ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    ... "อองซาน ซูจี : ไปเยือนจีนเพื่อขอให้เปลี่ยนมาหนุนตัวเอง แทนรัฐบาลทหารพม่า ในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงปลายปี = อองซานจะอิงแอบจีนมากขึ้นกว่าเดิม"
    ... นักวิเคราะห์บอกว่า "อองซาน ซูจี" ได้แสดงอย่างชัดเจนให้ชาวโลกรู้เห็นในท่าทีของเธอที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น "ตัวแทน" ของตะวันตกทัังในเรื่อง "ประชาธิปไตย" และ "สิทธิมนุษย์ชน" ที่ตะวันตกใช้เป็นจรวดในการบอมบรัฐบาลทหารพม่าและจีนมาตลอด
    ... แต่เธอต้องการบอกว่า "เธอได้ปรับเปลี่ยนจุดยืนทางการเมืองไป" ในการอิงแอบจีนมากขึ้น
    ... เช่น ในกรณีของ "โรฮีนจา" ที่ผ่านมาที่ตะวันตกพยายามจะให้เป็นอาวุธชิ้นใหม่ในการโจมตีแบ่งแยกพม่าให้เป็นรัฐเล็กน้อยแบบอดีตยูโกสลาเวียนั้น นางอองซานกลับไม่ปริปากออกมาให้ความเห็นเชิงตำหนิต่อว่าประสานเสียงกับตะวันตกเลย ทั้งที่ตะวันตกประโคมข่าวไปทั่วโลก เธอไม่มีการตำหนิรัฐบาลทหารของพม่าเลย = แปลว่านางเริ่มไม่ร้องเพลงประสานเสียง เต้นขยับย้ายท่าทีตามจังหวะการเมืองที่ตะวันตกบรรเลงทุกท่อนอีกต่อไป
    ... เพราะว่าเธอมองไกลไปที่ "การเลือกตั้งทั่วไป" ของพม่าที่กำลังจะมาถึงในประมาณปลายเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายน 2015 นี้
    ... และการที่เธอไปเยือน "จีน" ในครั้งนี้เมื่อ 10 มิถุนายนที่ผ่านมานั้นต้องการบอกว่าถ้าเธอได้รับเลือกตั้งจะยังคงอิงแอบแนบชิดกับพญามังกรต่อไป เหมือนกับที่รัฐบาลทหารพม่าเคยเป็น เพื่อเป็นการหาคะแนนเสียงกับคนที่ยังหวาดกลัวว่าเธอจะเอียงไปทางตะวันตก ในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง
    ... และคาดกันว่าค่อนข้างแน่นอน ที่เธอจะไม่พูดถึงเรื่อง "สิทธิมนุษย์ชน" ในประเทศจีนโดยเฉพาะเรื่องกรณีนักเขียนชาวจีน Liu Xiaobo เจ้าของรางวัลโนเบลปี 2010 ที่ถูกทางการจีนคุมขังกว่า 11 ปีแล้วจนถึงวันนี้ ผู้เรียกร้อง "ประชาธิปไตย" และ "สิทธิมนุษย์ชน" ในจีนมาตลอด
    ... เพราะเธอคงวิเคราะห์แล้วว่าถ้าทำอะไร แสดงท่าทีแบบที่ล้ำหน้าล้ำเส้นต่อรัฐบาลจีนมากไป มันจะมีผลกระทบด้านเสียหายมากกว่าด้านดี เพราะ "จีน" นั้นมีการให้ความช่วยเหลือพม่ามาโดยตลอดและยาวนาน
    ... พม่านั้นเป็นประเทศนอกคอมมิวนิสต์ประเทศแรกที่รับรองประเทศจีนหลังการเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ในปี 1949 ในช่วงต้น "สงครามเย็น" และนับตั้งแต่ปี 1988 หลังการประท้วงใหญ่เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาพม่า ( ที่มี "อองซาน ซูจี" เป็นแนวร่วมแกนนำที่สำคัญด้วย ) ทางการจีนก็เพิ่มความช่วยเหลือทางการทหารและเพิ่มการค้าขายชายแดนมากขึ้น เพื่อหวังดึงพม่าไว้เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นต่อไป
    ... "จีน" นั้นมีแผนจะเดินท่อแก๊สจาก "อ่าวเบงกอล" ทางตะวันตก "รัฐยะไข่" ของพม่าไปที่มณฑลยูนนานทางใต้ของจีน ที่อเมริกาพยายามขัดขวางอยู่โดยยุแยงให้รัฐยะไข่แยกตัวออกจากพม่าให้ได้ โดยอาศัยกรณีชาวโรฮีนจาเป็นเชื้อไฟในตอนนี้
    ... นอกจากนั้นยังมีการลงทุนทางสาธารณูปโภคต่างๆ เหมืองแร่ ป่าไม้ และอีกมากมาย ที่ทางอองซานก็ไม่อยากให้ลดน้อยถอยลงไป เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจของพม่าเอาไว้ เพราะถ้าเศรษฐกิจแย่ก็จะเกิดการวุ่นวายได้อีก
    ... ซึ่งการเปลี่ยนแปลท่าทีในการเอียงมาหาจีนของนางอองซานครั้งนี้เองก็มีความเป็นไปได้สูงที่จีนอาจจะกลับหรือเปลี่ยนมาส่งเสริมนาง เพราะในปี 2011 หลังการเลือกตั้งใหญ่แบบกำมะลอไม่นานรัฐบาลทหารพม่าก็แอบไปอิงแอบตะวันตกมากขึ้น จนทำให้จีนไม่พอใจ เช่นเอาเรื่องการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายและเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาว่าไปให้ "ญี่ปุ่น" ที่เป็นลูกน้องคนสนิท "อเมริกา"มากขึ้น
    ... ยิ่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนจีนไม่พอใจพม่าอย่างมากที่ไปโจมตีชาว"โกกั้ง" ชนกลุ่มน้อยเชื้อสายจีนทางภาคเหนือ ( ที่ถูกอังกฤษผนวกดินแดนไปช่วงราชวงศ์ชิงอ่อนแอ ) และรุกมาถึงชายแดนจีน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย และจุดนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จีนอาจจะหันมาหนุนนางอองซานแทนก็ได้ ( หรือมองอีกแง่หนึ่ง นางอองซานอาจจะเป็นหุ่นเชิดของอเมริกาอยู่เพียงแต่แค่เล่นละครตบตาจีนก็ได้ ต้องดูกันต่อไป )
    ... ดังนั้นการเดินทางไปเยือน "จีน" ของนางอองซานครั้งนี้ก็อาจจะเป็นการเปลี่ยนท่าทีครั้งสำคัญของพญามังกรต่อกลุ่มผู้ปกครองคนใหม่ของพม่าว่าจะสนับสนุน "คนเก่า" หรือ "คนใหม่" อย่างนางอองซานหรือไม่นั่นเอง ?
    .
    http://www.nytimes.com/…/aung-san-suu-kyi-of-myanmar-meets-…
    https://en.wikipedia.org/wiki/Burma–China_relations
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    1. ฟองสบู่การเงินร้าว
    หลายคนเริ่มเป็นห่วงว่าฟองสบู่ทางการเงินจะแตกหรือไม่ในช่วงครึ่งหลังของปี2015นี้
    ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดบอนด์ หรือตลาดเครดิตเริ่มออกอาการแล้ว โดยที่ยิลด์หรือดอกเบี้ยขยับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ขาดทุนบักโกรกถึง$1.2ล้านล้าน (ประมาณ40ล้านล้านบาท)
    ทุกครั้งที่ยิลด์สูงขึ้น ราคาบอนด์จะตกลงมา นักลงทุนบอนด์จะขาดทุน
    ถ้าตลาดบอนด์แครช มันจะลามเข้าสู่ตลาดหุ้น และดูเหมือนว่ารอยร้าวเกิดขึ้นแล้วในตลาดบอนด์จากการที่ยิลด์ขยับสูงขึ้น หมายความว่านักลงทุนที่ขายบอนด์ออกไปก่อนเริ่มมีความกังวลใจว่าธนาคารกลางหลักของโลกไม่สามารถจะรักษาดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับ0%ได้อีกต่อไป เนื่องจากแรงเงินเฟ้อกำลังดันขึ้นมา ถึงแม้จะมีความเชื่อโดยทั่วไปว่าภาวะเศรษฐกิจโลกโดยทั่วไปกำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืด
    ความจริงแล้ว ทั้งตลาดบอนด์และตลาดหุ้นเป็นฟองสบู่ลูกโตที่เกิดจากนโยบายเป่าลูกโป่งทางการเงินของธนาคารกลางหลักๆของโลก ไม่ว่าจะเป็นUS Federal Reserve, Bank of England, Bank of Japan และEuropean Central Bankที่ได้ทำการกดดอกเบี้ยลงมาอยู่ในระดับ0%มาเป็นเวลาติดต่อกัน7ปีแล้ว พร้อมกับพิมพ์เงินเพิ่มเข้าไปในระบบผ่านการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ (quantitative easing)เพื่อกอบกู้ระบบการเงินและระบบแบงค์จากการล่มสลาย
    คำถามคือ ธนาคารกลางของโลกตะวันตกเหล่านี้จะสามารถเลี้ยงฟองสบู่ได้อีกนานเท่าใด หลังจากทำมาแล้ว7ปี เพราะว่ามีการพูดกันหนาหูมากยิ่งขึ้นว่าทุกๆ7ปี ตลาดการเงินจะต้องมีการปรับฐาน และขณะนี้ได้เวลาแล้วที่ลูกฟองสบู่การเงินที่เป่าหลังวิกฤติซับไพร์มและวิกฤติLehman Brothersในปี2007 และปี2008ตามลำดับได้เวลาต้องแตกหรือปรับฐานใหม่
    ขณะนี้เราเห็นรอยร้าวในตลาดบอนด์ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ต้นเมษายนปีนี้ ยิลด์ของพันธบัตรอายุ10ปีของรัฐบาลเยอรมันทะยานขึ้นจาก0.05%เป็น0.54% ก่อนที่จะขึ้นต่อไปเป็น0.89%เมื่อราวช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้ และเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ยิลด์ทะลุ1%ไปแล่้วอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการปรับอัตราเครดิตใหม่ทั่วโลกอย่างรุนแรง
    ความเสียหายกระจายไปตามตลาดต่างๆ ยิลด์ในอินโดเนเซียสูงขึ้น1.75% เทียบกับ1.60%ในแอฟริกาใต้ 1.50%ในตุรกี 1.30%ในเม็กซิโกและ0.80% ในออสเตรเลีย
    Ambrose Evans-Pritchard นักเขียนคอลัมน์ทางการเงินแนวกระแสหลักชื่อดังของThe Telegraphของอังกฤษ เขียนว่ายิลด์ที่สูงขึ้นแบบถล่มทะลายนี้มีอาการเหมือนแผ่นดินไหว โดยที่จุดศูนย์กลางอยู่ที่เยอรมัน (epicentre) เมื่อเกิดไหวขึ้นมาที่เยอรมัน มันกระทบตลาดบอนด์อื่นๆเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป้นตลาดบอนด์ของฝรั่งเศส อิตาลีและเสปนก็ออกอาการเหมือนกัน
    สาเหตุเป็นเพราะว่านักลงทุนเริ่มเกรงว่าการเดิมพันQEของทางการเพื่อตรึงดอกเบี้ย0%ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้อาจจะล้มเหลว เนื่องจากเงินเฟ้อกำลังจะอาละวาด
    Evans-Pritchard เขียนต่อไปว่า ในตลาดบอนด์สหรัฐ สถานการณ์ไม่สู้ดีนักเหมือนกัน เพราะว่า Pimco Total Return Fund ซึ่งเป็นกองทุนยักษ์ได้ลดการถือบอนด์สหรัฐลงเหลือ8.5% เมื่อเทียบกับ23.4%ในเดือนที่แล้ว น้อยครั้งที่ผู้บริหารกองทุนในตลาดตราสารหนี้จะแสดงอาการแพนิคเช่นนี้ อันเห็นได้จากยิลด์ของพันธบัตร10ปีของรัฐบาลสหรัฐสูงขึ้น48จุดเป็น2.47%.ในการเทรด8วันติดต่อกัน
    ธนาคารกลางของโลกตะวันตกที่ทำQEเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกดดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำไม่สามารถคุมดอกเบี้ยได้แล้วหรือ? ยิลด์ที่สูงขึ้นหรือรอยร้าวในตลาดบอนด์เป็นสัญญานว่าตลาดบอนด์กำลังจะแครชหรือไม่ในครึ่งปีหลัง?
    คำตอบจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ตอนนี้เราเริ่มเห็นรอยร้าวในตลาดบอนด์เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าการขาดทุน$1.2ล้านล้านในตลาดบอนด์ในช่วงเวลาแค่2เดือนที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องล่อเล่น
    thanong
    14/6/2015
    Bond crash across the world as deflation trade goes horribly wrong - Telegraph
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    2. ฟองสบู่การเงินร้าว
    ตั้งแต่ต้นปี2015 ดอกเบี้ยติดลบกลายเป็นปรากฎการณ์ที่เป็นเรื่องปกติ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่วิบัติมากในวงการเงิน
    ยิลด์ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ10ปีของรัฐบาลสวิสติดลบ ยิลด์ของพันธบัตรรัฐบาลเยอรมันและญี่ปุ่นติดลบเหมือนกัน ดอกเบี้ยบอนด์ติดลบอย่างนี้หมายความว่านักลงทุนต้องจ่ายเงินให้รัฐบาลเหล่านี้เพื่อได้สิทธิพิเศษในการให้กู้เงินไปใช้ก่อน
    โลกการเงินกลับตาลปัตร แทนที่ผู้กู้ต้องจ่ายดอกเบี้ย แต่ผู้ให้กู้ต้องจ่ายดอกเบี้ยแทน
    เนื่องจากสภาพคล่องยังสูง นักลงทุนยอมรับดอกเบี้ยติดลบเพื่อรักษาเงินต้น แทนที่จะเสี่ยงลงทุนทั้งหมดในหุ้น และส่วนมากคิดว่าธนาคารกลางสามารถกดดอกเบี้ยให้ต่ำลงไปอีกได้ เทรดบอนด์เพื่อได้กำไรจากช่องว่างที่แทบจะไม่มีแล้วยังเล่นกันอยู่
    และถ้าใครคิดถอนเงินเอามาเก็บเฉยๆเพื่อเลี่ยงดอกเบี้ยติดลบ จะโดนแบงค์สอบถามหรือไม่ก็ต้องเจออุปสรรคต่างๆ จนในที่สุดมีการพูดหนาหูมากขึ้นเกี่ยวกับการเลิกใช้เงินสดไปเลย เพื่อที่จะใช้เงินดิจิตัลแทน และเพื่อป้องกันไม่ให้คนถอนเงินในกรณีที่มีการวิตกว่าแบงค์จะล้ม
    ยิลด์ของพันธบัตรอายุ30ปีรัฐบาลสหรัฐเริ่มขยับขึ้นตั้งแต่ต้นปี โดยยืนระดับ2.2%ในเดือนมกราคม ประมาณ2.6%ในเดือนกุมภาพันธ์ ประมาณ2.5%ในเดือนมีนาคม 2.7%ในเดือนเมษายน 2.8% พฤษภาคม และในในที่10มิถุนายนนี้กระโดดไปแตะ3.2%เลย
    สาเหตุที่เงินเฟ้อกำลังจะมาทั้งในยุโรปและสหรัฐเพราะว่าการเพิ่มของปริมาณเงินในระบบอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเงินเฟ้อมา ตลาดบอนด์ต้องปรับตัวลงและยิลด์ต้องขึ้น
    ปริมาณเงินM3ของสหรัฐเพิ่มขึ้นในอัตรา8%ในปีนี้ ส่วนที่ยุโรปปริมาณเงินM1เพิ่มในอัตรา16.2%ในระยะ6เดือนที่ผ่านมา ส่วนปริมาณเงินM3เพิ่มในอัตรา8.4%
    เห็นอย่างนี้แล้ว นักลงทุนอ่านเกมออกว่าเงินเฟ้อในครึ่งปีหลังต้องมาแน่ และดอกเบี้ยต้องขยับขึ้น อันนำไปสู่การขายบอนด์ทำให้เกิดรอยร้าวในฟองสบู่การเงินในช่วงที่ผ่านมา
    เวลาเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยและลดปริมาณเงินในระบบลง นั้นคือช่วงเวลาปกติ เวลาเศรษฐกิจซบเซา ธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ยและเพิ่มปริมาณเงิน
    แต่เวลานี้มันไม่ปกติเนื่องจากฟองสบู่การเงินที่เป่าขึ้นมาตั้งแต่ปี2009 ทำให้หนี้โลกเพิ่มขึ้น$54ล้านล้านเป็น$200ล้านล้านเป็นฟองสบู่การเงินก้อนโตมโหฬาร ธนาคารกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งUS Federal Reserve ไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ย เพราะว่าจะเท่ากับเป็นการเอาเข็มมาเจาะลูกโป่ง
    ไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินเฟ้อจะเกิดเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เพราะว่าไม่มีการแตะเบรคการเงิน ถ้าขึ้นดอกเบี้ย ฟองสบู่ตลาดบอนด์และตลาดหุ้นจะแตก ไม่แน่ว่าจะเอาอยู่หรือไม่ ทำให้Janet Yellenผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะว่าเฟดทาสีบนพื้นในห้องจนตัวเองจนมุมเองในที่สุด
    ตลาดการเงินมีปฏิกิริยาเร็วกว่าด้วยแรงเทขายบอนด์ทำให้ยิลด์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หมายความว่าธนาคารกลางอาจจะกำลังสูญเสียอำนาจในการคงดอกเบี้ย0% ถ้าดอกเบี้ยขึ้น ภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจจะหนักมากขึ้น คอสท์ของการกู้ยืมเงินจะสูงขึ้นจากเกือบจะฟรีในปัจจุบัน ตลาดจั๊งบอนด์ยิ่งจะมีปัญหาหนักกว่า รอยร้าวในปองสบู่การเงินยิ่งจะลึกมากขึ้น
    thanong
    15/6/2017
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การระเบิดฆ่าตัวตายของสมาชิกกลุ่มดาอิชคนหนึ่งในเมืองอาเลปโป + วิดีโอ
    Category: News & Event Published on Sunday, 14 June 2015 17:39 Written by Islamicstudiesth Team.

