ติดตามสถานะการณ์

รัฐแคลิฟอร์เนียจำกัดการใช้น้ำของชาวนา | เดลินิวส์



ทางการรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐออกคำวสั่งควบคุมการใช้น้ำของเกษตรกรในพื้นที่เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี หลังเผชิญวิกฤติภัยแล้งเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 12:42 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ว่าคณะกรรมการควบคุมทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ เรื่องการจำกัดการใช้น้ำของผู้ถือเอกสารสิทธิ์การใช้น้ำในพื้นที่ 114 ราย ในเขตซาคราเมนโต ซาน วาควิน และแถบพื้นที่ลุ่มสามเหลี่ยมปากแม่น้ำทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ถือเป็นคำสั่งจำกัดการใช้น้ำในหมู่เกษตรกรของรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2520

เกษตรกรของรัฐแคลิฟอร์เนียนั้นครองส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจในรัฐไม่ถึงร้อยละ 2 แต่ครองสถิติการใช้น้ำสูงถึงร้อยละ 80 ของปริมาณการใช้น้ำในท้องที่ ทั้งนี้ ผู้ถือเอกสารสิทธิ์ที่ละเมิดมาตรการดังกล่าวอาจต้องชำระค่าปรับสูงถึงวันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ( ราว 33,700 บาท ) และพื้นที่การเกษตรที่ใช้น้ำเกินกำหนดจะคิดค่าเสียหาย 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 เอเคอร์ ( ราว 84,250 บาท )

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังทางการรัฐแคลิฟอร์เนียประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภัยแล้งในพื้นที่เมื่อช่วงต้นปีนี้ ตามด้วยการออกมาตรการควบคุมการใช้น้ำของประชาชนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อเดือนเม.ย. เพื่อบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้งที่คุกคามรัฐแคลิฟอร์เนียต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยทางการตั้งเป้าลดการใช้น้ำในพื้นที่ให้ได้สูงสุดร้อยละ 25“

อ่านต่อที่ : รัฐแคลิฟอร์เนียจำกัดการใช้น้ำของชาวนา | เดลินิวส์

 

แบงก์ใหญ่ 4 แห่งในกรีซโดนลดเครดิต | เดลินิวส์



ธนาคารชั้นนำของกรีซ 4 แห่งถูกปรับลดเครดิตลงอีกขั้น หลังมีแนวโน้ทผิดนัดชำระหนี้ภายใน 12 เดือนนี้ ตามการวิเคราะห์ของ "เอสแอนด์พี" วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 11:56 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ว่าสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือ "เอสแอนด์พี" หนึ่งในบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกจากสหรัฐ ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ เรื่องการปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงิน 4 แห่งในกรีซ ได้แก่ อัลฟา แบงก์ ยูโรแบงก์ พิเรอุส แบงก์ และเนชั่นแนล แบงก์ ออฟ กรีซ ลงจาก "ซีซีซี+" สู่ระดับ "ซีซีซี" เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่สถาบันการเงินเหล่านี้จะผิดนัดชำระหนี้ภายใน 12 เดือนนับจากนี้ หลังเมื่อกลางสัปดาห์ประกาศลดความน่าเชื่อถือในตราสารหนี้ของรัฐบาลเอเธนส์ ลงจาก "ซีซีซี+" สู่ระดับ "ซีซีซี" เช่นกัน

การปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของเอสแอนด์พีต่อธนาคารทั้ง 4 แห่งมีขึ้น หลังกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( ไอเอ็มเอฟ ) ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี ถอนตัวออกจากการเจรจาร่วมกับสหภาพยุโรป ( อียู ) และธนาคารกลางยุโรป ( อีซีบี ) ร่วมกับรัฐบาลกรีซ เนื่องจากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อนำไปสู่การหาทางจากภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลของทางการเอเธนส์ได้ กอรปกับการที่นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซีปราส ขอรวบการชำระหนี้ประจำเดือนมิ.ย. จำนวน 1,600 ล้านยูโร ( ราว 61,120 ล้านบาท ) จาก 4 งวด เป็นงวดเดียว

ขณะเดียวกัน ปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังของกรีซสร้างความหวั่นวิตกอย่างหนักให้แก่ประชาชน ซึ่งพากันถอนเงินสดออกจากธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดยสถิติของเอสแอนด์พีระบุว่า ระหว่างเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ถึงเดือนเม.ย.ปีนี้ ชาวกรีกถอนเงินสดออกจากธนาคารทุกแห่งรวมกันราว 35,000 ล้านยูโร ( ราว 1.33 ล้านล้านบาท ) คิดเป็นร้อยละ 20 ของเงินฝากทั้งหมดของธนาคารในกรีซ“

อ่านต่อที่ : แบงก์ใหญ่ 4 แห่งในกรีซโดนลดเครดิต | เดลินิวส์

 

สถานการณ์ผู้อพยพในอิตาลีแย่หนัก | เดลินิวส์



รัฐบาลอิตาลีเรียกร้องอียูเร่งแบ่งเบาภาระผู้อพยพทางเรือจากแอฟริกาเหนือ ซึ่งหลั่งไหลเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนในประเทศมากขึ้นทุกขณะ วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 10:20 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ว่าเกิดเหตุปะทะกันเมื่อวันศุกร์ ระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจในเขตใจกลางกรุงโรม กับตำรวจและกลุ่มผู้อพยพจากแอฟริกาเหนือ ซึ่งกลับเข้ามารวมตัวใกล้กับสถานที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของค่ายพักพิงชั่วคราว ทั้งที่เจ้าหน้าที่รื้อถอนออกไปเมื่อวันพฤหัสบดี ปรากลับมาปรากฏตัวของกลุ่มผู้อพยพสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้แก่เจ้าของสถานประกอบการหลายแห่ง ว่าเป็นการทำลายทัศนียภาพในพื้นที่และบั่นทอนความเชื่อมั่นของลูกค้า ซึ่งหวั่นเกรงอาจไม่ได้รับความปลอดภัย เนื่องจากมีผู้อพยพมาอาศัยอยู่รอบบริเวณ

ขณะที่เจ้าหน้าที่ในเมืองมิลานเคลื่อนย้ายกลุ่มผู้อพยพกว่า 100 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ออกจากสถานีรถไฟหลายแห่งในพื้นที่ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวของทางการ เพื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพ หลังมีรายงานว่ากลุ่มผู้อพยพหลายคนล้มป่วย และการอาศัยอยู่รวมกันในสถานที่ไม่ถูกสุขลักษณะจะยิ่งกระตุ้นการแพร่ระบาดของโรค

สถานการณ์ของผู้อพยพในอิตาลีกระตุ้นรัฐบาลโรมเร่งเร้าให้สหภาพยุโรป ( อียู ) ยกระดับมาตรการเยียวยาเพื่อแบ่งเบาภาระดังกล่าว เช่นเดียวกับกรีซ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ให้ความช่วยเหลือผู้อพยพทางเรือมากในระดับเดียวกับอิตาลี ซึ่งตั้งแต่ต้นปีนี้หลั่งไหลขึ้นฝั่งมาแล้วราว 100,000 คน อย่างไรก็ตาม ร่างมาตรการฉุกเฉินของอียู ว่าด้วยการจัดสรรโควต้าผู้อพยพและสร้างค่ายที่พักพิงชั่วคราว ยังคงได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากบรรดาสมาชิก ซึ่งแย้งว่าควรเป็นไปตามความสมัครใจ มากกว่า "การบังคับ" เช่นนี้“

อ่านต่อที่ : สถานการณ์ผู้อพยพในอิตาลีแย่หนัก | เดลินิวส์

 

สภาผู้แทนฯสหรัฐปัดตกร่างกม.การค้าของโอบามา | เดลินิวส์



สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐยังไม่อนุมัติร่างกฎหมายการค้า เพื่อเพิ่มอำนาจในการเจรจาให้แก่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 8:46 น. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ว่าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติเสียงข้างมาก 158 ต่อ 144 เสียง คัดค้านค้านมาตรการต่ออายุโครงการให้ความช่วยเหลือแรงงานซึ่งต้องสูญเสียตำแหน่งงานด้วยผลจากข้อตกลงทางการค้า ที่กำลังจะหมดอายุในเดือนก.ย.นี้

ทั้งนี้ ด้วยความที่มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของร่างกฎหมายอำนาจในการสนับสนุนการค้า ( ทีพีเอ ) ที่จะเป็นการมอบอำนาจพิเศษแบบ "เร่งด่วน" ให้แก่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ( ทีพีพี ) หมายความว่าการลงมติว่าด้วยทีพีเอเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ไปโดยปริยาย แม้ได้รับการอนุมัติที่ 302 ต่อ 126 เสียงก็ตาม

