ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาหลีใต้ทดสอบขีปนาวุธ 2 ลูก เผยเจ๋งพอจะถล่มโสมแดงตรงไหนก็ได้
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 17:57 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - เกาหลีใต้ทดสอบยิงขีปนาวุธ 2 ลูกในวันพุธ (3 มิ.ย.) ซึ่งเป็นขีปนาวุธที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะโจมตีพื้นที่ใดก็ได้ของเกาหลีเหนือ เห็นได้ชัดว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการตอบโต้ท่าทีก้าวร้าวของโสมแดง ที่ทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธบ่อยครั้ง

    เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ระบุว่า ประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย ได้มาร่วมสังเกตการณ์ในการทดสอบครั้งนี้ด้วยตัวเอง

    "กองทัพได้ทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยไกล 2 ลูกที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศ ซึ่งสามารถใช้โจมตีเป้าหมายใดก็ได้ในเกาหลีเหนือ" เจ้าหน้าที่ผู้ไม่เปิดเผยนาม บอกกับเอเอฟพี

    ขีปนาวุธของเกาหลีใต้ที่ทำการทดสอบในวันพุธ สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 1 ตันแล้วยิงไปได้ไกลถึง 500 กิโลเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าของเดิมเกือบ 3 เท่า พัฒนาขึ้นภายใต้ข้อตกลงที่ทำกับอเมริกาในปี 2012 โดยก่อนหน้านี้เคยมีการทดสอบขีปนาวุธแบบเดียวกัน ในเดือนเมษายน 2014

    ที่ผ่านมา อเมริกาได้ส่งทหารมาประจำการในเกาหลีใต้ 28,500 นาย พร้อมการันตีว่าจะใช้นิวเคลียร์ "อัมเบรลลา" ช่วยโสมขาวในกรณีถูกโจมตีด้วยนิวเคลียร์

    เพื่อเป็นการตอบแทน ทางเกาหลีใต้ได้ยอมจำกัดศักยภาพขีปนาวุธของตนเอง พร้อมทั้งดำเนินการใช้ขีปนาวุธที่มีระยะโจมตีไม่เกิน 300 กิโลเมตร บรรทุกน้ำหนักได้ไม่เกิน 500 กิโลกรัม ในช่วงก่อนหน้านี้

    แต่เพราะโครงการขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ทำให้เกาหลีใต้เริ่มพูดถึงการขยายข้อจำกัดของตนเอง จนนำมาสู่การทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในปี 2012 ที่ทำให้เกาหลีใต้ใช้ขีปนาวุธที่มีระยะไกลสุดได้ถึง 800 กิโลเมตร จนทางโสมแดงออกมาประณามว่าข้อตกลงนี้เป็นการยั่วยุ

    ทั้งนี้ ตัวเลขระยะยิงกับน้ำหนักมีความเชื่อมโยงกัน หากเกาหลีใต้ใช้ขีปนาวุธที่มีระยะใกล้ ก็จะได้รับอนุญาตให้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากขึ้น

    เกือบ 1 เดือนก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือได้ระบุว่า ประสบความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธที่ยิงจากเรือดำน้ำ ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญหลายรายระบุว่าเป็นการโอ้อวดเกินจริง

    การพัฒนาศักยภาพของขีปนาวุธที่ยิงจากเรือดำน้ำได้สำเร็จ อาจยกระดับการเป็นภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือขึ้นไปอีกระดับ ทำให้สามารถใช้งานได้ไกลเกินกว่าคาบสมุทรเกาหลี รวมถึงทำให้มีศักยภาพมากพอที่จะตอบโต้การโจมตีด้วยนิวเคลียร์

    นอกจากขีปนาวุธเรือดำน้ำ ในช่วงที่ผ่านมาโสมแดงยังอ้างว่าได้เพิ่มศักยภาพในการย่อขนาดหัวรบนิวเคลียร์ให้สามารถติดตั้งบนจรวดพิสัยไกลที่มีความแม่นยำสูงได้ด้วย


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000063056
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาหลีใต้รับมือ “MERS” ระบาด โรงเรียนปิดการสอนกว่า 200 แห่ง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 16:18 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – โรงเรียนประถมเกาหลีใต้กว่า 200 แห่งปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (3) ขณะที่ประเทศนี้กำลังรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสกลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (Middle East Respiratory Syndrome) หรือ MERS ที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้ว 30 คน , เสียชีวิต 2 คน และก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นอย่างแพร่หลาย

    เนื่องจากองค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก และรัฐบาลกำลังตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากความบกพร่องในการตอบสนองระยะแรก ประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย จึงเรียกประชุมฉุกเฉินกับเจ้าหน้าอาวุโสด้านสาธารณะสุขและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อร่างแผนการกักกันโรคแบบสมบูรณ์

    เมื่อคืนนี้มีการรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย ทำให้การระบาดครั้งนี้เป็นการระบาดที่ใหญ่ที่สุดของเชื้อไวรัส MERS นอกซาอุดีอาระเบีย ประเทศซึ่งไวรัสชนิดนี้คร่าชีวิตคนไปมากกว่า 400 รายนับตั้งแต่ปี 2012

    ด้วยรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ออกมาทุกๆ วัน การระบาดครั้งนี้จึงทำให้เกิดความหวาดหวั่นไปทั่วประเทศ และทำให้ได้เห็นชาวเมืองที่ตื่นกลัวพากันออกมาซื้อหน้ากากและน้ำยาล้างมือเก็บสำรองไว้

    กิจกรรมในที่สาธารณะหลายสิบงานถูกยกเลิก ขณะที่ประชาชนกว่า 1,360 คนที่สัมผัสกับเชื้อไวรัสทั้งทางตรงและทางอ้อมถูกจัดให้อยู่ภายใต้การกักโรคในระดับที่แตกต่างกันออกไป

    พัค ได้ตำหนิเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากการที่พวกเขาตอบสนองในระยะแรก “ไม่เพียงพอ” ในช่วงที่ชายผู้ติดเชื้อคนหนึ่งสามารถเดินทางไปยังจีนได้ทั้งๆ ที่ได้รับคำเตือนจากแพทย์แล้ว

    โรค MERS ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีหนทางรักษาหรือวัคซีน ถือว่าเป็นอันตรายน้อยกว่าโรคติดต่อในตระกูลเดียวกันอย่างเชื้อไวรัสกลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome) หรือโรค SARS ที่คร่าชีวิตคนหลายร้อยในช่วงที่มันระบาดหนักในเอเชียเมื่อปี 2003

    ฮวาง วู-ยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่า มีโรงเรียนประถมปิดการเรียนการสอนชั่วคราวแล้ว 209 แห่ง ขณะที่เขาเรียกร้องให้บรรดาผู้อำนวยการศึกษาส่วนภูมิภาครับรองความปลอดภัยของนักเรียน

    “การติดเชื้อในหมู่นักเรียนควรมีการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม มาตรการป้องกันที่โรงเรียนจำเป็นต้องมีความแน่นหนามากกว่าที่อื่นใด” ฮวาง กล่าว

    จนถึงตอนนี้มีการรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย คือหญิงวัย 58 ปีและชายวัย 71 ปี ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายแรกซึ่งมีการรายงานเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม คือชายวัย 68 ปีที่ถูกวินิจฉัยหลังจากที่กลับมาจากซาอุดีอาระเบีย

    “จากจำนวนของคลินิกและโรงพยาบาลที่ดูแลรักษาผู้ติดเชื้อรายแรก ทำให้คาดการณ์ได้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อมากกว่านี้” WHO ระบุในถ้อยแถลงจากนครเจนีวาเมื่อวานนี้ (2)

    WHO ระบุว่า กำลังเฝ้าติดตามการระบาดครั้งนี้อย่างใกล้ชิด และอธิบายว่ามันเป็น “โรคเกิดใหม่ที่ยังคงขาดความรู้ความเข้าใจกันมาก”

    ในตอนนี้มีผู้ติดเชื้อไวรัส MERS แล้ว 1,161 คนทั่วโลก เสียชีวิตแล้ว 436 ราย ประเทศที่ได้รับผลกระทบมีมากกว่า 20 ประเทศ และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000062872
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สิ้นสุดความพยายาม ผลสำรวจล่าสุดชี้ “ชาวแคลิฟอร์เนียใช้น้ำลดลง 13.5%” หลังโดนมาตรการสุดโหดบีบหนักห้ามใช้น้ำ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 13:36 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – ผลการสำรวจการใช้น้ำของชาวแคลิฟอร์เนียในเดือนเมษายน 2015 ลดเหลือ 13.5% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้านี้ หลังจากที่ผ่านมารัฐแคลิฟอร์เนียประสบปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง และทำให้ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ออกมาตรการฉุกเฉินให้ประชาชนชาวแคลิฟอร์เนียต้องลดการใช้น้ำลง 25 % รวมไปถึงห้ามไม่ให้สถานที่หน่วยงานท้องถิ่นของรัฐให้ปรับเปลี่ยนลานสนามหญ้าเป็นลานหินที่ไม่ต้องการใช้น้ำในการบำรุงรักษา
    คณะกรรมการควบคุมแหล่งน้ำแคลิฟอร์เนีย (State Water Resources Control Board) เปิดเผยว่า ถึงแม้จะประสบความสำเร็จที่สามารถทำให้ชาวแคลิฟอร์เนียจำกัดการใช้น้ำต่ำลง 13.5% แต่ทว่าตัวเลขนี้ยังสูงกว่าตัวเลขที่ เจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียได้ประกาศก่อนหน้านี้ต้องการลดการใช้นำลง 25 ๔ หลังภาพแหล่งน้ำแคลิฟอร์เนียแห้งขอดหนัก
    แต่ทว่าตัวเลขที่ออกมานั้นแสดงสัดส่วนการใช้น้ำที่ไม่สมดุลในแต่ละแห่ง โดยเอเอฟพีรายงานวันนี้(3)ว่า ในบางพื้นที่เห็นการลดลงการใช้น้ำ แต่ทว่าในบางส่วน เช่น เอล เซกันโด ( El Segundo) กลับมีตัวเลขการใช้น้ำเพิ่ม 35 %
    “ในขณะที่ผลสำรวจออกมาชี้ให้เห็นว่า เราได้มาถูกทางแล้ว แต่ทว่ากลับยังมีพื้นที่อีกเป็นจำนวนมากที่ยังต้องได้รับการควบคุมทางการส่งน้ำเพื่อให้สามารถลดอัตราการใช้เหลือ 25 % ตามที่กำหนดไว้แต่แรก” เฟลิเซีย มาร์คัส (Felicia Marcus) ประธานบอร์ดบริหารน้ำรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าวผ่านแถลงการณ์ และเสริมต่อว่า “เราได้เห็นการประยัดน้ำเกิดขึ้นทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ทว่าเราไม่ทราบว่าตัวเลขลดการใช้น้ำเกิดมาจากสภาพอากาศที่เย็นลง หรือเป็นเพราะความตั้งใจในการใช้ลดลง”
    เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า ลอสแอนเจลิสได้ออกมาตรการเข้มงวดสำหรับการใช้น้ำขึ้น โดยเพิ่มอัตราค่าน้ำเป็น 3 เท่าของอัตราปกติใน 3 โซน ซึ่งรวมไปถึงเมืองมาลิบูหรูที่ลือชื่อ ซึ่งมีเหล่าผู้มีชื่อเสียงในแวดวงบันเทิงสหรัฐฯอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และคนเหล่านี้ไม่ปฎิบัติตามมาตรการลดการใช้น้ำลง 30 %
    ซึ่งกำหนดให้ผู้ใช้น้ำต้องลดการใช้ให้ได้ถึง 36%
    มาร์คัสกล่าวต่อว่า “การทดสอบที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเราเข้าหน้าร้อน ซึ่งทั้งร้อนและแห้งแล้ง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ชาวแคลิฟอร์เนียต้องใช้โซ่ล่ามสปริงเกอร์สนามหญ้าไว้ให้ได้นานมาที่สุดเท่าที่จะทำได้”

    [​IMG]

    [​IMG]

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx…
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐฯ เผยปฏิบัติการกลุ่มพันธมิตรฆ่านักรบ “ไอเอส” ไปแล้วกว่า 10,000 ศพ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 16:17 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ – กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ถูกสังหารไปแล้วกว่า 10,000 ศพนับตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรนานาชาติเริ่มต้นปฏิบัติการปราบปราบกลุ่มนี้เมื่อ 9 เดือนที่แล้วในอิรักและซีเรีย แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยในวันนี้ (3)