    [​IMG]

    สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มดาอิช (ISIS) ในระหว่างการปะทะกับกลุ่มก่อการร้ายอีกกลุ่มหนึ่งที่ชื่อ "กองทัพพิชิตอาเลปโป" ได้ระเบิดตัวตาย
    อัลอาลัมรายงาน โดยอ้างจากเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ "Al Marsd" ว่า : เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านของ "อัลบุล" ทางตอนเหนือของเมืองอาเลปโป
    ในคลิปวิดีโอนี้ สี่คนจากสมาชิกของกลุ่ม "กองทัพพิชิตอาเลปโป" ในระหว่างการปฏิบัติการยึดหมู่บ้าน "อัลบุล" นั้น ได้อยู่บนดาดฟ้าของบ้านหลังหนึ่งและได้เรียกร้องให้สมาชิกของกลุ่มดาอิช (ISIS) ยอมจำนน แต่เขาไม่สามารถที่จะเอาตัวรอดจากคนทั้งสี่ได้ จึงย้อนกลับเข้าไปภายในบ้านและระเบิดตัวเอง
    ที่มา :fa.alalam

    วีดีโอ :
    <iframe width="720" height="400" src="https://www.youtube.com/embed/uMSDBsWAX5o" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    การระเบิดฆ่าตัวตายของสมาชิกกลุ่มดาอิชคนหนึ่งในเมืองอาเลปโป + วิดีโอ
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ในซาอุฯ ภายใต้ความอ่อนแอของกษัตริย์!
    Category: News & Event Published on Sunday, 14 June 2015 21:15 Written by Islamicstudiesth Team.

    [​IMG]

    นักเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ชาวซาอุที่ใช้ชื่อเล่นว่า "มุจญ์ตะฮีด" ได้เขียนในโพสต์ใหม่ของตนว่า ราชวงศ์ซะอูดเห็นชอบแล้วที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจหลังจากการประกาศทุพพลภาพทางปัญญาของกษัตริย์ซัลมาน

    [​IMG]

    อัลอาลัม รายงานว่า : มุจญ์ตะฮิดผู้ซึ่งด้วยเหตุผลของข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับครอบครัวผู้ปกครองของซาอุดีอาระเบีย ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหนึ่งในเจ้าชายของราชวงศ์ซะอูด เขาได้เขียนในหน้าทวิตเตอร์ของตนว่า : ซะอูด บินซัยฟุนนัศร์ หลานชายของซะอูด บินอับดุลอะซีซ อดีตกษัตริย์ซาอุฯ ได้ก้าวออกมาข้างหน้าและแจ้งข่าวเกี่ยวกับการเสนอชื่อการเป็นกษัตริย์ของเจ้าชายอะห์มัด บินอับดุลอะซีซ จากบรรดาลูกๆ ของกษัตริย์อับดุลอะซีซและภรรยาที่ชื่อ "ฮิซเซาะฮ์ บินอะห์มัด อัซซุดัยรีย์" บุคคลนี้ถือว่าตนเองอยู่ในสำดับชั้นของการเป็นมกุฎราชกุมาร และไม่ยอมให้สัตยาบันกับมุฮัมมัด บินนายิฟ มกุฎราชกุมาร และมุฮัมมัด บินซัลมาน รองมกุฎราชกุมาร


    มุจญ์ตะฮิด ได้กล่าวเสริมในหน้าทวิตเตอร์ของตนว่า : การดำเนินการเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าราชวงศ์ซะอูดกำลังจะประกาศการทุพพลภาพทางปัญญาของกษัตริย์ซัลมานในเร็วๆ

    เขาได้เขียนถึงความขัดแย้งต่างๆ ที่มีอยู่เกี่ยวกับการกำหนดตัวมกุฎราชกุมารของซาอุดีอาระเบีย โดยอ้างจากซะอูด บินซัยฟุนนัศร์ว่า : ในช่วงเวลานี้ซึ่งกฎเกณฑ์และขอบเขตต่างๆ ได้ถูกทำลายลง สิทธิ์ต่างๆ ถูกเหยียบย่ำ งบประมาณแผ่นดินถูกปล้นสะดม และการเมืองของประเทศเกิดความวุ่นวาย เหลือเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นคือ หลังจากพระเจ้าแล้วเราจะขอพักพิงต่อบิดาของเรา คือเจ้าชายอะห์มัด บินอับดุลอะซีซ

    ก่อนหน้านี้มุจญ์ตะฮิดก็ได้ชี้ถึงความไม่พอใจของบรรดาสมาชิกของราชวงศ์ซะอูดที่มีต่อการดำเนินการและพฤติกรรมต่างๆ ที่โง่เขลาของมุฮัมมัด บินซัลมาน บุตรชายของกษัตริย์ซัลมาน

    [​IMG]

    การต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ในซาอุฯ ภายใต้ความอ่อนแอของกษัตริย์!
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Elzindu Constantine

    [​IMG]

    ‪#‎Earthquake‬
    รายงานแผ่นดินไหว
    15/06/2015
    เวลา 01:17
    แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.3 [mb] บริเวณ โอกลาโฮมา ที่ความลึก 5 กม. Earthquake - Magnitude 4.0 - OKLAHOMA - 2015 June 14, 18:17:08 UTC [EMSC]
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กบฏฮูตีในเยเมนบุกยึดเมืองสำคัญใกล้ชายแดนซาอุฯ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 00:41 น. (แก้ไขล่าสุด 15 มิถุนายน 2558 08:50 น.)

