ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พายุ “บิล” ทำพิษฝนถล่มทั่วรัฐเทกซัส สังเวยแล้วอย่างน้อย 1 ศพ หวั่นเกิดน้ำท่วมใหญ่รอบใหม่ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2558 05:16 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ / เอเจนซีย์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ – พายุโซนร้อน “บิล” ซึ่งล่าสุดอ่อนกำลังลง กลายเป็นพายุดีเปรสชั่นแล้วได้พัดถล่มหลายพื้นที่ทั่วมลรัฐเทกซัสของสหรัฐฯ ส่งผลให้ถนนหลายสายกลายสภาพเป็นทะเลสาบ และพบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1 ราย เพิ่มความวิตกกังวลว่า ชาวเทกซัสอาจต้องเผชิญวิกฤตน้ำท่วมรอบใหม่ หลังจากเมื่อเดือนที่แล้ว สภาพอากาศที่เลวร้ายได้คร่าชีวิตผู้คนในมลรัฐแห่งนี้ไปกว่า 30 ชีวิต

    อิทธิพลของพายุบิลส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและมีน้ำท่วมบนถนนหลายสาย รวมถึงทำให้เกิดอุบัติเหตุจำนวนมาก ถึงแม้พายุบิล ซึ่งเป็นพายุโซนร้อนลูกที่สองของฤดูเฮอร์ริเคนมหาสมุทรแอตแลนติกในปี 2015 นี้ จะอ่อนกำลังลงจนกลายเป็นพายุดีเปรสชั่นไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันพุธ ( 17 มิ.ย.) ก็ตาม

    แม้จะอ่อนกำลังลง แต่อิทธิพลของพายุลูกนี้ คาดว่า อาจทำให้หลายพื้นที่ทั่วมลรัฐเทกซัสของสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับฝนที่ตกหนักต่อเนื่องไปอีกหลายวันจากนี้ และสร้างความกังวลว่า ชาวเทกซัสอาจต้องเผชิญเหตุน้ำท่วมใหญ่ครั้งใหม่ ทั้งๆที่พวกเขายังไม่ทันได้ฟื้นตัวจากเหตุอุทกภัยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

    รายงานข่าวล่าสุดยืนยันว่า พบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 รายในวันพุธ ( 17) เป็นสตรีวัย 62 ปีรายหนึ่งที่สูญเสียการควบคุมรถของเธอขณะที่เธอขับรถฝ่าสายฝน บนทางหลวงสายหนึ่งใกล้กับเมืองเวสต์ ที่อยู่ทางตอนกลางของมลรัฐเทกซัส

    ไม่เพียงแต่การสัญจรบนท้องถนนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุบิลลูกนี้ หลังมีรายงานข่าวที่ยืนยันว่าเที่ยวบินมากกว่า 160 เที่ยว มีอันต้องถูกยกเลิกจากตารางของทั้งสนามบินดัลลัสและฮิวส์ตันที่ต่างติดอันดับสนามบินที่มีการจราจรทางอากาศคับคั่งที่สุดของเมืองลุงแซม

    ด้านศูนย์บริการรายงานสภาพอากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นดับเบิลยูเอส) ออกคำเตือนล่าสุด ถึงความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุ “น้ำท่วมฉับพลัน” ในบริเวณไล่ตั้งแต่ชายฝั่งของมลรัฐเทกซัส เรื่อยขึ้นไปจนถึงมลรัฐอิลลินอยส์ โดยคาดว่า จะมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนจำนวนมากกว่า 20 ล้านคนในอเมริกา

    อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า การขุดเจาะของแหล่งน้ำมันต่างๆ ในบริเวณน่านน้ำอ่าวเม็กซิโก และตลอดแนวชายฝั่งจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เช่นเดียวกับการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ตั้งอยู่ ณ เมืองเบย์ ซิตี้ ซึ่งยังคงสามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติ

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลุ่มแฮกเกอร์ดัง “Anonymous” ก่อเหตุโจมตีเว็บไซต์หน่วยงานรัฐบาลแคนาดาล่ม ชี้ ไม่พอใจออกกม.คุกคามเสรีภาพปชช. โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2558 08:39 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี / เอเจนซีส์ – กลุ่มแฮกเกอร์ดัง “Anonymous” ก่อเหตุโจมตีเว็บไซต์หน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลแคนาดาจนใช้การไม่ได้นานหลายชั่วโมงเมื่อวันพุธ ( 17 มิ.ย.) แต่ไม่พบว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลใดที่รั่วไหลออกไปจากการโจมตีไซเบอร์ระลอกนี้ ทั้งนี้ เป็นการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการแคนาดา

    กลุ่มแฮกเกอร์ดังกล่าวได้อ้างความรับผิดชอบผ่านคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยระบุ พวกตนลงมือก่อการโจมตีไซเบอร์ระลอกนี้ เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนต่อต้านกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายฉบับล่าสุดของแคนาดา หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “กฏหมาย C-51” ที่ขยายขอบข่ายแห่งอำนาจของหน่วยสืบราชการลับแคนาดา (CSIS) ออกไปอย่างกว้างขวาง จนส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออก ความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของชาวแคนาดา

    รายงานข่าวระบุว่า เว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐบาลแคนาดาที่ให้บริการทางสังคมรูปแบบต่างๆ ต้องประสบภาวะ “ชัตดาวน์” ไปช่วงหนึ่ง เช่นเดียวกับบรรดาเอกสารแบบฟอร์มออนไลน์ต่างๆที่ไม่สามารถใช้งานได้ ท่ามกลางรายงานข่าวที่มีการยืนยันว่า เว็บไซต์ของรัฐสภา หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลงานด้านอุตสาหกรรม และงานสาธารณะของประเทศต่างใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง

    สตีเวน บลานีย์ รัฐมนตรีประจำกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะ ออกมายืนยันในเวลาต่อมาว่า มีเว็บไซต์หน่วยงานรัฐบาลแคนาดาอีกหลายแห่งที่ถูกโจมตี แต่ยืนยันถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลว่า ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการโจมตีไซเบอร์คราวนี้

    ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวถูกประกาศใช้หลังแคนาดาต้องเผชิญกับเหตุก่อการร้ายหนแรกในแผ่นดินตัวเอง เมื่อวันที่ 22 เดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังมือปืนเพศชายชาวแคนาดาเชื้อสายลิเบียซึ่งมีชื่อว่า ไมเคิล เซฮาฟ-บิโบลงมือบุกสังหารเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยของรัฐสภาแคนาดา ก่อนบุกเข้าไปภายในอาคารและทำร้ายผู้อื่นจนบาดเจ็บอีก 3 ราย ก่อนที่เขาจะถูกสังหาร โดยบิโบระบุถึงแรงจูงใจในการลงมือก่อเหตุอุกอาจนี้ว่าเป็นเพราะความไม่พอใจของเขาที่มีต่อนโยบายต่างประเทศของแคนาดาที่ไม่เป็นมิตรต่อชาวมุสลิม

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สุดสลด กู้ภัยฉุกเฉินชี้ “กองทัพซาอุฯ” โจมตีคาราวานลี้ภัยเยเมน พลเรือนดับ 31
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 18:40 น.

    [​IMG]

    เอพี/เอเจนซีส์ – หน่วยกู้ภัยในเยเมนเปิดเผยว่า กองทัพซาอุดีอาระเบียได้โจมตีกองคาราวานผู้ลี้ภัยชาวเยเมนในช่วงเช้าวันพุธ(17)สังหารพลเรือนไป 31 คน ส่งผลทำให้การโจมตีล่าสุดนี้สร้างความเสียหายหนักสุดนับตั้งแต่ 3 เดือนที่เริ่มโจมตีทางอากาศ

    การโจมตีทางอากาศ 2 ครั้งไปยังกองคาราวานรถยนต์ที่มีพลเรือนชาวเยเมนอยู่ภายในอย่างแน่นขนัด ที่รวมไปถึงเด็กและผู้หญิง ที่หนีมาจากเอเดน ทางใต้ของประเทศเพื่อมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือของเยเมน โดยแหล่งข่าวกู้ภัยเยเมนให้ข้อมูลถึงสภาพจุดเกิดเหตุบนถนนไฮเวย์ ที่มีร่างผู้เสียชีวิตกระจัดกระจายในขณะที่ควันโขมงคละคลุ้งออกจากซากรถที่ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

    นอกจากนี้ในวันนี้(17)การสู้รบอย่างหนักยังดำเนินต่อไปใกล้กับจังหวัดมาริบ (Marib) ที่มีทรัพยากรมีค่าไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ หรือบ่อน้ำมัน ทางตะวันออกของกรุงซานา ซึ่งเป็นจุดการสู้รบของชนเผ่าสุหนี่ต่อต้านการลุกคืบของกบฎฮูตีที่เมืองอัล-ชาฮีล( al-Saheel) แหล่งข่าวความมั่นคงเยเมนเผย

    เอพีรายงานในวันนี้(17)ว่า กองทัพอากาศซาอุฯได้โจมตีกบฎฮูตีในมาริบด้วยเช่นกัน รวมไปถึงในกรุงซานา และเอเดน รวมไปถึงซาดา ( Saada )เมืองหัวใจหลักของกลุ่มกบฎฮูตีทางตอนเหนือ และทาอิซ( Taiz) เมืองทางตะวันตก

    เอพีรายงานว่า ในเมืองทาอิซ กบฏฮูตีได้ต่อสู้ป้องกันฐานที่มั่น เป็นผลทำให้พลเรือนดับไปไม่ต่ำกว่า 30 คนภายใน 48 ชม. จากการรายงานของแหล่งข่าวกู้ภัยและผู้เห็นเหตุการณ์ในพื้นที่

    ทั้งนี้กบฎฮูตีควบคุมพื้นที่ถึง 1 ใน 3 ของเมืองทาอิซไว้

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    น่าจะส่งผู้อพยพให้ไปอยู่กับโป๊ปน่ะครับ จะได้ทำให้โป๊ปได้ทำภารกิจรับใช้พระเจ้าได้เต็มที่

    โป๊ปตรัสพวกปิดกั้น “ผู้อพยพ” ควรขอให้พระเจ้ายกโทษ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 19:09 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ – พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเรียกร้องในวันนี้ (17) ให้เคารพผู้อพยพ พร้อมชี้แนะว่าเหล่าคนและสถาบันที่ปิดกั้นพวกเขานั้นสมควรที่จะร้องขอการอภัยโทษจากพระเจ้า

    ข้อเรียกร้องดังกล่าวของพระสันตะปาปามีขึ้นในช่วงท้ายของการออกมหาสมาคมประจำสัปดาห์ของพระองค์ และมีออกมาในขณะที่เกิดการถกเถียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุโรปเกี่ยวกับวิธีรับมือวิกฤตผู้อพยพ ซึ่งรวมไปถึงการปะทะกันที่พรมแดนฝรั่งเศส-อิตาลีระหว่างตำรวจและผู้อพยพ

    “เราเชิญชวนให้พวกท่านทั้งหลายร้องขอการอภัยโทษให้กับเหล่าบุคคลและสถาบันต่างๆ ที่ปิดกั้นคนเหล่านี้ ซึ่งต้องการไปหาครอบครัวและอยากได้รับการปกป้อง” พระองค์ตรัสนอกบทที่เตรียมมาด้วยเสียงพระสุระเสียงที่เศร้าหมอง

    ฝรั่งเศสและออสเตรียได้ยกระดับการควบคุมการผ่านแดนของผู้อพยพที่มาจากอิตาลี โดยส่งพวกเขากลับเป็นจำนวนหลายร้อยคน และปล่อยทิ้งให้ผู้อพยพจำนวนหนึ่งปักหลักพักแรมกันที่สถานีรถไฟ ในกรุงโรมและมิลาน

    ในสัญญาณที่แสดงถึงความไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับวิธีจัดการกับวิกฤติผู้อพยพนี้ นายกรัฐมนตรี มัตเตโอ เรนซี ของอิตาลีขู่ไว้ว่าจะตอบโต้หากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปประเทศอื่นๆ ไม่ยอมรับส่วนแบ่งผู้อพยพที่ขึ้นฝั่งของอิตาลีอย่างเท่าเทียม

    พระสันตะปาปา ตรัสว่า “พี่ชายและน้องสาวของเราเหล่านี้กำลังแสวงหาที่พักพิงไกลจากดินแดนของพวกเขา พวกเขากำลังหาบ้านที่พวกเขาสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว”

    พระองค์ทรงร้องขอให้มีการสวดภาวนาให้ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้รับความเคารพอยู่เสมอ” และทรงเรียกร้องให้ประชาคมโลก “ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อยับยั้งต้นเหตุของการอพยพโดยไม่มีทางเลือก"

    เมื่อวานนี้ (16) ฝรั่งเศส , อิตาลี และเยอรมนีเห็นพ้องที่จะทำงานร่วมกันในการระบุตัวผู้อพยพที่มาทางทะเล และหาถิ่นฐานใหม่ให้พวกเขาในสหภาพยุโรปอย่างรวดเร็ว หรือส่งตัวพวกเขากลับไปยังประเทศบ้านเกิด หากคำร้องขอลี้ภัยในยุโรปของพวกเขาถูกปฏิเสธ

    ในขณะที่ทั้ง 3ประเทศปรึกษาหารือกัน ตำรวจได้เริ่มการย้ายผู้อพยพชาวแอฟริกาออกจากค่ายพักชั่วคราวริมทะเลบริเวณพรมแดนอิตาลีฝรั่งเศส ผู้อพยพราว 300 คนแห่กันมารวมที่ชายแดนฝั่งอิตาลีด้วยเป้าหมายที่จะเดินทางต่อไปยังแดนน้ำหอมและมุ่งสู่ยุโรปเหนือที่ซึ่งญาติๆ อาศัยอยู่และโอกาสในด้านการงานอาจดีขึ้น


     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'ปูติน'เพิ่มจรวด'นุก'ข้ามทวีปกว่า40ลูก ตอบโต้'นาโต'ที่คุกคามประชิดชายแดน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 21:00 น.

