ติดตามสถานะการณ์

ปิยวุฒิ ปิยาภิชาต

สายการบินขาดทุนแล้วส่อแววล้ม
•31 พฤษภาคม 2558 เวลา 07:38 น. |



สายการบินโคม่า จับตาแอร์ไลน์ล้มเซ่นพิษ ICAO ลุ้นสหรัฐหากสอบตกกระทบบินไทยแน่

นายชัยรัตน์ แสงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ สายการบินเจ็ทเอเชีย แอร์เวย์ เปิดเผยภายในงานเสวนาฝ่าวิกฤตการบินของไทย ว่า หากในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ประกาศปักธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยในเว็บไซต์ว่า ไทยมีข้อบกพร่องด้านการบินที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย (ASC) จะส่งผลกระทบต่อสายการบินของไทยในภาพรวมรุนแรง โดยเฉพาะสายการบินที่ทำการบินแบบเช่าเหมาลำ

นายชัยรัตน์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ ICAO เข้ามาตรวจสอบและพบข้อบกพร่องในการกำกับดูแลสายการบินของกรมการบินพลเรือน (บพ.) ทำให้ขณะนี้มีสายการบิน 4-5 แห่ง ที่ทำการบินระหว่างประเทศประสบปัญหาขาดทุนแล้ว หาก ICAO มีการปักธงแดงเพิ่ม และสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ของสหรัฐเข้ามาตรวจสอบและประกาศลดระดับมาตรฐานทางการบินของไทยลงมาจากกลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่ 2 จะทำให้มีสายการบินหลายแห่งต้องล้มหายไปจากระบบ

“ตอนนี้สายการบินทุกแห่งต้องปรับตัวโดยการหาพาร์ตเนอร์ในการบริหารต้นทุน เพราะจะมีต้นทุนเพิ่มจากค่าใช้จ่ายในการดูแลมาตรฐานความปลอดภัยและการถูกจำกัดการบินจากประเทศต่างๆ ได้ในอนาคต ขณะที่บริษัทได้มีการปรับแผนจากเดิมที่ภายในปีนี้จะสั่งเครื่องบินเข้ามา 6 ลำ แต่เมื่อมีปัญหาก็ต้องชะลอการสั่งซื้อเครื่องบินไว้ก่อน และหันมาเน้นตลาดหลักที่มีอยู่ เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย” นายชัยรัตน์ กล่าว

นายชัยรัตน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินจะต้องเข้ามาแก้ปัญหาในเรื่องมาตรฐานการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยทางการบิน โดยเฉพาะการกำกับดูแลจะต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ และต้องไม่ให้ระบบอุปถัมภ์เข้ามาแทรกแซงความเป็นมืออาชีพทางด้านการบินและความปลอดภัยได้ รวมถึงจะต้องแก้ปัญหาสมองไหล เนื่องจากปัจจุบันฝ่ายตรวจสอบมาตรฐานการบินที่อยู่กับ บพ.ได้รับผลตอบแทนไม่เกิน 6 หมื่นบาท/เดือน ขณะที่ตลาดทั่วไปมีการจ้างนักบิน 2-3 แสนบาท/เดือน

นายสัมพันธ์ พงศ์ไทย อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ไทยจะต้องเตรียมพร้อมรับกับการตรวจของ FAA เพราะวิกฤตการบินของไทยรุนแรงมาก และหาก FAA และองค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (EASA) เข้ามาตรวจและพบความไม่ได้มาตรฐานในการกำกับดูแล ผลกระทบจะรุนแรงไปถึง 8-9 ริกเตอร์ เช่น บริษัท การบินไทย ที่บินไปสหรัฐ 4 เที่ยวบิน/สัปดาห์ จะได้รับผลกระทบ หากเป็นกรณียุโรปผลกระทบจะไม่มีเฉพาะการบินไทย แต่จะครอบคลุมไปยังสายการบินอื่นด้วย จึงต้องติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิด



สายการบินขาดทุนแล้วส่อแววล้ม - โพสต์ทูเดย์ ข่าวธุรกิจ-ตลาด

 

ปิยวุฒิ ปิยาภิชาต

หยุดให้กู้อสังหาต่างจังหวัด รายใหม่หมดสิทธิ์-แบงก์ผวาNPL
updated: 30 พ.ค. 2558 เวลา 08:59:58 น.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



อสังหาฯต่างจังหวัดซัพพลายล้นขายไม่ออก คอนโดฯดีมานด์ดิ่ง 60%ผู้ประกอบการรายใหญ่ถอย แบงก์หวั่นเอ็นพีแอลพุ่ง เข้มปล่อยกู้ดีเวลอปเปอร์ "กลาง-เล็ก" หน้าใหม่หมดสิทธิ์ รายเก่าเจอเช็กประวัติยิบ-หั่นวงเงิน "กรุงไทย" เน้นสินเชื่อเฉพาะกลุ่มท็อปมาร์เก็ตแชร์ "ซีไอเอ็มบี" โฟกัสโครงการใกล้นิคม

อสังหาโอดแบงก์บี้เช็กประวัติยิบ

นายกฤช หิรัญกิจ ประธานที่ปรึกษาสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้สถาบันการเงินเข้มงวดการพิจารณาปล่อยกู้พรีไฟแนนซ์ หรือสินเชื่อโครงการมาก หากเป็นผู้ประกอบการรายกลาง-รายเล็กที่เป็นหน้าใหม่แทบจะไม่ปล่อยกู้เลย และเป็นทุกสถาบันการเงินไม่เฉพาะธนาคารกรุงไทยเท่านั้น ส่วนถ้ามีประสบการณ์พัฒนาโครงการมาก่อน ถึงแม้จะอนุมัติสินเชื่อแต่วงเงินที่ได้ลดลง จากเดิมเคยให้ 80-90% ของที่ยื่นกู้ เหลือ 70-75% ของค่าก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการคอนโดฯจะถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง

ถึงแม้มีประสบการณ์ทำโครงการก่อน แต่ถ้ามีประวัติโครงการในอดีตขายไม่ดี สถาบันการเงินก็อาจไม่ปล่อยกู้ การปรับตัวของผู้ประกอบการตอนนี้คือชะลอโครงการใหม่ เห็นได้จากภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 4 เดือนแรก โครงการใหม่เปิดตัวเพียง 3 โครงการ เป็นบ้านจัดสรรทั้งหมด

นายกฤชกล่าวว่า จากประสบการณ์พัฒนาที่ดินภายใต้ บริษัท ยูไนเต็ด เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด ขณะนี้ยอดขายคอนโดมิเนียมชะลอตัว ปัจจุบันบริษัทมีโครงการไอคอนโด ในอำเภอเมืองที่กำลังเปิดขาย เดิมออกแบบไว้ 4 อาคาร แต่ปัจจุบันปรับแผนเปิดขาย 2 อาคาร หลังจากเปิดขายมาเกือบ 2 ปี ปัจจุบันมียอดขายรวม 70% จากทั้งหมด 135 ยูนิต และขายได้เดือนละ 1-2 ยูนิต จากช่วงเศรษฐกิจบูมได้เฉลี่ยเดือนละ 20 ยูนิต

สอดคล้องกับ นายอานนท์ น้อยอ่ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภานน จำกัด ผู้พัฒนาโครงการบ้านนนนิภา อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า หากขอสินเชื่อโครงการตอนนี้ สถาบันการเงินจะพิจารณาละเอียดมาก ตั้งแต่ 1) มีประสบการณ์หรือไม่ ถ้าไม่มีโอกาสกู้ผ่านจะน้อยมาก 2) ทำเลที่ตั้ง 3) สัดส่วนเงินทุน และการเบิกเงินต้องมียอดจองก่อน จึงจะเบิกเงินค่าก่อสร้างได้ และแม้บางรายถึงมีประสบการณ์ แต่โครงการในอดีตขายไม่ดี สถาบันการเงินก็ไม่ปล่อยกู้

ส่วนภาวะยอดขายขณะนี้ยังชะลอตัว โครงการบ้านนนนิภาวิวดอย เฟสที่ 4 จำนวน 87 ยูนิต ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 2-4 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายลดลงเหลือเฉลี่ยเดือนละ 8-10 ยูนิต จากปีก่อนเฉลี่ยเดือนละกว่า 10-20 ยูนิต ประเมินว่ากำลังซื้อน่าจะชะลอตัวถึงปลายไตรมาส 3

หั่นวงเงิน-คอนโดหมดสิทธิ์

นายชาญณรงค์ บุริสตระกูล กรรมการผู้จัดการ กลุ่ม บ.อีสานพิมานกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในการพิจารณาสินเชื่อโครงการทราบว่า สถาบันการเงินยังปล่อยให้กับผู้ประกอบการรายกลาง-รายเล็กที่มีประสบการณ์อยู่ แต่การอนุมัติยากขึ้นและได้วงเงินลดลง เช่น เดิมเคยได้ 70% ของที่ยื่นกู้ ปัจจุบันลดเหลือ 60% เป็นต้น ส่วนคอนโดฯจะไม่ปล่อยเลย ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ ผู้ประกอบการบางรายอาจต้องหยุดเปิดตัวโครงการเพิ่ม หรือลดขนาดโครงการลง จนกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว เพราะปัจจุบันกำลังซื้อยังไม่ฟื้น เทียบแล้วชะลอตัวจากปีก่อน 20%

นายจักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท รัตนากร แอสเซท จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาฯท้องถิ่นในเมืองพัทยา เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ภาพรวมบ้านจัดสรรในเมืองพัทยา มียอดขายชะลอตัวลง 40% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ส่วนคอนโดฯชะลอตัวลง 60% เพราะเศรษฐกิจและลูกค้าชาวรัสเซียลดลง

ประเมินว่าภาพรวมไตรมาส 2-3 น่าจะตกต่ำที่สุด และเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 เพราะเข้าสู่ไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว การปรับตัวของบริษัทได้หยุดการพัฒนาคอนโดฯมาตั้งแต่ปี 2553 และพัฒนาเฉพาะบ้านจัดสรรร ขณะที่ภาพรวม 4 เดือนแรก แทบไม่เห็นผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กเปิดตัวโครงการคอนโดฯใหม่ เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อมาก ถ้าเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ สถาบันการเงินจะไม่ปล่อยกู้เลย

นายพีระ หงส์ชยางกูร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท หาดใหญ่นครินทร์ จำกัด ในเครือ บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังซื้อบ้านในหาดใหญ่ยังชะลอตัว ปัจจุบันโครงการปาล์มสปริง แกรนด์ วิลล์ เป็นบ้านเดี่ยวราคาเริ่มยูนิตละ 5 ล้านบาท มียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 3-4 ยูนิต เทียบกับช่วงเศรษฐกิจดีขายได้เฉลี่ยเดือนละ 10 ยูนิต