    [​IMG]

    เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - กลุ่มกบฏชีอะห์ “ฮูตี” ประสบความสำเร็จในวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) ในการบุกเข้ายึดเมืองอัล-ฮัซม์ เมืองเอกของจังหวัดยาว์ฟ ทางภาคเหนือของเยเมน ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ตั้งอยู่ประชิดชายแดนซาอุดีอาระเบีย

    รายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศหลายสำนัก รวมถึงสำนักข่าวซาบาที่อยู่ในความควบคุมของฝ่ายกบฏฮูตี ที่มีอิหร่านหนุนหลัง ระบุตรงกันว่าเมืองอัล-ฮัซม์ เมืองเอกของจังหวัดยาว์ฟได้ตกอยู่ในความควบคุมของฝ่ายกบฏแล้ว ถือเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของฝ่ายรัฐบาลประธานาธิบดี อเบดราบโบ มันซูร์ ฮาดี ที่มีซาอุดีอาระเบียสนับสนุน

    เมืองอัล-ฮัซม์ ดังกล่าวอยู่ห่างจากชายแดนซาอุฯราว 150 กิโลเมตร และการที่เมืองนี้ถูกกบฏฮูตีบุกยึดได้นั้น ถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงโดยตรงต่อซาอุฯที่เป็นตัวตั้งตัวตีเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อกบฏฮูตีในเยเมน ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม

    ก่อนหน้านี้ อาหมัด ฟาว์ซี โฆษกของสหประชาชาติออกมาระบุในวันอาทิตย์ (14) ว่า การเจรจาที่มีเป้าหมายเพื่อยุติการสู้รบในเยเมน โดยนำเอาตัวแทนของแต่ละฝ่ายที่สู้รบมาพูดคุยกันที่นครเจนีวา คาดว่าจะเริ่มได้ในวันจันทร์ (15) นี้ แม้ว่าทางตัวแทนของฝ่ายกบฏฮูตีที่ได้รับการหนุนหลังจากอิหร่านกับทางพรรคสภาประชาชนของอดีตประธานาธิบดี อาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ จะปฏิเสธการเข้าร่วมเวทีสันติภาพที่เจนีวา

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยังเอาไม่อยู่! ยอดตายไวรัส MERS ในเกาหลีใต้พุ่ง 16 ศพ-ติดเชื้อเพิ่มเป็น 150 ราย โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 10:08 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้เผยยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสกลุ่มทางเดินหายใจสายพันธุ์ตะวันออกกลาง (MERS) เพิ่มเป็น 16 ราย และมีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น 5 รายในวันนี้ (15 มิ.ย.) ขณะที่ประชาชนอีกกว่า 5,200 คนถูกสั่งให้อยู่ในระยะกักโรค (quarantine) ท่ามกลางความหวาดผวาการแพร่กระจายของเชื้อโรคซึ่งมีทีท่าว่าจะยังคุมไม่อยู่

    ผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็นชายวัย 58 ปี ซึ่งทำให้ยอดผู้เสียชีวิตในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเป็น 16 รายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน

    กระทรวงสาธารณสุขชี้ว่า ผู้เสียชีวิตรายล่าสุดป่วยเป็นเบาหวานอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อในภาพรวมเพิ่มขึ้นเป็น 150 คน โดยผู้ป่วย 17 คนอาการอยู่ในขั้นคงที่

    ผู้ติดเชื้อใหม่ 5 รายมีช่วงอายุระหว่าง 39-84 ปี โดยได้รับเชื้อจากสถานพยาบาลหลายแห่ง รวมถึงโรงพยาบาลในกรุงโซลและเมืองแดจอนที่ห่างออกไปทางใต้ประมาณ 140 กิโลเมตร

    หนึ่งในผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นแพทย์ที่เคยปั๊มหัวใจช่วยชีวิตคนไข้ MERS ในเมืองแดจอน และคนไข้อีกรายที่ศูนย์การแพทย์ซัมซุงในกรุงโซล ซึ่งที่ผ่านมาสถานพยาบาลแห่งนี้มีการแพร่กระจายของไวรัสสู่คนไข้ แพทย์ พยาบาล และผู้มาติดต่อธุระรวมกว่า 70 ราย และจัดเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดสำหรับการแพร่ระบาดที่เกาหลีใต้

    การแพร่กระจายของไวรัส MERS ในเกาหลีใต้มีต้นตอมาจากชายวัย 68 ปีคนหนึ่งที่เพิ่งเดินทางกลับจากซาอุดีอาระเบีย และแพทย์ได้ยืนยันอาการป่วยของเขาเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ก่อนหน้านั้นเขาได้ไปพบแพทย์ในสถานพยาบาล 4 แห่ง ซึ่งระหว่างนั้นเองที่เชื้อได้แพร่กระจายไปสู่เจ้าหน้าที่แพทย์และผู้ป่วยรายอื่นๆ

    ไวรัส MERS ได้แพร่จากผู้ป่วยรายแรกไปสู่รายอื่นๆ อย่างรวดเร็ว จนทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่พบผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย และเป็นการได้รับเชื้อจากสถานพยาบาลเกือบทั้งสิ้น

    ศูนย์การแพทย์ซัมซุงซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้ได้ประกาศระงับบริการเกือบทั้งหมดเมื่อวานนี้ (14) เพื่อสกัดการแพร่กระจายของไวรัสมรณะ

    ในซาอุดีอาระเบียซึ่งถือเป็นต้นทางของไวรัส MERS พบผู้ติดเชื้อมากกว่า 950 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 412 ราย

    ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อไวรัส MERS อยู่ที่ราวๆ 35 เปอร์เซ็นต์ และปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันได้

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ลิเบียเผย “ม็อคตาร์ เบลม็อคตาร์” แกนนำก่อการร้ายผู้บงการยึดโรงแยกก๊าซแอลจีเรียถูกสหรัฐฯ ปลิดชีพแล้ว โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    15 มิถุนายน 2558 08:58 น. (แก้ไขล่าสุด 15 มิถุนายน 2558 09:06 น.)

    [​IMG]
    @ม็อคตาร์ เบลม็อคตาร์ ผู้ก่อการร้ายชาวแอลจีเรีย หัวหน้ากลุ่มติดอาวุธ อัล-มูราบิทูน ซึ่งเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีโรงแยกก๊าซ อิน อามีนาส ในแอลจีเรีย เมื่อต้นปี 2013

    เอเอฟพี - ม็อคตาร์ เบลม็อคตาร์ นักรบญิฮาดเครือข่ายอัลกออิดะห์ ผู้สั่งการบุกยึดโรงแยกก๊าซแอลจีเรียเมื่อปี 2013 ถูกเครื่องบินสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปลิดชีพแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลลิเบียฝ่ายที่นานาชาติให้การยอมรับแถลงวานนี้ (14 มิ.ย.)

    ถ้อยแถลงซึ่งโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า “เครื่องบินของอเมริกาได้ปฏิบัติภารกิจโจมตี จนสามารถสังหาร ม็อคตาร์ เบลม็อคตาร์ และสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายทางภาคตะวันออกของลิเบียได้สำเร็จ”

    เบลม็อคตาร์ เป็นผู้นำกลุ่มติดอาวุธ อัล-มูราบิทูน ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ทางตอนเหนือของแอฟริกา และยังเป็นอดีตผู้บัญชาการเครือข่ายอัลกออิดะห์ในดินแดนอิสลามมัฆริบ (AQIM) ด้วย

    นักรบญิฮาดผู้ตาบอดข้างหนึ่งรายนี้มีประวัติบงการเหตุโจมตีในหลายประเทศ และอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ยึดโรงแยกก๊าซ อิน อามีนาส ในแอลจีเรียเมื่อปี 2013 ซึ่งปิดฉากลงด้วยการสูญเสียชีวิตตัวประกันถึง 38 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก

    ประกาศจากรัฐบาลลิเบียมีขึ้นไม่นาน หลังจากที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า กองทัพอเมริกันได้ส่งเครื่องบินไปโจมตี “ผู้ก่อการร้ายเครือข่ายอัลกออิดะห์” ที่ซ่อนตัวอยู่ในลิเบีย

    “เรายังอยู่ระหว่างประเมินผลปฏิบัติการครั้งนี้ และจะแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมให้ทราบต่อไปในเวลาที่เหมาะสม” พ.อ.สตีฟ วอร์เรน โฆษกเพนตากอน ระบุในคำแถลงวานนี้ (14) พร้อมยืนยันว่าภารกิจโจมตีเกิดขึ้นเมื่อคืนวันเสาร์ (13)

    ทางการสหรัฐฯ ยังไม่ยืนยันผลของปฏิบัติการครั้งนี้ในทันที ซึ่งที่ผ่านมาโดรนของวอชิงตันก็ถูกส่งไปโจมตีเป้าหมายในภูมิภาคดังกล่าวอยู่เป็นระยะๆ

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลลิเบียกลับให้ข้อมูลเชิงลึกว่า การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้น “หลังจากที่สหรัฐฯ ได้ปรึกษาหารือกับรัฐบาลชั่วคราว” ในเมืองตอบรู๊ก (Tobruk)

    แหล่งข่าวในรัฐบาลลิเบียระบุว่า เครื่องบินสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายทางตอนใต้ของเมืองอัจดาบิยา ซึ่งห่างจากเมืองเบงกาซีไปทางตะวันตกราวๆ 160 กิโลเมตร

    ก่อนหน้านี้ เคยมีข่าวลือว่า เบลม็อคตาร์ ถูกสังหารในมาลี แต่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีเมื่อปีที่แล้วว่า เบลม็อคตาร์ได้หลบหนีไปกบดานอยู่ในลิเบีย