    [​IMG]
    @(แฟ้มภาพ) จรวดลูกหนึ่งถูกยิงออกจากเครื่องยิงจรวดเพลิง TOS-1A รอบนอกกรุงมอสโกเมื่อวันอังคาร(16มิ.ย.) ขณะทีรัสเซียเผยว่าในปีนี้จะเพิ่มขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) รุ่นใหม่ มากกว่า 40 ลูก เข้าสู่คลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของแดนหมีขาว

    เอเจนซีส์ - “ปูติน” ลั่นรัสเซียต้องป้องกันตัวเองหากถูกคุกคาม ด้าน “วอชิงตัน” คำรามเตือนมอสโกกำลังรื้อฟื้น “สถานะสงครามเย็น” หลังเครมลินประกาศแผนเพิ่มขีปนาวุธข้ามทวีปในคลังแสงนิวเคลียร์ ตอบโต้ความเคลื่อนไหวของเมืองลุงแซมในการติดตั้งอาวุธหนักและนำทหารเข้าประจำการในยุโรปตะวันออกและแถบบอลติก

    ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวที่บ้านพักประธานาธิบดีรัสเซียนอกกรุงมอสโกเมื่อวันอังคาร (16 มิ.ย.) ระหว่างแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีซาอุลี นีนิสโต ของฟินแลนด์ซึ่งมาเยือนว่า รัสเซียถูกบังคับให้ต้องหันกองทัพของตนเข้าประจันกับประเทศใดๆ ก็ตามที่ทำท่าคุกคามแดนหมีขาวอยู่

    เขาบอกด้วยว่า ข้อกังวลใจที่สุดของรัสเซียคือโครงการที่ดำเนินมานานแล้วขององค์การสนธิสัญญาปกป้องแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในการสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธขึ้นในยุโรป “นาโตต่างหากที่กำลังเคลื่อนเข้าประชิดพรมแดนของเรามากขึ้นเรื่อยๆ และเราก็จะไม่หนีไปไหนทั้งสิ้น” เขากล่าว

    ปูตินเสริมว่า รัสเซียจำเป็นต้องตอบโต้อย่างเหมาะสมและดำเนินนโยบายการป้องกันประเทศเพื่อรับมือกับภัยคุกคามดังกล่าว

    ความสัมพันธ์ระหว่างเครมลินกับตะวันตกกำลังอยู่ในภาวะเลวร้ายสุดขีดนับตั้งแต่สงครามเย็นเป็นต้นมา เนื่องจากประเด็นวิกฤตยูเครน และในวันอังคาร (16) ก่อนที่ปูตินจะพบหารือกับประธานาธิบดีฟินแลนด์ ฝ่ายตะวันตกก็แสดงความไม่พอใจว่า ปูตินทำให้สถานการณ์ดำดิ่งลงกว่าเดิม เมื่อเขาประกาศแผนเพิ่มขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) รุ่นใหม่ มากกว่า 40 ลูก เข้าสู่คลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของแดนหมีขาวภายในสิ้นปีนี้

    ระหว่างการเยี่ยมชมงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จัดขึ้นนอกกรุงมอสโกในวันอังคาร ประมุขเครมลินอวดอ้างว่า ICBM รุ่นใหม่ของรัสเซียนั้น สามารถทำลายระบบป้องกันขีปนาวุธที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่สุด

    ทั้งนี้ ICBM หมายถึงขีปนาวุธประเภทที่มีพิสัยทำการตั้งแต่ 5,500 กิโลเมตรขึ้นไป อย่างไรก็ดี ปูตินไม่ได้ให้รายละเอียดว่า ICBM รุ่นใหม่ที่จะนำเข้าสู่คลังแสงนิวเคลียร์นั้นจะเป็นรุ่นอะไรบ้าง

    ผู้นำรัสเซียกล่าวมาตลอดว่า แดนหมีขาวจะไม่ยอมถูกดึงเข้าสู่การแข่งขันสะสมอาวุธ ถึงแม้เขาพยายามยกระดับกองทัพให้ทันสมัยมาโดยตลอด อีกทั้งคุยว่าภายในปี 2020 ประมาณ 70% ของอาวุธที่กองทัพรัสเซียใช้จะเป็นอาวุธที่ทันสมัยและมีคุณภาพสูงที่สุด

    หลังจากการประกาศวันอังคารของปูติน จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาวิจารณ์ทันทีว่า เป็นการรื้อฟื้นสถานะสงครามเย็น ภายหลังที่อเมริกาและรัสเซียได้ร่วมมือกันตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ในการทำลายอาวุธนิวเคลียร์

    จากข้อมูลของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสต็อกโฮล์ม ขณะนี้รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 7,500 หัวรบ โดยที่ 1,780 หัวรบประกอบเข้ากับขีปนาวุธแล้วหรือไม่เก็บเอาไว้อยู่ในฐานทัพ เปรียบเทียบกับอเมริกาที่มีหัวรบทั้งสิ้น 7,300 หัวรบ และติดตั้งพร้อมใช้งานอยู่ 2,080 หัวรบ

    เมื่อปี 1991 อเมริกา กับ สหภาพโซเวียตในขณะนั้น ได้ลงนามสนธิสัญญา START เพื่อลดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ซึ่งสะสมเอาไว้ในคลังแสงของแต่ละฝ่าย และในเดือนเมษายนปีนี้ เคร์รีประกาศว่า อเมริกาพร้อมจัดการเจรจากับรัสเซียรอบใหม่เพื่อลดจำนวนนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ให้ลงต่ำกว่าระดับที่ตกลงกันตามสนธิสัญญา START ฉบับใหม่ในปี 2011

    ทางด้านเจนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการใหญ่นาโต ก็ออกมาวิจารณ์ประกาศของปูตินเช่นกัน ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมก้าวร้าวเรื่อยมาของมอสโก ซึ่งบั่นทอนสันติภาพและเป็นอันตราย พร้อมกับอ้างว่า นี่คือเหตุผลที่พันธมิตรตะวันตกต้องยกระดับการเตรียมพร้อมกองกำลังเพื่อปกป้องสมาชิกที่มีพรมแดนใกล้รัสเซียมากที่สุด

    ทว่า ปูตินตอบโต้ว่า รัสเซียต่างหากเป็นฝ่ายถูกนาโตคุกคาม

    ต้นเดือนนี้ นาโตนำโดยอเมริกาเริ่มการซ้อมรบในประเทศแถบบอลติกและโปแลนด์ โดยระบุว่าเพื่อบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับรัสเซียของยุโรปตะวันออก

    ขณะที่ในวันเสาร์ (13) ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า เพนตากอนเตรียมนำเอาอาวุธหนัก รวมทั้งส่งทหาร 5,000 คนไปประจำการในหลายประเทศในยุโรปตะวันออกและแถบบอลติกติดๆ กับพรมแดนรัสเซีย โดยระบุว่าเพื่อกำราบความก้าวร้าวของรัสเซีย

    ปูตินวิจารณ์ว่า แผนการของวอชิงตันในการติดตั้งอาวุธหนัก ซึ่งมีทั้งรถถังด้วย ในพวกประเทศสมาชิกใหม่ๆ ของนาโตที่เคยอยู่ใต้อิทธิพลมอสโกในยุคโซเวียตเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวที่สุดนับตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลงเป็นต้นมา

    อนาโตลี แอนโทนอฟ รัฐมนตรีช่วยกลาโหมรัสเซีย กล่าวว่า นาโตพยายามบีบให้มอสโกเข้าแข่งสะสมอาวุธ

    ทว่า พันเอกสตีฟ วอร์เรน จากกองทัพบกสหรัฐฯ กล่าวแก้ว่า อเมริกาเพียงแค่จัดสรรอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อให้สามารถฝึกซ้อมอย่างรวดเร็วและง่ายดายขึ้นเท่านั้น และยืนยันว่า อาวุธที่นำไปติดตั้งในยุโรปเป็นเพียงอาวุธสำหรับการซ้อมรบเท่านั้น ไม่มีขีปนาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด

    '
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบงค์ชาติของกรีซชี้หากตกลงกับเจ้าหนี้ไม่ได้ อาจถึงขั้นออกจากสหภาพยุโรป
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 21:06 น.


    [​IMG]

    เอเอฟพี - ธนาคารกลางของกรีซได้ออกมาเตือนในวันพุธ (17 มิ.ย.) ว่าประเทศนี้ไม่เพียงแค่จะต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน แต่อาจจะถึงขั้นออกจากสหภาพยุโรป หากล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงความช่วยเหลือกับบรรดาเจ้าหนี้

    หนึ่งในคำเตือนที่จริงจังที่สุดจากหน่วยงานของกรีซ คือข้อความจากธนาคารแห่งประเทศกรีซ ที่ได้ระบุว่า ความล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งความเจ็บปวด ที่นำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ของกรีซและในท้ายที่สุดก็จะทำให้กรีซต้องออกจากยูโรโซน รวมถึงอาจจะต้องออกจากการเป็นชาติสมาชิกของสหภาพยุโรปด้วย

    ที่ผ่านมา บรรดานักวิเคราะห์ได้เตือนมานานแล้วว่าการผิดนัดชำระหนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาลูกโซ่ที่นำไปสู่การออกจากกลุ่มยูโรโซนที่ใช้เงินสกุลยูโร แต่ไม่ถึงขั้นออกจากการเป็นชาติสมาชิกของสหภาพยุโรปโดยสิ้นเชิง

    ทั้งนี้ การเจรจาเพื่อให้กรีซได้รับเงินช่วยเหลืองวดสุดท้ายจำนวน 7.2 พันล้านยูโร จากเจ้าหนี้ที่มีทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) สหภาพยุโรปและธนาคารกลางยุโรป ยังคงไม่มีความคืบหน้าขณะที่เส้นตายใกล้เข้ามาทุกที

    บรรยากาศระหว่างกรีซกับบรรดาเจ้าหนี้ไม่สู้จะดีนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่ทางธนาคารแห่งประเทศกรีซก็ยังยืนกรานว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้แตกแยกกันมากนัก เหลืออีกแค่นิดเดียวก็จะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้แล้ว

    กรีซมีกำหนดจะต้องชำระหนี้งวดล่าสุดจำนวน 1.6 พันล้านยูโรให้แก่ไอเอ็มเอฟ ในช่วงสิ้นเดือนนี้ ทั้งยังต้องจ่ายอีก 6.7 พันล้านยูโรให้แก่ธนาคารกลางยุโรปในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งเป็นจำนวนที่เจ้าหน้าที่ของกรีซบอกว่า รัฐบาลของพวกเขาคงไม่มีเงินจ่าย

    แบงค์ชาติของกรีซ บอกด้วยว่า หากกรีซออกจากกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร นั่นจะนำไปสู่ภาวะถดถอย การลดลงของรายได้ รวมถึงส่งผลให้การว่างงานเพิ่มสูงขึ้นในชาติยุโรปทางตอนใต้แห่งนี้

    "นี่คือเหตุผลว่าทำไมธนาคารแห่งประเทศกรีซเชื่อมั่นว่าการบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ ที่เราไม่อาจเพิกเฉย" ธนาคารกลางของกรีซ ระบุ

    "จากหลักฐานทั้งหมดที่มีจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะสามารถประนีประนอมกันได้จนถึงส่วนที่เป็นเงื่อนไขหลักของข้อตกลงแล้ว เหลืออีกเพียงนิดเดียวที่ยังต้องคุยกัน" แบงค์ชาติกรีซ ระบุ

    ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ล่าสุดที่ทวีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องไปที่การประชุมรัฐมนตรีคลังของ 18 ชาติยูโรโซนที่จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้

    แต่ด้วยทางเลือกที่กำลังจะหมดลง แถมบรรดาเจ้าหนี้ยังบอกว่าข้อเสนอปฏิรูปเศรษฐกิจของกรีซนั้นยังไม่มากพอ ทำให้นายกรัฐมนตรีกรีซ "อเล็กซิส ซีปราส" กล่าวหาบรรดาเจ้าหนี้ด้วยความฉุนเฉียวเมื่อวันอังคารว่า พยายามที่จะฉีกหน้าประเทศกรีซของเขา หลายคนจึงยังไม่แน่ใจว่าการเจรจากันระหว่างทั้งสองฝ่ายจะเห็นแสงสว่างหรือไม่

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ระบุ'โสมขาว'กักกันโรคหละหลวม 'อนามัยโลก'ชี้ภัย'เมอร์ส'โรคไร้พรมแดน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 22:00 น.

