้อย่างเด็ดขาด ซึ่งจะทำให้กรีซมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ส่วนฝ่ายโหวต "เยส" รวมตัวกันหน้าสนามกีฬาแห่งหนึ่งห่างออกไปราว 800 เมตร ตะโกนคำขวัญฝักใฝ่ยุโรปและเตือนว่าประชามติอาจทำให้กรีซต้องออกจากยูโร

    นายยานิส วารูฟาคิส รัฐมนตรีคลังกรีซบอกว่าเขาจะลงจากเก้าอี้หากว่าผลประชามติออกมา "เยส" และบ่งชี้ว่าคณะมนตรีที่เหลือในรัฐบาลจะทำแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตามนายซีปราส มีท่าทีคลุมเครือมาตลอด โดยบอกเพียงว่าเขาเคารพต่อผลประชามติและจะใช้มาตรการต่างๆที่จำเป็นตามกรอบรัฐธรรมนูญ

    InPics & Clips :
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นจริงหรือ?

    [​IMG]

    --------------
    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปอ่านเจอบทความหนึ่งจาก Sputnik news เกี่ยวกับเรื่อง WW3 เห็นว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะบางคนที่กำลังเกิดความวิตกกังวลว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆหรือ? เนื่องจากสื่อฯกระแสหลักของสหรัฐฯและตะวันตกมักเล่นข่าวชวนให้สังคมตกอยู่ในความหวาดกลัวอยู่บ่อยๆ จึงคิดว่าน่าจะเอามาแปลเล่าให้แฟนเพจได้อ่านกันบ้าง ไม่ใช่ว่าสนับสนุนหรืออยากให้มันเกิดขึ้นนะ แต่ต้องการให้รู้ทันเกมของมือที่มองไม่เห็นว่าเขากำลังคิดและวางแผนอะไร โดยมีจุดมุ่งหมายอะไรในการเดินเกมแบบนี้
    เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.58 ที่ผ่านมา Sputnik news พาดหัวข่าวเรื่องหนึ่งว่า "WW3 Inevitable? US Warmongering Rhetoric May Drag World Into War" แปลว่า "สงครามโลกครั้งที่ 3 เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จริงหรือ? วาทกรรมกระหายสงครามของสหรัฐฯอาจจะลากโลกนี้เข้าสู่สงครามก็ได้" และ Sputnik news ก็พาดหัวข่าวรองว่า "วาทะกรรมกระหายสงคราม (ปรารถนาสงคราม / warmongering rhetoric) ที่กำลังดังกระหึ่มอยู่ในตอนนี้ของสหรัฐฯและการดำเนินการต่อต้านรัสเซียกับจีนอาจจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งใหม่ นักข่าวฝ่ายสืบสวนของสหรัฐฯเน้นย้ำ และบอกว่ากรุงวอชิงตันเป็น 'อันธพาลโลก' (global bully)" (ว้าว! น่าสนใจใช่ไหมหละครับ?) แอ็ดมินจะแปลตามต้นฉบับไปให้เรื่อยๆก่อนนะครับ ถ้ามีเวลาหรือข้อคิดอะไรอาจจะเพิ่มเติมให้ในระหว่างแปลหรือในตอนท้ายของบทความก็ได้
    เมื่อเร็วๆนี้อเมริกาได้ประโคมวาทกรรมกระหายสงครามของตนต่อต้านกรุงปักกิ่งและกรุงมอสโควเป็นทวีคูณ ซึ่งเป็นการจุดชนวนความกังวลว่านโยบายด้านต่างประเทศของสหรัฐฯและนาโต้อาจจะดึงโลกนี้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สามก็ได้
