สอบถามเกี่ยวกับเรื่ององค์ในขณะนั่งสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rungthongC, 22 พฤษภาคม 2015.

  1. rungthongC

    rungthongC Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +52
    สวัสดีค่ะ เนื่องจากดิฉันเป็นผู้เริ่มฝึกปฏิบัติใหม่ค่ะ คือ เมื่อก่อนเคยไปฝึกกรรมฐานเปิดโลกสายหลวงพ่อคง จ.ลพบุรีค่ะ และเคยฝึกการเจริญสติด้วยวิธียกมือสายหลวงพ่อเทียน วัดสนามใน จ.นนทบุรีมาค่ะ โดยดิฉันไม่ได้ยึดติดกับการปฏิบัติแบบใดเพียงอย่างเดียว คือ รู้สึกสะดวกแบบใด ก็ทำแบบนั้นค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโตก่อนมาปฏิบัติสายเปิดโลก ดิฉันก็เป็นคนปกติทั่วไปค่ะ แต่พอมาปฏิบัติสายเปิดโลก รู้สึกตัวเองสัมผัสได้ในสิ่งที่มองไม่เห็นค่ะ เหมือนซิมโทรศัพท์ พอเปิดครั้งแรกปั๊บ ก็ติดสัญญาณได้ตลอดเลย ซึ่งพอเจออะไรหลายๆ อย่างเข้า ก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปน่ะค่ะ ตัวดิฉันเองเป็นคนชอบทำบุญเข้าวัดตั้งแต่เด็ก รักสัตว์ และชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอๆ คือ เหมือนแม่พระ เพราะว่าชอบเป็นผู้ให้ ให้จนแม่บอกว่าบางทีมันก็มาก้กินขนาดไปค่ะ ถ้านึกอยากได้อะไร ก็สมหวังซะเป็นส่วนใหญ่ มันคล้ายๆ กับว่าเรามีแก้วสารพัดนึกอยู่ในใจ อันนี้คิดอยู่คนเดียวมานานแล้วค่ะ อันนี้แค่เล่าพื้นเพบางส่วนให้ฟังค่ะ ไม่ได้คิดว่าจะมาอวดอ้างอะไร เพราะเราก็เป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป

    เรื่องที่ดิฉันพบตอนนี้คือ เวลานั่งสมาธิ พอจิตรวมจนถึงช่วงเวลาหนึ่ง ที่จิตเป็นสมาธิมากแล้ว ปรากฏว่ามี (ไม่รู้จะเรียกอย่างไรดี เรียกองค์ท่านละกันนะคะ) ...มาลงที่ตัวดิฉัน คือ เหมือนท่านมาแสดงให้รู้ ทุกครั้งท่านจะยิ้มเสมอๆ (ร่างเรายิ้ม แต่ไม่ใช่จิตของดิฉัน) ดิฉันกำหนดจิตถาม ขอทราบว่าท่านเป็นใคร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ นอกจากองค์ท่านจะยิ้มๆ แล้วจากนั้น ก็เหมือนท่านจะนำร่างปฏิบัติ คือ ด้วยการบีบตาในบ้าง อะไรบ้าง โยกหน้า หมุนไปซ้าย ไปขวาบ้าง จนตัวในรู้สึกโคลงแรงบ้าง เบาบ้าง หมุนๆ บ้าง ได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหูบ้าง ในความรู้สึกของดิฉัน คือ้หมือนท่านมานำปฏิบัติด้วย เหมือนการที่เราจะต้องฝ่าด่านแต่ละด่านไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งองค์ท่านนี้ จะมาแสดงให้รู้เกือบทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิจนจิตรวม ซึ่งดิฉันรับรู้ แต่ก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครมาโดยตลอด ทีนี้ กว่าเราจะถึงยังฝั่งพระนิพพาน ก็คงต้องต่อสู้ผจญกับสิ่งต่างๆ กันอีกมากมาย ดิฉันทราบว่าองค์ท่านที่มาลงมีเจตนาดี แต่ก็อยากจะถามท่านผู้รู้ นักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลาย ว่าท่านเคยมีประสบการณ์แบบนี้หรือไม่ หรือหากมีคำแนะนำดีๆ ดิฉันก็ยินดีที่จะรับฟัง เพื่อเป้าหมายอันสูงสุดที่มี คือการพ้นจากกองทุกข์และพระนิพพานค่ะ