    [​IMG]

    @ผู้คนพากันสวมหน้ากากอนามัยขณะกำลังเดินทางเข้าไปยังสถานีรถไฟแห่งหนึ่งในกรุงโซล ท่ามกลางตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไวรัสเมอร์สที่สูงขึ้นเรื่อยๆในเกาหลีใต้

    เอเจนซีส์ - องค์การอนามัยโลก (ฮู) แถลงในวันพุธ (17 มิ.ย.) ภายหลังประชุมคณะกรรมการฉุกเฉิน ระบุการระบาดของโรค “เมอร์ส” ในเกาหลีใต้เป็น “สัญญาณเตือนภัย” พร้อมเรียกร้องทุกประเทศยกระดับการเฝ้าระวังเนื่องจากไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในโลกไร้พรมแดน ส่วนสถานการณ์ในแดนโสมขาวนั้น ยังคงพบผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้น อีกทั้งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้นว่ามาตรการกักกันโรคนั้นหย่อนยานหละหลวม

    เคอิจิ ฟูกูดะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ของ ฮู แถลงวันพุธที่นครเจนีวาภายหลังการประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของ “กลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง” (เมอร์ส) ว่า ควรถือว่าสถานการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนภัยสำหรับประเทศต่างๆ

    การประชุมของคณะกรรมการฉุกเฉินของ ฮู ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันอังคาร (16) และนับเป็นครั้งที่ 9 ตั้งแต่ไวรัสชนิดนี้ระบาดในซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2012 นั้น ได้ข้อสรุปว่า การขาดการรับรู้เกี่ยวกับไวรัสเมอร์สในหมู่เจ้าหน้าที่รักษาพยาบาลและประชาชน เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ไวรัสนี้ระบาดอย่างรวดเร็ว

    นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น การที่ผู้ป่วยเมอร์สต้องอยู่ในห้องฉุกเฉินที่แน่นขนัดเป็นเวลานาน การที่ชาวเกาหลีใต้นิยมไปตรวจซ้ำหลายโรงพยาบาลเพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่ 2-3 เกี่ยวกับการวินิจฉัยและการรักษา รวมทั้งการที่ญาติมิตรมักไปเยี่ยมหรือกระทั่งนอนเฝ้าคนไข้

    ฟูกูดะเสริมว่า การระบาดของเมอร์ส ตลอดจนถึงโรคอีโบลา ควรเป็นบทเรียนว่า ในโลกไร้พรมแดนนั้น โรคต่างๆ สามารถระบาดได้ทุกที่ อย่างไรก็ดี การระบาดของเมอร์สเวลานี้ยังไม่เข้าขั้นสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์ระดับโลกเหมือนอีโบลา และไม่จำเป็นต้องมีการจำกัดการเดินทางหรือการค้าแต่อย่างใด

    ฮูชี้ว่า การระบาดของเมอร์สยังตอกย้ำความจำเป็นที่จะต้องมีการร่วมมือกันระหว่างภาคสาธารณสุข และภาคส่วนสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การบิน เพื่อส่งเสริมกระบวนการสื่อสาร

    ขณะเดียวกัน ฮูยอมรับว่า ยังมีอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับเมอร์สที่ผู้เชี่ยวชาญไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจ เช่น โรคนี้สามารถติดต่อผ่านคนที่ไม่แสดงอาการหรือไม่ และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่นำไปสู่การระบาด

    ฟูกูดะกล่าวว่า เท่าที่ทราบขณะนี้ สัตว์ที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อเมอร์สมีเพียงชนิดเดียวคืออูฐ และยังไม่มีหลักฐานว่า เมอร์สในเกาหลีใต้กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้นแต่อย่างใด

    ทั้งนี้ ดูเหมือนว่า เมอร์สอาจแพร่เชื้อผ่านละอองหายใจ เช่น การไอจาม อย่างไรก็ดี การติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อในหลายสิบประเทศทั่วโลก อาทิ อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี

    กรณีเยอรมนีนั้น เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพิ่งพบผู้เสียชีวิตจากเมอร์ส เป็นชายวัย 65 ปี ที่ติดเชื้อระหว่างการเดินทางไปอาบูดาบี และถือเป็นผู้ป่วยเมอร์สรายแรกที่พบในยุโรปในปีนี้ อย่างไรก็ดี ทางการเยอรมนียืนยันว่า ไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่า มีการระบาดเกิดขึ้น และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยุโรปย้ำอีกแรงว่า ความเสี่ยงในการระบาดของไวรัสชนิดนี้ในยุโรปต่ำมาก

    ไวรัสเมอร์สปรากฎตัวในเกาหลีใต้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม เมื่อชายวัย 68 ปีได้รับการวินิจฉัยว่า ติดเชื้อหลังจากเดินทางกลับจากซาอุดีอาระเบีย

    คณะกรรมการฉุกเฉินของฮูยังชมเชยความพยายามในการควบคุมการระบาดของรัฐบาลเกาหลีใต้ ซึ่งขณะนี้พบผู้ติดเชื้อ 162 คน โดยเป็นผู้ป่วยรายใหม่ในวันพุธ 8 ราย ผู้ถูกกักกันโรค 6,500 คน และเฝ้าระวังอาการอีก 10,000 คน ขณะที่ผู้เสียชีวิตเมื่อวันพุธเพิ่มขึ้น 1 คน รวมเป็น 20 ราย

    ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (12) จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันได้ลดลงติดต่อกัน 3 วัน โดยจาก 12 คนในวันศุกร์ (12) เหลือ 4 คนในวันอังคาร (16) เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่บางคนตั้งความหวังว่าสถานการณ์การระบาดอาจจะผ่านจุดสูงสุดแล้ว แต่เมื่อในวันพุธ(17) พบผู้ป่วยใหม่เป็น 8 ราย จึงกลับทำให้เกิดความวิตก นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอาวุโสของเกาหลีใต้แสดงความกังวลว่า อาจพบการระบาดในโรงพยาบาลอื่นๆ นอกเหนือจากศูนย์การแพทย์ซัมซุง ในกรุงโซล ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการระบาดของเมอร์สในขณะนี้

    และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งอีกประการคือ การที่ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้ถูกกักตัวทั้งๆ ที่แสดงอาการไม่ค่อยดี อาทิ ผู้ป่วยวัย 55 ปีรายหนึ่งที่เป็นคนขับรถพยาบาลของโรงพยาบาลซัมซุง ยังคงเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเพื่อไปทำงานตามปกตินานหลายวันหลังจากปรากฏอาการ เช่น มีไข้ กว่าที่เขาจะได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยไวรัสนี้

    โรงพยาบาลซัมซุงเผยว่า ผู้ป่วยรายนี้สัมผัสกับผู้คนเกือบ 500 คนระหว่างที่อาการปรากฏ ซึ่งรวมถึงผู้ป่วย 160 คนในโรงพยาบาล ที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การสังเกตอาการแล้วในขณะนี้

    หนังสือพิมพ์ดงอา อิลโบประณามว่า เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลพยายามลดระดับความรุนแรงในการแพร่ระบาดของเมอร์สให้ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตกใจ


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “แอชตัน คาร์เตอร์” นายใหญ่แห่งเพนตากอน เชื่อ “ระบอบอัสซาด” ในซีเรีย หนีไม่พ้นความล่มสลาย โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2558 00:27 น.

    [​IMG]
    @แอชตัน บัลด์วิน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐอเมริกา

    เอเอฟพี / เอเจนซีส์/ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ – แอชตัน บัลด์วิน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐอเมริกา ออกโรงให้ความเห็นในวันพุธ ( 17 มิ.ย.) โดยระบุ ระบอบการปกครองของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรียอาจยังคงต้องเผชิญกับ “ความล่มสลาย” อยู่ดี ถึงแม้ว่าระบอบการปกครองนี้ จะอยู่รอดปลอดภัยด้วยดีมาตลอดระยะเวลามากกว่า 4 ขวบปีที่ผ่านมาของสงครามกลางเมืองในซีเรียก็ตาม

    คาร์เตอร์ในวัย 60 ปี ซึ่งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ หรือ ตำแหน่ง “นายใหญ่แห่งเพนตากอน” คนที่ 25 ในประวัติศาสตร์เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ภายหลังจากการโบกมืออำลาตำแหน่งของชัค เฮเกล เจ้าของเก้าอี้คนก่อนหน้า ได้กล่าวถึงระบอบการปกครองของบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ก่อนการเข้าชี้แจงถึงสถานการณ์ทางการเมืองในซีเรียล่าสุดต่อคณะกรรมาธิการด้านอาวุธของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

    โดยคาร์เตอร์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยกลาโหม ด้านกิจการทางยุทธศาสตร์โลกมาก่อน ในช่วงยุคของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน กล่าวย้ำถึงจุดยืนของรัฐบาลอเมริกันในปัจจุบันว่า ทางวอชิงตัน มีความประสงค์ที่จะเห็น “การเปลี่ยนผ่าน” เกิดขึ้นในซีเรีย โดยที่การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองดังกล่าวนั้นจะต้องไม่มี “อัสซาด” ร่วมขบวนอยู่ด้วย

    รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯยืนยันว่า จากข้อมูลข่าวกรองล่าสุดที่สหรัฐอเมริกามีอยู่ในมือเวลานี้ สามารถยืนยันได้ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ระบอบการปกครองของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาดในซีเรีย กำลังตกอยู่ในภาวะระส่ำระส่ายและอ่อนแอลงอย่างสำคัญ ถึงแม้ว่าระบอบการปกครองนี้จะยังคงครองอำนาจอยู่ได้อย่างเหนียวแน่นผ่านสงครามกลางเมืองซีเรียที่ปะทุขึ้นเมื่อปี 2011 และยืดเยื้อจนกำลังจะย่างเข้าสู่ขวบปีที่ 5 ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2016 ที่จะถึงนี้

    คาร์เตอร์ยืนยันว่า ในเวลานี้ กองทัพของรัฐบาลซีเรียกำลังถูกโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นทุกขณะ และเหลือที่มั่นสำคัญในความควบคุมเพียงแค่พื้นที่ “รอบกรุงดามัสกัส” ที่เป็นเมืองหลวง กับพื้นที่เขตปกครองของพวกมุสลิมนิกายอะลาวิต (แขนงหนึ่งของชีอะห์) ที่อัสซาดนับถือ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเท่านั้น

    นายใหญ่แห่งเพนตากอนกล่าวย้ำว่า วิถีทางเดียวที่จะเป็นผลดีที่สุดสำหรับประชาชนชาวซีเรียผู้บริสุทธิ์ คือการที่ผู้นำอย่างประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด จะต้องยินยอม “สละอำนาจด้วยตัวเอง” และจะต้องไม่หวนกลับเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในอนาคตของซีเรียอีก

    ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า สงครามกลางเมืองในซีเรียที่เริ่มก่อตัวขึ้น นับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011 นั้น ได้คร่าชีวิตผู้คนในพื้นที่ต่างๆ ของซีเรียไปแล้ว “มากกว่า 230,000 ราย ”


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ด่วน!! รัฐบาลปาเลสไตน์ร่วมฮามาส “ถูกสั่งยุบภายใน 24ชม.”
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 16:22 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์/เอพี – แถลงการณ์ล่าสุดในคืนดึกวันอังคาร(16) ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ มาห์มุด อับบาส (Mahmoud Abbas) มีขึ้นแถลงว่า รัฐบาลที่จัดตั้งร่วมระหว่างกลุ่มฟาตาห์ของเขาและกลุ่มฮามาสในปีที่ผ่านมานั้นจะสิ้นสภาพแล้ว

    RT สื่อรัสเซีย และเอพีรายงานในวันนี้(17)ว่า มีรายงานว่ารัฐบาลผสมที่จัดตั้งระหว่างกลุ่มฟาตาห์ของประธานาธิบดีปาเลสไตน์ มาห์มุด อับบาส (Mahmoud Abbas)และกลุ่มฮามาส นั้นจะสิ้นสภาพภายใน 24 ชม. โดยเอพียืนยันจากแถลงการณ์สดของอับบาสในคืนดึกวันอังคาร(16) แต่ทว่าอับบาสไม่ได้ระบุถึงเงื่อนเวลาที่คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ต้องลาออก แต่เอพีคาดว่าจะมีขึ้นในเร็ววันนี้

