ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กฎบัตรแมกนา คาร์ตา กับวิวัฒนาการ ‘วัฒนธรรมรัฐธรรมนูญ’
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 มิ.ย. 2558 09:30

    [​IMG]

    วันนี้ (15 ม.ค.58) เป็นวันครบรอบ 800 ปีของการลงนามในกฎบัตรแมกนา คาร์ตา ที่รันนีมีด (Runnymede) ทางตอนล่างของอังกฤษ ซึ่ง ‘แมกนา คาร์ตา’ เป็นข้อตกลงระหว่างกลุ่มขุนนางและกษัตริย์ ที่ว่ากษัตริย์ และข้าราชบริพารของพระองค์จะปกครองประเทศอย่างไร? กฎบัตรนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรมการเมืองและกฎหมายของสหราชอาณาจักร รวมทั้งอีกหลายๆ ประเทศ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาด้วย

    ‘แมกนา คาร์ตา’ ถูกร่างขึ้นเพื่อแก้วิกฤติระหว่างพระเจ้าจอห์นและขุนนางของพระองค์ เมื่อปี ค.ศ.1215 โดยคณะบาทหลวง ขุนนาง และพลเมืองชั้นนำ ต่อมาได้รับการขัดเกลาแก้ไขในปี ค.ศ. 1216 และอีกครั้งในปี ค.ศ.1225 ปัจจุบันเนื้อหาส่วนมากได้ถูกแก้ไขใหม่แทบทั้งหมดแล้ว แต่หลักการสำคัญบางประการยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ เช่น ในมาตรา 39 ที่เขียนว่า “เสรีชนจะถูกจับกุมคุมขังไม่ได้ ยกเว้นโดยการตัดสินตามกฎหมาย โดยคณะลูกขุนหรือตามกฎหมายแห่งรัฐ” และในมาตรา 40 “ห้ามขาย ห้ามปฏิเสธ หรือถ่วงสิทธิ์ส่วนบุคคลหรือความยุติธรรม”

    การปกครองประเทศอังกฤษของพระเจ้าจอห์น ไม่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก จนทำให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลที่สุดสองกลุ่ม คือ กลุ่มขุนนาง และกลุ่มนักบวชได้รวมกันต่อต้านพระองค์ โดยในยุคศักดินาของอังกฤษ การกบฏต่อต้านการปกครองที่ไม่ชอบของกษัตริย์ จะเป็นในลักษณะการสนับสนุนให้คู่แข่งในราชบัลลังก์ขึ้นมาครองราชย์แทน แต่เดวิด สตาร์คีย์ นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ชี้ว่าในช่วงนั้นพระเจ้าจอห์นไม่มีคู่แข่ง ฝ่ายกบฏจึงได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ พวกเขาไม่ได้กบฏเพื่อสนับสนุนตัวบุคคล แต่เพื่อแนวความคิด นั่นคือเพื่อปฏิรูปกฎหมายและการปกครองให้อยู่ในรูปแบบของคำปฏิญาณหรือกฎบัตร

    ความสำคัญของกฎบัตรแมกนา คาร์ตา มีด้วยกันสองประการ ประการแรก กฎบัตรนี้ได้สร้างหลักนิติธรรมขึ้นในอังกฤษ เนื่องจากกฎบัตรแมกนา คาร์ตากำหนดว่ากษัตริย์และขุนนางไม่สามารถประพฤติตนตามอำเภอใจได้ เช่น การขึ้นอัตราภาษีตามใจชอบ นอกจากนี้ยังได้กำหนดว่าเสรีชนทุกคนจะต้องได้รับความยุติธรรมและมีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเสรี ประการที่สอง แมกนา คาร์ตาเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการสู่การปกครองระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตย ตัวกฎบัตรแมกนา คาร์ตาเองไม่ได้ก่อตั้งประชาธิปไตย แต่กระบวนการการมีส่วนร่วมที่ทำให้เกิดข้อตกลงนี้รวมทั้งสมมติฐานที่ว่าทุกคนต้องได้รับความยุติธรรมและความเสมอภาคตามกฎหมายได้เป็นตัวกำหนดแนวทางวัฒนธรรมทางการเมืองของอังกฤษตลอด 800 ปีหลังจากนั้น นั่นคือแนวโน้มที่จะทุกฝ่ายจะประนีประนอมเพื่อพบกันครึ่งทางอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน

    หลักการเหล่านี้เป็นรากฐานของการพัฒนาไปสู่ระบอบรัฐสภาที่มีบทบาทมั่นคงและเป็นที่ยอมรับในโครงสร้างการปกครองของประเทศ เมื่อการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจก้าวไป (เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรม) องค์ประกอบของสภาก็ขยายมากขึ้นจนมีรูปแบบปัจจุบัน คือ มีสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป และบทบาทของสถาบันกษัตริย์ รัฐบาลและรัฐสภาก็ชัดเจนขึ้นจากธรรมเนียมปฏิบัติและระเบียบแบบแผน ปัจจุบันนี้เนื่องจากสหราชอาณาจักรมีการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญที่สมเด็จพระราชินีนาถพระราชทานพระราชอำนาจให้รัฐบาลของพระองค์ใช้ในการปกครองประเทศ หลักการแมกนา คาร์ตาจึงเกี่ยวข้องกับอำนาจการบริหารมากกว่าตัวองค์กษัตริย์หรือพระราชินี

    การที่แมกนา คาร์ตา ทำให้เกิดหลักนิติธรรมเป็นการวางรากฐานให้การพัฒนาประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภาในอังกฤษและบริเตนใหญ่ ลักษณะวิวัฒนาการของกระบวนการนี้เป็นสิ่งสำคัญ ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ ดาร์วินได้อธิบายทฤษฎีวิวัฒนาการไว้ในหนังสือ “กำเนิดสปีชีส์ (On the Origin of the Species)” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จที่สุด คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ในขณะที่สภาพแวดล้อมก็วิวัฒนาการไปด้วย ผมเชื่อว่าระบบการเมืองก็เช่นกัน ระบบการเมืองควรจะสะท้อนความเชื่อมโยงกับสังคม และวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ จากการอภิปรายอย่างมีข้อมูลและสม่ำเสมอในสังคมโดยรวม ลักษณะเช่นนี้ยังคงสืบเนื่องมาถึงการเมืองปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากการลงคะแนนเสียงประชามติเรื่องการแยกตัวเป็นเอกราชของสกอตแลนด์ และประชามติที่กำลังจะมีขึ้นเรื่องสมาชิกภาพของอังกฤษในสหภาพยุโรป

    สำหรับประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษโดยมากแล้ว ระบบการปกครองได้ค่อยๆ วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ โดยผ่านการเจรจาและความขัดแย้งซึ่งนำไปสู่ฉันทามติและธรรมเนียมปฏิบัติของผู้มีบทบาท แม้จะมีบางช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และการปฏิวัติ แต่ก็จะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ซึ่งก็นำไปสู่การประนีประนอมเพื่อพบกันครึ่งทาง ขณะเดียวกันก็ยังคงทำให้เกิดวิวัฒนาการขึ้น กระบวนการแมกนา คาร์ตาเองเป็นตัวอย่างที่ดี กฎบัตรนี้เสนอโดยกลุ่มกบฏ ได้รับการแก้ไขและเสนอใหม่โดยผู้สนับสนุนกษัตริย์ ก่อนที่กษัตริย์จะนำมาบังคับใช้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งหมายความว่าทุกฝ่ายมีส่วนเป็นเจ้าของกฎบัตรนี้ในทางการเมือง และผลที่ได้ก็คือกษัตริย์และชนชั้นผู้มีสิทธิ์ทางการเมืองได้เห็นตรงกันว่าประเทศควรมีการปกครองตามหลักการบางประการ

    วิวัฒนาการอีกแบบหนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่กล่าวถึงข้างต้นคือการเปลี่ยนแปลงจากบนสู่ล่าง เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นระยะๆ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นอุปสรรคต่อการสร้างฉันทามติในสังคม และต่อการสร้างความปรองดองโดยผ่านการอภิปราย ถ้ามีการนำระบบการเมืองใหม่ๆ มาใช้โดยคนกลุ่มเล็กๆ อยู่บ่อยครั้ง ประชาชนในวงกว้างก็ย่อมปราศจากแรงจูงใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการอภิปรายและในกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม

    การปฏิรูปที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมซึ่งเป็นผลมาจากการอภิปรายแสดงความคิดเห็นจะมีทางประสบความสำเร็จมากกว่า และสะท้อนให้เห็นความสนใจที่หลากหลายของสังคม ระบบการเมืองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่จะต้องมีการนำระบบมาใช้โดยผนวกกับการปฏิบัติทางการเมือง จารีตประเพณี และวัฒนธรรม เป็นไปไม่ได้ที่รัฐธรรมนูญจะครอบคลุมเหตุการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นเพื่อควบคุมผู้มีบทบาททางการเมือง และในทางปฏิบัติก็จะมีการหาทางลบข้อจำกัดต่างๆ จึงเป็นการดีกว่าถ้าเราจะใช้เวลาปลูกฝังการศึกษาทางการเมือง และสร้างความเข้าใจในหน้าที่ของพลเมือง หน้าที่ทางการเมือง และวัฒนธรรมทางการเมืองเพื่อหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม

    อิทธิพลของแมกนา คาร์ตาไม่ได้จำกัดอยู่ในอังกฤษและสหราชอาณาจักรเท่านั้น ในสหรัฐอเมริกาเองแนวคิดเกี่ยวกับแมกนา คาร์ตาก็มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อคำประกาศอิสรภาพ และบัญญัติสิทธิ์ (Bill of Rights) บรรดาผู้พิพากษาในศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกาได้อ้างแมกนา คาร์ตาในคำพิพากษากว่า 400 ครั้ง ภาษาที่ใช้ในแมกนา คาร์ตายังได้ปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนปี ค.ศ. 1948 และนางเอลินอร์ รูสเวลท์ได้อ้างถึงแมกนา คาร์ตาอย่างชัดเจนในการประกาศใช้ปฏิญญาสากลนั้น

    ผมเชื่อว่าหลักการที่ระบุอยู่ในแมกนา คาร์ตาเป็นหลักการสากลอย่างแท้จริง โดยสรุป แมกนา คาร์ตาวางแนวคิดเกี่ยวกับหลักนิติธรรม และกระบวนการซึ่งได้พัฒนาเป็นระบบรัฐสภา และในเวลาต่อมาเป็นระบบประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม กล่าวง่ายๆ ก็คือ สังคมที่มั่นคงและประสบความสำเร็จที่สุดคือสังคมที่ปฏิบัติต่อพลเมืองอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกัน (หลักนิติธรรม) และคือสังคมที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม หรือมีผู้แทนร่วมในการปกครองประเทศ หลักการของแมกนา คาร์ตายังคงเหมาะสมต่อสังคมปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะในอังกฤษ และในสหราชอาณาจักร แต่ในทุกประเทศที่ต้องการมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริงภายใต้หลักนิติธรรม

    บทความโดย : นายมาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย

    กฎบัตรแมกนา คาร์ตา กับวิวัฒนาการ ‘วัฒนธรรมรัฐธรรมนูญ’ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ส่อแตกหัก! การเจรจาระหว่างกรีซ กับเจ้าหนี้ไม่คืบมีแววชักดาบ
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 มิ.ย. 2558 11:40

    [​IMG]

    การเจรจาแก้ไขปัญหาหนี้ระหว่าง กรีซ กับ เจ้าหนี้รายใหญ่ ใกล้ถึงจุดแตกหักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โวยอียู และ ไอเอ็มเอฟ ปราศจากเหตุผลจากเงื่อนไขที่แข็งกร้าว และมีความเป็นไปได้ถึงการผิดนัดชำระเงิน...

    เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2558 บุญธง ก่อมงคลกูล ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำประเทศเบลเยียม รายงานอ้างจากหนังสือพิมพ์เลอซัวร์ ของ เบลเยียมที่ระบุว่า การเจรจาแก้ไขปัญหาหนี้ระหว่าง กรีซ กับ เจ้าหนี้คือ สหภาพยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ )เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2558 ณ กรุงบรัสเซลส์ ใกล้ถึงจุดแตกหักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมีความเป็นไปได้ ที่กรีซอาจจะเบี้ยวชำระหนี้ ที่เริ่มใกล้เวลาครบกำหนดเข้ามาทุกที

    “กรีซมาเข้าร่วมประชุม โดยมีมือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง” แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับการเจรจากล่าวว่า “เรื่องเดียวที่กรีซมีอยู่ในหัว คือ การเจรจาทางการเมือง” นั่นหมายถึงว่า รอการเจรจาในที่ประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป ที่จะมีขึ้นช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ที่กรุงบรัสเซลส์

    กรีซกล่าวถึงเจ้าหนี้ของตนคือ สหภาพยุโรป และไอเอ็มเอฟ ว่า “ปราศจากเหตุผล” เกี่ยวกับอนาคตของปัญหาทางการเงินของกรีซ ในที่ประชุมอันเคร่งเครียดที่กรุงบรัสเซลส์ โดยไม่มีการตกลงใดๆ ทั้งสิ้น “ข้อเรียกร้องของบรรดาเจ้าหนี้ล้วนปราศจากเหตุผล ตลอดเวลาของการเจรจานานถึง 45 นาที” แหล่งข่าวดังกล่าวระบุ และได้ปัดความรับผิดชอบ ในความล้มเหลวของข้อตกลง โดยเฉพาะจากไอเอ็มเอฟว่า “มีเงื่อนไขที่ไร้การประนีประนอม และแข็งกร้าว” โดยยังคงยืนยันที่จะให้มีการตัดงบประมาณด้านบำนาญ และขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT

    การเจรจาที่กรุงบรัสเซลส์ ระหว่างกรีซ กับบรรดาเจ้าหนี้ ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ และสิ้นสุดลงในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยไร้ข้อตกลง อันมีสาเหตุมาจาก “ความแตกต่างกัน ของจุดยืนเป็นเรื่องสำคัญ ในการเจรจาของทั้งสองฝ่าย” โฆษกของ อียู ระบุ “ข้อเสนอของกรีซยังไม่มีความสมบูรณ์เพียงพอ” ทั้งที่ นายฌองโคลด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป ยังมีความหวังว่า จะสามารถหาทางออกได้ภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งเป็นวันที่กรีซจะต้องชำระหนี้ก้อนโต ให้กับเจ้าหนี้รายใหญ่ คือ ไอเอ็มเอฟ โดยที่กรีซอาจจะตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ทันตามเวลาที่กำหนด