    นอกจากนี้ ดิฉันยังมีความรู้สึกที่แปลกๆ ดังนี้ เช่น
    1.ในบางเวลา ก็นึกอยากสวดมนต์ขึ้นมา แบบไม่มีเหตุผล เป็นความอยากขึ้นมาเองอัตโนมัติ
    2.ดิฉันเคยได้สมัครเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ของมูลนิธิเผยแผ่ไว้เมื่อปีที่แล้ว แต่ด้วยความเรื่อยๆ ตามนิสัยส่วนตัว จึงยังไม่ลงมือศึกษาตำราสักที อยู่มาวันหนึ่ง ก็นึกอยากเรียนขึ้นมาทันที แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วก็ตั้งใจเอาจริงเอาจัง จนอ่านหมดเล่ม ฟังซีดี ตอบข้อสอบจบภายในรวดเดียว ดิฉันก็นึกประหลาดใจในตัวเองค่ะ
    3.ชีวิตที่ผ่านมา 10 กว่าปีของการทำงานของดิฉัน ถือว่าผ่านมาด้วยดีโดยตลอด ดิฉันทำงานค่อนข้างเก่งค่ะ ไม่ว่าจะไปสัทภาษณ์งานที่ไหน เป็นต้องได้สมใจแทบจะทุกครั้งไป แต่แล้วเหมือนโชคชะตามาพัดพาไปค่ะ ดิฉันไม่ยอมทำงานค่ะ (ไม่ใช่ตกงานนะคะ แต่ไม่ยอมทำงานเป็นลูกจ้างใคร) ความรู้สึกมันเกิดขึ้นมาเองและรวดเร็วมาก เหมือนเราตั้งตัวไม่ทัน ถ้าเล่ารายละเอียด คงยาวกว่านี้มากค่ะ เอาเป็นว่า ชีวิตของดิฉันน่าจะยังเป็นพนักงานนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิตซะมากกว่า ตอนนี้อายุ 31 ค่ะ แต่ก็ดันผัดเปลี่ยนวิถีชีวิต กลายเป็นต้องทำบางอย่างที่เหนือความคาดหมายของตัวเองค่ะ ซึ่งตอนนี้ ดิฉันมีเวลาว่างมาก จึงมีเวลาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าได้อย่างสบายใจค่ะ

    ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาสละเวลาอ่าน และหากท่านมีคำแนะนำ ก็ช่วยสงเคราะห์ดิฉันด้วยคนนะคะ กราบขอบพระคุณไว้ด้วยค่ะ
     
  2. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    เคยเป็นตอนนั่งจิตรวม ปากมันยิ้มออกมาเอง แต่น่าจะมาจากสติตามไม่ทัน

    เลยทำให้ร่างกายขยับโดยที่เราเผลอ อันนี้ไม่แน่ใจเพียงรู้แต่ว่ามันขยับเอง

    ตอนนั้นรู้สึกว่าจะนั่งจนไม่มีลมหายใจ กายหายไปแล้ว
     
  3. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าปิดไว้ แรกๆเราลุกขึ้นฟ้อนรำเลยล่ะ ตกใจคุมตัวเองได้ครึ่งเดียว

    ไปหาพ่อปู่ร่างทรง ท่านว่าเค้าอยากได้ร่างเสริมบารมี เราไม่อยากเป็นเลยขอสละสิทธิ์

    ไหว้พระ สวดมนต์ ช่วยเหลือผู้คนอย่างอื่นแทนเปิดตำหนัก ขอไปนิพพานดีกว่าเหนื่อยแล้ว
     
  4. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    สู้ๆคับ
     
  5. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ถ้าองค์ที่คุณว่านั้นมีตัวตนจริง

    สมมุตินะว่าถ้าเค้าจะไม่กลับมาหาคุณอีกเลย
    และจะไม่มีองค์ใหม่อีก องค์ไหนๆๆ มาลงคุณอีก

    ทุกสิ่งที่คุณเคยมีจะไม่มีอีกแล้ว
    คุณต้องทำเองด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวคุณเองทุกอย่าง