    ในการกล่าวภายหลังการประชุมของกลุ่มพันธมิตรในกรุงปารีส เขาระบุว่า มีความคืบหน้าอย่างมากในการสู้รบกับกลุ่มไอเอส แต่ว่านักรบญฮากลุ่มนี้ยังคงฟื้นตัวกลับมาและสามารถปฏิบัติการเชิงรุกได้อยู่

    “เราได้เห็นการสูญเสียมากมายภายในพวกเดียช นับตั้งแต่เริ่มต้นปฏิบัติการนี้ ซึ่งมากกว่า 10,000 ราย” บลินคิน กล่าวผ่านสถานีวิทยุ France Inter โดยเรียกกลุ่มไอเอสด้วยชื่อย่อภาษาอาหรับ

    เมือวันอังคาร (2) ชาติตะวันตกและอาหรับที่ดำเนินการโจมตีทางอากาศใส่กลุ่มไอเอสได้ให้การสนับสนุนแผนการของอิรักที่จะยึดคืนดินแดน หลังจากที่ถูกนายกรัฐมนตรีอิรักกล่าวหาว่าไม่ได้ให้การสนับสนุนมากพอในการช่วยแบกแดดผลักดันนักรบกบฏกลุ่มนี้ออกไป

    “ในตอนเริ่มปฏิบัติการดังกล่าว เราบอกว่ามันจะต้องใช้เวลา” เขากล่าว “เราได้คิดแผนการ 3 ปีขึ้นมา และเราดำเนินตามแผนการนี้มา 9 เดือนแล้ว”

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “อิสราเอล” บอมบ์ค่ายกลุ่มติดอาวุธในกาซา หลังถูกยิงจรวดใส่
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 มิถุนายน 2558 09:50 น. (แก้ไขล่าสุด 4 มิถุนายน 2558 10:48 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์ – อิสราเอลทิ้งระเบิดใส่ค่ายฝึกของกลุ่มติดอาวุธ 3 ค่ายในวันนี้ (4) เพื่อเป็นการตอบโต้หลังจากที่ถูกยิงจรวดใส่จากฉนวนกาซา และกลุ่มอิสลามิสต์หัวรุนแรงกลุ่มหนึ่งที่ฝักใฝ่กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อการโจมตีดังกล่าวใส่รัฐยิวแล้ว

    ผู้เห็นเหตุการณ์และแพทย์ ระบุว่า การโจมตีก่อนฟ้าสางดังกล่าวใส่ค่าย 2 ค่ายของกลุ่มฮามาสซึ่งปกครองฉนวนกาซาและกลุ่มอิสลามิกญิฮาดได้ก่อให้เกิดความเสียหายบางส่วนแต่ไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตาย

    กองทัพอิสราเอลได้ออกมายืนยันการจู่โจมดังกล่าวแล้วโดยระบุว่า การตอบโต้ดังกล่าวได้ “โจมตีโครงสร้างพื้นฐาน 3 แห่งของกลุ่มก่อการร้ายในฉนวนกาซา” และเสริมว่า “เป้าหมายดังกล่าวถูกโจมตีแล้ว”

    จรวดดังกล่าวที่พุ่งเป้ายังเมืองแอชคีลอนและเมืองเนติวอตของอิสราเอลเป็นการยิงโจมตีใส่รัฐยิวครั้งที่ 2 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีขึ้นหลังจากที่การยิงข้ามพรมแดนเช่นนี้ขาดช่วงไปนานนับตั้งแต่สงคราม 50 วันระหว่างอิสราเอลกับฮามาสยุติลงด้วยข้อตกลงสงบศึกที่มีอียิปต์เป็นคนกลางในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

    กลุ่มอิสลามิสต์นิกายซาลาฟีหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่งได้โพสต์ถ้อยแถลงบนทวิตเตอร์ที่อ้างความรับผิดชอบต่อการยิงจรวดดังกล่าว โดยกลุ่มนี้ซึ่งเรียกตนเองว่า โอมาร์ บริเกดส์ (Omar Brigades) ระบุว่า การยิงจรวดดังกล่าวเมื่อวันพุธ (3) เป็นการแก้แค้นให้กับการสังหารผู้สนับสนุนกลุ่มไอเอสรายหนึ่งของกลุ่มฮามาสที่ถูกยิงที่ฉนวนกาซาในวันเดียวกัน

    “เราจะเดินหน้าทำญิฮาดกับพวกยิวต่อไป คนพวกนี้เป็นศัตรูของพระเจ้าและไม่มีใครจะสามารถขัดขวางพวกเราได้” ถ้อยแถลง ระบุ โดยใช้คำศัพท์ในภาษาอาหรับที่มีความหมายว่าสงครามศักดิ์สิทธิ์

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลุ่มติดอาวุธในกาซาได้ทำการยิงจรวดเข้าไปในอิสราเอลลึกที่สุดนับตั้งแต่สงคราม 50 วันเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว โดยตกกระทบใกล้กับเมืองท่าแอชดอด

    อิสราเอลกล่าวโทษว่าการยิงจรวดครั้งดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มติดอาวุธอิสลามิกญิฮาด และตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศหลังจากนั้นด้วยเช่นกัน

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000063213
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กระแสกลัว “MERS” เกาหลีใต้ขยายวง โรงเรียนปิดเพิ่มเป็นกว่า 700 แห่ง นทท. หลายพันยกเลิกทริป โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 มิถุนายน 2558 10:49 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – โรงเรียนในเกาหลีใต้ปิดการสอนอีกกว่าหลายร้อยแห่งในวันนี้ (4) ขณะที่ทางการกำลังพยายามบรรเทาความหวั่นวิตกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสกลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง ((Middle East Respiratory Syndrome) หรือ MERS ซึ่งทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้ว 35 ราย เสียชีวิต 2 ราย และเป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวหลายพันคนตัดสินใจยกเลิกแผนการเดินทาง

    สถาบันการศึกษากว่า 700 แห่ง ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลจนถึงวิทยาลัย ได้ปิดการเรียนการสอนแล้วในตอนนี้จากกระแสความหวั่นวิตกของสาธารณะชนเกี่ยวกับสิ่งที่ได้กลายเป็นการระบาดที่ใหญ่ที่สุดของเชื้อไวรัส MERS นอกซาอุดีอาระเบีย

    ในวันนี้ (4) มีการยืนยันว่ามีผู้ป่วยเพิ่มอีก 5 ราย ทำให้ยอดรวมของผู้ติดเชื่ออยู่ที่ 35 ราย กระทรวงสาธารณสุข ระบุ

    ผู้ติดเชื้อรายแรก ซึ่งมีการรายงานเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม เป็นชายวัย 68 ปีที่ได้รับการวินิจฉัยหลังจากเดินทางกลับมาจากซาอุดีอาระเบีย

    นับตั้งแต่นั้นมา คนกว่า 1,300 คนที่อาจสัมผัสกับเชื้อไวรัสทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ถูกจัดให้อยู่ภายใต้การกักโรคในระดับที่ต่างกันออกไป บางคนถูกแยกเดียวในสถานที่ที่ทางการจัดไว้ให้ ขณะที่หลายคนได้รับการกำชับให้อยู่แต่ในบ้าน

    ในกรุงโซล ความกังวลของสาธารณะชนที่เพิ่มมากขึ้นโดยเห็นได้จากจำนวนของผู้สวมหน้ากากบนรถบัสและรถไฟใต้ดินที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน

    ความวิตกกังวลดังกล่าวไม่ได้มีอยู่แค่ภายในประเทศเท่านั้น องค์การการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Organisation หรือ KTO) รายงานในวันนี้ (4) ว่า นักท่องเที่ยวกว่า 7,000 คน ส่วนมากจากจีนและไต้หวัน ยกเลิกแผนการเดินทางมายังแดนกิมจิ

    “การยกเลิกเป็นจำนวนมากขนาดนี้เป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง และนักเดินทางจำนวนมากยกเรื่องการระบาดของ MERS มาเป็นเหตุผลหลัก” โฆษกของ KTO บอกกับเอเอฟพี

    คณะบริหารของประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วไปถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการที่พวกเขาตอบสนองต่อการระบาดในระยะแรกช้าเกินไป

    ในการประชุมฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเมื่อวานนี้ (3) พัค เรียกร้องให้ใช้ “ความพยายามสูงสุด” ในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้และบรรเทาความกลัวของสาธารณะชน

    ในตอนนี้มีผู้ติดเชื้อไวรัส MERS แล้ว 1,161 คนทั่วโลก เสียชีวิตแล้ว 436 ราย ประเทศที่ได้รับผลกระทบมีมากกว่า 20 ประเทศ และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย

    โรค MERS ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีหนทางรักษาหรือวัคซีน ถือว่าเป็นอันตรายน้อยกว่าโรคติดต่อในตระกูลเดียวกันอย่างเชื้อไวรัสกลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome) หรือโรค SARS ที่คร่าชีวิตคนหลายร้อยในช่วงที่มันระบาดหนักในเอเชียเมื่อปี 2003

    องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกในเกาหลีใต้ แต่ย้ำว่า “ไม่มีหลักฐานของการแพร่เชื้ออย่างต่อเนื่องในชุมชน”

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000063234
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คปพ.เสนอทางออกแหล่งเอราวัณ-บงกช หมดอายุ แนะเปิดประมูล 5 แปลงมีศักยภาพล่อให้ยอมแก้สัญญา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 21:39 น. (แก้ไขล่าสุด 4 มิถุนายน 2558 10:16 น.)

    [​IMG]
    @นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล (ภาพจากแฟ้ม)

    “ธีระชัย” เผย คปพ. เสนอแนวทางแก้ปัญหาแหล่งก๊าซเอราวัณ-บงกช ใกล้หมดอายุ แนะรัฐบาลจูงใจบริษัทเดิมด้วยการเปิดประมูล 5 แปลงที่มีศักยภาพ ด้วยระบบแบ่งปันผลผลิต โดยมีเงื่อนไขว่าต้องยอมแก้สัญญาเดิมก่อน เพื่อเปิดทางให้รัฐส่งคนลงพื้นที่เตรียมการก่อนหมดอายุ

    วันนี้ (3 มิ.ย.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะคณะกรรมการเครือข่ายประชาชน ปฏิรูปพลังงาน หรือ คปพ. ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala” ว่า

    “วิธีแก้ปัญหา 2 แปลงที่กำลังจะหมดอายุ คปพ. เสนอว่า รัฐบาลควรให้สิ่งจูงใจบริษัทเดิม ให้ยินยอมแก้ไขสัญญาสัมปทานเพื่อเปิดให้รัฐบาลสามารถส่งคนเข้าพื้นที่ เตรียมการ 5 ปีก่อนหมดอายุ ดังนี้

    1. นำ 5 แปลงที่กระทรวงพลังงานเคยแถลงว่ามีศักยภาพ ออกประมูลในระบบแบ่งปันผลผลิตทันที คือ G3/57 G4/57 G5/57A G5/57B และ G6/57

    2. บริษัทที่สนใจประมูล ต้อง pre-qualify โดยทุกบริษัทในกลุ่ม ต้องยอมแก้ไขสัญญาเดิมก่อน

    3. ในการประมูล ผู้เสนอส่วนแบ่งให้รัฐบาลไทยสูงสุดชนะ

    4. ให้ ปตท.สผ. ในฐานะบริษัทไทย แสดงบทบาทผู้นำ โดยแก้ไขสัญญาเป็นคนแรก

    การดำเนินการตาม 1-4 จะทำให้รัฐบาลมีแหล่งปิโตรเลียมใหม่ เพิ่มอำนาจต่อรองของรัฐบาล

    ส่วน 2 แปลง เอราวัณ/บงกช ให้นำออกเปิดประมูลแบ่งปันผลผลิตในลำดับถัดไป และให้รัฐบาลกำหนดงื่อนไข pre-qualify เหมือนกัน ถ้าเชฟรอนต้องการเข้าร่วมประมูล ก็ต้องยอมแก้ไขสัญญาก่อน ส่วน ปตท.สผ. ต้องขอให้แสดงบทบาทผู้นำอีกเช่นกัน

    สำหรับอุปกรณ์ที่จะตกเป็นของรัฐบาลไทย ใน 2 แปลงดังกล่าว ให้รัฐบาลจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ 2 ราย ตีราคา แล้วใช้ตัวเลขเฉลี่ยอุปกรณ์นี้ ให้รัฐบาลไทยกำหนดเป็นเงื่อนไข ไม่ว่าใครชนะประมูล ผู้ชนะไม่ว่ารายใด จะต้องยินยอมให้รัฐบาลไทยเข้าร่วมถือหุ้น โดยใช้อุปกรณ์นี้ ตีเป็นทุน ตามมูลค่าเฉลี่ยดังกล่าว