    อัล-มูราบิทูน ถือกำเนิดขึ้นจากการผนวกกลุ่มติดอาวุธ 2 กลุ่ม ได้แก่ “ซิกนาทอรีส์ อิน บลัด” ของเบลม็อคตาร์ และ “มูเจา” (MUJAO) ซึ่งเป็นนักรบญิฮาดกลุ่มหนึ่งที่สามารถยึดพื้นที่ตอนเหนือของมาลีได้ในช่วงปี 2012 - 2013

    หลังจาก อัล- มูราบิทูน ได้ออกมาประกาศสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) เมื่อเดือนที่แล้ว เบลม็อคตาร์ ก็แถลงทันทีว่า “ไม่เอาด้วย” และจะขอสนับสนุนอัลกออิดะห์ต่อไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการช่วงชิงอำนาจภายในกลุ่มของเขาเอง

    ที่ผ่านมา รายงานหลายฉบับที่เอ่ยถึง อัดนาน อบูวาฮิด ซาห์ราวี ในฐานะผู้นำสูงสุดคนใหม่ของ อัล-มูราบิทูน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายเกิดคำถามเกี่ยวกับชะตากรรมของเบลม็อคตาร์

    ลิเบียเริ่มตกอยู่ในภาวะไร้ขื่อแป นับตั้งแต่นาโตเข้าให้การสนับสนุนการปฏิวัติประชาชนโค่นล้มพันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี เมื่อปี 2011 หลังจากนั้น ลิเบียก็แตกแยกเป็น 2 ฝ่าย โดยแต่ละฝ่ายก็มีการจัดตั้งรัฐบาลและรัฐสภาแข่งกัน ขณะที่กลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นก็ฉวยโอกาสที่บ้านเมืองไม่สงบแผ่ขยายอิทธิพลและแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรน้ำมัน

    การรุกรานจากนักรบญิฮาดยังทำให้คลื่นผู้อพยพจากแอฟริกายอมเสี่ยงตายข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังยุโรป จนกลายเป็นวิกฤตที่บีบให้สหภาพยุโรปต้องเร่งตอบสนองอยู่ในเวลานี้

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปิดตำนาน “สหายมาร์กิโตส” แม่ทัพใหญ่กลุ่มกบฏโคลอมเบีย ถูกทางการยิงดับคาป่า โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 05:20 น. (แก้ไขล่าสุด 15 มิถุนายน 2558 08:46 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - โฮเซ อามิน เอร์นันเดซ หรือ “สหายมาร์กิโตส” ผู้บัญชาการรบของกลุ่มกองโจรฝ่ายซ้าย “กองทัพเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติ” ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏใหญ่อันดับ 2 ของโคลอมเบีย ถูกกองทัพโคลอมเบียสังหารแล้ว ระหว่างการยิงปะทะกันกลางป่าเมื่อวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) ที่เขตเซโกเบีย ในจังหวัดอันติโอกิอาทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ

    ประธานาธิบดี ฮวน มานูเอล ซานโตส ผู้นำโคลอมเบีย ออกมาเปิดเผยผ่าน “ทวิตเตอร์” ยืนยันข่าวการเสียชีวิตของมาร์กิโตส และแสดงความชื่นชมกองทัพโคลอมเบียต่อความสำเร็จในครั้งนี้

    ทั้งนี้ โฮเซ อามิน เอร์นันเดซ หรือ “สหายมาร์กิโตส” เป็นแม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกองกำลังถึง 13 หน่วยย่อย ของกลุ่มกบฏกองทัพเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติ (ELN) ที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่จังหวัดอันติโอกิอา และ จังหวัดโบลิบาร์ อีกทั้งยังถูกทางการโคลอมเบียกล่าวหาว่า มีส่วนพัวพันกับการค้ายาเสพติดและอาวุธสงคราม รวมถึงการลักลอบทำเหมืองทองคำเถื่อนอีกด้วย

    ข้อมูลของทางการโคลอมเบีย ระบุว่า กลุ่มกบฏ ELN นี้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มแกนนำซึ่งได้ “แรงบันดาลใจ” มาจากการปฏิวัติสังคมนิยมของ ฟิเดล กาสโตร ในคิวบา และได้จับอาวุธสู้รบกับรัฐบาลโคลอมเบียมานานถึง 51 ปีแล้ว

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เหยื่อ “เมอร์ส” พุ่ง-รพ.ซัมซุง ลดบริการ สโลวาเกียลุ้นผลตรวจคนงานโสมใต้
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2558 22:55 น. (แก้ไขล่าสุด 15 มิถุนายน 2558 08:53 น.)

    [​IMG]
    @คนไข้ชาวเกาหลีใต้ซึ่งสงสัยว่าติดเชื้อไวรัส “เมอร์ส” ถูกนำตัวเข้าโรงพยาบาลครามาเร ในกรุงบราติสลาวา, สโลวาเกีย เมื่อวันเสาร์ (13) ที่ผ่านมา ชายวัย 38 ปีผู้นี้ทำงานกับบริษัทรับเหมาช่วงของค่ายรถยนต์ “เกีย” ซึ่งมีโรงงานอยู่ในประเทศยุโรปกลางแห่งนี้ เขาออกเดินทางจากเกาหลีใต้ตอนต้นเดือนมิถุนายน

    เอเจนซีส์ – เกาหลีใต้มีผู้เสียชีวิตจากโรค “เมอร์ส” เป็นรายที่ 15 ในวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) และการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้บีบบังคับให้โรงพยาบาลแห่งสำคัญในกรุงโซล ต้องระงับการให้บริการส่วนใหญ่ ขณะเดียวกัน สโลวาเกียกำลังรอลุ้นผลการตรวจว่า คนงานเกาหลีใต้ซึ่งเดินทางไปถึงประเทศยุโรปกลางแห่งนี้ตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ติดเชื้อเมอร์สหรือไม่

    สภาเมืองปูซาน เมืองท่าสำคัญทางภาคใต้ของเกาหลีใต้ รายงานในวันอาทิตย์ ว่า ผู้เสียชีวิตจากโรค “กลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง” (เมอร์ส) รายล่าสุด อันเป็นรายที่ 15 ในแดนโสมขาว เป็นชายวัย 62 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เมื่อวันที่ 7 ที่ผ่านมา ขณะเข้ารักษาตัวในศูนย์การแพทย์ซัมซุงในกรุงโซล ศูนย์แห่งนี้ซึ่งประกอบด้วยโรงพยาบาลและศูนย์วิจัย กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของโรคนี้ โดยพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 70 คน

    ในวันเดียวกัน กระทรวงสาธารสุขเกาหลีใต้ ยืนยันว่า ทั่วประเทศพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 7 ราย โดย 4 รายติดเชื้อที่โรงพยาบาลซัมซุง ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดเพิ่มเป็น 145 คน

    ก่อนหน้านี้ เมื่อวันเสาร์ (13) เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ แถลงว่า คนขับรถพยาบาลที่เป็นผู้นำส่งผู้ป่วยซึ่งเสียชีวิตเมื่อ 3 วันก่อน ก็ติดเชื้อเมอร์สเช่นกัน

    เพื่อป้องกันการระบาดเพิ่มในหมู่ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาล ทางศูนย์การแพทย์ซัมซุงได้ประกาศวันอาทิตย์ ว่า จะงดตรวจรักษาผู้ป่วยนอก งดรับผู้ป่วยใหม่เข้ารักษาตัว หรือทำการผ่าตัดในกรณีที่ไม่เร่งด่วน

    ซอง แจฮุน ประธานโรงพยาบาลซัมซุง ยังแถลงว่า จะไม่อนุญาตให้ญาติพี่น้องเข้าเยี่ยมผู้ป่วย และจะตัดสินใจในวันที่ 24 นี้ ว่า จะระงับการให้บริการต่างๆ เหล่านี้ต่อไปอีกหรือไม่

    ซองยังแสดงความเสียใจต่อผู้ป่วยที่ติดเชื้อเมอร์สและผู้ที่ถูกกักกันโรค เนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้

    ศูนย์การแพทย์ซัมซุงที่มีผู้ป่วยเข้ารักษาตัววันละกว่า 8,000 คน กำลังตกเป็นที่วิจารณ์ ว่า บกพร่องล้มเหลวในการป้องกันการระบาดของเมอร์สทั้งในหมู่เจ้าหน้าที่และผู้ป่วย

    ซองแจกแจงว่า จนถึงขณะนี้ มีแพทย์ 2 คน และพยาบาล 3 คนของโรงพยาบาลติดเชื้อเมอร์ส และโรงพยาบาลได้เริ่มกักกันโรคผู้ป่วย ครอบครัว และเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาลกว่า 400 คน ที่สัมผัสโดยตรงหรือโดยอ้อมกับคนขับรถพยาบาลที่ติดเชื้อ

    สำหรับจำนวนผู้ที่อยู่ภายใต้การกักกันโรคทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้านทั่วเกาหลีใต้ ล่าสุดอยู่ที่ 4,586 คน เฉพาะวันอาทิตย์เพิ่มขึ้นถึงกว่า 800 คน

    ขณะเดียวกัน ชายเกาหลีใต้คนหนึ่งที่สงสัยว่าติดเชื้อเมอร์ส ได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในกรุงบราติสลาวา เมืองหลวงของสโลวาเกีย เมื่อวันเสาร์

    ชายวัย 38 ปีผู้นี้เดินทางถึงสโลวาเกียตั้งแต่วันที่ 3 ที่ผ่านมา โดยทำงานให้บริษัทรับเหมาช่วงของค่ายรถยนต์ “เกีย” ของเกาหลีใต้ ที่มีโรงงานอยู่ในประเทศดังกล่าว

    ต่อมาในวันอาทิตย์ กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ แถลงว่า ชายคนนี้ยืนยันว่า ก่อนออกเดินทางสู่สโลวาเกีย ไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยเมอร์ส รวมทั้งไม่เคยไปโรงพยาบาลใดๆ และแจ้งสถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ในสโลวาเกียเมื่อวันเสาร์หลังจากมีอาการไข้

    การระบาดในเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นการระบาดรุนแรงที่สุดนอกซาอุดีอาระเบีย เริ่มต้นขึ้นเมื่อชายวัย 68 ปีผู้หนึ่ง ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสนี้ในวันที่ 20 พฤษภาคม หลังเดินทางกลับจากซาอุดีอาระเบีย และนับจากนั้น เมอร์สก็ระบาดอย่างรวดเร็ว จนสร้างความกังวลไปทั่วและทำให้ธุรกิจในเกาหลีใต้ซบเซาทันตา เนื่องจากประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่ที่มีผู้คนแออัด

    ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ต้นเดือนนี้มีนักเดินทางต่างชาติราว 100,000 คนยกเลิกแผนการเดินทางสู่เกาหลีใต้

    ทีมผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก (ฮู) ที่ร่วมปฏิบัติภารกิจกับเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์เตือนว่า การระบาดของเมอร์สในแดนโสมขาว “มีขนาดใหญ่และซับซ้อน” และคาดว่า จะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ ยังไม่พบการระบาดในชุมชนใดๆ นอกจากโรงพยาบาล รวมถึงยังไม่พบสิ่งบ่งชี้ว่า ไวรัสชนิดนี้ได้กลายพันธุ์กระทั่งสามารถติดต่อระหว่างคนได้ง่ายขึ้น