    องค์นั้นอ่าจจะไปหาร่างใหม่ แล้วเอาสิ่งที่เค้าให้คุณไปให้คนใหม่

    คุณรู้สึกไง
     
  6. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    หรือถ้าคุณไปดิ้นรนหาองค์ใหม่ มาลงคุณได้สำเร็จ หลังจากที่องค์ที่เกื้อกูลคุณองค์นี้จากไป

    แต่องค์ใหม่ที่ได้นี่เลวร้ายมาก
    ไม่เกื้อกูลเลยแถมยัง ทำให้ชีวิตตกต่ำ แบบไม่น่าเชื่อ

    คุณจะรู้สึกไง
     
  7. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    อย่างผมเนียะก็อาจจะเป็ฯคนมีองค์
    มีมาหลายองค์ แต่ไม่ยอมรับรู้ว่ามี ทำมึน ตีมึน
    แกล้งว่ามันไม่มี ไม่เกิดขึ้น

    ผมก็ทำนาย ว่า คนมีองค์ทั้งที่ยอมรับ และไม่ยอมรับว่ามีจะไม่มีทางภาวนาได้เลย แม้แต่ขณิกสมาธิ
    และความผิด ที่คนมีองค์จะภาวนาไม่มีทางได้แน่นอนแม้แต่ขณิกสมาธิ
    จะเป็นความผิดของ คนอื่น
    คนมีองค์จะยัดความผิด ที่คนมีองค์ภาวนาไม่ประสบความสำเร็จให้คนอื่น

    ไอ้อันยัดให้เนียะ แย่มาก นี่แหละอันที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ

    คนไม่มีองค์ จะแตกต่างจากคนมีองค์
    ตรงที่เวลาภาวนาไม่ได้ เค้าจะไม่โทษคนอื่น และอาจจะไม่โทษตัวเองด้วย
    เพราะมันเป็ฯอนัตตา โทษตัวเองก็ไม่ได้ โทษคนอื่น โทษจักรวาลไรก็ไม่ได้

    คุณต้องเคยเป็ฯคนไม่มีงอค์คุณจะรู้ ว่าโลกใบนี้มีอีกหลายอย่าง
    ที่คนมีองค์ไม่รู้
     