การปรับตัวต้องมองทำเลขึ้นโครงการใหม่ให้รอบคอบขึ้น เป็นทำเลที่มีแนวโน้มที่จะพัฒนาในอนาคต เช่น ถนนพรุค้างคาว เป็นทำเลที่บริษัทจะเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง จุดเด่นคือมีสวนสาธาณะ และมีโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย 2 เป็นโรงเรียนประจำขนาดใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่กลุ่มทุนอสังหาฯจากส่วนกลางที่ก่อนหน้านี้แห่ขยายออกสู่ต่างจังหวัด ปีนี้ก็ชะลอกันไปอย่างชัดเจน อย่างกรณี บมจ.แสนสิริ ที่เปิดโครงการคอนโดฯและบ้านจัดสรรในต่างจังหวัดปี 2555-2556 ไม่ต่ำกว่า 20 โครงการ อาทิ ภูเก็ต หัวหิน-ชะอำ เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น ฯลฯ ตั้งแต่ปี 2557 ได้ชะลอเปิดโครงการคอนโดฯในต่างจังหวัด และเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้หยุดการขายโครงการเดอะเบส เซ็นทรัล อุดรฯ ขณะที่ปี 2558 ยังไม่มีแผนเปิดคอนโดฯต่างจังหวัดเพิ่ม

"กรุงไทย" เน้นท็อปดีเวลอปเปอร์

นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันแบงก์ได้หันมาโฟกัสการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ระดับท็อปของอุตสาหกรรมเป็นหลักเพื่อขยายส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อกลุ่มนี้ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็สามารถสร้างมาร์เก็ตแชร์เพิ่มเป็น 10% จากเดิมมีไม่ถึง 5%

"กลุ่มสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้เราเน้นท็อปดีเวลอปเปอร์ โดยดูทั้งประเภทโครงการ ที่ตั้งโครงการ และดูโอกาสการปล่อยกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้ซื้อในโครงการของดีเวลอปเปอร์กลุ่มนี้ด้วย ส่วนผู้ประกอบการที่อยู่ใน Second Tier หรือ Third Tier หรือที่เป็นรายกลาง-เล็ก ช่วงนี้เราจะไม่ค่อยปล่อย เพราะกลุ่มนี้ยังมีปัญหาเรื่องหนี้เสียที่ยังเยอะอยู่ การโฟกัสท็อปดีเวลอปเปอร์ก็เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต และใช้เวลาแก้ปัญหาของอดีตให้จบ" นายวรภัคกล่าว

นอกจากนี้ปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยได้ปรับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อสำหรับลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) และลูกค้ารายย่อย เป็นการรวมศูนย์การพิจารณาสินเชื่อไว้ที่ส่วนกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อย่นเวลาพิจารณาสินเชื่อให้เร็วขึ้น ซึ่งตอนนี้สามารถลดเวลาให้เหลือภายใน 8-10 วัน จากเดิมใช้เวลาถึง 30 วัน ทั้งมีวัตถุประสงค์เพิ่มตะแกรงการคัดกรองสินเชื่อให้เข้มมากขึ้น เพื่อป้องกันหนี้เสียในอนาคต จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อของแบงก์เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับงบฯแบงก์กรุงไทย ณ สิ้นไตรมาส 1/58 พบว่า มีสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น 10,377 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.35% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2557 โดยเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อของลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็กและลูกค้ารายย่อย

เคแบงก์ไม่ให้กู้หน้าใหม่-ไซซ์เล็ก

ขณะที่นายพัชรสมะลาภารองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า กลุ่มดีเวลอปเปอร์รายเล็กที่เป็นรายใหม่ ธนาคารไม่ได้ขยายสินเชื่อเพิ่มมาประมาณ 2 ปีแล้ว เนื่องจากมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ในภาวะล้นตลาด และหากไม่ใช่ผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงในตลาดและไม่มีความพร้อมทางการเงินจริง ก็อาจทำธุรกิจได้ลำบาก

สำหรับการปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีโดยรวมของธนาคารจะเป็นการปล่อยแบบรวมศูนย์ที่สำนักงานใหญ่เท่านั้นไม่เคยกระจายอำนาจการปล่อยสินเชื่อให้แก่สาขาเนื่องจากต้องการคัดกรองลูกค้าที่มีคุณภาพเท่านั้น หากปล่อยให้สาขาสามารถอนุมัติสินเชื่อได้อาจเป็นการสุ่มเสี่ยงเกินไป และที่สำคัญคือธนาคารไม่ได้ต้องการเร่งปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขนาดนั้น

ด้านนายจิรัชยุติ์ อัมยงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพาณิชย์ธนกิจ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ยอมรับว่า ที่ผ่านมาธนาคารค่อนข้างระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม คอมมิวนิตี้มอลล์ เนื่องจากมองว่าเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายแล้ว รวมทั้งกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพืชผลเกษตร เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ดังนั้นผู้ขอสินเชื่อกลุ่มนี้ ธนาคารอาจเรียกเอกสารหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มเติม โดยเลือกลูกค้าที่มีประวัติการเงินดี มีผลงานชัดเจนก่อน ส่วนลูกค้าใหม่ก็ต้องไม่มีประวัติการเป็นหนี้เสียในรอบ 2 ปี

ปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพืชผลการเกษตรประมาณ 10% ของพอร์ตสินเชื่อรวมที่มีอยู่ประมาณ 50,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์สัดส่วนประมาณ 9%

อย่างไรก็ตาม นโยบายการปล่อยสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีของธนาคารจะเน้นการกระจายความเสี่ยง โดยควบคุมสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อของในแต่ละกลุ่มไว้ให้อยู่ในระดับประมาณ 5-10% ขณะที่ขั้นตอนการอนุมัติจะสกรีนถึง 2 ชั้น ผ่านเจ้าหน้าที่ดูแลลูกค้า (RM) กว่า 180 คน ใน 25 ศูนย์ธุรกิจทั่วประเทศ ที่จะพิจารณาข้อมูลในเบื้องต้นประมาณ 80-90% จากนั้นจะส่งต่อมาที่สำนักงานใหญ่ให้เป็นผู้พิจารณาอนุมัติเพื่อควบคุมการเกิดเอ็นพีแอล วิธีการดังกล่าวส่งผลให้เอ็นพีแอลในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีของธนาคารขณะนี้อยู่ในระดับไม่ถึง 1%

"กลุ่มอสังหาฯเราจะเลือกปล่อยในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เช่น อพาร์ตเมนต์ให้เช่าใกล้นิคมอุตสาหกรรม บ้านเดี่ยวตามหัวเมืองใหญ่ แต่คอนโดฯตอนนี้เราค่อนข้างระมัดระวัง และภาพโดยรวมของธุรกิจเอสเอ็มอีก็คงจะต้องระมัดระวังมากขึ้น ๆ จนกว่าจะเริ่มเห็นการอัดฉีดงบประมาณเข้าสู่ระบบ ทั้งการลงทุนขนาดใหญ่และการลงทุนระดับภูมิภาค ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและกว่าจะเห็นภาพที่เอสเอ็มอีฟื้นดีขึ้นชัดเจน อาจจะเป็นในช่วงครึ่งแรกของปี 2559" นายจิรัชยุติ์กล่าว

สินเชื่อQ1 ลด 1.8 หมื่นล้าน

รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ภาพรวมสินเชื่อธุรกิจในไตรมาส 1/58 มียอด คงค้างอยู่ที่ 7.73 ล้านล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อน 1.8 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ยังพบว่า สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างมีเอ็นพีแอลคงค้าง ณ สิ้นไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 3.56 หมื่นล้านบาท และมีอัตราส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 4.5% รองลงมา ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรม 3.5% ธุรกิจบริการ 3.2% ภาคการพาณิชย์ 3.1% และสาธารณูปโภค 1.0%

คอนโดฯ ตจว.ล้น-ดีมานด์ดิ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ธนาคารเกียรตินาคินได้เปิดเผยผลวิจัยตลาดที่อยู่อาศัยในหัวเมืองต่างจังหวัดพบว่า เมื่อเปรียบเทียบช่วงครึ่งปีหลัง 2556 และครึ่งปีหลัง 2557 ส่วนใหญ่มีดีมานด์ลดลง ได้แก่ คอนโดฯจังหวัดภูเก็ต มีดีมานด์ลดลง 29% โครงการแนวราบจังหวัดชลบุรี ดีมานด์ลดลง 38% โครงการคอนโดฯจังหวัดชลบุรี ดีมานด์ลดลง 47% โครงการคอนโดฯจังหวัดเชียงใหม่ลดลง 62% และโครงการแนวราบจังหวัดเชียงใหม่ลดลง 66%

นายวิศรุต ปัญญาภิญโญผล ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1 ธนาคารเกียรตินาคิน เปิดเผยว่า ภาพรวมคอนโดฯในต่างจังหวัดมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีซัพพลายคงเหลือจำนวนมาก คาดว่าต้องใช้เวลาดูดซับอีก 1-2 ปี จึงควรหลีกเลี่ยงการลงทุน

เมื่อเปรียบเทียบผลวิจัยช่วงครึ่งปีหลัง 2556 และครึ่งปีหลัง 2557 กรณีจังหวัดชลบุรี โครงการคอนโดฯเมืองพัทยา พบมีอัตราดูดซับ 21% และดีมานด์ติดลบ 41%, จังหวัดภูเก็ต (ตอนล่าง) คอนโดฯมีอัตราดูดซับ 18% และมีดีมานด์ติดลบ 57%, จังหวัดเชียงใหม่ โครงการคอนโดฯในอำเภอเมือง มีอัตราดูดซับ 21% ดีมานด์ติดลบ 62% ฯลฯ


หยุดให้กู้อสังหาต่างจังหวัด รายใหม่หมดสิทธิ์-แบงก์ผวาNPL : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

ปิยวุฒิ ปิยาภิชาต

ชี้เศรษฐีไทยแห่โอนทรัพย์สินไปต่างประเทศ หวังเลี่ยงภาษีมรดก
updated: 29 พ.ค. 2558 เวลา 16:01:18 น.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



29 พ.ค. นายกสมาคมนักวางแผนทางการเงิน ชี้เศรษฐีไทยแห่โอนทรัพย์สิน – เงิน ตั้งทรัสต์ในต่างประเทศ หวังเลี่ยงภาษีมรดก

นายธีระ ภู่ตระกูล นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ยอมรับว่า มีความเป็นห่วงกรณีที่รัฐบาลจะมีการจัดเก็บภาษีมรดก เพราะอาจได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องจากปัจจุบันมีเศรษฐีไทยจำนวนมาก โอนทรัพย์สิน ทั้งที่ดิน บ้าน คอนโดมีเนียม และหุ้น ให้กับบุตรหลานเพื่อไม่ต้องเสียภาษีมรดก และมีอีกจำนวนมากที่โอนเงินออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สิงคโปร์และฮ่องกงทีไม่มีการจัดเก็บภาษีมรดก โดยเงินที่ออกไปจะนำไปลงทุนในรูปของทรัสต์ ซึ่งเป็นการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคลที่มีผู้ดูแล หรือ ทรัสตรี ซึ่งในต่างประเทศมีการลงทุนในลักษณะนี้จำนวนมาก ดังนั้นจึงน่าเสียดายที่ไทยจะสูญเสียเงินจากกลุ่มเศรษฐีกลุ่มนี้ที่นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศแทน

ฉะนั้นจึงเสนอให้กระทรวงการคลังออกกฎหมายทรัสต์ ควบคู่กับการจัดเก็บภาษีมรดก เพื่อให้เศรษฐีนำเงินมาลงทุนในประเทศมากกว่า เพื่อให้สินทรัพย์ดังกล่าวยังอยู่ในไทย และจากประสบการณ์พบว่าในหลายประเทศมีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีมรดกไปแล้ว ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการเพิ่มรายได้ภาษี ควรจัดเก็บจากส่วนอื่นจะคุ้มกว่า เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม

สำหรับการพัฒนานักวางแผนทางการเงินของไทยในปัจจุบันมีเพียง 133 รายที่ได้รับในอนุญาตการเป็นนักวางแผนทางการเงิน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนที่มีจำนานกว่า 1,000 ราย ทำให้สมาคมต้องเร่งพัฒนานักวางแผนทางการเงินให้มีออกมากขึ้น คาดเพิ่มเป็น 170 คนในปีนี้ และ 500 คนในอนาคต เพื่อรองรับการเปิดเออีซีที่สามารถให้คนในอาเซียนทำงานข้ามประเทศได้ โดยในปัจจุบันทั่วโลกมีนักวางแผนทางการเงินอยู่ที่ 157,000 ราย ใน 26 ประเทศ ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มนักวางแผนทางการเงินให้ได้เป็น 250,000 ราย ใน 40 ประเทศ

ทั้งนี้ นักวางแผนทางการเงินในปัจจุบันถือว่ามีบทบาทสำคัญ ในการให้ความรู้กับนักลงทุนและบุคลทั่วไปแบบส่วนบุคคลในการวางแผนทางการเงินเพื่อเพิ่มมูลค่าเงินที่มีอยู่ซึ่งทุกวันนี้รูปแบบการบริการทางการเงินมีความเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณอายุ ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ตลาดทุนในประเทศไทยเกิดการพัฒนามากขึ้นตามไปด้วย



ที่มา สำนักข่าวไทย

ชี้เศรษฐีไทยแห่โอนทรัพย์สินไปต่างประเทศ หวังเลี่ยงภาษีมรดก : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย
วันที่ 30 พ.ค.58 จีน กับ อเมริกา ขู่จะทำสงครามโลกครั้งที่ 3 กันแล้ว



หมู่เกาะสแปรทลี ในทะเลจีนใต้เป็นจุดหนึ่งที่หลายประเทศประกอบด้วย ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย,ไต้หวัน, และเวียดนาม ระบุว่าอยู่ในน่านน้ำของตน ต่อมาจีนได้ก่อสร้างเกาะเทียมขึ้นมาในหมู่เกาะสแปรทลี มีการก่อสร้างทั้งสนามบิน, ท่าเรือ และตึกต่างๆ ที่สามารถนำเครื่องบินขึ้นลง และเป็นท่าจอดเรือรบได้ด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเครื่องบินของสหรัฐ บินแหย่เข้าไปเหนือหมู่เกาะที่ยังเป็นข้อพิพาทกันอยู่ และถูกกองทัพจีนเตือนว่าถ้าไม่รีบออกไปจะสอยให้ร่วงตกทะเล ทำให้อเมริกาโกยอ้าว ด้านรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ บอกว่าเขาไม่ยอมรับเกาะเทียมที่จีนสร้างขึ้น...(อ้าววว เกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย !!)

จึงมีประกาศกร้าว จากพรรครัฐบาลของจีน ระบุว่าจีนไม่ต้องการสงคราม แต่หากสหรัฐ มาแทรกแซงไม่ให้จีนดำเนินการใดๆ ดังนั้นสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และได้เร่งได้ขนอาวุธยุทโธปกรณ์ ติดตั้งอาวุธพิสัยไกล, ปืนต่อสู้อากาศยาน, และเที่ยวบินสอดแนม เพิ่มแสนยานุภาพทางทหารที่ขยายทั่วเส้นทางการเดินเรือ

ด้านชาติตะวันตก ขู่กลับว่าถ้าจีนตัดสินใจผิดพลาดในสถานการณ์เป็นจริง สงครามคงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะแต่ละประเทศก็มี ”เส้นยาแดง” ของตนเอง...(นี่คือยุทะธศาสตร์ปักหมุดเอเซียของอเมริกา)

------------------------------------------>
อย่าไปดูแค่ระยะทางว่าใกล้หรือไกลประเทศไหนเป็นของคนนั้น เพราะเกาะดิเอโกกราเซีย ในมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาก็อ้างว่าเป็นของเขา หรือนิวซีแลนด์ อยู่แถวออสเตรเลีย ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ดังนั้นใกล้หรือไกล เอามาวัดไม่ได้

ถ้าให้เพจนี้ฟันธง รับรองว่าจีนไม่วันถอยหยุดก่อสร้างฐานทัพตรงนี้แน่ๆ เพราะจีนต้องการบล็อคเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ และพลังงาน ของชาติตะวันตกและพันธมิตร ที่ไปญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เช่นกัน และต้องการผงาดเป็นพี่ใหญ่ย่านนี้ และเบียดอเมริกาออกไป

หากต่างฝ่ายไม่ยอมถอย การกดขีปวุธโป้งป้างขึ้นมา ก็อาจบานปลายนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบได้ และนี่คือที่มาของการที่อเมริกา ส่งอาวุธชีวภาพตัวเป็น เชื้อ "โรคแอนแทร็ก" มาทดลองขยายพันธุ์ในห้องทดลองทหารใน เกาหลีใต้

และดันเกิดขนส่งผิดพลาด จนเจ้าหน้าที่เก้าหลีใต้เข้ารับการรักษาด่วนกว่า 20 ราย และยังส่งไปขยายพันธุ์เตรียมก่อสงคราม ในห้องทดลองลับทางทหารในอเมริกาอีก มากกว่า 24 แห่งด้วยกัน

** ลองไปดู ซินนาริโอเสมือนจริง ฉายภาพอนาคต สงครามโลกครั้งที่ 3 คลิ๊กไปที่ https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/291375361052498

@ เสธ น้ำเงิน2 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/thailandcoup

 

บิ๊ก "IMF" ยอมรับ กรีซเสี่ยงกระเด็นจากยูโรโซน
updated: 29 พ.ค. 2558 เวลา 15:15:39 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



นางคริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ยอบรับว่า "เป็นไปได้" ที่กรีซจะต้องออกจากกลุ่มผู้ใช้เงินสกุลยูโรหรือยูโรโซน

อย่างไรก็ตาม นางลาการ์ดกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Frankfurter Allgemeine Zeitung ว่า แม้ว่ากรีซจะออกจากยูโรโซน แต่ไม่ได้หมายความว่าสกุลเงินยูโรจะถึงกาลอวสาน

การเจรจาระหว่างกรีซกับเจ้าหนี้รายใหญ่ 3 องค์การ ได้แก่ IMF, ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และคณะกรรมาธิการยุโรป ในประเด็นการอนุมัติเงินกู้งวดสุดท้ายมูลค่า 7,200 ล้านยูโรให้กับประเทศนี้ ยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่เงินในคลังของคลังของกรีซร่อยหรอลงมากจนอาจไม่พอจ่ายค่าจ้างเจ้าหน้าที่รัฐช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้

ซึ่งนางลาการ์ดเองก็ยอมรับในเรื่องดังกล่าวว่า"เป็นไปได้น้อยมากที่จะสามารถบรรลุข้อตกลงระหว่างกรีซกับเจ้าหนี้ได้ภายในไม่กี่วันข้างหน้า"

ยิ่งไกว่านั้นกรีซมีกำหนดจะต้องชำระเงินคืนให้ IMF 4 ก้อนในเดือนหน้ารวมเป็นเงิน 1,600 ล้านยูโร โดยก้อนแรก 300 ล้านยูโรจะถึงกำหนดจ่ายคืนในวันที่ 5 มิถุนายนนี้ แต่มีแนวโน้มว่า IMF จะยอมขยายเวลาให้กรีซออกไปจนถึงสิ้นเดือนหน้า เพื่อไม่ให้ประเทศดังกล่าวต้องผิดนัดชำระหนี้


บิ๊ก "IMF" ยอมรับ กรีซเสี่ยงกระเด็นจากยูโรโซน : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

ญี่ปุ่นกุมขมับ เงินเฟ้อแตะ 0%
updated: 29 พ.ค. 2558 เวลา 12:43:42 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



ตัวเลขเงินเฟ้อญี่ปุ่นของเดือนเมษายน สร้างความปวดหัวให้กับรัฐบาลที่นำโดยนายชินโสะ อาเบะ เพราะยังคงแผ่วแม้ว่าตลาดแรงงานและภาคการผลิตจะกระเตื้องขึ้น

วอลล์สตรีต เจอร์นัลรายงานว่า การใช้จ่ายภาคครัวเรือนในเดือนที่แล้วลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีกลาย สวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่มองว่าตัวเลขน่าจะดีขึ้นเพราะการใช้จ่ายของปีที่แล้วซึ่งเป็นตัวเปรียบเทียบอยู่ในระดับต่ำมากจากการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในวันที่ 1 เมษายน 2557

ปัจจัยดังกล่าวประกอบกับการลดลงของราคาน้ำมันส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายนที่อยู่ 0% นับเป็นครั้งที่สองในรอบ 3 เดือนที่ระดับราคาคงที่ สะท้อนว่าความพยายามของนายอาเบะในการผลักดันญี่ปุ่นออกจากภาวะเงินฝืดและกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อให้ถึง 2% ยังคงรางเลือน

นักเศรษฐศาสตร์จากมิซูโฮะ ซีเคียวริตีส์ ชี้ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมา "เป็นเหมือนการสาดน้ำเย็นใส่มุมมองแง่บวกเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค" ที่รัฐบาลรวมถึงธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศไว้ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ รัฐบาลและ BOJ ปรับเพิ่มประมาณการการบริโภคภาครัวเรือนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าภาคธุรกิจจะออกมาส่งสัญญาณถึงดีมานด์ที่ซบเซา



ญี่ปุ่นกุมขมับ เงินเฟ้อแตะ 0% : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