    โดยในแถลงการณ์ อับบาสระบุถึงสาเหตุการสั่งยุบรัฐบาลของตนเองว่า เป็นเพราะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    RT รายงานเพิ่มเติมว่า อับบาสได้แถลงต่อสมาชิกสภาปฎิวัติของกลุ่มฟาตาห์ในรามาลลาห์ว่า “ภายใน 24 ชม. รัฐบาลปาเลสไตน์จะลาออก” เอเอฟพีรายงานโดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวปาเลสไตน์ที่อยู่ภายในที่ประชุมแห่งนี้

    และสาเหตุการยุบรัฐบาลเนื่องมาจากไม่สามารถบริหารฉนวนกาซาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แหล่งข่าวในที่ประชุมเผย

    “รัฐบาลชุดนี้อ่อนแอเกินไป และไม่มีทางที่กลุ่มฮามาสจะเปิดโอกาสให้ทางเราสามารถบริหารได้อย่างเต็มที่ในกาซา” อามิน มัคบุล (Amin Maqbul) เลขาธิการใหญ่สภาปฎิวัติกลุ่มฟาตาห์แถลง เอเอฟพีรายงาน

    RT รายงานเพิ่มเติมว่า ในขณะที่ความเห็นของมัคบุลระบุว่า จะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายใน 24 ชม. แต่ทว่ากระแสข่าวจากแหล่งข่าวอื่นที่เข้าร่วมการประชุมครบรอบ 15 ปีระบุผ่านการรายงานของสำนักข่าว Maan News อ้างว่า อาจต้องใช้เวลาหลายวัน

    แต่ทว่าการตัดสินใจให้คณะรัฐมนตรีปาเลสไตน์ลาออกนี้ไม่ได้อยู่ในประเด็นการประชุมร่วมระหว่างรัฐบาลผสมฟาตาห์และฮามาสในครั้งล่าสุด Ihab Bseiso โฆษกรัฐบาลปาเลสไตน์แถลง โดยยืนยันว่าไม่มีการปรึกษาถึงการยุบรัฐบาลปาเลสไตน์แต่อย่างใด เอเอฟพีรายงาน

    รัฐบาลชุดประจำภายใต้มามูดห์ อับบาส ถูกจัดตั้งโดยการจับมือระหว่างกลุ่มที่เป็นอริกันระหว่างกลุ่มฟาตาห์ และกลุ่มฮามาสในเดือนมิถุนายน 2014

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จัดหนัก! ตร.อิเหนาโชว์ "เงินสินบน” ที่ทางการออสซี่จ่ายให้แก๊งค้ามนุษย์วกเรือกลับ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 16:17 น.

    [​IMG]
    @ตำรวจอินโดนีเซียบนเกาะโรเต (Rote) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซุนดาน้อยในจังหวัดนูซาเติงการาตะวันออก นำตัวหนึ่งในลูกเรือแก๊งค้ามนุษย์มาแถลงข่าว พร้อมเงินสด 31,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ้างว่าเป็น "สินบน" ที่ทางการออสเตรเลียจ่ายให้พวกเขานำผู้อพยพวกกลับมายังอินโดนีเซีย

    เอเอฟพี – ตำรวจอินโดนีเซียนำหลักฐานเป็นเงินสดจำนวน 31,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาแสดง เพื่อยืนยันว่า รัฐบาลออสเตรเลียเคยจ่าย “เงินสินบน” ให้แก่เครือข่ายค้ามนุษย์ เพื่อแลกกับการนำเรือผู้อพยพออกจากน่านน้ำ

    [​IMG]

    ตำรวจติมอร์ตะวันตกเปิดเผยว่า ผู้อพยพที่ต้องการลี้ภัย 65 คนกับลูกเรือชาวอินโดนีเซีย 6 คนถูกทางการออสซี่สกัดจับ และส่งลงเรือ 2 ลำเพื่อขับออกจากน่านน้ำออสเตรเลีย แต่เรือลำหนึ่งน้ำมันหมดกลางทาง ส่วนอีกลำก็แล่นเกยหินปะการังก่อนจะถึงฝั่ง

    “เรานำหลักฐานมาแสดงให้พวกคุณเห็นแล้ว” พล.ต.อ. เอ็นดัง ซุนจายา ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ซิดนีย์มอร์นิงเฮรัลด์ ซึ่งนำภาพผู้บัญชาการตำรวจรายนี้กับของกลางเป็นธนบัตรชนิด 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวนมาก ไปตีพิมพ์ลงหน้าหนึ่ง

    “จากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของพวกคุณและหน่วยงานอื่นๆ ที่จะไปเรียกร้องขอคำตอบจากรัฐบาลออสเตรเลียเอาเอง”

    นายกรัฐมนตรี โทนี แอบบ็อตต์ แห่งออสเตรเลีย ซึ่งถูกสื่อกดดันให้อธิบายเรื่องเงินสินบนที่ทางการอิเหนากล่าวหา ยังไม่ยืนยันหรือปฏิเสธเรื่องนี้ โดยอ้างว่าเป็นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ซึ่งรัฐบาลไม่ขอวิจารณ์

    ด้าน สก็อตต์ มอริสัน รัฐมนตรีกระทรวงการบริการสังคม ให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่เห็นความจำเป็นที่รัฐบาลออสเตรเลียจะต้องตอบคำถาม

    “เราปฏิบัติหน้าที่โดยยึดขอบเขตของกฎหมายมาตลอด และจะทำต่อไป” มอริสัน ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงคนเข้าเมืองมาก่อน ระบุ

    รัฐบาลอิเหนายังคงเรียกร้องให้ออสเตรเลียชี้แจงให้ได้ โดยรองประธานาธิบดี ยูซุฟ คัลลา ฝากคำเตือนเมื่อวันจันทร์(15) ว่า สิ่งที่ออสเตรเลียทำเข้าข่าย “ให้สินบน” แก่พวกอาชญากรค้ามนุษย์

    รายงานระบุว่า แก๊งค้ามนุษย์นำเรือผู้อพยพล่องออกจากชวาตะวันตกเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค. เพื่อมุ่งหน้าไปยังนิวซีแลนด์ โดยบนเรือมีผู้โดยสาร 65 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพชาวศรีลังกา

    จากการตรวจสอบเบื้องต้นของตำรวจอินโดนีเซียพบว่า เรือลำนี้ถูกเจ้าหน้าที่ออสเตรเลียสกัดถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกพวกเขาเพียงถูกเตือนไม่ให้ผ่านเข้าน่านน้ำออสเตรเลีย แต่ในที่สุดก็ได้รับอนุญาตให้เดินทางต่อไป

    ครั้งที่สอง ลูกเรือทั้งหมดถูกควบคุมตัว โดย โยฮานีส ฮูเมียง กัปตันเรือชาวอินโดนีเซีย ถูกนำตัวขึ้นไปบนเรือของศุลกากรออสเตรเลีย และได้รับแจ้งว่า เรือที่พวกเขาล่องมาไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางไปถึงนิวซีแลนด์

    ตำรวจอิเหนาระบุว่า เจ้าหน้าที่ออสซี่ได้ทำข้อตกลงจ่ายเงิน 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่กัปตันเรือ และจ่ายให้ลูกเรือ 5 คนอีกคนละ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการนำเรือวกกลับไปยังอินโดนีเซีย

    หลังจากเรือจอดทอดสมออยู่ที่แนวปะการังแอชมอร์ (Ashmore Reef) เป็นเวลา 2 วัน ผู้อพยพทั้ง 65 คนก็ถูกส่งลงเรือไม้ 2 ลำ โดยมีลูกเรือชาวอิเหนาร่วมทางไปลำละ 3 คน พร้อมสิ่งของที่จำเป็น เช่น เสื้อชูชีพ อาหาร และแผนที่สำหรับเดินทางไปยังเกาะโรเต (Rote) ในเขตน่านน้ำอินโดนีเซีย ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง

    อย่างไรก็ดี เรือผู้อพยพลำหนึ่งเกิดน้ำมันหมดลงกลางทาง ผู้อพยพและลูกเรืออินโดนีเซียรวม 71 คนจึงต้องย้ายมารวมอยู่บนเรือลำเดียว ซึ่งต่อมาเรือลำนั้นก็ไปเกยหินปะการังเข้าใกล้ๆ เกาะแห่งหนึ่งนอกชายฝั่งติมอร์ตะวันตก

    ชาวบ้านบนเกาะได้เข้าช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทั้งหมด และแจ้งให้ทางการอินโดนีเซียทราบ จนนำมาสู่การจับกุมกัปตันและลูกเรือชาวอิเหนาทั้ง 6 คน

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรงพยาบาลหลักกัวเตมาลาประกาศ “งดรับคนไข้ใหม่-ผ่าตัดฉุกเฉินเท่านั้น” หลังเกิดวิกฤตขาดเงินหนัก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 11:39 น. (แก้ไขล่าสุด 17 มิถุนายน 2558 15:25 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - โรงพยาบาลซาน ฮวน เด ดิออส (San Juan de Dios) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในกัวเตมาลาออกแถลงการณ์ในวันอังคาร (16 มิ.ย.) ว่า ทางโรงพยาบาลจะปิดรับคนไข้ใหม่ รวมถึงให้การช่วยเหลือทางการแพทย์ในเหตุฉุกเฉิน และมีแผนจะส่งต่อคนไข้ที่ยังเข้ารับการรักษากับทางโรงพยาบาลต่อไปยังโรงพยาบาลแห่งอื่น หลังจากโรงพยาบาลแห่งนี้ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนักจนทำให้ทางโรงพยาบาลขาดแคลนยารักษาโรค และสิ่งต่างๆที่จำเป็นเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย

    เอเอฟพีรายงานวันนี้ (17) ว่า โรงพยาบาลซาน ฮวน เด ดิออส (San Juan de Dios) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในกัวเตมาลาประสบปัญหาอย่างหนักจนถึงขั้นไม่สามารถรับรักษาผู้ป่วยรายใหม่ได้ รวมไปถึงมีแผนที่จะส่งต่อผู้ป่วยเก่าไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ โดยทางโรงพยาบาลแห่งนี้จะเปิดรับการรักษาเฉพาะเหตุฉุกเฉินเท่านั้น

    “เริ่มตั้งแต่วันนี้จะไม่มีการเปิดรับคนไข้รายใหม่ และไม่มีการทำการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคตามปกติ” เจมี คาเคเรซ (Jaime Caceres) โฆษกโรงพยาบาล ซาน ฮวน เด ดิออสแถลง

    เอเอฟพีรายงานเพิมเติมว่า ในขณะนี้ผู้ป่วยปัจจุบันจะได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ตามกำลังและความสามารถเท่าที่จะพึงได้รับตามปัจจัยด้านการแพทย์และยารักษาโรคที่โรงพยาบาลแห่งนี้ยังพอมีหลงเหลืออยู่ แต่หากคนไข้รายได้เห็นสมควรที่ต้องการรับการรักษาที่มากไปกว่านี้ ผู้ป่วยรายนั้นจะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นที่มีความพร้อมมากไปกว่านี้” คาเคเรซแถลงต่อ

    ด้านรัฐมนตรีสาธารณสุขกัวเตมาลา หลุยส์ มอนเตอร์โรโซ (Luis Monterroso) แถลงว่า ตราบใดที่ยังอยู่ในวิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงนี้ ระบบโรงพยาบาลกัวเตมาลาจะไม่มีวันล้มเป็นอันขาด

    เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลกังเตมาลาได้รับงบประมาณประจำปีอุดหนุนร่วม 52 ล้านดอลลาร์ แต่ทว่าเฉพาะครึ่งปีแรกของปีนี้ แต่ทว่าได้รับเงินเพียงแค่ 12.7 ล้านเท่านั้น ในเงินส่วนที่เหลือหายไปหมดสิ้น คาเคเรซแถลง

    และสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปกว่านี้เมื่อพบว่า กระทรวงสาธารณสุขกัวเตมาลาอยู่เบื้องหลังการจ่ายหนี้นับล้านดอลลาร์ของยารักษาโรคและสิ่งของที่จำเป็นด้านการแพทย์

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อึ้งเลย! “แม่เมาะ” ไม่จบ กฟผ.เปลี่ยนเงื่อนไขคำสั่งศาลปกครองสูงสุดทุกประเด็น
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2558 09:19 น. (แก้ไขล่าสุด 18 มิถุนายน 2558 09:53 น.)