    เพื่อตอบโต้คำพูดของนาย Antony Blinken รมช.ต่างประเทศของสหรัฐฯที่กล่าวหาทำให้รัสเซียและจีนได้รับความเสียหายว่าเป็นความพยายามฝ่ายเดียวและเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่แต่ฝ่ายเดียวในยูเครนตะวันออกและในทะเลจีนใต้นั้น Joachim Hagopian นักข่าวด้านสืบสวนสอบสวนของสหรัฐฯ ได้ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐฯได้กลายเป็นผู้รุกรานด้านกองทัพไปทั่วโลกมานานแล้ว (the United States has long been the global military aggressor)
    Mr. Hagopian ได้ให้สัมภาษณ์กับ Press TV ว่า "เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า ที่อเมริกากำลังวิพากษ์วิจารณ์จีนว่าเป็นผู้รุกราน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว นโยบายต่างประเทศของจักรวรรดิสหรัฐฯ (United States' empire) ได้กลายเป็นผู้รุกรานโลก และยึดครองทุกประเทศที่แสดงออกในลักษณะเป็นการแข่งขันใดๆ ในอ่าวทะเลทั้งการบุกรุกและครอบครอง และก่อสงครามในประเทศเหล่านั้น หรือโดยการใช้เล่ห์บอยคอตต์และแซงชั่นทางเศรษฐกิจ"
    กรุงวอชิงตอนออกมาวิจารณ์กรุงปักกิ่งเกี่ยวกับโครงการสร้างเกาะเทียมขึ้นในทะเลจีนใต้ และกล่าวอ้างว่าแฮ็คเกอร์จีนอยู่เบื้องหลังการโจมตีเซิร์ฟเวอร์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯทางไซเบอร์หลายครั้ง แต่กรุงวอร์ชิงตันไม่เคยที่จะแสดงหลักฐานที่น่าเชื่อถือใดๆเพื่อเป็นการยืนยันต่อข้อกล่าวหาเหล่านั้นออกมาเลย
    ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯก็หนุนหลัง (bolster) โฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองต่อต้านรัสเซีย (anti-Russian propaganda) อย่างเต็มที่ ที่เห็นได้ชัดก็คือมีการเสริมกำลังพลทางกองทัพของนาโต้ขึ้นมาในยุโรปตะวันออก
    ดูเหมือนว่าจักรวรรดิอเมริกา "กำลังเริ่มจะแตกสลายและอ่อนแอลงเรื่อยๆ (American empireis beginning to crumble and weaken) ในขณะที่รัสเซียและจีนกำลังจะสร้างระบบเศรษฐกิจและการเมืองขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง" นักข่าวสหรัฐฯคนนี้ได้กล่าวเพิ่มอีกว่า "สหรัฐฯได้กลายเป็นอันธพาลโลกมาเป็นเวลานานแล้ว และไม่ต้องการที่จะเล่นเป็นตัวสำรองในตอนนี้ (play second fiddle เป็นสำนวน idiom ไม่ได้แปลว่าเล่นไวโอลินมือสอง แต่แปลว่าเป็นมือสำรองหรือกินน้ำใต้ศอก)"
    สถานกาณ์ตึงเครียดมาก เนื่องจากจุดยืนของสหรัฐฯในปัจจุบันนี้คือการแสดงออกที่จะนำโลกเข้าสู่ความขัดแย้งทั่วโลกอีกรอบ นาย Hagopian เน้นย้ำว่า "มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของสหรัฐอเมริกาที่กลายเป็นผู้รุกรานทางกองทัพไปทั่วโลก ดังนั้นพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ต่างก็มีความหวาดกลัวและความกังวลใจกันว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 (คงจะ) ไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ แต่ดูเหมือนว่ามันกำลังมุ่งหน้าไปในทางที่อยู่บนวาทกรรมนั้น ซึ่งพวกเรากำลังได้ยินโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัฐบาลของอเมริกา"
    นี่เป็นบทวิเคราะห์ การปั่นกระแสความหวาดกลัวสงครามโลกครั้งที่สามว่าอาจจะเกิดขึ้น ที่ปล่อยข่าวทำนองนี้ออกมาจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อมุ่งหวังประโยชน์บางอย่างโดยยกเอากรณีของรัสเซียและจีนมาเป็นข้ออ้างให้ฟังดูน่ากลัวและ พยายามที่จะทำให้ผู้คนทั่วโลกว่า มีโอกาสที่มหาอำนาจจะก่อสงครามโลกขึ้นมาแน่ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายต่อต้านรัสเซียและโดดเดี่ยวรัสเซียและบั่นทอนความน่าเชื่อถือของจีนลงเรื่อยๆ เพราะจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งวิเคราะห์โดยสื่อฯของสหรัฐฯเองนั่นแหละ
    ในขณะเดียวกันพวกอียูก็เริ่มจะเชื่อสหรัฐฯ เกี่ยวกับรัสเซีย เพราะในช่วงแรกสหรัฐฯปลุกกระแสต่อต้านรัสเซียแรงมาก เล่นสงครามแซงชั่นกันจนกระทบไปทั่วโลก แต่ดูเหมือนว่าในกรณีของจีนนี้ กลุ่มมหาอำนาจในยุโรปจะไม่ค่อยเชื่อสหรัฐฯ และไม่มีท่าทีที่จะเป็นศัตรูกับจีน แต่ยินดีที่จะคบค้าสมาคมกับคอมมิวนิสต์จีน แปลกไหม? จีนว่าอย่างไร อียูว่าตาม จีนพามาสร้างธนาคารใหม่แข่งกับ IMF ที่กุมอำนาจโดยสหรัฐฯ อียูก็เอาด้วย และที่สำคัญแม้อียูจะต่อต้านและแข่งขันกับรัสเซียในโครงการประชาคมยูเรเซีย แต่อียูไม่ปฏิเสธเส้นทางสายไหมทางเศรษฐกิจของจีน สุดท้ายแล้วก็จะเข้าไปเชื่อมต่อกับกลุ่มประเทศยูเรเซียอยู่ดี เข้าทางเฮียสีกับปูตินอีกหละ อเมริกาเหรอ? …. หัวเน่าคนเดียวต่อไป คริๆ
    ส่วนทางรัสเซียนั้น ปูตินออกมากล่าวกับสภาความมั่นคงของรัสเซียเมื่อวันที่ 3 ก.ค.58 ที่ผ่านมาว่า "พวกเรา (รัสเซีย) ไม่สามารถคาดหวังการเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่างๆที่ไม่เป็นมิตร (hostile policies) ของบางฝ่ายซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามทางรัฐภูมิศาสตร์ของพวกเราในอนาคตอันใกล้ (หมายถึงสหรัฐฯ)"
    และปูตินยังกล่าวอีกว่า "เหตุผลในการกดดันรัสเซียมีความชัดเจนมาก: ประเทศ (รัสเซีย) กำลังกำหนดนโยบายที่เป็นอิสระและจะไม่ขายอธิปไตยของ (ชาติ) ตัวเอง (the country is conducting an independent policy and doesn’t trade its sovereignty) (ชอบคำนี้นะ "ไม่ขายอธิปไตยของตนเอง") นี่ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน แต่ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอย่างอื่นไปได้"
    ส่วน Kris Roman นักรัฐศาสตร์ชาวเบลเยี่ยมออกมาเหน็บพวกตะวันตกด้วยกันว่า โรค "Russophobia disease" (โรคหวาดกลัวรัสเซีย) ถ้าได้ขึ้นสมองใครแล้ว จะไม่มีทางที่จะเยียวยาให้หายขาดได้ (incurable) อูยส์... แรงอ่ะ