    ทั้งนี้ ฮูยังเตรียมจัดประชุมฉุกเฉินรับมือสถานการณ์ไวรัสเมอร์สระบาดในวันอังคารนี้ (16)


     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยูเอ็นคาดหวังว่าการเจรจาเพื่อยุติศึกในเยเมนจะเริ่มจันทร์นี้
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2558 20:37 น. (แก้ไขล่าสุด 15 มิถุนายน 2558 09:01 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - โฆษกของสหประชาชาติระบุในวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) ว่า การเจรจาที่มีเป้าหมายยุติการสู้รบในเยเมน โดยนำเอาตัวแทนของแต่ละฝ่ายที่สู้รบมาพูดคุยกันที่กรุงเจนีวา คาดว่าจะเริ่มได้ในวันจันทร์นี้

    “เราคาดหวังว่าแต่ละกลุ่มจะมารวมตัวกันที่นี่ในการประชุมเจนีวาวันพรุ่งนี้” อาหมัด ฟาว์ซี บอกนักข่าวในวันอาทิตย์

    ฟาว์ซี บอกว่า ตัวแทนของทั้งสองฝ่ายในการสู้รบที่เยเมน คาดว่า จะมาถึงเจนีวาตั้งแต่คืนวันอาทิตย์

    โดยทางฝ่ายประธานาธิบดี อาเบดรับโบ มานซูร์ ฮาดี ผู้นำรัฐบาลเยเมนที่นานาชาติให้การยอมรับ ได้บอกว่า คณะผู้แทนของเขาได้บินไปเจนีวาในวันเสาร์

    อย่างไรก็ตาม ทางตัวแทนของฝ่ายกบฏฮูตีที่ได้รับการหนุนหลังจากอิหร่าน กับพรรคสภาประชาชนของอดีตประธานาธิบดี อาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ ได้ปฏิเสธที่จะขึ้นเครื่องบินของยูเอ็นที่ออกเดินทางจากกรุงซานาไปสู่เจนีวาเมื่อวันเสาร์

    โดยเจ้าหน้าที่ของฝ่ายกบฏฮูตี ได้บอกว่า เหตุที่ปฏิเสธการขึ้นเครื่องบินของยูเอ็น เพราะเครื่องบินลำนั้นจะไปจอดในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นชาติแกนนำของพันธมิตรอาหรับที่ใช้การโจมตีทางอากาศในเยเมน

    ฟาว์ซี บอกว่า การประชุมครั้งนี้น่าจะเริ่มขึ้นได้ตามเวลาที่กำหนด น่าจะมีความตึงเครียด คุยกันทั้งวันทั้งคืน แต่ยังหวังว่าแต่ละฝ่ายจะหยุดการสู้รบเพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม

    คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กับ เลขาธิการใหญ่ของยูเอ็น “บัน คี-มุน” ต่างก็เรียกร้องให้การหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมที่เคยเกิดขึ้นตอนเจรจาพักรบช่วงเดือนพฤษภาคม ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง

    การเจรจาที่มีทูตยูเอ็น “อิสมาอิล อูลด์ ชีค อาเหม็ด” เป็นคนกลาง ถูกตั้งเป้าไว้ว่าจะนำมาซึ่งการหยุดยิง การเห็นพ้องต้องกันในเรื่องแผนถอนกำลังของฝ่ายฮูตี รวมถึงการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้คนในเยเมน

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เตรียมสรุปผลตรวจทรัพย์สิน“พ่อคูณ-วัดบ้านไร่”18 มิ.ย. เผยใครฉกมีอันเป็นไปทุกราย โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 12:00 น.

    [​IMG]
    @นายธวัช เรืองหร่าย รักษาการไวยาวัจกร

    ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - รักษาการไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ เผยการสำรวจรวบรวมทรัพย์สินหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ใกล้แล้วเสร็จ คาด 18 มิ.ย.นี้ทางธนาคารส่งรายละเอียดบัญชีเงินต่างๆมาให้ ถือว่าสมบูรณ์ พร้อมสรุปผลส่งกก.ชุดใหญ่ ยันยังไม่มีทรัพย์สินใดหายไปโดยเฉพาะวัตถุมงคล 150 ล้าน ล่าสุดค้นหัวเตียงพบตะกั่วเถื่อน ประคดและพระเก่าแก่ ชี้พ่อคูณเป็นพระผู้ให้แต่หากใครฉกมีอันเป็นไปทุกราย

    วันนี้(15 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานคืบหน้าการตรวจสอบทรัพย์สินหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ และทรัพย์สินวัดบ้านไร่ ตามที่ “คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของพระเทพวิทยาคม และวัดบ้านไร่” แต่งตั้งโดยเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ได้มอบหมายให้ไวยาวัจกรวัดและอดีตกรรมการวัดบ้านไร่ ไปสำรวจรวบรวมทรัพย์สินของหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ทั้งหมดเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการฯ ภายในวันที่ 24 มิ.ย. นั้น

    ล่าสุด นายธวัช เรืองหร่าย รักษาการไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ขณะนี้การสำรวจรวบรวมทรัพย์สินของหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ทั้งหมดใกล้เสร็จแล้ว ซึ่งรักษาการกรรมการวัดบ้านไร่ได้ ช่วยกันแยกหมวดหมู่ทรัพย์สินออกเป็น 6 หมวดตามที่คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯกำหนด เพื่อทำรายงานสรุปผลการสำรวจชี้แจงต่อคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ ที่แต่งตั้งโดย พระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ภายในกำหนดวันที่ 24 มิ.ย.นี้

    ทั้งนี้ ล่าสุดได้เข้าตรวจสอบทรัพย์สินบริเวณหัวเตียงนอนของหลวงพ่อคูณ ภายในกุฏิ พบว่า มีตะกั่วเถื่อนกว่า 1,000 เล่ม ประคดกว่า 10 เส้น สีผึ้ง และ พระเครื่องเก่าแก่ที่ลูกศิษย์นำมาถวาย ซึ่งการตรวจสอบจนถึงขณะนี้ยังไม่พบว่ามีทรัพย์สินของวัดและของหลวงพ่อคูณสูญหายไป เนื่องจากช่วงที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นพระผู้ให้ บางครั้งลูกศิษย์ญาติโยมขอไปท่านก็ให้ แต่หากใครหยิบฉวยไปโดยที่ไม่ได้ขอหรือท่านไม่ได้ให้ก็มักจะไม่เหลือละลายเหมือนน้ำแข็งและมีอันเป็นไป ซึ่งตนเห็นมากับตาตัวเองมาตลอด 20 ปีที่อยู่กับหลวงพ่อคูณ

    นายธวัช กล่าวต่อว่า ส่วนวัตถุมงคลต่างๆ ยังอยู่ครบทุกชิ้นไม่ได้สูญหายไปไหน เฉพาะที่อยู่ในห้องเก็บวัตถุมงคลวัดบ้านไร่ นั้น มีมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท และยังไม่รวมพระยอดธงอื่น ๆ ที่พบในห้องกุฏิของหลวงพ่อ อีก ซึ่งขอยืนยันว่าทุกอย่างไม่ได้สูญหายไปไหน

    สำหรับบัญชีเงินฝากกับธนาคารต่างๆ ทางธนาคารกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรให้ทราบภายในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ซึ่งหากได้ข้อมูลรายละเอียดแต่ละบัญชีธนาคารมาทั้งหมดแล้ว ก็ถือว่าการสำรวจรวบรวมทรัพย์สินหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งอย่าง และพร้อมที่จะสรุปผลส่งรายงานให้ทางคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ ชุดใหญ่ เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

    “ตอนนี้ลูกศิษย์หลวงพ่อคูณทุกคนก็คิดว่าอดีตมันแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันเราต้องช่วยกันสร้างสิ่งที่ดี ๆ และร่วมมือกันเมื่อมีโอกาส โดยเฉพาะเหลืออีกหลายอย่างที่จะร่วมกันสร้าง เช่น เรื่องเงินทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 100 ล้านบาท ตามเจตนาของหลวงพ่อคูณ ซึ่งสามารถทำต่อได้เพราะผู้คนมีศรัทธาหลวงพ่อคูณอยู่แล้ว รวมทั้งการบูรณะซ่อมแซมโบสถ์วัดบ้านไร่ที่เก่าแก่ ชำรุด กระเบื้องหลังคาร่วงลงมาตลอด และ โครงการสร้างบ้านให้พ่อ ทั้ง 3 สิ่งนี้ คือ เจตนารมณ์ที่ลูกศิษย์ต้องช่วยกันสานต่อ ส่วนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่รูปใหม่นั้นไม่มีปัญหาอะไร ขอให้มาทำงานพัฒนาวัด ทุกคนก็ไม่มีปัญหา” นายธวัช กล่าว


     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจรจาปลดล็อกเงินกู้กรีซยัง "ล้มไม่เป็นท่า" เพิ่มความเสี่ยงเอเธนส์ผิดนัดชำระหนี้-หลุดยูโรโซน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 12:43 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – การเจรจาปัญหาหนี้สินระหว่างกรีซกับสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ล้มเหลวไม่เป็นท่าอีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) ซึ่งทำให้รัฐบาลเอเธนส์ยิ่งเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ (default) ในช่วงสิ้นเดือนนี้จนอาจต้องหลุดออกจากกลุ่มประเทศผู้ใช้เงินยูโรในที่สุด

    การถกปัญหาหนี้ที่ล้มเหลวเป็นวันที่สองยิ่งทำให้กรีซเสี่ยงเผชิญหายนะทางการคลัง เนื่องจากกำหนดชำระหนี้ก้อนโตแก่ไอเอ็มเอฟในช่วงสิ้นเดือนนี้ใกล้เข้ามาทุกที

    “พวกเขาเข้ามาคุยกับเราโดยไม่คิดจะลงมือทำอะไรสักอย่าง” แหล่งข่าวอียูที่ใกล้ชิดกับการเจรจาให้สัมภาษณ์เอเอฟพีด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ขณะที่เจ้าหน้าที่กรีซโยนความผิดให้แก่ไอเอ็มเอฟ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 เจ้าหนี้ “ทรอยกา” ที่ตั้งเงื่อนไขในการปล่อยกู้ไว้อย่างเข้มงวดที่สุด

    “สิ่งที่องค์กรเจ้าหนี้เรียกร้องไม่มีเหตุผลสมควร เราใช้เวลาพูดคุยกันอยู่ 45 นาที” แหล่งข่าวในรัฐบาลกรีซเผย

    ทุกฝ่ายต่างทราบดีว่า การเจรจาครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่กรีซจะปลดล็อกเงินช่วยเหลืองวดใหม่ ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยแผนปฏิรูปการคลังอย่างเข้มงวดที่นายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ซีปราส วัย 40 ปี ปฏิเสธที่จะยอมรับ

    แหล่งข่าวในรัฐบาลเอเธนส์ชี้ว่า ไอเอ็มเอฟยังคงจุดยืน “ดื้อดึงและไม่ประนีประนอม” โดยยืนกรานให้กรีซต้องตัดเงินบำนาญ และเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า เป็นต้น

    ไอเอ็มเอฟได้แถลงผ่านเว็บไซต์ว่า การทำข้อตกลงปล่อยกู้งวดสุดท้าย “ต้องผ่านการตัดสินใจที่ยากลำบากจากทุกฝ่าย” รวมถึงหุ้นส่วนของกรีซในยุโรป ขณะที่ โอลิเวอร์ บลองชาร์ด นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากไอเอ็มเอฟ ยืนยันว่า กรีซจำเป็นต้องลดขนาดวงเงินบำนาญซึ่งใช้งบประมาณถึง 16% ของมูลค่าจีดีพีทั้งประเทศในแต่ละปี

    กรีซเคยได้รับแพ็กเกจช่วยเหลือมาแล้วถึง 2 รอบตั้งแต่ปี 2010 คิดเป็นมูลค่า 240,000 ล้านยูโรโดยเป็นวงเงินปล่อยกู้จากหุ้นส่วนในยุโรปซึ่งนำโดยเยอรมนีและฝรั่งเศส ทว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันก็ยังคงร่อแร่

    ประเทศเล็กๆ แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้มีหนี้สินท่วมท้นถึง 180% ของมูลค่าจีดีพี หรือเกือบ 2 เท่าของผลผลิตทางเศรษฐกิจในแต่ละปี

    แหล่งข่าวอียูชี้ว่า แผนปฏิรูปที่รัฐบาลกรีซเสนอมา “ยังไม่สมบูรณ์” เนื่องจากตัดทอนรายจ่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่อียูและไอเอ็มเอฟกำหนดประมาณ 2,000 ล้านยูโร และไม่เพียงพอที่จะปลดล็อกเงินกู้งวดสุดท้าย 7,200 ล้านยูโรในแพ็กเกจช่วยเหลือซึ่งกำลังจะหมดอายุลงในวันที่ 30 มิ.ย.

