ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อังกฤษไม่พอใจ "สถานภาพ" ในอียู | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „อังกฤษไม่พอใจ "สถานภาพ" ในอียู นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอียู ว่าชาวสหราชอาณาจักรไม่มีความพึงพอใจกับ "สถานภาพ" ของประเทศในยุโรป ระหว่างหารือระดับทวิภาคีเรื่องการปฏิรูปสหภาพ ก่อนการลงประชามติครั้งสำคัญภายในปี 2560 วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2558 เวลา 9:24 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ว่านายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ผู้นำอังกฤษ ให้การต้อนรับนายฌอง-โคลด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ( อีซี ) เมื่อวันจันทร์ ภายในห้องรับรองของสำนักนายกรัฐมนตรี บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง โดยประเด็นสำคัญในการหารือเกี่ยวข้องกับสถานภาพของสหราชอาณาจักรในสหภาพยุโรป ( อียู ) ซึ่งคาเมรอนยืนยันการจัดการลงประชามติชี้ชะตาอนาคตของประเทศในอียูภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้านยุงเกอร์ต้องการหารือโดยละเอียดกับรัฐบาลเวสต์มินเสตอร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อตกลงที่ "ยุติธรรม" สำหรับทุกฝ่าย ต่อความเป็นสมาชิกภาพของสหราชอาณาจักรในอียู โดยคาเมรอนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ว่าชาวสหราชอาณาจักรไม่มีความพึงพอใจในบทบาทและสถานภาพของประเทศบนเวทีอียู พร้อมทั้งมองว่าสหภาพต้องได้รับการปฏิรูป "หลายด้าน" ทั้งนี้ ก่อนการพบปะกับยุงเกอร์ คาเมรอนเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการลงประชามติ ว่าพลเมืองจากสมาชิกอียูประเทศอื่นซึ่งอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ไม่สามารถใช้สิทธิ์ออกเสียงได้ ยกเว้นประเทศที่เคยเป็นดินแดนภายใต้อาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ ได้แก่ มอลตาและไซปรัส ขณะที่พลเมืองของสหราชอาณาจักรซึ่งมาจากเครือจักรภพแห่งประชาชาติ สามารถใช้สิทธิ์ลงคะแนนได้ หลังจากนี้ในช่วงปลายสัปดาห์ คาเมรอนมีกำหนดเดินทางเยือนฝรั่งเศส เยอรมนี เดนมาร์ก โปแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ เพื่อหารือกับผู้นำของแต่ละประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์โลก ซึ่งแน่นอนหนึ่งในประเด็นที่จะมีการหยิบยกขึ้นมาต้องเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอียูกับสหราชอาณาจักร“

    อ่านต่อที่ : อังกฤษไม่พอใจ "สถานภาพ" ในอียู | เดลินิวส์
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รวบญาติขโมยศพเหยื่ออีโบลา | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „รวบญาติขโมยศพเหยื่ออีโบลา ทางการกินีจับกุมผู้ต้องสงสัย 6 คนที่ขโมยศพญาติที่เสียชีวิตจากเชื้ออีโบลาเพื่อนำกลับไปจัดงานศพ โดยใช้วิธีปลอมตัวศพให้เหมือนคนเป็น แล้วพานั่งแท็กซีไปด้วยกัน วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2558 เวลา 3:17 น.

    เว็บไซต์ข่าวบีบีซี ประเทศอังกฤษ รายงานจากกรุงโกนากรี ประเทศกินี เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ว่า ตำรวจกินีจับกุมผู้ต้องสงสัย 6 คน ที่ลักลอบเคลื่อนย้ายศพของญาติที่เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสอีโบลา โดยจับศพแต่งกายด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์ และให้นั่งที่เบาะด้านหลังของรถแท็กซีโดยมีผู้ต้องสงสัย 3 คน นั่งขนาบข้าง ดร.ซาโคบา เคตา หัวหน้าศูนย์อีโบลาในกินี เผยว่า กลุ่มผู้ต้องสงสัยถูกสกัดได้ที่ด่านตรวจอีโบลา ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางจากเมืองโฟเรคาไรอาห์ ทางตะวันตกของประเทศ ไปยังกรุงโกนากรี โดยเจ้าหน้าที่ผิดสังเกตชายแต่งกายดีคนหนึ่ง ที่ดูจะไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ดร.เคตา กล่าวว่า กลุ่มผู้ต้องสงสัยพยายามจะนำร่างของผู้เสียชีวิต กลับไปประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่งในกรณีนี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อ โดยศพผู้ติดเชื้ออีโบลา ต้องถูกฝังอย่างถูกหลักโดยเจ้าหน้าที่ขององค์การกาชาดสากล เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ โดยขณะนี้ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดได้ถูกกักตัวในส่วนแยกพิเศษในเรือนจำ เพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อ ทั้งนี้ รายงานระบุว่า เมื่อ 3 วันที่แล้ว ตัวเลขผู้ติดเชื้อในกินีอยู่ที่ 9 ราย แต่ปัจจุบันกลับเพิ่มขึ้นมาเป็นเกือบ 30 รายแล้ว โดยนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดเมื่อปลายปี 2556 หรือราวปีครึ่งที่ผ่านมา กินีมีผู้เสียชีวิตจากอีโบลาแล้วเกือบ 2,500 ราย. ที่มา: http://www.bbc.com/news/world-africa-32877392“

    อ่านต่อที่ : รวบญาติขโมยศพเหยื่ออีโบลา | เดลินิวส์
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปินส์ยันยังคงบินผ่านน่านฟ้าเขตพิพาททะเลจีนใต้ | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „ปินส์ยันยังคงบินผ่านน่านฟ้าเขตพิพาททะเลจีนใต้ นายเบนิกโน อากีโนที่ 3 ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ประกาศ จะยังคงให้เครื่องบินบินผ่านเขตน่านฟ้าของหมู่เกาะพิพาทในทะเลจีนใต้ต่อไป ไม่หวั่นอิทธิพลจีน วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2558 เวลา 13:42 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ว่า นายเบนิกโน อากีโนที่ 3 ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดประกาศ “เขตพิสูจน์ฝ่ายการป้องกันทางอากาศ” (เอดีไอแซด) เหนือน่านฟ้าหมู่เกาะพิพาทในทะเลจีนใต้ และฟิลิปปินส์ยังคงให้เครื่องบินสัญชาติตนบินผ่านน่านฟ้าบริเวณดังกล่าวเป็นปกติ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายสากลและการปกป้องสิทธิ์ของประเทศอย่างเต็มกำลังความสามารถเหนือเขตเศรษฐกิจจำเพาะของตนเอง นายอากีโนยังได้กล่าวถึงความไม่เสมอภาคกันของแสนยานุภาพทางทหารระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ โดยเขาชี้ว่า จีนไม่ควรรังแกประเทศเล็กๆให้ภาพลักษณ์เสื่อมเสีย ขณะที่กำลังสร้างความเป็นมิตรกับประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เองก็กำลังผลักดันใช้กลไกอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศและการเจรจาทางการทูตเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาข้อพิพาทในหมู่เกาะทะเลจีนใต้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมะนิลาไม่ได้เปิดเผยถึงแผนการที่มีร่วมกับสหรัฐ ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่ฟิลิปปินส์ให้การสนับสนุนในการกลับเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อคานอำนาจกับจีน ขณะที่จีนเองก็กำลังก่อสร้างเกาะเทียมในน่านน้ำของหมู่เกาะทะเลจีนใต้ และประกาศขับไล่เครื่องบินสอดแนมของสหรัฐที่บินเข้ามาในพื้นที่เหนือน่านฟ้าเกาะ ทำให้หลายฝ่าคาดเดาว่า อีกไม่นานจีนมีแนวโน้มจะประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตเอดีไอแซดของตน“

    อ่านต่อที่ : ปินส์ยันยังคงบินผ่านน่านฟ้าเขตพิพาททะเลจีนใต้ | เดลินิวส์
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เตือนทะเลจีนใต้ชนวนสงครามจีน-สหรัฐ | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „เตือนทะเลจีนใต้ชนวนสงครามจีน-สหรัฐ สื่อกระบอกเสียงของจีน เตือนอาจเกิดสงครามระหว่างจีนและสหรัฐในทะเลจีนใต้ หากสหรัฐยังจุ้นไม่เลิก เกี่ยวกับการถมทะเลสร้างเกาะเทียมของจีน วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2558 เวลา 18:23 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ว่า หนังสือพิมพ์ เดอะ โกลบอล ไทม์ส แทบลอยด์ชาตินิยมที่ทรงอิทธิพล กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจีน รายงานเมื่อวันจันทร์ว่า สงครามระหว่างจีนและสหรัฐกรณีความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” จนกว่าสหรัฐจะหยุดการเรียกร้องให้รัฐบาลจีนยุติการก่อสร้างเกาะเทียมในน่านน้ำพิพาทดังกล่าว โดยโกลบอล ไทม์ส ซึ่งเป็นของหนังสือพิมพ์พีเพิลส เดลี ระบุในบทบรรณาธิการว่า จีนต้องเดินหน้าก่อสร้างให้เสร็จลุล่วง ซึ่งเรียกว่า “เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด” ทั้งนี้ บทบรรณาธิการดังกล่าว มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่พุ่งสูงขึ้นจากกรณีการถมทะเลของจีนในบริเวณหมู่เกาะสแปรตลีในทะเลจีนใต้ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จีนแถลงว่า ไม่พอใจอย่างรุนแรงหลังเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐบินเหนือพื้นที่หลายแห่งใกล้แนวประการัง โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันว่า ทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม จีนแถลงในวันเดียวกันนี้ว่า ได้ยื่นหนังสือแสดงความไม่พอใจต่อสหรัฐแล้ว กรณีที่สหรัฐส่งเครื่องบินสอดแนมเข้าพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ อันเป็นความขัดแย้งทางการทูตอีกครั้งหนึ่ง ที่จุดชนวนให้เกิดความตึงเครียดระหว่าง 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจโลก โดยหัว ชุนยิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า จีนได้ยื่นหนังสือเพื่อแสดงความไม่พอใจและคัดค้าน “พฤติกรรมที่ยั่วยุ” ของสหรัฐ“