    Kris Roman ผอ.ศูนย์วิจัยภูมิรัฐศาสตร์ Euro-Ru แสดงความคิดเห็นต่อบทบาทของสื่อฯตะวันตกว่า "สื่อฯของพวกเราชอบที่จะหุบปากเงียบกริ๊บเพื่อไม่ให้ถูกจับผิดได้ พวกเขาจะสามารถพูดอะไรได้? จะให้พูดว่ารัสเซียเป็นฝ่ายถูกอย่างนั้นหรือ? หรือว่ากองทัพรัสเซียไม่ได้ไปอยู่ที่นั่น [การต่อสู้กันในภูมิภาคดอนบาสส์] ในขณะที่กองทัพยูเครนกำลังทำสงครามกับ (เข่นฆ่า) ประชาชนของตนเอง? พวกเขา (สื่อฯตะวันตก) ไม่สามารถพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ คำขวัญอย่างเป็นทางการก็คือการตำหนิรัสเซีย" Kris Roman ยังกล่าวอีกว่า แม้กระทั่งในกรณีเครื่องบินโบอิ้งของมาเลเซีย MH17 ตกในปี 2014 สื่อฯตะวันตกก็ยังโทษรัสเซียเลย ในขณะที่กำลังมีการรอข้อมูล คราวนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎออกมาว่า รัสเซียไม่ได้ทำ และก็คือพวกเราไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน (คดีนี้) กันอีกเลย ฮี่ๆ นั่นแหละสื่อฯตะวันตก
    จริงๆแล้วก็มีความคืบหน้าทางด้านการเมืองเกี่ยวกับคดี MH17 นี้เหมือนกันนะ ทางสื่อฯสหรัฐฯออกมาประโคมข่าวโจมตีนายกฯของมาเลเซียว่ารับสินบนจากสหรัฐฯ ต่อมามาเลเซียก็ทำทีว่าจะเสนอให้มีการตั้งศาลพิเศษขึ้นมาตัดสินคดีนี้โดยเฉพาะ ซึ่งทางอียูโดยเฉพาะเนเธอร์แลนด์เห็นชอบด้วย แต่รัสเซียไม่ปลื้ม เพราะรัสเซียรู้ว่านี่ต้องเป็นแผนชั่วอีกแผนหนึ่งของสหรัฐฯแน่ๆ คิดจะบีบให้มาเลเซียและอียูเล่นงานรัสเซียโดยใช้ระบบศาลที่สหรัฐฯควบคุมได้เองมาเปลี่ยนขาวเป็นดำ เปลี่ยนดำเป็นขาวละสิ
    ป.ล.เห็นมะ เอาเวลาที่มีค่ามาเขียนข่าวและสาระดีๆให้แฟนเพจและสังคมได้รับรู้สถานการณ์โลกแบบนี้ ดีกว่าไปต่อปากต่อคำกับขี้ข้าทักแม้วสมุนแดงไม่มีความคิดเที่ยวป่วนเพจชาวบ้านรายวัน เพราะพวกของตัวเองไม่สามารถทำสิ่งดีๆและเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ นอกจากความอิจฉาริษยาและ ถนัดแต่เรื่องบิดเบือนความจริง หลอกพวกเดียวกันไปวันๆ ก็ด้วยสงสารหวังว่าจะชักนำเข้าสู่หนทางแห่งสัมมาทิฏฐิได้ แต่ดูแล้ว อาการหนักเกินไป เกินเยียวยา งั้นก็อยู่ในโลกแห่งความมืดมนของฟายแดงต่อไปเหอะ อ้อ… โพสต์ต่อไปจะพูดถึงท่าทีของจีนที่ตอบโต้สหรัฐฯบ้าง น่าสนใจอีกเช่นกัน โปรดติดตามตอนต่อไป
    The Eyes
    05/07/2558
    ----------
    WW3 Inevitable? US Warmongering Rhetoric May Drag World Into War / Sputnik International
    http://rt.com/news/271564-putin-west-russia-pressure/
    Political Contagion / Sputnik International
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    จีนจวกสหรัฐฯว่า "สงครามเย็นเป็นอาการทางจิตในยุทธศาสตร์กองทัพแห่งชาติฉบับใหม่ของสหรัฐฯ"