    คปพ. เสนอให้ใช้ ม.44 เพื่อการนี้ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่สมฐานะของมาตรานี้ มากกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยใช้มา รวมถึงสลากกินแบ่งด้วย ข้อเสนอของ คปพ. จะมีผลดังต่อไปนี้

    1. การผลิตก๊าซจะต่อเนื่อง ไม่มีการสะดุด

    2. รัฐบาลจะไม่ต้องถูกบังคับต้องเจรจาเฉพาะกับบริษัทเดิม โดยไม่มีการแข่งขัน

    3. ประชาชนมั่นใจได้ว่ารัฐบาลจะได้ประโยชน์สูงสุดที่พึงได้ เพราะมีการแข่งขันโปร่งใส

    4. เป็นการแก้ปัญหาโดยอิงสิ่งจูงใจทางธุรกิจ ไม่ใช่การบีบบังคับอย่างไร้เหตุผล

    5. เป็นธรรมทั้งแก่บริษัทเดิม และแก่รัฐบาล

    6. รัฐบาลสามารถใช้สูตรนี้ กับสัมปทานอื่นๆ ที่จะหมดอายุ

    7. ป้องกันข้อครหาว่าอาจมีการเลือกปฏิบัติ

    ถ้ารัฐบาลจะไม่ดำเนินการตามข้อเสนอนี้ ก็ต้องอธิบายประชาชาให้ชัดว่าข้อเสนอของ คปพ. ไม่ดีตรงไหน ทำไมจะไม่ใช้”

    อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง คปพ.เสนอทางออกพลังงานถึงนายกฯ พรุ่งนี้ - วอนใช้ ม.44 ประมูลปิโตรเลียมระบบแบ่งปันผลผลิต

    http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000063134

    คปพ.เสนอทางออกพลังงานถึงนายกฯ พรุ่งนี้ - วอนใช้ ม.44 ประมูลปิโตรเลียมระบบแบ่งปันผลผลิต โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 18:39 น. (แก้ไขล่าสุด 4 มิถุนายน 2558 09:33 น.)

    เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทยเตรียมยื่นข้อเสนอถึงนายกฯ จี้ใช้ ม.44 กำหนดหลักเกณฑ์ประมูลปิโตรเลียมด้วยระบบแบ่งปันผลผลิตในแปลงที่มีศักยภาพ ให้ผู้ร่วมประมูลปรับเงื่อนไขสัมปทานเดิมของบริษัทในกลุ่มของตน เพื่อให้การผลิตดำเนินต่อไปได้โดยไม่ลดผลผลิต หรือขาดตอน ให้ ปตท.สผ. ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ทำเป็นตัวอย่าง พร้อมนำร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมของภาคประชาชน ประกบร่างของกระทรวงพลังงาน ทำประชาพิจารณ์ ก่อนเสนอ สนช. เห็นชอบ

    วันนี้ (3 มิ.ย.) เวลา 14.00 น. ที่โรงแรมเอเชีย ตัวแทนเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) อาทิ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา นายคมสัน โพธิ์คง นางบุญยืน ศิริธรรม ได้ร่วมกันแถลงข่าว “ข้อเสนอทางออกเพื่อฝ่าวิกฤตพลังงานไทย” เพื่อเสนอทางออกของ คปพ. 3 ประเด็น ได้แก่ ข้อเสนอการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมที่จะหมดอายุในอีก 6 - 7 ปีข้างหน้า ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติกิจกรรมปิโตรเลียมฉบับใหม่ของ คปพ. และติดตามผลข้อเสนอของ คปพ.ในเรื่องการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน

    ทั้งนี้ คปพ. จะยื่นหนังสือข้อเสนอถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล) ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 4 มิ.ย. นี้ โดยมีเนื้อหาสำคัญโดยสรุป 6 ข้อด้วยกัน ประกอบด้วย

    1. ให้รัฐบาลเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 สั่งประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การเปิดการประมูลแข่งขันผลตอบแทนสูงสุดให้แก่รัฐในการผลิตปิโตรเลียมโดยใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตเฉพาะแปลงที่มีศักยภาพสูงตามรายงานของกระทรวงพลังงาน โดยเฉพาะพื้นที่ทะเลในอ่าวไทย 5 แปลง เพื่อเพิ่มหลักประกันว่าประเทศไทยจะมีการผลิตก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับเวลาการหมดอายุสัมปทานในปี พ.ศ. 2565 และ พ.ศ. 2566 ได้แก่ จี 3/57, จี 4/57, จี 5/57, จี 5/57 เอ, จี 5/57 บี และ จี 6/57

    หลังจากนั้น ให้มีการประมูลการให้ผลตอบแทนสูงสุดในระบบแบ่งปันผลผลิต เพื่อจัดหาผู้ประกอบกิจการปิโตรเลียมในแปลงผลิตปิโตรเลียมที่กำลังจะหมดอายุในปี พ.ศ. 2565 และ พ.ศ. 2566 อันได้แก่ หมายเลขบี 10 หมายเลขบี 11 หมายเลขบี 12 และหมายเลขบี 13 ในแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณและข้างเคียง และแปลงผลิตปิโตรเลียมหมายเลขบี 15 หมายเลขบี 16 และหมายเลขบี 17 ในแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะมีการผลิตปิโตรเลียมในแปลงสัมปทานที่หมดอายุลงทุกแปลง

    2. ภายใต้รัฐธรรมนูญมาตรา 44 ตามข้อ 1 ให้ผู้มีสิทธิเข้าร่วมประมูลตามข้อ 1 จะต้องยินยอมปรับปรุงเงื่อนไขของสัญญาสัมปทานเดิมของบริษัทในกลุ่มของตนทุกบริษัท เพื่อให้การผลิตดำเนินต่อไปได้โดยไม่ลดผลผลิตหรือขาดตอน ให้อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องจักรทั้งหมดตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐโดยปราศจากการครอบครองและการรอนสิทธิใดๆ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสามารถนำทรัพย์สินที่จะได้กลับคืนมาดำเนินการประเมินมูลค่าเพื่อนำมาใช้เป็นสัดส่วนการลงทุนของรัฐบาลในการเปิดประมูลในระบบแบ่งปันผลผลิตของแปลงปิโตรเลียมนั้นๆ ได้ รวมทั้งให้รัฐบาลสามารถเข้าไปในพื้นที่เพื่อรับมอบการโอนถ่ายการผลิตปิโตรเลียมก่อนหมดอายุสัมปทานเพื่อสร้างเงื่อนไขนำอำนาจต่อรองกลับคืนมาเป็นของรัฐบาล

    3. อาศัยจากการที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สั่งการให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) สั่งการให้ บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) แก้ไขสัญญาให้รัฐบาลสามารถเข้าไปในพื้นที่และถ่ายโอนสิทธิและทรัพย์สินการผลิตปิโตรเลียมให้รัฐบาลก่อนล่วงหน้า 5 ปี เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับการรักษากำลังการผลิตในแหล่งบงกชให้ได้ตามเดิมประมาณ 870 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยไม่มีผลเสียหายต่อผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้รับสัมปทานรายอื่นๆ ต่อไป

    4. เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาพลังงานปิโตรเลียมเป็นหลักไปสู่การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น โดยที่ประเทศไม่ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในยามที่การผลิตก๊าซธรรมชาติอาจลดลง และเพื่อแก้ไขปัญหานโยบายการสนับสนุนให้ใช้พลังงานหมุนเวียนในช่วงที่ผ่านมาของกระทรวงพลังงานซึ่งมีข้อบกพร่องนานาประการ ขอเสนอให้นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งกำหนดเป็นนโยบายให้กระทรวงพลังงานปรับปรุงนโยบายอุดหนุนราคาการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนทุกระบบให้เท่ากันหมด และให้ยกเลิกกรอบจำกัดหรือเป้าหมายการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนในแต่ละประเภท เพื่อให้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนประเภทที่มีต้นทุนถูกที่สุดได้รับการพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติและมีการแข่งขันตามกลไกตลาดเสรีอย่างเต็มที่ โดยเสนอกำหนดให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า(ADDER) ทุกระบบเริ่มต้นจาก 1.50 บาทต่อหน่วยไฟฟ้า (กิโลวัตต์ - ชั่วโมง) ซึ่งราคาดังกล่าวนี้จะไม่ก่อภาระค่าใช้จ่ายมากเกินไปแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ

    5. เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.... ซึ่งเสนอโดยกระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558 ซึ่งร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ได้จัดทำอย่างเร่งรีบ และเกิดขึ้นก่อนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้ พระราชบัญญัติ ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การกระทำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ของกระทรวงพลังงานที่ได้รับความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีนั้น ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ขาดความโปร่งใส และขาดความจริงใจในการปฏิรูปพลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีข้อบกพร่องหลายประการที่อาจจะทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียหาย ซึ่งขัดแย้งกับการเกษียณหนังสือของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558 ที่ได้แจ้งให้เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ทราบว่า “ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในความโปร่งใสและเป็นธรรม”

    บัดนี้เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติ การประกอบกิจการปิโตรเลียม พ.ศ.... ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของภาคประชาชน และสอดคล้องกับเอกสาร กรอบความเห็นร่วมปฏิรูประเทศไทยด้านพลังงาน จัดทำโดยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ในนามคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ ของ คสช. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการ ร่างพระราชบัญญัติ ประกอบกิจการปิโตรเลียม ฉบับใหม่ ของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) เพื่อนำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไปประกบเปรียบเทียบ กับร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียมของกระทรวงพลังงาน โดยการทำประชาพิจารณ์ แล้วส่งต่อให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบตราเป็นพระราชบัญญัติฉบับใหม่ต่อไป ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติ ประกอบกิจการปิโตรเลียม ของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้ยึดหลักในการสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนเป็นสำคัญ

    6. ตามที่เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้ทำหนังสือยื่นข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2558 ไปแล้วนั้น เมื่อได้ตรวจสอบและติดตามผล พบว่ายังมิได้มีการตอบสนองตามข้อเสนออย่างเป็นรูปธรรมแต่ประการใด จึงขอเรียกร้องให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี แสดงความจริงใจ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในความโปร่งใสและเป็นธรรม ได้โปรดพิจารณาสั่งการตามข้อเสนอดังกล่าวต่อไป

    รายละเอียดหนังสือ เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน เสนอต่อนายกรัฐมนตรี

    เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย
    ๑๐๒/๑ บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์
    แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร
    กรุงเทพ ๑๐๒๐๐
    ที่ คปพ. ๐๐๗/๒๕๕๘

    วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘

    เรื่อง ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติในอีก ๖ ปีข้างหน้า

    กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล)

    อ้างถึง หนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ด่วนมาก ที่ นร ๐๑๐๕.๐๕/๓๕๙๙ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘

    สิ่งที่ส่งมาด้วย
    ๑. ร่างคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ .../๒๕๕๘ เรื่องการจัดหาทรัพยากรปิโตรเลียมในราชอาณาจักร
    ๒. ร่างพระราชบัญญัติ การประกอบกิจการปิโตรเลียม พ.ศ....