    [​IMG]

    ลำปาง - กรณีพิพาทโรงไฟฟ้าแม่เมาะไม่จบ แม้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ กฟผ.ดำเนิน 5 มาตรการแก้ไขผลกระทบให้ชาวบ้านภายใน 90 วัน แต่ล่าสุดกลับเสนอมาตรการใหม่ประกบคำสั่งศาลฯ ทุกข้อ ทั้งการอพยพโยกย้าย ทำม่านน้ำดักฝุ่น ฟื้นขุมเหมือง ปลูกป่าแทนทำสนามกอล์ฟ และสวนพฤกษชาติ จนทีมทนายต้องขอสงวนสิทธิ์รับเงื่อนไข

    ตลอดวานนี้ (17 มิ.ย.) นายพรชัย จันทรมะโน พนักงานคดีปกครองชำนาญพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มสนับสนุนงานคดีและบังคับคดีปกครอง ศาลปกครองเชียงใหม่ พร้อมด้วยนายวิชิต ขอดเตชะ พนักงานคดีปกครอง ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงการดำเนินงานตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด กรณีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบยื่นฟ้องการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

    สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วม 3 คน คือ นายธนู เอกโชติ นายวิโรจน์ ช่างสาร น.ส.นภาพร สงปราน และมีตัวแทนผู้ฟ้องคดี ประกอบด้วย นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์ นางจินดา นิยมพานิช พร้อมสมาชิกเครือข่ายผู้ป่วยแม่เมาะ และชาวบ้านอีกกว่า 20 คนเข้าร่วม

    โดยฝ่ายผู้ถูกร้อง คือ กฟผ. มีนายถาวร งามกนกวรรณ ผู้ช่วยผู้ว่าการเหมืองแม่เมาะ และนายโอภาส จริยภูมิ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและบริหารเหมืองแม่เมาะ เป็นผู้ให้ข้อมูลและรายละเอียดของการดำเนินงานตามคำสั่งของศาลปกครอง ตาม 5 มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม กำหนดให้สิ้นสุดภายใน 90 วัน คือวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา

    โดยในมาตรการที่ 1 ศาลปกครองให้ กฟผ.ทำการติดตั้งม่านน้ำเพื่อเป็นการลดฝุ่นละอองในบรรยากาศ ความยาว 800 เมตร ระหว่างที่ทิ้งดินด้านทิศตะวันออกกับบ้านหัวฝาย และระหว่างที่ทิ้งดินด้านทิศตะวันตกกับหมู่บ้านทางทิศใต้

    กฟผ.ได้มีการเสนอมาตรการใหม่จากการใช้ม่านน้ำเป็นการปลูกต้นไม้ (ต้นสน) แทน โดยอ้างว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่างม่านน้ำเดิมกับต้นสนที่ปลูกและเจริญเติบโตแล้วนั้น พบว่าการดักฝุ่นโดยการใช้ต้นไม้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าการใช้ม่านน้ำ ดังนั้นจึงขอใช้การปลูกต้นไม้แทน เพราะเห็นว่าเป็นมาตรการที่ดีกว่าที่ศาลมีคำพิพากษา และได้รับการอนุญาตจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่แล้ว

    ส่วนมาตรการที่ 2 ให้จัดตั้งคณะทำงานระดับท้องถิ่น และผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาอพยพชาวบ้านที่มีผลกระทบในรัศมี 5 กิโลเมตร โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสังคม ชีวิต ทรัพย์สิน

    กฟผ.ระบุว่า ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานแล้ว โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางเป็นประธาน แต่ไม่มีผู้ฟ้องคดีที่ได้รับผลกระทบเข้าไปเป็นคณะทำงานแม้แต่คนเดียว พร้อมกันนี้ กฟผ.ยังได้เพิ่มเงื่อนไขว่า นอกจากผลกระทบในรัศมี 5 กิโลเมตรแล้ว ยังต้องทิ้งดินตั้งแต่ 148 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีขึ้นไปด้วย

    มาตรการที่ 3 ให้ฟื้นฟูขุมเหมืองให้กลับคืนสภาพเดิม คือ ปลูกป่าทดแทนในส่วนที่เป็นสนามกอล์ฟและสวนพฤกษชาติ กฟผ.ยังคงยืนยันไม่มีการปลูกป่าทดแทนในส่วนนี้ โดยอ้างว่าเป็นเพียงที่ทิ้งดิน และไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เป็นขุมเหมือง และไม่ได้เป็นแปลงประทานบัตรเดียวกันกับที่พิพาท แต่ทาง กฟผ.ก็ได้ปลูกต้นไม้โตเร็วแล้ว

    มาตรการที่ 4 ให้นำพืชที่ปลูกใน wetland ไปกำจัดและปลูกเสริมทุก 18 เดือน และต้องทำการขุดลอกเพื่อเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำ กฟผ.ได้เสนอมาตรการใหม่ ขอใช้ระบบบำบัดน้ำโดยใช้ Anaerobic bacteria หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการลดซัลเฟตก่อนปล่อยสู่ wetland เนื่องจากหากใช้วิธีตามที่ศาลสั่งระหว่างการขุดลอกเอาพืชเก่าทิ้งจะต้องหยุดการทำงาน 24 เดือนเพราะต้องรอพืชน้ำเจริญเติบโต ส่วนวิธีการใหม่ขณะนี้ได้เริ่มลงมือทำแล้ว แต่อยู่ระหว่างการวิจัย

    และมาตรการที่ 5 ให้ดำเนินการป้องกันฝุ่นที่เกิดจากการขุดเปิดหน้าดิน และให้ทำ Buffer Zone ระยะจุดปล่อยดินกับชุมชนไม่น้อยกว่า 50 เมตร และให้ทำ Bunker และให้จุดปล่อยดินอยู่ต่ำกว่า Bunker และให้มีการสเปร์ยน้ำบนสายพานส่งดินตลอดแนว

    กฟผ.ได้เสนอมาตรการใหม่ว่า ได้มีการวางแผนจุดปล่อยดินแล้ว และเนื่องจากพื้นที่มีกระแสลมที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ทั้งกระแสลมท้องถิ่นและกระแสทั่วไป ทำให้ยากต่อการกำหนดทิศทางลม จึงทำให้ยากในการกำหนดจุดปล่อยดินที่จะให้ห่างจากชุมชน แต่จะให้ห่างมากที่สุด หากไม่สามารถทำได้ จะให้ทำการฉีดพ่นหน้าดินก่อนทำการขุดขนในฤดูแล้ง และจะสเปร์ยน้ำบนสายพานเป็นระยะให้เพียงพอใกล้จุดปล่อยดิน

    จากการแถลงของฝ่ายผู้ถูกร้อง คือ กฟผ. พบว่าได้มีการเสนอมาตรการใหม่ แทนการดำเนินงานตามคำพิพากษาทั้งหมดทุกข้อ ทำให้ฝ่ายผู้ฟ้อง คือ ทนายความที่เป็นตัวแทนผู้ฟ้องคดีขอสงวนสิทธิ์ในการให้ความเห็นชอบทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาล ดังนั้น จึงไม่สามารถที่จะยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าวได้ โดยขอนำเรื่องทั้งหมดที่ผู้ถูกฟ้องเสนอไปพิจารณา และอาจจะร้องศาลให้เป็นผู้วินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว

    นายวิชิต ขอดเตชะ พนักงานคดีปกครอง กล่าวภายหลังนำทีมทั้งหมดลงตรวจตามจุดต่างๆ รวม 5 จุดที่ศาลมีคำพิพากษาให้ กฟผ.ดำเนินการด้านการป้องกันและแก้ไขผลกระทบว่า การเดินทางมาในครั้งนี้เป็นเพียงการลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลและข้อเสนอของผู้ถูกร้องเท่านั้น ซึ่งเมื่อตรวจแล้วผลออกมาอย่างไรก็จะนำเสนอศาลเพื่อพิจารณาต่อไป


     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ป.ป.ช.พบพิรุธ 2 โครงการ คดี ปตท.เอ็นเนอร์ยี่ โกงปลูกปาล์มอินโด ยันคุ้ยตั้งแต่เริ่ม โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 13:33 น. (แก้ไขล่าสุด 17 มิถุนายน 2558 14:14 น.)

    [​IMG]

    “สถาพร” เผยคดี ปตท.เอ็นเนอร์ยี่ทุจริตปลูกปาล์มอินโดคืบหน้า พบ 2 โครงการชี้มูลความผิดได้ จ่อสรุป เชื่อบอร์ดไม่ตัดตอนความรับผิดชอบ พร้อมคุ้ยตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการ

    วันนี้ (17 มิ.ย.) พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ดูแลการไต่สวนคดีทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียของ ปตท. กล่าวถึงความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่า ได้รวบรวมพยานหลักฐานจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และเอกสารจำนวนมากจึงมีความคืบหน้าพอสมควร แต่ ป.ต.ท.ส่งให้ ป.ป.ช.สอบเฉพาะ 5 โครงการที่มีการดำเนินการไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ยังเสาะหาพยานหลักฐานก่อนที่จะเริ่มโครงการด้วยว่าเป็นมาอย่างไร

    “เบื้องต้นพบความผิดปกติหลายอย่าง เช่น การดำเนินการตามโครงการไม่เป็นไปตามที่บอร์ด ป.ต.ท.อนุมัติ และก่อนริเริ่มโครงการนี้มีข้อผิดปกติหลายส่วนทั้งเรื่องที่ดิน ข้อตกลง หุ้นส่วน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ประเมินว่าสร้างความเสียหายให้รัฐเท่าไหร่ เพราะต้องดูผลประกอบการเทียบกับการลงทุน อีกทั้งยังมีการขายโครงการเพื่อลดภาวะขาดทุนไปหลายโครงการด้วย จึงต้องดูผลลัพธ์จากการขายกับเงินลงทุนที่เสียไปแตกต่างกันอย่างไร” นายสถาพรกล่าว

    นายสถาพรกล่าวว่า การไต่สวนอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพราะมีเอกสารจำนวนมาก แต่ในขณะนี้พบว่ามี 2 โครงการที่สามารถชี้มูลความผิดได้ซึ่งจะสรุปออกมาก่อน ส่วนโครงการที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็เป็นไปตามที่ ปตท.กล่าวหามา อีกทั้งยังต้องดูเรื่องบอร์ดและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตนไม่คิดว่าบอร์ดกำลังตัดตอนความรับผิดชอบด้วยการยื่นให้สอบการดำเนินธุรกิจปาล์มของ PTTGE เพราะ ป.ป.ช.ดูทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องบอร์ด ปตท.กรีนเอ็นเนอร์ยี่ที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการที่ 5 หรือบอร์ดใหญ่ของ ปตท.ว่ามีการดำเนินการอย่างไร

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยื่นนายกฯ ค้านขึ้นภาษีสรรพสามิต-เลิกแอลพีจีขนส่ง ทำ ปชช.ภาระเพิ่ม ปล่อยภาคปิโตรฯ เอาเปรียบ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 12:58 น. (แก้ไขล่าสุด 17 มิถุนายน 2558 14:09 น.)

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    “คปพ.” ยื่นหนังสือคัดค้านเพิ่มภาษีสรรพสามิตก๊าซแอลพีจีภาคขนส่ง ชี้นายกฯ ได้ข้อมูลผิด ยันภาคขนส่งไม่ได้ใช้แอลพีจีมากที่สุด และไม่ได้เป็นภาระกองทุนน้ำมัน แต่เป็นภาคปิโตรเคมีที่ใช้มากที่สุดและเอาเปรียบภาคอื่น พร้อมค้านยกเลิกการใช้แอลพีจีภาคขนส่ง หวั่นประชาชนรับภาระเพิ่มปีละ 5.6 หมื่นล้านบาท แนะทางออก ยกเลิกกองทุนน้ำมันที่มีเงินมากเกินจำเป็นอยู่กว่า 4 หมื่นล้านบาท เพื่อลดภาระประชาชน

    วันนี้ (17 มิ.ย.) เวลาประมาณ 10.00 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้เดินทางไปยื่นหนังสือคัดค้านร่างแก้ไขแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปิโตรเลียม และร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ที่กระทรวงพลังงานเป็นผู้เสนอ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการไปแ้ล้ว และชี้แจงข้อเท็จจริงต่อกรณีการเพิ่มภาษีสรรพามิตก๊าซแอลพีจีภาคขนส่ง และกรณีนายกรัฐมนตรีมีแนวคิดที่จะให้ภาคขนส่งเลิกใช้ก๊าซแอลพีจีภายใน 2 ปี ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ตรงข้ามประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล

    สำหรับหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการเพิ่มภาษีสรรพามิตก๊าซแอลพีจีภาคขนส่ง คัดค้านการยกเลิกการใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง มีใจความสำคัญ สรุปได้ว่า 1. ตามที่นายกรัฐมนตรีให้ข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การใช้ LPG ในประเทศ (วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2558) นั้น ยังมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงหลายประเด็นซึ่งอาจจะนำไปสู่การพิจารณาด้านโนบายพลังงานที่ผิดพลาดได้ อันได้แก่ การให้ข้อมูลว่าผู้ใช้ LPG ภาคขนส่งหรือภาคยานยนต์นั้นใช้มากที่สุด มากกว่าครัวเรือนนั้นเป็นข้อมูลที่ผิดจากข้อเท็จจริงซึ่งนาเสนอโดยสำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ที่แสดงให้เห็นว่า ภาคปิโตรเคมีใช้มากที่สุด รองลงมาคือ ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าภาคขนส่งหรือภาคยานยนต์ไม่ได้ใช้ LPG มากที่สุด