    อ่านต่อที่ : เตือนทะเลจีนใต้ชนวนสงครามจีน-สหรัฐ | เดลินิวส์
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนพา จนท. เยี่ยมคุกดูพวกคอร์รัปชั่นรับกรรม | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „จีนพา จนท. เยี่ยมคุกดูพวกคอร์รัปชั่นรับกรรม ทางการจีนพาเจ้าหน้าที่ระดับสูงพร้อมครอบครัว ไปเยี่ยมชมคุกขังเจ้าหน้าที่คอร์รัปชั่น เพื่อเตือนสติไม่ให้พวกเขาเอาเป็นเยี่ยงอย่าง กล้าทุจริต วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2558 เวลา 19:03 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 25 พ . ค . ว่า หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี ของทางการจีน รายงานเมื่อวันจันทร์ อ้างแถลงการณ์ของคณะกรรมการกลางตรวจสอบวินัยของจีน ที่ระบุว่า ทางการจีนได้พาเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลและสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาเดินทางไปเยี่ยมชมคุกขังพวกทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อเป็นการเตือนใจว่า เมื่อเห็นสภาพผู้ถูกลงโทษในคุกแล้ว อย่าคิดคอร์รัปชั่น โดยในมณฑลหูเป่ย์ ทางตะวันออกของจีน แกนนำพรรค, เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมคู่สมรส เดินทางไปเยี่ยมอดีตเจ้าหน้าที่ในเรือนจำของเมืองที่ถูกลงโทษ และใช้เวลาอยู่ในคุกนาน 1 วัน เพื่อจะได้ใช้เป็นกรณีศึกษา ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ประกาศกวาดล้างการคอร์รัปชั่นให้เป็นภารกิจสำคัญอันดับแรก ตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่อำนาจเมื่อกว่า 2 ปีก่อน ซึ่งมีการสอบสวนและจับกุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล, ผู้บัญชาการกองทัพและผู้นำด้านธุรกิจ ที่ประพฤติทุจริตคอร์รัปชั่นจำนวนมาก โดยการทัวร์คุกครั้งนี้ ซึ่งรวมทั้งการเข้าเยี่ยมอดีตเพื่อนและเจ้านาย ที่ถูกลงโทษจำคุกฐานรับสินบนและใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ถือเป็นการเตือนอย่างตรงไปตรงมาจากรัฐบาลปักกิ่งให้เจ้าหน้าที่รัฐขยาดการคอร์รัปชั่น ไชน่า เดลี รายงานด้วยว่า มีภาพการสอบสวนแขวนไว้ข้างกำแพงคุก เพื่อให้ผู้ไปเยือนได้เห็นด้วย คณะกรรมการกลางตรวจสอบวินัย ระบุว่า การพาเจ้าหน้าที่เยี่ยมคุกเพื่อเป็นการเตือนสติเจ้าหน้าที่ให้ตระหนักถึงโทษจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น“

    อ่านต่อที่ : จีนพา จนท. เยี่ยมคุกดูพวกคอร์รัปชั่นรับกรรม | เดลินิวส์
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐจับมือพันธมิตรซ้อมรบร่วมขั้วโลกเหนือ | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „สหรัฐจับมือพันธมิตรซ้อมรบร่วมขั้วโลกเหนือ สหรัฐและ 8 ชาติพันธมิตรในยุโรปทั้งนอกและในกลุ่มนาโต ร่วมซ้อมรบทางอากาศในเขตอาร์กติก โดยมีเจ้าหน้าที่เข้าร่วมราว 4,000 นาย และอากาศยานอีกกว่า 100 ลำ วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2558 เวลา 20:23 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ว่า สหรัฐและพันธมิตรชาติยุโรปอีก 8 ประเทศ ได้แก่ นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี เข้าร่วมในการซ้อมรบร่วมทางอากาศ "อาร์คติค ชาเลนจ์ เอ็กเซอร์ไซส์" ในบริเวณอาร์กติก โดยมีนอร์เวย์เป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25 พ.ค. - 5 มิ.ย. นี้ ปฏิบัติการฝึกซ้อมครั้งนี้จะมีอากาศยานกว่า 100 ลำ และเจ้าหน้าที่ราว 4,000 นาย เข้าร่วม โดย พล.จ.ยาน โอเว ริกก์ ผู้นำในภารกิจครั้งนี้ เผยว่า เป้าหมายคือการฝึกฝนเจ้าหน้าที่ในปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อเสริมศักยภาพความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศพันธมิตรสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) รวมถึงประเทศนอกนาโตด้วย ซึ่งการฝึกซ้อมจะครอบคลุมตั้งแต่การโจมตีเป้าหมายกลางอากาศ ไปจนถึงการเติมเชื้อเพลิงระหว่างบินด้วย แผนการซ้อมรบครั้งนี้ ถูกกำหนดมาก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ที่รัสเซียผนวกรวมดินแดนไครเมียของยูเครน โดยมีขึ้นในช่วงเวลาที่สถานการณ์ในแถบภูมิภาคบอลติกเริ่มตึงเครียด จากการยกระดับปฏิบัติการทางทหารของกองทัพรัสเซีย.“

    อ่านต่อที่ : สหรัฐจับมือพันธมิตรซ้อมรบร่วมขั้วโลกเหนือ | เดลินิวส์
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทอร์นาโดกระหน่ำเม็กซิโกเสียหายหนัก | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „ทอร์นาโดกระหน่ำเม็กซิโกเสียหายหนัก พายุทอร์นาโดเคลื่อนรุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี โจมตีเมืองทางตอนเหนือของเม็กซิโก เมื่อเช้าวันจันทร์ สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่บ้านเรือนและรถยนต์ มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 13 ราย วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2558 เวลา 0:05 น.

    <iframe width="750" height="500" src="https://www.youtube.com/embed/zzfiTzVYYBw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเม็กซิโก ซิตี ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ว่า พายุทอร์นาโดที่มีความเร็วลม 198 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พัดกระหน่ำเมืองชิอูแดด อาคูยา ในรัฐอาโกวีลา ทางตอนเหนือของเม็กซิโก ติดพรมแดนสหรัฐ เมื่อเวลาประมาณ 06.40 น. วันจันทร์ ตามเวลาท้องถิ่น (18.40 น. ตามเวลาประเทศไทย) โดยนับเป็นพายุที่รุนแรงที่สุดในรอบอย่างน้อย 15 ปีของเม็กซิโก แรงพายุสร้างความเสียหายให้บ้านราว 300 หลังคาเรือน ขณะที่รถยนต์ถูกพัดปลิวพังเสียหายทั้งคัน บางคันขึ้นไปติดอยู่บนหลังคาบ้าน เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย ซึ่งคาดว่าตัวเลขน่าจะสูงขึ้นอีกเมื่อเจ้าหน้าที่ทำการค้นหาในซากอาคาร และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 88 ราย ขณะที่จำนวนผู้สูญหายยังไม่สามารถยืนยันได้ ระบุเพียงว่าในจำนวนนั้นเป็นเด็กชายวัย 7 ขวบ และทารกรายหนึ่งที่ถูกพายุพัดหายไปจากมือของผู้เป็นแม่ โดยทางการเมืองชิอูแดด อาคูยา กำลังอยู่ในระหว่างประเมินความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น เบื้องต้นได้จัดตั้งศูนย์พักพิงให้แก่ประชาชนแล้ว 7 แห่ง ขณะเดียวกัน อิทธิพลของพายุก็ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่รัฐเทกซัสและรัฐโอคลาโฮมาที่อยู่ติดกัน มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 ราย และสูญหายอีกอย่างน้อย 12 คน ขณะที่ประชาชนอย่างน้อย 2,000 คน ต้องอพยพออกนอกพื้นที่ โดยทางการเฮย์ส เคาน์ตี คาดว่าน่าจะมีบ้านที่ได้รับความเสียหายราว 1,000 หลังคาเรือน.“

    อ่านต่อที่ : ทอร์นาโดกระหน่ำเม็กซิโกเสียหายหนัก | เดลินิวส์
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประกาศภัยพิบัติในเทกซัส เจอน้ำท่วมฉับพลัน-พายุจ่อถล่มซ้ำ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2558 01:41 น. (แก้ไขล่าสุด 26 พฤษภาคม 2558 10:33 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์/เอเอฟพี - ผู้ว่าการรัฐเทกซัสเมื่อวันจันทร์ (25 พ.ค.) ประกาศภัยพิบัติใน 24 เคาน์ตี อ้างถึงสภาพอากาศเลวร้ายและน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งคร่าประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 3 ศพและสูญหายนับสิบคนในมลรัฐแห่งนี้กับโอคลาโฮมาที่อยู่ติดกัน ท่ามกลางคำเตือนว่าอาจเจอพายุซัดถล่มซ้ำอีก

    <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/8TSA_lhL71g" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    มลรัฐเทกซัสถูกถล่มจากทั้งทอร์นาโด ฝนตกหนัก พายุฝนฟ้าคะนองและอุทกภัย จนต้องอพยพประชาชนและปฏิบัติการช่วยเหลือผู้คนที่ติดค้างบนหลังคา ขณะที่ชาวบ้านหลายหมื่นคนไม่มีไฟฟ้าใช้

    ในการประกาศภัยพิภัยครอบคลุม 24 เคาน์ตีทั่วมลรัฐ นายเกรก แอ็บบอตต์ ผู้ว่าการรัฐบอกว่า “มลรัฐเมกซัสใช้มาตการที่รวดเร็วในการกระจายทรัพยากรทุกอย่างเข้าช่วยเหลือปะชาชนที่ได้รับผลกระทบจากระบบสภาพอากาศที่เลวร้าย”

    เขากล่าวต่อว่า “ผมสวดมนต์ภาวนาแด่ชุมชุนทุกแห่งที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากหายนะทางสภาพอากาศครั้งนี้ และผมขอชื่นชมทีมตอบสนองชุดแรกที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยสำหรับจัดเตรียมศูนย์พักพิง ดูแลและจัดสรรทรัพยากรต่างๆแก่พื้นที่ประสบภัย”

    สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติคาดหมายว่า พายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงในแถบตอนกลางทางเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเทกซัส รวมถึงภาคใต้ของมลรัฐโอคลาโฮมาอาจนำมาซึ่งลมกระโชกแรง ทอร์นาโด และลูกเห็บ พร้อมออกคำเตือนพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงและน้ำท่วมฉับพลัน เช่นเดียวกับทอร์นาโด ทั่วภูมิภาค

    หลายพื้นที่ในมลรัฐเทกซัส และโอคลาโฮมา ต้องเผชิญกับน้ำท่วมฉับพลันจากภาวะฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์ และทางสำนักงานผู้ว่าการรัฐเตือนว่าสภาพอากาศอาจจะเลวร้ายเช่นนี้ต่อไปตลอดทั้งสัปดาห์ ขณะที่นักอุตุนิยมวิทยาบอกว่าแผ่นดินที่อุ้มน้ำเต็มพิกัด หลังมีฝนตกหนักตลอด 3 สัปดาห์หลังสุด อาจนำมาซึ่งปัญหาน้ำท่วมฉับพลันที่เป็นอันตราย

    เจ้าหน้าที่กู้ภัยในวันจันทร์ (25 พ.ค.) เผยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 รายและสูญหายอย่างต่ำ 12 คน จากน้ำท่วมฉับพลันในเทกซัสและโอคลาโฮมา ขณะเดียวกันระดับน้ำที่สูงขึ้นเรื่อยๆยังทำลายบ้านเรือนราว 400 หลังและซัดพารถยนต์ลอยไปตามท้องถนน

    ในซานมอร์กอส เมืองในรัฐเทกซัส ชาวบ้านได้รับคำสั่งอพยพออกจากบ้านเรือนหลังระดับน้ำสูงขึ้นอย่างน่ากังวล ตามหลังภาวะฝนตกหนักที่แปรเปลี่ยนท้องถนนเป็นลำน้ำ พร้อมทั้งยังเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนที่ไม่สามารถกลับบ้านได้

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายกฯ มาเลย์ชี้ “โรฮีนจา” เป็นปัญหาโลก ไม่ใช่ของอาเซียน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2558 05:19 น. (แก้ไขล่าสุด 26 พฤษภาคม 2558 10:35 น.)