การลงมติดังกล่าวของสภาผู้แทนราษฎรคือความปราชัยครั้งล่าสุดของผู้นำสหรัฐที่มีต่อสภา แม้โอบามาทางไปที่สภาด้วยตัวเองก่อนการลงมติ เพื่อโน้มน้าวให้ที่ประชุมเห็นพ้องในแนวทาง แต่กลับไม่ได้รับความสนับสนุน แม้แต่สมาชิกระดับสูงในพรรคเดโมแครตด้วยกันเองยังคัดด้าน อย่างไรก็ตาม

การลงมติครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าร่างกฎหมายมีอันต้องตกไปทั้งหมด เนื่องจากนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาจากพรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมาก เสนอให้มีการลงมติอีกครั้งภายในวันอังคารนี้ ขณะที่นางแนนซี เปโลซี แกนนำเสียงข้างน้อยของพรรคเดโมแครต กล่าวว่าที่ประชุมต้องการชะลอการอนุมัติ เพื่อใช้เวลาในส่วนนี้พิจารณาร่างกฎหมายให้ละเอียดมากขึ้น“

อ่านต่อที่ : สภาผู้แทนฯสหรัฐปัดตกร่างกม.การค้าของโอบามา | เดลินิวส์

 

รบ.ญี่ปุ่นจ่ายอ่วมชาวบ้านรอบฐานทัพสหรัฐในโอกินาวา | เดลินิวส์



ศาลในจังหวัดโอกินาวามีคำตัดสินให้รัฐบาลญี่ปุ่น จ่ายเงินชดเชยกว่า 205 ล้านบาท แก่ชาวบ้านที่อาศัยใกล้ฐานทัพของสหรัฐในโอกินาวา ซึ่งได้รับผลกระทบจากมลพิษทางเสียง วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 5:10 น.

สำนักข่าวอาซาฮี รายงานจากจังหวัดโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ว่า ศาลแขวงเมืองนาฮาในจังหวัดโอกินาวาของญี่ปุ่น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ให้รัฐบาลญี่ปุ่น จ่ายเงินชดเชย 754 ล้านเยน (ประมาณ 205 ล้านบาท) แก่ประชาชนราว 2,100 คน ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางเสียงจากฐานทัพฟูเทนมะของกองทัพสหรัฐในเมืองกิโนวาน รวมถึงความเครียดจากความเป็นไปได้ที่เครื่องบินในฐานทัพอาจประสบอุบัติเหตุในแถบที่อยู่อาศัยรอบฐานทัพ

ผู้ร้องที่อยู่ในเขตที่ได้รับผลกระทบทางเสียงดังระหว่างระดับที่ 75 - 79 จะได้รับเงินชดเชย 150 เยน (ประมาณ 40 บาท) ต่อวัน ตามระยะเวลาที่ได้รับผลกระทบที่ผ่านมา ส่วนผู้ร้องที่ได้รับผลกระทบทางเสียงตั้งแต่ระดับ 80 ขึ้นไป จะได้รับเงินชดเชย 300 เยน (ประมาณ 81 บาท) ต่อวัน

ก่อนหน้านี้ ประชาชนชาวเมืองกิโนวานราว 2,200 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องและเรียกค่าเสียหาย 1,010 ล้านเยน (ประมาณ 275.4 ล้านบาท) นอกจากนี้ ยังมีการยื่นฟ้องอีกกรณี เพื่อร้องขอให้ศาลสั่งระงับการบินขึ้นลงของเครื่องบินในฐานทัพระหว่างช่วงเวลากลางคืนและรุ่งเช้า

ทั้งนี้ ตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลสหรัฐและญี่ปุ่น จะมีการคืนพื้นที่ฐานทัพในเมืองกิโนวานซึ่งเป็นแหล่งชุมชนหนาแน่นคืนให้แก่ทางการญี่ปุ่น และจะย้ายฐานทัพไปอยู่ที่เมืองนาโงแทน ซึ่งแผนการย้ายที่ตั้งนี้ได้ก่อให้เกิดกระแสประท้วงต่อต้านขึ้นอีกระลอกในโอกินาวา. ที่มา: http://ajw.asahi.com/article/behind_news/social_affairs/AJ201506120048“

อ่านต่อที่ : รบ.ญี่ปุ่นจ่ายอ่วมชาวบ้านรอบฐานทัพสหรัฐในโอกินาวา | เดลินิวส์

 

บินซาอุฯทิ้งบอมบ์มรดกโลกในเยเมน | เดลินิวส์



ปฏิบัติการทางอากาศที่นำโดยกองทัพซาอุดีอาระเบีย โจมตีใส่เขตเมืองเก่าซึ่งเป็นเขตมรดกโลกในกรุงซานาของเยเมน สร้างความเสียหายแก่สิ่งก่อสร้างมากมาย มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ราย และบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 2:09 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงซานา ประเทศเยเมน เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ว่า กองกำลังร่วมที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย ใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเขตเมืองเก่าในกรุงซานา ซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันศุกร์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ขณะที่บ้านถูกทำลาย 5 หลังและอาคารพังเสียหายอีกหลายแห่ง

ทั้งนี้ เมืองเก่า เป็นย่านที่อยู่อาศัยที่มีอายุเกือบ 3,000 ปี มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นโดยใช้อิฐจากดินขาวเหลือง ในพื้นที่นี้ยังประกอบไปด้วยหอคอย ตลาดเขาวงกต มัสยิด และโรงอาบน้ำสาธารณะ ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ

การโจมตีเพื่อขับไล่กลุ่มกบฏฮูตีที่ดำเนินมากว่า 11 สัปดาห์ สร้างความเสียหายอย่างมาก โดยสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จะจัดประชุมหารือในกรุงเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ในสัปดาห์หน้า เพื่อหาทางออกต่อวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวเยเมนกว่าร้อยละ 80

ด้านนายคาลิด อัล-อัตติยาห์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ กล่าวต่อที่ประชุมตัวแทน 6 ชาติของคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (จีซีซี) ยืนยันว่าจะยังเดินหน้าปฏิบัติการขับไล่กบฏต่อไป จนกว่าจะมีการดำเนินการตามแผนแก้ปัญหาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยเฉพาะแผนเรโซลูชัน 2216 ที่มีออกมาเมื่อเดือน เม.ย.

แผนดังกล่าว ระบุให้กลุ่บกบฏฮูตีถอนกำลังจากพื้นที่ยึดครองทั้งหมด และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มฮูตี ยึดมั่นตามแผนปฏิบัติ ซึ่งรวมถึงข้อตกลงจากการเจรจาที่มีออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งกำหนดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่.“

อ่านต่อที่ : บินซาอุฯทิ้งบอมบ์มรดกโลกในเยเมน | เดลินิวส์

 

ระบบพาสปอร์ต-วีซ่าสหรัฐมีปัญหา | เดลินิวส์



รัฐบาลสหรัฐเร่งตรวจสอบและแก้ไข "ปัญหาทางเทคนิค" ที่เกิดขึ้นกับระบบหนังสือเดินทางและวีซ่าในต่างประเทศ โดยยังไม่ยืนยันว่าเป็นการจารกรรมข้อมูลของแฮกเกอร์หรือไม่ วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 8:00 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ เรื่องการพบปัญหาเกิดขึ้นกับระบบหนังสือเดินทางและวีซ่าต่างประเทศ โดยคำร้องขอพิจารณารับหนังสือเดินทางผ่านสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลของรัฐบาลวอชิงตันในต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. เป็นต้นมา ได้รับผลกระทบทั้งหมด เว้นการออกหนังสือเดินทางฉุกเฉินที่ยังคงดำเนินการได้ ขณะที่ระบบดำเนินการวีซ่าอาจล่าช้าสำหรับผู้ที่ยื่นคำร้องออนไลน์ หรือเข้ารับการสัมภาษณ์ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. เป็นต้นมา

ทั้งนี้ เนื้อหาในแถลงการณ์ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ระบบของประเทศใดบ้างที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนประเภทของหนังสือเดินทางและวีซ่าที่ประสบปัญหา แต่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

ปัญหาดังกล่าวของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเกิดขึ้นเพียง 3 วัน หลังสำนักงานสอบสวนกลาง ( เอฟบีไอ ) เผยรายงานเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. เรื่องแฮกเกอร์นิรนามสามารถเจาะผ่านระบบป้องกันของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เมื่อเดือนเม.ย. แล้วจารกรรมข้อมูลสำคัญจากสำนักงานบริหารบุคลากร ( โอพีเอ็ม ) ที่เกี่ยวข้องกับลูกจ้างในสังกัดรัฐบาลสหรัฐมากกว่า 4 ล้านคน“

อ่านต่อที่ : ระบบพาสปอร์ต-วีซ่าสหรัฐมีปัญหา | เดลินิวส์

 

หนุ่มยุ่นคบชู้โฮสเตสไม่ผิด ศาลชี้'เป็นเรื่องธุรกิจล้วนๆ' | เดลินิวส์



' ผู้พิพากษาศาลญี่ปุ่นสั่งไม่ผิด หนุ่มยุ่นมีชู้กับ "โฮสเตส" แล้วถูกเมียฟ้อง ระบุเป็นไปเพราะเหตุผลทางธุรกิจ ด้านนักกฎหมายเห็นแย้ง เชื่อคำตัดสินนี้จะกระทบกับมาตรฐานด้านจริยธรรมของสังคม วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 6:09 น.