    2. การกล่าวหาจากกระทรวงพลังงานว่าการใช้ LPG ในรถยนต์นั้นเป็นการใช้เชื้อเพลิงผิดประเภทใช้ฟุ่มเฟือย ไม่คุ้มค่า ข้อเท็จจริงนั้น ก๊าซ LPG เป็นพลังงานเชื้อเพลิงที่สะอาดกว่าน้ำมัน เนื่องจากปล่อยมลพิษน้อยกว่า และราคาถูกว่าน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง ทำให้ราคา LPG ตลาดโลกลดลงเหลือเพียงลิตรละ 8 บาทหรือประมาณ 14 บาทต่อกิโลกรัม หลายประเทศทั่วโลกทั้งในยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย ส่งเสริมการใช้ LPG ในรถยนต์อย่างแพร่หลาย เช่น ในประเทศออสเตรเลีย มีมาตรการสนับสนุนเงินค่าติดตั้ง LPG ในรถยนต์ และลดภาษีประจำปี ด้วยเหตุผลว่าช่วยลดโลกร้อนในการปล่อยมลพิษน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

    3. ประเด็นแนวคิดที่จะให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตก๊าซ LPG ของภาคขนส่งเพิ่มขึ้น คปพ.เห็นว่า จะทำให้ต้นทุนการให้บริการของรถยนต์สาธารณะสูงขึ้นและเพิ่มภาระกับประชาชน ทั้งนี้ หากรัฐบาลต้องการรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้น ควรจะเก็บจากกลุ่มผู้ใช้ LPG ภาคปิโตรเคมี ซึ่งใช้ LPG ปริมาณมากที่สุดและก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมสูงที่สุดจากขยะพลาสติกที่เป็นผลิตภัณฑ์ของปิโตรเคมี

    ข้อ 4. ข้อกล่าวหาที่ว่า การใช้ LPG ในรถยนต์เป็นภาระสำคัญของกองทุนน้ำมันที่ต้องจ่ายเงินชดเชย เป็นผลให้นายกรัฐมนตรี มีความเข้าใจว่าสมควรต้องยกเลิกการใช้ LPG ในภาคขนส่งนั้น แต่ความเป็นจริงในปัจจุบันกลับปรากฏว่า ราคา LPG ตลาดโลกต่ำกว่าราคา LPG ที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงกลั่นน้ำมันจำหน่ายให้ประชาชนในประเทศ จึงไม่จำเป็นต้องมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ามันเชื้อเพลิงอีกต่อไป การใช้ LPG ในรถยนต์จึงไม่ใช่ภาระสำคัญของกองทุนน้ามันฯ และไม่มีความจำเป็นต้องยกเลิกการใช้ LPG ในภาคขนส่ง

    ข้อ 5. จากกรณีที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวทางให้กระทรวงพลังงานไปศึกษาหาวิธียกเลิกการใช้ LPG ในภาคขนส่งหรือยานยนต์ภายใน 1-2 ปีนั้น คปพ.ขอชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ใช้รถยนต์ LPG จานวน 1.5 ล้านคัน ที่ได้ลงทุนติดตั้งอุปกรณ์มาแล้ว โดยมีราคาเฉลี่ยติดตั้งคันละ 3 หมื่นบาท รวมมูลค่าที่ลงทุนไปทั้งหมด 4.5 หมื่นล้านบาท เงินลงทุนจำนวนนี้จะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์หากมีการยกเลิกจริง และหากประชาชนเหล่านี้จะต้องกลับมาใช้น้ามัน จะต้องจ่ายเงินเพิ่มถึงปีละ 56,848 ล้านบาท เป็นภาระค่าครองชีพหรือภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของประชาชน

    ข้อ 6. การที่นายกรัฐมนตรีได้รับข้อมูลมาว่า LPG ในประเทศผลิตได้ไม่พอเพียงจึงต้องนำเข้า เพราะรถยนต์ใช้มากขึ้นนั้น แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า ภาคปิโตรเคมีมีการใช้ LPG ที่เติบโตมากที่สุดแบบก้าวกระโดด และมีปริมาณการใช้สูงกว่ากลุ่มผู้ใช้รายอื่นทั้งหมด

    คปพ.จึงเรียนมาเพื่อขอให้นายกรัฐมนตรีทบทวนนโยบายการบริหารจัดการก๊าซ LPG ให้ประชาชนได้ใช้ LPG เป็นพลังงานทางเลือกอย่างเสรีในโครงสร้างราคาที่เป็นธรรมให้สอดคล้องกับฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชน โดยขอให้ยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดรวมทั้ง LPG เพราะ ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2558 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีฐานะเงินกองทุนน้ำมันสุทธิมากเกินความจำเป็นถึง 41,990 ล้านบาท และในภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองอยู่ขณะนี้ รัฐบาลไม่ควรเพิ่มภาระให้กับประชาชนด้วยการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นในราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง

    รายละเอียดหนังสือของ คปพ.คัดค้านการเพิ่มภาษีสรรพสามิตก๊าซแอลพีจีภาคขนส่งและการยกเลิกการใช้ก๊าซแอลพีจีในยานยนต์

    เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย
    ๑๐๒/๑ บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์
    แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร
    กรุงเทพ ๑๐๒๐๐

    ที่ คปพ. ๐๐๙/๒๕๕๘

    วันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘

    เรื่อง ข้อเสนอการแก้ไขปัญหา การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตและแนวคิดในการยกเลิกการใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง

    กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล)

    จากกรณีที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันอังคารที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ ซึ่งสร้างความกังวลใจต่อประชาชนชนทั่วไป ผู้ประกอบธุรกิจปั้มก๊าซ LPG ผู้ให้บริการติดตั้งอุปกรณ์ ตลอดจนผู้ใช้รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เพื่อใช้เป็นรถยนต์รับจ้าง เช่นรถแท็กซี่ รถสามล้อ รถสี่ล้อเล็ก รถบรรทุก รถบัส รถใช้เพื่อการเกษตร เป็นต้น ที่ต้องใช้ก๊าซ LPG สาหรับเป็นเชื้อเพลิง และประเด็นต่างๆ ที่ ฯพณฯ ให้สัมภาษณ์นั้นยังมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหลายประการ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายที่ผิดพลาดได้ และสร้างปัญหาต่อประชาชน สร้างภาระค่าครองชีพที่จะต้องแบกรับภาระที่สูงขึ้นตามไปด้วย

    เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) มีข้อเรียกร้องและนาเสนอข้อมูลต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เพื่อนำไปพิจารณาถึงข้อมูลให้รอบด้านและศึกษาผลกระทบ ข้อดี ข้อเสีย ก่อนจะมีการกำหนดนโยบายดังกล่าว ดังนี้

    ข้อ ๑. ตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีให้ข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การใช้ LPG ในประเทศนั้น ยังมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง หลายประเด็น ซึ่ง อาจจะนาไปสู่การพิจารณาด้านโนบายพลังงานที่ผิดพลาดได้ อันได้แก่ การให้ข้อมูลว่าผู้ใช้ LPG ภาคขนส่งหรือภาคยานยนต์นั้นใช้มากที่สุด มากกว่าครัวเรือนนั้นเป็นข้อมูลที่ผิดจากข้อเท็จจริงซึ่งนาเสนอโดยสำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ที่แสดงให้เห็นว่า ภาคปิโตรเคมีใช้มากที่สุด รองลงมาคือ ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ภาคขนส่งหรือภาคยานยนต์ไม่ได้ใช้ LPG มากที่สุด

    ข้อ ๒. การกล่าวหาจากกระทรวงพลังงานว่าการใช้ LPG ในรถยนต์นั้นเป็นการใช้เชื้อเพลิงผิดประเภทใช้ฟุ่มเฟือย ไม่คุ้มค่า ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น ก๊าซ LPG เป็นพลังงานเชื้อเพลิงที่สะอาดกว่าน้ำมัน เนื่องจากปล่อยมลพิษน้อยกว่า และราคาถูกว่าน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง ทำให้ราคา LPG ตลาดโลกลดลงเหลือเพียงลิตรละ ๘ บาทหรือประมาณ ๑๔ บาทต่อกิโลกรัม จึงไม่ได้เป็นราคาที่สูงตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้รับข้อมูลจากกระทรวงพลังงานแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้หลายประเทศทั่วโลกทั้งในยุโรป เอเซีย ออสเตรเลีย ส่งเสริมการใช้ LPG ในรถยนต์อย่างแพร่หลาย เช่น ในประเทศออสเตรเลีย มีมาตรการสนับสนุนเงินค่าติดตั้ง LPG ในรถยนต์ และลดภาษีประจำปี ด้วยเหตุผลว่าช่วยลดโลกร้อนในการปล่อยมลพิษน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

    ข้อ ๓. ประเด็นแนวคิดที่จะให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตก๊าซ LPG ของภาคขนส่งเพิ่มขึ้น เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) เห็นว่า หากมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตกับ LPG ภาคขนส่ง จะทำให้ต้นทุนการให้บริการของรถยนต์สาธารณะสูงขึ้นและเพิ่มภาระกับประชาชน ทั้งนี้ หากรัฐบาลต้องการรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้น ควรจะเก็บจากกลุ่มผู้ใช้ LPG ภาคปิโตรเคมี ซึ่งใช้ LPG ปริมาณมากที่สุดและก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมสูงที่สุดจากขยะพลาสติกที่เป็นผลิตภัณฑ์ของปิโตรเคมี แต่ปัจจุบัน LPG ที่ใช้ในภาคปิโตรเคมีไม่ถูกเก็บภาษีสรรพสามิตเลย หากอ้างอิงข้อมูลจาก ปริมาณการใช้ ปี ๒๕๕๗ หากมีการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตกับ LPG ที่ใช้ในภาคปิโตรเคมี จะสามารถจัดเก็บรายได้เข้ารัฐถึง ๖ พันล้านบาท

    ข้อ ๔. ข้อกล่าวหาที่ว่า การใช้ LPG ในรถยนต์เป็นภาระสำคัญของกองทุนน้ำมันที่ต้องจ่ายเงินชดเชย เป็นผลให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี มีความเข้าใจว่าสมควรต้องยกเลิกการใช้ LPG ในภาคขนส่งนั้น แต่ความเป็นจริงในปัจจุบันกลับปรากฏว่า ราคา LPG ตลาดโลกต่ำกว่าราคา LPG ที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงกลั่นน้ำมันจำหน่ายให้ประชาชนในประเทศ จึงไม่จำเป็นต้องมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกต่อไป การใช้ LPG ในรถยนต์จึงไม่ใช่ภาระสำคัญของกองทุนน้ำมันฯ และไม่มีความจำเป็นต้องยกเลิกการใช้ LPG ในภาคขนส่ง ตามที่ ฯพณฯนายกรัฐมนตรีได้รับข้อมูลมา

    ข้อ ๕. จากกรณีที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอแนวทางให้กระทรวงพลังงานไปศึกษาหาวิธียกเลิกการใช้ LPG ในภาคขนส่งหรือยานยนต์ภายใน ๑-๒ ปีนั้น เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ขอชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ใช้รถยนต์ LPG จานวน ๑.๕ ล้านคัน ที่ได้ลงทุนติดตั้งอุปกรณ์มาแล้ว โดยมีราคาเฉลี่ยติดตั้งคันละ ๓ หมื่นบาท รวมมูลค่าที่ลงทุนไปทั้งหมด ๔.๕ หมื่นล้านบาท เงินลงทุนจำนวนนี้จะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์หากมีการยกเลิกจริง โดยมิใช่ความผิดของผู้ประกอบการธุรกิจก๊าซรถยนต์และผู้ใช้รถยนต์ LPG แต่เป็นความผิดพลาดในนโยบายสาธารณะของรัฐบาลหลายคณะต่อเนื่องกัน ซึ่งรัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

    หากประชาชนเหล่านี้จะต้องกลับมาใช้น้ามัน โดยประเมินจากข้อมูลทางสถิติ ผู้ใช้ LPG ทั้งปี ๒๕๕๗ ใช้ LPG จานวน ๓,๕๕๓ ล้านลิตร โดยอัตราสิ้นเปลืองเท่าๆ กับน้ำมันเบนซิน หากใช้ราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ย ณ ปัจจุบันลิตรละ ๓๐ บาท ใน ขณะที่ LPG ลิตรละ ๑๔ บาท จะทำให้ประชาชนมีภาระค่าครองชีพเพิ่มขึ้นลิตรละ ๑๖ บาท หากคิดเป็นมูลค่าหรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายเพิ่ม จะเป็นจำนวนเงินมากถึงปีละ ๕๖,๘๔๘ ล้านบาท ทั้งหมดนี้จะเป็นภาระค่าครองชีพหรือภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของประชาชน และผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายที่ไม่เป็นธรรมนี้ จะมีแต่ภาคปิโตรเคมีที่ใช้ LPG แต่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น