  8. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ตอนเด็กช่วงหนึ่ง เคยไปอยู่สำนักปฏิบัติกรรมฐานสายเปิดโลกครับ หลวงพ่อผมท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคงครับ เรื่ององค์ลง ผมเห็นเค้าองค์ลงกันอยู่พอสมควร แต่ตอนนั้นเป็นเณร ก็แปลกใจว่า องค์คืออะไร ดูไม่ต่างจากทรงเจ้าทรงผี ตอนเด็กก็สนใจอาการแปลกๆ ของญาติโยม บางทีเคยได้อ่านมาว่าเป็นอาการทางจิต ทีนี้วันหนึ่ง จิตมันส่งออกนอกไปสนใจอาการญาติโยมมาก แล้วมีโยมท่านหนึ่ง มีองค์ลงแต่มีเรื่องกับโยมอื่น ในสายตาเรานี่ฟังแล้วรู้สึกว่า การมีองค์มันเหนือกว่าคนอื่น มันจะให้คนอื่นเชื่อหรือเคารพอย่างเดียว มันจะดีเหรอ จะมีใครมาพูดให้คนมีองค์ยอมหรือลงให้คนอื่นบ้าง ทันใด จิตมันสัมผัสพลังบางอย่างได้ อยู่เหนือข้างบน เป็นมวลพลังกลุ่มใหญ่ วิ่งลงมา จิตตอนนั้นเข้าใจทันทีครับ ว่าองค์จะลงผม แต่ผมตอนนั้น มีความคิดอย่างนี้ครับ ว่า อันเรื่องใดๆ คนเราสามารถแก้ปัญหาได้เอง เรื่องเล็กๆ ท่านอย่าลงมาเลยครับ กลุ่มพลังงานก็ลอยกลับไป แต่ว่าร่างกายผมมันหยุดไม่ทันครับ เป็นอันว่า ญาติโยมจะเห็นเป็นองค์ลง ญาติโยมก็เงียบไปล่ะครับ (ก็ตอนนั้น เป็นเณรพูดอะไร โยมก็ต้องฟังครับ) จากนั้น พอเสร็จช่วงกรรมฐาน ก็เข้าไปกราบหลวงพ่อและเรียนหลวงพ่อหลวงพี่ทั้งหลายว่า มีอาการข้างต้น ท่านก็รับฟัง ความคิดแต่ไม่ได้ตำหนิๆ ใด ผมหมายเอาว่า อันคนเรา ไม่ต้องพึ่งเทพเทวาถ้าทำได้ด้วยตนเอง เอาให้มันเหนือบ่ากว่าแรงหรือทำมหากุศลแล้วมีอุปสรรค จะดีกว่า ธรรมะจากหลวงพ่อ หรือจากพระไตรปิฎกนำมาปฏิบัติก็แก้ปัญหาได้แล้ว ภายหลังหลวงพ่อท่านเรียกโยมท่านนั้น มาตักเตือนแต่ว่าโยมหลงผิดไปจากทางมาก ซึ่งผมไม่ทราบว่าเรื่องใด จะหลงผิดจริงหรือไม่ เค้าต้องออกจากสำนักนี้ไป ผมสงสารเค้ามาก ดูเค้าเสียใจมาก แต่เพื่อตัวเค้าเอง ไม่ผิดหลงมากไปกว่านี้ครับ ผมเข้าใจอย่างนั้น ภายหลัง หลวงพ่อไปโปรดญาติโยมที่วัดบ้านเกิดท่าน ไปสอนกรรมฐาน ผมตามไปด้วย มีโยมท่านหนึ่ง เวลานั่งมีอาการเหมือนอึดอัด ผมเป็นเณรก็ไม่รู้จะแนะนำยังไงครับ แต่อยากช่วยให้เค้าหายเป็นทุกข์ จิตแผ่เมตตาอย่างนั้น พลัน เณรก็ทราบโดยอัตโนมัติ เณรเดินจงกรมรอบโยมนั้น ด้วยจิตเมตตา พลันมีมวลพลังวิ่งจากเบื้องบนลงมา โยมนั้นก็หายอึดอัดเป็นปลิดทิ้ง เห็นเค้าร้องให้น้ำตาไหล นั่งไปน้ำตาไหลไป เณรว่ามันแปลกดี เณรไปกราบหลวงพ่อและเรียนหลวงพ่อหลวงพี่ให้ทราบ ท่านบอกว่าธรรมลง โยมนั้นเค้าทราบด้วยว่าเป็นเณรช่วย เค้าซาบซึ้ง แต่เณรบอกความจริงเค้าว่า ธรรมะ ช่วยท่านไม่ใช่เณรครับ ภายหลัง สึกแล้ว ผมโตมา ผมมาคิดอย่างนี้บ้าง แต่มันพิสูจน์ไม่ได้ มันเป็นแค่ความคิด ไม่ยืนยันความคิดนะครับ มันพิสูจน์ไม่ได้ คือ ธรรม เป็นนามธรรม ไม่ใช่กลุ่มพลังงาน ธรรมน่าจะเกิดแก่จิตได้เลย พระพุทธองค์ก็ปรินิพพานนานแล้ว จะเปล่งพุทธานุภาพแบบนี้เสมือนไม่ได้ปรินิพพาน แล้วทำไมต้องมีลักษณะวิ่งจากเบื้องบน ก็เลยมาคิดว่า