เว็บไซต์ข่าว เดอะ เจแปน ไทม์ส รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ว่า วารสารด้านกฎหมาย "ฮันเร ไทม์ส" วิเคราะห์ถึงคดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์นอกสมรส ที่ศาลแขวงกรุงโตเกียวมีคำตัดสินไปเมื่อเดือน เม.ย. ปีที่แล้ว โดยระบุว่า เป็นคำพิพากษาที่สนับสนุนให้เกิดการคบชู้ ท้าทายต่อขนบดั้งเดิมและจริยธรรมของสังคม

คดีดังกล่าว เป็นการฟ้องร้องระหว่างหญิงคนหนึ่งและโฮสเตสสาวที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับสามีของเธอมาเป็นเวลากว่า 7 ปี โดยเธอเรียกร้องค่าเสียหาย 4 ล้านเยน (ประมาณ 1 ล้านบาท) ต่อ "ความเจ็บปวดทางจิตใจ" ของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการที่สามีของเธอมีชู้

ผู้พิพากษามาซามิตสึ ชิเซกิ ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยและสามีของโจทก์ เป็นไปเพื่อเหตุผลทางธุรกิจ โดยโฮสเตสสาวจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับชายคนดังกล่าว เพื่อรักษาลูกค้าของคลับโฮสเตสไว้ ดังนั้น เธอจึงมีสถานะเทียบเท่ากับโสเภณี ต่างกันเพียงการรับเงิน "ทางตรง" และ "ทางอ้อม" เท่านั้น เช่นนั้นแล้ว เมื่อรูปแบบความสัมพันธ์เป็นไปด้วยเหตุผลทางธุรกิจ ศาลจึงสรุปว่ามันจึงไม่มีผลกระทบต่อชีวิตแต่งงานของโจทก์

นายคัตสึยูกิ อาโอชิมะ ทนายโจทก์ แสดงความกังวลต่อคำตัดสินที่เกิดขึ้น ระบุว่า ศาลตั้งข้อสรุปโดยขาดการพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีคำตัดสินอันจะกลายเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ด้านจริยธรรม ซึ่งจะเป็นการบ่อนทำลายอำนาจทางกฎหมายในการต่อต้านการคบชู้. ที่มา: Tokyo court ruling says adultery OK if it's for business: experts | The Japan Times

อ่านต่อที่ : หนุ่มยุ่นคบชู้โฮสเตสไม่ผิด ศาลชี้'เป็นเรื่องธุรกิจล้วนๆ' | เดลินิวส์

 

ปอกเปลือก ทรราช
คิวบากร้าวใส่นาโต้และอียูประณามการแซงชั่นรัสเซีย หนุกแน่งานนี้...





-----------
เห็นข่าวนี้แล้วชอบมากกกก! อยากจะเล่าให้ฟังตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาแล้ว แต่เนื่องจากกำลังติดพันอยู่กับการแปลบทความเรื่อง "การล่มสลายของจักรวรรดิอเมริกาสไตล์โซเวียต" อยู่จึงยังไม่ได้เล่าให้ฟัง วันนี้สบโอกาสเหมาะจึงขอเล่าย้อนหลังนะครับ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาสำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียลงข่าวว่า "กลุ่มเมฆนักการทูตตั้งเค้าทะมึนขึ้นเหนือที่ประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป (EU) และประชาคมลาตินอเมริกาและรัฐทะเลแคลิบเบียน (CELAC) ในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อคิวบากล่าวว่าไม่เห็นด้วยกับการแซงชั่นรัสเซียกรณียูเครน"
ในวันที่สองของการประชุม EU-CELAC นั้น นาย Miguel Diaz-Canel Bermudez รองประธานรัฐสภาคิวบาคนที่หนึ่ง (First Vice President of the Council of State of Cuba) ได้กล่าวว่า "พวกเรา (ชาวคิวบา) ขอกล่าวย้ำการปฏิเสธต่อการแซงชั่นประเทศนี้ (รัสเซีย) อีกครั้ง"
นาย Miguel Diaz-Canel Bermudez กล่าวอีกว่า "เราได้เตือนตั้งแต่แรกแล้วว่าการขยายอำนาจของนาโต้เข้าไปยังชายแดนของสหพันธรัฐรัสเซียนั้นจะนำมาซึ่งภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อสันติภาพ ความมั่นคง และความมีเสถียรภาพของนานาชาติ ซึ่งก็รวมถึงยุโรปด้วย แม้จะเป็นการตัดสินใจ (ที่มีคุณค่า) ทางประวัติศาสตร์ระหว่างคิวบากับสหรัฐฯเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต เศรษฐกิจ การค้า และการปิดล้อมทางการเงินต่อคิวบาที่กำลังดำเนินไป" (เขาพูดแค่นี้นะ... เหมือนทิ้งปริศนาบางอย่างไว้)
+ วิเคราะห์ วิจารณ์
---------------
อ้าวซวยหละสิ!... อียูพยายามผูกมิตรกับคิวบาให้เข้มแข็งขึ้นเพื่อแย่งโอกาสขยายอำนาจและหาพันธมิตรของตนทั้งด้านเศรษฐกิจและอำนาจในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาจากรัสเซียและจีน นั่นคือฉากหน้าที่อียูต้องการจะให้หลายคนเข้าใจ แต่ลึกๆแล้วอียูกับสหรัฐฯกำลังแข่งกันต่างหากหละ เพราะแม้ว่าตั้งแต่ยุคสงครามเย็นเป็นต้นมาสหรัฐฯจะประกาศตัดสัมพันธ์กับคิวอันเนื่องมาจากวิกฤตขีวปนาวุธนิวเคลียร์ของคิวบาและของอดีตสหภาพโซเวียตที่อยู่ในคิวบาจ่อก้นสหรัฐฯในช่วงนั้น แต่กลุ่มประเทศทางยุโรปกลับยินดีที่จะค้าขายกับคิวบาเฉยเลย
เมื่อสหรัฐฯเริ่มรับรู้ความจริงและสังเกตได้ว่าขนาดกลุ่มประเทศประชาธิปไตยอย่างยุโรปยังกล้าที่จะไปคบค้าสมาคมกับประเทศคอมมิวนิสต์อย่างคิวบาโดยมิได้มีความรังเกียจคอมมิวนิสต์คิวบาเลย ก็เพื่อผลประโยชน์นี่นา แล้วสหรัฐฯจะรังเกียจไปไปใยเล่า? และที่สำคัญอียูต้องการที่จะดึงยูเครนเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปให้ได้ด้วย (หมายถึงก่อนหน้าที่ยูเครนจะเละทุ่มเป๊ะอย่างนี้นะ) ประจวบกับรัสเซียและจีนก็มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับคิวบาเป็นอย่างดีด้วย สหรัฐฯเห็นท่าไม่ดีจึงยอมพลิกลิ้นยกเลิกกฎเหล็กที่บอกว่าจะไม่คบค้าสมาคมกับประเทศคอมมิวนิสต์คิวบาที่มีมาตั้ง 50 ปีได้เฉยเลย
แล้วทำไมทั้งสหรัฐฯและอียูถึงอยากได้ยูเครนนักหนา? อีกเหตุหนึ่งนอกจากเรื่องทรัพยากรและแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลของยูเครนแล้ว ก็คือก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองที่ไมดานในยูเครนเมื่อปลายปี 2013 ถึงต้นปี 2014 นั้นทางรัสเซียกำลังชวนให้ยูเครนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มความร่วมมือทางด้านการค้าการลงทุนและเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasia) หากรัสเซียได้ยูเครนเข้าร่วมในกลุ่มนี้ นั่นหมายถึงความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจของกลุ่มนี้ก็จะมีมากขึ้น และโอกาสที่อดีตประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตจะหันมาร่วมมือกับรัสเซียก็จะมีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
แม้จะไม่เป็นการกลับมารวมกันเป็นโซเวียตใหม่อีกครั้งโดยอยู่ภายใต้ระบบการปกครองเดียวกันเหมือนในอดีต แต่ในแง่ของอำนาจทางเศรษฐกิจนั้นหากรัสเซียสามารถสร้างยูเรเซียขึ้นมาได้สำเร็จ คิดดูสิว่าอำนาจของอียูและสหรัฐฯจะได้รับความกระทบกระเทือนมากขนาดไหน? อียูไม่อาจเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ ยอมไม่ได้ที่มหาอำนาจเบอร์สองของโลกอย่างอียูซึ่งกำลังฝันว่าวันหนึ่งจะได้ก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งแทนอเมริกา กลับจะต้องตกไปอยู่เป็นเบอร์ 3 หรือต่ำกว่านั้นเพราะจีนและรัสเซียกำลังก้าวขึ้นมาเบียดอียู
สหรัฐฯเองก็ไม่ค่อยจะชอบใจนักที่จะเห็นยูเครนต้องตกไปอยู่ในมือของอียูหรือรัสเซียฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ยูเครนหันไปเข้าร่วมใน Eurasia และเพื่อดึงยูเครนเข้าเป็นสมาชิกของอียูให้ได้ (อันนี้หมายถึงฝั่งอียู) ดังนั้นจึงเกิดกระแสอัพไรซิ่งหรือปฏิวัติสีขึ้นมาในยูเครนในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ไทยเรากำลังมีการเดินขบวนประท้วงขับไล่รัฐบาลชุดที่แล้วและเรียกร้องให้มีการปฏิรูปนั่นเอง
ณ จุดนี้อียูและสหรัฐฯร่วมมือกันโดยอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจของรัฐบาลชุดที่แล้วของยูเครนด้วยการก่อเหตุเผาบ้านเผาเมืองในวิกฤตไมดานขึ้นมานั่นเอง และนำไปสู่การรวมไคร์เมียเข้ากับรัสเซีย และวิกฤตยูเครนตะวันออกมาจนถึงทุกวันนี้ ภาพที่เห็นในปัจจุบันนี้จึงเหมือนกับว่ายูเครนเปรียบเสมือนเค้กของรัสเซีย-อียู-สหรัฐฯ (นั่นคือมองแบบกลางๆจากมุมมอง ณ เวลาปัจจุบัน) แต่ถ้ามองย้อนไปถึงต้นตอของปัญหาจริงๆและพิจารณาให้ดีก็จะรู้ได้ว่าใครกันแน่ที่พยายามเข้าไปฉีกยูเครน เพื่อเป็นการตอบโต้รัสเซียที่รู้ทันแผนของสหรัฐฯและอียู ดังนั้นทั้งสหรัฐฯและอียูก็เลยรวมหัวกันแซงชั่นรัสเซีย
แน่นอนมีหรือที่รัสเซียจะปล่อยให้ตัวเองถูกกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว กำปั้นปูตินไม่ได้ผูกติดกันหรือถูกล็อคไว้ซะหน่อยนิ ปูตินก็เลยออกหมัดแซงชั่นสวนกลับไปที่สหรัฐฯและอียูบ้าง ตอนนี้ทั้งอียูและสหรัฐฯรู้ว่าถ้าแลกหมัดกับปูตินด้วยเกมแซงชั่นอยู่หลายยกแบบนี้ ไม่มีทางที่จะล้มปูตินได้แน่ๆ และที่สำคัญตัวเองก็เจ็บหนักไม่แพ้อีกฝ่ายด้วย แม้จะเป็นสองรุมหนึ่งก็เถอะ ขนาดสหรัฐฯหาพรรคพวกอย่างแคนาดาและญี่ปุ่นมาร่วมกันรุมอัดปูตินแล้ว ก็ยังโค่นไม่ได้ จึงพยายามจะดึงลาตินอเมริกาซึ่งเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของรัสเซียมารุมอัดปูตินอีก คิวบาก็เลยบอกว่าขออัดไอ้คนที่เสี้ยมให้เพื่อนรักเขาแตกคอกันก่อนดีไหมนะ?
อูย… ทำไมบทวิเคราะห์ของแอ็ดมินเยอะกว่าข่าวซะอีกหละนี่? คริๆ ประจำ!
The Eyes
13/06/2558
----------
Cuba Casts Cloud Over Summit After Denouncing Sanctions Against Russia / Sputnik International