    นายฌองโคลด จุงเกอร์ ได้ใช้ความพยายามเป็นครั้งสุดท้ายในช่วงวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยขอความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญของอียู ธนาคารกลางยุโรป และไอเอ็มเอฟ เพื่อหาทางออกให้กับ นายอเลซิส ทซิปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ แม้ว่าจะมีความคืบหน้าอยู่บ้างในการเจรจาในครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ อันเนื่องมาจากความแตกต่างในจุดยืนของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของรัฐบาลกรีซ และข้อเรียกร้องที่ดื้อดึงของเจ้าหนี้

    สหภาพยุโรปได้ตั้งประเด็นว่า กรีซจะต้องลดงบประมาณลงให้ได้ ปีละไม่น้อยกว่าสองพันล้านยูโร จึงจะได้รับความสนับสนุนทางการเงินที่กรีซมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด “จากพื้นฐานดังกล่าวข้างต้น การเจรจาครั้งใหม่จะมีขึ้นอีกครั้งในที่ประชุมยูโร กรุ๊ป หรือการประชุมร่วมของรัฐมนตรีคลัง ของประเทศสมาชิกยูโรโซน ที่จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน นี้ ที่ประเทศลักเซมเบิร์ก นายฌองโคลด จุงเกอร์ “ยังคงมีความเชื่อมั่นว่า หากทางฝ่ายกรีซเพิ่มความพยายามในการปฏิรูปขึ้นอีก และการปรับนโยบายที่ผ่อนปรนจากทุกฝ่าย ก็จะทำให้สามารถหาข้อสรุปได้ ภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้แน่นอน”

    ประเทศกรีซกำลังอยู่ในระยะเวลาที่มีความเสี่ยง ที่จะผิดนัดชำระหนี้ตามกำหนด และก็จะส่งผลกระทบอย่างที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ต่อประเทศในยูโรโซนทุกประเทศ ทั้งนี้ กรีซจะต้องชำระหนี้ให้กับไอเอ็มเอฟจำนวน 1.6 พันล้านยูโร ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2558 และมีความเสี่ยงที่จะเบี้ยวหนี้จำนวนดังกล่าว หากไม่ได้รับการปล่อยกู้วงเงิน 7.2 พันล้านยูโร ที่ได้ถูกแขวนจากบรรดาเจ้าหนี้ เนื่องจากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา.

    ส่อแตกหัก! การเจรจาระหว่างกรีซ กับเจ้าหนี้ไม่คืบมีแววชักดาบ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เป็นเรื่อง! ปธน.ซูดาน ถูกศาลห้ามออกจากแอฟริกาใต้
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 มิ.ย. 2558 04:15

    [​IMG]

    @ประธานาธิบดี โอมาร์ อัล-บาเชียร์ แห่งซูดาน (ภาพ: REUTERS)

    ประธานาธิบดีแห่งประเทศซูดาน ผู้ถูกศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี ออกหมายจับหลายข้อหา ถูกศาลแอฟริกาใต้สั่งห้ามกลับประเทศ เพื่อรอพิจารณาว่าจะส่งตัวเขาไปให้ ไอซีซี หรือไม่...

    สำนักข่่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลสูงแห่งประเทศแอฟริกาใต้ มีคำสั่งให้ประธานาธิบดี โอมาร์ อัล-มาเชียร์ แห่งประเทศซูดาน ซึ่งเดินทางมาแอฟริกาใต้เพื่อร่วมประชุมสุดยอดสหภาพแอฟริกาในวันอาทิตย์ อยู่ในประเทศไปจนถึงวันจันทร์ (15 มิ.ย.) เพื่อรอการพิจารณาว่าจะส่งตัวเขาไปให้ ไอซีซี ตามหมายจับหรือไม่

    นายบาเชียร์ถูกไอซีซีออกหมายจับตั้งแต่ปี 2009 ในข้อหา อาชญากรรมสงคราม และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากการที่รัฐบาลออกแคมเปญกวาดล้างผู้ที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ ในเมืองดาร์ฟูร์ ของซูดาน เมื่อปี 2003 จนทำมีผู้เสียชีวิตนับแสนคน แต่นายบาเชียร์ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด

    โฆษกรัฐบาลแอฟริกายังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับคำสั่งของศาลในครั้งนี้ แต่ทางพรรครัฐบาล 'เอเอ็นซี' ออกมาโจมตี ไอซีซี ว่า ไม่มีประโยชน์สำหรับเป้าหมายที่ศาลแห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นมีอีกต่อไปแล้ว

    ทั้งนี้ ไอซีซี ไม่มีตำรวจเป็นของตัวเองจึงจำเป็นต้องยืมกำลังของชาติสมาชิก ซึ่งรวมถึง แอฟริกาใต้ ในการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยนับตั้งแต่ไอซีซีออกหมายจับนายบาเชียร์ การเดินทางเยือนต่างประเทศส่วนใหญ่ของเขาจะมีเป้าหมายที่ประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของไอซีซีเช่น ซาอุดีอาระเบียและอียิปต์

    เป็นเรื่อง! ปธน.ซูดาน ถูกศาลห้ามออกจากแอฟริกาใต้ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยุโรปกำลังหมดความอดทนกับกรีซ | เดลินิวส์

    [​IMG]

    เยอรมนีเตือนกรีซว่า ความอดทนของทุกฝ่ายลดลงทุกขณะ หลังรัฐบาลเอเธนส์ยังไม่สามารถหาทางออกจากภาระหนี้สินร่วมกับเจ้าหนี้ได้อย่างลุล่วง ขณะที่หนี้งวดล่าสุด 1,600 ล้านยูโรต้องได้รับการชำระภายในสิ้นเดือนนี้ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2558 เวลา 9:38 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่าคณะกรรมาธิการยุโรป ( อีซี ) รายงานความคืบหน้าของการเจรจารอบล่าสุด ระหว่างรัฐบาลกรีซกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรป ( อียู ) และธนาคารกลางยุโรป ( อีซีบี ) ว่ามีความคืบหน้า แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันมากในประเด็นสำคัญ

    ขณะที่ท่าทีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( ไอเอ็มเอฟ ) ซึ่งถอนตัวออกจากการเจรจาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังคงเดิม นั่นคือการที่รัฐบาลเอเธนส์ต้องเพิ่มความเข้มงวดให้กับมาตรการรัดเข็มขัด โดยนายโอลิเวอร์ บลองชาร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ กล่าวว่าการเจรจาดำเนินมาถึงจุดที่มั่งสองฝ่ายต้องตัดสินใจด้วยความ "เด็ดขาด" เนื่องจากใกล้ถึงเส้นตายวันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งทางการเอเธนส์ต้องชำระหนี้งวดล่าสุดมูลค่า 1,600 ล้านยูโร ( ราว 61,120 ล้านบาท ) คืนให้แก่ไอเอ็มเอฟ

    ด้านนายยานนิส ดรากาซาคิส รองนายกรัฐมนตรีของกรีซ ยืนยันรัฐบาลเอเธนส์ยังคงมีความพร้อมเจรจากับเจ้าหนี้ทุกราย แต่ข้อเรียกร้องเรื่องการเพิ่มมาตรการรัดเข็มขัด และตัดทอนงบประมาณสนับสนุนโครงการเงินบำนาญของผู้เกษียณอายุราชการเป็นสิ่งที่กรีซไม่สามารถยอมรับได้ โดยอียูและไอเอ็มเอฟยื่นคำขาดให้รัฐบาลเอเธนส์ยกระดับมาตรการรัดเข็มขัด เพื่อเพิ่มเงินทุนสำรองให้กับประเทศราว 2,000 ล้านยูโร ( ราว 76,400 ล้านบาท ) และการันตีการรับเงินช่วยเหลืองวดต่อไป

    อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ "บิลด์" ฉบับวันอาทิตย์ ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของนายซิกมาร์ กาเบรียล รองนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ว่าเวลาของกรีซกำลังหมดลงทุกขณะ เช่นเดียวกับความอดทนของประเทศร่วมภูมิภาค ถือเป็นคำเตือนแรกอย่างเป็นทางการและตรงไปตรงมากที่สุดของรัฐบาลเบอร์ลิน ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาแสดงท่าที "ยอม" ให้รัฐบาลกรีซก่อนเสมอ“

    อ่านต่อที่ : ยุโรปกำลังหมดความอดทนกับกรีซ | เดลินิวส์
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิสราเอลชี้การโจมตีกาซา "ชอบด้วยกฎหมาย" | เดลินิวส์

    [​IMG]

    รัฐบาลอิสราเอลออกรายงานเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซาเมื่อปีที่แล้ว ว่า "ชอบธรรม" และ "ถูกกฎหมาย" เรียกเสียงประณามจากกลุ่มฮามาส ว่าเป็นการปัดความรับผิดชอบ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2558 เวลา 12:31 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเยรูซาเลม ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่ากระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลยื่นรายงานความยาว 277 หน้าต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอชอาร์ซี ) ชี้แจงเรื่องปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา ระหว่างเดือนก.ค.-ส.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "สงคราม 50 วัน" ว่ามีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 2,125 ศพ ในจำนวนนี้เป็นพลเรือน 761 ศพ ขณะที่ชาวอิสราเอลเสียชีวิต 73 ศพ ในจำนวนนี้ 67 ศพเป็นทหารของกองกำลังป้องกันอิสราเอล ( ไอดีเอฟ )

    เนื้อหาในรายงานระบุด้วยว่า สถิติการเสียชีวิตของพลเรือนชาวชาวปาเลสไตน์อาจมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีหลายครั้งที่กลุ่มฮามาสใช้วิธีแต่งกายอำพรางตัวเป็นพลเรือน หรืออาศัยประชาชนเป็นเครื่องกำบังในฐานะ "โล่ห์มนุษย์" อีกด้วย จึงเป็นไปตาม "ความชอบธรรม" และ "ความถูกต้องตามกฎหมาย" ของอิสราเอลในการเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีเพื่อให้กลุ่มฮามาสยุติพฤติกรรมดังกล่าว ทั้งนี้ การสร้างความเสียหายให้แก่พลเรือนในฉนวนกาซาเป็นสิ่งที่อิสราเอลพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด และมีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้รับทราบข่าวการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ

    ขณะที่นายซามี อาบู ซูห์รี โฆษกกลุ่มฮามาส แถลงประณามรายงานดังกล่าวของรัฐบาลอิสราเอลว่า "ไร้สาระ" และเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ทางการอิสราเอลต้องการปฏิเสธความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา ด้านยูเอ็นเอชอาร์ซีเตรียมเผยแพร่รายงานของตัวเองในเรื่องนี้ในวันที่ 29 มิ.ย. นี้“

    อ่านต่อที่ : อิสราเอลชี้การโจมตีกาซา "ชอบด้วยกฎหมาย" | เดลินิวส์
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ออสซีจี้อินโดฯเพิ่มการเฝ้าระวังน่านน้ำ | เดลินิวส์

    [​IMG]

    ออสเตรเลียเรียกร้องให้อินโดนีเซียเพิ่มมาตกรารรักษาความปลอดภัยในเขตน่านน้ำของตัวเองเพื่อป้องกันผู้อพยพทางเรือ ท่ามกลางกระแสกดดันให้รัฐบาลแคนเบอร์ราชี้แจง ว่าติดสินบนเรือผู้อพยพให้เปลี่ยนเส้นทางเดินเรือจริงหรือไม่ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2558 เวลา 13:20 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่าหนังสือพิมพ์ "ดิ ออสเตรเลียน" ฉบับวันจันทร์ ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของนางจูลี บิชอป รมว.กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย แสดงความหวังเรื่องการได้รับทราบความคืบหน้าจากทางการอินโดนีเซียในอนาคตอันใกล้นี้ เกี่ยวกับการสืบสวนเรื่องเครือข่ายการค้ามนุษย์ในประเทศ ที่รวมถึงการละเมิดกฎหมายคนเข้าเมืองเกี่ยวกับการออกหนังสือเดินทางและวีซ่า และการค้นหาคำตอบในประเด็นที่ว่ามีการ "ติดสินบน" กัปตันเรือบรรทุกผู้อพยพหรือไม่

    อย่างไรก็ตาม บิชอปกล่าวว่าหนทางที่ดีที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือการที่รัฐบาลอินโดนีเซียต้องยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัยให้แก่น่านน้ำของตัวเอง เพื่อป้องกันการละเมิดน่านน้ำของเรือบรรทุกผู้อพยพ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลแคนเบอร์ราปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา

    ด้านนายอักนุส บาร์นาส โฆษกกระทรวงความมั่นคงของอินโดนีเซีย แถลงตำหนิรัฐบาลออสเตรเลียว่า การกล่าวโทษรัฐบาลจาการ์ตาเพียงฝ่ายเดียวเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง นอกจากนี้ หามีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่ามีการติดสินบนเกิดขึ้นจริง จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการไหลบ่าของเรือผู้อพยพมากขึ้นอีก บาร์นาสกล่าวด้วยว่า น่านน้ำของอินโดนีเซียนั้นกว้างขวางมาก และอาจเกินความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    ทั้งนี้ รายงานของสื่อหลายสำนักทั้งในออสเตรเลียและอินโดนีเซียระบุว่า เมื่อปลายเดือนพ.ค. หน่วยยามฝั่งของออสเตรเลียมอบเงินให้แก่ลูกเรือบรรทุกผู้อพยพ 5 คน คนละ 5,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย ( ราว 132,000 บาท ) เป็น "สินน้ำใจ" เพื่อให้นำเรือบรรทุกผู้อพยพจากบังกลาเทศ เมียนมา และศรีลังกา ที่ลักลอบนำเข้ามา 65 คน เปลี่ยนเส้นทางออกไปจากน่านน้ำของออสเตรเลีย กระนั้นนายกรัฐมนตรีโทนี แอบบอตต์ ยังคงสงวนท่าทีกับข่าวดังกล่าว“

    อ่านต่อที่ : ออสซีจี้อินโดฯเพิ่มการเฝ้าระวังน่านน้ำ | เดลินิวส์
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ท่องเที่ยวเกาหลีใต้สูญ 2 พันล้านดอลลาร์เพราะไวรัสเมอร์ส | เดลินิวส์

    [​IMG]

    การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส "เมอร์ส" ในเกาหลีใต้ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 16 ศพ ภายในเวลา 3 สัปดาห์ อาจสร้างความเสียหายให้แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศมากถึง 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2558 เวลา 13:40 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่านายคิม จอง รมช.กระทรวงการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ แถลงเรื่องการได้รับแจ้งยกเลิกกำหนดการท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวกว่า 100,000 คนจากทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นชาวจีน เนื่องจากหวั่นเกรงเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนากลุ่มโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง ( เมอร์ส ) ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนในประเทศอย่างน้อย 16 ศพ

    ทั้งนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ประมาณการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจเอาไว้ที่สูงสุด 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 30,330 ล้านบาท ) หากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงร้อยละ 20 ทว่าหากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมากถึงร้อยละ 50 มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจสูงถึง 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 77,510 ล้านบาท ) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีแผนจัดสรรงบประมาณในเบื้องต้น 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 2,156.8 ล้านบาท ) สำหรับให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบแล้ว

    นับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สคนแรกในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นชายวัย 68 ปี เชื้อไวรัสชนิดนี้คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 16 ศพ และทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 150 คนแล้ว ถือเป็นสถิติสูงที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 รองจากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีการพบผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสเมอร์สเมื่อปี 2555 ที่จนถึงปัจจุบันทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 412 ศพ“

    อ่านต่อที่ : ท่องเที่ยวเกาหลีใต้สูญ 2 พันล้านดอลลาร์เพราะไวรัสเมอร์ส | เดลินิวส์
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กต.เผยปากีสถาน ยังสอบสวน 5 นศ.ไทย | เดลินิวส์

    ปลัด กต.เผยทางการปากีสถาน ยังไม่ปล่อย 5 นศ.ไทย อยู่ระหว่างสอบสวน ย้ำ กต.ช่วยเต็มที่ ชี้พกอาวุธขึ้นเครื่องบินเป็นความผิด แม้ไม่มีเจตนา วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2558 เวลา 13:31 น.