    [​IMG]

    แอสโตร อวานี - ประเด็นผู้อพยพโรฮีนจาคือปัญหาของนานาชาติ ไม่ใช่ของอาเซียนเพียงลำพัง นายกรัฐมนรีนาจิบ ราซัค กล่าวเมื่อวันจันทร์ (25 พ.ค.) พร้อมวิงวอนโลกช่วยกันแก้ไขวิกฤตนี้

    คำกล่าวของนายนาจิบ มีขึ้นระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ หลังจากหารือแบบทวีภาคีที่สำนักนายกรัฐมนตรีที่กรุงโตเกียว

    นายนาจิบบอกว่า ในขณะที่มาเลเซียและชาติเพื่อนบ้านพยายามมองหาทางออกระดับอาเซียน แต่ประเด็นโรฮีนจาก็เป็นปัญหาของนานาชาติเช่นกัน และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขระดับนานาชาติ “ผมใช้โอกาสนี้สรุปให้ท่านนายกรัฐมนตรีอาเบะ ฟังถึงความท้าทายล่าสุดที่มาเลเซียและอาเซียนต้องเผชิญ สิ่งใดบ้างที่ญี่ปุ่นจะสามารถช่วยเราบรรเทาปัญหานี้ได้ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดียิ่ง”

    รัฐเกดะห์ของมาเลเซียต้องเผชิญกับการไหลบ่าของผู้อพยพผิดกฎหมายชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อน เมื่อชาวต่างด้าว 1,158 คนถูกจับกุมหลังขึ้นฝั่งลังกาวีเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม

    การลักลอบขึ้นฝั่งดังกล่าวมีขึ้นนับตั้งแต่รัฐบาลไทยดำเนินการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้น ตามหลังการพหลุมศพหมู่มากกว่า 30 ศพทางภาคใต้ของประเทศช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ยินยอมมอบที่พักพิงชั่วคราวแก่ผู้อพยพผิดกฎหมายราว 7,000 คน ที่เชื่อว่ายังคงอยู่ในน่านน้ำสากลหรือใกล้เคียง

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สื่อกลาโหม “ไอเอชเอส เจนส์” ชี้ปัญหาทะเลจีนใต้กระตุ้น “อาเซียน” แข่งเสริมเขี้ยวเล็บนาวี - หวั่นเกิดปะทะจะ “ควบคุมยาก” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    26 พฤษภาคม 2558 09:37 น. (แก้ไขล่าสุด 26 พฤษภาคม 2558 10:36 น.)

    [​IMG]

    @เรือฟริเกตชั้นฟอร์มิดาเบิลของกองทัพเรือสิงคโปร์ (ภาพ - วิกิพีเดีย)

    รอยเตอร์ - สื่อกลาโหมชื่อดัง “ไอเอชเอส เจนส์” (IHS Jane’s) เตือนปัญหาทะเลจีนใต้กระตุ้นให้รัฐบาลหลายชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อัดฉีดงบประมาณเสริมกองทัพเรือและยามฝั่ง ทว่า เมื่อศักยภาพทางการทหารเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้าในน่านน้ำพิพาทจนสถานการณ์ลุกลามบานปลายก็มีมากตามไปด้วย

    นิตยสารกลาโหมรายสัปดาห์ ไอเอชเอส เจนส์ ดีเฟนซ์ ระบุว่า งบประมาณด้านกลาโหมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าจะพุ่งทะลุ 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2020 จากที่คาดการณ์ไว้เพียง 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้

    ไอเอชเอส เจนส์ ยังประเมินว่า กลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศจะใช้จ่ายงบประมาณรวมกันถึง 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์รุ่นใหม่ๆ โดยจะเน้นสำหรับการใช้งานในกองทัพเรือ

    อาวุธส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้เพื่อป้องกันอธิปไตยในทะเลจีนใต้ หลังจากที่จีนเริ่มขยายอิทธิพลโดยการก่อสร้างหมู่เกาะเทียมขึ้นบริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ สร้างความหวั่นวิตกแก่เพื่อนบ้านในอาเซียน และยังเป็นเหตุให้เกิดการกระทบกระทั่งกับเครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ด้วย

    จีนอ้างอธิปไตยเหนือน่านน้ำเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางเรือมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ทว่าฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย ไต้หวัน และบรูไน ก็อ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ทับซ้อนนี้เช่นกัน

    “ยิ่งแสนยานุภาพทางทะเลของแต่ละชาติแผ่ขยายออกไป ขอบเขตและความรุนแรงเมื่อเกิดการเผชิญหน้าก็จะมากตามไปด้วย” ทิม ฮักซ์ลีย์ ผู้อำนวยการใหญ่สถาบันนานาชาติเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ในเอเชีย (International Institute of Strategic Studies in Asia) ระบุ

    ความกระตือรือร้นที่จะเสริมศักยภาพด้านการป้องกันทางทะเลปรากฏชัดเจนในงานแสดงอาวุธที่สิงคโปร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีบุคคลระดับผู้บัญชาการกองทัพเรือและเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อด้านกลาโหมเดินทางไปพบปะผู้ผลิตอาวุธจากสหรัฐฯ ยุโรป อิสราเอล และส่วนอื่นๆ ของเอเชีย ซึ่งต่างขนเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทะเลรุ่นใหม่ๆ มาโชว์กันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นเรือดำน้ำและเรือรบที่ติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย เรือตรวจการณ์ เรือสะเทินน้ำสะเทินบก เครื่องบินสอดแนม และอากาศยานไร้คนขับ

    นอกจากข้อพิพาทในเชิงภูมิศาสตร์การเมืองแล้ว อาเซียนยังต้องรับมือวิกฤตเรื้อรังอื่นๆ เช่น ปัญหาโจรสลัด และขบวนการลักลอบขนสินค้าหรือผู้อพยพทางเรือ

    แม้รายการอาวุธที่ต้องการสั่งซื้อจะยาวเป็นหางว่าว แต่ต้องยอมรับว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ล้วนมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ เว้นแต่เพียงสิงคโปร์ประเทศเดียว

    “กองทัพบางประเทศยังได้รับคำสั่งให้ซ่อมแซมและใช้งานอุปกรณ์บางอย่างซึ่งควรจะโละทิ้งไปตั้งหลายสิบปีแล้ว” แหล่งข่าวด้านการทหารในภูมิภาคซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม ให้สัมภาษณ์ที่งานแสดงอาวุธ IMDEX ในสิงคโปร์

    ริชาร์ด บิตซิงเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมจากวิทยาลัยนานาชาติศึกษา เอส. ราชารัตนัม ในสิงคโปร์ ระบุว่า หลังจากที่สิงคโปร์ร่วมกับบริษัท DCNS ของฝรั่งเศสผลิตเรือฟริเกตชั้นฟอร์มิดาเบิล จำนวน 6 ลำ ซึ่งสามารถใช้ปฏิบัติภารกิจได้หลากหลาย ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เริ่มดำเนินรอยตามบ้าง โดยมาเลเซียได้สั่งซื้อเรือคอร์เวตจำนวน 6 ลำ รวมมูลค่า 9,000 ล้านริงกิตจาก DCNS ขณะที่อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย ก็อยู่ระหว่างเจรจากับซัพพลายเออร์จากรัสเซียและยุโรป

    เวียดนามมีเรือดำน้ำชั้นกีโล (Kilo-class) ซึ่งผลิตในรัสเซียจำนวน 3 ลำ และได้สั่งซื้อเพิ่มไปแล้วอีก 3 ลำ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นการตอกย้ำว่าฮานอยมีเจตนาท้าทายแสนยานุภาพทางทะเลที่เหนือกว่าของจีน

    สิงคโปร์ซึ่งมีเรือดำน้ำมือสองอยู่แล้ว 4 ลำได้สั่งซื้อเพิ่มเติ่มอีก 2 ลำจากบริษัท ธีสเซนครุป มารีน ซิสเต็มส์ ของเยอรมนี ส่วนอินโดนีเซียก็ทำสัญญาสั่งผลิตเรือดำน้ำ 3 ลำกับบริษัท แดวู ของเกาหลีใต้

    เรือสะเทินน้ำสะเทินบกซึ่งสามารถขนรถถัง เฮลิคอปเตอร์ ทหาร และใช้ในปฏิบัติการค้นหาและช่วยชีวิต ก็กำลังได้รับความนิยม

    “พาหนะเหล่านี้ใช้ปฏิบัติภารกิจได้หลายอย่าง จึงเหมาะอย่างยิ่งกับกองทัพเรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีงบประมาณค่อนข้างจำกัด ทว่ามีความจำเป็นหลายด้าน” ฮักซ์ลีย์กล่าว

    ฟิลิปปินส์เตรียมรับมอบเรือยามฝั่ง 10 ลำที่สั่งผลิตในญี่ปุ่นภายในสิ้นปีนี้ โดยโตเกียวยังรับหน้าที่ผลิตเรือตรวจการณ์ให้แก่กองทัพเรือเวียดนามด้วย

    อากาศยานปีกคงที่ (fixed-wing aircraft) เฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินไร้คนขับ (โดรน) ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการลาดตระเวนทางทะเล ก็กำลังได้รับความสนใจมากเช่นกัน

    ในงานแสดงอาวุธที่เกาะลังกาวีของมาเลเซียเมื่อต้นปีนี้ โบอิ้งได้พยายามโปรโมตเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลรุ่นใหม่ซึ่งติดตั้งเรดาร์และเซ็นเซอร์แบบเดียวกับเครื่องบิน พี-8 โพไซดอน เพียงแต่ไม่มีระบบอาวุธต่อต้านเรือดำน้ำ

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เรื่องราวของ 'อรุณา ชานโบก' เหยื่อถูกข่มขืนที่นอนนิ่ง 'เป็นผัก' อยู่ถึง 32 ปี
    โดย อัมริตา มุคเกอร์จี 20 พฤษภาคม 2558 23:48 น. (แก้ไขล่าสุด 21 พฤษภาคม 2558 00:40 น.)

    [​IMG]
    @(ซ้าย) อรุณา ชานโบก เมื่อครั้งทำงานเป็นพยาบาลก่อนจะเกิดเหตุร้าย (ขวา) สภาพของเธอหลังจากนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลในสภาพเป็นผักถาวร มานานหลายสิบปี

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    What is rape victim Aruna Shanbaug’s real story?
    By Amrita Mukherjee
    19/05/2015

    อรุณา ชานโบก พยาบาลวัย 66 ปี กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งอินเดีย ภายหลังจากที่เธอจากไปเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ยิ่งกว่าช่วงเวลาใดๆ ในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ โดยที่ระยะเวลา 42 ปีสุดท้ายนั้น เธอต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงในสภาพเป็นผักอย่างถาวร ตั้งแต่ที่เธอสิ้นชีวิตไป มีการอภิปรายถกเถียงกันบนสื่อสังคม ทั้งในประเด็นที่ว่า อรุณา ควรได้รับความยินยอมให้จบชีวิตลงอย่างมีเกียติแบบการุณยฆาต, คนที่ทำร้ายเธอ โซหันลาล ภารตะ วาลมิกิ ถูกลงโทษในสถานเบาเกินไปใช่หรือไม่, หรือว่าทางโรงพยาบาลดูแลจัดการกับคดีนี้อย่างไร้ความรับผิดชอบใช่หรือไม่

    อรุณา ชานโบก (Aruna Shanbaug) พยาบาลวัย 66 ปี กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งอินเดีย ภายหลังจากที่เธอจากไปเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ยิ่งกว่าช่วงเวลาใดๆ ในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ โดยที่ระยะเวลา 42 ปีสุดท้ายนั้น เธอต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงในสภาพเป็นผักอย่างถาวร (permanent vegetative state หรือ PVS) ณ โรงพยาบาลคิงเอดเวิร์ดเมโมเรียล ( King Edward Memorial Hospital หรือ KEM) ในนครมุมไบ (บอมเบย์)