    ตามหนังสือที่อ้างถึง ผู้แทนเครือข่ายประชาชนปฎิรูปพลังงานไทย(คปพ.) ที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้สรุปผลการประชุม เพื่อประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายทางพลังงานของประเทศ นำกราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้รับทราบมีบัญชาเห็นชอบให้ดำเนินการตามผลการประชุม อีกทั้งยังขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในความโปร่งใสและเป็นธรรมดังความทราบแล้วนั้น

    เครือข่ายประชาชนปฎิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ขอขอบคุณ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่รับฟังและให้ความสำคัญในข้อมูล ข้อเสนอแนะ และทางออกด้านพลังงานของภาคประชาชนในช่วงเวลาที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่มีข่าวปรากฏว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้วางกรอบแนวทางศึกษารูปแบบการพิจารณาแปลงสัมปทานปิโตรเลียม ที่รัฐบาลไทยได้ให้ความเห็นชอบแก่ผู้รับสัมปทานหลายบริษัท ในแหล่งปิโตรเลียมบงกช และเอราวัณ ภายใต้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ซึ่งได้ต่ออายุสัญญาสัมปทานครั้งสุดท้ายไปแล้ว จึงไม่สามารถต่ออายุสัมปทานได้อีกตามกฎหมาย และสัมปทานดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และ พ.ศ. ๒๕๖๖ เป็นที่น่าสังเกตว่า การต่อสัญญาครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา กลับมิได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้รัฐบาลสามารถเข้าพื้นที่เพื่อทำการแทนหรือทำการโอนถ่ายการผลิตปิโตรเลียมก่อนสิ้นสุดอายุการต่อสัญญาได้ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ก่อนสิ้นสุดสัญญา

    ดังนั้น เมื่อสิ้นสุดสัญญาลงอาจทำให้การผลิตปิโตรเลียมในแหล่งเอราวัณและบงกชขาดช่วงไปจนเกิดวิกฤติการขาดแคลนพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งบงกช และเอราวัณที่กำลังจะหมดอายุสัมปทานลงมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติรวมกันสูงถึงประมาณ ๒,๑๑๐ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดคำนวณเป็นปริมาณก๊าซกว่าร้อยละ ๕๐ ของปริมาณการผลิตทั้งประเทศ จากความไม่รอบคอบรัดกุมในการต่อสัญญาในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงทำให้เกิดความเสี่ยงในความต่อเนื่องของการผลิตก๊าซในอนาคต ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่กับความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้าจนอาจต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศในราคาแพง สร้างความเดือดร้อนให้แก่ ประชาชนเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขาดการวางแผนการบริหารจัดการพลังงานที่ดี

    จากกรณีดังกล่าว ส่งผลให้อำนาจต่อรองของภาครัฐในการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนลดลง และทำให้ผู้รับสัมปทานบางบริษัท มีอำนาจต่อรองสูงขึ้นเหนือความมั่นคงของชาติ ส่งผลให้รัฐบาลอาจต้องยอมจำนนหรือถูกกดดันให้ด่วนตัดสินใจเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ ๒๑ เพื่อเร่งจัดหาปิโตรเลียมทดแทน โดยปราศจากการประมูล หรือนายกรัฐมนตรีอาจถูกกดดันให้ต้องใช้มาตรา ๔๔ (รัฐธรรมนูญชั่วคราว) เพื่อมีคำสั่งต่ออายุการผลิต หรือให้สิทธิในการผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ไม่ว่าในระบบสัมปทานหรือระบบแบ่งปันผลผลิตให้กับผู้รับสัมปทานรายเดิมเหล่านี้ โดยปราศจากการประมูลแข่งขันกันอย่างโปร่งใส หรือรัฐบาลไทยอาจถูกกดดันให้ต้องเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยกับประเทศเพื่อนบ้านโดยปราศจากความถูกต้องในเรื่องเส้นทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจำเพาะ และพื้นที่ซึ่งอ้างว่าทับซ้อน เพื่อตอบสนองอำนาจต่อรองของบริษัทผู้รับสัมปทานที่มีมากกว่ารัฐบาลไทย

    กระทรวงพลังงานเองก็ได้กล่าวยอมรับอย่างเปิดเผยแล้วว่าหลังหมดอายุสัมปทานลง แปลงปิโตรเลียมทั้งแหล่งเอราวัณและบงกชยังคงมีศักยภาพที่จะผลิตปิโตรเลียมได้อีกอย่างน้อย ๑๐ ปี ดังนั้นหากรัฐบาลยอมจำนนหรือถูกกดดันให้ตัดสินใจบนความต้องการและอำนาจต่อรองที่สูงกว่าของผู้รับสัมปทานรายเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น จะทำให้ประเทศไทยขาดโอกาสที่จะเปิดประมูลเพื่อจ้างเอกชนผลิตปิโตรเลียมหลังหมดอายุสัมปทานในแปลงที่ได้มีการผลิตปิโตรเลียมอยู่จริงในปัจจุบันและยังมีศักยภาพสูงในอนาคตเพื่อให้ปิโตรเลียมเหล่านั้นตกเป็นสมบัติของชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันยังทำให้ประเทศไทยขาดโอกาสเปิดประมูลในระบบแบ่งปันผลผลิตหรือในการจ้างผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงใหม่ไปด้วย การที่ประเทศไทยสูญเสียโอกาสและอำนาจต่อรองให้แก่ผู้รับสัมปทานเช่นนี้ จะนำไปสู่การสูญเสียความมั่นคงทางเศรษฐกิจและอธิปไตยทางพลังงาน โดยไม่สามารถรักษาผลประโยชน์สูงสุดของชาติและประชาชนอย่างแท้จริงได้ ตลอดจนอาจเป็นบรรทัดฐานหรือเป็นข้ออ้างในการเอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้รับสัมปทานรายอื่นๆ ที่สัญญากำลังทยอยหมดอายุในอนาคตได้สิทธิผลิตปิโตรเลียม โดยปราศจากการประมูลแข่งขันไปโดยปริยาย เพียงอาศัยเงื่อนไขและสถานการณ์ในปัจจุบัน หรือหากมีการเร่งเจรจาเพื่อผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย อาจนำไปสู่การสูญเสียอธิปไตย ทะเลอาณาเขต หรือเขตเศรษฐกิจจำเพาะในพื้นที่ซึ่งอ้างว่าทับซ้อนในอ่าวไทยตามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันอันเกินกว่าความเป็นจริงไปอย่างมาก

    จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย(คปพ.) มีความเห็นว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยต้องสร้างเงื่อนไขอันชอบธรรมเพื่อนำอำนาจต่อรองกลับคืนมา อันจะนำไปสู่การสร้างทางเลือกในการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งความมั่นคงด้านพลังงานของชาติ จึงใคร่ขอเสนอแนวทางในการหาทางออกให้กับประเทศไทยดังต่อไปนี้

    ๑. ให้รัฐบาลเสนอต่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใช้อำนาจโดยอาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๔ มีคำสั่งประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การเปิดการประมูลแข่งขันผลตอบแทนสูงสุดให้แก่รัฐในการผลิตปิโตรเลียมโดยใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตเฉพาะแปลงที่มีศักยภาพสูงตามรายงานของกระทรวงพลังงาน โดยเฉพาะพื้นที่ทะเลในอ่าวไทย ๕ แปลง เพื่อเพิ่มหลักประกันว่าประเทศไทยจะมีการผลิตก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับเวลาการหมดอายุสัมปทานในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และ พ.ศ. ๒๕๖๖ ได้แก่ จี ๓/๕๗, จี ๔/๕๗, จี ๕/๕๗ เอ, จี ๕/๕๗ บี และจี ๖/๕๗ ซึ่งจากรายงานของกระทรวงพลังงานที่ได้แจ้งต่อผู้ที่จะประสงค์รับสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ ๒๑ ว่าด้วยศักยภาพปิโตรเลียมของอ่าวไทย เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ว่าทั้ง ๕ แปลงดังกล่าวคาดว่าจะมีน้ำมันรวมทั้งสิ้น ๑๗๙ ล้านบาร์เรล และจะมีก๊าซธรรมชาติ ๑.๒๖ ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือประมาณการผลิตก๊าซเฉลี่ยอย่างน้อยวันละ ๑๒๗ ล้านลูกบาศก์ฟุต ตลอดอายุสัญญาการแบ่งปันผลผลิต ๒๐ ปี

    หลังจากนั้น ให้มีการประมูลการให้ผลตอบแทนสูงสุดในระบบแบ่งปันผลผลิต เพื่อจัดหาผู้ประกอบกิจการปิโตรเลียมในแปลงผลิตปิโตรเลียมที่กำลังจะหมดอายุในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และ พ.ศ. ๒๕๖๖ อันได้แก่ หมายเลขบี ๑๐ หมายเลขบี ๑๑ หมายเลขบี ๑๒ และหมายเลขบี ๑๓ ในแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณและข้างเคียง และแปลงผลิตปิโตรเลียมหมายเลขบี ๑๕ หมายเลขบี ๑๖ และหมายเลขบี ๑๗ ในแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะมีการผลิตปิโตรเลียมในแปลงสัมปทานที่หมดอายุลงทุกแปลง แปลงสัมปทานเหล่านี้จะยังคงผลิตก๊าซธรรมชาติรวมกันสูงถึงประมาณ ๒,๑๑๐ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันอยู่เช่นเดิม

    ๒. ภายใต้รัฐธรรมนูญมาตรา ๔๔ ตามข้อ ๑ ให้ผู้มีสิทธิเข้าร่วมประมูลตามข้อ ๑ จะต้องยินยอมปรับปรุงเงื่อนไขของสัญญาสัมปทานเดิมของบริษัทในกลุ่มของตนทุกบริษัท เพื่อให้การผลิตดำเนินต่อไปได้โดยไม่ลดผลผลิตหรือขาดตอน ให้อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องจักรทั้งหมดตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐโดยปราศจากการครอบครองและการรอนสิทธิใดๆ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสามารถนำทรัพย์สินที่จะได้กลับคืนมาดำเนินการประเมินมูลค่าเพื่อนำมาใช้เป็นสัดส่วนการลงทุนของรัฐบาลในการเปิดประมูลในระบบแบ่งปันผลผลิตของแปลงปิโตรเลียมนั้นๆ ได้ รวมทั้งให้รัฐบาลสามารถเข้าไปในพื้นที่เพื่อรับมอบการโอนถ่ายการผลิตปิโตรเลียมก่อนหมดอายุสัมปทานเพื่อสร้างเงื่อนไขนำอำนาจต่อรองกลับคืนมาเป็นของรัฐบาลจากผู้รับสัมปทานรายเดิม ซึ่งภายใต้ข้อเสนอนี้เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย(คปพ.) ได้เสนอร่างคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ .../๒๕๕๘ เรื่อง การจัดหาทรัพยากรปิโตรเลียมในราชอาณาจักร มาเพื่อพิจารณาแล้ว(ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๑)

    ทั้งนี้ เพื่อให้อำนาจต่อรองกลับมาเป็นของรัฐให้มากที่สุด เห็นควรให้จัดประมูลเฉพาะ ๕ แปลงใหม่ที่มีศักยภาพในอ่าวไทยก่อนเป็นลำดับแรก และให้จัดประมูลแปลงปิโตรเลียมในแหล่งบงกชและเอราวัณที่จะหมดอายุในอีก ๖ - ๗ ปีข้างหน้า เป็นลำดับต่อไป ทั้งนี้เพราะผู้ที่ได้รับสัมปทานในแหล่งบงกชและเอราวัณที่กำลังจะหมดอายุนั้น ต่างมีแปลงสัมปทานติดกับแปลงปิโตรเลียม ๕ แปลงใหม่ดังกล่าวทั้งสิ้น จึงทำให้ได้เปรียบในทางธุรกิจมากกว่าผู้ประมูลรายอื่นอยู่แล้ว

    หากผู้รับสัมปทานเหล่านี้สละสิทธิ์ไม่แก้ไขสัญญาสัมปทานเดิม จะทำให้ไม่เพียงแต่สูญเสียโอกาสในการเข้าร่วมประมูลใน ๕ แปลงใหม่ที่ติดกับแปลงสัมปทานเดิมของตนเองเท่านั้น แต่จะยังผลทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมประมูลในแหล่งบงกชและเอราวัณในลำดับต่อไปอีกด้วย ซึ่งจะเป็นผลทำให้อำนาจต่อรองของรัฐสูงขึ้นไปโดยปริยาย

    ๓. อาศัยจากการที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สั่งการให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) สั่งการให้ บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) แก้ไขสัญญาให้รัฐบาลสามารถเข้าไปในพื้นที่และถ่ายโอนสิทธิและทรัพย์สินการผลิตปิโตรเลียมให้รัฐบาลก่อนล่วงหน้า ๕ ปี เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับการรักษากำลังการผลิตในแหล่งบงกชให้ได้ตามเดิมประมาณ ๘๗๐ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยไม่มีผลเสียหายต่อผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้รับสัมปทานรายอื่นๆ ต่อไป

    ๔. เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาพลังงานปิโตรเลียมเป็นหลักไปสู่การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น โดยที่ประเทศไม่ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในยามที่การผลิตก๊าซธรรมชาติอาจลดลง และเพื่อแก้ไขปัญหานโยบายการสนับสนุนให้ใช้พลังงานหมุนเวียนในช่วงที่ผ่านมาของกระทรวงพลังงานซึ่งมีข้อบกพร่องนานาประการ ไม่สอดคล้องกับหลักความเป็นธรรม ไม่เกิดการแข่งขัน อีกทั้งเป็นการใช้ดุลยพินิจส่วนบุคคลที่จะสนับสนุนในเทคโนโลยีอันหนึ่งอันใดอย่างไม่มีเหตุผลทางวิชาการรองรับที่สะท้อนความเป็นจริง ทำให้การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเป็นไป โดยล่าช้าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว จึงใคร่ขอเสนอให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งกำหนดเป็นนโยบายให้กระทรวงพลังงานปรับปรุงนโยบายอุดหนุนราคาการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนทุกระบบให้เท่ากันหมด และให้ยกเลิกกรอบจำกัด หรือเป้าหมายการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนในแต่ละประเภท เพื่อให้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนประเภทที่มีต้นทุนถูกที่สุดได้รับการพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติและมีการแข่งขันตามกลไกตลาดเสรีอย่างเต็มที่ โดยเสนอกำหนดให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า(ADDER) ทุกระบบเริ่มต้นจาก ๑.๕๐ บาทต่อหน่วยไฟฟ้า (กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ซึ่งราคาดังกล่าวนี้จะไม่ก่อภาระค่าใช้จ่ายมากเกินไปแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้โดยคำนึงถึงสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ

    เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) เห็นว่า หากพิจารณาปัจจัยเชิงพื้นที่ ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อทดแทนพลังงานปิโตรเลียมอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น เพียงแค่พลังงานจากชีวมวลอย่างเดียวก็สามารถทดแทนพลังงานปิโตรเลียมได้ถึง ๔๐,๐๐๐ เมกะวัตต์ เทียบเท่ากับก๊าซธรรมชาติ ๘,๗๖๗ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ใกล้เคียงกับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และเพียงพอกับการใช้ไฟฟ้าของทั้งประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพาการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอย่างรุนแรงอีกต่อไป

    ๕. เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนในด้านพลังงาน จึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม โดยมีเจตนารมณ์ให้การผลิตและจำหน่ายปิโตรเลียมมีความโปร่งใส ชอบธรรมและเป็นธรรมแก่ประชาชนในการใช้พลังงาน รวมทั้งทำให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของชาติ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.... ซึ่งเสนอโดยกระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งร่างกฎหมายทั้ง ๒ ฉบับนี้ได้จัดทำอย่างเร่งรีบ และเกิดขึ้นก่อนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้ พระราชบัญญัติ ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ และพระราชบัญญัติ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การกระทำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าร่างกฎหมายทั้ง ๒ ฉบับ ของกระทรวงพลังงานที่ได้รับความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีนั้น ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ขาดความโปร่งใส และขาดความจริงใจในการปฏิรูปพลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีข้อบกพร่องหลายประการที่อาจจะทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียหาย ซึ่งขัดแย้งกับการเกษียณหนังสือของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ได้แจ้งให้เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย(คปพ.) ทราบว่า “ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในความโปร่งใสและเป็นธรรม”

    บัดนี้เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติ การประกอบกิจการปิโตรเลียม พ.ศ.... (ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๒) ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของภาคประชาชน และสอดคล้องกับเอกสาร กรอบความเห็นร่วมปฏิรูประเทศไทย ด้านพลังงาน จัดทำโดยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ในนามคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ ของ คสช. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการ ร่างพระราชบัญญัติ ประกอบกิจการปิโตรเลียม ฉบับใหม่ ของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) เพื่อนำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไปประกบเปรียบเทียบ กับร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียมของกระทรวงพลังงาน โดยการทำประชาพิจารณ์ แล้วส่งต่อให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบตราเป็นพระราชบัญญัติฉบับใหม่ต่อไป ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติ ประกอบกิจการปิโตรเลียม ของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้ยึดหลักในการสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนเป็นสำคัญ คือ

    ๕.๑ เป็นกฎหมายที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ (หมายถึง การสำรวจและการผลิต) กลางน้ำ(หมายถึง การขนส่งและเก็บรักษา โรงแยกก๊าซ โรงกลั่นน้ำมัน) ไปจนถึงปลายน้ำ (หมายถึง การจำหน่ายให้แก่ประชาชน) เพื่อให้การทำธุรกิจปิโตรเลียมทุกขั้นตอนมีความพร้อมสำหรับการค้าระหว่างประเทศมากขึ้นสำหรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
    ๕.๒ เปิดให้มีทางเลือกเพิ่มขึ้น ในรูปของการแบ่งปันผลผลิตและการจ้างผลิต โดยมีกติกาในการทำงานที่มีความรัดกุมมากขึ้น และเป็นการเปิดกว้างให้มีการแข่งขันโดยกลไกตลาดเสรีอย่างเต็มที่
    ๕.๓ ให้มีการจัดตั้งบรรษัทปิโตรเลียมแห่งชาติเพื่อดูแลจัดการผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนในเรื่องปิโตรเลียมอย่างเป็นรูปธรรม
    ๕.๔ เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การกำกับ ตลอดจนการจัดการผลประโยชน์ของประเทศ
    ๕.๕ เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการประกอบกิจการปิโตรเลียมอย่างเป็นรูปธรรม
    ๕.๖ จัดให้มีระบบการดูแลเยียวยาประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการปิโตรเลียมอย่างเป็นธรรม

    เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) มีความเชื่อมั่นว่า หาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เห็นชอบในการดำเนินการดังกล่าวแล้ว ประเทศไทยจะไม่เข้าสู่สภาวการณ์ขาดแคลนพลังงาน และยังสามารถทำให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ตลอดจนสามารถสร้างการบริหารจัดการเกี่ยวกับการประกอบกิจการปิโตรเลียมที่โปร่งใส และสร้างความมั่นคงทางพลังงานแก่ประเทศอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมได้อย่างแท้จริง

    ๖. ตามที่เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้ทำหนังสือยื่นข้อเสนอถึง ฯพณฯนายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๘ ไปแล้วนั้น เมื่อได้ตรวจสอบและติดตามผล พบว่า ยังมิได้มีการตอบสนองตามข้อเสนออย่างเป็นรูปธรรมแต่ประการใด จึงขอเรียกร้องให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี แสดงความจริงใจ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในความโปร่งใสและเป็นธรรม ได้โปรดพิจารณาสั่งการตามข้อเสนอดังกล่าวต่อไป

    จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณาให้ความเห็นชอบและดำเนินการตามข้อ ๑ - ๖ ต่อไป

    ขอแสดงความนับถือ
    เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สองฝ่ายยูเครนกลับมารบเดือดรอบใหม่ | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „สองฝ่ายยูเครนกลับมารบเดือดรอบใหม่ กองทัพยูเครนและกลุ่มกบฏในภาคตะวันออกกลับมาสู้รบกันอย่างดุเดือดอีกครั้งเมื่อวันพุธ พร้อมทั้งสาดโคลนกันไปมาเรื่องการเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิง วันพฤหัสที่ 4 มิถุนายน 2558 เวลา 8:13 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ว่ากองทัพยูเครนและกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนในภูมิภาคดอนบาสส์ ทางตะวันออกของประเทศ กลับมาสู้รบกันอย่างดุเดือดอีกครั้งเมื่อวันพุธ โดยศูนย์กลางของสมรภูมิครั้งล่าสุดอยู่ที่หมู่บ้านมารีอินกา ในเมืองโดเนตสก์ ซึ่งมีรายงานการพบผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ขณะที่กระทรวงกลาโหมยูเครนออกแถลงการณ์ประณามกลุ่มกบฏละเมิดข้อตกลงสันติภาพมินสก์ ที่ลงนามร่วมกันเมื่อเดือนก.พ. ซึ่งได้รับการปฏิเสธจากกลุ่มกบฏ ที่ยืนยันว่าการสู้รบจำเป็นต้องเกิดขึ้น เพื่อป้องกันการ "สังหารหมู่" ประชาชนโดยทหารของรัฐบาลเคียฟ

    ด้านน.ส.มารี ฮาร์ฟ โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวถึงสถานการณ์สู้รบในยูเครนที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง ว่าเป็นผลจากการเคลื่อนไหวอย่างยั่วยุของกลุ่มกบฏ และรัฐบาลรัสเซียต้องร่วมแสดง "ความรับผิดชอบ" ส่วนนายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวเพียงรัฐบาลมอสโกกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

    ทั้งนี้ การสู้รบในภาคตะวันออกของยูเครนระหว่างกองทัพกับกลุ่มกบฏที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่เดือนเม.ย. ปีที่แล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 6,400 ศพ และได้รับบาดเจ็บมากกว่า 15,000 คน อีกทั้งยังทำให้มีผู้อพยพพลัดถิ่นภายในประเทศกว่า 1.2 ล้านคน ตามรายงานของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น )“

    อ่านต่อที่ : สองฝ่ายยูเครนกลับมารบเดือดรอบใหม่ | เดลินิวส์
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกือบ 20 รัฐในสหรัฐได้รับเชื้อแอนแทรกซ์มีชีวิต | เดลินิวส์

    „เกือบ 20 รัฐในสหรัฐได้รับเชื้อแอนแทรกซ์มีชีวิต ทางการสหรัฐเผยจำนวนห้องทดลองในประเทศที่ได้รับตัวอย่างเชื้อแอนแทรกซ์เป็น จากห้องทดลองด้านอาวุธชีวภาพของเพนตากอน อยู่ที่อย่างน้อย 51 แห่ง ใน 17 รัฐ วันพฤหัสที่ 4 มิถุนายน 2558 เวลา 9:41 น.

    <iframe width="750" height="500" src="https://www.youtube.com/embed/a9YrtgfPS_c" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ว่านายโรเบิร์ต เวิร์ค รมช.กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ( เพนตากอน ) แถลงเมื่อวันพุธ ว่าจำนวนห้องทดลองในประเทศที่ได้รับตัวอย่างเชื้อแอนแทรกซ์มีชีวิต "โดยบังเอิญ" จากห้องทดลองดักเวย์ในรัฐยูทาห์ มีอย่างน้อย 51 แห่ง ใน 17 รัฐ และกรุงวอชิงตัน มากกว่ารายงานที่เผยแพร่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึง 2 เท่า นอกจากนี้ยังมีห้องทดลองในอีก 3 ประเทศ ได้แก่ออสเตรเลีย แคนาดา และเกาหลีใต้ ที่ได้รับตัวอย่างเชื้อแอนแทรกซ์เป็นจากสหรัฐเช่นกัน ทั้งนี้ เพนตากอนตั้งข้อสันนิษฐานในเบื้องต้นว่า "ความผิดพลาด" เกิดขึ้นระหว่างปี 2548-2549 แต่เพิ่งตรวจพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังได้รับแจ้งจากห้องทดลองเอกชนแห่งหนึ่งในรัฐแมริแลนด์ ว่าตัวอย่างเชื้อแอนแทรกซ์ที่ได้รับนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่คำอธิบายบนภาชนะบรรจุกลับระบุว่าเชื้อนั้นตายแล้ว ซึ่งรัฐบาลสหรัฐกำลังเร่งสืบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ด้านพล.ร.ต.หญิง ฟรังกา โจนส์ ผู้อำนวยการโครงการปฏิบัติการทางเคมีชีวภาพของเพนตากอน กล่าวยอมรับว่าจำนวนห้องทดลองที่ได้รับตัวอย่างเชื้อแอนแทรกซ์มีชีวิตจากรัฐบาลวอชิงตันอาจมีมากกว่านี้ เนื่องจากเชื้อแอนแทรกซ์ที่ยังไม่ตายอาจหลุดรอดไปกับตัวอย่างเชื้อกว่า 400 ชุด ที่เพนตากอนแจกจ่ายไปทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่จำนวนผู้ต้องสงสัยได้รับเชื้ออยู่ที่อย่างน้อย 33 คน ซึ่งทุกคนอยู่ระหว่างเข้ารับการกักบริเวณและตรวจโรคอย่างละเอียด“

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    อ่านต่อที่ : เกือบ 20 รัฐในสหรัฐได้รับเชื้อแอนแทรกซ์มีชีวิต | เดลินิวส์
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มะกันอ้างแก้ปม'ผู้อพยพ' บี้พม่าให้สัญชาติ'โรฮีนจา' | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „มะกันอ้างแก้ปม'ผู้อพยพ' บี้พม่าให้สัญชาติ'โรฮีนจา'
    "สหรัฐ" ออกมาเรียกร้อง "เมียนมา" ให้สัญชาติชาวโรฮีนจา เพื่อแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฏหมายในอาเซียน พร้อมถามย้ำให้บรรดา "ผู้นำเมียนมา" ออกมาพูดแสดงท่าทีในประเด็นสิทธิมนุษยชนบ้าง วันพุธที่ 3 มิถุนายน 2558 เวลา 14:14 น.

    สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ พยายามผลักดันให้เมียนมา ก้าวมาเป็นประเทศที่เปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตยภายใต้การผลักดันของรัฐบาลวอชิงตัน สหรัฐจึงออกโรงกดดันเมียนมาให้เร่งจัดการต้นตอของปัญหาผู้อพยพชาวโรฮีนจา ซึ่งกำลังส่งผลกระทบไปทั่วภูมิภาคอาเซียนและประเทศที่อยู่ใกล้อ่าวเบงกอล

    ทั้งนี้ เมียนมาปฏิเสธที่จะรับชาวโรฮีนจา 1.1 ล้านคน ให้เป็นพลเมืองของตนเอง ทำให้พวกเขากลายเป็นบุคคลที่ไม่มีสัญชาติ เผชิญกับนโยบายการกีดกันต่างๆนานาของรัฐบาลเมียนมา จนต้องหลบหนีออกจากรัฐยะไข่และตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในที่สุด อย่างไรก็ตาม เมียนมาได้ออกมาปฏิเสธการกีดกันที่เกิดขึ้นแล้ว

    ทางด้านสหรัฐก็เร่งกดดันให้เมียนมาให้สัญชาติพวกเขา โดยนายโอบามาและนางแอน ริชาร์ด ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐได้กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ชาวโรฮีนจาจำเป็นต้องได้สัญชาติและหนังสือเดินทางที่ถูกต้อง เหมือนอย่างที่ชาวเมียนมามี รัฐบาลจะต้องจบการกีดกันที่มีต่อชาวโรฮีนจาถึงจะสามารถนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนผ่านสูประชาธิปไตยที่แท้จริงได้

    อย่างไรก็ตาม นักการเมืองเมียนมาขณะนี้กำลังสนใจการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ย.จนไม่มีใครออกมาแสดงท่าทีใดๆต่อสถานการณ์วิกฤตสิทธิมนุษยชนในประเทศ รวมทั้งนางอองซาน ซูจี ตัวแทนประชาธิปไตยในเมียนมาและผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเองก็ยังคงเงียบอยู่“

    อ่านต่อที่ : มะกันอ้างแก้ปม'ผู้อพยพ' บี้พม่าให้สัญชาติ'โรฮีนจา' | เดลินิวส์
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'ไทยรัฐ' บุกรัฐยะไข่ ไขชีวิต 'โรฮีนจา' (ชมคลิป)
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 มิ.ย. 2558 19:56

    [​IMG]

    ทีมข่าวไทยรัฐบินลัดฟ้าสำรวจสภาพความเป็นอยู่ของชาวโรฮีนจา ที่สหภาพเมียนมา บุกถึงค่ายในรัฐยะไข่ พบความเป็นอยู่สุดทุลักทุเล มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่อยู่กันอย่างแออัด ผงะตัวเลขประชากรโรฮีนจาในค่ายอาจเพิ่มสูงขึ้น เพราะคุมกำเนิดไม่ได้...

    เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา ทีมข่าวไทยรัฐ เดินทางไปที่เมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวง ของสหภาพเมียนมา โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เมืองซิตตเว รัฐอาระกัน หรือรัฐยะไข่ ซึ่งเป็นรัฐชายแดนที่มีพื้นที่ติดกับประเทศบังกลาเทศ เพื่อบุกสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโรฮีนจาที่อยู่ในค่ายพัก

    โดยก่อนเดินทางไปถึง ทีมข่าวได้มีโอกาสแวะสำรวจสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในย่างกุ้ง ทำให้เห็นถึงความเจริญของอาคารบ้านเรือน การจราจรที่แออัด และการอยู่ร่วมกันของคนต่างเชื้อชาติ ที่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระ แม้ว่าจากการสอบถามชาวเมืองย่างกุ้งส่วนหนึ่ง จะยังคงมีความเกลียดชังต่อผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองเมียนมาก็ตาม

    ต่อมาทีมข่าวเดินทาง สู่รัฐอาระกัน หรือ "รัฐยะไข่" สหภาพเมียนมา รัฐชายทะเลที่มีพรมแดนติดกับบังกลาเทศ โดยไปยังเมืองซิตตเว เมืองที่มีชาวโรฮีนจา อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และมีค่ายผู้พลัดถิ่นในประเทศอยู่มากที่สุดถึง 19 ค่าย จากทั้งหมด 57 ค่ายในรัฐยะไข่ ซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้ ก็เพื่อบุกพิสูจน์ความเป็นอยู่และชีวิตของชาวโรฮีนจาที่พักอาศัยอยู่ที่นั่น

    เมื่อเดินทางไปถึง พบว่าพื้นที่ชุมชนในเมืองซิตตเว มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจนสำหรับชาวพุทธ และมุสลิมโรฮีนจา โดยมีกำลังตำรวจประจำอยู่ตามแนวพื้นที่กันชน การที่คนภายนอกจะเดินทางผ่านเข้าไปยังเขตชาวมุสลิม ไม่ว่าจะเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนหรือธุระใดนั้น แม้จะทำได้แต่ก็มีการเข้มงวดกวดขัน ขณะที่ชาวโรฮีนจาจะไม่สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนพื้นที่การอยู่อาศัยของชาวโรฮีนจา แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ ส่วนที่เป็นชุมชน ชาวโรฮีนจาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ภายในพื้นที่ของชุมชนมุสลิมที่ทางการจัดสรรไว้ และอีกส่วนหนึ่ง คือ ค่ายผู้พลัดถิ่นในประเทศ ที่ส่วนใหญ่ตั้งขึ้นภายใต้การดูแลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR

    ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ทันทีที่ก้าวไปถึงค่ายตะไบ ได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มและแววตาที่สดใสจากคนในค่าย ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว และสภาพดินที่ปนทรายจัด ทำให้ที่นี่ดูแห้งแล้ง แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาก็มีน้อยมาก จากการสำรวจพบว่าที่พักอาศัยเกือบทั้งหมด สร้างขึ้นจากไม้ไผ่ สังกะสี และผ้าใบ ซึ่งมีการจัดสรรกันพอเป็นระเบียบ มีแหล่งน้ำสะอาดเพียงพอสำหรับดื่มกินและใช้ มีระบบสุขาที่แยกออกไปอย่างเป็นสัดส่วน

    สำหรับปัญหาใหญ่ที่พบ คือ การเพิ่มจำนวนประชากร ข้อมูลจาก UNHCR ระบุว่า ในเดือนมกราคม ปี 2558 ค่ายแห่งนี้มีที่พักอาศัย 518 หลังคาเรือน มีจำนวนชาวโรฮีนจา 2,951 คน หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ย ที่พัก 1 หลัง ต่อผู้อาศัย 5 ถึง 6 คน แต่จากการเดินสำรวจของทีมข่าวไทยรัฐ พบว่า ที่พักหลายหลังซึ่งมีขนาดไม่เกิน 30 ตารางเมตร กลับมีสมาชิกพักอาศัยอยู่เกินกว่า 10 คน และมีแนวโน้มว่าจำนวนชาวโรฮีนจาในค่ายจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากไม่สามารถคุมกำเนิดได้ เพราะอาจผิดหลักศาสนา

    ซึ่งจากการสำรวจพบเด็กในวัยประถมและมัธยม มากกว่าวัยแรงงาน 3 ถึง 4 เท่า ซึ่งเด็กเหล่านี้ ขาดโอกาสทางการศึกษา และเติบโตขึ้นอย่างด้อยคุณภาพ มีชีวิตอยู่ไปวันๆ โดยไม่มีงานทำ ขณะที่ผู้ใหญ่ก็ใช้ชีวิตอย่างไร้ความหวังเช่นกัน

    'ไทยรัฐ' บุกรัฐยะไข่ ไขชีวิต 'โรฮีนจา' (ชมคลิป) - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.JPG
      0.1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      79.9 KB
      เปิดดู:
      539
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมียนมาช่วยโรฮีนจา 700 คนขึ้นฝั่ง-มะกันจี้รับเป็นพลเมือง
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 มิ.ย. 2558 06:18

    [​IMG]
    @(ภาพ: AP)

    เมียนมา ช่วยเหลือผู้อพยพโรฮีนจาจำนวนกว่า 700 คนขึ้นฝั่งที่รัฐยะไข่ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าผู้อพยพได้รับการปฏิบัติอย่างไร ขณะที่สหรัฐฯเรียกร้องให้เมียนมารับชาวโรฮีนจาเป็นพลเมืองของประเทศ...

    สำนักข่าว รอยเตอร์ส รายงานว่า กองทัพเรือของประเทศเมียนมา ช่วยเหลือผู้อพยพโรฮีนจาจำนวน 727 คน บนเรือซึ่งพวกเขาพบในทะเลอันดามัน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กลับเข้าฝั่งรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของประเทศ อย่างปลอดภัยแล้วในวันพุธ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของเมียนมาเชื่อว่า ผู้อพยพส่วนใหญ่ในจำนวนนี้ เป็นชาวบังกลาเทศ

    ชาวโรฮิงยาที่ได้รับความช่วยเหลือถูกส่งไปอยู่ที่โกดังสินค้าแห่งหนึ่งใกล้จุดที่ขึ้นฝั่ง โดยมีตำรวจหลายสิบนายคอยจับตาดู แต่ไม่แน่ชัดว่าผู้อพยพกลุ่มนี้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่ใดอีกหรือไม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ขอให้ผู้สื่อข่าวออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งบอกกับรอยเตอร์ส ว่า ไม่มีคนของหน่วยงานช่วยเหลือสามารถเข้าถึงจุดที่ผู้อพยพกลุ่มนี้อยู่ได้

    ด้านโฆษกสถานทูตสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เมียนมาอนุญาตให้หน่วยงานความช่วยเหลือเข้าสู่พื้นที่ รวมทั้งเรียกร้องให้ทางการรับประกันความผลอดภัยของผู้อพยพ ขณะที่นาง แอน ริชาร์ด รัฐมนตรีช่วยกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวที่กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียว่า ชาวโรฮีนจาจำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติเยี่ยงพลเมืองเมียนมา พวกเขาต้องการบัตรประชาชนและหนังสือเดินทาง เช่นเดียวกับชาวเมียนมาคนอื่นๆ

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดทำเนียบขาวต้อนรับตัวแทนเยาวชนที่ร่วมโครงการผู้นำเยาวชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดและตอบคำถามของเยาวชน โดยระหว่างงาน น.ส. เพ็ญศิริ บางสิริ ตัวแทนเยาวชนชาวไทยลุกขึ้นถามนายโอบามาว่า หากเขาเป็นชาวโรฮีนจา เขาจะอพยพไปอยู่ประเทศใด ทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯถึงกับนิ่งไปพักหนึ่ง

    อย่างไรก็ตามโอบามาตอบในที่สุดว่า การที่เมียนมาจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู้ประชาธิปไตยได้นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมียนมาต้องจัดการปัญหาการแบ่งแยกผู้คนเพราะรูปร่างหน้าตาหรือความเชื่อ และชาวโรฮีนจาเป็นชนชาติที่ถูกกีดกันอย่างมาก นี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกที่จะหนี และหากเขาเป็นชาวโรฮีนจา เขาอยากที่จะอยู่ในดินแดนที่พ่อแม่ของเขาอาศัยอยู่ แต่เขาต้องการความมั่นใจว่า รัฐบาลของเขาจะปกป้องเขาและผู้คนปฏิบัติต่อเขาอย่างเป็นธรรม

    เมียนมาช่วยโรฮีนจา 700 คนขึ้นฝั่ง-มะกันจี้รับเป็นพลเมือง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เด็กไทยเจ๋งถาม"โอบามา" ถ้าเป็นโรฮีนจาจะอยู่ที่ไหน | เดลินิวส์

    [​IMG]

    ยกมือยิงคำถามจี้ใจดำ "หากคุณเป็นชาวโรฮีนจา จะเลือกไปอยู่ที่ไหน"ตัวแทนเยาวชนไทยที่ได้เข้าพบประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน เปิดประเด็นฮอตกับผู้นำเบอร์ 1 ของโลก วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2558 เวลา 21:31 น.