    [​IMG]

    เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่โรงแรมพูลแมน คิงพาวเวอร์ นายนรชิต สิงหเสนี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่นักศึกษาไทย 5 คน ยังถูกทางการปากีสถานควบคุมตัวจากกรณีซุกซ่อนอาวุธปืน ว่า สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน และกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ยังคงประสานงานกับทางปากีสถานในการให้ความช่วยเหลือและดูแลนักศึกษาไทยเหล่านี้อย่างใกล้ชิดแล้ว ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของทางปากีสถาน เราจึงยังต้องติดตามต่อไปว่าจะมีการดำเนินการกับนักศึกษาไทยกลุ่มนี้อย่างไร ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าจะติดตามให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด ถ้ามีการขึ้นศาล เราก็จะจัดหาทนายความให้ แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือการดูแลเรื่องสวัสดิภาพให้ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    "โดยหลัก การพกพาอาวุธเข้าอากาศยาน เป็นความผิดอยู่แล้ว ไม่ว่าบุคคลนั้นจะจงใจ หรือไม่ ไม่จงใจก็ตาม รวมถึงจะรับฝากจากใครด้วย เพราะกฎหมายถือว่าเรื่องนี้เป็นความผิด ซึ่งทางการปากีสถานก็สอบสวนอยู่ "นายนรชิต กล่าว.“

    อ่านต่อที่ : กต.เผยปากีสถาน ยังสอบสวน 5 นศ.ไทย | เดลินิวส์
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช

    "Hard Power - Soft Power" กลยุทธ์ "หยิน-หยาง" ของจีนในการผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจโลกแข่งกับ Marshall Plan ของสหรัฐฯ

    [​IMG]

    ------------
    เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียลงข่าวเรื่องหนึ่งพาดหัวว่า "China Paves Way to Global Dominance Resting on US Marshall Plan" ก็สงสัยดิว่าจีนทำยังไง ในมุมมองของใคร? จึงลองอ่านดูเล่นๆ จิบกาแฟไปด้วย พอจบต้องบอกว่า "นี่คืออีกบทความหนึ่งที่อยากจะแปลแบบเล่าสู่กันฟังให้กับแฟนเพจได้รับรู้เพื่อเปิดมุมมองให้มากขึ้น"
    บทความนี้ทางสื่อฯของรัสเซียเอามาจากเว็บไซต์ของสำนักข่าว Atlantico news ฝรั่งเศส เป็นการวิเคราะห์โดย Grenoble Mylène Gaulard เป็นนักเศรษฐศาสตร์หญิงชาวฝรั่งเศสบรรยายอยู่ที่มหาวิทยาลัย Pierre Mendes-France University ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวดังกล่าว ก่อนหน้านี้เราได้อ่านการวิเคราะห์เกี่ยวกับการล่มสลายของสหรัฐฯสไตล์โซเวียตโดยนักวิชาการชาวบราซิลมาแล้ว คราวนี้ลองมาฟังนักวิชาการหญิงชาวฝรั่งเศสวิเคราะห์การผงาดขึ้นสู่เวทีมหาอำนาจโลกของจีนดูบ้างนะครับ เดี๋ยวจะแอ็ดมินจะลองวิเคราะห์ความคิดของเธอเล่นๆให้ฟังในตอนท้าย
    Sputnik news พาดหัวข่าวรองว่า "ในขณะที่สหรัฐฯและอียูกำลังมุ่งความสนใจไปที่การพยายามต่อต้านการแผ่ขยายของไอซิส (สังเกตให้ดีนะผู้เขียนไม่ได้ใช้คำว่าปราบปรามแต่ใช้คำว่าการแผ่ขยายแทนเหมือนจะรู้ว่าใครสร้างไอซิสขึ้นมาอย่างนั้นแหละ) จีนกลับกลายเป็นปรมาจารย์ที่เยี่ยมยุทธ์ในการกรุยทางมุ่งหน้าสู่การเป็นมหาอำนาจในเศรษฐกิจโลก (China is skillfully mastering its way towards dominance in the global economy) (ว้าว!... แสดงว่าเธอคงจะชอบดูหนังจีนแน่ๆ เพราะสำนวนการของเธอเหมือนภาคหนังสือจีนเลยอ่ะ) รูปแบบลีลา (ของจีน) นั้นดูคล้ายกันกับมาร์แชลล์แพลน (Marshall Plan) ของสหรัฐฯที่เคยใช้ในยุโรปในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อยับยั้งอิทธิพลของโซเวียต (ในสมัยนั้น)"
    ที่ว่าเหมือนกับสหรัฐฯในยุโรปนั้น Gaulard อธิบายว่าปัจจุบันนี้จีนครองตลาดต่างประเทศและมีอำนาจเหนือประเทศกำลังพัฒนาในเอเซียใต้ (South Asia ประกอบด้วย อัฟกานิสถาน บังคลาเทศ ภูฏาน เนปาล อินเดีย มัลดีฟส์ ปากีสถาน และศรีลังกา)
    Mylène Gaulard กล่าวว่า "ตั้งแต่ประธานธิบดีสี จิ้นผิงก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 2012 ประเทศจีนมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่เรียกว่า 'พลังอ่อนนุ่ม/บุ๋น' (Soft Power) นอกจากสายสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการเงินแล้ว จีนยังช่วยสนับสนุนด้านการเงินให้แก่ประเทศ [กำลังพัฒนา] เหล่านั้นในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และเพิ่มการให้ความช่วยเหลือทางด้านการพัฒนาให้กับประเทศเหล่านั้นซึ่งจีนมีผลประโยชน์มหาศาลด้วย"
    Mylène Gaulard กล่าวว่า "เหมือนกับที่สหรัฐฯได้ดำเนินแผนมาร์แชลล์แพลนในยุโรปเพื่อป้องกันการแผ่ขยายอิทธิพลของโซเวียตหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จีนก็สร้างธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งใหม่ขึ้นมาบ้าง เพื่อสนับสนุนด้านการเงินให้กับโครงสร้างพื้นฐานในเอเซีย [ยุทธศาสตร์นี้] จะช่วยให้จีนปกป้องผลประโยชน์ของตนในประเทศเหล่านั้นเอาวไว้ได้"
    นักเศรษฐศาสตร์หญิงชาวฝรั่งเศสคนนี้กล่าวอีกว่า "กลยุทธ์นี้จะเป็นการอำนวยความสะดวกในการลงทุนทางธุรกิจ การส่งออกสินค้าให้กับจีน และยังจะช่วยสนับสนุนการจัดหาวัตถุดิบให้กับจีนได้ด้วย"
    Mylène Gaulard กล่าวว่า "ส่วนการที่จีนเพิ่มงบประมาณทางกองทัพมากขึ้นเรื่อยๆนั้นถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของ 'พลังแข็ง/บู๊' (Hard Power) ซึ่งใช้เพื่อเพิ่มบทบาทในภูมิภาคนั้น"
    Mylène Gaulard กล่าวต่ออีกว่า "ปัจจุบันนี้จีนแสดงตัว (มีบทบาท) ในแอฟริกา เอเซียกลาง (คาซัคสถาน คีร์กิสถาน ทาจีกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุสเบกิสถาน) และลาตินอเมริกาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทของจีนทั้งภาคเอกชนและระดับมหาชน กำลังก่อตั้งในประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากร และจีนกำลังทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีร่วมกับประเทศเหล่านี้"
    ส่วนมาร์แชลล์แพลน (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ European Recovery Program, ERP) นั้นเป็นการริเริ่มของอเมริกาเพื่อให้ความช่วยเหลือยุโรปในสมัยหลังสงครามเป็นเวลาหลายปี
    จุดมุ่งหมาย (goals) ของสหรัฐฯนั้นก็คือเพื่อฟื้นฟูภูมิภาคที่ถูกทำลายจากสงคราม ขจัดอุปสรรคด้านการค้า พัฒนาอุสาหกรรมให้ทันสมัย ทำให้ประเทศต่างๆในยุโรป 17 ประเทศกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง และจากนั้นก็ป้องการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิส (ตอนนี้เธอชมสหรัฐฯมาก)
    สหรัฐฯกลัวว่าความยากจน การว่างงาน และการอพยพย้ายถิ่นฐานในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจะเป็นการส่งเสริมให้พรรคคอมมิวนิสต์ต่างๆได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในยุโรปตะวันตก แผนมาร์แชลล์แพลนดังกล่าวเปิดปฏิบัติการเป็นระยะเวลา 4 ปีซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1948
    + วิเคราะห์
    ---------
    จริงๆ แล้วหลังจากที่ลองเทียบกับบทสัมภาษณ์ต้นฉบับที่เป็นภาษาฝรั่งเศสดู พบว่าต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสมีเนื้อหาที่ค่อนข้างยาวและละเอียดกว่านี้ แต่อาจจะติดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ทาง Sputnik จึงดูเหมือนสรุปและแปลเป็นภาษาอังกฤษแต่เพียงเท่านี้เอง แอ็ดมิน (คุณอาย) ก็แปลตามที่มีปรากฏจากภาคภาษาอังกฤษนี่แหละครับ
    เมื่ออ่านจบ จึงพยามจะมองหาว่าผู้เขียนที่เป็นนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศสคนนี้เธอต้องการจะบอกอะไรกับอียูกันแน่ เท่าที่มองโดยคร่าวๆเหมือนกับว่าเธอพยายามส่งสัญญาณให้เหล่านักการเมือง นักธุรกิจชาวตะวันตกได้รับรู้ว่าตอนนี้จีนกำลังจะขยายอำนาจมากขึ้นแล้วนะ โดยเฉพาะในเอเซีย แอฟริกา และลาตินอเมริกาด้วย จีนกำลังแข่งกับสหรัฐฯเพื่อนของอียูอยู่นะ พวกอียูควรจะทำอะไรซักอย่าง เพื่อสะกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีนเพื่อความอยู่รอดและเพื่อให้ยุโรปยังครองตำแหน่งเป็นมหาอำนาจคู่กับสหรัฐฯต่อไปอีกหรือไม่?
    เพราะเธอไม่ได้พูดบางอย่างซึ่งทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเหมือนกำลังส่งสัญญาให้อียูเลือกข้างจีน ในภาวะที่สหรัฐฯกำลังเสื่อมอำนาจในเวลานี้ การวิเคราะห์ของเธอเกี่ยวกับการเติบโตทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านกองทัพของจีนนั้นใช้ได้เลยหละ แต่มันยังมีบางอย่างที่ดูเหมือนว่ายังคลุมเคลือในเจตนาที่ต้องการจะสื่อ ที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งก็คือเธอจะเน้นที่คำว่า "คอมมิวนิสต์" เหมือนกำลังจะบอกชาวยุโรปและชาวโลกว่าคอมมิวนิสต์จีนกำลังจะขยายอิทธิพลและใหญ่โตขึ้นทุกวันแล้วนะทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านกองทัพด้วย
    แต่ไม่บอกว่าที่จีนโตขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่เพราะใช้อำนาจของตนไปกดหัวใครบังคับใครหรือไปเที่ยวก่อสงครามในต่างแดนอย่างประเทศตัวอย่างประชาธิปไตยในนามอย่างสหรัฐอเมริกาเลย จีนโตมาได้ด้วยความสามารถของตนเอง โตขึ้นมาได้เข้มแข็งขึ้นมาได้เพราะความร่วมมือของพันธมิตรทั้งนั้น และที่สำคัญจีนไม่ได้มีพฤติกรรมเที่ยวแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นเหมือนอย่างที่สหรัฐฯทำเลย
    ในกรณีการขยายฐานทัพและกำลังทหารของตนไปยังต่างประเทศนั้นทั้งจีนและรัสเซียรวมกันแล้วยังสู้ฐานทัพในต่างประเทศของสหรัฐฯไม่ได้ด้วยซ้ำ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาจีนกับสหรัฐฯใครก่อสงครามมากกว่ากัน? ใครสังหารชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์มากกว่ากัน? นั่นหละคือจุดที่พวกนักวิชาการตะวันตกและสหรัฐฯพยายามที่จะไม่พูดถึง แต่พวกนี้ชอบที่จะออกมาเรียกร้องเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพอยู่บ่อยๆ นักมุมมองของแอ็ดมินเองจึงมองว่านักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศสคนนี้ยังมองสหรัฐฯเป็นฮีโร่อยู่ แต่กลัวและพยายามทำให้คนอื่นกลัวจีนจะเจริญเติบโตอย่างสหรัฐฯหรือเหนือกว่าสหรัฐฯต่างหากหละ
    The Eyes
    16/06/2558
    ----------
    China Paves Way to Global Dominance Resting on US Marshall Plan / Sputnik International
    Comment la Chine s’inspire des années 50 pour construire sa super-puissance aujourd’hui | Atlantico.fr
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    โอละพ่อ… อัยการเยอรมันสั่งปิดคดีสอบสวนมือถือของนายกฯเยอรมันถูกสหรัฐฯดักฟังเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ

    [​IMG]

    ------------
    เกิดอะไรขึ้น? เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอัยการสูงสุดของเยอรมันนีออกแถลงการณ์ปิดคดีสืบสวนสอบสวนกรณีทีี่มีข้อกล่าวหาว่าหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ (NSA) ดักฟังโทรศัพท์มือถือของนาง Angela Merkel โดยอ้างว่าจากการสอบสวนพอว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอตามที่ถูกกล่าวหา (งงสิครับท่าน!)
    ทางเยอรมันได้ให้มีการสอบสวนคดีนี้ขึ้นมาอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2014 หลังจากมีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อฯท้องถิ่นในเยอรมันในเดือนตุลาคมปี 2013 ว่าโทรศัพท์มือถือของผู้นำเยอรมันนีถูกดักฟังโดยหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯจากการเปิดเผยของ Edward Snowden อดีตเจ้าหน้าที่ของ NSA เองซึ่งปัจจุบันนี้หนีไปพึ่งใบบุญอยู่กับปูตินที่รัสเซีย คดีอื้อฉาวนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมันกับสหรัฐฯตกต่ำลงทันที
    แต่หลังจากการสืบสวนโดยอัยการสูงสุดของเยอรมันผ่านไปได้สักพัก ทางนาย Harald Range อสส.ของเยอรมันกล่าวว่า "การสอบสวนได้ประสบความล้มเหลว เนื่องจากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเอกสารที่มีการเผยแพร่ออกไปตามสื่อฯต่างๆนั้นออกมาจากฐานข้อมูลของ NSA" (ก็แหงหละ... เรื่องอะไรสหรัฐฯจะมอบหลักฐานว่าตัวเองดักฟังโทรศัพท์ผู้นำเยอรมันให้กับทางการเยอรมันหละครับ? นั่นหมายถึงการฆ่าตัวตายชัดๆ และที่สำคัญเยอรมันมีอำนาจอะไรไปสั่งให้สหรัฐฯมอบหลักฐานดังกล่าวออกมาได้ด้วยรึ? ขนาดยูเอ็นแท้ๆสหรัฐฯยังสั่งซ้ายหันขวาหันได้ตามใจชอบเลย เมื่อหลักฐานไม่พอ ก็ทำอะไรต่อไม่ได้จึงต้องรีบปิดคดี เพื่อชื่อเสียงของเยอรมันนีเอง)
    รายงานข่าวบอกว่าแม้จะปิดคดีการดังฟังโทรศัพท์ผู้นำเยอรมันโดยหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีการดำเนินการสอบสวนคดีที่สหรัฐฯและอังกฤษดักฟังโทรศัพท์ของประชาชน หน่วยงานรัฐบาล และบริษัทต่างๆในอียูต่อไป (เชื่อเถอะว่า ผลก็คงออกมาไม่ต่างกับคดีนี้หรอก เพราะไม่สามารถหาหลักฐานจากฐานข้อมูลของ NSA ออกมาพิสูจน์ได้)
    คำถามก็มีอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมคดีนี้ถึงเหมือนกับมวยล้มต้มคนดูซะงั้น? ในการประชุม G7 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผู้นำสหรัฐฯได้คุยกันระดับทวิภาคกับทั้งเยอรมัน และอังกฤษด้วย ที่สำคัญก็คือไม่คุยกันในเขตเมือง หรือภายในห้องประชุม แต่พากันไปคุยอยู่กลางทุ่งหญ้ากลางป่าบนภูเขาโน่น จะได้ปลอดจากการถูกดังฟังว่างั้นเหอะ? งานนี้เยอรมันเรียนรู้เร็วแฮะ เรื่องทั่วไปก็คุยกันในห้องประชุม ส่วนเรื่องลับๆ ก็ต้องไปคุยกันไปนอกเมืองในที่โล่งบนภูเขาอย่างนั้นแหละ อ้างว่าเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ จะได้ชมนกชมไม้ชมวิวธรรมชาติ หรือเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวก็ว่ากันไป
    หลังจากเยอรมันนีตกลงกับสหรัฐฯได้ในที่ประชุม G7 รมว.กลาโหมของเยรมันนีก็ได้ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันอังคารที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา (G7 Summit 2015 ระหว่างวันที่ 7-8 มิ.ย.) ว่า "รัฐบาลเยอรมันนีตัดสินใจซื้อระบบป้องกันภัยทางอากาศและเรือรบใหม่เพิ่มอีก 4 ลำภายในไม่กี่ปีข้างหน้ามูลค่า $8.9 billion (ประมาณ 3 แสนล้านกว่าบาท)"
    รายงานข่าวบอกว่านายพล Volker Wieker รมว.กลาโหมของเยอรมันกล่าวว่าทางเยอรมันวางแผนว่าจะสั่งซื้อระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศขยายขนาดกลาง (Medium Extended Air Defense System) ซึ่งเรียกชื่อย่อว่า "MEADS" ของสหรัฐฯจำนวน 10 ชุด (MEADS พัฒนาโดยบริษัท Lockheed Martin ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสหรัฐฯ เยอรมันนี และอิตาลี) เฉพาะงบจัดซื้อขีปนาวุธ MEADS นี้เยอรมันตั้งงบไว้ที่ $4.5 billion (ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท) MEADS เป็นระบบขีปนาวุธที่ออกแบบมาให้สามารถโจมตีเป้าหมายได้รอบทิศ 360 องศา
    สหรัฐฯตั้งเป้าที่จะขายระบบขีปนาวุธ MEADS ให้กับประเทศสมาชิกนาโต้เพื่อนำไปแทนที่ระบบ Patriot โดยได้เริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 1990 ในปี 2011 ทางเพนตากอนออกมายอมรับว่าโครงการนี้ล้มเหลวเนื่องจากไม่เป็นไปตามเป้าค่าใช้จ่ายตามที่ได้กำหนดไว้ (เพราะไม่มีใครซื้อในสมัยนั้น) และแม้กระทั่งกองทัพของสหรัฐฯเองก็ปฏิเสธที่จะสั่งซื้อระบบนี้ไปใช้งานเองด้วย ในปีเดียวกันนี้ทางเยอรมันก็ออกมายืนยันว่าจะไม่ซื้อระบบ MEADS นี้มาใช้งานภายในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอนหลังจากที่ได้ร่วมลงทุนไปถึง 1 พันล้านยูโรในโครงการนี้ (เออ… แปลกดีแฮะ พากันพัฒนาขึ้นมาเองแท้ๆ แต่ไม่อยากใช้ของที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเฉยเลย)
    น่าสังเกตว่าหลังจากที่คุยกันรู้เรื่องแล้วในที่ประชุม G7 ทางอัยการสูงสุดของเยอรมันนีก็ปิดคดีดักฟังโทรศัพท์มือของผู้นำเยอรมันทันที ตามด้วยข่าวเยอรมันยอมซื้อระบบ MEADS ของสหรัฐฯ ใครนะที่มีความสามารถเป่าคดีนี้ให้หายวับไปทันทีทันใดได้รวดเร็วขนาดนั้น? คราวนี้ Angela Merkel คงรู้แล้วสิว่าขนาดอสส.ของเยอรมันแท้ๆยังดูเหมือนจะมีมือที่มองไม่เห็นชักใยอยู่เบื้องหลังได้ขนาดนั้น
    หลังจากที่พึ่งจะปิดคดีนี้ไปหยกๆ ก็มีข่าวมาปรากฎออกมาอีกแล้วครับท่าน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาสำนักข่าว Bild am Sonntag หนังสือพิมพ์วันอาทิตย์ยักษใหญ่ของเยอรมันลงข่าวว่า คอมพิวเตอร์ของนายกรัฐมนตรี Angela Merkel เป็นแหล่งแพร่ไวรัสโทรจัน (Trojan) มอลแวร์ในช่วงที่มีการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของรัฐสภาเยอรมันซึ่งถูกแฮ็กในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
    เรื่องมือถือถูกแอบดักฟังผ่านไปได้แล้วเพราะเยอรมันนียอมซื้อระบบ MEADS คราวนี้ก็มามุกไวรัสคอมพิวเตอร์จากเครื่องของผู้นำเยอรมันคนเดิมอีก ดูซิว่ามือที่มองไม่เห็นต้องการบีบคอเยอรมันให้ซื้ออะไรอีก หรือต้องการให้เยอรมันทำให้อะไรให้อีก มีบทวิเคราะห์สั้นๆจากอดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของออสเตรียว่า เยอรมันยังคงภายใต้การยึดครองโดยสหรัฐฯอยู่ ขอเล่าในโพสต์หน้านะครับ
    The Eyes
    15/06/2558
    ----------
    German prosecutors close probe into alleged NSA tapping of Merkel cellphone — RT News
    Germany Prosecutors Close Inquiry Into NSA Phone-Tapping of Merkel / Sputnik International
    Germany Orders New Air Defense System and Battleships / Sputnik International
    Merkel’s Computer Used to Spread Virus in Cyberattack on German Parliament / Sputnik International
    Medium Extended Air Defense System (MEADS) | World-Class Theater Air & Missile Defense
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช

    [​IMG]

    เยอรมันนียังคงถูกยึดครองโดยสหรัฐฯ
    ------------
    เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.58 ที่ผ่านมา สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียพาดหัวข่าวเรื่องหนึ่งว่า "Germany 'Still Occupied' by US – Ex-Chief of Austrian Intelligence" แปลตามหัวเรื่องของโพสต์นี้นั่นแหละครับ เดิมทีกะว่าจะเล่าข่าวนี้ไปพร้อมกับข่าวเรื่องอัยการสูงสุดเยอรมันสั่งปิดคดีสอบสวนการดักฟังโทรศัพท์ผู้นำเยอรมันโดยหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ในโพสต์ก่อนหน้านี้ แต่เกรงว่าเนื้อหาในโพสต์จะยาวเกินไปจึงตัดออกมาเล่าในโพสต์นี้แทน (อ้อ… ขอภัยที่บอกไว้ในโพสต์ก่อนหน้านี้ว่าเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของเยอรมัน จำผิดครับ ที่จริงแล้วเป็นความคิดเห็นของอดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของออสเตรียนะครับ ได้แก้ไขต้นฉบับให้แล้ว)
    อดีตบิ๊กบอสของหน่วยสืบราชการลับของประเทศออสเตรีย (Austrian Civil Intelligence Service - BVT) กล่าวว่า "เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ได้เจาะเข้าถึงเยอรมันนีอย่างเต็มรูปแบบแล้ว และสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ ประหนึ่งว่าประเทศยุโรปแห่งนี้ยังอยู่ภายใต้การยึดครองของเหล่ามหาอำนาจพันธมิตรตะวันตกด้วยกันเอง"
    Gert R. Polli กล่าวว่า "เยอรมันนีได้เป็นประเทศที่ถูกครอบครองและกำลังอะลุ่มอล่วย (/รู้เห็นเป็นใจ considering) ให้กับกิจกรรมของหน่วยข่าวกรองจากประเทศพันธมิตรทั้งหลายบนแผ่นดินของเยอรมันเอง และยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ (จนกระทั่งในปัจจุบันนี้)"
    Polli กล่าววกับสำนักข่าว Deutsche Wirtschafts Nachrichten ของเยอรมันต่ออีกว่า "ประเทศเยอรมันนี พวกนักการเมืองชาวเยอรมัน และเศรษฐกิจของเยอรมันต่างก็ตกเป็นเป้าหมายหลักของหน่วยข่าวกรองอเมริกัน ในทางเทคนิคทางการเยอรมันไม่สามารถที่ปกป้องรัฐบาล ธุรกิจ และสังคม (ของคนเยอรมัน) จากการถูกสอดแนมได้ (snooping)"
    Polli กล่าวว่า "จากการเปิดเผยหลายครั้ง (พบว่า) Merkel ได้พยายามที่จะผลักดันให้มีการทำข้อตกลงว่าด้วยการไม่มีสายลับระหว่างสองประเทศ (bilateral no-spy agreement) กับทางสหรัฐฯ แต่ดูเหมือนว่าทางสหรัฐฯก็ได้เตะถ่วงเรื่องนี้ออกไป ดังนั้นจึงไม่พบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง และการสอดแนม [เยอรมันนี] ก็ยังคงดำเนินการต่อไป"
    สุดท้ายอดีตบิ๊กบอสหน่วยข่าวกรองของออสเตรียกล่าวว่า ปัจจุบันนี้หน่วยข่าวกรอง NSA ของสหรัฐฯและ GCHQ ของอังกฤษ กำลังถูกตรวจสอบ (พอเป็นพิธี?) เนื่องจากมีการสอดแนมองค์กรต่างๆอย่างมากมาย Polli กล่าวเสริมอีกว่าก็มีหน่วยข่าวกรองจากประเทศอื่นๆเข้าไปปฏบัติการอยู่ในเยอรมันด้วยเช่นกัน แต่มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่เป็นผู้ชำนาญด้านเทคนิค ซึ่งทำให้พวกเขายังคงสามารถดำเนินกิจกรรมในเยอรมันอยู่ได้
    เอ… ใครนะที่กล้าแข่่งกับหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯและของอังกฤษในเยอรมันนี? แต่ Polli ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อหน่วยข่าวกรองของประเทศอื่นที่ว่าเลยนะ ลองคิดเองละกันนะ ฮี่ๆ! หากสหรัฐฯต้องการจะยึดยุโรปให้ได้ ก็จะต้องควบคุมเยอรมันและฝรั่งเศสให้ได้ซะก่อน เมื่อสามารถคุมสองมหาอำนาจนี้ได้แล้ว การที่จะหันไปเล่นอังกฤษผู้ให้กำเนิดสหรัฐฯเองก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะทุกวันนี้สหรัฐฯเกือบจะสามารถสั่งอักฤษให้ซ้ายหันขวาหันได้ตามใจชอบอยู่แล้ว
    The Eyes
    15/06/2558
    ----------
    Germany 'Still Occupied' by US – Ex-Chief of Austrian Intelligence / Sputnik International
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช

    จีนทดสอบอากาศยาน WU-14 hyersonic เหนือความเร็วเสียง 10 เท่า

    [​IMG]

    ------------
    มาดูเรื่องเบาๆกับเทคโนโลยี่ด้านการพัฒนาอาวุธสมัยใหม่บของสองหมีจอมเก๋ากันบ้างนะครับ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าวต่างประเทศของรัสเซียทั้ง RT news และ Sputnik news รายงานว่า รมว.กลาโหมของจีนแถลงการณ์ยืนยันการทดสอบอากาศยานนำส่งหัวรบนิวเคลียร์ทำความเร็วระดับ hyersonic (เหนือเสียง) ซึ่งสหรัฐฯบอกว่าเป็นการ "ประลองยุทธ์แบบสุดโต่ง" (extreme maneuver) ระหว่างที่กำลังเกิดความตึงเครียดของสองขั้วอำนาจในทะเลจีนใต้ (แหนะ... ทีตัวเองทดลองบอกว่าเจ๋ง อเมริกาคือ No.1 แต่พอจีนทดลองของเขาบ้างสหรัฐฯบอกว่าสุดโต่ง นิยมความรุนแรง เอากะอเมริกาดิ)
    การทดสอบอากาศยานประเภทเครื่องร่อนความเร็วเหนือเสียง (hypersonic glide vehicle) รุ่น WU-14 ของจีนในครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.58 ที่ผ่านมาซึ่งจีนบอกว่าเป็นการทดลองขีปนาวุธครั้งที่ 4 ในรอบ 18 เดือน กลาโหมของจีนกล่าวว่า "งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการทดลองที่มีกำหนดการไว้แล้วในอาณาเขตของจีนนี้เป็นเรื่องปรกติ และการทดลองเหล่านั้นไม่ได้มีเป้าหมายไปที่ประใดและมุ่งไปยังเป้าหมายที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ" (หมายถึงว่าสหรัฐฯไม่ต้องตกใจ ตอนนี้จีนยังไม่มีโปรแกรมยิงเจ้า WU-14 ติดหัวรบนิวเคลียร์ไปที่กรุงวอชิงตันหรอก ขอให้ทางทำเนียบขาวทานแฮมเบอร์เกอร์และโดนัทกับน้ำอัดลมได้อย่างสบายใจตามปรกติ)
    รายงานบอกว่าจากการทดสอบ WU-14 ในครั้งนี้ของจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธจู่โจมทางยุทธศาสตร์มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และสามารถทำความเร็วเหนือเสียงได้ถึง 10 เท่า หรือที่ 12,231.01 ต่อชั่วโมง WU-14 ชิ้นโบว์แดงของจีนนี้สามารถติดหัวรบธรรมดาและหัวรบนิวเคลียร์ได้ด้วย ระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯสามารถป้องกันขีปนาวุธแบบ ballistic missile และหัวรบที่มีวิถีการยิงที่สามารถคาดการณ์ได้เท่านั้น แต่ WU-14 มีความสามารถในการหลบหลีกในระหว่างการบินในตอนที่เดินทางขึ้นสู่อวกาศ (จากนั้นค่อยมุ่งตรงลงมายังเป้าหมายจากนอกโลก?) และถือว่าเป็นเรื่องยากสุดๆที่จะสอยเจ้า WU-14 ให้ร่วงลงมาได้
    ศาสตราจารย์ He Qisong ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการป้องกัน (ประเทศ) ประจำคณะรัฐศาสตร์และกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัย Shanghai University กล่าวว่า "WU-14 ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะระบบการป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ นั่นหมายความว่า PLA มีความสามารถที่จะปกป้องอธิปไตย์เหนืออาณาเขตของจีนได้ แต่การทดลองดังกล่าวเป็นเพียงการยับยั้งนิวเคลียร์ ทั้งจีนหรือสหรัฐฯต่างก็ไม่ต้องการที่จะประกาศทำสงครามกันเพียงเพราะปัญหาในทะเลจีนใต้ (หรอกว่าไหมสหรัฐฯ หรือจะเอา? ฮี่ๆ)"
    The Eyes
    15/06/2558
    ----------
    http://rt.com/news/267115-china-tests-hypersonic-missile/
    Faster Than Light: China's Hypersonic WU-14 Getting on Pentagon's Nerves / Sputnik International
    https://en.wikipedia.org/wiki/WU-14
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    รัสเซียเตรียมเปิดตัวปืนไมโครเวฟรุ่นใหม่สำหรับสอยโดรนข้าศึก, อาวุธปืนค่าย Kalashnikov ของรัสเซียรุกตลาดแทนที่ปืนสหรัฐฯ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ------------
    ดูฝั่งจีนแล้ว คราวนี้หันมาดูฝั่งรัสเซียบ้างนะครับ วันนี้สำนักข่าว Sputnik news รายงานว่าบริษัท United Instrument Manufacturing Corporation (UIMC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Rostec Corporation ผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ของรัสเซียได้ประกาศว่าทาง UIMC ได้พัฒนาอาวุธปืนคลื่นความถี่สูง (super-high-frequency gun) เพื่อติดตั้งเข้ากับระบบ BUK มิสไซล์ของรัสเซีย อาวุธรุ่นใหม่นี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ แต่เรียกเล่นๆว่า "microwave gun" (ปืนไมโครเวฟ) เจ้าปืนไมโครเวฟของรัสเซียรุ่นนี้ ไม่ให้มีไว้อุ่นอาหาร หรืออุ่นพิซซ่านะ รัสเซียบอกว่าเอาไว้สำหรับอุ่นอากาศยานไร้คนขับ (UAV) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "โดรน" (Drone) ของสหรัฐนและนาโต้โดยเฉพาะเลย พูดตรงๆก็คือมีไว้สำหรับสอยโดรนสอดแนมของสหรัฐฯที่บังอาจะรุกล้ำน่านฟ้าหรืออยู่ใกล้กับชายแดนของรัสเซียนั่นเอง ฮี่ๆ… (สหรัฐฯ นาโต้ กลุ่มปรเทศบอลติกและยูเครนมีหนาวแน่งานนี้ เผลออิรัค อิหร่าน ซีเรีย รวมทั้งเยเมนอาจจะสนใจด้วยก็ได้)
    รายงานเบื้องต้นบอกว่าเจ้าปืนไมโครเวฟของรัสเซียรุ่นนี้มีรัศมีทำการอยู่ที่ 10 กม. ยิงได้ 360 องศา ตอนนี้ทางกลาโหมของรัสเซียยังไม่เปิดเผยรายละเอียดมากนัก กะว่าจะนำไปแสดงในงาน Army-2015 ระหว่างวันที่ 16-19 มิ.ย.58 นี้ที่ Patriot culture และ สวนสาธารณะในเมือง Kubinka กรุงมอสโคว์
    ส่วนอีกข่าวหนึ่งเกี่ยวกับอาวุธของรัสเซียเช่นกันก็คือ วันนี้ (15 มิ.ย.58) นาย Alexey Krivoruchko กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ Kalashnikov Concern กล่าวกับสำนักข่าว RIA Novosti (Sputnik) ว่า "บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอาวุธปืนขนาดเล็กของรัสเซียได้แซงหน้ายอดขายอาวุธปืนของสหรัฐฯไปเรียบร้อยแล้ว"
    Krivoruchko กล่าวว่า "การแซงชั่น [ต่อต้านรัสเซีย] มีผลกระทบต่อพวกเราก็จริง แต่ว่าพวกเราก็ได้รับอานิสงส์จากการแซงชั่นนั้นด้วยเช่นกัน เราได้เปิดตลาดอื่นๆเพิ่มมากขึ้น และขายผลิตภัณฑ์ของพวกเราในราคาที่ดีกว่า... ทางบริษัทได้จัดการยอดขายได้อย่างสมบูรณ์ดีเลิศเพื่อชดเชยเป้าหมายในตลาดสหรัฐฯที่มีการกำหนดไว้ก่อนหน้านี้"
    Krivoruchko กล่าวว่าอาวุธต่างๆที่ส่งไปขายยังแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และลาตินอเมริกาได้ทำให้ยอดการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 80% บริษัทได้ส่งออกอาวุธไปขายยัง 27 ประเทศซึ่งรวมทั้งในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เยอรมันนี นอร์เวย์ อิตาลี แคนาดา คาซัคสถาน และ Thailand (อุ๊ย!… พี่ไทยก็นิยมปืนรัสเซียด้วยเหรอ? คริๆ)
    ก่อนที่จะมีการแซงชั่นต่อต้านรัสเซียนั้น บริษัท Kalashnikov ขายอาวุธปืนได้ถึงปีละ 200,000 กระบอกในอเมริกาเหนือ ว้าวววว! เพราะเหตุนี้นี่เองสหรัฐฯถึงได้สั่งแบนไม่ให้นำอาวุธปืนรัสเซียเข้าไปขายในสหรัฐฯ แต่รัสเซียก็แก้เผ็ดสหรัฐฯด้วยการไปตั้งบริษัทผลิตอาวุธปืนรัสเซียในประเทศสหรัฐฯและขายในสหรัฐฯซะเลย คริๆ (เคยเล่าให้ฟังแล้ว)
    The Eyes
    15/06/2558
    ----------
    Russia Develops 'Microwave Gun' Able to Deactivate Drones, Warheads / Sputnik International
    Russia’s Kalashnikov Replaces US Arms Sales With Other Markets / Sputnik International
    Army-2015: Russian military announces largest arms expo — RT News
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    ... เรื่องนี้เรื่องใหญ่มาก เราจะเกรงกลัวเอาใจบริษัทข้ามชาติอเมริกา หรือ เอาใจและเอาชีวิตของเกษตรกรและคนไทยส่วนใหญ่ไว้ ... กล้าไหม

    ฝรั่งเศสสั่งห้ามจำหน่ายยากำจัดวัชชพืช Roundup ของมอนซานโต

    [​IMG]

    เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2015 กลุ่มประท้วงเดินขบวนที่เมืองตูลูส ฝรั่งเศสให้เพื่อบริษัทมอนซานโตหยุดผลิตยากำจัดศัตรูพืชที่จะทำให้ก่อสารมะเร็งในมนุษย์ (AFP Photo/Remy Gabalda)
    Last updated: 15 June 2015 | 08:36
    ฝรั่งเศสห้ามจำหน่ายยากำจัดวัชชพืชที่ผลิตโดยบริษัทยักษ์ใหญ่มอนซานโตแห่งสหรัฐ เหตุเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ปี 2018 จะซื้อยากำจัดศัตรูพืชได้ต้องผ่านร้านค้าที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
    สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2558 ว่านางเซโกลีน โรยาล รัฐมนตรีกระทรวงระบบนิเวศฝรั่งเศสประกาศห้ามจำหน่ายยากำจัดวัชชพืชยี่ห้อ Roundup ของบริษัทมอนซานโตแห่งสหรัฐ หลังจากที่องค์การสหประชาชาติออกมาเตือนว่ายากำจัดวัชชพืชนี้อาจก่อให้เกิดสารมะเร็งเป็นอันตรายได้

    ทั้งนี้ส่วนผสมของยากำจัดวัชชพืชยี่ห้อ Roundup นั้นมีสารกลีโฟเสต (glyphosate)ซึ่งสำนักงานเพื่อการวิจัยมะเร็งนานาชาติ องค์การสหประชาชาติ(IARC) กำหนดไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2015 ว่าสินค้าชนิดนี้ “อาจก่อสารมะเร็งในมนุษย์”

    ยากำจัดศัตรูพืชดังกล่าวนิยมใช้ในบรรดาคนทำสวนสมัครเล่นและกลุ่มเกษตรกร ถือว่าเป็นสินค้าที่จำหน่ายได้ระดับดาวของสหรัฐ ผู้ผลิตคือบริษัทมอนซานโต Monsanto ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ

    “ฝรั่งเศสจะต้องเล่นบทรุกเพื่อสั่งห้ามจำหน่ายยากำจัดวัชชพืชนี้”โรยาลกล่าวผ่านสถานีทีวีฝรั่งเศส พร้อมกับแจ้งไปยังร้านค้าที่จำหน่ายสินค้ายี่ห้อ Roundup ทุกแห่งอย่านำออกมาวางจำหน่าย ซึ่งสินค้านี้จะวางตามชั้นในร้านค้าที่เป็นศูนย์การทำสวน เป็นประเภทหยิบเอง (self-service aisles)

    การประกาศของรัฐมนตรีกระทรวงระบบนิเวศฝรั่งเศสครั้งนี้เกิดขึ้นจากการเรียกร้องของสมาคมผู้บริโภค CLCV ให้ฝรั่งเศสและประเทศสหภาพยุโรป หยุดขายสินค้าที่มีส่วนผสมของ “กลีโฟเสต”

    จากสำนักงาน IARC แห่งสหประชาชาติเปิดเผยว่า Glyphosate ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ด้วยการใช้ผสมในสินค้ายี่ห้อ Roundup แต่ปัจจุบันกลายเป็นส่วนผสมพื้นฐานของการใช้ทั่วไปในยากำจัดวัชชพืชไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อใด

    สำนักงานฯได้นำมาประเมินผลของการใช้ว่าเป็นตัวให้ก่อสารมะเร็งในมนุษย์ด้วยการนำข้อมูลการศึกษาทั้งในสหรัฐ,สวีเดนและแคนาดา ที่เก็บข้อมูลตัวอย่างจากเกษตรกรตั้งแต่ปี 2001 โดยพบว่ามะเร็งที่จะเกิดขึ้นนั้นเรียกว่า non-Hodgkin lymphoma

    ในขณะที่บริษัทมอนซานโตตอบโต้ IARC ที่ให้คำจำกัดความดังกล่าว โดยระบุว่า ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์นี้ได้รับการยกเว้นไม่ให้ตรวจสอบ

    โรยาลยังเปิดเผยอีกว่านับตั้งแต่มกราคม 2018 เป็นต้นไป ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอนามัยพืชซึ่งใช้ในการควบคุมโรคเกี่ยวกับพืชจะต้องได้รับการจำหน่ายผ่านผู้ขายที่ได้รับอนุญาต (certified vendor) เท่านั้น

    การเดินประท้วงมอนซานโตจากทั่วโลกเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2015