    กรีซยังถึงกำหนดที่จะต้องชำระหนี้แก่ไอเอ็มเอฟ 1,600 ล้านยูโรในช่วงสิ้นเดือนนี้ และยังต้องจ่ายอีก 6,700 ล้านยูโรคืนให้แก่ธนาคารกลางยุโรปในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งเจ้าหน้าที่กรีซยอมรับว่า รัฐบาลคงไม่มีปัญญาที่จะจ่าย

    “ในกรณีเช่นนี้คงต้องมีการเจรจากันต่อในกลุ่มยูโรกรุ๊ป” โฆษกอียูให้สัมภาษณ์ โดยหมายถึงการประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่มยูโรโซนซึ่งจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้(18) ที่ลักเซมเบิร์ก

    โฆษกผู้นี้บอกด้วยว่า ฌ็อง โคลด-จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป “ยังเชื่อมั่นว่า หากกรีซยอมรับแผนปฏิรูปที่เข้มแข็งกว่านี้ ประกอบกับได้รับเจตนารมณ์ทางการเมืองจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การเจรจาหาทางออกเรื่องหนี้ก็น่าจะบรรลุผลได้ก่อนสิ้นเดือน”


     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สื่อนอกแฉกองทัพสหรัฐฯ มีแผนส่งอาวุธหนักไปไว้ในชาติบอลติก-ยุโรปตะวันออก
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2558 16:42 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ระบุในวันเสาร์ (13 มิ.ย.) ว่าอเมริกามีแผนจะส่งยุทโธปกรณ์ทางทหารไปไว้ในหลายประเทศแถบทะเลบอลติกและยุโรปตะวันออก เพื่อให้ชาติพันธมิตรเหล่านั้นได้อุ่นใจจากสถานการณ์ในยูเครน รวมถึงช่วยยับยั้งท่าทีก้าวร้าวที่เพิ่มมากขึ้นของรัสเซีย

    "เราส่งยุทโธปกรณ์ไปประจำการเพื่อเตรียมไว้" เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บอกกับนิวยอร์กไทม์ ที่รายงานว่า เพนตากอนจะส่งรถถัง รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ รวมถึงอาวุธหนักชนิดอื่นๆ พร้อมด้วยทหาร 5,000 นาย ไปยังพื้นที่เป้าหมายดังกล่าว

    เจ้าหน้าที่ผู้ขอไม่เปิดเผยตัวตนรายนี้ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดของแผนดังกล่าว ที่มีการอ้างอิงถึงสหรัฐอเมริกาและบรรดาชาติพันธมิตร

    รายงานระบุว่า หากความเคลื่อนไหวนี้ได้รับการอนุมัติ ก็จะถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงสงครามเย็น ที่อเมริกาส่งอาวุธหนักไปไว้ในดินแดนของชาติสมาชิกนาโต้รายใหม่ แถบยุโรปตะวันออก ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต

    นิวยอร์กไทม์อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ โดยมีการระบุว่า แผนการนี้คาดว่าจะได้รับการอนุมัติโดยรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กับทำเนียบขาว ก่อนถึงการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมของนาโต้ที่บรัสเซลส์ในเดือนนี้ เพื่อจะสร้างความอุ่นใจให้กับชาติพันธมิตรในยุโรป หลังรัสเซียทำการผนวกเอาไครเมียไปครอบครองในเดือนมีนาคม 2014

    นิวยอร์กไทม์ ได้ระบุว่า จะมีการส่งยุทโธปกรณ์สำหรับ 1 กองร้อย ที่มากเพียงพอสำหรับทหารประมาณ 150 นาย ในประเทศแถบบอลติก 3 แห่ง ได้แก่ ลิทัวเนีย ลัตเวียเอสโตเนีย นอกจากนี้ยังอาจจะส่งยุทโธปกรณ์สำหรับ 1 กองพัน ซึ่งมากพอสำหรับทหารประมาณ 750 นาย ไปไว้ในโปแลนด์ โรมาเนีย บัลแกเรีย ฮังการี

    อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการสอบถาม ทางโฆษกของเพนตากอนกลับบอกว่า ยังไม่มีการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องส่งยุทโธปกรณ์ดังกล่าว

    "ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองทัพสหรัฐฯ ได้เพิ่มการจัดส่งยุทโธปกรณ์ไปประจำการเตรียมไว้ในที่ต่างๆ เพื่อใช้ฝึกฝนและซ้อมรบกับนาโต้รวมถึงหุ้นส่วนรายอื่นๆ กองทัพสหรัฐฯ ยังคงทบทวนอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งที่ดีที่สุดสำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้ โดยมีการปรึกษาหารือกับชาติพันธมิตร แต่ในเวลานี้ยังไม่มีการตัดสินใจเรื่องพวกนี้" พ.อ.สตีฟ วอร์เรน ระบุในคำแถลง

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อังกฤษสั่งด่วน “ถอนสายลับ MI6 ออกจากจีนและรัสเซีย” หลังพบ “ปักกิ่ง-เครมลิน” อ่านไฟล์ลับสโนว์เดนหาข้อมูล “รายชื่อ 007 ผู้ดีในต่างแดน” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2558 17:32 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – จากการรายงายของสื่ออังกฤษ ซันเดย์ ไทม์ส ในวันเสาร์(13) พบว่า หน่วยงานข่าวกรองอังกฤษ MI6 สั่งการให้เจ้าหน้าที่ภาคสนาม MI6 ทุกคนที่ปฎิบัติการลับอยู่ในจีนและรัสเซียเดินทางกลับอังกฤษด่วน หลังจากพบว่าทั้งปักกิ่งและเครมลินสามารถเข้าถึงเอกสารลับของหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ NSA ที่ถูกเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลประจำฮาวายนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะผ่านสื่อ และรัฐบาลทั้งสองประสบความสำเร็จถอดรหัสเอกสารลับเพื่อค้นหารายชื่อของเจ้าหน้าที่ MI6 ของอังกฤษที่แฝงตัวปฎิบัติในต่างแดน

    CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานวันนี้(14)ว่า จากการรายงานของสื่ออังกฤษ ซันเดย์ ไทม์ส ในวันเสาร์(13) พบว่า หน่วยงานข่าวกรองอังกฤษ MI6 สั่งการให้เจ้าหน้าที่ภาคสนาม MI6 ทุกคนที่ปฎิบัติการลับอยู่ในประเทศที่มีทิศทางการเมืองปฎิปักษ์ต่ออังกฤษถอนตัวกลับประเทศ สื่อสหรัฐฯรายงานว่า สาเหตุเป็นเพราะว่า จากแหล่งข่าวของซันเดย์ ไทม์ส ที่อยู่ในถนนดาวนิงพบว่า รัฐบาลอังกฤษทราบว่า ไฟล์ข้อมูลของหน่วยงานสหรัฐฯ NSA ที่ถูกขโมยไปโดยเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่ NSA ร่วม 1.7 ล้านไฟล์นั้นถูกรัฐบาลต่างชาติอ่าน และสามารถถอดรหัสล้วงความลับในเอกสารที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงอังกฤษได้สำเร็จ และทำให้อังกฤษเกรงว่ารายชื่อของเจ้าหน้าที่สายลับ MI6 ที่แฝงตัวปฎิบัติหน้าที่ในต่างแดนที่มีทิศทางการเมืองเป็นปรปักษ์ โดยเฉพาะใน จีน และรัสเซีย จะรั่วไหลออกไป และเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงาน ทาง MI6 จึงสั่งถอนตัวออกจากประเทศเหล่านั้น

    แต่อย่างไรก็ตามสื่อสหรัฐฯไม่สามารถยืนยันได้ว่า มีปัจจัยใดที่ทำให้ยืนยันได้ว่า รัฐบาลอังกฤษมั่นใจว่าไฟล์ข้อมูลของ NSA ที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์อังกฤษนั้นถูกอ่านและถูกแกะรหัสสำเร็จ

    ทั้งนี้รอยเตอร์รายงานว่า ซันเดย์ไทม์สเปิดเผยว่า จีนและรัสเซียสามารถถอดรหัสเอกสารลับสำเร็จ และเรียนรู้วิธีการปฎิบัติงานของ MI6 โดยสื่ออังกฤษได้อ้างอิงแหล่งข่าวคนสำคัญทำงานในรัฐบาลของเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมัยที่ 2 รวมไปถึงแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อจากหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติอังกฤษ

    “เป็นกรณีที่ทางจีนและรัสเซียได้ข้อมูล และทำให้คนของเราต้องถอนตัวออกทันที รวมไปถึงวิธีการปฎิบัติงานที่ใช้เพื่อหาข้อมูลสำคัญมาต้องหยุดลงทันที” ซันเดย์ไทม์สรายงานโดยอ้างอิงจากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากถนนดาวนิงให้สัมภาษณ์กับซันเดย์ไทม์สว่า “ไม่มีข้อมูลระบุว่า เจ้าหน้าที่อังกฤษได้รับอันตราย”

    ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับสูงอังกฤษอีกคนได้ให้ความเห็นถึงสโนว์เดนว่า “มือของสโนว์เดนได้เปื้อนเลือดแล้ว”

    รอยเตอร์รายงานต่อว่า นานหลายปีแล้ว ที่ทั้งรัสเซียและจีนได้เฝ้าติดตามเอกสารลับ NSA ที่ถูกสโนว์เดนขโมยออกมาเพื่อหวังต้องการหาข้อมูลทางความมั่นคงเกี่ยวกับรายชื่อเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงคนสำคัญที่กำลังปฎิบัติหน้าที่” แหล่งข่าวความมั่นคงอังกฤษเผย