    ทำเนียบขาวสหรัฐเผยแพร่เทปบันทึกภาพ การพบปะของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ และคณะผู้แทนเยาวชน 75 คน จากกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้โครงการ "วายซีลี" (YSEALI) ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ในโอกาสนี้ ผู้นำสหรัฐได้ตอบข้อซักถามของบรรดาตัวแทนเยาวชน โดยหนึ่งในนั้นคือ น.ส.เพ็ญสิริ บางสิริ ตัวแทนจากประเทศไทย ซึ่งตั้งคำถามว่า หากนายโอบามาเป็นชาวโรฮีนจา จะเลือกไปอยู่ประเทศใด เพราะเหตุใด

    นายโอบามากล่าวว่า เขาคงจะเลือกอยู่ในดินแดนที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตน ดินแดนที่บรรพบุรุษอยู่มาแต่ดั้งเดิม แต่ต้องมั่นใจว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากรัฐบาล และได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมจากผู้คนที่อยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นบททดสอบสำคัญของการเป็นประชาธิปไตย โดยตัวเขาเองเข้าใจดีเนื่องจากเคยพบเห็นกับตัวเองเมื่อครั้งอาศัยอยู่ที่อินโดนีเซียในวัยเด็ก ซึ่งครั้งหนึ่งชนกลุ่มน้อยชาวจีนที่นั่นถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายรุนแรง ไม่ต่างอะไรกับที่กลุ่มชาวยิวในยุโรปต้องพบเจอในปัจจุบัน

    นายโอบามาได้ยกตัวอย่างถึงสิงคโปร์ ประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แต่ก็มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในระดับแนวหน้า นั่นเพราะทุกคนต่างตระหนักในความเป็นชาวสิงคโปร์โดยไม่แบ่งแยก ซึ่งควบคู่กันไปกับการมีผู้นำที่เข้มแข็ง และยึดมั่นในหลักการ โดยนายโอบามายังชี้ว่า ประเทศที่ยังคงปล่อยให้มีการแบ่งแยกทางศาสนา และชาติพันธุ์เกิดขึ้น เช่นเดียวกับการกดขี่เพศหญิงจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ.“

    อ่านต่อที่ : เด็กไทยเจ๋งถาม"โอบามา" ถ้าเป็นโรฮีนจาจะอยู่ที่ไหน | เดลินิวส์
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โสมขาวกลุ้ม MERS ส่อลามหนัก กักตัวผู้เสี่ยงติดเชื้อแล้ว 1,369 คน
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 มิ.ย. 2558 03:30

    [​IMG]
    (ภาพ: AFP)

    องค์การอนามัยโลกเตือน การระบาดของไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้ อาจขยายตัวขึ้น โดยในขณะนี้มีผู้ต้องสงสัยถูกกักตัวเพื่อป้องกันโรคระบาดแล้วถึง 1,369 คน...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกโรงเตือนว่า การระบาดของเชื้อไวรัส กลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ เมอร์ส (MERS) ในประเทศเกาหลีใต้ อาจขยายตัวขึ้น โดยผู้ต้องสงสัยว่าสัมผัสเชื้อที่ถูกเจ้าหน้าที่กักตัวเพื่อป้องกันโรคแพร่กระจายมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 1,369 รายแล้วเมื่อวันพุธ มีผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันเพิ่มเป็น 30 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพราะไวรัสตัวนี้แล้ว 2 ราย

    การระบาดของเชื้อเมอร์สยังทำให้ทางการเกาหลีใต้ต้องสั่งปิดโรงเรียนชั่วคราวมากกว่า 540 แห่ง ประชาชนเริ่มสวมหน้ากากอนามัย และใช้น้ำยาล้างมือมากขึ้น ในขณะที่นาง ปาร์ค กึน-เฮ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้เรียกประชุมฉุกเฉินเรื่องการแพร่กระจายของไวรัสเมอร์สแล้วเมื่อวันพุธ

    ทั้งนี้ WHO ระบุว่า ผู้ติดเชื้อรายแรกในเกาหลีใต้เป็นชายอายุ 68 ปี ซึ่งเดินทางกลับจากซาอุดีอาระเบียถึงเกาหลีใต้เมื่อ 4 พ.ค. โดยระหว่างเดินทางเขาไม่แสดงอาการป่วยใดๆ แต่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเมอร์สเมื่อ 20 พ.ค. และในห้วงเวลานั้น ชายคนนี้เข้ารับการตรวจที่คลินิค 2 แห่งและโรงพยาบาลอีก 2 แห่ง ทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะมีเจ้าหน้าที่การแพทย์และคนไข้คนอื่นๆสัมผัสเชื้อเป็นจำนวนมาก

    ไวรัสเมอร์ส อยู่ในกลุ่ม 'โคโรนาไวรัส' เป็นญาติกับไวรัสก่อโรคหวัดธรรมดา ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดอาการหลากหลาย รวมถึงมีไข้, มีปัญหากับระบบทางเดินหายใจ, ปอดบวม และไตวาย สามารถติดต่อสู่คนได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย จากสถิติที่ผ่านมา เมอร์ส ทำให้ผู้ป่วย 3-4 คนจาก 10 เสียชีวิต แต่ผู้ตายส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อนแล้ว ผู้ตาย 2 รายในเกาหลีใต้ก็ป่วยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหืดรุนแรง

    ตามรายงานของ WHO พบว่า ตั้งแต่เริ่มพบไวรัสเมอร์สระบาดในคนเมื่อปี 2012 โดยเชื้อว่าแพร่มาจากอูฐ มีผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันแล้ว 1,179 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 442 ราย โดยมีรายงานผู้ติดเชื้อใน 25 ประเทศ ซึ่งจีนและเกาหลีใต้เพิ่งเข้าไปอยู่ในรายชื่อเมื่อเดือนก่อนนี้เอง

    โสมขาวกลุ้ม MERS ส่อลามหนัก กักตัวผู้เสี่ยงติดเชื้อแล้ว 1,369 คน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐแง้มจีนร่วมข้อตกลงการค้า "ทีพีพี" ได้ | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „สหรัฐแง้มจีนร่วมข้อตกลงการค้า "ทีพีพี" ได้ รัฐบาลสหรัฐเผย ทางการจีนสามารถเข้าร่วมการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือ "ทีพีพี" ที่รัฐบาลวอชิงตันเป็นผู้ผลักดันได้ วันพฤหัสที่ 4 มิถุนายน 2558 เวลา 10:35 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ให้สัมภาษณ์ในรายการ "มาร์เก็ต เพลส" ทางสถานีวิทยุอเมริกัน พับลิก มีเดีย เมื่อวันพุธ ว่ารัฐบาลจีนมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงหุ้นทางการค้า "ทีพีพี" พร้อมทั้งเผยด้วยว่าเคยได้รับการติดต่อจากทางการจีน เพื่อแสดงความสนใจในเรื่องนี้ด้วย

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปักกิ่งยังไม่เคยแสดงท่าทีเกี่ยวกับทีพีพีอย่างเป็นทางการ เนื่องจากกำลังผลักดันเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก ( เอฟทีเอเอพี ) ของตัวเองเช่นกัน ขณะที่ผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์ว่า ไม่ว่าทางการจีนจะมีความสนใจในเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด การหารือระหว่างรัฐบาลวอชิงตันร่วมกับประเทศคู่เจรจาประสบกับอุปสรรคมากมากยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม แคนาดา ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป ( อียู )

    ขณะที่ทำเนียบขาวยังคงไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเพียงพอ เพื่อการอนุมัติร่างกฎหมายอำนาจในการสนับสนุนการค้า ( ทีพีเอ ) ที่จะเป็นการมอบอำนาจแบบ "ด่วนพิเศษ" ให้แก่โอบามาในการเจรจาเรื่องทีพีพี เนื่องจากสมาชิกระดับแกนนำของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันยังคงเห็นต่างกับผู้นำสหรัฐในหลายประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผลกระทบต่อตลาดแรงงานในประเทศ ที่สหรัฐมี "บทเรียน" มาแล้ว จากความตกลงการค้าอเมริกาเหนือ ( นาฟตา )“

    อ่านต่อที่ : สหรัฐแง้มจีนร่วมข้อตกลงการค้า "ทีพีพี" ได้ | เดลินิวส์
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ยูเครนตะวันออกกลับมาซัดกันหูดับตับไหม้กันอีกรอบระหว่างกองทัพของกรุงเคียฟกับ DPR ทัพเรือรัสเซียเสริมกำลังในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเต็มพิกัด

    [​IMG]

    -------------
    ยูเครนตะวันออกเริ่มจะคุมสถานการณ์ไม่อยู่แล้ว มีการฝ่าฝืนข้อตกลงเจรจาสันติภาพกรุงมินส์กมาหลายสิบครั้งตลอดชั่วเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ต่างฝ่ายต่างก็โทษกันไปมา ถ้าติดตามข่าวจากสื่อฯสหรัฐฯและตะวันตกที่อยู่ข้างกรุงเคียฟก็จะเสนอข่าวที่เอียงไปทางยูเครน ถ้าติดตามข่าวจากฝั่งรัสเซีย แน่นอนก็จะเอียงมาทางกลุ่ม DPR/LPR แต่ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นแก่ DPR/LPR
    เมื่อวันที่ 31 พ.ค.58 ที่ผ่านมามีรายงานว่ากองกำลังของกรุงเคียฟยิงปืนใหญ่ถล่มใส่บ้านเรือนประชาชนและตลาดของชาวยูเครนตะวันออก (DPR/LPR) ในเมือง Gorlovka ทำให้มีพลเรือเสียชีวิตไปราย บาดเจ็บ 4 คน เจ้าหน้าที่องค์การรักษาความปลอดภัยและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe) หรือเรียกสั้นๆว่า OSCE ก็ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบและยืนยันว่ายิงมาจากฝ่ายของยูเครน
    เมื่อถูกยั่วยุและถูกกระทำอย่างนี้ มีหรืออีกฝ่ายจะยอมให้โดนรังแกเฉยโดยไม่ตอบโต้ วันที่ 3 มิ.ย.58 มีรายงานความเสียหายว่า กองกำลังของกรุงเคียฟยิงถล่มหมู่บ้าน Maryinka ในเมือง Donetsk โดยอาวุธหนักที่ถูกสั่งห้ามที่ขนออกไปแล้วจากเขตปลอดอาวุธหนักและนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งได้รับการยืนยันโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนเอง อ้างว่าเพื่อปราบปรามกลุ่มติดอาวุธ DPR ผลก็คือทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 5 ราย กองกำลังติดอาวุธของฝ่าย DPR เสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บประมาณ 86 คน เป็นผลจากการยิงถล่มด้วยปืนใหญ่และจรวดจากฝั่งยูเครน รายงานจากสื่อฯฝั่งยูเครนบอกว่าทหารยูเครนเสียชีวิตไป 3 ราย บาดเจ็บ 38 คน (จากประสบการณ์การอ่านข่าวจากฝั่งยูเครนขอบอกว่าต้องหาร2นะครับ) การปะทะกันยาวนานถึง 12 ชั่วโมง กรุงมอสโคว์จับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
    วันเดียวกันนี้ทางรัสเซียก็มีการเสริมกำลังกองทัพเรือเข้าประจำการในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมากขึ้นด้วย รายงานข่าวจากสำนักข่าวทาสส์ของรัสเซียบอกว่ารัสเซียส่งเรือรบขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งเข้าไปประจำการถาวรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนมากเป็นเรือลำเลียงพลและพาหนะของกองทัพขนาดใหญ่ (landing ship) ชื่อ Korolev จากกองเรือบอลติก (Baltic Fleet) โดยเรือลำนี้จะเข้าประจำการอย่างถาวรแทนเรือลำเลียง Alexander Shabalin ซึ่งประจำการมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2557 เรือ Korolev บรรทุกนาวิกโยธินต่อต้านการก่อการร้ายมาด้วยกลุ่มหนึ่ง (ไม่บอกจำนวน) นอกจากนี้ยังประกอบด้วยเรือธงของกองทัพเรือรัสเซียอีก 4 ลำคือ Moskva cruiser, the Alexander Shabalin, Alexander Ostrakovsky (ลำนี้เป็นเรือลำเลียงขนาดใหญ่เช่นกัน) และเรือ Ivan Bubnov tanker (เป็นเรือลำเลียงขนส่งอีกประเภทหนึ่ง)
    ที่ยุโรป (เยอรมันนี) กำลังเตรียมประชุมสุดยอด G7 ในวันที่ 7-8 มิ.ย.นี้ สถานการณ์ในยูเครนตะวันออกก็ฮึ่มขึ้นมาอีกรอบ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สหรัฐฯทำทีเป็นส่งจอห์น แคร์รี่ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯมาขอจับมือกับรัสเซียอ้างว่าอยากจะสานสัมพันธ์ต่อ แต่ดูเหมือนจะให้ท้ายยูเครนในการกระทำแบบนี้ ล่าสุดเมื่อวันก่อนทางยูเครนบอกว่าจะยึดทรัพย์สินบริษัทธุรกิจต่างๆของรัสเซียที่อยู่ในยูเครนให้หมด เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ยูเครนสูญเสียไคร์เมียให้กับรัสเซีย ทางรัสเซียนึกในใจว่าเออ... แล้วจะได้เห็นดีกัน แต่พูดผ่านสื่อฯว่ารัสเซียจะตอบโต้ด้วยมาตรการทางกฎหมายต่อยูเครนด้วยเช่นกัน
    เอาสิงานนี้... ใครหาเรื่องใครก่อนพอจะเห็นภาพหรือยัง? ตอนนี้รัฐบาลยูเครนคือหุ่นเชิดของสหรัฐฯและอียูนะ ส่วนทางอียูก็ออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลมาซิโดเนียเลือกตั้งก่อนกำหนดอีก ทั้งๆที่มาจากการเลือกตั้งและยังไม่หมดอายุ นี่เป็นศึกท่อแก๊สระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯบวกอียู เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันของมาซิโดเนียเห็นด้วยกับโครงการท่อแก๊สสาย Turkish Stream ของรัสเซียที่จะส่งเข้าไปในยุโรป
    ส่วนเบลารุสพันธมิตรที่เหนียวแน่นของรัสเซียก็สั่งเสริมกำลังทัพตามแนวชายแดนยูเครนเพิ่มขึ้น นาโต้ออกมาเรียกร้องให้ตะวันตกเสริมอาวุธให้ยูเครน เพื่อจะได้เปิดทางให้สหรัฐฯและอียูสามารถขายอาวุธให้ยูเครนได้ เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวข้องกันไปหมดนะ เพราะมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์และอำนาจ ที่สหรัฐฯและอียูหาทางสกัดกั้นรัสเซียทุกรูปแบบ ดูซิว่าใครจะตะบะแตกก่อนกัน
    The Eyes
    04/06/2558
    ----------
    http://rt.com/news/264613-donbass-shelling-mine-trapped/
    At least 1 civilian killed, 4 injured in Ukrainian army shelling of Donbass – reports — RT News
    122mm artillery banned under Minsk peace deal fired in E.Ukraine – OSCE — RT News
    New Shelling of Ukraine’s Gorlovka Injures Five People / Sputnik International
    https://www.kyivpost.com/content/uk...diers-killed-in-maryinka-fighting-390191.html
    EU Calls for Early Elections and ‘Final Deal’ to Resolve Macedonia Crisis / Sputnik International
    Belarus Tightens Security Along Border With Ukraine / Sputnik International
    West Should Consider Arming Kiev With 'Defensive' Weapons – Ex NATO Chief / Sputnik International
    http://t-a-s-s.ru/en/russia/798556
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนเปิดตัว “เรือไททานิค”ก็อปเกรดเอ | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „จีนเปิดตัว “เรือไททานิค”จำลองมูลค่าพันล้านหยวน ขนาดเท่าเรือจริงที่อับปางไปเมื่อ 2455 คาดสร้างรายได้ให้การท่องเที่ยวมหาศาล วันพฤหัสที่ 4 มิถุนายน 2558 เวลา 11:48 น.