ปอกเปลือก ทรราช



G7 ยอมงอไม่ยอมหัก อ่อยจีนว่าจะเพิ่มเงินหยวนเข้าเป็นสกุลเงินหลักในระบบตะกร้าเงินของไอเอ็มเอฟ (G7 backs inclusion of yuan in IMF basket of currencies)
---------------
มีข่าวดีมาบอกอีกข่าวหนึ่งแล้วครับท่านผู้อ่านและแฟนเพจทั้งหลาย คืออย่างนี้เมื่อวันที่ 30 พ.ค.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว chinadaily ของจีนรายงานว่านาย Wolfgang Schaeuble รมว.คลังของเยอรมันกล่าวว่า กลุ่มประเทศ G7 ผู้ทรงอิทธิพลใน IMF ซึ่งประกอบด้วย Canada, France, Germany, Italy, Japan, the United Kingdom, และ the United States ได้มีความเห็นร่วมกันในเบื้องต้นว่าควรจะอนุญาตให้เงินหยวนของจีน (Chinese Yuan) เข้าเป็นส่วนหนึ่งในระบบตะกร้าเงินอ้างอิง (basket of reference currencies) ของสกุลเงินหลักต่างประเทศใน IMF ด้วย แต่…เยอรมันบอกว่า ยังไม่ต้องรีบ (but there is no need to rush)
นั่นแหละลูกเล่นของอียูเขาหละ อ่อยไว้ก่อน เพื่อดูกระแสตอบรับจากจีน ยื่นข้อเสนอไปแต่ยังไม่บอกเงื่อนไข ถ้าสนใจก็มาคุยกันหลังไมค์ จีนบอกก็ดี แต่ถ้าจะให้จีนไปง้อเยอรมันกับ G7 นั้นฝันไปเหอะ เพราะจีนกับรัสเซียและประเทศอื่นๆกำลังจะร่วมมือกันฆ่าดอลล่าร์สหรัฐฯด้วย AIIB, BRICS และ Eurasia
Wolfgang Schaeuble กล่าวต่อในที่ประชุม G7 อีกว่า "มีประเด็นทางด้านเทคนิคนิดหน่อย และประเด็นทางเทคนิคที่ว่านี้ก็ยังไม่ได้เปิดเผยออกมา พวกเรามีความเห็นร่วมกันในภาพรวมทั่วโลก แต่คงไม่เป็นผลดีนักที่จะรีบเร่งในตอนนี้"
ก่อนหน้านี้กรุงปักกิ่งพยายามที่จะผลักดันให้สกุลเงินหยวนเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในระบบการเงินโลก ซึ่งรวมทั้งในระบบตะกร้าเงินที่สร้างให้สิทธิ์พิเศษในการถอนของ IMF ด้วย แต่ก็ถูกกดหัวโดยสหรัฐฯและอียูมาโดยตลอด แต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาทาง IMF ออกมากล่าวว่าเงินหยวนไม่ควรเป็นสกุลเงินที่มีราคาต่ำเกินไป
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเงินหยวนอาจจะกลายเป็นสกุลเงินสำรองทั่วโลกอย่างเป็นทางการภายในสิ้นปีนี้ การรวมเงินหยวนเข้าในระบบตะกร้าเงินของ IMF อาจจะช่วยให้เงินหยวนมีการใช้ระหว่างประเทศด้วย
ปัจจุบันนี้ระบบตะกร้าเงิน (basket of currencies) ประกอบด้วยสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ, เงินยูโร, เงินปอนด์ของอังกฤษ และเงินเยนของญี่ปุ่น การเพ่ิมเงินหยวนเข้าไปจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกของ IMF มากกว่า 70% การหารือกันของ IMF ในครั้งนี้เป็นการพูดคุยกันถึงความเป็นไปได้ว่าเงินหยวนจะสามารถใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนข้ามพรมแดนและใช้ในระบบการโอนเงินได้หรือไม่? เรื่องอื่นๆยังประกอบด้วยการพิจารณาว่าเงินหยวนจะสามารถใช้เป็นสินทรัพย์สำรอง ปริมาณการซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนเงินต่างตราต่างประเทศได้หรือไม่? และว่าเงินหยวนสามารถที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ด้วยหรือไม่?
จากบันทึกงานวิจัยพบว่า กลุ่มธนาคารในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์กล่าวว่ากำลังใช้มาตรฐานเหล่านี้อยู่แล้ว เงินหยวนอาจจะได้รับคะแนนที่สูงขึ้นกว่าเงินเยนของญี่ปุ่นแม้จะเป็นเพียงการจำลองเท่านั้น งานวิจัยสรุปว่า "ดังนั้น สกุลเงินของจีนจึงมีคุณสมบัติพร้อมที่จะรวมเข้าในระบบตะกร้า SDR ด้วย (สอบผ่าน)"
ตามข้อมูลที่ได้จากสมาคมระบบการโอนเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunications) ซึ่งดูแลการโอนเงินให้กับสถาบันทางด้านการเงินทั่วโลกระบุว่า เงินหยวนได้กลายเป็นสกุลเงินที่มีการชำระมากเป็นอับดับที่ 5 ของโลกในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งแซงหน้าเงินดอลล่าร์แคนาดาและดอลล่าร์ออสเตรเลียไปแล้ว
Liu Ligang ประธานนักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท The Australia and New Zealand Banking Group Limited (ANZ) ในจีนกล่าวว่า "ดูเหมือนว่าเงินหยวนจะกลายเป็นสกุลเงินระหว่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ภายใน 5 ปีนี้"
จีนได้แซงหน้าสหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่มีการซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2013 Liu Ligang คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้มูลค่าการซื้อขายระหว่างประเทศ (cross-border trade) ของจีนประมาณ 30% จะมีการชำระเป็นเงินหยวน
ปัจจุบันนี้มีธนาคารกลางมากกว่า 30 แห่งเชื่อว่าได้เริ่มทำการสำรองการกระจาย (diversification) ไปสู่เงินหยวนไว้แล้ว ในขณะที่จีนก็ได้ขยายการซื้อขายเงินหยวนออกไปในวงกว้างมากขึ้น และมูลค่าของเงินหยวนก็ได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้น
Tamara Henderson นักเศรษฐศาสตร์จาก Bloomberg กล่าวว่า "มีการใช้สกุลเงินของจีนเพิ่มมากขึ้น และพวกนักการเมืองใน IMF ก็สนับสนุนมากขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากจีนเป็นประเทศมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง ในขณะประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนมากยังคงนิ่งอยู่กับที่ บัดนี้จีนมีน้ำหนักในการตัดสินในในเรื่องระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และเนื่องจากว่าอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนกำลังโตขึ้น การให้สถานะใน SDR ในขั้นตอนนี้น่าจะเป็นการแสดงออกของเจตจำนงค์ที่ดี" สำนักข่าว AFP ก็อ้างอิงรายงานนี้ด้วย
+ วิเคราะห์เสริม
-----------
มีบางประเด็นที่น่าสนใจอยู่บ้างดังนี้ นี่คือการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของ G7 และ IMF ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ แต่ท่าทางของอียูซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญนั้นดูเหมือนว่าจะเริ่มเอียงมาทางจีนมากขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากการที่จีนออกมาประกาศก่อตั้งธนาคาร AIIB และ NDB (BRICS) เมื่อปีที่แล้ว มหาอำนาจในอียูต่างก็ตบเท้าเข้าร่วมกับ AIIB ที่นำโดยจีนด้วยซึ่งมีสมาชิกด้วยกันทั้งหมด 57 ประเทศ ยกเว้นสหรัฐฯและญี่ปุ่น (ซึ่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเช่นกัน)
อียูมองออกว่าจีนได้แซงหน้าอียูไปแล้วในด้านเศรษฐกิจ และกำลังจะแซงหน้าสหรัฐฯในไม่ช้าแน่นอน ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจของสหรัฐฯก็กำลังถอยหลังเข้าคลองมากขึ้นทุกวัน เพราะรัฐบาลสหรัฐฯเอาแต่เที่ยวแทรกแซงยุแย่ต่างประเทศและสร้างสงครามไปทั่ว อีกทั้งเศรษฐกิจของอียูก็ตกต่ำสุดๆในช่วงปีที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ล่อแล่ผีซ้ำกรรมซัดกรีซก็ทำท่าจะออกจากอียู อังกฤษก็ด้วย ไหนจะเจอรัสเซียแซงชั่นกลับอีก ครั้นจะพึ่งสหรัฐฯก็เหมือนกับเตี้ยอุ้มค่อม ดังนั้นอียูจึงหันมาร่วมมือกับจีนแทน แม้สหรัฐฯจะพยายามเบรกอย่างไรก็ไม่ฟัง ขนาดโดนขู่ว่าจะเอานีโอนาซีไปเผาบ้านเผาเมืองในอียู ก็ไม่ยอมฟัง
แต่ในขณะเดียวกันอียูก็จะไม่ยอมให้จีนกลืนได้ง่ายๆ จึงต้องมีการหลอกล่อยื่นหมูยื่นแมวกันบ้าง แทนที่จะให้จีน รัสเซีย อินเดียและพันธมิตรอื่นๆไปจัดตั้งระบบใหม่ของตนแล้วเซ็ทระบบ new world orders ขึ้นมาใหม่แข่งกับระบบเดิมที่ควบคุมด้วยจักรวรรดิอเมริกาและอียู อียูจึงพยายามดึงจีนเข้าไปสู่ระบบเดิมแทนซะเลย แต่อียูก็ยังลวดลายทำเป็นว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าจีนจึงออกมาพูดปลอบใจตัวเองข่มจีนไปในตัวว่า "ไม่ต้องรีบ มีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อย" ถามว่าปัญหามันคืออะไรรึ? เยอรมันบอกว่าตอนนี้ยังคิดไม่ออก กรรม! อ้าวแล้วพูดออกมาได้อย่างไรหละ? ก็พูดขู่จีนไปอย่างนั้นแหละ โยนหินถามทาง การเมืองก็เป็นเช่นนี้แล
การจะให้สกุลเงินหยวนของจีนเข้าร่วมในระบบ SDR basket หรือไม่นั้นสำหรับจีนแล้วตอนนี้จีนไม่ขาดทุน ถ้าได้ก็ดีและถือว่าเป็นกำไร ถ้าไม่ได้จีนและพันธมิตรของตนกำลังจะเซ็ทระบบใหม่ขึ้นมาแข่งกับระบบเก่าแน่ๆ ดังนั้นทางจีนจึงสบายๆ สังเกตให้ดีนะ ผู้ที่ออกอาการกระวนกระวายในตอนนี้คืออียูและ IMF นะ ไม่ใช่จีน อียูกำลังจับตาดูว่าถ้า AIIB และ BRICS ไปได้สวย อียูอาจจะสมนาคุณให้กับจีนด้วยการยกระดับเงินหยวนของจีนเข้าไปอยู่ใน basket of currencies ของ IMF ชะเลยเพื่อเอาใจจีน ถึงเวลานั้นจีนก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีกหละครับผม ส่วนอเมริกาก็ชวนชาวบ้านหาเรื่องทะเลาะกับจีนในทะเลจีนใต้ต่อไป แต่รัสเซียประกาศแล้วนะว่าจะเข้าร่วมปฏิบัติรักษาความปลอดภัยในทะเลจีนใต้ร่วมกับจีนด้วย แล้วอเมริกาจะรับมืออย่างไรหละคราวนี้ ไม่ได้มาเฉพาะรัสเซียเท่านั้นนะ อาจจะมีประเทศอื่นๆร่วมกับจีนและรัสเซียด้วยบรูไนรับปากแล้ว ที่อยากได้ยินก็คงจะเหลือแต่อินเดียนี่แหละ
The Eyes
01/06/2558
----------
G7 backs inclusion of yuan in IMF basket of currencies - Business - Chinadaily.com.cn

 

ภาวะเศรษฐกิจซบเซา กับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดย วีรพงษ์ รามางกูร
updated: 01 มิ.ย. 2558 เวลา 11:06:23 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



เศรษฐกิจของไทยที่อยู่ในสภาพตกต่ำ เข้าข่ายภาวะเงินฝืดที่เห็นได้ชัดเจนจากการที่อัตราการขยายตัวของการส่งออกติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และคงจะติดลบต่อไปเป็นเดือนที่ 5 อัตราเงินเฟ้อ จากดัชนีผู้บริโภคก็ติดลบต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 4 และทำท่าว่าจะติดลบต่อไป ราคาสินค้าเกษตรไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา อ้อยและน้ำตาล น้ำมันปาล์ม มันสำปะหลัง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวขึ้น