    ตั้งแต่ที่เธอสิ้นชีวิตไป รายละเอียดอันโชกเลือดแห่งเรื่องราวชีวิตของเธอจู่ๆ ก็รุกรานเข้าสู่พื้นที่เสมือนในไซเบอร์สเปซอย่างฉับพลัน และผู้ที่บางทีอาจไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับตัวเธอมาก่อนเลย ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากความทุกข์ทรมานที่เธอต้องแบกรับตลอดกว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมา

    มีการอภิปรายถกเถียงกันในหลายเวทีปะทุขึ้นบนสื่อสังคม ทั้งในประเด็นที่ว่า อรุณา ควรได้รับความยินยอมให้จบชีวิตลงอย่างมีเกียติแบบการุณยฆาต (euthanasia) , หรือว่า คนที่ทำร้ายเธอ โซหันลาล ภารตะ วาลมิกิ (Sohanlal Bharta Valmiki) --ภารโรงของโรงพยาบาลแห่งนั้น ซึ่งได้ใช้โซ่ล่ามสุนัขรัดคอเธอในคืนหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนปี 1973 จากนั้นก็โทรมเธอทางทวารหนัก เพราะเธอได้กล่าวตำหนิติเตียนเขาต่อหน้าสาธารณชนว่าขโมยอาหารซึ่งเก็บไว้เลี้ยงสุนัข-- ถูกลงโทษในสถานเบาเกินไปใช่หรือไม่ โดยเขาถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 7 ปีสำหรับความผิดฐานโจรกรรมและพยายามฆ่า, หรือว่าทางโรงพยาบาลดูแลจัดการกับคดีนี้อย่างไร้ความรับผิดชอบใช่หรือไม่ เหล่านี้ทำให้ดิฉันตระหนักว่ามีด้านต่างๆ มากมายเหลือเกินในเรื่องราวของ อรุณา ชานโบก ซึ่งจำเป็นที่จะต้องทำการวิเคราะห์แบบปลอดจากอคติ

    อาการของอรุณาภายหลังถูกทำร้าย

    ในขณะที่คนร้ายผู้ก่อเหตุอย่าง โซหันลาล เดินออกไปชื่นชมกับแสงอาทิตย์ได้ภายหลังถูกจองจำเป็นเวลา 7 ปี อรุณากลับไม่เคยได้เห็นแสงอาทิตย์อีกเลย และกลายเป็นคนไข้ที่อยู่ประจำถาวร ณ หอผู้ป่วยหมายเลข 4 ของโรงพยาบาล KEM จวบจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเธอในวันที่ 18 พฤษภาคม

    การถูกรัดคออย่างทารุณด้วยโซ่ล่ามสุนัข ทำให้สมองของเธอขาดออกซิเจน ส่งผลให้เธออยู่ในอาการตาบอดเป็นบางส่วน และอยู่ในสภาพเป็นผักอย่างถาวร พวกพยาบาลที่ KEM คอยดูแลเธอมาตลอดหลายสิบปีเหล่านี้ ถึงแม้เหงือกของเธออยู่ในสภาพเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ และต้องให้อาหารเธอทางสายยางมาตั้งแต่ปี 2010 แต่เธอไม่มีบาดแผลกดทับเลย และเห็นกันว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ดูเหมือนเธอจะชอบฟังเพลงจากวิทยุ มักชอบรับประทานแกงไข่ และแสดงการยิ้มแย้มเป็นบางครั้งบางคราว

    อย่างไรก็ตาม พินกี วิรานี (Pinki Virani) นักหนังสือพิมพ์ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Aruna's Story” รู้สึกว่าเธอควรจะได้รับยาบรรเทาปวดซึ่งไม่เคยมีการสั่งจ่ายให้เธอเลย, เธอควรจะได้รับการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี ซึ่งนั่นก็ไม่เคยทำให้เธอเช่นกัน รวมทั้งเมื่อตัววิรานีพยายามที่จะจัดให้เธอได้รับการตรวจร่างกายสักครั้งหนึ่ง ก็กลับถูกฝ่ายบริหารของโรงพยาบาลบอกปัดไป

    วิรานีรู้สึกว่าในสภาพที่อรุณาเป็นอยู่ เธอไม่มีความสามารถใดๆ ที่จะจดจำใครๆ ได้เลย รวมทั้งไม่สามารถที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกของเธอเองด้วย ดังนั้นจึงไม่ยุติธรรมที่จะบอกว่าเธอกำลังตอบรับต่อการดูแลรักษา หรือเธอมีความเข้าอกเข้าใจว่ากำลังมีการตัดเค้กวันเกิดอวยพรให้เธอ

    นอกจากนั้น วิรานียังตั้งคำถามว่า ทำไมห้องของอรุณาจึงมักถูกปิดล็อกเอาไว้อยู่เสมอ เหตุผลในเรื่องนี้ซึ่งพวกพยาบาลในโรงพยาบาลแห่งนี้อธิบายก็คือ หลังจากที่หนังสือของวิรานีได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่แล้ว ก็มีสื่อมวลชนปรากฏตัวโดยไม่ได้บอกกล่าวซึ่งเป็นการรบกวนอรุณา นอกจากนั้น ในวันที่โซหันลาลได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ มีบางคนบอกว่าพวกเขาได้เห็นชายที่หน้าตาไม่คุ้นเลย เดินเข้าไปในห้องของเธอ และต่อมาได้พบว่าเธอมีรอยถูกกัดที่ลิ้นของเธอหลายรอย รวมทั้งที่นอนของเธอก็อยู่ในสภาพยับยู่ยี่ไม่เรียบร้อย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ห้องของเธอจึงถูกปิดล็อกเอาไว้

    การรังควานทางเพศในที่ทำงาน

    กฎหมายการรังควานทางเพศในสถานที่ทำงาน (The sexual harassment in the workplace act) ได้ผ่านออกมาบังคับใช้ในอินเดียเมื่อปี 2013 อรุณา ชานโบก ถูกทำร้ายในปี 1973 ตอนที่อินเดียยังไม่ได้เกิดความตื่นตัวหรือแม้กระทั่งตระหนักว่า การถูกล่วงละเมิดทางเพศในสถานที่ทำงาน เป็นความผิดที่จะต้องถูกลงโทษ และเป็นหน้าที่ของนายจ้างที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่เกิดการล่วงละเมิดขึ้นมา รวมทั้งนายจ้างยังจะต้องจัดเตรียมสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยให้แก่บรรดาลูกจ้างด้วย

    พวกเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของโรงพยาบาล KEM ไม่ได้แจ้งความเลยว่าอรุณาถูกข่มขืน และมีรายงานข่าวว่าแฟ้มบันทึกทางการแพทย์ของเธอยังหายไปจากโรงพยาบาลอีกด้วย ในด้านหนึ่ง โรงพยาบาลต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้สาธารณชนเกิดความรู้สึกในทางลบหากได้ทราบว่าเกิดเหตุข่มขืนขึ้นในโรงพยาบาล ส่วนในอีกด้านหนึ่ง โรงพยาบาลก็ต้องการหลีกเลี่ยงไม่อยากจ่ายค่าชดเชยให้แก่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

    การไม่ได้ค่าชดเชยเช่นนี้ ได้กลายเป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้อรุณาไม่ได้กลับไปอยู่บ้านอีกเลย ทั้งนี้ครอบครัวของเธอไม่สามารถดูแลเธอได้ถ้าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน

    นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าผู้อำนวยการของโรงพยาบาลไม่ได้แจ้งความเรื่องการข่มขืน เพราะเขาหวาดกลัวว่าเธอจะต้องผจญกับรอยแผลเป็นทางสังคมเช่นนี้ไปจนตลอดชีวิต ในเมื่อตอนนั้นเธอกำลังใกล้จะแต่งงานกับแพทย์คนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน

    องค์การปกครองเทศบาลบอมเบย์ (Bombay Municipality Corporation) เคยพยายามอยู่ 2 ครั้งที่จะทำให้เตียงของอรุณาในหอผู้ป่วยหมายเลข 4 ว่างลง ทว่าพวกพยาบาลต่อต้านคัดค้าน ดังนั้นอรุณาจึงได้อยู่ต่อ ด้วยเหตุนี้ อรุณาจึงไม่ได้อยู่ต่อมาเนื่องจากความเอื้ออาทรหรือความรู้สึกรับผิดชอบของทางโรงพยาบาล หากแต่เป็นเพราะความดื้อดึงของบรรดาพยาบาลต่างหาก สำหรับครอบครัวของอรุณานั้นไม่ได้มาเยี่ยมเธออีกเลย หลังเกิดเหตุการณ์อันหฤโหดไม่นานนัก

    ภายหลังถูกทำร้าย เพื่อนร่วมงานของอรุณา ซึ่งก็คือบรรดาพยาบาลของโรงพยาบาล KEM ได้ทำการประท้วงนัดหยุดงานเพื่อเรียกร้องให้มีเงื่อนไขการทำงานที่ดีขึ้นกว่าเดิม และเรียกร้องให้อรุณาได้รับการดูแลที่ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย ทว่าไม่ค่อยเป็นที่ทราบกันนักว่าผลการสไตรก์คราวนั้นลงเอยอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแน่ๆ นั่นก็คือ มีการรับประกันว่าเหยื่อผู้นี้จะได้อยู่ในความดูแลของบรรดาพยาบาล

    ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา บรรดาพยาบาลที่เคยทำงานร่วมกับเธอ หรือที่เข้ามาภายหลังเหตุการณ์ผ่านไปหลายๆ ปี คือผู้ที่คอยดูแลคนไข้ PVS รายนี้

    [​IMG]
    @บรรดาพยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลชมนุมกันแสดงความเคารพร่างของ อรุณา ชานโบก ภายหลังเธอสิ้นลมหายใจในวันที่ 18 พ.ค.

    การต่อสู้ระหว่างพวกพยาบาลกับ พินกี วิรานี

    นักหนังสือพิมพ์-นักเขียน พินกี วิรานี หลังจากเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของอรุณาแล้ว ได้บังเกิดความรู้สึกว่าควรยินยอมให้จบชีวิตของอรุณาอย่างมีศักดิ์ศรีด้วยการทำการุณยฆาต ทั้งนี้เธอจะได้ไม่ต้องดำรงชีวิตอันเจ็บปวดและไร้ศักดิ์ศรีในสภาพที่เป็นผักของเธอต่อไปอีก

    ในปี 2009 พินกี วิรานี ยื่นคำร้องต่อศาลในฐานะที่เป็น “เพื่อนผู้ใกล้ชิด” (next friend) ของอรุณา ขอให้เธอได้ตายอย่างมีเกียรติ ปรากฏว่าคำร้องนี้ถูกคัดค้านอย่างโกรธเกรี้ยวจากบรรดาพยาบาลของ KEM ที่เป็นผู้ดูแลอรุณา ในที่สุดศาลสูงสุดตัดสินในปี 2011 ปฏิเสธไม่ยอมรับว่า พินกี มีฐานะเป็น “เพื่อนผู้ใกล้ชิด” ตรงกันข้ามคำพิพากษาระบุว่า พวกพยาบาลต่างหากที่ควรเรียกว่าเป็น “เพื่อนผู้ใกล้ชิด” ของอรุณา เนื่องจากพวกเธอมีความผูกพันทางอารมณ์ความรู้สึกกับอรุณาและคอยดูแลเธอมาตลอด