    [​IMG]

    เว็บไซต์ข่าวจีน “นิวส์ ซินา” รายงานจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ว่า บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ในมณฑลเสฉวน “เซเวน สตาร์ เอนเนอร์จี อินเวสต์เมนต์ กรุ๊ป” ประกาศเปิดตัวเรือไททานิค ขนาดเท่าลำจริงจำลอง ซึ่งจะสามารถเปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้าชมจริงได้ในเดือนต.ค.2560 หลังจากที่การก่อสร้างซึ่งใช้งบประมาณถึงราวหนึ่งพันล้านหยวน (5,200 ล้านบาท)จะเสร็จสิ้นภายในเดือนส.ค.ในปีเดียวกัน

    [​IMG]

    บริษัทผู้สร้างกล่าวว่า การจำลองเรือไททานิคครั้งนี้จะทำให้ผู้คนได้ยลโฉมเรือที่เหมือนของจริงซึ่งพุ่งชนภูเขาน้ำแข็งและอับปางไปเมื่อวันที่ 14 เม.ย.2455 ทั้งนี้ ทางบริษัทต้องการให้เรือกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่คาดว่าจะสามารถทำรายได้มหาศาล

    แผนสำหรับการสร้างไททานิคจำลองนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนต.ค. 2556 จากนั้นทางบริษัทจึงได้ร่วมมือกับบริษัทวิศวกรรมอเมริกัน เนรมิตเรือลำนี้ขึ้นมาใหม่ที่จีนโดยยึดแบบโครงสร้ามาจากเรือ “อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก”ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับไททานิค“

    อ่านต่อที่ : จีนเปิดตัว “เรือไททานิค”ก็อปเกรดเอ | เดลินิวส์
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บีบีซีไทย - BBC Thai
    เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ใช่ผู้หญิง

    [​IMG]

    กลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ออกมาเรียกร้องให้การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาใช้คำสรรพนามเรียกพระเจ้าเป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดคำถามที่ว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่

    สตีเฟน ทอมกินส์ เขียนเล่าว่า คริสตจักรมักมีปัญหาเกี่ยวกับเพศสภาพของพระเจ้า ทว่าความจริงแล้วพระองค์ไม่ทรงมีข้อจำกัดในลักษณะเพศหญิงหรือชายแบบมนุษย์ อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึงพระเจ้าโดยไม่ระบุเพศชัดเจน เพราะการพยายามหลีกเลี่ยงใช้คำสรรพนามระบุเพศอย่างสิ้นเชิงนั้น เป็นเรื่องยุ่งยาก ดังนั้นจึงต้องใช้คำสรรพนามแทนพระเจ้าว่า "He" หรือ "She" โดยเฉพาะในสังคมที่มีเพศชายเป็นผู้นำ คนส่วนใหญ่จึงใช้คำแทนพระเจ้าว่า "He" ดังเช่นในการถาม-ตอบเกี่ยวกับศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ที่ระบุว่า "God is neither man nor woman: he is God" (พระเจ้าไม่ใช่ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย:เขาคือพระเจ้า)

    อย่างไรก็ดีหากย้อนกลับไปในช่วงคริสตศตวรรษที่ 3 โบสถ์คริสต์ในซีเรียมักใช้คำสรรพนามเพศหญิงเรียกพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขณะที่กลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์ในยุคแรกๆมีความเชื่อว่า พระเจ้าทรงมีลักษณะเป็นอากาศธาตุในหลายรูปแบบทั้งชายและหญิง เช่นเดียวกับนักบวชจูเลียนแห่งนอร์วิช ที่กล่าวในหนังสือคำสอนสมัยคริสตศตวรรษที่ 14 ที่ชื่อ Revelations of Divine Love ซึ่งเรียกพระเจ้าว่าทรงเป็นทั้งพระบิดาและพระมารดาของชาวคริสต์

    การถกเถียงเรื่องดังกล่าวเกี่ยวกับพระเจ้าเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา โดยบรรดานักเทววิทยาที่มีแนวคิดสตรีนิยมพยายามชี้ให้ศาสนจักรเห็นว่า ภาษาดั้งเดิมที่ใช้ในทางศาสนามักกีดกันผู้หญิงออกไปโดยไม่จำเป็น และนับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา การแปลพระคัมภีร์ไบเบิลได้เริ่มใช้ภาษาที่มีความหมายครอบคลุมทั้งสองเพศมากขึ้น และไม่ใช้คำที่เจาะจงเพศเหมือนแต่ก่อน โดยในคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ที่แปลโดยนายจอห์น เฮนสัน และ ONE Community for Christian Exploration เมื่อปี 2546 ได้เรียกพระเจ้าว่า “ผู้ปกครอง” แทนที่คำเดิมที่เรียกว่า “พระบิดา” เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์นิกายต่างๆในอังกฤษที่มีการใช้คำนามทั้ง 2 เพศเรียกพระเจ้า อีกทั้งยังใช้ภาษาและคำอุปมาอุปไมยที่มีความหมายครอบคลุมทั้งสองเพศ ในหนังสือคำสอนและการประกอบพิธีกรรมต่างๆอีกด้วย
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โซเชียลตื่น!! "น้ำทะเลแยก" แบ่ง 2 ฝั่งชัด!! ชาวฮ่องกงอึ้ง.. ดูคล้ายในไบเบิล !? (ชมคลิป) 2015-06-03 18:06:01

    ชาวเน็ตตื่น กระแสคลิปน้ำทะเลนอกชายฝั่งฮ่องกงแยกออกเป็น 2 ฝั่ง คล้ายเหตุการณ์โมเสสแหวกน้ำทะเล ที่มีบันทึกในคัมภีร์ไบเบิล

    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/0MguHJeDqV4" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    วันนี้ (3 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวโลกอินเตอร์เน็ตกำลังแตกตื่นกับคลิปปรากฏการณ์ประหลาดกลางทะเล นอกชายฝั่งเกาะฮ่องกง โดยคลิปดังกล่าวมีผู้อ้างว่าถูกบันทึกภาพไว้โดยกลาสีเรือคนหนึ่ง ซึ่งได้พับเข้ากับเหตุการณ์สุดระทึก เมื่อจู่ๆ น้ำในทะเลก็เกิดการเคลื่อนไหวอย่างประหลาด ก่อนแยกออกจากกันเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน คล้ายกับเรื่องราวที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ขณะที่โมเสส ได้ทำการอัศจรรย์แหวกน้ำในทะเลแดง เพื่อเป็นทางเดินให้แก่ชาวยิวที่กำลังอพยพ

    โดยหลังจากคลิปดังกล่าวเผยแพร่ออกสู่สายตาสาธารณชน ก็ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายและรวดเร็ว โดยมีบางรายให้ความคิดเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ราวกับเหตุการณ์ในคัมภีร์ไบเบิลไม่มีผิด

    นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า เกิดจากรอยแยกของพื้นใต้ท้องทะเล ขณะที่มีบางส่วนกล่าวว่าคลิปดังกล่าวนั้นเป็นคลิปเก่าไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด

    คลิปจาก WebTV53

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dhanu Gendra

    (ธนูเกณฑร์) ทำนายไว้ในงานสัมมนา "นักเศรษฐศาสตร์ ปะทะ โหราจารย์ : อนาคตเศรษฐกิจไทย 2557" เมื่อ 17 มกราคม 57 ที่ศูนย์ประชุมไบเทค-บางนา
    "...ด้านนายชูศักดิ์กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 จะเข้าสู่วงรอบ 18.6 ปี อีกครั้ง จึงมีโอกาสเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งภาค 2
    เพราะวงรอบ 18.6 ปี เกี่ยวข้องกับ “วิกฤติเศรษฐกิจอันเกิดจากหนี้สิน” ครั้งที่แล้วอยู่ในช่วงปี 2539-2540 ทำให้เกิดฟองสบู่ หนี้ภาคเอกชนที่กู้ยืมมากคือจุดตายของวงรอบก่อน
    แต่ครั้งนี้จุดตายอยู่ที่ “หนี้ภาครัฐ” โดยเฉพาะหนี้จากโครงการประชานิยมซึ่งเกิดแล้วแต่ยังไม่ถูกเปิดโปงออกมา ซึ่งถ้าถูกเปิดเผยออกมาจะทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ หนี้ของภาครัฐที่ระเบิดออกมาจะทำให้เศรษฐกิจทั้งประเทศทรุด
    ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูตามสถิติจะเห็นได้ว่ารอบของราหูทุกๆ 18.6 ปีนั้นจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นทุกครั้ง เช่น ครั้งที่ปี 40 เกิดวิกฤติฟองสบู่แตกเป็นต้น
    “วงรอบของราหูวนกลับมาครบรอบทุกๆ 18.6 ปี ดวงดาวจะโคจรเป็นทีสแควร์ จะมีผลต่อการเมืองและเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
    บ่งบอกว่าวิกฤติทางเศรษฐกิจกำลังจะกลับมาแล้วซึ่งจะกินเวลาประมาณ 2 ปี และมีโอกาสเกิดขึ้นสูง
    แต่อาจยังไม่เห็นในปีนี้ (57) แต่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า (58)” นายชูศักดิ์กล่าว...
    -------------------------------------------------------------------
    ปีนี้ 2558 เราได้เห็นผลของ T-square ของราหู-มฤตยู-พลูโตชัดเจนแล้ว
    GDP ไม่โต เงินเฟ้อติดลบ 5 เดือนซ้อน ธปท.ลดดอกเบี้ยติดกัน 2 ครั้ง ส่งออกติดลบต่อเนื่อง 5 เดือน หนี้เสียของ SME โตกว่า 25 % ธนาคารเริ่มปกปิดหนี้เสียไม่ได้แล้ว
    ท่านที่ยังสงสัยไม่แน่ใจ โปรดรอดูต่อไป ปีหน้า 2559 เศรษฐกิจไทยเข้า ICU แน่นอน
    ธนูเกณฑร์ (4/6/58)


    นักเศรษฐศาสตร์ห่วง “การเมือง” โหราจารย์ฟันธงสถานการณ์เข้าสู่โหมดปฏิรูป -“ทักษิณ-ยิ่งลั
     

แชร์หน้านี้

Loading...