    March Against Monsanto | It's Time To Take Our Planet Back

    First posted: 15 June 2015 | 08:36
    Author : paisano

    ฝรั่งเศสสั่งห้ามจำหน่ายยากำจัดวัชชพืช Roundup ของมอนซานโต
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Chalee Na Roied

    [​IMG]

    ในสหรัฐอเมริกาเวลานี้ ที่น่าจับตาที่สุดก็คือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่รัฐเท็กซัส ของสหรัฐนี่แหละครับ ซึ่งน่าจะเป็นความพยายาม แยกตัวออกมาจากรัฐบาลกลาง เพราะไม่ไว้ใจรัฐบาลที่กำลังปกครองประเทศ ก่อนหน้านั้นเราอาจจะคุ้นเคย กับการขอขนทองคำกลับประเทศของ รัฐบาลต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เยอรมัน ฮอลแลนด์ ออสเตรีย เพราะเริ่มไม่มั่นไม่มั่นใจใน ทิศทางเศรษฐกิจโลกนั่นเอง
    Austria plan to repatriate gold not linked to Brexit talk: Nowotny | Reuters

    เชื่อไหมครับว่า 2-3 ปีก่อน ผมเคยโทรศัพท์เข้าไปยัง ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อสอบถามเรื่องเงินสำรอง และทองคำที่ฝากไว้ในต่างประเทศ ซึ่งเท่าที่ทราบประเทศหลักๆ ที่เราฝากทองคำไว้ คือ ที่สหรัฐและอังกฤษ ซึ่งผมเชื่อว่าถึงแม้เวลานี้ รัฐบาลจะพยายามขอทวงทองคำ และขนทองคำที่ฝากไว้กลับสู่ประเทศ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะแม้แต่เยอรมัน ฮอลแลนด์เองเล่นเอาหืดขึ้นคอ กว่าจะได้ทองคำคืน ซึ่งเป็นเพียงบางส่วนที่เป็นส่วนเล็กๆเท่านั้น
    http://www.bloomberg.com/news/features/2015-02-05/germany-s-gold

    และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นก็คือ ตอนนี้ทางผู้แทนและผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยออกมา สั่งให้กองกำลังป้องกันตนเองของรัฐเท็กซัส จับตาการฝึกทางทหารที่เรียกว่า "Jade Helm" จนถูกรัฐบาลออกมาส่งสัญญาณเตือนว่า เข้าข่ายต่อต้านอำนาจรัฐบาลมาแล้ว แต่ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาก็คือ การลงนามในคำสั่งเพื่อขอทวงทองคำที่ฝากไว้ที่นิวยอร์ค คำมูลค่า 1,000พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลับมาเก็บไว้ที่เท็กซัสเอง
    Texas Gold Bill Has Potential to Uproot Monetary System

    นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนครับว่า แม้แต่ผู้แทนของรัฐเท็กซัส ตลอดจนผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเอง เริ่มไม่มั่นในและไม่ไว้ใจ รัฐบาลกลางของตน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการ ส่งสัญญาณการแยกตัวออกมา จากประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะก่อนหน้านั้นมีผลสำรวจ ออกมาแล้วว่า รัฐต่างๆกว่า 29 รัฐต้องการแยกตัวออกจากรัฐบาลกลาง เพราะไม่พอใจการดำเนินนโยบายของรัฐบาลกลาง และต้องการแบกรับภาระหนี้สิน และการขึ้นภาษี ตลอดจนการความพยายาม ออกกฎหมายควบคุมปืนของรัฐบาล
    29 US States Want To Be Independent | World Truth.TV

    และแน่นอนครับว่า ไม่ใช่"ความบังเอิญ" ที่วันก่อนที่เมืองดัลลัส มีกระแสข่าวเหตุกราดยิงที่ สถานีตำรวจดัลลัส และเป็นปฏิบัติการจิตวิทยา(PshyOps) เพราะรถตู้ที่อ้างว่าเป็นของผู้ต้องสงสัย ที่กราดยิงสถานีตำรวจ เป็นรถตู้ที่หน่วยSWAT ใช้นั่นเองครับ
    DALLAS FALSE FLAG EXPOSED! PROOF VAN USED OWNED BY DALLAS S.W.A.T. TEAM! – Secrets of the Fed

    อย่างที่ทราบกันดีว่า รัฐเท็กซัสเป็นรัฐหนึ่งที่กำลังมีการฝึกทางทหาร ที่เรียกว่า "Jade Helm" และเป็นรัฐที่ถูกระบุว่าเป็น"Hostile" ส่วนเป้าหมายก็เพื่อความชอบธรรมให้ ทหารและตำรวจสามารถใช้อำนาจพิเศษ เข้าควบคุมสถานการณ์ พูดง่ายๆก็คือปูทางไปสู่การประกาศใช้ กฎอัยการศึก เพื่อรองรับสถานการณ์ สงครามกลางเมือง แม้กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตนั่นเอง....
    https://www.intellihub.com/photos-h...ivil-defense-trucks-spotted-on-texas-highway/
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    ... "รัฐเท็กซัส : ขอทองคำคืนจากธนาคารกลางในนิวยอร์ค = รอยร้าวและกลิ่นเหม็นไหม้ของการแยกเป็นประเทศใหม่จากอเมริกา"
    ... หลังจากที่ปีก่อนมี "เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย" ได้ทวงทองคำคืนจากอเมริกาและผิดหวังน้ำตกตกในไปแล้ว คราวนี้รัฐในอเมริกาอย่างเท็กซัสเองที่ออกกฏหมายขอทวงทองคำคืนจาธนาคารกลางของอเมริกาอย่าง FED ที่เก็บอยู่ที่นิวยอร์ค ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมากมายในประเทศเจ้าพ่อมาเฟียทางการเงิน ในหลายๆด้าน
    ... โดยสาเหตุหลักที่ "รัฐเท็กซัส" ต้องการเอาทองคำมาเก็บไว้เองนั้นมาจากสองสาเหตุ คือ หนึ่งนั้นไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อมั่น เสื่อมศรัทธาในระบบการเก็บเงินเก็บทองของนิวยอร์ค ( ขนาดภายในประเทศแท้ๆยังไม่ไว้ใจ แสดงออกให้รู้ว่าอะไรคืออะไร ) และสองการหวาดกลัวระบบการเงินกระดาษที่ไร้ทองคำค้ำแบบเฟียต เคอร์เรนซี่ ที่เริ่มสร้างปัญหามากมาย ... เพื่อต้องการสร้างระบบที่มีทองคำค้ำในการทำธุรกรรมทางการเงินของตัวเอง
    ... โดยมีการออกกฎหมายให้มีการเรียกทองคำคืนจากธนาคารกลางสาขานิวยอร์คคืนมาเก็บไว้เอง ซึ่งนอกจากเพื่อความอุ่นใจแล้ว ยังไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมฝากทองคำอีกด้วย
    ... จะมีการเรียกทองคำคืนมา 1,000 ล้านดอลล่าร์ โดยสองกองทุนสาธารณะหลักของเท็กซัสคือ "กองทุนของมหาวิทยาลัยเท็กซัส" และ "กองทุนของครูที่เกษียณราชการ" เป็นตัวหลักที่ต้องการกลับมา โดยเมื่อปี 2011 นั้น "กองทุนของมหาวิทยาลัยเท็กซัส" ได้ขอย้ายทองคำมาฝากไว้ที่ธนาคาร HSBC ในนิวยอร์คแล้ว แต่ตอนนี้ต้องการย้ายกลับมาที่เท็กซัสเลย
    ... โดยบอกว่าถ้าเกิดปัญหา ( เช่นวิกฤติการเงินขึ้นมา ) เราจะมั่นใจว่าธนาคารที่เก็บมันจะไม่โยกย้ายมันไปไหน ( ซึ่งตอนนั้นจะตามกลับมายากยิ่งกว่าเดิม )
    ... เพราะว่าในอดีตนั้นในช่วงที่มีปัญหาทางการเงิน เช่นในปี 1933 หลังระเบิดเศรษฐกิจครั้งใหญ่ สมัยประธานาธิบดี แฟรงลินด์ ดี รุสเวลต์ อเมริกามีการออกกฏหมาย "ยึดทองคำ" เอาไว้โดยห้ามเอกชน ประชนชนทั่วไปกักเก็บทองคำทั้งเหรียญและแท่งไว้ด้วยเหตุผลบางประการ เพื่อต้องการให้ทองคำหมุนเวียนในระบบมากกว่าให้ประชาชนเก็บไว้ที่บ้าน ถึงเวลานั้นใครจะเอาทองออกมาไม่ได้
    ... ( พูดแบบง่ายๆ ถ้าเรากลัวว่าธนาคารจะล้ม เราก็รีบไปถอนเงินออกมาเก็บไว้เสียแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าเกิดวิกฤติขึ้นมา ธนาคารอาจจะเก็บเงินเราไว้ หรือไม่มีเงินจ่ายให้เพียงพอตามที่เราฝากในจำนวนตามบัญชี หลักการเดียวกัน )
    ... และถ้าเกิดปัญหาอะไร "รัฐเท็กซัส" สามารถใช้ทองคำและเงิน ( Silver ) ในการแก้ไขปัญหาทางการเงินในอนาคตได้ดีกว่าการมีแต่ทองคำในบัญชี และถ้าธนาคารที่เก็บทองคำมีปัญหาล้มละลายก็ยิ่งยากที่จะได้ทองคำคืนมา
    ... นักวิเคราะห์อย่างเวป Zerohedge บอกว่าหรือนี่คือ "ขั้นแรกของการแตกแยกออกจากอเมริกา" ที่จะเป็น "ประเทศเท็กซัส" เพราะพวกเขาต้องการทองคำในการก่อตั้งประเทศ ถ้าพวกเขาชาวเท็กซัสชนะในสงครามที่กำลังมาถึงและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เริ่มแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ( ปฎิบัติการ Jade Helm)
    ... ดังนั้นมองได้ว่า "ปฎิบัติการ Jade Helm" ที่มีการซ้อมรบตั้งแต่ปลายปีที่แล้วในหลายรัฐนั้นรวมทั้งเท็กซัส แท้จริงแล้วส่วนหนึ่งต้องการจะปราบปรามรัฐต่างๆที่กำลังแข็งข้อกับ FED หรือธนาคารกลางอเมริกา ไม่ให้หาเรื่องแยกตัวออกจาก "สหรัฐอเมริกา"
    ... ถ้าเราสันนิษฐานเอาเรื่องนี้ว่าเป็นสาเหตุของเรื่อง เราอาจจะเข้าใจได้ว่า ความวุ่นวายล่าสุดจากการระเบิดของท่อแก๊ส ( เหมือนเชือดไก่เท็กซัสให้ลิงรัฐอื่นดู ห้ามทำตามเท็กซัส ) และการปะทะกันของชาวบ้านเท๊กซัสกับตำรวจ อาจจะมาจากปัญหา "การแบ่งแยกดินแดนของรัฐเท็กซัส" ที่แสนเอือมระอากับระบบการเงินประเทศตัวเองนั่นเอง
    .
    http://www.theepochhttp://www.presi...bill-has-potential-to-uproot-monetary-system/
    http://www.zerohedge.com/news/2015-...illion-gold-ny-fed-makes-it-non-confiscatable
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    ... "เรื่องโรฮีนจา : การสกัดแนวท่อแก๊สจีน-พม่า ที่จะขนน้ำมันจากอาหรับและอาฟริกาไปจีน = การปิดล้อมจีนของอเมริกา"
    ... จากที่ผ่านมาสงครามในอิรักและซีเรีย ที่มี ISIL เป็นตัวละครหน้าฉาก นักวิเคราะห์สายน้ำมันบอกว่าเป็นการสกัดกั้นแนวท่อแก๊ส อิหร่าน อิรัก และซีเรีย ที่จะทำท่อเดินจากอิหร่านไปออกซีเรียและไปขายให้ยุโรป โดยผ่านทะเลเมดิเตอรเนียน เพราะว่าการค้าขายน้ำมันและแก๊สในครั้งนี้จะใช้เงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลล่าร์ อเมริกาจึงยอมรับไม่ได้ ต้องสร้างละครตบตาชาวโลกและโยนบาปให้ ISIL และอิสลาม ... ... ...
    https://en.wikipedia.org/wiki/Iran-Iraq-Syria_pipeline

    ... คราวนี้มาถึงกรณี "โรฮีนจา" ที่กำลังโหมไฟอยู่ขณะนี้ นอกจากจะต้องการแบ่งแยกพม่าเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยเพื่อง่ายต่อการแทรกแซงแล้ว จุดหมายลึกๆคือการ "ปิดล้อมจีน" ไม่ให้ได้รับการส่งเสบียง "น้ำมันและแก๊ส"
    ... เพราะ "จีนและพม่า" มีโครงการจะทำเส้นทางเดินแก๊สจากอ่าวเบงกอลไปที่ยูนนานทางใต้ของจีน ที่ต้องไปออกที่ "รัฐยะไข่" ทางตะวันตกของพม่า ที่เป็นรัฐของชาว "โรฮีนจา" ที่มีปัญหากันพอดี ( บังเอิญเสียเหลือเกิน ) โดยมีการพูดคุยมาตั้งแต่ปี 2004 แน่นอนเข้าหูอเมริกาแล้วทนไม่ได้
    ... และอีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญ "จีน" มีการรับซื้อน้ำมันดิบจาก ตะวันออกกลางและอาฟริกามากมาย แต่ไม่ต้องการจะอ้อมเรือข้ามช่องแคบมะละกาให้เสียเวลาและเสียน้ำมัน จึงจะใช้ทางนี้ในการขนส่งที่ใกล้กว่ามาก
    ... ใจคอจะไม่ได้จีนได้ใช้ท่าเรือฝั่งพม่าเลยหรือ เพราะทั้งท่าเรือน้ำลึกทวายและเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาว่าก็ให้ญี่ปุ่นไปเยอะแล้ว
    ... ดังนั้นกระแสที่ชาวมุสลิมในหลายๆประเทศที่ออกมาช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมชาวโรฮีนจาในการกดดันต่อพม่านั้น เป็นสิ่งที่ดีงามน่ายกย่อง แต่นั่นน่าจะเป็นไปได้มากที่ว่ามันคือแผนของอเมริกาอีกแล้วที่จะใช้กระแสของชาวมุสลิมที่รักพี่น้องร่วมศาสนาตามหลักคำสอน มาเป็นเครื่องมือบั่นทอนศัตรูของตนอย่าง "จีน" และ "พม่า" เพื่อนรักของจีน แบบได้หน้าไม่ต้องเสียแรงเสียงบประมาณอีกแล้ว
    .
    https://en.wikipedia.org/wiki/Sino-Burma_pipelines
    Global Oil Chokepoints and the New Silk Road for Energy
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    <iframe width="640" height="390" src="https://www.youtube.com/embed/OUpnY1pgxAs" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    https://youtu.be/OUpnY1pgxAs

    การพังทลายของเศรษฐกิจอเมริกา 100 ล้านล้านดอลล่าห์สหรัฐ โดย JIM Rickards เผยแพร่เมื่อ 21 ต.ค. 2014
    To watch this interview in full streaming HD, please click here: The 25-Year Great Depression

    คุณจะต้องการที่จะจำวันนี้ - 15 เมษายน 2015
    You will want to remember this date - April 15, 2015

    ในหนึ่งของความทรงจำที่สำคัญที่สุดในกลุ่มสังชั้นนำในสหรัฐอเมริกา คือเมื่อสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของเศรษฐกิจในประวัติศาสตร์ของประเทศ According to one of the top minds in the U.S. Intelligence Community, that is when the United States will enter the darkest economic period in our nation's history.