"ภาวะกับดักสภาพคล่อง" หรือภาวะที่เงินออมมีสัดส่วนที่สูงกว่าเงินลงทุน เราจึงเห็นดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมาเป็นเวลานานกว่า 18 ปีแล้ว

โชคดีที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ชดเชยกับจำนวนนักท่องเที่ยวจากยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาที่ลดลง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยกับรายได้จากการส่งออกที่ลดลงอย่างหนัก

ปัจจัยที่เป็นปัญหาสำหรับประเทศรายได้ปานกลางก็คือราคาสินค้าเกษตร อันเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงกับรายได้ของเกษตรกร ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงในระบบเศรษฐกิจ ทุกครั้งที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาสินค้าเกษตรจะตกต่ำมากและมีอัตราการตกต่ำที่เร็วกว่าอัตราการลดลงของความต้องการของตลาดโลก ของบรรดาสินค้าเหล่านั้น รายได้ของประเทศที่ผลิตสินค้าขั้นปฐมจึงไม่มีเสถียรภาพ มีแต่ความเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็ว



ข่าวจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น รวมทั้งยุโรปบอกว่า เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเหล่านี้เริ่มจะฟื้นตัว ในขณะที่เศรษฐกิจของจีนและอาเซียนกำลังอยู่ในภาวะชะงักงันต่อไป

ธรรมดาของวัฏจักรเศรษฐกิจซึ่งทั่วโลกกำลังประสบอยู่นั้นเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำลงจนถึงพื้น ก็จะมีบางช่วงระยะเวลาที่เศรษฐกิจทำท่าจะฟื้นขึ้น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ เรียกว่าเป็น "Cyclical Rebound" เหมือนกับดัชนีราคาหุ้นขาลงที่บางขณะจีดีพีราคาหุ้น ดูเหมือนจะฟื้นขึ้นจากพื้นแล้วก็ตกลงอยู่ที่พื้นอีก ซึ่งเรามักจะเรียกกรณีดัชนีหุ้นฟื้นตัวเป็นการชั่วคราวว่า "Technical Rebound" ภาวะเศรษฐกิจก็เป็นอย่างเดียวกัน

ในกรณีของสหรัฐอเมริกา โอกาสที่เศรษฐกิจของสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนก็มี เพราะสหรัฐค้นพบเทคโนโลยีในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่อยู่ใต้พิภพขึ้นมาใช้ได้ในราคาที่ถูก สหรัฐจึงกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาตนเองได้ในด้านพลังงาน และมีทีท่าว่าจะกลายเป็นประเทศส่งออกพลังงานในทศวรรษหน้า ข่าวเขียนว่าทำให้สินค้าเกษตรที่สามารถใช้เป็นพลังงานทดแทนได้มีราคาตกต่ำลงทันที ราคาสินค้าเกษตรของเราก็ถูกกระทบกระเทือนด้วย

ถ้าสถานการณ์ทางด้านราคาพลังงานและราคาสินค้าขั้นปฐมเป็นอย่างนี้วัฏจักรด้านราคาสินค้าเกษตรก็คงจะอยู่กับเราไปอีกหลายปี จนกว่าการผลิตสินค้าเกษตรเหล่านี้จะปรับตัวลงตามราคาที่ลดลง

ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ มีปัญหาในเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ความคิดในเรื่องการกีดกันทางการค้าก็จะกลับมาอีก แม้ว่าสิ่งที่ประเทศพัฒนาพยายามทำนั้นจะเป็นการฝ่าฝืนกฎขององค์การการค้าโลก ความพยายามดังกล่าวจะออกมาในรูปต่าง ๆ เช่น การกล่าวหาว่ามีการใช้แรงงานเด็ก การใช้เครื่องมือการประมงที่เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล รวมไปถึงการใช้แรงงานจากขบวนการค้ามนุษย์ เช่น กรณีการอพยพของชาวโรฮีนจาจากถิ่นที่อยู่ที่ถูกต่อต้าน ถูกกดขี่ต่าง ๆ นานาก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นกรณีของการค้ามนุษย์ เป็นต้น

เมื่อกำลังซื้อของประเทศนำเข้าก็ดี กำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศก็ดีอ่อนตัวลง ผลกระทบย่อมต่อเนื่องไปถึงภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ เช่น กิจการค้าส่งค้าปลีก การขนส่งการคมนาคมก็พลอยถูกกระทบกระเทือนไปด้วย

นอกจากนั้นแล้ว ปัญหาการเมือง ปัญหาการไม่ยอมรับของประชาคมโลก การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของเราทำให้เรามีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากปัญหาเศรษฐกิจซบเซาของโลก เราจึงเป็นประเทศที่เศรษฐกิจซบเซามากที่สุดในบรรดาประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วยกัน

ความยืดเยื้อของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของเราน่าจะกินเวลานานกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเพราะเมื่อปริมาณสินค้าส่งออกของเราลดลง ทำให้สินค้าของเราหายไปจากชั้นขายของ สินค้าประเภทเดียวกันจากประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้ถูกกล่าวหาก็จะถูกยกขึ้นชั้นแทนสินค้าจากประเทศไทย โอกาสที่เราจะนำสินค้าแบบที่ตลาดคุ้นเคย แบบที่ตลาดเคยเป็นของเรา กลับไปขึ้นชั้นอีกก็จะยากยิ่งขึ้น

ถ้าสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นดำรงอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลา 3-4 ปี ผู้ผลิตทั้งภาคเกษตรกรรม ผู้ผลิตข้าวนาปรังในภาคกลาง ผู้ผลิตข้าวนาปีในภาคอีสานและภาคเหนือ ผู้ผลิตยางพาราที่ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมนี้คงต้องปรับตัว เพราะอยู่อย่างเดิมไม่ได้หากไม่ได้รับการชดเชย แต่การชดเชยจะทำไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ได้ สถานการณ์ก็คงจะเกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรมที่มีส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศ แต่ในส่วนที่ผลิตเพื่อการส่งออกก็คงมีปัญหาอย่างเดียวกัน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการลงทุนของนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ซึ่งอาศัยตลาดอาเซียน ตลาดญี่ปุ่น และตลาดการส่งออกของญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่เนื่องจากขณะนี้การใช้กำลังการผลิตมีเพียงครึ่งเดียวของกำลังการผลิต โอกาสในการลงทุนเพื่อขยายโรงงานหรือสร้างโรงงานใหม่จะยังมีน้อย

การที่ภาคเกษตรกรรมถูกกระทบจากภาวะราคาสินค้าเกษตรและราคาสินค้าขั้นปฐมที่ตกต่ำอย่างมากในขณะนี้ การปรับตัวน่าจะเกิดขึ้นในทิศทางการลดปริมาณการผลิตลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยางพาราในพื้นที่ภาคใต้และภาคอื่น ๆ การปลูกข้าวนาปรังที่มีต้นทุนสูง ผลผลิตมีราคาต่ำ ส่วนการผลิตอ้อยและน้ำตาลที่มีระบบพิเศษในการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่กับโรงงาน ก็คงจะพอผ่านไปได้ด้วยระบบที่จะสามารถช่วยพยุงสถานการณ์ไว้ได้ต่อไป

สำหรับ ภาคอุตสาหกรรมของเราที่พัฒนาไปไกลแรงงานที่มีฝีมือได้รับการฝึกฝนจากภาค อุตสาหกรรมส่งออกของญี่ปุ่นยังเป็นกำลังที่เข้มแข็งโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถ ยนต์และยานยนต์อื่นๆ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมที่อยู่ห่วงโซ่การผลิตชิ้นส่วนให้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคเอเชีย

วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งนี้ น่าจะมีผลต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมของเราที่เคยหวังว่าจะขยับเคลื่อนไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานน้อย ใช้ทุนมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้นเพื่อป้อนตลาดบน อาจจะต้องถอยกลับมาตั้งหลักใหม่

การเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกมีความสำคัญอย่างมากกับนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนไทย ญี่ปุ่น หรือชาติไหน ๆ ที่ต้องมองว่าสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยจะเป็นที่ยอมรับของตลาดโลกมากน้อยเพียงใด ซึ่งผู้ซื้อก็เหมือนกันที่ไม่ได้มองแค่คุณภาพหรือราคา แต่มองไปถึงการเมืองระหว่างประเทศด้วย

ผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้าปลีกค้าส่ง การคมนาคมขนส่ง คงต้องมีการปรับโครงสร้างอย่างมาก

ส่วนจะออกมาอย่างไร คงต้องคอยดูกันต่อไป

ภาวะเศรษฐกิจซบเซา กับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดย วีรพงษ์ รามางกูร : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

"บิ๊กตู่" ชี้ ไทยยังไม่พร้อมสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่ม หวั่นผลกระทบสิ่งแวดล้อม
updated: 29 พ.ค. 2558 เวลา 20:06:40 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบ (คสช.) กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 ว่า

"ในเรื่องของพลังงานไฟฟ้า นี่เป็นประเด็นสำคัญ พลังงานที่เรากำลังมีปัญหาอยู่ขณะนี้ โรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศไทยตอนนี้ก็ยังสร้างไม่ได้นะ มีความขัดแย้งมาก แต่ผมอยากจะเรียนว่าโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหินนั้นเป็นโรงไฟฟ้าที่ถูกที่สุดนะครับในการลงทุน ในเรื่องของวัสดุที่จะใช้นะครับคือถ่านหินเพียงแต่ว่าเราต้องหาเทคโนโลยีโรงงานที่ทันสมัย ที่ขจัดสิ่งที่เป็นผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมนะครับแล้วก็ดูแล เยียวยาประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ทำให้ดิน ให้น้ำเสียหายนะครับ การปลูกพืช การอุปโภค บริโภค อะไรก็แล้วแต่ วันนี้เขาทำได้แล้ว เทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน ผมอยากให้ดูตัวอย่างวันก่อนผมเห็นในทีวีช่องหนึ่ง เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศลาว เพิ่งสร้างเสร็จ เขาต้องขายพลังงานไฟฟ้าส่วนนี้กลับมาประเทศไทยได้อีก เราก็จำเป็นต้องซื้อเขา เพราะว่าแหล่งผลิตในประเทศไทยลดลงไปเรื่อยๆ พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทน มันก็ยังไม่ทันการ ต้องตามต่อไปด้วยสายส่งเข้าไปอีก การบำรุงสายส่งราคาเป็นหมื่นๆ ล้านนะครับ เป็นแสนล้าน ในการที่จะเดินสายส่งแต่ละเส้น

เพราะทุกคนหวังจะขายเข้าระบบสายส่งยังเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด แล้วก็การผลิตแบตเตอรี่ ในเรื่องของการเก็บพลังงานไฟฟ้าทดแทน เราก็ยังไม่มีศักยภาพเพียงพอ ต้องซื้อทั้งหมด ต้นทุนการผลิตก็แพง การขจัดวัสดุที่ใช้แล้วจากแผงโซล่าเซลที่หมดอายุแล้ว เหล่านี้เป็นขยะทางอีเล็คโทรนิค