องค์ที่จะลงมาตอนเป็นเณรก็มาจากเบื้องบนเหมือนกัน ให้รู้สึกเป็นมวลเป็นแสงพลังงาน อาจเป็นไปได้ไหมว่า เป็นเทพองค์เทวามาช่วย เล่าอะไรไปก็มีคนมาค้านทั้งนั่น เอาเป็นว่า ผมเชื่อถือเชื่อฟังหลวงพ่อ ธรรมะลงครับ ถ้าไม่มีเมตตาธรรม เรื่องเหล่านี้เกิดไม่ได้ครับ ถ้าไม่ถือศีล นั่งสมาธิทำสมถะวิปัสสนา มันเกิดขึ้นไม่ได้ ท่านที่มีองค์ ท่านปฏิเสธการกระทำขององค์ได้ แต่ถ้าท่านเคยปวารณากับเค้ามาในกาลก่อน ว่าให้ต้องช่วยกันปฏิบัติ เค้าอาจเห็นว่าท่านสามารถปฏิบัติให้ดีกว่านี้ได้ เมื่อท่านปฏิบัติถึงจุดหนึ่ง เค้าจะไม่สามารถช่วยท่านได้อีก เพราะท่านไปไกลแล้ว ท่านรับกรรมฐานสักกองตลอดทั้งชีวิตหมายเอาทำปฏิบัติทั้งชีวิต ตลอดเวลา ชื่อว่าท่านทำกรรมฐานตลอด เค้าจะเห็นว่าเพียงพอแล้ว กรรมฐานที่ปฏิบัติเสมอได้ คือ อนุสติ ครับ เอาแบบไม่ยาก เช่น พุทธานุสติ ส่วนผมปฏิบัติเสมอคือแผ่เมตตาครับ เอาเป็นว่า จิตว่างจากงานเป็นลงกรรมฐานครับ คือจิตว่างจากการงาน ว่างเมื่อใดก็นึกถึงพระพุทธคุณครับ หรือแผ่เมตตา ผมเดาเอาว่าเค้าอยากให้ปฏิบัติมากขึ้น ผมเคยกราบหลวงพ่อติดต่อกันหลายครั้ง กราบแล้วกราบอีกด้วยใจผมเอง มีผู้หนึ่งแย้งว่าจะกราบอยู่อย่างนั้นทำไม กราบสามก็พอ หลวงพ่อท่านบอกว่า เมื่อจิตมีความอ่อนน้อมถ่อมตัว กราบด้วยใจเคารพเป็นดี ผมเองไม่ได้มีองค์ บางขณะที่ทำงานอยู่ ก็จะอยากสวดมนตร์ ก็สวดมนตร์ในใจเดียวนั้น ถ้าเราว่างก็อย่าให้จิตว่างจากกุศล ผมว่าดีครับ เขียนซะยาว สรุปให้ดีกว่าครับ
    สรุป ทางที่หนึ่ง ตัดองค์ปฏิเสธองค์ให้ตั้งจิตว่า คุณงามความดีเราจะทำตลอดที่เราว่างจากงาน รับกรรมฐานที่ทำได้ง่ายทำได้ทุกที่สักอย่าง อธิษฐานให้องค์ช่วยเหลือในเรื่องใหญ่เรื่องมหากุศลเท่านั้น หรือเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงที่เราไม่รู้เพื่อประคองตนเราให้ปฏิบัติธรรมต่อไป ถ้าเค้าให้เราทำอะไรประจำ บอกอธิษฐานเลยจะทำช่วงไหนให้เป็นเวลาเป็นกิจลักษณะไป แผ่บุญกุศลให้เค้าด้วยเวลาทำอะไร เหมือนแผ่ให้เทวดาซึ่งต้องทำทุกครั้งอยู่แล้วหลังทำกรรมฐานเสร็จครับ แต่เฉพาะเจาะจงเค้าเพิ่มขึ้น
    ถ้าตัดองค์ไม่ได้เพราะได้ปวารณาตัวต่อกันไว้ในกาลก่อน ทีสองแบบ แบบแรก รักษาไว้แต่จำกัดเค้าด้วยธรรมปฏิบัติอย่างข้างบน แบบสอง จะตัดเลยให้ไปกราบพระรัตนตรัยอธิษฐานตัดกันไป
    ความเห็นส่วนตัว เป็นองค์ดีไม่มีข้อเสีย ถ้ายังบารมีท่านยังหลุดพ้นไม่ได้ รักษาไว้เถอะครับ ดูเค้าไม่ได้กวนอะไรมาก แค่บอกให้ถอยไปนั่งข้าง ไม่ต้องมาช่วยเหมือนจะให้ได้ปีติธรรม ท่านทำจิตโดยบอกกล่าวกับเค้า เสร็จแล้วตั้งจิตอธิษฐานต่อพระรัตนตรัยไม่ให้จิตสนใจสิ่งใด สนใจแต่บริกรรมของท่านไป เค้าจะเลิกทำไปในที่สุดเอง
    ความเห็นแบบปุถุชนนะครับ แค่ลองไปทำดูไม่ได้ผลไปกราบพระขอให้ท่านช่วยโดยตรงเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2015
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    หัวข้อนี้น่าสนใจ