    [​IMG]

    ------------
    นี่เป็นอีกบทความ/ข่าวหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวาทกรรม "สงครามเย็น" (Cold War) ของสหรัฐฯที่เขียนโดยจีน ซึ่งแอ็ดมินคิดว่าเป็นภาคต่อจากโพสต์ที่แล้ว แม้ว่าจะเขียนโดยคนละคนกัน เพื่อให้เข้าใจและมีมุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการสร้างวาทกรรมทางสงครามในสมัยปัจจุบันนี้ จึงนำมาแปลให้แฟนเพจและสังคมได้อ่านกันนะครับ
    เมื่อวันที่ 3 ก.ค.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียพาดหัวข่าวฉบับหนึ่งว่า "China Slams 'Cold War Mentality' of US's New National Military Strategy" ก็แปลคล้ายๆกับที่ได้ตั้งชื่อเรื่องของโพสต์นี้นั่นแหละครับ และ Sputnik news ขยายความเพิ่มว่า "กรุงปักกิ่งได้แสดงออกถึงความหงุดหงิดรำคาญใจ (annoyance) ต่อกรณียุทธศาสตร์ทางด้านทหารฉบับใหม่ของกลาโหมสหรัฐฯ ที่กล่าวหาจีนว่า จีนเป็นภัยคุกคามและการแสดงออกของจีนเป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย (groundlessly) นั้นแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯติดอยู่ใน 'อาการป่วยทางจิตโรคสงครามเย็น' (Cold War mentality)"
    รายงานข่าวบอกว่าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพนตากอนได้เปิดเผยแผนยุทธศาสตร์ทางกองทัพแห่งชาติฉบับใหม่ออกมา เอกสารนโยบายได้แสดงให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายของยุทธศาสตร์ของการเข้าประจำการในกองทัพสหรัฐฯ และในวันพฤหัสบดีนาย Dmitri Peskov เลขาโฆษกทำเนียบประธานาธิบดีของรัสเซียได้ออกมากล่าวว่า กรุงเครมลินรู้สึกเสียใจต่อภาษาที่ไม่เป็นมิตร (hostile language) ซึ่งใช้ในความสัมพันธ์ที่มีต่อรัสเซียในรายงานดังกล่าว (ของสหรัฐฯ) โดย (รัสเซีย) บอกว่า "แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ต้องการการเผชิญหน้าซึ่งไม่มีความเป็นกลางในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศของพวเรา"
    ในวันศุกร์ Hua Chunying โฆษกหญิง ก.ต่างประเทศของจีนได้แสดงออกถึงการตอบโต้อย่างเป็นทางของจีนต่อเอกสารยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ (ของสหรัฐฯ) โดยกล่าวว่ากรุงปักกิ่งรู้สึกผิดหวังและไม่เห็นด้วยกับนโยบายบางอย่างในยุทธศาสตร์ดังกล่าว (ของสหรัฐฯ) ซึ่งได้แสดงออกถึงภัยคุกคามจากจีนอย่างเลื่อนลอยและไม่สมเหตุสมผล (groundlessly and irrationally) (หมายความว่า ด้วยเหตุที่สหรัฐฯเขายังคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในโลกนี้ จะเที่ยวกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีใครๆก็ได้ แม้จะไม่มีหลักฐานและไม่สมเหตุสมผลก็ตาม)