    ความตกต่ำที่ยิ่งใหญ่ใน 25 ปี
    A 25-year Great Depression.

    สิ่งที่แสดงสัญญาณ
    Does This Signal

    การสิ้นสุดของดอลลาร์?
    the End of the Dollar?

    การตกต่ำที่ยิ่งใหญ่ใน 25 ปี
    25 Year Great Depression

    สัญญานเตือนภัยได้ปรากฎขึ้นเป็นจำนวนมากในชุมชน ได้มีการเตรียมความพร้อมอย่างลับๆ สำหรับ "กรณีที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุด"
    An alarming pattern has caused many in the Intelligence Community to secretly prepare for a "worst-case scenario."

    และการตื่นตระหนก เขาและเพื่อนร่วมงานของเขาเชื่อว่าหลักฐานที่พวกเขาได้ค้นพบพิสูจน์ว่า สิ่งจะปรกฎขึ้นหลังจากนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยง
    And alarmingly, he and his colleagues believe the evidence they've uncovered proves this outcome is impossible to avoid.


    ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับรายการ Money Morning, JIM Rickards, เจ้าหน้าที่ ซีไอเอได้กล่าวเตือนคนอเมริกันให้เตรียมความพร้อมสำหรับการล่มสลายของเงินจำนวน 100 ล้านล้านดอลล่าห์สหรัฐ
    In an exclusive interview with Money Morning, Jim Rickards, the CIA's Financial Threat and Asymmetric Warfare Advisor, has stepped forward to warn the American people that time is running out to prepare for this $100 trillion meltdown.

    "ทุกท่านคงจะทราบว่า เรามีระดับหนี้อยู่ในระดับที่เป็นอันตราย ทุกท่านคงทราบว่าเฟดได้พิมพ์เงินทะลุล้านล้านดอลลาร์. สิ่งเหล่านี้เป็นความลับ" เขากล่าว
    "Everybody knows we have a dangerous level of debt. Everybody knows the Fed has recklessly printed trillions of dollars. These are secrets to no one," he said.

    "แต่ทุกๆสัญญาณทั้งหมดในตอนนี้ ได้กระพริบเป็นสีแดงสดใส (อันตราย) ว่า ตามสำนวนว่า ไก่กลับคอน ซึ่งหมายความเชิงเปรียบเทียบ คือ ทำอะไรไว้ก็ได้้ผลอย่างนั้น หนีไม่พ้น
    "But all signs are now flashing bright red that our chickens are about to come home to roost."

    ในระหว่างการสนทนา Rickards ได้แชร์ชุดข้อมูลที่แสดงถึงสัญญาณอันตรายที่เขากลัวที่ส่อให้เห็นว่าเศรษฐกิจได้มาถึงระดับวิกฤตแบบพิเศษ
    During the discussion, Rickards shared a series of dangerous signals he fears reveals an economy that has reached a super critical state.

    หนึ่งในสัญญาณของซีไอเอที่เป็นกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับการเป็น
    ดัชนีความยากจน..โดยพื้นฐานของดัชนีความยากจนนั้นคิดจากการนำอัตราการว่างงานมาบวกกับอัตราเงินเฟ้อ โดยการแปลผลง่ายๆคือในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง ดัชนีความยากจนจะเพิ่มสูงขึ้น จากคนว่างงานที่เพิ่มขึ้นและเงินที่เฟ้อเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานนั้นมาจากU.S. Department of Laborและอัตราเงินเฟ้อมาจากFinancial Trend Forecaster ซึ่งวิธีใช้คำนวณค่าทั้งสองนี้ออกมาก็มีการเปลี่ยนไปตามเวลา การนำค่านี้มาใช้เปรียบเทียบ ณ เวลาที่ต่างกันอาจมีข้อจำกัด...แต่ในรายการนั้นชี้ให้เห็นว่า ในยุคประธานาธิบดีคลินตัน ดัชนีความยากจนนี้มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ยุคประธานาธิบดีจอร์จ บุชดัชนีกลับค่อยๆไต่สูงขึ้น คงมีผลจากเรื่องวิกฤตการณ์ซับไพร์ม..
    One of the signals the CIA is most concerned with is the Misery Index.

    หลายๆ ทศวรรษที่ผ่านมากลับสัญญาณเตือนภัยที่ไม่ซ้ำกันนี้ถูกสร้างขึ้นสำหรับการกำหนดว่าจุดจบของประเทศคือการล่มสลายทางสังคมจะเป็นอย่างไร มันก็จะเพิ่มอัตราเงินเฟ้อจริงกับอัตราการว่างงานที่แท้จริง
    Decades back this unique warning sign was created for determining how close our country was to a social collapse. It simply adds the true inflation rate with the true unemployment rate.

    อย่างไรก็ตามธนาคารกลางสหรัฐได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณดัชนีความยากจน ซึ่ง Rickards เชื่อว่าได้ถูกนำมาใช้เพื่อปกปิดขอบเขตที่แท้จริงของปัญหา
    However, the Federal Reserve has repeatedly changed the way the Misery Index has been calculated over the years. Which Rickards believes is now being used to cover up the true scope of the problem.

    อาการซึมเศร้าทางเศรษฐกิจในระยะยาว
    Long-term Economic Depression

    "ทุกวันนี้ คุณไม่ค่อยได้ยินเรื่องที่รัฐบาลจะพูดถึงเกี่ยวกับดัชนีความยากจนกับประชาชน" Rickards กล่าวว่า "เหตุผลก็คือพวกเขาอาจไม่ต้องการให้คุณทราบความจริง. และความจริงก็คือดัชนีความยากจนได้มาถึงระดับที่เป็นอันตรายเกินกว่าที่เราเห็นก่อนที่จะตกต่ำ. นี้เป็นสัญญาณของระบบที่ซับซ้อนที่เกี่ยวกับการล่มสลาย."
    "Today you rarely hear the government talk about the Misery Index with the public," Rickards said. "The reason is they may not want you to know the truth. And the truth is, the Misery Index has reached more dangerous levels than we saw prior to the Great Depression. This is a signal of a complex system that's about to collapse."

    สิ่งที่น่ากลัว: แผนภูมิเดี่ยวได้เผยให้เห็นถึงการล่มสลายลงของธนาคารต่างๆ (และวิธีการที่เร็ว ๆ นี้) หากเงินฝากออมทรัพย์ชีวิตของคุณอยู่ในธนาคารที่สำคัญ ได้โปรดพิจารณาถึงสิ่งนี้
    Frightening: Single chart reveals which banks could collapse (and how soon). If your life savings is in a major bank, please look at this now.

    ในระหว่างการสัมภาษณ์ที่น่าตกใจ Rickards ได้เปิดเผย 5 สัญญานอันตราย ประชาคมข่าวกรองได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะเป็นตัวทำให้เกิดภัยพิบัตินี้
    During the shocking interview Rickards revealed the 5 dangerous "flashpoints" the Intelligence Community is closely monitoring that they believe will unleash this catastrophe.

    และเขายังอธิบายวิธีการทั้งหมด
    And he also described how it would all unfold.

    ผมคาดว่าในระยะแรกจะปรากฏตลาดหุ้นจะตกลง 70% เกือบจะทันที การแข่งขันในตลาด. จากภายนอก ไม่มีใครจะทราบว่ามันกำลังมา." Rickards อธิบาย
    "I expect the first phase will appear as a nearly instantaneous 70% stock market crash. From the outside, nobody will see it coming." Rickards explained.

    "Once it becomes clear that it's not a flash crash – it's a systemic meltdown in the economy itself, that's when the gravity of the situation will sink in. And there will be no digging out from it.

    "$100 trillion is a conservative estimate for the damage. A lot can happen over 25-years as our country struggles to recover from this."
    หมวดหมู่
    ข่าวและการเมือง
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เป็นไปตามที่คุณJIM Rickards บอกน่ะครับว่าเขาได้คาดการณ์ถึงการล่มสลายของเศรษฐกิจอเมริกาว่าในระยะแรกจะปรากฏตลาดหุ้นจะตกลง 70% เกือบจะทันที การแข่งขันในตลาด. ผมขอเน้นคำว่าจากภายนอกคระบ จากภายนอก และไม่มีใครจะทราบว่ามันกำลังมา.

    [​IMG]