วันนี้ก็รัฐบาลก็ออกกฎหมายออก พรบ. ไปว่าใครที่จะมาลงทุนกับเราก็ต้องมีแผนในเรื่องของการกำจัดขยะเหล่านี้ให้เราด้วยนะครับ ก็จะเป็นให้มีสิทธิประโยชน์อะไรต่างๆ ในการทำ BOI อะไรก็แล้วแต่นะครับ วันนี้ถ้าเรายังคิดไม่ตรงกันอยู่ คือคิดแต่เพียงว่า เราต้องรักษาทุกอย่างให้เหมือนเดิม ประชาชนทุกคนก็มีส่วนที่จะต้องกำหนดการใช้จ่ายทรัพยากรทั้งหมด แต่อย่าลืมว่าเราต้องดูแลประเทศชาติกันด้วยนะครับ ถ้ามันไม่ได้ ดูซิจะไปทำได้ที่ไหน ถ้าทุกที่ปฏิเสธกันหมดมันทำไม่ได้ ผลิตไม่ได้ ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้นะครับ ซื้อใครก็ไม่อยากให้ซื้อ ก็ซื้อไม่ได้อีก แล้ววันหน้าถ้าความมั่นคง ด้านความมั่นคงมีปัญหากัน เขาไม่ส่งแก๊ส ไม่ส่งไฟฟ้า จะทำยังไง ช่วยผมคิดหน่อย การคัดค้านอะไรผมไม่ว่าหรอก เพียงแต่ว่าต้องฟังเหตุฟังผลหน่อย ถ้าเราเข้มแข็งเพียงพอแล้ว เราผลิตทุกอย่างได้เองแล้ว ผมคิดว่าเราค่อยเป็นเสียงที่ดังพอ ที่คนอื่นเขาฟังเรานะ วันนี้เขาไม่ฟังเพราะเรายังไม่เข้มแข็งพอ แล้วเราก็ยังมีความขัดแย้งสูงในสังคมไทย"

"บิ๊กตู่" ชี้ ไทยยังไม่พร้อมสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่ม หวั่นผลกระทบสิ่งแวดล้อม : ประชาชาต

 

กิจกรรมภาคอุตสาหกรรมจีนกระเตื้องขึ้น | เดลินิวส์



„กิจกรรมภาคอุตสาหกรรมจีนกระเตื้องขึ้น สถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของจีนดีขึ้น หลังรัฐบาลเผยดัชนีวิเคราะห์ประจำเดือนพ.ค.ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเม.ย. แต่บรรยากาศในภาพรวมยังไม่ดีนัก เนื่องจากการส่งออกและนำเข้ายังซบเซา วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2558 เวลา 11:40 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน ( เอ็นบีเอส ) ออกรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ ( พีเอ็มไอ ) ซึ่งวิเคราะห์สถานการณ์ของภาคอุตสาหกรรมการผลิต อยู่ที่ระดับ 50.2 เมื่อเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้นจาก 50.1 เมื่อเดือนเม.ย. สูงที่สุดในรอบ 6 เดือน หรือตั้งแต่ระดับ 50.3 เมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และถือเป็นการขยายตัวของพีเอ็มไอ 3 เดือนติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม รายงานของเอ็นบีเอสสวนทางกับผลการวิเคราะห์ของธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งระบุวค่าพีเอ็มไอประจำเดือนพ.ค.ของจีนอยู่ที่ 49.2 ซึ่งการที่ตัวเลขต่ำกว่า 50.0 หมายความว่าเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีแนวโน้มหรือกำลังอยู่ในภาวะหดตัว กระนั้นรายงานของเอชเอสบีซีสำรวจโดยใช้กลุ่มตัวอย่างที่น้อยกว่าของรัฐบาลปักกิ่ง และเน้นอุตสาหกรรมที่มีขนาดเล็กกว่า

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมีปริมาณผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ และเป็นอันดับ 1 ของเอเชียยังไม่สู้ดีนัก โดยอัตราการขยายตัวของจีดีพีตลอดทั้งปีที่แล้วอยู่ที่เพียง 7.4 ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2533 ขณะที่มูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีนี้“

อ่านต่อที่ : กิจกรรมภาคอุตสาหกรรมจีนกระเตื้องขึ้น | เดลินิวส์

 

ตามหาเจ้าของ 'แอปเปิ้ล วัน' มูลค่าเกือบ 7 ล้านบาท | เดลินิวส์



„ตามหาเจ้าของ 'แอปเปิ้ล วัน' มูลค่าเกือบ 7 ล้านบาท บริษัทรีไซเคิลในสหรัฐ ประกาศตามหาหญิงชราที่นำเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกของแอปเปิ้ล 'แอปเปิ้ล วัน' มาบริจาค ซึ่งมีนักสะสมให้ราคาดีกว่า 6.7 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งใจจะมอบเงินจากการขายให้เธอครึ่งหนึ่ง วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2558 เวลา 3:51 น.

<iframe width="750" height="500" src="https://www.youtube.com/embed/L_JoZOImo24" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองมิลปิทาส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ว่า นายวิคเตอร์ จีชุน ประธานบริษัทรีไซเคิลสิ่งของอิเล็กทรอนิกส์ ในเมืองมิลปิทาส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ ประกาศตามหาหญิงชราเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคบุกเบิกของแอปเปิ้ล ที่เธอนำมาบริจาคให้บริษัท โดยที่เธอไม่รู้ถึงมูลค่าของมันเลย

จีชุน เล่าว่า เมื่อต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา หญิงคนหนึ่งนำสิ่งของมาบริจาคหลายกล่อง จากการเก็บกวาดโรงรถหลังสามีของเธอเสียชีวิตไป และเธอก็จากไปโดยไม่ขอใบเสร็จสำหรับหักภาษี หรือทิ้งชื่อ ที่อยู่ ที่สามารถติดต่อได้ไว้ และกล่องพวกนั้นก็ไม่ได้ถูกแตะต้องเลยจนกระทั่งหลายสัปดาห์ต่อมา

เมื่อเปิดกล่องออก จีชุนและทีมงานของเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มันคือ "แอปเปิ้ล วัน" คอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่สตีฟ จ็อบส์ และสตีฟ วอซนิแอก ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ล ร่วมกันประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาในโรงรถ เป็น 1 ในจำนวนเพียงประมาณ 200 ชิ้นที่ถูกผลิตขึ้นเมื่อปี 2519 ซึ่งนับเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นบุกเบิกที่ส่งผลต่อการพัฒนาในรุ่นหลังอย่างมาก

จีชุน นำมันออกประมูลขายให้แก่นักสะสมในราคา 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.7 ล้านบาท) ซึ่งตามนโยบายบริษัทแล้ว หากของชิ้นใดที่ได้รับบริจาคมา สามารถนำไปขายต่อได้ จะต้องมอบเงินที่ได้จากการขายครึ่งหนึ่งให้แก่เจ้าของเดิม เขาจึงพยายามตามหาเธอโดยหวังว่าเธอจะได้รับทราบข่าวดีนี้และมารับเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.3 ล้านบาท) ในส่วนที่ควรจะเป็นของเธอ.“

อ่านต่อที่ : ตามหาเจ้าของ 'แอปเปิ้ล วัน' มูลค่าเกือบ 7 ล้านบาท | เดลินิวส์

 

ปอกเปลือก ทรราช
รัสเซีย-เวเนซูเอลาร่วมมือกันลงทุนด้านน้ำมันและแก๊สมูลมหาศาลถึง 1.4 หมื่นล้านเหรียญ (Russia, Venezuela agree on massive $14bn oil & gas investment deal)



---------------
อันนี้เป็นข่าวดีสำหรับฝั่งรัสเซียกับเวเนซูเอล่า แต่ดูเหมือนว่าจะข่าวร้ายสำหรับพวกขี้อิจฉาอย่างสหรัฐฯและโปรอเมริกาซะแล้วสิ เมื่อวันที่ 28 พ.ค.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว RT news ของรัสเซียรายงานว่าปธน. Nicolas Maduro ของเวเนซูเอล่าและนาย Eulogio Del Pino ประธานบริษัท PDVSA (Petroleos de Venezuela) ยักษ์ใหญ่ด้านปิโตรเลียมของเวเนฯ ได้บรรลุข้อตกลงกับนาย Igor Sechin ประธานบริษัทแก๊ส Rosneft ยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย ซึ่งทั้งสองบริษัทระหว่างรัสเซียกับเวเนฯจะร่วมกันลงทุนในธุรกิจน้ำมันและแก๊สซึ่งมีมูลค่าถึง $14 billion (ประมาณ 4.7 แสนล้านบาท) ภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ โดยได้ทำข้อตกลงกันที่เมือง Caracas เมืองหลวงของ South America (ลาตินอเมริกาใต้)
ความร่วมมือกันระหว่างรัสเซียกับเวเนซูเอล่าในครั้งนี้จะร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันในแหล่ง Orinoco Belt และในทะเล Caribbean Sea ซึ่งเชื่อว่าทั้งสองแหล่งนี้มีปริมาณน้ำมันดิบสำรองมากที่สุดในโลก ในปี 2019 PDVSA ของเวเนซูเอล่าคาดว่าจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันเป็น 2 เท่าคือ 6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเท่ากับ 8 ล้านตันต่อปี ตัวเลขในปี 2014 บอกว่าเวเนซูเอล่าสามารถผลิตน้ำมันได้เพียง 1.6 ล้านตันต่อปีเท่านั้น แต่ทางปธน. Maduro ของเวลาบอกว่าตอนนี้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆออกมา แต่จะเน้นไปที่ภาคปฏิบัติทันทีเลย
ไอ้หย่า... แบบนี้สหรัฐฯก็เดาทางไม่ถูกสินี่ คริๆ แล้วการที่ IMF และสหรัฐฯคาดว่าต่อไปน้ำมันจะมีราคามแพงนั้นก็คงจะไม่ใช่ซะหละมั๊ง เพราะว่าหลังจากที่เวเนซูเอล่าได้เตะก้นสหรัฐฯออกไปจากประเทศจนโอบาม่าหาทางที่จะฮูบกิจการน้ำมันของเวเนซูเอล่าโดยพยายามแทรกแซงกิจการภายในและอยู่เบื้องการประท้วงต่างๆในเวเนฯเพื่อหวังให้เกิดการล้มล้างรัฐบาลชุดปัจจุบันแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะว่า Maduro รู้ทันแผนนี้จึงหันมาโวยวายให้ชาวโลกได้ยินกันหมดถึงแผนชั่วของสหรัฐฯ แล้วหันไปจับมือกับรัสเซียแทน ทองคำก้อนเบ้อเร่อก็หล่นตุ๊บลงมาอยู่บนตักปูตินแทนเฉยเลย เสียใจด้วยนะโปรอเมริกาจ๋า
นั่นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ยังมีอีกนะ... รายงานข่าวล่าสุดบอกว่าบริษัท Rosneft ของรัสเซียกำลังจะเพิ่มส่วนแบ่งผู้ถือหุ้นในบริษัท Petromonagas ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ PDVSA อีกด้วย ปัจจุบันนี้ Rosneft ของรัสเซียถือหุ้นอยู่ 16.7% แต่รัสเซียได้ยื่นข้อเสนอให้กับทางเวเนซูเอล่าว่าอยากจะเข้าไปถือหุ้นเพิ่มเป็น 40% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดของบริษัทต่างชาติที่จะมีสิทธิ์ถือหุ้นตามที่กฎหมายของเวเนซูอาล่ากำหนดไว้ บริษัท Petromonagas จึงเป็นการร่วมทุนกันระหว่างเวเนซูเอล่าและรัสเซีย (มีประเทศอื่นร่วมด้วยหรือไม่นั้นรายงานข่าวไม่ได้บอกว่า)
สหรัฐฯได้ยินแล้วบอกว่างานนี้เดินเกมผิดถนัดที่ดันไปงัดกับเวเนซูเอล่า อุตส่าห์ประกาศให้เวเนซูเอล่าเป็นภัยคุกคามของสหรัฐฯแต่ Maduro กลับรู้ทันและวิ่งไปหารัสเซียกับจีนซะนี่ ปูตินกับเฮียสีบอกให้โอบาม่าไปฝึกเล่นหมากรุกมาใหม่ป๊ะ แต่ตอนนี้รัสเซียกำลังจะคุมตลาดน้ำมันจากแหล่งผลิตในลาตินอเมริกาแล้วหละนะ วิธีการของรัสเซียไม่ใช่กินมูมมามคนเดียวอย่างสหรัฐฯที่เอาเปรียบประเทศเจ้าของแบบนั้น อันนี้เขาแบ่งกันกินแบ่งกันใช้
The Eyes
31/05/2558
----------
Russia, Venezuela agree on massive $14bn oil & gas investment deal — RT News