    แต่จะยังไม่แนะนำ ขอพูดให้แง่คิดก่อน :d

    จขกท. ต้องการพ้นจากทุกข์ คือ นิโรธหรือนิพพานซึ่งสุดท้ายจิตใจเป็นอิสระ ทีนี้ จขกท. ได้ตกเป็นทาสขององค์ (พูดตาม จกขท.) อะไรไม่ทราบเสียแล้วชีวิตจิตใจ จขกท. จะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร จะนิโรธได้อย่างไร

    ปล.ฝากถึงคุณ ณ ฉัตรหน่อยครับ (ไม่อยากใช้หน้าใหม่) คุณ ณ ฉัตร พิมพ์หนังสือตัวบรรจงแล้วครับ แต่แน่นไปจึงอ่านยาก เป็นไปได้ เคาะเว้นบรรทัดบ้างด้วย จะอ่านง่ายขึ้น ผมชอบอ่านความคิดคุณที่ถ่ายทอดทางตัวอักษรนะครับ :d
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
  11. rungthongC

    rungthongC Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +52
    เคยค่ะ เป็นกรรมฐานเปิดโลกเปิดจักรวาลที่วัดเขาสมโภชน์และที่วัดป่าศรีมหาโพธิ์ค่ะ
     
  12. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    จขกท ศึกษาแล้วเหรอครับ อยากไปนิพพาน แต่มาฝึกแบบเปิดโลก จะไปได้เหรอเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

    ในเมื่อเปิดไปแล้วก็ให้ไปหาทางพิสูจน์เอาเอง องค์เทพมาร่วมสร้างบารมีจริงไหมไม่ใช่ผีสางนางไม้ หรือ ไม่ใช่คุยกับจิตตัวเองแล้วหลงตัวเอง
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ได้เข้าร่วมพิธีแล้ว จขกท.รู้สึกชอบรู้สึกดีมั้ยครับ
     
  14. rungthongC

    rungthongC Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +52
    รู้สึกว่าไม่ตรงกับจริตของเราค่ะ ชอบทางสายกลาง กำหนดลมหายใจเข้าออกพุทโธ อยู่ในที่สัปปายะ มีความสงบเงียบง่ายในจิตคือแบบที่ชอบค่ะ คือเรื่ององค์ลงนี่เราขัดไม่ได้นะคะ แต่เราก็เป็นคนเปิดใจ อยากได้ความรู้เพื่อนำมาพัฒนาจิตของเราให้ยกระดับขึ้นค่ะ ไม่ได้อยากเป็นร่างทรงใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    อย่าไปสนใจครับ ให้มีสติอยู่กับกรรมฐานที่ปฏิบัติ ครับั

    หรือไม่ก็ ทำสมาธิ ฌาน ปฐมฌานขึ้นไป พวกภูมิที่ต่ำกว่าก็ทำอะไรเราไม่ได้ละครับ
     
  16. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    สาธุครับ



    ตั้งแต่องค์ที่ว่าลงแล้ว ต่อมาองค์ได้ประทานความรู้ข้อใดซึ่งพอช่วยพัฒนาจิต จขกท.แล้วบ้างครับ
     
  17. rungthongC

    rungthongC Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +52
    ตอนนี้อยากเข้าวัดแล้วบวชถือศีลปฏิบัติธรรมซัก 3 เดือนค่ะ นี่คือความรู้สึกตอนนี้ ในส่วนของสมาธิก็รู้สึกว่ามีการพัฒนาขึ้นค่ะ แต่หนทางยังอีกยาวไกลค่ะ
     
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เรื่องชีวิตจิตใจนี่มันลึกลับซับซ้อนจริงๆ สมแล้วที่พระพุทธเจ้าอุปมาวิญญาณเหมือนมายากล ยากจะจับได้ไล่ทัน

    มีตัวอย่างหนึ่ง (มีหลายเคส) ให้สังเกต คือ มันพูดเองเออเอง เล่นเอาตัวเองงงไปไม่เป็นเลย