    “สโนว์เดนสร้างหายนะอย่างใหญ่หลวงจนไม่สามารถประเมินได้” แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวกับซันเดย์ไทม์ส โดยยืนยันว่า จำเป็นต้องสั่งถอนกำลังเจ้าหน้าที่เหล้านั้นออกนอกประเทศเสี่ยง “ก่อนที่จะถูกชี้ตัวและสังหาร”

    ด้าน RT และ BBC รายงานว่า ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ MI6 ของอังกฤษเท่านั้นที่ถูกสั่งถอนตัวกลับ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่สายลับชาติตะวันตกอื่นๆ ต่างพากันบินออกนอกประเทศเพื่อมาตรการความปลอดภัยสำคัญ หลังจากทางมอสโกสามารถอ่านข้อมูลลับ NSA จำนวนมากกว่า 1 ล้านไฟล์สำเร็จ

    แต่ทว่าก่อนหน้านั้นสโนว์เดนได้เคยกล่าวว่า ไม่มีใครสามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลลับที่อยู่ในมือเขาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับแหล่งข่าววงในรัฐบาลเดวิด คาเมรอนยืนยันกับซันเดย์ไทม์สล่าสุดว่า “คนในรัฐบาลอังกฤษต่างกังวลมากที่ชายผู้นี้สามารถดึงข้อมูลมหาศาลออกไปได้” ซันเดย์ไทม์สรายงาน

    ทั้งนี้ BBC ชี้ว่า ข่าวปักกิ่งและเครมลินสามารถถอดรหัสเอกสารลับสโนว์เดนเกิดขึ้น 2 วันหลังจากที่เดวิด แอนเดอร์สัน NGO วอชด็อกทำงานด้านความมั่นคงแห่งชาติอังกฤษและก่อการร้าย เปิดเผยถึงกฎหมายต่อต้านก่อการร้ายของรัฐบาลเดวิด คาเมรอน ที่ได้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลของประชาชนต่อการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวหลังสโนว์เดนได้แฉถึงโครงการสอดแนมของรัฐบาลสหรัฐฯ เขียนวิจารณ์ว่า อังกฤษต้องการกฎหมายใหม่ที่แสดงขอบเขตอำนาจที่แน่ชัดของหน่วยงานความมั่นคงอังกฤษในการสอดแนมประชาชน และยังสรุปว่าสิ่งที่รัฐบาลอังกฤษทำในปัจจุบันนี้ถือเป็นการขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญ ไม่มีความจำเป็น และในระยะยาว ยังเป็นสิ่งที่ประชาชนอังกฤษไม่สามารถอดทนยอมรับต่อไปได้

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชาวญี่ปุ่นเดินขบวนประท้วงการแก้กฎหมายเพิ่มบทบาทกองกำลังป้องกันตนเอง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2558 19:21 น. (แก้ไขล่าสุด 15 มิถุนายน 2558 09:03 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - ชาวญี่ปุ่นหลายพันคนออกมาเดินขบวนในวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) เพื่อประท้วงแผนการของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ที่ต้องการจะเพิ่มบทบาทและขอบเขตหน้าที่ของกองกำลังป้องกันตนเอง

    การประท้วงเกิดขึ้นรอบอาคารรัฐสภา ขณะที่ผู้นำรัฐบาลกำลังพยายามผลักดันกฏหมายที่จะเปลี่ยนบทบาทของกองกำลังป้องกันตนเอง ให้ผ่านสภา

    กฎหมายพวกนี้เป็นโครงการที่อาเบะผลักดันมาตลอด เขาบอกว่า ญี่ปุ่นไม่อาจจะเหนียมอายต่อภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในการช่วยปกป้องเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชีย รวมถึงต้องก้าวออกมาจากการอยู่ภายใต้การดูแลความปลอดภัยโดยสหรัฐอเมริกา

    ร่างกฎหมายฉบับนี้ จะขยายบทบาทหน้าที่ของกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น ให้สามารถเข้าร่วมการสู้รบเพื่อปกป้องมิตรประเทศ หรือที่เรียกว่า “การปกป้องส่วนรวม” ซึ่งเคยถูกห้ามตามรัฐธรรมนูญสันติภาพ

    ฝ่ายที่ต่อต้านกฎหมายนี้ ได้กล่าวหาอาเบะว่าพยายามจะนำพาประเทศออกห่างจากสันติ โดยมีนักวิชาการ 3 คนได้ถูกเรียกตัวไปยังรัฐสภาในเดือนนี้ เพื่อให้ข้อมูลยืนยันว่ากฎหมายนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

    รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นทำขึ้นโดยอเมริกา หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถึงกระนั้น ในมาตราที่ 9 ที่กำลังจะถูกเลิกใช้ กลับมีผู้คนมากมายที่หวงแหนและอยากให้คงอยู่

    “อย่ายกเลิกมาตราที่ 9” เป็นข้อความที่ถูกเขียนไว้บนป้ายของกลุ่มผู้เดินขบวน โดยทางผู้จัดบอกว่ามีคนมาเข้าร่วมประท้วงครั้งนี้ ประมาณ 25,000 คน

    กระบวนการออกกฎหมายครั้งนี้ จะมีการปรับแก้กฏหมายด้านความมั่นคง 10 ข้อ รวมถึงเขียนใหม่ 1 ข้อ ซึ่งจะช่วยเปิดทางไปสู่การจัดส่งทหารไปทำภารกิจที่ไม่ใช่การสู้รบ อาทิ การบรรเทาภัยพิบัติและภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ

    ในส่วนของการปรับแก้ยังได้รวมถึงการถอดข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ เพื่อให้การสนับสนุนกองกำลังของมิตรประเทศ ในสถานการณ์ที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของญี่ปุ่น

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ออสซีเมินตอบเรื่องจ่ายเงินให้เรือผู้อพยพกลับอินโดฯ ย้ำจะทำทุกทางเพื่อหยุดการค้ามนุษย์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2558 15:22 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย "โทนี แอบบอตต์" ได้แสดงความเห็นในวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) โดยไม่มีการปฏิเสธ รวมถึงไม่ได้ให้คำตอบถึงข้อกลาวหาที่ว่ามีเจ้าหน้าที่แดนจิงโจ้จ่ายเงินหลายพันดอลลาร์เพื่อให้เรือผู้อพยพหันหัวกลับอินโดนีเซีย

    ก่อนหน้านี้ มีการกล่าวอ้างจากทางตำรวจอินโดนีเซียว่า กัปตันและลูกเรืออีก 5 คนบนเรือของผู้อพยพ ได้รับเงินจากเจ้าหน้าที่ออสเตรเลียคนละ 5 พันดอลลาร์ เพื่อให้หันหัวเรือพาผู้อพยพกลับอินโดนีเซีย

    แอบบอตต์ ได้กล่าวข้อความสำคัญถึงอินโดนีเซียและบรรดาชาวออสเตรเลียที่มีสิทธิเลือกตั้งว่า รัฐบาลของเขาพร้อมที่จะทำในสิ่งที่จำเป็น เพื่อหยุดยั้งการค้ามนุษย์ที่มีการขนผู้อพยพทางเรือเข้าสู่ออสเตรเลีย

    "ผมคิดว่ามันจำเป็นมากที่สาธารณชนชาวออสเตรเลียจะอุ่นใจได้ว่ารัฐบาลเข้ามาดูแลเรื่องนี้ โดยจะไม่ยอมวอกแวกแม้เสี้ยววินาที เพื่อให้แน่ใจว่าเรือพวกนั้นจะหยุดเดินทางเข้ามา" เขาบอกนักข่าว

    เขาบอกด้วยว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่อินโดนีเซียจะต้องรู้ว่ารัฐบาลออสเตรเลียนั้นมีความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยว ที่จะไม่ยอมให้พวกค้ามนุษย์ดำเนินการได้อีก

    แอบบอตต์ ย้ำว่าการทำให้เรือผู้อพยพเหล่านี้หยุดการเดินทางนั้นเป็นเรื่องที่ดีต่อทั้งสองประเทศ ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้อพยพเหล่านี้ต้องเสี่ยงชีวิตในทะเล

    "เราจะทำทุกอย่างที่จำเป็น โดยมีเหตุผลสมควรตามหลักการและมีมนุษยธรรม เพื่อให้เรือเหล่านั้นยุติการเดินทาง" ผู้นำแดนจิงโจ้ กล่าว

    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย ได้ระบุเมื่อวันเสาร์ว่า อินโดฯ ต้องการคำอธิบายจากออสเตรเลีย เกี่ยวกับการจ่ายเงินดังกล่าว หากว่ามันเป็นความจริงก็นับว่ารัฐบาลออสเตรเลียรับมือกับปัญหานี้ด้วยวิธีที่ตกต่ำยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีคำตอบเรื่องนี้อย่างเป็นทางการจากฝั่งออสซี

    หลังจากเข้ามาบริหารประเทศในเดือนกันยายน 2013 รัฐบาลผสมแบบอนุรักษ์นิยมของแอบบอตต์ ได้ใช้นโยบายที่แข็งกร้าวต่อบรรดาผู้อพยพ อย่างเช่นการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ผลักดันเรือผู้อพยพ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอินโดนีเซีย ให้หันหัวเรือกลับไปทางเก่า


     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตื่นแล้ว! ยาน 'ฟิเล' บนดาวหาง '67พี' ติดต่อโลกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 มิ.ย. 2558 02:45

    [​IMG]
    ยานฟิเล (ภาพ: AP)

    ยานสำรวจดาวหาง ฟิเล ติดต่อกลับมายังโลกแล้ว เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน หลังจากแบตเตอรีของยานลำนี้หมด จนต้องเข้าสู่ภาวะจำศีลเมื่อปลายปีก่อน...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'ฟิเล' ยานสำรวจลำแรกที่ลงจอดบนดาวหางสำเร็จ เริ่มทำงานอีกครั้งและติดต่อกลับมายังโลกแล้ว หลังจากมันถูกปล่อยลงจากยานแม่ 'โรเซ็ตตา' และลงจอดบนดาวหาง '67พี' หรือ 'ชูริวมอฟ-เกราซิเมนโก' ได้สำเร็จเมื่อพ.ย. ปีก่อน และปฏิบัติภารกิจรอบรวบข้อมูลของดาวหางดวงนี้ได้ประมาณ 60 ชม. แบตเตอรีพลังงานแสงอาทิตย์ของ ฟิเล ก็หมดลง เพราะไปลงจอดในจุดที่ถูกแสงแดดน้อย

    อย่างไรก็ตาม นายโจนาธาน อามอส ผู้สื่อข่าวด้านวิทยาศาสตร์ของสำนักข่าวบีบีซี ระบุว่า นับตั้งแต่ตอนนั้น ดาวหาง 67พี ก็โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ทำให้แบตเตอรีของ ฟิเล สะสมพลังงานได้มากพอจะทำงานได้อีกครั้ง

    ทั้งนี้ ตามการเปิดเผยของ องค์กรอวกาศยุโรป (อีซา) ยานฟิเลติดต่อกลับมายังโลกผ่านยานแม่ โรเซ็ตตา ด้วยบัญชีผู้ใช้ทวิตเตอร์ '@Philae2014' เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (13 มิ.ย.) โดยทวีตข้อความว่า "สวัสดีโลก! คุณได้ยินฉันมั้ย?" โดยนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า พวกเขากำลังรอการติดต่อครั้งต่อไปของฟิเล