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย
ปูทูน่าเกยตื้นเพียบหาดซานดิเอโก อเมริกา ??



เมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดปรากฏการณ์ปูทูน่า หลายพันตัวเกยตื้นเกลื่อนชายหาดในซานดีเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย อเมริกา ส่งผลทำให้พื้นทรายบริเวณดังกล่าวกลายเป็นสีส้ม ไม่มีผู้ใดกล้าเก็บปูทูน่าเหล่านั้นไปปรุงอาหาร
เนื่องจากเกรงว่าพวกมันอาจกินแพลงก์ตอนที่เป็นพิษเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540 และปี 2545 นักวิทยาศาสตร์คาดว่าผลมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ จนทำให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกอุ่นขึ้น
และโดยปกติปลาโลมาจะเดินทางขึ้นเหนือในช่วงฤดูร้อน เนื่องจากอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ทำให้โลมาปรับพฤติกรรมในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ปลาโลมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่จะต้องคอยโผล่ขึ้นมาเหนือโพรงน้ำแข็งเพื่อหายใจ
หมีก็จะสามารถอาศัยจังหวะนี้โจมตี และจับโลมาเป็นอาหาร นับเป็นครั้งแรกที่มีการพบเห็นหมีขั้วโลกล่าโลมากินเป็นอาหาร เพราะปกติมันกินแมวน้ำเป็นหลัก
โลก..นับวันจะร้อนระอุขึ้นทุกปี และสาเหตุหลักๆ ก็เป็นการกระทำของมนุษย์เอง
@ เสธ น้ำเงิน4
สั่งจอง/ซื้อหนังสือรวมเล่ม แฉ ความลับ และ ebook คลิ๊กไปที่ https://t.co/KxhM77h8oO

 

Jeerachart Jongsomchai

... "อเมริกา : จะดันแผนใช้ "กบฎโรฮินจา" ในการระเบิดแบ่ง "พม่า" ออกเป็นรัฐย่อยๆเพื่อแทรกแซงครอบครองอำนาจในเอเชีย"