    ถึงแม้อรุณาไม่ได้รับการยินยอมให้สิ้นชีวิตไป แต่คำพิพากษาของศาลสูงสุดนี้ก็ได้ทำให้การุณยฆาตเชิงรับ (passive euthanasia การุณยฆาตที่กระทำโดยการตัดการรักษาที่ให้แก่ผู้ป่วย) กลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในอินเดีย หลังจากนั้นบรรดาญาติของผู้ป่วย PVS สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อนำตัวผู้ป่วยที่ทนทุกข์ทรมานมายาวนาน ออกจากเครื่องอุปกรณ์ช่วยชีวิต

    ในขณะที่อรุณาหายใจเป็นครั้งสุดท้าย และบรรดาพยาบาลแห่งโรงพยาบาล KEM แสดงความเคารพเธอเป็นหนสุดท้าย พินกี วิรานี ก็ยังคงเชื่อว่า ควรยินยอมให้อรุณาจากไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานแล้ว นี่เป็นเพราะว่าพวกเซลล์ในสมองของอรุณาในส่วนซึ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้นั้น ยังคงทำงานได้ ดังนั้น ตลอดระยะเวลา 42 ปีที่เธออยู่ในโรงพยาบาล เหยื่อของการข่มขืนผู้นี้จึงต้องทรมานจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเรื่อยมา

    ทางด้าน สุรินเดอร์ คาอูร์ (Surinder Kaur) หัวหน้าพยาบาลของแผนกหัวใจ ณ โรงพยาบาล KEM ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ “เดอะ ฮินดู” (The Hindu) ของอินเดีย โดยกล่าวว่า เธอเข้าทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้เมื่อปี 1976 และได้รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของอรุณา ชานโบก ตั้งแต่นั้นมา เธอก็คอยเฝ้าดูแลคนไข้ผู้นี้เคียงข้างพยาบาลคนอื่นๆ “เราเฝ้าดูแลเธอเหมือนกับเป็นลูกๆ ของพวกเราเอง เราไม่สามารถยอมรับความคิดที่จะทำให้เธอต้องนอนหลับไปตลอดกาลได้หรอก”

    บางที พินกี วิรานี อาจจะเป็นฝ่ายถูกถ้าหากพิจารณาจากมุมมองของเธอเอง เฉกเช่นเดียวกับบรรดาพยาบาลผู้ซึ่งได้พัฒนาความผูกพันแน่นหนากับดวงวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานมายาวนานดวงนี้ ก็อาจจะเป็นฝ่ายถูกในมุมมองของพวกเธอ

    พร้อมๆ กับที่ อรุณา ชานโบก เป็นผู้มอบของขวัญ “การุณยฆาตเชิงรับ” ให้แก่อินเดีย เธอยังเป็นตัวอย่างอันมีชีวิตชีวาของการที่ผู้หญิงในอินเดียต้องตกเป็นเหยื่อของระบบยุติธรรมที่เอียงกระเท่เร่

    โซหันลาลไม่เคยถูกฟ้องร้องพิจารณาคดีในข้อหาข่มขืนหรือกระทำชำเราทางทวารหนัก บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงหลังจากได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ พวกลูกจ้างในโรงพยาบาล KEM บอกกับ พินกี ว่า โซหันลาลหางานทำได้ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงนิวเดลี ปัจจุบันภาพถ่ายของอาชญากรผู้นี้ไม่ปรากฏอยู่ในแฟ้มของตำรวจ, ศาล, หรือโรงพยาบาล เนื่องจากเวลาผ่านไปนานถึง 35 ปีแล้วนับแต่ที่เขาได้รับการปล่อยตัวจากคุก ดังนั้นเมื่อมาถึงเวลานี้ จึงไม่น่าที่จะสามารถติดตามร่องรอยของเขาและเปิดคดีฟ้องร้องเขาได้แล้ว

    อัมริตา มุคเกอร์จี เป็นนักหนังสือพิมพ์อิสระซึ่งเขียนถึงประเด็นทางสังคมในอินเดียโดยเน้นหนักที่เรื่องผู้หญิง เธอแบ่งเวลาพำนักอยู่ระหว่าง ดูไบ กับ อินเดีย ติดตามบล็อกของเธอได้ที่ amritaspeaks | When women take centre stage…

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics& Clips : สื่อรัสเซียตีแผ่ปัญหาฝ้าย GMO บังคับให้เกษตรกรอินเดีย 290,000 คน “ฆ่าตัวตาย” หลังถูกบีบให้ซื้อพันธุ์ฝ้าย GMO มอนซานโตราคาสุดโหด โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2558 20:49 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ – เกษตรกรอินเดียจำนวน 290,000คนต้องเลือกที่จะจบชีวิตหลังจากที่ถูกบังคับให้ซื้อพันธุ์ฝ้ายตัดต่อพันธุกรรม บีที จากมอนซานโต บริษัทยักษ์ใหญ่เคมีภัณฑ์สหรัฐฯ ที่มีราคาสูงมาก และยังมีการดูแลรักษาที่ยุ่งยาก จนทำให้เกษตรกรอินเดียจำนวนมากล้มละลาย และเลือกที่จะจบชีวิต

    <iframe width="640" height="390" src="https://www.youtube.com/embed/omBxXzdBR2Y" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    RT สื่อรัสเซียรายงานเมื่อวานนี้(24)ว่า เกษตรกรอินเดียจำนวนมากถูกบีบไม่ให้ปลูกฝ้ายท้องถิ่นทั่วไปเหมือนในอดีต แต่จำเป็นต้องหันมาปลูกฝ้ายบีทีสายพันธุ์ GMO แทน และต้องประสบปัญหาอย่างหนักจากปัญหาราคาสูงลิ่วของพันธุ์ฝ้ายบีทีและไม่สามารถหาทางออกได้จนทำให้ฆ่าตัวตายในที่สุด

    “จากสถิติแห่งชาติอินเดียในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีเกษตรกรอินเดียจำนวนถึง 290,000 คนที่ต้องจบชีวิต” ดอกเตอร์ จี วี รามานจาเนยูลู ( G. V. Ramanjaneyulu) จากศูนย์เกษตรยั่งยืนอินเดียให้สัมภาษณ์กับ RT
    ทั้งนี้ทีมข่าวสื่อรัสเซียได้บินตรงไปอินเดียเพื่อเจาะลึกปัญหานี้โดยตรง และพบว่าปัญหาเดียวกันเกิดขึ้นกับครอบครัวเกษตรกรอินเดียหลังจากที่ได้คุยปรับทุกข์กับสมาชิกครอบครัวรวมไปถึงภรรยาม่ายจำนวนมากที่สามีทนสภาพปัญหาไม่ไหว และด่วนตัดสินใจปลิดชีพตนเองในที่สุดหลังจากต้องถูกกดดันให้หันมาปลูกฝ้ายตัดแต่งพันธุกรรมบีที ลิขสิทธิ์ของบริษัทเคมีภัณฑ์ "มอนซานโต" ทำให้เกษตรกรอินเดียต้องเป็นหนี้เป็นสินเป็นจำนวนมาก และเมื่อฝ้ายไม่สามารถให้ผลตอบแทนได้ เกษตรกรอินเดียเหล่านั้นหันไปหาทางออกด้วยการกินยาปราบศัตรูพืชปลิดชีวิตตนเองแทน

    “สามีของดิฉันกินยาปราบศัตรูพืชปลิดชีพ และหลังจากที่เราพบศพเขาที่มีจดหมายในกระเป๋า เขามีหนี้เป็นจำนวนมากและตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะปัญหาหนี้พวกนั้นหลังจากได้จำนองไร่ไป” หนึ่งในหญิงม่ายอินเดียเผย และลูกสาวเผยต่อว่า “ เขาทำงานทั้งวัน แต่ไม่สามารถทำให้ฝ้ายที่ปลูกจ่ายหนี้สิ้นได้”

    สื่อรัสเซียรายงานว่า การที่จะทำให้พืช GMO ประสบความสำเร็จนั้นต้องมีการชลประทานที่ดี โดยเกษตรกรที่มีฐานะมักจะแบ่งปันพันธ์ฝ้าย GMO ให้กับเกษตรกรที่ยากจนกว่า ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มักมีการศึกษาน้อยและไม่ทราบถึงข้อจำกัดการปลูกพืช GMO ให้ได้ประสบความสำเร็จ

    “ฝ้ายบีทีเป็นสิ่งที่จะสามารถแก้ปัญหาเกษตรกรอินเดียที่ประสบปัญหาการปลูกฝ้ายในอดีตที่ผ่านมา แต่ทว่ามีสิ่งอื่นทีทำให้มีปัญหาที่มากไปกว่านั้น” คิรันคูมาร์ วิสซา (Kirankumar Vissa)กล่าวและเสริมว่า “มีพื้นที่เป็นจำนวนมากที่ไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูก และที่มากไปกว่านี้ บริษัทมอนซานโตผู้ผลิตฝ้ายบีทีโฆษณาเกินจริงว่า ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะกับพื้นที่ชลประทานและพื้นที่นอกชลประทาน ซึ่งนี้ถือเป็นการหลอกลวงเกษตรกรโดยสิ้นเชิง”

    เอเล็กซิส บาเดน-เมเยอร์ (Alexis Baden-Mayer) ผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของสมาพันธ์ผู้บริโภคพืชเกษตรอินทรีย์ (Organic Consumers Association) เปิดเผยว่า ฝ้ายบีทีนั้นมีจำหน่ายเฉพาะในอินเดียเท่านั้น และมีปัจจัยควบคุมมาก
    “ฝ้ายบีทีแพงมากกว่าฝ้ายท้องถิ่นถึง 8,000% แต่ทว่าพันธุ์ฝ้ายตามธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่เกษตรกรอินเดียหาซื้อไม่ได้เพราะมอนซานโตเป็นผู้คุมตลาดพันธุ์ฝ้ายอินเดียไว้ บาเดน-เมเยอร์ให้สัมภาษณ์กับ RTD ว่าอินเดียเป็นตลาดพืช GMO ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก

    “ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ปฎิเสธพืช GMO แต่อินเดียอนุญาตให้ปลูกฝ้าย GMO ได้เท่านั้น และสิ่งนี้ไม่ได้ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ และแน่นอนที่สุดไม่ช่วยเกษตรกรอินเดียที่กำลังปลูกฝ้าย GMO เพราะพืช GMO ได้ปิดช่องทางโอกาสของเกษตรกรไม่ให้มีทางเลือกอื่น เพราะเกษตรกรอินเดียที่อยู่นอกพื้นที่การทำชลประทานถูกบังคับให้ปลูกฝ้าย GMO ที่ต้องพึ่งชลประทายเป็นหลัก
    RT สื่อรัสเซียรายงานปิดท้าย บริษัทมอนซานโตได้ออกแถลงการณ์โต้การรายงานปัญหาการฆ่าตัวตายเกษตรกรอินเดียครั้งนี้ว่า “การค้นพบปัญหาฆ่าตัวตายของเกษตรกรอินเดียยังคลุมเครือและไม่สามารถระบุได้ว่าพืช GMOของบริษัทเป็นสาเหตุ” และแถลงการณ์ยังกล่าวต่อว่า “การวิจัยยังชี้ว่า ไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างการฆ่าตัวตายของเกษตรกรอินเดียและการปลูกพืช GMO”

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx…
    รูปภาพของ Sukit Chongchokdie
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Twarath Sutabutr ได้แชร์รูปภาพของ Worapom Nongposamm
    มารู้จักท่านคุรุจิตกันครับ

    [​IMG]

    คอลัมน์ ใครเป็นใคร นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันที่ 24 พ.ค.58 บอกกล่าวแนะนำ 'ลูกหม้อกระทรวงพลังงาน' คุรุจิต นาครทรรพ ผู้ที่หลายคนตั้งความหวังว่าจะเป็นอัศวินพิชิตวิกฤติพลังงานทุกๆ เรื่องใหญ่ๆ สำคัญๆ ในขณะนี้ ทั้งสัมปทานรอบ 21 และสัมปทานที่ใกล้หมดอายุ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวกำหนดอนาคต 'ความมั่นคงพลังงานไทย' ทั้งสิ้น

    ในที่สุด คณะรัฐมนตรีชุด พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีมติแต่งตั้ง ดร. คุรุจิต นาครทรรพ ลูกหม้อกระทรวงพลังงานผู้มีความรู้ความสามารถและมีผลงานที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมากมายตลอดชีวิตราชการให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน

    ดร.คุรุจิต นาครทรรพ เกิดเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2498 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรชายคนโตของ ดร.อรรถ นาครทรรพ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ศ.ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (สกุลเดิม ณ ถลาง) อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยและเป็นปูชนียบุคคลทางด้านภาษาไทยในวงการศึกษาไทย

    ดร.คุรุจิต จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย แล้วไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา จบปริญญาตรี, โท, เอก สาขาวิศวกรรมปิโตรเลียม จากมหาวิทยาลัยโอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกา B.S. (with Special Distinction) M.S. & Ph.D. in Petroleum Engineering, University of Oklahoma, U.S.A.