 

ปอกเปลือก ทรราช
เอาแล้วไง... ตำรวจสิงคโปร์จับตายชายขับรถฝ่าด่านตรวจใกล้โรงแรม Shangri-La สถานที่จัดประชุมด้านความปลอดภัยในเอเซียแปซิฟิก



---------------
วันนี้สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบโรงแรมแชงกรีล่า สิงคโปร์ได้ยิงสกัดรถยนต์ของชายกลุ่มหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ให้ตำรวจตรวจค้นกระโปรงหลังรถยนต์และพยายามจะขับรถฝ่าจุดตรวจไป ส่งผลให้หนึ่งในผู้ก่อเหตุถูกตำรวจสิงคโปร์ยิงเสียชีวิตคาที่ และถูกจับกุมอีกสองราย เมื่อเช้ามืดเวลา 4.36 น.วันอาทิตย์นี้ตามเวลาท้องถิ่น (20:36 GMT, Saturday)
ทางกรมตำรวจสิงคโปร์โพสต์ข่าวนี้ลงในเฟซบุคว่ามีวัตถุต้องสงสัยว่าเป็นยาเสพติดจากการค้นตัวของชายคนหนึ่งที่ถูกจับกุมจากผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ รายงานเบื้องต้นบอกว่าไม่พบอาวุธในตัวผู้ก่อเหตุพบแต่วัตถุต้องสงสัยว่าเป็นยาเสพติดเท่านั้น
การจัดประชุมสุดยอด The Shangri-La Dialogue ในครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 พ.ค.58 ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัยในเอเซียแฟซิฟิกซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2002 ผู้ที่เข้าร่วมประชุมนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงจากประเทศต่างๆ ส่วนมากเป็นระดับรมว.และรมช.กลาโหมทั้งนั้น มันน่าแปลกไหมที่จู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ขับรถฝ่าด่านของตำรวจเฉียดเข้าไปยังสถานที่จัดประชุมเจ้าหน้าที่ทางทหารระดับสูงของกลุ่มประเทศเอเซียแปซิฟิกในช่วงเวลานี้ แต่ทางการของสิงคโปร์บอกว่าเป็นเรื่องยาเสพติดแทน มีใครกำลังคิดจะเล่นเกมอันตรายอะไรซักอย่างอยู่หรือเปล่า?
The Eyes
31/05/2558
----------
Singapore Police Kill Man Near Location of Asia Security Summit / Sputnik International

 

อียูไม่พอใจบัญชีดำของรัสเซีย | เดลินิวส์



„อียูไม่พอใจบัญชีดำของรัสเซีย สหภาพยุโรป ( อียู ) แสดงความไม่พอใจอย่างหนัก หลังนักการเมืองยุโรป 89 คนถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลรัสเซีย วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2558 เวลา 9:33 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ว่าสำนักงานวิเทศสัมพันธ์ของอียูออกแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ ออกแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ วิจารณ์กรณีรัฐบาลมอสโกขึ้นบัญชีดำนักการเมืองของอียูจากนานาประเทศรวม 89 คน โดยเป็นการห้ามเดินทางเยือนรัสเซีย ว่าเป็นการใช้อำนาจ "โดยพลการและขาดบรรทัดฐาน" เนื่องจากไม่มีการแจกแจงรายละเอียดอย่างชัดเจน และหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นการตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของอียูที่มีต่อรัฐบาลรัสเซีย ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน

ขณะที่นายแฟรงค์ วอลเทอร์-ชไตน์ไมเออร์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี กล่าวว่าการกำหนดรายชื่อดังกล่าวไม่สามารถช่วยคลี่คลายปัญหาในยูเครนได้ ด้านแถลงการณ์ของพรรคยูโรเปียน กรีน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายจัดในสภายุโรป ( อีพี ) ระบุว่าแม้ไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมาย แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างอียูกับรัสเซียอย่างไม่ต้องสงสัย และเรียกร้องให้ที่ประชุมของอีพีอภิปรายในเรื่องนี้เป็นญัตติเร่งด่วนด้วย

แม้รัฐบาลรัสเซียยังไม่เผยรายชื่อทั้งหมดออกมาอย่างเป็นทางการ แต่รายชื่อที่หลุดรอดออกมาบางส่วนนั้นรวมถึง นายกี แวร์โฮฟชตัดท์ สมาชิกอีพีและอดีตนายกรัฐมนตรีเบลเยียม นางเลนา อาเดลโซห์น ลิเจอรอธ อดีตรมว.กระทรวงวัฒนธรรมของสวีเดน นายแอนดรูว์ ปาร์คเกอร์ ผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับ "เอ็มไอ 5" ของอังกฤษ และนายนิก เคลก อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ“

อ่านต่อที่ : อียูไม่พอใจบัญชีดำของรัสเซีย | เดลินิวส์

 

หน่วยข่าวกรองสหรัฐหยุดดักฟังโทรศัพท์ | เดลินิวส์



„หน่วยข่าวกรองสหรัฐหยุดดักฟังโทรศัพท์ หน่วยข่าวกรองสหรัฐยุติปฏิบัติการดักฟังโทรศัพท์ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. หลังที่ประชุมวุฒิสภาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการต่ออายุกฎหมายนี้ได้ วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2558 เวลา 11:06 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ว่าทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ตำหนิ "ความไร้เอกภาพ" และการขาดความรับผิดชอบของวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งไม่สามารถบรรลุมติให้มีการอภิปรายเพื่อต่ออายุรัฐบัญญัติความรักปิตุภูมิ เพื่อขยายเวลาโครงการสอดแนมข้อมูลทางโทรศัพท์ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ( เอ็นเอสเอ ) ภายใต้รหัส "ปริซึม" ทำให้กฎหมายฉบับดังกล่าวที่เริ่มใช้หลังผ่านพ้นเหตวินาศกรรม 9/11 เมื่อปี 2544 หมดอายุตั้งแต่ช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนของวันที่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ภาวะชะงักงันของวุฒิสภาในเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนายแรนด์ พอล วุฒิสมาชิกจากรัฐเคนทักกี สังกัดพรรครีพับลิกัน และหนึ่งในผู้เสนอตัวรับสมัครชองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า แสดงจุดยืนคัดค้านการลงมติของที่ประชุมในทุกวิถีทางเพื่อต่ออายุกฎหมายให้ทันเส้นตาย โดยยืนยันเป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้เอ็นเอสเอต้องยุติการทำงานในเรื่องนี้ จนกว่าที่ประชุมจะอภิปรายและลงมติรับร่างกฎหมายปฏิรูปการทำงานของเอ็นเอสเออีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์นี้

ขณะที่ผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์ว่า ในช่วงระยะเวลาที่ขาดหายไปนั้น เอ็นเอสเอสามารถรวบรวมข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองอื่นของสหรัฐ ที่เริ่มสอดแนมข้อมูลก่อนเส้นตายการหมดอายุของรัฐบัญญัติเสรีภาพ ด้านแหล่งข่าวในเอ็นเอสเอเผยว่า สำนักงานเริ่มปิดเซิร์ฟเวอร์บางส่วนที่ใช้ในโครงการสอดแนม ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการเปิดโปงของนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เมื่อปี 2556“

อ่านต่อที่ : หน่วยข่าวกรองสหรัฐหยุดดักฟังโทรศัพท์ | เดลินิวส์

 

เหยื่อภัยร้อนอินเดียตายเฉียด 2,200 ราย | เดลินิวส์



„เหยื่อภัยร้อนอินเดียตายเฉียด 2,200 ราย ฝนที่เริ่มตกลงมาในอินเดียไม่สามารถยับยั้งสภาพอากาศร้อนจัดได้ จำนวนผู้เสียชีวิตยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเกือบ 2,200 ราย วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2558 เวลา 1:35 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองไฮเดอราบัต ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ว่า แม้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมีฝนในหลายพื้นที่ของอินเดีย และช่วยบรรเทาอุณหภูมิที่ร้อนจัดลงได้บ้าง แต่สถานการณ์ในรัฐอานธรประเทศและเตลันคานายังคงย่ำแย่ โดยอุณหภูมิที่วัดได้ในช่วงสุดสัปดาห์อยู่ที่ระหว่าง 45 - 47 องศาเซลเซียส

จำนวนผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนล่าสุดเพิ่มขึ้นเกือบถึง 2,200 รายแล้ว โดยกระแสไฟฟ้าที่ดับบ่อยครั้งในบางพื้นที่ ยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย สำนักงานอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า อุณหภูมิจะยังคงสูงต่อเนื่องไปอีกวัน

รายงานระบุว่า ฤดูมรสุมจะมาถึงในสัปดาห์นี้ และแผ่ปกคลุมพื้นที่ทางตอนใต้ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวไล่ไปทางเหนือ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มออกมาเตือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ภาวะแล้งในอินเดียจะยืดระยะเวลาออกไปอีก เนื่องจากลมมรสุมที่คาดว่าจะนำพาฝนมา อาจถูกรบกวนจากพายุไต้ฝุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิก.“

อ่านต่อที่ : เหยื่อภัยร้อนอินเดียตายเฉียด 2,200 ราย | เดลินิวส์

 

รมว.เกาหลีใต้ขอโทษเหตุเมอร์สยังระบาดไม่หยุด | เดลินิวส์



„รมว.เกาหลีใต้ขอโทษเหตุเมอร์สยังระบาดไม่หยุด รัฐมนตรีสาธารณสุขเกาหลีใต้ ก้มหัวยอมรับต่อความผิดพลาดที่ยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนากลุ่มโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (เมอร์ส) ได้ รวมถึงการปล่อยให้ผู้เข้าข่ายต้องสงสัยได้รับเชื้อเดินทางออกนอกประเทศด้วย วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2558 เวลา 1:34 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ว่า นายมุน ยอง-เพียว รมว.กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมเกาหลีใต้ แถลงขอโทษต่อสังคม ถึงการที่ยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนากลุ่มโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (เมอร์ส) ได้ จนมีผู้ติดเชื้อถึง 15 คน แล้ว รวมถึงผู้ติดเชื้อชายวัย 44 ปี ที่ละเมิดกฎกักกันตัว เดินทางไปยังฮ่องกงและจีนเมื่อวันอังคารที่แล้ว และกลายเป็นผู้ติดเชื้อเมอร์สรายแรกที่พบบนแผ่นดินจีน