.
... อเมริกามีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการครอบครองอำนาจโลกโดยการเปลี่ยนจาก "ตำรวจโลก" ไปเป็น "ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง" ตามแนวคิดของ "Zbigniew Brzezinski" ที่เคยเป็นที่ปรึกษาของลินดอน จอห์นสัน 1966–1968 และจิมมี่ คาร์เตอร์ 1977 to 1981 ในสมัยสงครามเย็น
... โดยสมัยนั้นอเมริกาชักใยอยู่เบื้องหลัง มีการถ่วงดุลอำนาจแบบแตกแยกทั้งเล็กและใหญ่ อเมริกาต้องการเล่นให้เนียน เมื่อเห็นรอยร้าวระหว่าง "จีนกับโซเวียตรัสเซีย" จึงยอมเล่นละคร เลิกคบกับ "ไต้หวัน" หันไปคบและฟื้นฟูสัมพันธ์กับ "จีน" แผ่นดินใหญ่แทน เพื่อโดดเดี่ยว “โซเวียตรัสเซีย” โดยตอนนั้นอเมริกาได้ส่ง "การทูตปิงปอง" โดยส่งทีมนักกีฬาปิงปองไปที่จีนเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับจีน เป็นการปูทางก่อนไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการของ "ริชาร์ด นิกสัน" ในเวลาต่อมา ช่วงต้น 1970s
... นอกจากนั้นแล้ว แนวคิดแบบ "Zbigniew Brzezinski" คือการ "แอบสนับสนุน" ชักใยกลุ่มนักรบ "มูจาฮีดิน" ที่เป็นการออกหน้าฉากว่าเป็นนักรบที่สู้เพื่ออิสลาม ( คือนักรบคนหนุ่มที่ไปร่วมรบก็คิดแบบนั้นจริงๆ แบบบริสุทธิ์ใจ แต่อเมริกาเอาความศรัทธาที่ดีงามตรงนี้มาหลอกใช้ ให้มาฆ่าต่อสู่้และตายแทนตน เพื่อโค่น "โซเวียตรัสเซีย" ศัตรูตัวหลัก และปกป้อง "ซาอุดิอาระเบีย" ที่ตั้งประเทศใหม่ได้ไม่กี่สิบปี ที่คือผลประโยชน์ "น้ำมัน" ของอเมริกาเองที่มาลงทุนในนั้น ... เหมือนตอนนี้ที่อเมริกาช่วยซาอุด บอมบ์ "เยเมน" เพราะเหตุผลคือ ปกป้อง บ่อน้ำมัน และ เมกกะและเมดิน่า และเมืองท่าทางทหารและน้ำมันอย่าง "เอเดน" ที่คือจุดยุทธศาสตร์ทั้งทางรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจของ ซาอุด )
... โดยอเมริกามีเป้าหมายที่จะเอาเรื่อง "สิทธิมนุษยชน" ที่พม่าไม่ยอมออกสิทธิการเป็น "พลเมืองพม่า" ให้กับชาวโรฮีนจา มาเป็นอาวุธในการโจมตี และจะพยายามดันให้เป็น “กบฏโรฮีนจา” ในอนาคต ซึ่งจะมี “รัฐยะไข่” เป็นดินแดนหลักในการปฎิบัติการเรื่องนี้ ซึ่งจะคล้ายๆกับนักรบมูจาฮีดีนในอัฟกานิสถานในอดีต เพราะในครั้งหนึ่ง “กัดดาฟี่” ที่เคยสร้างบารมีในอิสลามก็เคยอุดหนุน นักรบโรฮีนจาในพม่ามาแล้ว ซาอุดิอาระเบีย เองก็เคยจะขออนุญาตอเมริกาอุดหนุนมาแล้ว แต่อเมริกาไม่ยินยอมในตอนนั้น
... แต่ในวันนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดกลุ่ม “นักรบศาสนาชาวโรฮีนจา” ในรัฐยะไข่ เพื่อจุดหมายในการปั่นป่วนพม่า ให้เกิดการระเบิดแตกแยกย่อยเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย
... เพราะที่ผ่านมาอเมริกาใช้กลยุทธ์เรื่อง “ประชาธิปไตย” โจมตีพม่าทั้งก้อน ทั้งประเทศ แล้วไม่ได้ผล เลยต้องปรับเปลี่ยนอุบาย เพราะว่าแทรกแซงยาก เลยต้องเอาให้แตกแยกเป็นรัฐเล็กน้อยให้ได้ก่อน ( เมื่อสองสามเดือนก่อน จะมีข่าวเรื่อวชาว “โกกั้ง” ทางภาคเหนือของจีนมาแล้ว แต่ความจริงมีหลายเผ่าพันธ์ที่พร้อมจะแยกตัวออกมาจากพม่า เหมือนก่อนการเกิด “สัญญาปางโหลง” ... โหลง = ภาษาไต หรือไทยใหญ่แปลว่า “หลวง” หรือสิ่งแรก คนแรก สำคัญแรกๆ ออกเสียงแบบไทน้อยว่า ปางหลวง )
... และถ้าแผนขั้นแรกสัมฤทธิ์ผล พม่าแตกเป็นรัฐเล็กน้อยได้ อเมริกาก็จะแทรกแซงได้ง่ายๆ เช่น อาจจะแอบหนุนรัฐอิสระยะไข่และรัฐอื่นๆ สมมุติ เช่นฉาน หรือ กะเหรี่ยง มอญ คะฉิ่น เป็นต้น เหมือนที่อังกฤษเคยมาทำมาก่อนแล้ว ในการหลอกใช้ทหารมอญและทหารรัฐฉานของไตในการรบกับพม่าใน “สงครามอังกฤษพม่า”
... ซึ่ง “สิทธิมนุษย์ชน” นั้นเด็กนักศึกษาสมัยนี้อาจจะไม่ทราบว่าเป็น “อาวุธ” แบบ Soft power ที่อเมริกาใช้ในการโจมตี “โซเวียตรัสเซีย” ที่มีจุดอ่อนคือการรวบอำนาจไว้กับพรรคเดียวในการบริหารรัฐหรือจักรวรรดิมาแล้ว ซึ่งต่างกับอเมริกาที่หน้าฉากมีการเลือกตั้งสวยงามเริ่ดหรู แต่หลังฉากก็เหมือนกัน ที่ถูกปกครองโดยมาเฟียนักการธนาคารในวอลล์สตรีท
... โดยอเมริกาจะใช้ตัวอย่างในการ “ทำให้พม่าระเบิดเป็นรัฐย่อย” นี้จากอดีต “ยูโกสลาเวีย” เดิมที่เป็นเหมือนหลังบ้านของรัสเซียที่อยู่ใต้สัมพันธ์ที่รัสเซียปกครอง แทรกแซงยาก แต่ถ้าแย่งย่อยเป็น Bosnia and Herzegovina. Croatia. Macedonia. Montenegro. Serbia. Slovenia แล้วจะแทรกแซได้ง่ายกว่า ยุให้เกิดการทำสงครามฆ่ากันทั้งเชื่อไฟทางเชื่อชาติหรือศาสนา แล้วก็เข้าไปหนุนหลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในท้ายที่สุด
... โดยอเมริกาวางแผนว่าจะเริ่มสุมและจุดไฟในช่วงปลายเดือนตุลาคม หรือ ต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยอาศัยช่วง “การเลือกตั้งทั่วไป” เป็นเวลาทำการ ดังนั้นช่วงนี้อเมริกาจึงโหมโรงอุ่นเครื่องเผาหัวเรื่อง “สิทธิการเป็นพลเมืองพม่า” ของชาวโรฮีนจาออกตามสื่อกระแสหลักลูกทาสอเมริกาไปพรางๆ ค่อยๆเร่งไฟทีละนิดให้ดูเนียนๆมีเหตุผล ค่อยๆสร้างภาพตัวร้ายเอาแปรงสีดำทาหน้ารัฐบาลทหารพม่าไปเรื่อยๆ ( เหมือนที่กำลังทำกับไทยอยู่เหมือนกัน )
... โดยอ้างว่าชาวโรฮีนจา ควรจะมีสิทธิในการเลือกตั้งด้วย และนอกจากนั้นแล้วก็จะออกมาไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งในเขตรัฐยะไข่นี้ โดยจะมีการตั้งพรรคหรือตัวแทนนักการเมืองที่มีหวังในการชนะเลือกตั้งน้อยมากเป็นหุ่นเชิดหรือนายหน้าที่รับงานมาจากอเมริกา ที่เตรียมตัวประท้วงผลการโกงเลือกตั้งที่อ้างว่ารัฐบาลมีการล็อกผลเอาไว้แล้วกับฝ่ายรัฐบาลทหาร
... ซึ่งจากนั้นก็จะมีการจุดไฟให้เกิดการประท้วงขึ้นตามท้องถนนในพม่า เพื่อให้มีการปฎิวัติสีแบบในอาหรับสปริงหรือในยุโรป เพื่อเอาเป็นข้อต่อรองกับสีดำที่ทาเรื่องการโกงเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลทหารพม่า ที่อเมริกาและลูกน้องยุโรปเตรียมฝึกลูกคอร้องประสานเสียงกันไว้ก่อนแล้ว ในอนาคตอันใกล้
... การเตรียมการประท้วงนี้ก็เพื่อกดดันให้รัฐบาลทหารพม่ายอมรับในข้อเรียกร้องของพวกเขา เพราะไม่งั้นอาจจะมีการเรียกร้องของอีกหลายเผ่าพันธ์ุตามมาอีกทั่วประเทศ
... อเมริกาทำเหมือนตอนที่อังกฤษโจมตีพม่าเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อน ตอนนั้นสยามก็สบายใจ แต่พอได้พม่าเต็มใบทั้งประเทศแล้วอังกฤษก็หันมาจะเขมือบภาคเหนือและใต้ของสยามอีก ( 1909 เสียไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู เปอร์ลิส ให้อังกฤษไป และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะเอาอีกโดยการเห็นชอบจากอาจารย์ ป. ที่เขาหนุนมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ) ซึ่งอเมริกาก็คงทำไม่ต่างกัน ดังนั้นคนไทยเราจะนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ไม่ได้ ต้องช่วยส่ายสายตาป้องกันเราไว้ทั้งในเรื่องไม่ตกเป็นเหยื่อสื่อของเขาง่ายๆ ถ้าเราไม่เชื่อง่ายๆ ไม่คิดเอาจากกลุ่มศาสนา เชื้อชาติ ความเชื่อ กลุ่มพวกพ้องใดๆเป็นหลัก เราก็คงจะไม่แยกแยกแบบที่เขาต้องการทำกับเพื่อนบ้านเราได้แน่นอน
.
The Destabilization of Myanmar: U.S. Plan for Carving Out A South Asian “Kosovo” in “Rohingyaland” | Global Research - Centre for Research on Globalization
https://en.wikipedia.org/wiki/Zbigniew_Brzezinski
http://orientalreview.org/…/the-reverse-brzezinski-the-ult…/
https://en.wikipedia.org/wiki/Ping-pong_diplomacy