    หลังจบการศึกษาแล้ว ดร.คุรุจิต ได้เข้ารับราชการที่กระทรวงพลังงานในปี 2526 ได้ปฏิบัติงานทางด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตลอดจนงานด้านพลังงานระหว่างประเทศและในสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้อำนวยการสำนักวิชาการ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักความ ร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงพลังงาน รักษาการหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน รองอธิการบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

    ในปี 2543 ดร.คุรุจิต ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทย และคณะกรรมการองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJA) ให้ไปปฏิบัติงานที่องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ในตำแหน่ง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Chief Executive Officer (CEO)) ณ สำนักงานใหญ่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2543-30 ก.ย. 2547 ซึ่งรับผิดชอบในการสำรวจและพัฒนาแหล่งก๊าซ ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย

    ในเดือน ต.ค. 2547 ดร.คุรุจิต ได้กลับจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ประเทศมาเลเซียและมาปฏิบัติราชการที่กระทรวงพลังงาน กรุงเทพฯ ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักวิชาการเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ต่อมาในปี 2548 ได้รับ มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมในตำแหน่งรักษาการหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน และตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ต่อมาในเดือน ม.ค. 2549 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

    ในปี 2549 เป็นรองปลัดกระทรวงพลังงาน ปี 2551 เป็นอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติถึงเดือน พ.ย. 2553 แล้วกลับไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพลังงาน และอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจนถึงเดือน ก.ย. ปี 2557 และเป็นรองปลัดกระทรวงพลังงานตลอดมาจนได้รับ แต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงในขณะที่เหลืออายุราชการเพียง 4 เดือน

    เนื่องจาก ดร.คุรุจิต เติบโตมาในตระกูลขุนนางเก่า มีบรรพบุรุษทั้งปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ต่างก็รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและจงรักภักดีมาโดยตลอด ทำให้ ดร. คุรุจิต มีความภาคภูมิใจในการที่จะมีโอกาสได้ทำงานรับใช้ชาติ และตั้งใจตลอดมาว่าจะอุทิศตนเพื่อทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม เมื่อมีตำแหน่งใหญ่ได้เป็นนายผู้อื่นก็จะเป็นผู้นำองค์กรอย่างมืออาชีพ เป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความเคารพนับถืออย่างสนิทใจ และจากประสบการณ์อันยาวนานของการรับราชการทางด้านพลังงานของประเทศได้ยึดหลักสำคัญในการบริหารกิจการพลังงานด้วยการทำงานแบบมืออาชีพ ปฏิบัติตามกรอบนโยบายอย่างถูกกฎหมาย มองประโยชน์ระยะยาวของประเทศชาติและประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้งอย่างซื่อสัตย์สุจริต ได้วางตัวให้เป็นที่ไว้วางใจจากผู้คนรอบข้างซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้งาน ทุกอย่างได้รับความสำเร็จ

    จากการทำงานมา 30 กว่าปีในกระทรวงพลังงาน ดร.คุรุจิต ได้ทุ่มเททำงานเพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติและสังคมส่วนรวมอย่างเต็มกำลัง มีวิธีทำงานกันเป็นทีมประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักธรณีวิทยา ที่ทำงานกันแบบตรงไปตรงมามีเหตุผลรองรับ ทำด้วยจิตสำนึกว่างานที่ทำคืองานที่ยิ่งใหญ่สำหรับประเทศชาติ การค้นหาแหล่งพลังงานกว่าจะได้มานั้นต้องใช้เวลาวางแผนมีองค์ประกอบหลายส่วน ฉะนั้นวัฒนธรรมองค์กรของกระทรวงพลังงานคือ อย่าเป็นจุดกีดขวางอะไรที่ถูกต้องชอบธรรมตามกฎหมายก็ให้บริการเต็มที่ ไม่ยึกยักดึงเรื่องให้ประเทศชาติและสังคมส่วนรวมต้องเสียประโยชน์ นี่คือวัฒนธรรมองค์กรของคนทำงานในกระทรวงวัฒนธรรมที่ ดร.คุรุจิต มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน

    ดร.คุรุจิต ย้ำว่า สังคมจะอยู่ได้ต้องมีความจริงใจ และความซื่อสัตย์สุจริตก็ควรเป็นปัจจัยพื้นฐานของทุกคน และเป็นวัฒนธรรมขององค์กรที่ยั่งยืน "ประเทศเรายังมีข้อจำกัดในเรื่องของแหล่งพลังงาน ผมพยายามที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดในด้านการจัดหาพลังงาน หาความรู้ใส่ตัว หาเทคโนโลยีใหม่มาให้องค์กร พัฒนาคนทำงานให้มีวัฒนธรรมด้านความซื่อสัตย์ มีความสามารถ และเป็นมืออาชีพ ให้องค์กรสามารถเติบโตไปได้โดยที่ไม่ต้องมีผม เพราะผมว่าผู้บริหารที่ดีต้องทำให้องค์กรสามารถมีค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรอยู่ยงคงกระพันและพัฒนา ขับเคลื่อนไปในทางที่ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง

    การทำงานราชการให้ประสบความสำเร็จ นอกจากความซื่อสัตย์สุจริตแล้ว ผมคิดว่ามีอีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือมีวิญญาณของการมุ่งทำงานให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม และประสบความสำเร็จในภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วย เพราะยุคนี้ยอมรับว่าเราต้องแข่งกับคนอื่น ราชการก็ต้องแข่งกับระบบราชการประเทศอื่น คนที่เขารับบริการ ถ้าเรามัวยึกยักชักช้า ยืดยาดโยกโย้ คุยไม่รู้เรื่อง เขาก็หนีออกไปทำธุรกิจกับประเทศอื่น ผลที่ตามมาก็คือคนตกงานคนทำงานกับแรงกดดันเป็นเรื่องปกติในทุกองค์กร ดร.คุรุจิต จึงแนะนำว่า

    "ผมว่าเราต้องมีความอดทนอดกลั้น เป็นธรรมะขั้นพื้นฐาน ขันติโสรัจจะ ความอดทนและความสงบเสงี่ยม ต้องมีความเพียร มีอิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ไม่ท้อถอยในหลักยึดที่เรามีอยู่ในตัวเอง ผมคิดว่าสังคมไทยคุณภาพชีวิตโดยรวมดีกว่าสมัยก่อนเยอะ การศึกษาดีขึ้น แต่เราก็ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เวลามีปัญหา อย่าไปเปรียบเทียบ ตัวเองกับคนที่สูงกว่า ให้เปรียบกับคนที่ด้อยกว่า ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่มีโอกาสเหมือนเรา ดังนั้นอย่าให้อุปสรรคมาเป็นข้ออ้างที่จะทำให้เราไม่ทำความดี"

    ดร.คุรุจิต เคยดำรงตำแหน่ง Chief Executive Officer (CEO) องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJA), กรรมการ บริษัท ปตท., กรรมการ บริษัท ผลิตไฟฟ้า, ประธานกรรมการ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม, กรรมการ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย), นายกสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ และเลขาธิการสมาคมไทย-มาเลเซีย (ปี 2548-2554)

    ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, ประธานกรรมการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง, ประธานกรรมการ บริษัท ไทยออยล์ และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

    ดร.คุรุจิต สมรสกับ ม.ล.ประทินทิพย์ เทวกุล ผู้จัดการโรงเรียนราชินี มีบุตร-ธิดา 2 คน

    แม้จะมีเวลาอยู่ในตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงานเพียง 4 เดือน ก็จะเกษียณอายุ แต่คนดีมีความสามารถและซื่อสัตย์สุจริต ที่พิสูจน์การทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและส่วนรวมมาตลอดชีวิต คงมีโอกาสอย่างเต็มที่ ที่จะได้ทำงานในการแก้ปัญหาและพัฒนาพลังงานของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่คนรุ่นหลังในอนาคตอย่างแน่นอน
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc

    [​IMG]