    ข้อ.๖ การที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้รับข้อมูลมาว่า LPG ในประเทศผลิตได้ไม่พอเพียงจึงต้องนำเข้า เพราะรถยนต์ใช้มากขึ้นนั้น แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า ภาคปิโตรเคมีมีการใช้ LPG ที่เติบโตมากที่สุดแบบก้าวกระโดด และมีปริมาณการใช้สูงกว่ากลุ่มผู้ใช้รายอื่นทั้งหมด ซึ่งจะเป็นผลทำให้เกิดความขัดแย้งต่อนโยบายของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การให้ภาคปิโตรเคมีได้ใช้ LPG อย่างไม่มีข้อจำกัด จนเกิดความขาดแคลนและต้องมีการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศแต่ภาระและความเดือดร้อนทั้งหมดกลับถูกผลักให้ประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม เพียงเพื่อสนองความร่ำรวยของผู้ถือหุ้นไม่กี่คน ยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและไม่เป็นธรรมต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น

    เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) จึงเรียนมาเพื่อขอให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ทบทวนนโยบายการบริหารจัดการก๊าซ LPG ให้ประชาชนได้ใช้ LPG เป็นพลังงานทางเลือกอย่างเสรีในโครงสร้างราคาที่เป็นธรรมให้สอดคล้องกับฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชน โดยขอให้ยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดรวมทั้ง LPG เพราะ ณ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีฐานะเงินกองทุนน้ำมันสุทธิมากเกินความจำเป็นถึง ๔๑,๙๙๐ ล้านบาท และในภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองอยู่ขณะนี้ รัฐบาลไม่ควรเพิ่มภาระให้กับประชาชนด้วยการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นในราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง

    จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณา

    ขอแสดงความนับถือ
    เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย

    ติดต่อประสานงาน : นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    โทรศัพท์ ๐๘-๑๔๐๑-๘๙๔๕ โทรสาร ๐-๒๒๘๑-๑๗๐๘
    อีเมล parnthep.p@gmail.com

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2015
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “วิษณุ” ไม่ขัดข้องตุลาการล่าชื่อค้านร่างรัฐธรรมนูญ - เผยรายชื่อ ขรก.โกงล็อต 2 อาจลดฮวบ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 17:39 น. (แก้ไขล่าสุด 17 มิถุนายน 2558 21:59 น.)

    [​IMG]
    @นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี (ภาพจากแฟ้ม)

    รองนายกรัฐมนตรี ไม่ขัดข้องกรณีตุลาการล่ารายชื่อค้านที่มาคณะกรรมการตุลาการ และ การอุทธรณ์คำสั่ง ในร่างรัฐธรรมนูญ เผยเป็นประเด็นที่ ครม. เสนอแก้และตัดออก อีกด้านเผยรายชื่อข้าราชการพัวพันทุจริตลอต 2 บอกกำลังตรวจสอบ แต่พบบางคนเกษียณ ล้มหายตายจาก บางส่วนต้นสังกัดปลดไปแล้ว คาดส่งให้นายกฯ ได้ 1 - 2 วัน

    วันนี้ (17 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมจำนวน 1,130 คน เข้าชื่อคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) และการอุทธรณ์คำสั่ง ก.ต. โดยจะส่งมายังแม่น้ำทั้ง 5 สาย ว่า ไม่ขัดข้องหากจะส่งมา ตนเห็นแต่เพียงในข่าว และมองว่าเรื่องดังกล่าวควรส่งไปที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพราะในส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งไปหมดแล้ว และก่อนหน้านี้ ทางตุลาการก็มีการเสนอความเห็นมายัง ครม. 2 ข้อ คือ ไม่เห็นด้วยกับการให้มีผู้แทน ครม. อยู่ใน ก.ต. และ การเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษวินัยผู้พิพากษา จากเดิมที่ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ ซึ่งประเด็นที่สองถือเป็นหนึ่งใน 112 ประเด็นที่ ครม. เสนอปรับแก้และตัดออก ไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ซึ่งเราก็ได้ส่งทั้งสองประเด็นไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างฯ แล้ว

    นายวิษณุ ยังกล่าวถึงรายชื่อข้าราชการอาจพัวพันกับการทุจริต ล็อต 2 ว่า ขณะนี้ตนเห็นรายชื่อหมดแล้ว และกำลังตรวจสอบ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ได้สอบถามมาว่าทำไปถึงไหนแล้ว โดยการตรวจสอบเราจะใช่หลักเกณฑ์เดิม แยกออกเป็นสองบัญชี คือ บัญชีที่อยู่ในข่ายต้องใช้อำนาจ คสช. ส่วนอีกบัญชีไม่ใช่ข้าราชการ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับผู้ใหญ่ในท้องถิ่น อาทิ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และ สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ต้องส่งชื่อให้กระทรวงต้นสังกัดเป็นผู้ดำเนินการเอง และที่ช้าอยู่ตอนนี้เพราะรายชื่อดังกล่าวเป็นตำแหน่งหน้าที่ในขณะที่ถูกกล่าวหา แต่จนถึงวันนี้ บุคคลเหล่านี้ได้เกษียณอายุราชการ หรือ ล้มหายตายจากไป และที่สำคัญบางส่วนทางต้นสังกัดได้สั่งลงโทษและปลดไปแล้ว ทำให้รายชื่อเหลือน้อยลง ทั้งนี้ ใน 1 - 2 วัน ตนจะส่งรายชื่อไปให้หัวหน้า คสช. หากมีการดำเนินการในส่วนที่ใช้อำนาจ คสช. ก็จะมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ยกสองของจริง รัสเซียส่งสัญญาณเตือนนาโต้และบอลติกด้วยเครื่องบินรบ เรือรบ และเรือดำน้ำ

    [​IMG]

    -------------
    หลังจากที่สหรัฐฯและนาโต้จัดซ้อมรบในกลุ่มประเทศบอลติกใกล้ชายแดนรัสเซียถี่ขึ้น และสหรัฐฯประกาศว่าจะสร้างคลังเก็บอาวุธหนักในประเทศเพื่อนบ้านของรัสเซีย รวมทั้งจะส่งเครื่องบินรบ F-22 ไปประจำการในยุโรปเพิ่มขึ้น ปูตินออกมาเตือนนาโต้ตรงๆเลยว่างั้นรัสเซียก็จะตอบโต้ไปยังประเทศที่รัสเซียถือว่าเป็นภัยคุกคามความมั่นคงต่อรัสเซียเช่นกัน
    ล่าสุดเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.58) ทางกองทัพของลัตเวีย (NBS) ออกมาส่งทวิตเตอร์รัวแจ้งว่าพบทั้งเครื่องบินรบของรัสเซียใกล้น่านน้ำของลัตเวียถึง 9 ลำ เรือรบอีก 2 ลำ และเรือดำน้ำอีก 1 ลำ
    เครื่องบินลาดตระเวนทางอากาศของลัตเวียรายงานว่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมาพบเครื่องบินทิ้งระเบิดจู่โจมยุทธศาสตร์ระยะไกล Tu-22M จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินรบซุปเปอร์โซนิค MiG-31 2 ลำ ในขณะที่วันอังคารลัตเวียรายงานว่าพบเครื่องบินเตือนภัยทางอากาศและระบบควบคุมสั่งการ Airborne Warning And Control System (AWACS) Beriev A-50 จำนวน 1 ลำ เครื่องบินลำเลียง Ilyushin Il-20 turboprop จำนวน 1 ลำ เครื่องบินลำเลียง Antonov An-26 turboprop จำนวน 1 ลำ และเครื่องบินรบ MiG-31 ของรัสเซียอีก 2 ลำใกล้ชายแดนของลัตเวีย
    ทางกองทัพของลัตเวียยังรายงานอีกว่า พบเรือรบ Parchim-class corvette หนึ่งลำ เรือสนับสนุน Bira หนึ่งลำ และที่สำคัญคือเรือดำน้ำเครื่องยนต์ดีเซล Kilo-Class (CC-750 Kashtan) 1 ลำ ในน่านน้ำสากลห่างจากลัตเวีย 27 ไมล์ด้วย
    เมื่อต้นเดือนนี้นาโต้ได้จัดการซ้อมรบขนาดใหญ่ภายใต้ปฏิบัติการ Saber Strike 2015 หลายครั้งนำโดยสหรัฐฯใกล้กับประตูบ้านของรัสเซียทั้งในโปแลนด์และกลุ่มประเทศบอลติก ซึ่งมีบุคคลากรทางทหารเข้าร่วมถึง 6,000 นายจาก 12 ชาติสมาชิกนาโต้รวมทั้งฟินแลนด์ด้วย การซ้อมรบร่วมกันนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2010 ทั้งทางพื้นดิน อากาศ และในทะเล และนับวันยิ่งมีประเทศต่างๆเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ ปีที่ผ่านมามีกำลังพลเข้าร่วม 4,500 นายจาก 10 ประเทศ ปฏิบัติการซ้อมรบดังกล่าวพึ่งจบลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
    พากันมาซ้อมรบใกล้ชายแดนเขามากขึ้นเรื่อยๆ รัสเซียก็เพียงแค่เอาของดีไปโชว์ให้ดูใกล้ๆน่านน้ำของลัตเวียเท่านั้นเอง ทำเป็นตกอกตกใจเหมือนไม่เคยเห็นไปได้
    The Eyes
    18/06/2558
    ----------
    US Deploys in Mediterranean as NATO Brings in 25,000 Troops / Sputnik International
    Sound the Alarm! Latvia Spots 9 Russian Planes, 2 Ships, Sub Near Borders / Sputnik International
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นไปเอเซีย-แปซิฟิกจะกลายเป็นภูมิภาคที่ร่ำรวยที่สุดทิ้งอเมริกาไว้เบื้องหลัง - งานวิจัย

    [​IMG]

    -------------
    พูดแต่เรื่องสงครามแล้วอาจจะทำให้บางท่านรู้สึกเครียด งั้นหันมาดูเรื่องเศรษฐกิจบ้างนะครับ เมื่อวานนี้อ่านข่าวหนึ่งแล้วเห็นว่าน่าสนใจอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง คือเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว RT news ของรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "Asia-Pacific to leave N.America behind as world’s richest region by 2016 – study" จริงดิ๊!? น่าสนใจใช่ป๊ะ? มันมีเหตุผลอะไรถึงกับทำให้ RT ต้องพาดหัวข่าวแบบนี้ หลอกกันเล่นหรือเปล่า? ก็ลองอ่านดูจึงพบว่านี่ RT เขาไม่ได้พูดเอง แต่เป็นการศึกษาและวิจัยจาก BCG
    รายงานข่าวบอกว่า ภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกได้ล้ำหน้ายุโรปไปแล้วเป็นครั้งแรกในความหมายของคำว่า "การบริหารความมั่งคั่งทั่วโลก" (global wealth management) (เอ๊ะ! คำนี้ฟังคุ้นๆนะ จำได้หรือเปล่าใครที่ชอบพูดคำนี้บ่อยๆ "ประเทศไทยจะต้องเป็นประเทศที่ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" คริๆ) ภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกกำลังจะกลายเป็นภูมิภาคที่มั่งคั่งที่สุดเป็นอันดับสอง (ของโลก) ด้วยมูลค่าการซื้อขายถึง $47 trillion (ประมาณ 1.5 พันล้านล้านบาท) และกำลังจะแซงหน้าอเมริกาเหนือในปีหน้านี้แล้ว นี่เป็นรายงานการวิเคราะห์จาก The Boston Consulting Group (BCG) ของสหรัฐฯเองนะ
    BCG เผยแพร่รายงานชื่อ "Growth Continues, but Skies Are Not All Blue for Wealth Managers" BCG Perspectives ก็ออกรายงานอีกและฉบับชื่อ "Global Wealth 2015: Winning the Growth Game" เนื้อหาคล้ายกันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ในปี 2019 (อีก 4 ปีข้างหน้า) ความมั่งคั่งภาคเอกชน (private wealth) ในประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกคาดว่าจะกลายเป็น 1 ใน 3 ของความมั่งคั่งทั่วโลก
    รายงานบอกว่าในปี 2014 อเมริกาเหนือมีความมั่งคั่งภาคเอกชนอยู่ที่ $51 trillion (ประมาณ 1.7 พันล้านล้านกว่าบาท) ซึ่งถือว่ายังครองตำแหน่งเป็นภูมิภาคที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่จากการคาดการณ์ล่วงหน้า พบว่าความมั่งคั่งภาคเอกชนในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) จะมีมูลค่าราว $57 trillion (ประมาณ 1.9 พันล้านล้านบาท) ภายในปี 2016 (ก็ปีหน้านะสิ! ฟังแล้วชื่นใจจัง) ในขณะที่ความมั่งคั่งภาคเอกชนของอเมริกาเหนือคาดว่าจะอยู่ที่ $56 trillion (ประมาณ 1.8 พันล้านล้านบาท) ในปีเดียวกันนี้
    รายงานการศึกษาบอกว่าในปี 2019 (พ.ศ.2562) อัตราการเติบโตของความมั่งคั่งภาคเอกชน [ทั่วโลก] คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี ซึ่งจะมียอดรวมถึง $222 trillion (ประมาณ 7.5 พันล้านล้านบาท)
    หากดูภาพกราฟประกอบจะเห็นตัวเลขความแตกต่างได้ชัดเจนมาก ดูกราฟสีม่วง (2019E) ของ North America เทียบกับของ Asia-Pacific (ex Japan) ในปีเดียวกัน จะเห็นได้ว่าของอเมริกาเหนืออยู่ที่ 62.5% ในขณะที่ของเอเซีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) อยู่ที่ 75.1% เมื่อเทียบกันแล้วระหว่างปี 2014 กับ 2019 จะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตความมั่งคั่งร่ำรวยของภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกสูงกว่าทุกภูมิภาคทั่วโลกเลย ผู้ที่คบกับจีนและรัสเซียกลุ่ม BRICS และ AIIB รวมทั้ง SCO นับว่ามาถูกทางแล้ว เพราะตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป การลงทุนและพัฒนาโครงการขนาดใหญ่จะมุ่งตรงมาที่ภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกเป็นหลัก จึงไม่แปลกใจที่สหรัฐฯพยายามจะเข้าไปสร้างความวุ่นวายและเพื่อครอบครองหรือแย่งชิงส่วนแบ่งในทะเลจีนใต้จากจีน
    The Eyes
    18/06/2558
    ----------
    ​Asia-Pacific to leave N.America behind as world’s richest region by 2016 – study — RT Business
    https://www.bcgperspectives.com/con...ing-the-growth-game/?linkId=14921508#chapter1
    BCG - Press Release - Growth Continues, but Skies Are Not All Blue for Wealth Managers
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิกฤตเศรษฐกิจในยูโร: เมื่อความเป็นจริงจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมกรีก


    [​IMG]
    ภาพจาก @AFP 2015

    Alexis Tsipras นายกรัฐมนตรีกรีซ ได้บอกพรรค Syriza ของเขาว่ามาตรการรัดเข็มขัดจากสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ "สร้างความอัปยศไม่เพียงแต่รัฐบาลกรีก ... แต่เป็นประชาชนทั้งหมด."