 

อิสราเอล ทดลอง “Dirty bombs” 20 ลูก ในทะเลทรายเนเกฟ
ตะวันออกกลางby เอบีนิวส์ทูเดย์ - มิ.ย. 14, 2015



presstv – อิสราเอลทดลอง ระเบิดรังสีหรือ ที่เรียกว่า ระเบิด “Dirty bombs” ในทะเลทรายเนเกฟ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์

หนังสือพิมพ์ HAARTEZ อิสราเอล เผย (วันจันทร์ที่ 8) ว่า ทางการอิสราเอลได้ทดสอบวัตถุระเบิดเปรอะเปื้อนทางนิวเคลียร์ เพื่อทดลองวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์

Dirty bomb เป็นคำที่ใช้เรียกอาวุธเกี่ยวกับรังสี ไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ (non-nuclear bomb) แต่เป็นระเบิดแบบธรรมดาที่บรรจุสารกัมมันตรังสี เมื่อเกิดการระเบิดขึ้น จะทำให้สารกัมมันตรังสีกระจายออกมา ทำให้เกิดการเปรอะเปื้อนกัมมันตภาพรังสี ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ

หนังสือพิมพ์ ดังกล่าว เผยว่า การทดลองครั้งนี้ ภายใต้โครงการ “ทะเลสีเขียว” ซึ่ง ได้ทำการระเบิดจำนวน 20 ลูก จากนั้นใช้เครื่องบินไร้อากาศยานวัดระดับการแผ่สารกัมมันตรังสี และมีการบันทึกแรงระเบิดครั้งนี้ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์

กองทัพอิสราเอล ไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆต่อเรื่องนี้

ตามรายงานหนังสือพิมพ์ HAARTEZ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์เดเนโม ในปี 2014 หลังจากทำการทดลองอาวุธดังกล่าวภายใต้โครงการทะเลสีเขียว

ตามรายงานข้างต้น นอกจากนั้น ยังได้มีการทำอีกโครงการหนึ่ง ภายใต้ชื่อ “บ้านสีแดง” ในการประเมินผลของสารกัมมันตรังสี ที่ไม่ทำการระเบิดในเขตพื้นที่อาศัยที่มีประชากรหนาแน่น อีกด้วย

สิ่งหนึ่งที่หวาดกลัวกัน คือการที่ผู้ก่อการร้าย อาจจะทำการระเบิดด้วย dirty bomb ในบริเวณที่เป็นแหล่งชุมชน dirty bomb จะคล้ายกับระเบิดที่ทำให้เกิดความเปรอะเปื้อนชนิดอื่น แต่จะต่างกันที่ ทำให้บริเวณที่เกิดการเปรอะเปื้อน ไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้เป็นเวลานานหลายปี หรือหลายสิบปี



PressTV-اسرائیل در صحرای نقب بمب کثیف آزمایش کرد

อิสราเอล ทดลอง “Dirty bombs” 20 ลูก ในทะเลทรายเนเกฟ | abnewstoday

 

อดีตรองปลัดเพนตากอนชี้ อเมริกา “ทำพลาดใหญ่หลวง” ที่บุกอิรักเมื่อ 12 ปีก่อน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2558 03:19 น.



เอเจนซีส์-เจด บับบิน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เปิดใจให้สัมภาษณ์ผ่านรายการสตีฟ มัลซ์เบิร์ก โชว์ ทางสถานีโทรทัศน์ “นิวส์แม็กซ์ ทีวี” โดยระบุ การตัดสินใจ “บุกอิรัก”เมื่อปี 2003 ของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ถือเป็น “ความผิดพลาดครั้งเลวร้าย”

บับบินซึ่งเคยรับหน้าที่รองปลัดเพนตากอนในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ บุช (George H.W. Bush) ระบุว่า การตัดสินใจกระโจนเข้าสู่สงครามในอิรักเมื่อ 12 ปีก่อนของประธานาธิบดีบุชผู้เป็นลูกนั้น ถือเป็น “ความผิดพลาดครั้งเลวร้าย” และว่าบรรดา “สมาชิกสายเหยี่ยว” ผู้กระหายสงครามภายในพรรครีพับลิกันเอง ต่างก็ต้องร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในอิรักในเวลานี้

“เราตัดสินใจบุกอิรักด้วยข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอยว่า รัฐบาลของซัดดัม ฮุสเซนในขณะนั้นมีอาวุธร้ายแรงจำนวนมากอยู่ในครอบครอง และรัฐบาลของเรายังคิดผิดมหันต์ที่ไปคาดหวังว่า สหรัฐอเมริกาจะประสบความสำเร็จในการสร้างชาติอิรักให้มีเอกภาพ หลังจากสิ้นยุคซัดดัม” บับบินซึ่งปัจจุบันรับหน้าที่คอลัมนิสต์ให้กับวอชิงตัน ไทม์ส กล่าว

ทั้งนี้ การเปิดฉากบุกอิรักเมื่อ 20 มีนาคม ปี 2003 ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเอาตัวเองเข้าไปพัวพันของสหรัฐฯต่อปัญหาภายในของอิรักนานเกือบทศวรรษ ก่อนที่สหรัฐฯจะถอนตัวออกในปี 2011 โดยที่ชาวอิรักจำนวนมากกว่า 600,000 คนต้องเสียชีวิตจากความขัดแย้งที่ทางวอชิงตันเป็นผู้ก่อขึ้น เช่นเดียวกับการสูญเสียชีวิตของทหารอเมริกันจำนวน 4,425 คน

ʹյ

 

ชายมะกันรอดชีวิตปาฏิหาริย์ หลังถูก “ผึ้งหลายหมื่น” รุมต่อยในแอริโซนา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มิถุนายน 2558 16:21 น.



รอยเตอร์ – ชายรายหนึ่งมีชีวิตรอดชีวิตมาได้มาอย่างปาฏิหาริย์ หลังจากถูกฝูงผึ้งหลายหมื่นตัวรุมต่อย 500 – 1,000 ครั้งใกล้กับเมืองคิงแมนในตอนใต้ของรัฐแอริโซนาเมื่อวานนี้ (12) ทางการระบุ

ชายคนนี้ซึ่งไม่ได้ถูกระบุชื่ออยู่ในอาการทรงตัวที่ศูนย์การแพทย์ส่วนภูมิภาคคิงแมน (Kingman Regional Medical Center) หลังจากถูกโจมตีเพราะไปแหย่รังผึ้งขนาดใหญ่ในสวนหลังบ้านของบ้านหลังหนึ่ง เลสลี เดอซานติส โฆษกของสำนักงานตำรวจเทศมณฑลโมแฮฟ กล่าว

“จำนวนของผึ้งในเพิงเก็บของหลังบ้านั้นเยอะอย่างเหลือเชื่อ เจ้าหน้าที่ที่ไปถึงที่นั่นบอกว่ามันอย่างกับที่เห็นในภาพยนตร์เลย มันน่าทึ่งจริงๆ” เดอซานติส กล่าว

ทางการระบุว่า ในตอนที่เขาถูกต่อย เขากำลังทำงานอยู่ที่นั่น เขาวิ่งไปยังรถของเขา และได้รับความช่วยเหลือจากคนที่เดินผ่านแถวนั้น 2 คนซึ่งก็ถูกต่อยเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้เข้าโรงพยาบาล

คนเลี้ยงผึ้งที่ถูกเรียกมายังที่เกิดเหตุก็ถูกต่อยไป 23 ครั้ง เขาบอกกับทางการว่า คงจะใช้เวลาหลายวันในการจับผึ้งเหล่านี้ทั้งหมด

ทางการประกาศเตือนให้ผู้อยู่อาศัยแถวนั้นอย่าปล่อยสัตว์เลี้ยงออกนอกบ้าน , อย่าเดินเข้าใกล้บริเวณนั้น และปิดหน้าต่างรถเมื่อขับผ่าน

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ชุมชนสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งที่มีบ้านหลังใหญ่ๆ ตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ห่างจากเมืองคิงแมนไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 23 กิโลเมตรและจากเมืองฟินิกซ์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 332 กิโลดมตร

 

เม็กซิโกเตือนฉุกเฉิน “พายุเฮอริเคนคาร์ลอส” จ่อขึ้นฝั่งแดนจังโก้ทางตะวันตกฉียงใต้ภายใน 48 ชม. โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2558 10:48 น.