    25 พ.ค. เซ็นแล้ว! เมียนมาผ่านกฎหมายควบคุมการสืบพันธุ์ของมนุษย์ สตรีที่มีบุตรแล้วต้องเว้นวรรคการตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 ปี
    จากรายงานของเอพี ประธานาธิบดีเมียนมา เซ็นรับรองกฎหมายที่มีมาตรการกำหนดให้สตรีที่มีบุตรแล้วต้องเว้นวรรคการตั้งครรภ์เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี แม้จะถูกต้านจากทั้งเจ้าหน้าที่ทูตระดับสูงของสหรัฐฯ ระหว่างการเดินทางเยือนเมียนมา รวมถึงนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชน ที่เกรงว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงอาจถูกนำไปใช้เพื่อกดขี่สตรีเพศ แต่ยังอาจนำไปใช้กดขี่ความเชื่อทางศาสนาของชนกลุ่มน้อย
    ร่างกฎหมายสาธารณสุขเพื่อการควบคุมประชากรฉบับนี้ถูกร่างขึ้นโดยแรงกดดันของกลุ่มพระสงฆ์หัวรุนแรงในศาสนาพุทธด้วยคติที่ต่อต้านกลุ่มมุสลิมอย่างรุนแรง เพิ่งผ่านการลงมติของรัฐสภาเมื่อเดือนที่ผ่านมา
    รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ นายแอนโธนี บลิงเคน กล่าวว่า เขาได้เตือนผู้นำเมียนมา ระหว่างการเจรจาเมื่อสัปดาห์ก่อนถึงอันตรายของการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ แต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่เพียงกี่ชั่วโมงหลังนายบลิงเคนเดินทางกลับ สื่อของรัฐบาลก็ประกาศการลงนามรับรองกฎหมายฉบับดังกล่าวโดยประธานาธิบดีเต็ง เส่ง
    กฎหมายหมายฉบับนี้มอบอำนาจให้กับรัฐบาลท้องถิ่นในการกำหนดระยะเวลาเว้นวรรคการตั้งครรภ์ในพื้นที่ที่มีอัตราการเกิดสูงได้แม้กฎหมายจะมิได้มีมาตรการลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนแต่อย่างใด
    รัฐบาลอ้างว่ากฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ในการลดความเสี่ยงจากการตั้งครรภ์ของแม่และทารกแต่นักกิจกรรมแย้งว่า มาตรการดังกล่าวเป็นละเมิดสิทธิในการเจริญพันธุ์อันเป็นการกดขี่ทางเพศต่อสตรี และยังอาจใช้เป็นมาตรการในการควบคุมการขยายประชากรของชนกลุ่มน้อยได้
    เมียนมาเป็นประเทศที่มีชาวพุทธเป็นชนกลุ่มใหญ่เพิ่งเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยเมื่อสี่ปีก่อนด้วยการเปิดกว้างในการแสดงความเห็นมากขึ้น เผยให้เห็นถึงความเกลียดชังอย่างรุนแรงในสังคมเมียนมาต่อชนกลุ่มน้อยมุสลิม รวมถึงชาวโรฮีนจา ที่ต้องลงเรือหลบหนีการตามล่าโดยกลุ่มชาวพุทธหัวรุนแรง รวมถึงการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมโดยรัฐบาลไปยังประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    ชาวพุธหัวรุนแรงจำนวนมากได้ออกมาเตือนหลายครั้งว่าประเทศเมียนมาซึ่งมีประชากรราว 50 ล้านคน อาจถูกชาวมุสลิมยึดครองได้ด้วยอัตราการเจริญพันธุ์ที่สูงกว่าชาวพุทธ แม้ปัจจุบันจะมีชาวมุสลิมในเมียนมาอยู่ไม่ถึง 10 เปอร์เซนต์ก็ตาม
    นางขิ่น เลย์ นักสิทธิสตรีกล่าวว่า การที่ประธานาธิบดีลงนามในร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง และกล่าวว่า หากรัฐบาลต้องการที่จะให้ความคุ้มครองสตรีจริงๆก็ควรส่งเสริมมาตรการทางกฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบันให้เห็นผลมากกว่า
    เซ็นแล้ว! เมียนมาผ่านกฎหมายควบคุมการสืบพันธุ์ของมนุษย์ : มติชนออนไลน์
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โซเชียลผวา!!ปรากฏการณ์"อุกาฟ้าเหลือง"หวั่น เป็นลางร้ายภัยพิบัติ :: เจาะโลกพิบัติภัย (ชมคลิป) 2015-05-25 21:37:21

    [​IMG]

    รายการเจาะโลกพิบัติภัย ดำเนินรายงานโดย โกศิษฐ์ วัชรเสรีกุล ออกอากาศทางทีนิวส์ทีวี ประจำวันที่ 24 พ.ค. 2558 (ช่วงค่ำ)

    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/HQD1OB2e4gk" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 18.00 น. เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ที่คนโบราณเรียกกันว่า "อุกาฟ้าเหลือง" ชาวโซเซียลต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ หลังเกิดปรากฎการณ์อุกาฟ้าเหลือง ในช่วงเย็น ทำให้ท้องฟ้าทั่วบริเวณเมืองพัทยาเเละใกล้เคียงเป็นสีเหลือง ซึ่งตามความเชื่อของคนโบราณชี้ว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยพิบัติใหญ่ ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ก็เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ก่อนที่จะเกิดเหตุสึนามิซัดถล่มภาคใต้ฝั่งอันดามันในเวลาต่อมา

    สำหรับ ปรากฎการณ์อุกาฟ้าเหลือง ตามหลักวิทยาศาสตร์ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเกิดเมื่อมีพายุฝนฟ้าคะนอง ในเวลาอย่างนั้นท้องฟ้าจะมีเฆมชั้นต่ำมาก เมฆชั้นต่ำจะมีไอน้ำมาเกาะอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้เกิดความชื้นสูง เมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงกระทบละอองไอน้ำเหล่านี้มาสู่ตาเรา ละอองน้ำจะหักเหแสงสีแดงสู่ระบบการมองเห็น ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีแดงส้มหรือเหลือง จะเกิดขึ้นช่วงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นหรือหลังดวงอาทิตย์ตก

    สามารถติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆของเหตุการณ์พิบัติภัยได้ทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/pibatpaitnews

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "สุรพงษ์"จี้ประณามพม่าปมโรฮิงญา อย่าปล่อยไทยเป็นแพะรับบาป
    เขียนวันที่ วันจันทร์ ที่ 25 พฤษภาคม 2558 เวลา 07:40 น.เขียนโดยปกรณ์ พึ่งเนตรหมวดหมู่สัมภาษณ์พิเศษ ศูนย์ข่าวภาคใต้ |

    [​IMG]

    อดีตนักการทูตคนสำคัญเสนอรัฐบาลแสดงจุดยืนต่อปัญหาชาวโรฮิงญาด้วยการส่งกลับประเทศต้นทางเท่านั้น ห้ามสร้างค่ายพักพิงชั่วคราว จี้ยูเอ็นแสดงบทบาท ดึงเมียนมาร์ร่วมรับผิดชอบ

    นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตทูต 5 ประเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศ กล่าวว่า จุดยืนของรัฐบาลไทยต่อปัญหาโรฮิงญาที่สำคัญที่สุดคือ ไทยต้องย้ำว่ารากเหง้าของปัญหามาจากนโยบายของรัฐบาลทหารพม่าที่ปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยโดยไม่ใช้แนวทางสันติวิธี แต่เน้นปราบปรามทางทหาร และเป็นการปราบปรามเพื่อให้ชาวโรฮิงญาทิ้งถิ่นฐานบ้านช่อง หลบหนีออกไป แล้วส่งคนพุทธเข้าไปครอบครองแทน

    โดยเฉพาะการปราบใหญ่ 2 ครั้งในปี พ.ศ.2521 และ พ.ศ.2544 ทำให้ชาวโรฮิงญาจากรัฐยะไข่ร่วม 5 แสนคนต้องหนีข้ามแดนไปยังบังคลาเทศ ซึ่งบังคลาเทศเองก็รับไม่ไหว กระทั่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ ต้องไปสร้างค่ายพักพิงชั่วคราว แต่เมื่อสถานการณ์ในเมียนมาร์ไม่ได้ดีขึ้น ทำให้มีชาวโรฮิงญาทนสภาพความเป็นอยู่ไม่ไหว ต้องลักลอบออกจากค่ายพักพิง จากการรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่บังคลาเทศเอง

    ฉะนั้นจุดยืนไทย คือต้องชี้ให้เห็นว่าปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาระหว่างไทยกับโรฮิงญา แต่ต้นตอของปัญหาอยู่ที่ระบบการเมืองการปกครองของเมียนมาร์ที่ไม่เอื้ออาทรกับชนกลุ่มน้อย จึงต้องประณามเมียนมาร์ ไม่ใช่ให้ไทยเป็นแพะรับบาป

    อีกประเด็นหนึ่ง คือ ไทยต้องชี้ให้เห็นว่าปัญหาโรฮิงญาเป็นปัญหาระดับโลก ไม่ใช่ปัญหาแค่ในภูมิภาค เพราะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในยุโรป อิตาลี สเปน ที่ผลักดันคนจากทวีปแอฟริกาที่หนีภัยสงคราม หนีภัยเศรษฐกิจ ไม่ให้ขึ้นฝั่งประเทศของตน จึงเป็นปัญหาที่สหประชาชาติต้องรับผิดชอบและเรียกประชุม โดยต้องมีประเทศจำเลยมา คือ เมียนมาร์ ไม่ใช่มีเฉพาะประเทศโจทก์ จากนั้นก็กดดันให้เมียนมาร์เปลี่ยนนโยบายปราบปรามชนกลุ่มน้อย

    "ในบรรดาประเทศทั้งหลายในอาเซียน ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีประสบการณ์มากที่สุดเรื่องคนพลัดถิ่นและผู้อพยพ เราเจอสงครามเวียดนาม สงครามในกัมพูชา เคยรับภาระผู้อพยพหนักหน่วงถึง 4-5 แสนคน จุดยืนของเราคือ อย่าสร้างอะไรที่เป็นปัจจัยดึงดูดให้คนพวกนี้เข้ามาอีก ขณะนี้เราไม่ได้มีแค่โรฮิงญา แต่เรามีแรงงานผิดกฎหมายอีกเป็นล้านคน แม้แต่เกาหลีเหนือยังมีในประเทศไทย"

    "จุดยืนอย่างเดียวที่เราต้องยืนยัน คือ ส่งโรฮิงญากลับประเทศต้นทาง ถ้าเรามีค่ายพักพิงชั่วคราว ปัญหาจะไม่จบ 50 ปีที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์กับค่ายพักชั่วคราว คำว่าชั่วคราวไม่เคยชั่วคราว 30 ปีกว่าจะออกไปได้ ฉะนั้นเราต้องไม่สร้างปัจจัยดึงดูด ถ้าเราสร้างค่ายอพยพขั่วคราว โดยหวังว่าบ้านเมืองพม่าสงบแล้วจะส่งกลับไป อันนั้นเราฝันแล้ว"

    "ที่นักสิทธิมนุษยชนบางคนบอกว่า ถ้าไทยเปิดศูนย์พักพิง จะได้รับเงินช่วยเหลือจากนานาชาติ ไม่ต้องควักกระเป๋าเองนั้น นั่นเป็นการคิดแบบมักง่าย เอาเงินต่างประเทสมาสร้างศูนย์พักพิง เราเคยมีแล้ว แต่ความสำคัญของเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลือ แต่มันเป็นปัญหาด้านความมั่นคงของเรา" อดีตทูต 5 ประเทศ กล่าว

    ส่วนที่ชาติตะวันตกและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ไทยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ยอมรับชาวโรฮิงญาขึ้นฝั่งนั้น นายสุรพงษ์ กล่าวว่า สิทธิมนุษยชนไม่ได้มีไว้ละเมิดกฎหมาย จึงไม่สามารถอ้างได้ เพราะแต่ละประเทศมีกฎหมายของตน เมื่อเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทุกประเทศก็มีสิทธิตามอธิปไตยที่จะผลักดันออก การบอกว่าผลักดันออกเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถือว่าไร้สาระ แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการผลักดันมากกว่า ถ้ายิงเรือโรฮิงญาจม หรือส่งเจ้าหน้าที่ขึ้นไปทุบตีบนเรือ อย่างนั้นจึงจะถือเป็นการละเมิด

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ขอบคุณ : ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต / เว็บไซต์โอเคเนชั่น

    หมายเหตุ : อดีตทูตสุรพงษ์ ชัยนาม ให้สัมภาษณ์ในรายการเป็นเรื่องเป็นข่าว ทางสถานีโทรทัศน์ พีพีทีวี

    "สุรพงษ์"จี้ประณามพม่าปมโรฮิงญา อย่าปล่อยไทยเป็นแพะรับบาป
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ญี่ปุ่น” ประกาศร่วมซ้อมรบภายใต้รหัส “ทาลิสแมน เซเบอร์” กับสหรัฐฯ-ออสเตรเลียเป็นครั้งแรก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2558 13:02 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – ญี่ปุ่นประกาศจะส่งกองกำลังป้องกันตนเองร่วมภารกิจซ้อมรบใหญ่กับสหรัฐฯและออสเตรเลียในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเข้าร่วมครั้งแรกของแดนอาทิตย์อุทัยแล้ว ยังถือเป็นการขานรับยุทธศาสตร์ของวอชิงตันซึ่งต้องการผนึกกำลังชาติพันธมิตรในเอเชีย-แปซิฟิกเพื่อตอบโต้การขยายอิทธิพลของจีน