นายมุนกล่าวขอโทษและยืนยันจะยกระดับมาตรการรับมือ โดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ที่ถือเป็นช่วงสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาด และร้องขอให้สาธารณชนอย่าเพิ่งตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ โดยรัฐบาลได้สั่งปิดโรงพยาบาลที่ผู้ติดเชื้อรายแรกเข้ารับการรักษา จนเกิดการส่งต่อเชื้อไปยังบุคคลใกล้ชิด ทั้งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ญาติผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยคนอื่น รวมถึงครอบครัวของผู้ป่วยเหล่านั้น ได้ถูกสั่งปิดเป็นการชั่วคราวแล้ว และผู้ป่วยทั้งหมดอยู่ในช่วงการกักกันเพื่อเฝ้าระวังการได้รับเชื้อ

ทั้งนี้ ทางการฮ่องกงได้สั่งกักตัวผู้โดยสาร 18 ราย ที่ร่วมทางไปกับผู้ติดเชื้อชายชาวเกาหลีใต้ วัย 44 ปี ในเที่ยวบิน 723 ของสายการบินเอเชียนา แอร์ไลน์ส เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ขณะที่ผู้ต้องสงสัยอีก 17 คนอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังทางการแพทย์จากเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่เรียกร้องให้ผู้โดยสารที่เหลือของเที่ยวบินดังกล่าว ติดต่อเข้าแสดงตนกับเจ้าหน้าที่โดยด่วน.“

อ่านต่อที่ : รมว.เกาหลีใต้ขอโทษเหตุเมอร์สยังระบาดไม่หยุด | เดลินิวส์

 

จวกซาอุฯใช้ระเบิดพวงโจมตีในเยเมน | เดลินิวส์



„จวกซาอุฯใช้ระเบิดพวงโจมตีในเยเมน ฮิวแมนไรท์วอทช์แฉหลักฐานใหม่ พันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดีอาระเบีย ยังใช้ระเบิดดาวกระจายต้องห้าม ในการโจมตีทางอากาศในเยเมน วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2558 เวลา 0:30 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ว่า กลุ่มรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ "ฮิวแมน ไรท์ วอทช์" แห่งนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตีพิพิมพ์เผยแพร่หลักฐานชิ้นใหม่เมื่อวันอาทิตย์ กล่าวหากองกำลังพันธมิตรชาติอาหรับ นำโดยซาอุดีอาระเบีย ใช้ระเบิดดาวกระจาย หรือระเบิดพวง ซึ่งเป็นอาวุธต้องห้ามสากล ในการโจมตีทางอากาศในเยเมน ต่อเป้าหมายกลุ่มกบฏฮูตีของชาวนิกายชีอะห์ และกองกำลังที่จงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ ของเยเมน โดยการตรวจสอบของฮิวแมน ไรท์ วอทช์ พบระเบิดดาวดระจายถูกใช้ในการโจมตี 3 ชนิดด้วยกัน



แถลงการณ์ของฮิวแมน ไรท์ วอทช์ เรียกร้องให้กองกำลังพันธมิตรฯ ยุติการใช้ระเบิดต้องห้ามชนิดนี้ในทันที เนื่องจากเป็นอันตรายต่อพลเรือน โดยเฉพาะต่อเด็ก ซึ่งระเบิดที่ไม่ทำงานและตกค้างเป็นเวลา จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง จากการลงพื้นที่ภาคสนามของตัวแทนกลุ่ม ในจังหวัดซาอาดะห์ ในเดือนนี้ พบว่า 2 ใน 3 ของผู้ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีทางอากาศครั้งหนึ่ง เป็นพลเรือน นอกจากนั้นยังมีรายงานจรวดดาวกระจายแบบยิงจากพื้น ทำให้พลเรือนได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย ระเบิดดาวกระจายสามารถยิงจากเครื่องยิงจรวด ปืนครก ปืนใหญ่ และทิ้งจากเครื่องบิน.“



อ่านต่อที่ : จวกซาอุฯใช้ระเบิดพวงโจมตีในเยเมน | เดลินิวส์

 

ไม่ช้าไปหน่อยหรือครับ จากการที่ "ฮิวแมน ไรท์ วอทช์" แห่งนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตีพิพิมพ์เผยแพร่หลักฐานชิ้นใหม่เมื่อวันอาทิตย์ กล่าวหากองกำลังพันธมิตรชาติอาหรับ นำโดยซาอุดีอาระเบีย ใช้ระเบิดดาวกระจาย หรือระเบิดพวง ซึ่งเป็นอาวุธต้องห้ามสากล ในการโจมตีทางอากาศในเยเมน ต่อเป้าหมายกลุ่มกบฏฮูตีของชาวนิกายชีอะห์ และกองกำลังที่จงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ ของเยเมน ข่าวนี้เดือนกว่าแล้วน่ะครับ และทำไมไม่กล่วหาพันธมิตรชาคิอาหรับใช้ระเปิดนิวตรอนในเยเมนด้วย

<iframe width="795" height="470" src="https://www.youtube.com/embed/pVgPKxYVxb0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

คัดลอก ยูทูปจาก Nuclear War has Begun in Yemen | Veterans Today

 

Thanong Fanclub



1. ศึกทะเลจีนใต้
การเผชิญหน้ากันทางทหาร หรือการที่จะต้องรบกันในที่สุดระหว่างสหรัฐและจีนเป็นเรื่องที่มิอาจทีจะปฏิเสธได้อีกต่อไป มีแนวโน้มว่าทะเลจีนใต้จะกลายเป็นสมรภูมิเดือด มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเลี่ยงสงครามคือสหรัฐต้องเลิกนโยบายจักรวรรดิ
นี้คือข้อสรุปของJohn Glaser ซึ่งเขียนบทความชื่อว่า "The US and China can avoid a collision course – if the US gives up its empire"ลงในหนังสือพิมพ์The Guardianของอังกฤษในวันที่28 พฤษภาคม 2015
John Glaser
สหรัฐมองตัวเองเป็นมหาอำนาจแต่ผู้เดียวบนโลกนี้ จึงเกรงกลัวว่าการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจของจีนจะทำให้จีนดำเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุก และในที่สุดแล้วการทำสงครามกับสหรัฐเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
อาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นายGraham Allisonได้พบว่า จาก12ใน16กรณีในระยะ 500ปีที่ผ่านมา เมื่อมหาอำนาจเกิดใหม่ท้าทายมหาอำนาจเก่า ผลที่ตามมาคือการสงคราม
นักวิชาการจากมหาวิยาลัยชิคาโก นายJohn Mearsheimerบอกว่า จีนไม่สามารถจะเป็นใหญ่ได้โดยสันติภาพ
แต่ถ้าเรามองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนไม่ได้มาจากสาเหตุที่จีนเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเพราะสหรัฐต้องการมีอิทธิพลทางทหารและเศรษฐกิจเหนือเพื่อนบ้านของจีน รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สหรัฐมองว่ากำลังทหารที่ประจำการในภูมิภาคเอเซียนี้เป็นกองกำลังที่ช่วยดูแลเสถียรภาพของภูมิภาค แต่จีนไม่ได้มองเห็นเป็นอย่างนั้น
นักวิชาการทางรัฐศาสตร์ นายAndrew Nathan และ Andrew Scobell เขียนเอาไว้ว่า จีนมองสหรัฐเป็นตัวละครจากข้างนอกที่ชอบบุกรุกเข้ามายุ่งเรื่องของชาวบ้านมากที่สุด เพราะว่าสหรัฐเป็นผู้ให้การการันตีให้ไต้่หวัน นอกจากนี้สหรัฐยังมีฐานทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้
สหรัฐต้องการสกัดอิทธิพลของจีน และทำลายผลประโยชน์ของจีนด้วยนโยบายต่างประเทศที่ออกแนวทหาร ก้าวร้าว ต้องการแผ่อำนาจและเห็นแก่ตัว
การมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นของจีนในภูมิภาคไปทับซ้อนกับความต้องการของสหรัฐที่จะมีอิทธิพลเหนือภูมิภาคแต่ฝ่ายเดียว ไม่ต้องพูดถึงภูมิภาคอื่นๆของโลก
คนอเมริกันไม่เคยตั้งคำถามว่า มีประโยชน์อะไรที่รัฐบาลสหรัฐจะเสียงบประมาณมากมายมหาศาลเพื่อที่จะมีกองกำลังทหาร50,000นายประจำการที่ญี่ปุ่น และอีก 30,000นายประจำการที่เกาหลีใต้ คนอเมริกันจะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นหรือไม่จากการที่รัฐบาลโอบามากำลังเพิ่มกองกำลังทหารที่ฟิลิปปินส์เพื่อที่จะตอบโต้กับการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีนเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้
นักวิชาการสายเหยี่ยวของสหรัฐ นายRobert Kagan โต้แย้งว่าความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐช่วยทำให้คนอเมริกันปลอดภัยมากขึ้นและรวยมากขึ้น และนอกจากนี้ยังช่วยรักษาสันติภาพและความร่ำรวยให้ทุกทุกบนโลกนี้ ถ้าหากว่าสหรัฐไม่ปกครองโลก โลกเราจะมีเสรีภาพน้อยลง มีความมั่นคงน้อยลง และมีความปลอดภัยน้อยลง
แต่Christopher Fettweis แย้งในหนังสือPathologies to Powerว่าความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐไม่ได้ทำให้โลกมีความสงบหรือเสถียรภาพ เพราะว่าระบบระหว่างประเทศอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อต่อความประสงค์ของสหรัฐแต่ฝ่ายเดียว การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และอำนาจของการทำลายจากระบบทหารสมัยใหม่ทำให้หลายประเทศไม่เห็นด้วยของการทำสงคราม
นักทฤษฎีทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนาย Daniel Dreznerมองว่าคนอเมริกันไม่ได้่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอะไรเลยจากนโยบายความเป็นเจ้าโลกทางทหารของสหรัฐ เพราะฉะนั้นการพึ่งพานโยบายทางทหารนำในการดำเนินนโยบายของสหรัฐจะเป็นความคิดที่ผิดพลาดมาก
การต่อสู้กันเพื่อความเป็นใหญ่ทางทหารและเศรษฐกิจในเอเซียไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางความมั่นคงของสหรัฐเลย แต่มันเป็นเพียงการรักษาสถานภาพเดิม หรือศักดิ์ศรีของตัวเอง อย่าลืมว่าทั้งสหรัฐและจีนต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถทำลายล้างโลกได้ แล้วทำไมถึงเสียงที่จะเข้าไปทำสงครามโดยที่ความปลอดภัยหรือความร่ำรวยของคนอเมริกันไม่ได้เชื่อมโยงกับความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐโดยตรง
John Glaser สรุปว่าวิธีเดียวที่จะเลี่ยงสงครามคือสหรัฐต้องเลิกนโยบายจักรวรรดินิยม
thanong
31/5/2015



http://www.theguardian.com/…/conflict-us-china-not-inevitab…