    อ่านเพิ่มเติม: Economic Crisis in the Euro: When Reality Becomes a Greek Tragedy / Sputnik International
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปริศนา สามเหลี่ยมเมอร์บิวด้า กับ ฟองก๊าซมีเทน

    [​IMG]

    @Bermuda Triangle สามเหลี่ยมเบอร์บิวด้าเป็น 1 ในสถานที่อันตรายที่สุดในการเดินเรือ และการบิน มันถูกเรียกว่า สามเหลี่ยมของปีศาจ เนื่องจากมีปรากฏการณ์ที่เรือเดินสมุทร และเครื่องบิน จำนวนมากได้หายสาบสูญ ไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เป็นจำนวนมาก

    รายละเอียดเกี่ยวกับ สามเหลี่ยมเบอร์บิวด้า

    สามเหลี่ยมเบอร์บิวด้า เป็น บริเวณที่ถูกสมมุติขึ้นมาบนบริเวณ ตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดยการขีดเส้นตรงผ่าน 3 จุดดังต่อไปนี้ 1.เกาะเบอร์มิวด้า 2.ปลายสุดของรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา 3.ทางเหนือของประเทศเปอร์โตริโก
    การหายสาบสูญส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณ ตามแนวชายฝั่งทางตอนใต้ของหมู่เกาะบาฮามาส(Bahamas) และช่องแคบฟลอริดา(Straits of Florida) ซึ่งในบริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณที่มีการจราจร หนาแน่นที่สุดในโลก
    เรื่องราวของ สามเหลี่ยมเบอร์บิวด้าถูกจุดประเด็นขึ้นมาเมื่อ วันที่ 16 กันยายน 1950 ในบทความของ Associated Press โดย Edward Van Winkle Jones ถึงการหายสาบสูญไปอย่างผิดปกติในพื้นที่ของ สามเหลี่ยมเบอร์บิวด้า
    มีทฤษฎีจำนวนมากที่จะพยายามอธิบายถึง สาเหตุการหายสาบสูญนี้ ทั้งเรื่องการปั่นป่วนของกระแสแม่เหล็ก ทั้งในแง่กระแสน้ำ ทั้งจากพายุเฮอริเคน ทั้งจากการโจมตีของยานดำน้ำลึกลับ ทั้งจากการหลุดไปในต่างมิติ ฯลฯ
    จากการศึกษาล่าสุด กับ ทฤษฏีฟองก๊าซมีเทน
    จากการค้นคว้าล่าสุดที่ได้เปิดเผยในปี 2010 จากการศึกษาของนักศึกษาเกียรตินิยมนามว่า เดวิด เมย์(David May) ภายใต้การแนะนำของ ศาสตราจารย์ Joseph Monaghan แห่ง มหาวิทยาลัย Monash แห่งเมลเบิร์น(Melbourne) ที่ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยใน นิตยสารฟิสิกส์(American Journal of Physics)
    โดยแบบจำลองของพวกเขาแสดงให้เห็นว่า ฟองก๊าซขนาดใหญ่ สามารถจะจมเรือได้ ในรายงานยังได้เสนอให้มีการเพิ่มน้ำหนักการแจ้งเตือนเรือ เพื่อระวังภัยเพิ่มมากขึ้นเมื่อต้อง เดินทางผ่านบริเวณที่มีการเกิดฟองก๊าซมีเทน

    ภายใต้อุณหภูมิต่ำ และความกดดันมหาศาลใต้มหาสมุทรก๊าซมีเทนจะอยู่ในสภาพเป็นของแข็ง ที่จะเรียกว่า มีเทนไฮเดรท(Methane Hydrate) ดังที่จะเห็นได้จาก

    [​IMG]
    @ภาพซ้ายเป็นภาพของ มีเทนไฮเดรทที่สะสมตัวเป็นเนินอยู่ที่พื้นมหาสมุทร ในอ่าวเม็กซิโก ภาพขวาจะเห็นว่ามีเทนไฮเดรทสามารถลุกติดไฟได้เป็นอย่างดี

    [​IMG]
    @หากเกิดสภาพไม่สมดุลย์ของ อุณหภูมิ และ ความดัน จะทำให้มีเทนไฮเดรท เปลี่ยนสภาพจากของแข็ง เป็น ก๊าซมีเทน ลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ ดังในภาพ
    ฟองก๊าซมีเทนขนาดใหญ่นั้นสามารถเกิดขึ้นได้จาก มีเทนแข็ง(Methane Hydrate) ที่สลายตัวเกิดเป็นก๊าซมีเทนลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ

    จากการสำรวจพื้นมหาสมุทร ด้วย โซน่าร์ ในบริเวณทะเลเหนือ (ระหว่างอังกฤษ กับทวีปยุโรป) และในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า พบว่ามีแหล่งมีเทนแข็งจำนวนมาก และยังพบร่องรอยการระเบิดในอดีต
    ฟองก๊าซมีเทนที่ลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำไม่ได้มีรูปทรงเป็น ทรงกลม แต่มีลักษณะ คล้ายรูปทรงเลนส์(ด้านบนมีลักษณะโค้ง ด้านล่างเรียบ)
    เดวิด เมย์ ได้จำลองการทดลองโดยใช้ การกักน้ำไว้ระหว่างแผ่นกระจกที่วางในแนวตั้ง 2 แผ่น ทำการปล่อยฟองก๊าซจากด้านล่าง ด้านบนผิวน้ำมีโมเดลเรือลอยอยู่

    [​IMG]
    @เดวิด เมย์ พบว่า ฟองก๊าซขนาดใหญ่เท่าความยาวเรือ สามารถจมโมเดลเรือลงได้ขึ้นอยู่กับ ตำแหน่งที่ฟองก๊าซลอยขึ้นมาสัมผัสเรือ

    [​IMG]
    @ในช่วงตั้งสมมุติฐาน เดวิด เมย์ คิดว่าเมื่อฟองก๊าซลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ แล้วแตกตัวจะทำให้ผิวน้ำเกิดเป็นหลุมทำให้เรือตกลงไปในหลุมนั้น แต่ เมื่อทำการทดลอง เดวิด เมย์ พบว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นผิด เนื่องจากเมื่อฟองก๊าซแตกตัว นั้นจะเกิดลำน้ำความเร็วสูงพุ่งขึ้นมาดังในภาพ g และลำน้ำนี้จะตกลงนี้จะเป็นตัวดึงเรือลงสู่พื้นมหาสมุทรเบื้องล่าง

    ส่วนในกรณีของเครื่องบิน ก๊าซมีเทนที่ลอยตัวขึ้นสูงถึงระดับเพดานบิน ก๊าซมีเทนจะมีผลต่อระบบจุดระเบิดในเครืองยนต์ และมีผลต่อแรงยกตัวของเครืองบนจนเครื่องตกในที่สุด
    ข้อมูลอ้างอิง ปริศนา สามเหลี่ยมเมอร์บิวด้า กับ ฟองก๊าซมีเทน

    News in Science - Giant bubbles could sink ships, say maths experts - 24/10/2003
    How Brilliant Computer Scientists Solved the Bermuda Triangle Mystery - Salem-News.Com
    http://www.nature.com/nature/journal/v465/n7299/full/nature09069.html?lang=en
    Chemical & Process Technology: Why Cavitation is Destructive ?

    บทความจาก wowboom: ปริศนา สามเหลี่ยมเมอร์บิวด้า กับ ฟองก๊าซมีเทน (bermuda triangle methane gas theory)
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศาลปกครองสูงสุดไม่รับฟ้องวัดกัลยาณมิตรขอถอนคำสั่งห้ามรื้อโบราณสถาน ทายาทลั่นแจ้งจับสมภารแน่ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2558 12:16 น. (แก้ไขล่าสุด 18 มิถุนายน 2558 12:24 น.)

    [​IMG]

    “ศาลปกครองสูงสุด” ไม่รับคำฟ้องวัดกัลยาณมิตรฟ้องกรมศิลป์ขอเพิกถอนคำสั่งห้ามรื้ออาคาร 3 หลังที่ถูกขึ้นเป็นโบราณสถาน ชี้เป็นการขอให้ดำเนินการพิจารณาซ้ำ ด้านตัวแทนวัดยังยื้อ ขอรวมข้อมูลก่อนว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ส่วนทายาทตระกูลกัลยาณมิตร จี้ตำรวจฟันอาญาเจ้าอาวาสทำลายทรัพย์ชาติ ขู่มหาเถรสมาคมจุ้นเจอด้วยแน่

    วันนี้ (18 มิ.ย.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ไม่รับคำฟ้องของวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ที่ยื่นฟ้องกรมศิลปากรเพื่อขอให้ศาลปกครองสูงสุดสั่งเพิกถอนคำสั่ง วธ 0403/1035 ลว.8 เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2555 เรื่องห้ามวัดกัลยาณมิตรรื้อถอนทำลายอาคาร 3 หลังภายในวัดที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ประกอบด้วย อาคารหมายเลข 20 ค 4/4 หมายเลข 20 ค 4/5 และหมายเลข 21 ตามแผนผังโบราณสถานวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า กรณีพิพาทดังกล่าว ศาลปกครองกลางเคยพิจารณาชี้ขาดในคดีหมายเลขแดงที่ 2044/2553และคดีถึงที่สุดแล้วว่า วัดกัลยาณมิตรฯ เป็นโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วตามกฎหมาย รวมทั้งได้มีคำพิพากษาให้กรมศิลปากรสั่งให้ทางวัดระงับการซ่อมแซม แก้ไขเปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม ทำลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถานหรือปลูกสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคารภายในเขตของโบราณสถานวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารโดยเด็ดขาด

    ดังนั้น การที่วัดกัลยาณมิตรฯ ยื่นฟ้องกรมศิลปากรในคดีนี้จึงเป็นการขอให้ศาลดำเนินการพิจารณาซ้ำซึ่งเป็นข้อต้องห้ามมิให้กระทำ ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2556 นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย

    ด้านนายเสมือน ขุนสุนทร ผู้รับมอบอำนาจจากวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร กล่าวภายหลังรับทราบคำสั่งศาลปกครองสูงสุดว่า ต้องเคารพคำสั่งศาล หลังจากนี้ต้องไปรวบรวมข้อมูลก่อนว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป

    ขณะที่นายเชียรช่วง กัลยาณมิตร ในฐานะทายาทตระกูลกัลยาณมิตร กล่าวว่า เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลางก็เท่ากับว่าคดีนี้สิ้นสุดแล้ว และอยากร้องขอให้ตำรวจผู้รับผิดชอบเดินหน้าดำเนินคดีอาญาจำนวน 4 คดีค้างเก่าต่อเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ในความผิดฐานร่วมกันทำลายโบราณสถานซึ่งขึ้นทะเบียนไว้แล้วโดยไม่ได้รับอนุญาต และหลังจากนี้ตนจะเดินทางไปที่ สน.บุปผาราม นำสำนวนคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อใช้ประกอบในการดำเนินคดีอาญาทั้ง 4 คดีต่อไป และหากทางมหาเถรสมาคมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวตนก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีด้วย

     

แชร์หน้านี้

Loading...