เอพี – รัฐบาลเม็กซิโกออกประกาศเตือนฉุกเฉินแถบชายฝั่งตะวันตกฉียงใต้ตั้งแต่ลาซาโร การ์เดนาส ( Lazaro Cardenas )ไปจนถึงเทคปัน เด กาเลอานา ( Tecpan de Galeana)ในรัฐเกร์เรโร หลังศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติสหรัฐฯ NHC ได้รายงานว่าพายุคาร์ลอส (Carlos) กำลังเพิ่มกำลังมากขึ้นในขณะมุ่งหน้าสู่เม็กซิโกภายใน 48 ชม.

ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติสหรัฐฯ NHC แถลงล่าสุดว่า ในคืนวันเสาร์(13)ที่ผ่านมา เฮอริเคนคาร์ลอส (Carlos) พัดขึ้นสู่ทางเหนือ และห่างจากเมืองอาคาปูลโค( Acapulco) เมืองตากอากาศทางใต้ของเม็กซิโกเพียงแค่ 170 กม. ซึ่งทาง NHC พบว่าความเร็วลมของคาร์ลอสเพิ่มขึ้น 140 กม./ชม. และคาดว่าพายุคาร์ลอสจะขึ้นฝั่งแดนจังโกทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศในช่วงค่ำวันจันทร์(15)นี้

เอพีรายงานวันนี้(14)ว่ารัฐบาลเม็กซิโกออกประกาศเตือนฉุกเฉินแถบบชายฝั่งตะวันตกฉียงใต้ตั้งแต่ลาซาโร การ์เดนาส ( Lazaro Cardenas )ไปจนถึงเ เทคปัน เด กาเลอานา ( Tecpan de Galeana)ในรัฐเกร์เรโร ถึงการคาดว่าจะขึ้นฝั่งของพายุคาร์ลอส (Carlos)จะเกิดขึ้นภายใน 48 ชม.

นอกจากนี้หน่วยเฝ้าระวังพายุยังเริ่มการทำงานตั้งแต่ปันตา ซาน เทลโม( Punta San Telmo) ไปจนถึงลาซาโร การ์เดนาส ตะวันตก นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการเตือนระวังพายุมรสุมทางตะวันออกของเทคปัน เด กาเลอานา ไปจนถึงปันตา มัลโดนาโด( Punta Maldonado) และเพราะการเข้ามาของพายุเฮอริเคนคาร์ลอส คาดว่าจะมีฝนตกหนักวัดได้ราว 2-4 นิ้วทั่วบริเวณฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเม็กซิโกไปจนถึงวันอังคาร(16) โดยทาง NHC เตือนว่าอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและเกิดดินถล่มตามมา

คาร์ลอสถือเป็นพายุเฮอริเคนลูกที่ 3 ในปี 2015 ของฤดูพายุฝั่งแปซิฟิกตะวันออก โดยกำลังลมของคาร์ลอสที่ยื่นออกมาจากส่วนใจกลางวัดได้ราว 35 กม. และ NHC ประกาศเตือนเพิ่มเติมว่า คาดว่าคาร์ลอสจะทำให้น้ำทะเลมหาสมุทรกลายเป็นคลื่นขนาดใหญ่ที่คาดว่า อาจทำให้เกิดอันตรายต่อนักโต้คลื่นเม็กซิกันและเรือประมงขนาดเล็กได้เมื่อถูกพัดเข้าสู่ฝั่ง

 

'เมอร์ส'ลามถึงสโลวาเกีย พบ'ชาวเกาหลีใต้'ติดเชื้อ | เดลินิวส์



ชายชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางไปทำงานที่สโลวาเกียตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสเมอร์ส ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในกรุงบราติสลาวา เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2558 เวลา 5:40 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ว่า น.ส.เพตรา สตาโน มาทาซอฟสกา โฆษกหญิงประจำโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบราติสลาวา แถลงว่า ชายชาวเกาหลีใต้ วัย 38 ปี ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนากลุ่มโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (เมอร์ส) ซึ่งมีอาการท้องเสีย เป็นไข้ และมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง ก่อนถูกส่งนำตัวส่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ในกรุงบราติสลาวา พร้อมกับแยกห้องออกจากผู้ป่วยรายอื่นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ชายคนดังกล่าวเดินทางถึงสโลวาเกียเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อทำงานให้กับบริษัทรับจ้างผลิตรถยนต์ยี่ห้อเกีย ที่มีฐานการผลิตอยู่ที่เมืองซิลินา ตอนเหนือของประเทศ ส่วนที่เกาหลีใต้พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสมรณะเพิ่มขึ้นเป็น 14 รายแล้ว ถือเป็นการแพร่ระบาดครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นนอกซาอุดีอาระเบีย

ด้านองค์การอนามัยโลก (ฮู) เตือนว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้ มีความซับซ้อนและมีขนาดใหญ่ คาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่ตัวอย่างเลือดของชายชาวเกาหลีใต้ได้ถูกส่งไปพิสูจน์ที่กรุงปราก ของสาธารณรัฐเช็ก และคาดว่าจะทราบผลภายใน 24 ชม.

ส่วนหน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่นเมืองซิลินาได้ประกาศเตือนโรงแรมที่ผู้ป่วยรายนี้เข้าพัก ให้เฝ้าระวังและป้องกันเชื้อไวรัสเมอร์สแล้ว สำหรับยอดผู้ติดเชื้อไข้หวัดมรณะในเกาหลีใต้ตอนนี้อยู่ที่ 138 รายแล้ว ตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นผู้ชายที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากซาอุดีอาระเบีย ทั้งนี้ไวรัสดังกล่าวยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือวิธีรักษา และมีโอกาสเสียชีวิตร้อยละ 35“

อ่านต่อที่ : 'เมอร์ส'ลามถึงสโลวาเกีย พบ'ชาวเกาหลีใต้'ติดเชื้อ | เดลินิวส์

 

ภูเขาไฟซินาบุงปะทุขึ้นมาอีก | เดลินิวส์



ภูเขาไฟ ซินาบุง ทางตะวันตกของอินโดนีเซีย เกิดปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ส่งเถ้าธุลีภูเขาไฟขึ้นสู่ท้องฟ้า มองเห็นได้ในระยะไกล เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 21:45 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตาประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่13มิ.ย.ว่าเจ้าหน้าที่ของอินโดนีเซียได้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดกับการปะทุครั้งใหม่ของภูเขาไฟชินาบุง ความสูง 2,460เมตร บนเกาะสุมาตราหนึ่งในเกาะใหญ่ของอินโดนีเซียและตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศนับตั้งแต่วันที่ 2มิ.ย.ที่ผ่านมาโดยยกระดับคำเตือนสูงสุดเมื่อตรวจพบการปะทุระลอกใหม่ภายในปล่องภูเขาไฟ

เถ้าธุลีภูเขาไฟได้พวยพุ่งขึ้นมาจากปล่องภูเขาไฟชินาบุง ลอยขึ้นไปไกล3กม.ทางตะวันออกเฉียงใต้ทั้งนี้จากการเปิดเผยของน.ส.เวนดี้คาห์ยา เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเฝ้าสังเกตการณ์ภูเขาไฟชินาบุงและไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทุครั้งล่าสุด

น.ส.เวนดี้คาห์ยา กล่าวต่อไปว่าพบการปะทุของเถ้าธุลีภูเขาไฟถึง11ครั้งด้วยกันและเถ้าละอองลอยขึ้นไปสูงถึง2กม.ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟกล่าวเตือนไว้แล้วหินลาวากับเถ้าธุลีภูเขาไฟอาจไหลบ่าลงมาจากปล่องภูเขาไฟได้ตลอดเวลา

ประชาชนกว่า2,700คนในหมู่บ้านโดยรอบในรัศมีอันตราย7กม.ได้อพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวแล้วเพื่อความปลอดภัยไม่มีรายงานการเสียชีวิตและบาดเจ็บนับตั้งแต่ภูเขาไฟได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งในเดือนมิ.ย.นี้