    ในส่วนที่เกี่ยวกับจีนนั้น เอกสารยุทธศาสตร์ทางกองทัพแห่งชาติ (ของสหรัฐฯ) ได้เตือนว่า "การกระทำของจีนได้เพิ่มความตึงเครียดขึ้นมาในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก" ซึ่ง (สหรัฐฯ) แนะนำว่า "กรุงปักกิ่งกำลังพยายามกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้อย่างก้าวร้าว ซึ่งจะทำให้จีนสามารถตั้งฐานทัพคร่อมเส้นทางเดินเรือที่สำคัญในทะเลนานาชาติได้"
    Hua Chunying ตอบโต้สหรัฐฯทันทีเลยว่า "จีนได้อธิบายอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของพวกเราในเรื่องการก่อสร้างเกาะเทียมและแนวประการังในทะเลจีนใต้มาหลายครั้งแล้ว การกระทำของจีนเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย เป็นธรรม และเหมาะสม สหรัฐฯควรจะโยนอาการป่วยทางจิตเกี่ยวกับสงครามเย็นของตนทิ้งไปได้แล้ว (the US should "throw away its Cold War mentality) และ (สหรัฐฯ) ควรจะใช้มุมมองที่ 'ไม่ลำเอียง' ต่อเจตนาทางยุทธศาสตร์ของจีน (จุดนี้จีนตั้งใจจะใช้คำว่า "unbiased perspective" ซึ่งแปลว่า "มุมมองที่ไม่ลำเอียงไม่อคติ" มากกว่าที่จะใช้คำว่า "neutral perspective" ที่แปลว่า "มุมมองที่เป็นกลาง" นะ แม้ว่าทั้งสองคำจะมีความหมายที่เหมือนกัน แต่น้ำหนักมันต่างกัน จีนพยายามจะบอกว่ามุมมองของสหรัฐฯอคติ ลำเอียง และไม่เป็นกลาง ชัดนะ คริๆ ชอบใจโฆษกหญิงคนนี้ของจีนจังเลยอ่ะ ปากจัดมากกกก!)"
    Hua Chunying โฆษกหญิงของจีนกล่าวเน้นย้ำว่า "กรุงปักกิ่งได้ทุ่มเทให้กับเส้นทางแห่งการพัฒนาที่สันติ และนโยบายการป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นการปกป้องโดยธรรมชาติ การขยายศักยภาพด้านการป้องกันประเทศของจีนเป็นสิ่งที่ยุติธรรม และไม่ได้เป็นการคุกคามประเทศใดๆ กรุงปักกิ่งและกรุงวอชิงตัน ได้สร้าง 'โมเดลใหม่' (new model) ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจขึ้นมาซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการไม่เผชิญหน้า (non-confrontation) ไม่มีความขัดแย้ง (non-conflict) เคารพซึ่งกันและกัน (mutual respect) และความร่วมมือในชัยชนะร่วมกัน (win-win cooperation)"
    ป.ล. โพสต์ต่อไปจะพูดถึงว่าเส้นทางสายไหมของจีนซึ่งจะทำให้ยุทธศาสตร์ทหารของสหรัฐฯพังได้อย่างไรบ้างในความพยายามที่จะสกัดกั้นจีน ซึ่งเป็นการเดินหมากของฝ่ายจีน-รัสเซียในการเอาชนะสหรัฐฯโดยไม่ต้องก่อสงคราม แต่ใช้ยุทธวิธีทางเศรษฐกิจผ่านเส้นทางสายไหมแทน และตอนนี้ชาติมหาอำนาจในยุโรปส่วนมากก็ดูเหมือนว่าชอบใจนโยบายของจีนและเอียงมาทางจีนซะด้วยสิ น่าสนใจใช่ไหมหละ? โปรดติดตามตอนต่อไป นะครับ
    The Eyes
    05/07/2558
    ----------
    China Slams 'Cold War Mentality' of US's New National Military Strategy / Sputnik International
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    ... "คนฟิลิปปินส์ : ประท้วงให้ถอนฐานทัพอเมริกาออกจากประเทศ ในวันชาติอเมริกา"