     
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    เรื่องนิมิตรเสียงก็ดี นิมิตรภาพก็ดี สังเกตว่า ไม่เคยเกิดในฌาณ แต่จะเกิดเมื่อจิตจะหลับ นอกสมาธินอกฌาณตลอด สำหรับผมนะครับ ผมถือเป็นฝัน ไม่มีปัญหาเรื่องการคงฌาณ คงกรรมฐานเพราะหลับอยู่ บางครั้งฝันมาทันทีที่ตกภวังคเลย ดังนั้นถ้านั่งสมาธิแล้วเห็นนิมิตร สังเกตุดูก่อนจิตมันตกภวังคหรือเปล่า ประเภทวูบไปจากบริกรรม ในขณะนั่งแม้จะเห็นนิมิตรสว่างแค่ไหน ผมทายว่าท่านฝันครับ อะไรเกิดในช่วงนั้น ร้อยทั้งร้อยพิสูจน์ไม่ได้ คิดว่าฝันอย่าจริงจัง
    ที่นี้ ถ้ามันเกิดหลังจากได้ฌาณ 4 บริกรรมมันหายไปนานแล้วครับ ถ้าไม่อธิษฐานฤทธิ์ ซึ่งต้องคล่องในการเข้าฌาณออกฌาณ ไม่มีทางมีตาทิพย์หูทิพย์ได้ ก็ตาทิพย์หูทิพย์มันเป็นฤทธิฺ ดังนั้น ตอนเข้าฌาณม้วนเดียวไม่มีทางเห็นอะไร ก็จิตมันรับอารมณ์เดียว และเป็นเอกัคคตาแล้ว ผมเคยนั่ง จนถึงระดับนั้น(สมัยเป็นเณรเมื่อหลายสิบขวบปี) ญาติโยมปล่อยพลังงานกัน กับผู้ที่มาอีกจากสำนัก คือเค้าประลองพลังจิตกัน แต่ผมเข้าฌาณม้วนเดียว ไม่สัมผัสอะไรทั้งสิ้น แค่เข้าฌาณแบบหยาบไม่ถึงฌาณ 4 ดังนั้น จิตไม่ส่งออกนอก อยู่ในฌาณพลังงานอื่นไม่น่าทำอะไรได้ (ยกเว้น มารหรือเปล่าไม่ทราบ) แต่ไม่น่ามีนิมิตรอะไรได้ ก็เราเอาอารมณ์กรรมฐานเป็นนิมิตรแล้ว ผมไม่เคยมีตาทิพย์หูทิพย์ในฌาณ
    ถ้าได้ฌาณ 4 แล้ว ถอดจิต อันนี้ สังเกตกายมันจะไม่มีลมหายใจ หมายถึงกายที่ถอด ชื่อเรียกชวนเข้าใจผิดธรรมมาก ่เอาว่ามันเกิดกายทิพย์และกายทิพย์มันออกไป เรารับรู้มันอย่างกับร่างกายเรา ถ้าในฝันสงสัยเราก็ยังไม่ตื่น นี่คือฝัน แต่ถ้ากายทิพย์ไปพบเจออะไรแล้วสงสัย ไม่ประคองอารมณ์จิต มันตื่นทันที ตกลงว่าการมีร่างออกไปเจออะไรมันต่างกับฝัน หรือไม่ต่าง
    เวลานั่งสมาธิไม่เคยเห็นนิมิตร แต่พอออกจากสมาธิแล้วจะหลับกลับพบเห็นได้ยิน จิตตอนนั้น แต่อุปจาร คือ สมาธิขั้นต้น เทพ มาร ผี ที่ไม่มีฤทธิ์พิเศษน่าจะเข้ามาได้ไหม หรือธาตุในร่างกายเรามันฟุ้งไป แล้วแต่จะคิดเข้าใจ
    ท่าทีเวลา จะเห็นนิมิตรอะไร ไม่ต้องใส่ใจ เพราะสุดท้ายไม่ต่างจากฝัน ทำจิตเหมือนกัน ถ้านิมิตรมาในช่วงอุปจาร ตกภวังค อาจเป็นระดับเทพหรือ ผี มาได้ วัตถุปะสงค์ก็แล้วแต่ แต่ถือว่ามาขัดจังหวะการปฏิบัติ ให้มุ่งปฏิบัติก่อน ทิ้งไปก่อน ไม่ต้องสนใจ ถ้าเข้ามาในฌาณได้ระวังเป็นมาร เพราะมารนั่นสามารถเข้ามาได้ เช่น ผีไม่อาจเข้าบางที่ เทพไม่ลงโดยพร่ำเพรื่อ แต่มารไม่จำกัด มุ่งชักใบให้เรือเสีย เพราะคนได้ฌาณถ้าฉลาด แม้ฌาณ 1 ก็นิพพานได้ถ้าวิปัสสนาเป็น เค้าจะกั้นฌาณ 1 กั้นวิปัสสนา ด้วย
    วิธีคิด ถ้ามาสอน ถ้าเค้าสอนอะไรที่ไม่ตรงกับกรรมฐาน 40 ให้ยึดกรรมฐาน 40 ไม่ต้องเชื่อเค้าเลย ถ้าสอนผิดหลักในพระไตรปิฎก เชื่อพระไตรปิฎกครับ ไม่ต้องฟังเค้าเลย วิธีการใหม่อยู่ในกรรมฐาน 40 แต่ถ้ารายละเอียดขัดกับหลักพุทธธรรม แม้หลักหนึ่งอย่าทำครับ ดังนั้น ท่านผู้ปฏิบัติพึงศึกษาพระไตรปิฎก จับหลักพุทธธรรมก่อน อย่าทำนอกครู (พระภิกษุสงฆ์) ที่ผ่านมา อะไรๆ ก็นิมิตรมาในระหว่างหลับหรือจะหลับ เบาใจว่าอาจจะไม่ไช่มาร แต่เทพนิมิตร หรือผีนิมิตร ก็ดูก่อนมีประโยชน์หรือไม่ พิสูจน์ได้จริงไม่ บอกให้ทำอะไรขัดหลักพุทธธรรมไหม
    สรุป เจอนิมิตรเหมือนเจอฝัน อย่าจริงจัง ถ้านิมิตรดีมีประโยชน์ก็ตรวจสอบก่อนใช้ประโยชน์จากนิมิตร ต้องไม่ผิดครู ไม่ผิดหลักพุทธธรรม ไม่ขัดมโนธรรมของคนเราด้วย
     