ภูเขาไฟชินาบุงถือว่าเป็นหนึ่งในจำนวนภูเขาไฟ130ลูกของอินโดนีเซียที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ซึ่งภูเขาไฟลูกนี้ได้เกิดการปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2553เป็นต้นมาหลังจากที่มันสงบนิ่งมานานถึง400ปี การปะทุเมื่อปีที่แล้วคร่าชีวิตผู้คนไป 17ศพ “

อ่านต่อที่ : ภูเขาไฟซินาบุงปะทุขึ้นมาอีก | เดลินิวส์

 

คลินตันหาเสียงขอเป็นตัวแทนอเมริกันชน | เดลินิวส์



ฮิลลารี่ คลินตัน ประกาศตัวขอลงสมัครเป็นประธานาธิบดีเพื่อชาวอเมริกันทุกคน เปิดฉากหาเสียงให้คำมั่นสนับสนุนความเท่าเทียมกันในด้านโอกาส และขอเป็นตัวแทนต่อสู้ให้กับกลุ่มชนชั้นกลางของสหรัฐ วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2558 เวลา 3:08 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่14มิ.ย.ว่า นางฮิลลารี่ คลินตัน ผู้ลงสมัครชิงเป็นตัวแทนพรรคเดโมแดรตเพื่อลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ได้รับเสียงกำลังใจจากชาวนิวยอร์กอย่างล้นหลามหลังขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงเป็นที่แรก โดยนางคลินตันกล่าวว่า ความสำเร็จไม่ใช่มีอยู่แค่ในเหล่าผู้บริหาร หรือจำกัดอยู่แค่นักบริหารการลงทุน ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่แค่ความร่ำรวย แต่ความสำเร็จและประชาธิปไตยคือสิทธิ์การต่อรองขั้นพื้นฐานของทุกคน

ทั้งนี้นางคลินตันยังชูนโยบายสนับสนุนชนชั้นกลางในสหรัฐและเปิดความเท่าเทียมในด้านโอกาส ก่อนจะกล่าวโจมตีพรรครีพับลิกันว่า เป็นพรรคที่ผู้ลงคะแนนเสียงให้นั้นขาดความหลากหลาย รวมไปถึงวิพากษ์วิจารณ์การเว้นภาษีเพื่อเอาใจกลุ่มคนรวยแต่กลับให้ชนชั้นกลางจ่ายภาษี

นางคลินตันกล่าวต่อว่า เธอลงสมัครรับเลือกประธานาธิบดีเพื่อมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับชาวอเมริกันทุกคน ก่อนจะกล่าวแสดงความเข้าใจถึงความยากลำบากของชนชั้นกลางว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ทางการเมือง แต่เรียนรู้จากครอบครัวจากมารดาของตัวเองที่ต้องมาทำงานเป็นแม่บ้านเมื่อตอนอายุ14ปี หลังถูกทอดทิ้ง และมารดาคือผู้ที่สอนเธอว่า ทุกคนต้องการโอกาสและชัยชนะ

สุดท้ายเธอเสนอตัวขอเป็นตัวแทนสานการทำงานต่อจากสามี นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ และนายบารัค โอบามาประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน “

อ่านต่อที่ : คลินตันหาเสียงขอเป็นตัวแทนอเมริกันชน | เดลินิวส์

 

เซ่นไหว้วิญญาณคินาบาลูหยุดอาฟเตอร์ช็อก | เดลินิวส์



ร่างทรงชาวพื้นเมืองบนเกาะบอร์เนียวของมาเลเซียสวดเซ่นไหว้ดวงวิญญาณยอดเขาคินาบาลู หวังให้เหตุอาฟเตอร์ช็อกยุติลง หลังเกิดแผ่นดินไหวขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิต18ราย วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2558 เวลา 1:50 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่14มิ.ย.ว่า ชนเผ่าคาดาซาน ดูซันประมาณ100คน ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียวของมาเลเซีย ร่วมกันจัดพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณยอดเขาคินาบาลูตามความเชื่อดั้งเดิม หลังเกิดอาฟเตอร์ช็อคขนาด5.1แมกนิจูด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านแตกตื่นและอยู่ในอาการขวัญผวาเกรงว่าจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวซ้ำขึ้นอีก หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด6.0แมกนิจูด ใกล้กับยอดเขาคินาบาลู เมื่อวันที่5มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต18ราย

ทั้งนี้ชาวรัฐซาบาห์เชื่อว่าเหตุดินไหวที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกได้ขึ้นไปแก้ผ้าเปลือยกายบนยอดเขาแห่งนี้ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทำให้ดวงวิญญาณของภูเขาไม่พอใจ โดยในพิธีคนทรงจะทำการสื่อสารกับดวงวิญญาณให้มาเข้าร่างเพื่อหาคำตอบว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้เหตุอาฟเตอร์ช็อกหยุดลง

แม้ชาวพื้นเมืองบนเกาะบอร์เนียวจำนวนมากจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์และอิสลามแล้วก็ตาม แต่ยังคงมีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับดวงวิญญาณอยู่ ขณะที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาชาวต่างชาติ4คน ได้แก่ชาวแคนาดา2คน ชาวอังกฤษ1คน และชาวดัตช์1คน ที่ขึ้นไปเปลือยกายบนภูเขายอมรับสารภาพว่าได้กระทำการอนาจารและสำนึกผิดแล้ว พร้อมกับถูกสั่งให้เนรเทศออกนอกประเทศ “

อ่านต่อที่ : เซ่นไหว้วิญญาณคินาบาลูหยุดอาฟเตอร์ช็อก | เดลินิวส์

 

คุก3วันต่างชาติถ่ายเปลือย บนเขาศักดิ์สิทธิ์ของมาเลย์ | เดลินิวส์



ชาวตะวันตก 4 คนที่เปลือยกายถ่ายภาพบนยอดเขาสูงสุดของมาเลเซีย ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ถูกศาลตัดสินจำคุก 3 วันและปรับอีกจำนวนหนึ่ง ตามความผิดข้อหาอนาจารในที่สาธารณะ วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 19:27 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ว่า ชาวตะวันตก 4 คน ประกอบด้วย "ไดลัน สเนล" ชาวเนเธอร์แลนด์, "เอเลนอร์ ฮอว์กินส์" ชาวอังกฤษ, "ลินด์ซีย์ ปีเตอร์เซ่น" ชาวแคนาดา และ "ดาเนียล ปีเตอร์สัน" ชาวแคนาดา อยู่ในกลุ่มชาวต่างชาติ 10 คนที่เปลือยกายถ่ายภาพบนยอดเขาคินาบาลู ยอดเขาสูงสุด บนเกาะบอร์เนียวของมาเลเซีย เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยฝ่ายหญิงแค่เปลือยอก ขณะที่ฝ่ายชายเปลือยทั้งตัว โดยไม่ยอมฟังคำเตือนของไกด์นำทาง ที่ห้ามไม่ให้เปลือยกายกระทำแบบนั้น ทั้งนี้จากการเปิดเผยของนายรอนนีชาม ซึ่งทำหน้าที่เป็นทนายความของพวกเขา

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของมาเลเซีย ระบุว่า การกระทำของชาวต่างชาติกลุ่มนี้ ถือเป็นการลบหลู่ต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เคารพนับถือของชาวมาเลเซีย ทำให้เกิดเหตุแผ่นดินไหวใกล้กับยอดเขาคินาบาลูเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้นักปีนเขาเสียชีวิตไป 18 ศพ

เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา ชาวตะวันตกทั้ง 4 คนนี้ ได้ให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดจริง ในข้อหาอนาจารในที่สาธารณะ ต่อศาลรัฐซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียว ซึ่งพวกเขารู้สึกผิดต่อสิ่งที่ได้กระทำไป และเสียใจอย่างยิ่ง พร้อมที่จะกล่าวขอโทษต่อสาธารณชน

ศาลตัดสินลงโทษจำคุก 3 วัน ซึ่งโทษจำถือว่าผู้ต้องหาได้รับโทษไปแล้ว นับตั้งแต่ถูกจับกุมและปรับเป็นเงินคนละ 5,000 ริงกิต (ราว 43,890 บาท) จากนั้นให้ดำเนินการเนรเทศออกนอกประเทศ ซึ่งทั้งหมดได้จ่ายค่าปรับและเตรียมเดินทางออกจากมาเลเซีย“

อ่านต่อที่ : คุก3วันต่างชาติถ่ายเปลือย บนเขาศักดิ์สิทธิ์ของมาเลย์ | เดลินิวส์