    ด้านศาสตราจารย์ มาร์ค แมคคอกรีน ที่ปรึกษาอาวุโสของอีซา กล่าวว่า นี่เป็น 7 เดือนที่ยาวนาน และพวกเขาไม่แน่ใจว่าการติดต่อครั้งนี้จะเกิดขึ้น โดยยานฟิเลบันทึกข้อมูลจำนวนมากที่นักวิทยาศาสตร์หวังจะดาวน์โหลดเก็บไว้ เมื่อมันติดต่อกลับมาอีกครั้ง

    อนึ่ง ยาน ฟีเล ออกปฏิบัติการภายใต้ภารกิจ 'โรเซ็ตตา' ซึ่งเป็นโครงการที่นำโดย อีซา ติดไปกับด้านข้างของยานอวกาศ โรเซ็ตตา เดินทางข้ามระบบสุริยะเป็นเวลาถึง 10 ปี จนกระทั่งโรเซ็ตตาเดินทางถึงดาวหาง 67พี และยานฟีเล ก็แยกตัวออกจากยานแม่จอดบนดาวหางดวงนี้สำเร็จในวันที่ 12 พ.ย. นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีนำยานลงจอดบนดาวหางแบบนุ่นนวล ไม่ใช่การกระแทก

    ตื่นแล้ว! ยาน 'ฟิเล' บนดาวหาง '67พี' ติดต่อโลกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิทธิพลของแมกนาคาร์ตา มหากฎบัตรจาก 800 ปีจนถึงปัจจุบัน
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 มิ.ย. 2558 03:22

    [​IMG]

    การเดินทางย้อนรอยตามแมกนาคาร์ตา หรือมหากฎบัตรในครั้งนี้ ทีมข่าวไทยรัฐ ได้เดินทางไปที่ทุ่งรันนีหมีด(Runnymede) ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินฮีทโทรกรุงลอนดอน จากทุ่งแห่งนี้เราสามารถเห็นพระราชวังวินด์เซอร์ได้

    [​IMG]

    แม่น้ำเทมส์ที่ไหลผ่านทุ่งรันนีหมีดดูเหมือนจะเป็นคลองมากกว่าแม่น้ำเพราะมีขนาดไม่กว้างนักก่อนที่จะขยายไปเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ตัดผ่านกรุงลอนดอน สภาพที่ตั้งนี้เองที่ทำให้ทุ่งแห่งนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นแหล่งอนุรักษ์และที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คน แต่ทุ่งรันนีหมีดแห่งนี้ที่ดูธรรมดาๆแห่งนี้มีความสำคัญมากกว่านั้น

    [​IMG]

    ในเดือนมิถุนายนปี พ.ศ. 1758 ทุ่งแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่การเจรจาระหว่างขุนนาง 25 คนกับพระเจ้าจอห์น และหลังจากที่พระเจ้าจอห์นได้ประทับตราพระราชลัญจกรในวันที่ 15 มิถุนายนในปีเดียวกันลงบนข้อตกลงที่ได้นี่ก็คือกำเนิดของแมกนาคาร์ตา หรือมหากฎบัตร เอกสารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดฉบับหนึ่งของโลก

    สำหรับเหตุผลว่าทำไมต้องเจรจากันที่ทุ่งแห่งนี้ เจอรี่ ซิลเวอสโตนโฆษกขององค์การอนุรักษ์แห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลทุ่งแห่งนี้บอกว่า อาจเป็นเพราะอยู่กึ่งกลางระหว่างพระราชวังวินด์เซอร์ ฐานที่มั่นสำคัญของพระเจ้าจอห์นกับกรุงลอนดอนที่บรรดาขุนนางยึดไว้ได้ จนถึงตอนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าพระเจ้าจอห์นได้เสด็จไปทรงเจรจาด้วยพระองค์เองหรือส่งผู้แทนพระองค์ไป รวมถึงจุดที่ได้มีการลงตราพระราชลัญจกรก็ยังไม่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นที่จุดไหนของทุ่ง

    ปัจจุบันไม่มีสิ่งก่อสร้างหรือสัญลักษณ์ใดๆที่เกี่ยวกับมหากฎบัตรที่ทุ่งแห่งนี้ยกเว้น ศาลาอนุสรณ์สถานที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาแต่ที่น่าสนใจก็คือผู้ที่ออกเงินในการก่อสร้างไม่ใช่คนอังกฤษแต่กลับเป็นสมาคมทนายความแห่งอเมริกาที่ได้มาสร้างไว้เมื่อปี 2500 โดยที่เสาที่ตั้งอยู่ตรงกลางสลักว่านี่คืออนุสรณ์สถานที่รำลึกถึงมหากฎบัตร "สัญลักษณ์แห่งเสรีภาพภายใต้กฎหมาย"


    หลักการนิติธรรมของมหากฎบัตรปรากฎอยู่ทั้งในคำประกาศเอกราชของสหรัฐ รัฐธรรมนูญที่จะปกป้องเสรีภาพของประชาชนและกฎหมายว่าด้วยเรื่องของสิทธิ ไม่เพียงแต่สหรัฐเท่านั้นแต่มหากฎบัตรยังถูกนำไปอ้างอิงถึงในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและการปฏิบัติที่เท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของมหาตมะ คานธีเพื่อเรียกร้องสิทธิของชาวอินเดียที่อพยพไปอยู่อัฟริกาใต้ เนลสัน แมนเดลล่าที่ใช้หลักการมหากฎบัตรต่อสู้กับรัฐบาลเลือกปฏิบัติตามสีผิว และล่าสุดเมื่อปี 2552 ฟิลิปปินส์ได้ผ่านกฎหมายที่ได้ชื่อว่าเป็นมหากฎบัตรแห่งสตรีเพื่อรับรองสิทธิพื้นฐานของผู้หญิงตามกฎหมาย

    ถึงแม้ในช่วงเริ่มแรกของการร่างมหากฎบัตร จะกำหนดให้เสรีชนได้เสรีภาพภายใต้กฎหมาย โดยในสมัยนั้นไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเสรีชนยังคงมีชาวนาที่ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของที่ดิน แต่หลักการว่าเราควรอยู่ด้วยความเท่าเทียมภายใต้กฎหมายผ่านกระบวนการยุติธรรมที่น่าเชื่อถือได้กลายเป็นแรงบันดาลใจและนำมาซึ่งการตีความเพื่อให้เข้ากับบริบทของสังคมในแต่ละยุคแต่ละสมัย

    หลักการเรื่องเสรีภาพความเท่าเทียมในมหากฎบัตรทำให้เกิดกฎหมายว่าด้วยเรื่องสิทธิของอังกฤษในปี 2232 ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และการเป็นพลเรือนของฝรั่งเศสในปี 2332 กฎหมายว่าด้วยเรื่องสิทธิในสหรัฐเมื่อปี 2334 และมาถึงปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในปี 2491


    ถึงแม้ปัจจุบันยังมีการละเมิด เพิกเฉยต่อหลักการของมหากฎบัตร เช่น การคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายโดยไม่ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามต่อต้านการก่อการร้ายแต่ เจอรี่ ซิลเวอสโตน โฆษกขององค์การเพื่อการอนุรักษ์อังกฤษที่ดูแลทุ่งรันนี่มีด บอกว่ามหากฎบัตรคือจุดเริ่มต้นการเดินทางของประชาธิปไตย อิสระภาพและเสรีภาพ ถึงแม้ตอนเริ่มจะต้องต่อสู้เพื่ออิสระภาพเสรีภาพและการต่อสู้ยังคงดำเนินอยู่ในขณะที่สิ่งที่ได้มายังคงไม่สมบูรณ์แบบแต่มหากฎบัตรยังคงอยู่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพ

    หลักการของมหากฎบัตร แม้จะเริ่มจากการต่อสู้เพื่อเสรีภาพแต่เมื่อเวลาผ่านไปได้มีการนำหลักการมาตีความในบริบทที่กว้างกว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องความน่าเชื่อถือตรวจสอบได้ ประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของประชาชน

    ที่อังกฤษ ประชาธิปไตยไม่ได้ถูกนำมาเชื่อมโยงกับเสรีภาพจนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมือง นักคิดได้มองว่าเสรีภาพภายใต้หลักนิติธรรมอาจขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมที่มากขึ้นในการร่างกฎหมาย ดังนั้นสถาบันอย่างรัฐสภาก็ควรเปิดให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมมากขึ้นผ่านผู้แทนที่ได้รับเลือกมา แน่นอนว่าขั้นตอนกว่าที่จะมาเป็นอยู่ในทุกวันนี้ใช้เวลายาวนานหลายคนอาจมองว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีสิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนอยู่ไม่หยุดนิ่งแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกาตีความเสรีภาพคือพื้นฐานที่สำคัญของประชาธิปไตย


    มาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ที่ได้ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ได้ให้ความเห็นส่วนตัวตอนที่ไปเยี่ยมชมทุ่งรันนีหมีดในฐานะที่เป็นทั้งนักการทูตและนักกฎหมายว่า "ถ้าจะเขียนรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายควรแสดงความคิดเห็นของสังคม ไม่ใช่แค่เขียนกฎหมายแต่ต้องมีความสำคะชัญในทางปฏิบัติด้วยเป็นหลักนิติธรรมที่สำคัญถ้าเรามีกฎหมายทุกคนต้องเคารพกฎหมายไม่ว่าจะเป็นคนที่มีฐานะสูงหรือคนทั่วๆไปและการที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงในการปกครองประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญด้วย"

    ถึงแม้อังกฤษจะเป็นต้นแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญแต่อังกฤษก็ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร หลักการปกครองกระจายอยู่ตามกฎหมาย และคำพิพากษารวมทั้งธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาจนกลายเป็นจารีตประเพณีดังนั้นจึงมีความยืดหยุ่น และมาตราในมหากฎบัตรบางมาตราก็เป็นส่วนหนึ่งในกฎหมายของอังกฤษในขณะที่รัฐธรรมนูญของสหรัฐที่มีหลักการของมหากฎบัตรเป็นพื้นฐานก็มีอยู่แค่เพียง 7 มาตราและถือเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นับตั้งแต่มีการประกาศใช้ในปี 2332 มีการแก้ไขเพิ่มเติมเพียง 27 ครั้งเท่านั้นและไม่เคยถูกฉีกทิ้งเลย

    รัฐธรรมนูญของสหรัฐที่มีเพียง 7 มาตราก็เพราะผู้ร่างเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอจึงเปิดโอกาสให้มีการตีความให้เหมาะสมได้ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งก็เหมือนกับมหากฎบัตรที่มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดในช่วง 800 ปีแต่ที่สำคัญคือไม่ว่าจะมีการตีความในแบบใดแต่หลักการดั้งเดิมที่ให้สิทธิและเสรีภาพที่เท่าเทียมภายใต้กฎหมายไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นทำให้แมกนาคาร์ตา หรือมหากฎบัตรยังคงมีอิทธิพลเหนือกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน

    อิทธิพลของแมกนาคาร์ตา มหากฎบัตรจาก 800 ปีจนถึงปัจจุบัน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...