    [​IMG]

    .
    ... เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2015 ที่ผ่านมา ที่กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์มีการประท้วงต่อต้านการมีอยู่ของ "ฐานทัพอเมริกา" ในประเทศ โดยตรงกับวันชาติอเมริกาพอดี
    ... รัฐสภาฟิลิปปินส์เคยโหวตให้อเมริกาถอน "ฐานทัพอเมริกา" ออกจากประเทศมาแล้ว ( Subic และ Clark ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ) แต่หลังจากที่ "จีน" เริ่มครอบครองหมู่แนวปะการังในทะเลจีนใต้ ในปี 1995 ฟิลิลปปินส์ก็ยินยอมให้ "อเมริกากลับมาตั้งฐานทัพได้อีกครั้งหนึ่ง ในปี 1999 แต่เป็นแบบชั่วคราว
    ... และหลังจากที่ ( มีการสร้างเรื่อง ) 11 กันยา 2001 ระเบิดตึกแฝดขึ้นมา อเมริกาก็ผูกเอาเรื่องผู้ก่อการร้ายไปเข้ากับกลุ่มผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ มีการร่วมมือในการซ้อมรบกันระหว่างสองชาติในการต่อต้านการก่อการร้าย ยิ่งทำให้การคงกองทหารทัพอเมริกาในฟิลลิปปินส์ยิ่งมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
    ... โดยฟิลิปปินส์หวังจะยืมมือ "เจ้านายเก่า" มาเป็นตัวผลักดัน "คานอำนาจกันจีน" ในทะเลจีนใต้ ที่มีทรัพยากรน้ำมันและแก๊ซอย่างมาก หลังจากนั้นช่วงที่โอบาม่าเยือนเอเชีย ครั้งใหญ่ ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ก็ได้แอบมาลงนามว่าจะมีการยอมให้อเมริกาส่งทหารมาประการได้ชั่วคราวและเปลี่ยนประจำการได้เรื่อยๆ
    ... ทำให้ช่วงต้นปี 2014 ที่ผ่านมาก่อนที่โอบาม่าจะมาเยือน จึงมีกระแสต่อต้านการกลับมาของฐานทัพอเมริกามากขึ้นทั่วไป ประชาชนชาวฟิลลิปปินโน ฟิลิปปินนา หลายคนที่รักในเอกราช ได้ประท้วงทั่วไปรวมทั้งเผาหุ่นของนายบารัก โอบาม่าด้วย เพื่อแสดงการคัดค้านเรื่องฐานทัพดังกล่าว แต่ไม่ได้ผล และไม่มีการระบุว่าจำนวน ขนาดของกองทัพอเมริกาที่จะมาประจำการครั้งนี้ใหญ่แค่ไหน แต่มีการบอกแค่ว่า "ฐานทัพชั่วคราว" เพื่อไม่ให้ผิดกับข้อบัญญัติรัญธรรมนูญของฟิลิปปินส์
    ... แต่ว่าทั้งคู้วินวิน เพราะมีจุดหมายร่วมกันในการสกัดกั้นอิทธิพลของ "จีน" ในทะเลจีนใต้ได้
    ... "ปูมหลัง ความสัมพันธ์"
    ... แม้ว่าหลังจากปี 1898 ที่อเมริกาอ้างว่าจะมาช่วยฟิลิปปินส์รบกับ "สเปน" ที่ปกครองฟิลิปปินส์มา 377 ปี ( 1521 - 1898 ) โดยอ้างว่าจะมาขับไล่อิทธิพลสเปนออกจากประเทศไป ( เพราะตอนนั้นอเมริกากำลังติดพันการทำสงครามกับสเปนเรื่องการค้าอ้อยในคิวบาอยู่ ) เพื่อจะช่วยให้คนฟิลิปปินส์จะได้มีเอกราชเหมือนตน แต่พอไล่สเปนออกไปได้ อเมริกากลับมาเป็นเจ้าอาณานิคมแทนสเปน จนต้องทำสงครามกันเอง ( ระหว่างปี 1899 - 1902 Philippine–American War ) สุดท้ายฟิลิปินส์แพ้ จนเพิ่งได้เอกราชในปี 1946 รวมเวลาที่ "ฟิลิปปินส์"อยู้ใต้การปกครองของ "อเมริกา" เป็นเวลา 44 ปี
    .
    Protest against US troops on Fourth of July in Manila | Demotix.com
    Barack Obama signs US military pact with Philippines | Daily Mail Online
    https://en.wikipedia.org/wiki/Philippine–American_War
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    โอบามาโดนแฉว่าอยู่เบื้องหลังไอซิสเสียเอง