    Thanong Fanclub

    3. ฟองสบู่การเงินร้าว
    ตลาดเกิดใหม่ไม่เป็นที่น่าสนใจอีกแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกองทุนฝรั่งโยกเงินเกือบ$10,000ล้านออกจากตลาดของประเทศที่กำลังพัฒนา ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดตั้งแต่วิกฤติปี2008
    ดูเหมือนว่าเอเชียจะตกเป็นเป้า มีการถอนเงิน$7,900ล้านออกจากตลาดหุ้นเอเชียในปริมาณสูงสุดในรอบ15ปีั
    เงินไหลออกในตลาดบอนด์เหมือนกันในขณะที่ประเทศในเอเชียกำลังทำให้ค่าเงินตัวเองให้อ่อนลงเพื่อสนับสนุนการส่งออก
    รอยร้าวในฟองสบู่การเงินในตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งเอเซียเกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐเริ่มมีการขยับทางทหารเพื่อเผชิญหน้ากับจีนในทะเลจีนใต้ การผงาดของอิทธิพลจีนจะทำให้สหรัฐสูญเสียผลประโยชน์ของความเป็นผู้นำของโลก ถ้าจะทำให้จีนอ่อนแอ ก่อนที่จะโซ้ยกัน ก็ต้องเล่นงานพวกลูกหาบในเอเซียเสียก่อนที่ถูกหลอกซ้ำซากให้เสพติดดอลล่าร์ถูกๆในรอบ7ปีที่ผ่านมาเพื่อสร้างหนี้และฟองสบู่การเงิน
    เมื่อมีการชักดอลล่าร์กลับ เอเซียจะเดี้ยง ตลาดการเงินจะตก ค่าเงินตก สภาพคล่องจะตึงตัวและเศรษฐกิจจะซบเซา
    เมื่อเอเซียอ่อนแอมากๆ จะไม่มีอำนาจในการต่อรองอะไรมาก เพราะจีนเองก็มีฟองสบู่ก้อนโตภายในประเทศที่ต้องดูแล จะมีกำลังพอที่จะอุ้มทั้งเอเซียหรือไม่ ถ้าหากเงินหยวนยังไม่ได้ลอยค่าเป็นเงินสกุลหลักของโลก
    การเคลื่อนย้ายดอลล่าร์เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐในการสร้างและทำลายตลาดเกิดใหม่ ถ้าปล่อยดอลล่าร์เครดิตเข้าตลาดเกิดใหม่ เศรษฐกิจจะและตลาดการเงินจะเฟื่องฟู แต่ดอลล่าร์คือหนี้ที่ต้องชำระ ไม่มีการเสริฟอาหารเที่ยงฟรี เมื่อได้จังหวะเวลา พวกนายแบงค์ที่คุมเฟดและบริหารเงินกองทุนยักษ์ต่างๆจะขึ้นดอกเบี้ย พร้อมโยกเงินออกจากตลาดเกิดใหม่เพื่อทำลาย ก่อนที่จะกลับเข้าไปครอบงำตามจังหวะเวลา เหมือนกับที่เคยทำกับไทยในช่วงต้มยำกุ้่ง ทำให้แบงค์ไทย และเศรษฐกิจไทยโดนต่างชาติครอบงำเกือบเบ็ดเสร็จ โดยที่คนไทยถูกหลอกให้เชื่อว่าให้ฝรั่งดูแลเศรษฐกิจและระบบการเงินไทยดีแล้ว เพราะว่าจะได้มาตรฐานสากล โดยหารู้ไม่ว่าการถูกครอบงำทางการเงินและเศรษฐกิจ คนไทยจะทำงานเยี่ยงทาสโดยที่ไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของทรัพย์สินในแผ่นดินที่ตัวเองมีชีวิตอยู่
    สถานการณ์การเงินช่วงนี้คล้ายกับตอนกลางปี2013 เมื่อนายBen Bernanke ประธานUS Federal Reserveในขณะนั้นออกมาบอกว่าเฟดอาจจะทำการชะลอการทำนโยบายการเงินเชิงปริมาณ ทำให้ตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีบัญชีเดินสะพัดติดลบอย่างอินเดีย อินโดเนเซีย ตุรกี โดนเทขายอย่างหนัก และค่าเงินตกอย่างรุนแรง
    พวกนักวิเคราะห์การเงินฝรั่งรู้ดีถึงความเสี่ยงทางการเงินในตลาดเกิดใหม่ที่ได้สร้างฟองสบู่การเงินตั้งแต่ปี2009เป็นต้นมาจากเงินทุนไหลเข้าเนื่องจากนโยบายดอกเบี้ย0%ของธนาคารกลางของประเทศตะวันตก ในขณะนี้เกือบ7ปีให้หลัง มีความเสี่ยงว่าเฟดจะต้องขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังของ2015 จะมีผลทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายกลับจากตลาดเกิดใหม่ไปยังศูนย์กลางทางการเงินของตะวันตก
    นายPaul Chan หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของInvesco Ltd ซึ่งบริหารเงินกองทุนขนาด$812,000ล้านทั่วโลก กล่าวว่า: "เงินกำลังไหลออกอย่างต่อเนื่องจากตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งเอเชีย มันดูเหมือนการซ้ำเหตุการณ์เมื่อปี2013 แต่ในตอนนี้พวกเรากำลังปรับราคาเพื่อรับมือกับการขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด"
    เอเซียหรือตลาดเกิดใหม่จะรับมืออย่างไรกับกองทุนรวมโลกที่มีมูลค่า$76ล้านล้าน เทียบเท่ากับขนาดของจีดีพีของโลกใบนี้พอดี กองทุนรวมยักษ์เหล่านี้อยู่ในมือของกลุ่มแองโกลอเมริกันเป็นส่วนใหญ่ ที่บริหารกองทุนให้สอดคล้องกับนโยบายภูมิรัฐศาสตร์ของวอชิงตัน ลอนดอนและโรม
    กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้เตือนในรายงานGlobal Financial Stability Reportในเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า อุตสาหกรรมบริหารจัดการกองทุนรวมมีพฤติกรรมเหมือนฝูงสัตว์ที่เฮโลไปเฮโลกันมาด้วยกัน ที่ผ่านมากองทุนยักษ์นี้ได้เข้ามาถือทั้งบอนด์และหุ้นของตลาดเกิดใหม่ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นมาก
    กองทุนการเงินระหว่างประเทศเกรงว่าถ้าหากเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังของปี2015นี้ จะเกิดพายุสภาพคล่องเกิดขึ้น ทำให้กองทุนยักษ์ถอนเงินการลงทุนในตลาดเกิดใหม่อย่างเร่งรีบเหมือนฝูงสัตว์ที่ตาลีตาเหลือกหนีตาย ประเทศเกิดใหม่จำต้องมีมาตรการป้องกันตัวเองจากวิกฤติสภาพคล่องและหยุดการเพิ่มหนี้หรือเครดิตก่อนที่มันจะสายเกินแก้
    ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย อัตราการกู้ยืมเงินจะสูงขึ้น ทำให้ผู้ที่กู้ดอลล่าร์มีปัญหาในการใช้หนี้ เพราะว่าทั้งดอกเบี้ยก็เพิ่ม และค่าเงินของตัวเองก็ตกต่ำเมื่อเทียบดอลล่าร์ ในขณะที่หาเงินลำบาก การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดถือว่าเป็นการเรียกเงินมาร์จิ้น โดยที่มีการปล่อยเงินกู้ดอลล่าร์$9ล้านล้านในตลาดออฟชอร์ ในจำนวนนี้หรือประมาณ$7.5ล้านล้านไหลไปยังประเทศเกิดใหม่ให้เสพติดดอลล่าร์ ให้พี้กันสนุกจากดอกเบี้ยต่ำๆ เพื่อสร้างหนี้ไปปั่นเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น ตลาดการเงินและตลาดอสังหาริมทรัพย์
    ตอนนี้ได้เวลาจ่ายหนี้แล้ว และจะมีหลายๆประเทศในตลาดเกิดใหม่มีปัญหาในการชำระหนี้ ที่กำลังสร้างความเจ็บปวดให้ ให้ดูตัวอย่างรัสเซียก็แล้วกัน โดนวางยาให้เสพติดหนี้ดอลล่าร์$600,000ล้าน พอโดนแซงชั่น แบงค์มีการชักเงินดอลล่าร์กลับ ค่าเงินรูเบิ้ลร่วงลงเหวทันที เดชะบุญที่มีจีนแอบมาช่วยอุดให้ มิเช่นนั้นรัสเซียก็บ๊ายบายไปแล้ว
    หันกลับมาดูเมืองไทยก็แล้วกัน เอนจอยกันค่อนข้างมากตั้งแต่ปี2009เป็นต้นมา เพราะว่ามีการสร้างดอลล่าร์หนี้เพิ่ม รวมทั้งรับการไหลเข้าของดอลล่าร์เข้าสู่เศรษฐกิจและตลาดการเงิน ช่วงฮันนี่มูนกับหนี้ดอลล่าร์กำลังจะจบลงแล้ว อันดับต่อไปคือการใช้เงินดอลล่าร์คืน ปัญหาคือเสพติดดอลล่าร์ไปมาก เวลาไม่มีดอลล่าร์จะลงแดงกันหรือเปล่า?
    ยิ่งเอเซียยิ่งอ่อนแอทางการเงิน อำนาจในการต่อรองทางความมั่นคงกับสหรัฐยิ่งจะน้อยลง เมื่อสหรัฐมาภูมิภาคนี้เพื่อท้าจีนชกปากกัน ฝรั่งเล่นการเงินและการทหารควบคู่กันเสมอ สมันน้อยทั้งหลายมัวเมาเสพติดจึงมองไม่เห็นภัยของหนี้ดอลล่าร์ที่พิมพ์มาจากอากาศเปล่าๆ แต่พิษร้ายเหลือ
    thanong
    15/6/2015
    http://www.marketwatch.com/…/emerging-markets-suffer-bigges…
    http://www.telegraph.co.uk/…/Fed-tantrum-sets-off-biggest-e…
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub
    4. ฟองสบู่การเงินร้าว

    [​IMG]

    เส้นตายของการเจรจาหนี้ของกรีซโรคเลื่อน คือเลื่อนแล้วเลื่อนอีก โดยที่เป้าหมายที่แท้จริงของเยอรมันและเจ้าหนี้ยุโรปน่าจะเป็นการล้มรัฐบาลของนายAlexis Tsiprasที่ดื้อดึงไม่ยอมเงื่อนไขรัดเข็มขัด
    กรีซผิดนัดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟแล้วเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่มีการเล่นเชิงเทคนิคให้กรีซต้องชำระหนี้ก้อนเดียวไปเลย1,600พันล้านยูโรในเดือนมิถุนายนนี้ ที่ตกลงกันไม่ได้คือเงื่อนไขให้กรีซตัดงบประมาณส่วนที่เป็นรายจ่ายบำนาญ และการขึ้นภาษีแว๊ท ในเมื่อตกลงกันไม่ได้กับเจ้าหนี้ยุโรปในเรื่องมาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งรวมถึงการปรับลดงบประมาณเพื่อทำงบเกินดุล กรีซมีโอกาสจะเผชิญกับการล้มละลายทางเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่แบงค์จะล่ม ตลาดการเงินจะพัง นำไปสู่จลาจลทางสังคม
    อียูมีการปล่อยข่าวว่า ให้กรีซเตรียมตัวใช้มาตรการควบคุมเงินไหลเข้าไหลออก (capital controls) ในกรณีที่ตกลงกับเจ้าหนี้ไม่ได้และต้องผิดชำระหนี้ ฝ่ายกรีซออกมาแก้ข่าวว่าไม่ได้มีการเตรียมการเรื่องมาตรการควบคุมเงินไหลเข้าไหลออกแต่อย่างใด
    นายTsiprasรู้ตัวดีแล้วว่ามันต้องมาถึงจุดนี้ ที่เจ้าหนี้ยุโรปจะบีบกรีซให้เกิดการจลาจลทางสังคมอันนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงการเมืองภายในกรีซ หรือล้มรัฐบาลของเขา เพื่อว่ากรีซจะได้รัฐบาลใหม่ที่เป็นเด็กดีของอียู
    กรีซมีทางเลือกที่จะออกจากเขตยูโร ซึ่งเป็นหนทางที่เจ็บปวดน้อยกว่าและดีที่สุดในเวลานี้ โดยสามารถไปพึ่งพากลุ่มBRICSแทนได้
    ถ้ากรีซออกจากเขตยูโร เราจะได้เห็นรอยร้าวที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเงินยูโรและระบบการเงินของยุโรป และของโลกที่สร้างบนหอคอยบาเบลในพระคำภีร์เก่า เพื่อให้มนุษย์อยู่รวมกันและขึ้นไปอยู่บนหอเพื่อหาพระเจ้าได้ แต่ในที่สุดหอคอยที่สร้างสูงขึ้นไปเรื่อยๆก็พังลงมา ทำให้มนุษย์แตกกระจายแยกกันอยู่
    สำนักงานใหญ่ของBank for International Settlementsสร้างในแบบจำลองของTower of Babel เหมือนกับจะรู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
    อ่านข่าวล่าสุดเรื่องหนี้กรีซจากผู้จัดการ:
    แนวโน้มที่กรีซจะผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงออกจากยูโรโซน ใกล้ที่จะกลายความเป็นจริงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภายหลังการเจรจาเฮือกสุดท้ายกับคณะเจ้าหนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าในเวลาไม่ถึงชั่วโมงเมื่อวันอาทิตย์ (14มิ.ย.) ส่งผลให้ความหวังในการปลดล็อกเงินกู้ที่เหลือให้ทันก่อนสิ้นเดือนนี้ ต้องฝากไว้กับการหารือระดับรัฐมนตรีคลังยูโรโซนในวันพฤหัสบดี (18)
    ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าเป็นตัวการทำให้การเจรจาล่มในคราวนี้ แหล่งข่าวในสหภาพยุโรป (อียู) แสดงความเกรี้ยวกราดอย่างปิดไม่มิดว่า กรีซไม่ได้มีมาตรการปฏิรูปใหม่ๆ มาเสนอ ขณะที่เจ้าหน้าที่เอเธนส์โทษว่า การเจรจาล่มเพราะกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ผู้เป็นเจ้าหนี้ที่มีจุดยืนแข็งขืนที่สุด
    แหล่งข่าวทั้งของกรีซและยุโรปยืนยันว่า การเจรจาเมื่อวันอาทิตย์สิ้นสุดลงในเวลาไม่ถึงชั่วโมง โดยเอเธนส์ให้ตัวเลขที่ 45 นาที ขณะที่ยุโรปบอกว่า แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
    ความล้มเหลวดังกล่าวฉุดค่าเงินยูโรร่วงลงอยู่ที่ 1.1213 ดอลลาร์ และ 138.50 เยน ในตลาดโตเกียวในการซื้อขายช่วงเช้าวันจันทร์ (15) จาก 1.1260 ดอลลาร์ และ 138.92 เยนช่วงเย็นวันศุกร์ (1) ในตลาดนิวยอร์ก
    กระนั้น นักวิเคราะห์ไม่คิดว่า ยูโรจะทรุดหนัก เนื่องจากนักลงทุนยังคงรอลุ้นสถานการณ์กรีซต่อไป
    นอกจากนั้นความล้มเหลวนี้ยังทำให้ดัชนีสำคัญของตลาดหลักทรัพย์เอเธนส์ร่วงลงอย่างหนักในวันจันทร์ โดยที่มีช่วงหนึ่งดิ่งลงมาถึงกว่า 7%
    ทุกฝ่ายต่างลงความเห็นว่า การเจรจาช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นโอกาสท้ายๆ ที่เอเธนส์จะปลดล็อกเพื่อให้ได้รับเงินกู้งวดสุดท้ายที่เหลืออยู่ โดยแลกกับมาตรการปฏิรูปที่นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซีปราส วัย 40 ปีของกรีซ ยังคงคัดค้านหัวชนฝา
    แหล่งข่าวในเอเธนส์สำทับว่า จุดยืนของไอเอ็มเอฟแข็งกร้าวและไม่อาจประนีประนอมได้ เนื่องจากไอเอ็มเอฟยืนกรานให้กรีซลดการจ่ายบำนาญและขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้าพื้นฐาน เช่น ค่าไฟฟ้า
    อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ไอเอ็มเอฟได้ออกคำแถลงด้วยน้ำเสียงประนีประนอมชนิดที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักว่า การบรรลุข้อตกลงต้องการการตัดสินใจที่ยากลำบากจากทุกฝ่าย ซึ่งรวมถึงหุ้นส่วนในยุโรปของกรีซ
    แต่ขณะเดียวกัน โอลิวิเยร์ บลองชาร์ด หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ ยืนยันว่า เอเธนส์ต้องจัดการแก้ไขระบบบำนาญอันอุ้ยอ้ายเป็นภาระหนัก โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 16% ของมูลค่าเศรษฐกิจของกรีซ
    เศรษฐกิจกรีซเวลานี้กำลังแตกเป็นเสี่ยงหลังเผชิญวิกฤตนาน 6 ปี แม้เข้ารับโครงการเงินกู้สองครั้งตั้งแต่ปี 2010 รวมมูลค่า 240,000 ล้านยูโร (270,000 ล้านดอลลาร์) ก็ตาม เงินกู้เหล่านี้ได้มาจาก 3 เจ้าหนี้ ได้แก่ อียู, ไอเอ็มเอฟ, และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักๆ นั้นเป็นพันธมิตรยุโรป นำโดยเยอรมนีและฝรั่งเศส
    ปัจจุบัน ประเทศเมดิเตอร์เรเนียนขนาดเล็กแห่งนี้กำลังจมอยู่ใต้กองหนี้ที่มีมูลค่าเทียบเท่า 180% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) นั่นคือ เกือบสองเท่าตัวของผลผลิตเศรษฐกิจต่อปีของประเทศ
    จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวในอียู งบประมาณที่สามารถประหยัดได้จากมาตรการปฏิรูปซึ่งรัฐบาลกรีซที่ต่อต้านการรัดเข็มขัดเสนอออกมา ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายอยู่ถึง 2,000 ล้านยูโร ทำให้ไม่สามารถปลดล็อกและรับเงินกู้งวดสุดท้าย 7,200 ล้านยูโรที่เหลืออยู่ ก่อนที่ข้อตกลงกับเจ้าหนี้ฉบับปัจจุบันจะหมดอายุลงในวันที่ 30 เดือนนี้
    ในเวลาเดียวกัน สิ้นเดือนนี้ยังเป็นกำหนดเวลาที่เอเธนส์ต้องจ่ายหนี้คืนไอเอ็มเอฟ 1,600 ล้านยูโร และจะต้องจ่ายอีก 6,700 ล้านยูโรให้ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในเดือนหน้าและเดือนกรกฎาคม ซึ่งเจ้าหน้าที่กรีซแย้มว่า รัฐบาลไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายได้
    โฆษกอียูชี้ว่า หลังจากนี้ การเจรจาจะถูกโอนไปที่เวทีการประชุมรัฐมนตรีคลังยูโรโซน หรือที่เรียกกันว่า “ยูโรกรุ๊ป” ณ ลักเซมเบิร์ก ในวันพฤหัสบดี (18)
    thanong
    16/6/2015
    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx…
     

แชร์หน้านี้

Loading...