  20. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    แต่เฉพาะกรณีเคส ที่ยกมา พูดแค่นั่นเอง มันไม่ขัดอะไร การวางจุดบริกรรม มันมีได้หลายจุด แต่เค้าก็ไม่บอกว่าจุดไหนอีก แค่บอกให้เปลี่ยน แปลว่า ให้เราหาจุดที่เหมาะกับเรา จุดบริกรรมผมมันเปลี่ยนไปเรื่อย ได้ทุกจุด กึ่งกลางกระโหลกก็เคย
    กลางทรวงอกก็เคย จุดใต้สะดือก็เคย เข้าได้ทุกจุด แต่ว่าเค้าว่า โดยปกติ ให้ดูว่าจิตเรา ตามปกติตั้งที่ไหนส่วนใหญ่ จุดปลอดภัยสุดน่าจะใต้สะดือตรงท้อง จุดสมาธิยากสุดน่าจะหัวใจ จับได้ลำบาก ส่วนจุดตาที่สาม อาจมีผลปวดหัวได้ถ้าเคร่งไป
    กรณีนี้ ไม่น่าจะมาร ถ้าเราทำจุดเดิมแล้วสมาธิไม่ถึงฌาณ แต่ถ้าเคยถึงฌาณมาแล้วหลายรอบ มาบอกให้เปลี่ยนอันนี้เข้าข่ายหน่วงช้า หรือถ้าฝึกกำลังฌาณจะพุ่งแต่ดันมีเสียงอย่างนี้ก็มาร ถ้าฝึกวิธีนี้มานานๆ แล้วไม่ถึงฌาณสักที ไม่ก้าวหน้า แล้วมาแนะไม่ใช่มาร วิธีพิจารณาก็ดูว่าขัดขวางหรือไม่ ง่ายดี แต่ตั้งธงไว้ก่อนว่าฝัน แล้วตัวเรามาทบทวนตามหลักกรรมฐาน หลักพุทธธรรม แล้วไปถามพระปลอดภัยดีกว่าเชื่ออะไร ที่พิสูจน์ไม่ได้ เว้นแต่พิสูจน์ได้ก็พิสูจน์ไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...