    ญี่ปุ่นจะกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดิน (JGSDF) จำนวน 40 นายเข้าร่วมปฏิบัติการซ้อมรบภายใต้รหัส “ทาลิสแมน เซเบอร์” (Talisman Sabre) ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 2 ปี และกำลังจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ โดยมีทหารจาก 3 ชาติเข้าร่วมประมาณ 27,000 นาย

    “ในส่วนของเราจะเป็นการซ้อมรบร่วมกับนาวิกโยธินสหรัฐฯ มากกว่าร่วมฝึกซ้อมกับกองทัพออสเตรเลียโดยตรง... แต่ภารกิจครั้งนี้ก็ถือได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามกระชับความสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่างญี่ปุ่นกับออสเตรเลีย” โฆษกกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์

    การซ้อมรบซึ่งจะจัดขึ้นในออสเตรเลีย “มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านยุทธวิธีแบบสะเทินน้ำสะเทินบก และเสริมสร้างความเข้มแข็งในปฏิบัติการร่วมระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ”

    การประกาศร่วมซ้อมรบของญี่ปุ่นมีขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดในภูมิภาค ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการที่จีนพยายามแผ่อิทธิพลเข้าสู่ทะเลจีนใต้ด้วยการสร้างหมู่เกาะเทียมในน่านน้ำพิพาท

    สหรัฐฯ กำลังพิจารณาว่าจะส่งเรือรบและเครื่องบินลาดตระเวนเข้าไปในอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบแนวปะการังที่จีนใช้เป็นพื้นที่สร้างเกาะเทียม เพื่อประกาศยืนยันเสรีภาพในการบินและการเดินเรือ ทว่าวิธีตอบโต้เช่นนี้อาจนำมาซึ่งการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ในน่านน้ำซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสินค้าที่สำคัญของโลก

    ปักกิ่งอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำในทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด และจากภาพถ่ายดาวเทียมก็พบว่าจีนกำลังเร่งสร้างรันเวย์บนเกาะเทียมแห่งหนึ่งภายในอาณาเขตของหมู่เกาะสแปรตลีย์ ซึ่งฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอีกหลายชาติอ้างอธิปไตยอยู่เช่นกัน

    จีนยังขัดแย้งกับญี่ปุ่นเรื่องหมู่เกาะ “เซ็งกากุ” ในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งแม้ญี่ปุ่นจะครอบครองอยู่ตามกฎหมาย แต่จีนก็อ้างความเป็นเจ้าของโดยเรียกหมู่เกาะเดียวกันนี้ว่า “เตี้ยวอี๋ว์”

    [​IMG]

    [​IMG]

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ก่อการร้ายสังหาร “กองกำลังรักษาสันติภาพสหประชาชาติ” กลางเมืองหลวงมาลี
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2558 14:18 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - กลุ่มก่อการร้ายเปิดฉากยิงใส่ทหารรักษาสันติภาพของสหประชาชาติจำนวน 2 คนในกรุงบามาโกในวันจันทร์(25) ส่งผลทำให้นายทหาร 1 คนเสียชีวิตและอีกหนึ่งคนได้รับบาดเจ็บ

    “มีกลุ่มมือปืนที่ยังไม่สามารถระบุที่มาได้เปิดฉากยิงใส่ทหารรักษาสันติภาพที่ประจำอยู่บนยานหุ้มเกราะลำเลียงขององค์การสหประชาชาชาติในคืนวันจันทร์(25) ซึ่งมี 1 ในนั้นเสียชีวิตและอีกคนบาดเจ็บสาหัส” แหล่งข่าวความมั่นคงมาลีให้ข้อมูลผ่านเอเอฟพี

    “เรากำลังหาข้อมูลในเรื่องนี้” ทั้งนี้มาลีถือว่าการลอบโจมตีครั้งนี้เป็นการก่อการร้าย และผู้อยู่เบื้องหลังเป็นศัตรูกับสันติภาพ แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว

    ทั้งนี้แหล่งข่าวจาก MINUSMA กองกำลังสันติภาพองค์การสหภาพประจำมาลีเผยกับเอเอฟพีว่า ทหารกองกำลังสันติภาพยูเอ็น 2 นายเป็นชาวบังกลาเทศ

    และกล่าวต่อว่า กองกำลังรักษาสันติภาพยูเอ็นถูกลอบสังหารจากคนร้ายที่กราดยิงจากรถในระหว่างการเดินทางมาจากสนามบินบามาโกมุ่งหน้าสู่ทางใต้ของบามาโก

    เอเอฟพีระบุว่า จากสถิติในช่วงปี 2013 มีจำนวนทหารกองกำลังรักษาสันติภาพไม่ต่ำกว่า 40คนถูกสังหาร เป็นผลทำให้หน่วย MINUSMA ที่มีกำลัง 11,000 นายกลายเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุดในโลก

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ผู้ประท้วงต่อต้านการใช้ความรุนแรงจากตำรวจในเมืองโอ้คแลนด์รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกจับกุมหลายสิบคน

    [​IMG]

    ------------
    เมื่อวานนี้สำนักข่าว RT News ของรัสเซียและสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งยกเว้น CNN กับ BBC รายงานว่ามีผู้ประท้วง15-20 คนถูกจับกุมจากทั้งหมดราว 100-150 คนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในเมือง Oakland รัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างการเดินขบวนต่อต้านการใช้ความรุนแรงจากตำรวจ (police brutality) และประท้วงนโยบายใหม่ของผู้ว่าฯ ที่เรียกร้องให้มีการใช้ความเข้มงวดกับกลุ่มผู้ประท้วงตามท้องถนน
    รายงานแจ้งว่ามีนักกิจกรรมราว 100-150 คนรวมตัวกันเดินขบวนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถูกตำรวจจับกุมไปราว 19 คน ทางตำรวจรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านก็ได้มีการเดินประท้วงในเมือง Oakland จากนั้นก็นำไปสู่ความรุนแรง มีผู้ประท้วงถูกจับกุมสิบกว่าคนเช่นกัน หลังจากที่ตำรวจได้รับคำสั่งให้เคลียร์ถนนเนื่องจากมีผู้ประท้วงในวันเสาร์ ต่อมาในคืนวันอาทิตย์กลุ่มผู้ประท้วงก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งและเกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงกับตำรวจปราบจลาจล ทางผู้ว่าฯ เมืองโอ้คแลนด์กล่าวว่า เมืองโอ้คแลนด์ต้องออกนโยบายใหม่เพื่อต่อสู้กับการทำลายทรัพย์สินและความรุนแรง ธุรกิจหลายแห่งภายในเมืองถูกทำลายได้รับความเสียหายตั้งแต่การประท้วงในวันแรงงานที่ผ่านมา
    ฮึ่ม!… ยิ่งใกล้วันเริ่มปฏิบัติการ Jade Helm 15 ซ้อมประกาศใช้กฎอัยการศึกใน 7 รัฐของสหรัฐฯ ดูเหมือนว่ายิ่งมีเหตุการณ์ความรุนแรงปรากฎออกมาเรื่อยๆนะ เมื่อกลางเดือนนี้เองก็มีแก๊งบิ๊กไบค์ยิงถล่มกันเสียชีวิตไป 9 รายบาดเจ็บอีกเพียบที่รัฐเท็กซัส คราวนี้ก็มีปราบปรามผู้ประท้วงที่รัฐแคลิฟอร์เนียอีก ทั้งสองรัฐนี้อยู่ใน 7 รัฐเป้าหมายด้วย มันแปลกๆอยู่นา
    อ้อเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมารายงานแจ้งว่าเกิดพายุและฝนตกหนักในเมือง Hays County รัฐเท็กซัส น้ำขึ้นสูงถึง 7.9 เมตร ทำให้ประชาชนชาวสหรัฐฯราว 1,200 คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้แม่น้ำ Blanco River ไร้ที่พักอาศัยเนื่องจากบ้านเรือนถูกกระแสน้ำพัดไป มีผู้เสียชีวิต 1 ราย
    The Eyes
    26/05/2558
    ----------
    http://rt.com/usa/261737-us-oakland-protests-arrested/
    http://rt.com/usa/261705-us-floods-texas-midwest/
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทหารปฏิรูปประเทศไทย
    วันที่ 26 พ.ค.58 รับพวกเขามาควบคุมจะเอาอยู่ไหม ?? ฆ่าแขวนคอกันเป็น 100 รายขนาดนี้

    [​IMG]

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้อพยพชาวบังคลาเทศ และชาวโรฮินจา สองกลุ่มทะเลาะกันบนเรืออพยพ เพราะมีความต้องการที่แตกต่างกัน โดยผู้อพยพที่มาจากบังกลาเทศต้องการไปมาเลเซีย เพราะต้องการไปขายแรงงาน (ใช้ภาพอื่นประกอบไม่ให้น่าสยดสยอง)
    แต่ผู้อพยพชาวโรฮินจาต้องการออกจากดินแดนตนเอง เหตุเพียงเท่านี้ ได้เกิดการยกกำลังเข้าต่อสู้กัน มีการฆ่าฟัน จับแขวนคอบนเรือ หรือถูกโยนลงทะเล ตายเกือบ 100 คน จนเรืออับปางจมลง
    ต่อมาผู้อพยพบนเรือได้รับการช่วยเหลือโดยทางการอินโดนีเซีย ต้องนำกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมาก แยกผู้อพยพชาวโรฮินจา และบังกลาเทศ ออกจากกันอย่าโกลาหล เพื่อป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ฆ่ากันตายระหว่างทั้งสองกลุ่มอีก
    ---------------------------------->
    นี่ขนาดพวกเขาขึ้นเรืออพยพมาด้วยกันจากแถวรัฐยะไข่ และพรมแดนบังคลาเทศ ยังต่อสู้ฆ่าฟันกัน จับแขวนคอบนเรือ หรือถูกโยนลงทะเล ตายเกือบ 100 คน จนเรืออับปางจมลง แล้วคิดดูว่าถ้าให้อยู่ในค่ายพักพิงร่วมกัน มากๆ หลายพัน หลายหมื่นคน จะโกลาหลอลหม่าน ฆ่าฟันกันเองขนาดไหน
    อย่าลืมว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์นักรบ อังกฤษนำพวกเขามารบและยึดพม่าเพื่อโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ และทำให้พม่าถูกอังกฤายึดเป็นเมืองขึ้นอยู่นาน การจะให้รัฐบาลพม่า รับชาวโรฮินจาเป็นพลเมือง ต้องเห็นใจเขาด้วย เขาเป็นศัตรูต่อสู้กันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายหลายร้อยปี จนถึงปัจจุบันก็ยังสู้รบกัน
    เพราะชาวโรฮินจา มีนักรบมูจาฮีดีน ที่ถูกฝึกโดยกลุ่มอัลเคด้าห์ ของซาอุฯ อเมริกา และอิสราเอล ดังนั้นการจะให้รัฐบาลพม่ารับศัตรูตนเองเป็นพลเมืองตามกฎหมาย ย่อมเป็นไปได้ยากมาก..ประเทศใดสร้างศูนย์พักพิงให้พวกเขาอยู่รวมกันมากๆ
    เตรียมรับมือการฆ่าฟันกันอเนจอนาถได้เลย และเมื่อไรที่พวกเขาหนีออกมาศูนย์ คนอยู่ใกล้เคียงจะจิตตกยิ่งกว่านักโทษไทยแหกคุกออกมาเสียอีก
    @ เสธ น้ำเงิน2 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     

แชร์หน้านี้

Loading...