    อดีตทหารผ่านศึกมะกัน แฉ รบ.โอบามา คือ “สปอนเซอร์ใหญ่กลุ่มไอเอส” พร้อมชี้ US จ่อส่ง “ทหารรับจ้าง” เข้าซีเรียเพื่อสังหารอัสซาด โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2558 03:43 น. (แก้ไขล่าสุด 5 กรกฎาคม 2558 03:46 น.)

    [​IMG]
    @รอดนีย์ มาร์ติน

    นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดังซึ่งเป็นอดีตทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ออกโรงแฉ ในวันเสาร์ ( 4 ก.ค.) ระบุ รัฐบาลอเมริกันอยู่เบื้องหลังการจัดส่ง “ทหารรับจ้างชาวต่างชาติ” เข้าไปยังซีเรีย เพื่อทำการล้มล้างระบอบการปกครองของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด

    รายงานข่าวล่าสุดซึ่งอ้างการเปิดเผยของรอดนีย์ มาร์ติน อดีตทหารผ่านศึกชาวอเมริกันจาก “สงครามโซมาเลีย” ซึ่งในปัจจุบันทำหน้าที่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดังของสหรัฐฯ มีขึ้นหลังจากที่หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์นำเสนอรายงานพิเศษซึ่งระบุว่า ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) กำลังเตรียมวางแผนส่งหน่วยรบชุดแรกที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี เข้าไปยังแผ่นดินซีเรียภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ในฐานะ “กองกำลังภาคพื้นดิน” เพื่อต่อกรกับกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส)

    ด้านแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ทหารอเมริกันนายหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผยตัวตนระบุว่า สหรัฐฯและชาติพันธมิตรได้เสร็จสิ้นการฝึก “นักรบสายกลาง” กลุ่มแรกจากค่ายฝึกในตุรกี และเตรียมส่งนักรบซึ่งมีจำนวนไม่ถึง 100 ชีวิตกลุ่มนี้เข้าไปยังแผ่นดินซีเรียภายในช่วงปลายฤดูร้อนกลางปีนี้

    อย่างไรก็ดี มาร์ตินเปิดเผยต่อสถานีโทรทัศน์เพรสส์ทีวีของอิหร่านเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ โดยระบุ กระแสข่าวเรื่องการส่งนักรบสายกลางชุดแรกที่ผ่านการฝึกเข้าไปต่อสู้กับกลุ่มไอเอสนั้น เป็นรายงานที่ขาดความน่าเชื่อถือ และว่า ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามากำลังเตรียมส่ง “ทหารรับจ้าง” ที่เป็นชาวต่างชาติเข้าไปในซีเรียเพื่อภารกิจในการ “ปลิดชีพ” ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรียโดยเฉพาะ
    รอดนีย์ มาร์ติน ยังเผยต่อว่า ที่ผ่านมารัฐบาลโอบามา คือ ผู้สนับสนุนรายสำคัญของกลุ่มไอเอสและว่าเป้าหมายที่แท้จริงของรัฐบาลโอบามา คือ การยืมมือกลุ่มไอเอสให้ช่วยบ่อนทำลายเสถียรภาพของซีเรียและรัฐบาลของอัสซาด ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนชาวซีเรีย มากกว่าที่จะคิดกวาดล้างกลุ่มไอเอสอย่างจริงจัง
    “ที่ผ่านมา เราทั้งหลายต่างถูกทำให้เข้าใจผิดกันมาโดยตลอดว่า ศัตรูหมายเลขหนึ่งของรัฐบาลโอบามาคือกลุ่มไอเอส แต่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลโอบามานี่ล่ะที่ทำหน้าที่ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของกลุ่มไอเอส เพราะสหรัฐฯต้องการโค่นล้มระบอบการปกครองของอัสซาดและสถาปนารัฐบาลใหม่ในซีเรียที่เป็นมิตรต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯมากกว่า ” มาร์ติน กล่าว
    5/7/2015
    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000075718
     

แชร์หน้านี้

Loading...