ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “มาเล-อินโด” ตกลงรับ “โรฮีนจา” ขึ้นฝั่ง-ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวก่อนส่งต่อไปประเทศอื่นใน 1 ปี โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤษภาคม 2558 16:20 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – มาเลเซียและอินโดนีเซียประกาศล่าสุดวันนี้( 20 พ.ค.) จะไม่ผลักดันเรือผู้อพยพชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศออกจากน่านน้ำอีกต่อไป ซึ่งนับเป็นการคลี่คลายวิกฤตผู้อพยพทางเรือครั้งใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่เมียนมาร์ซึ่งเป็นประเทศต้นทางก็มีท่าทีอ่อนลง และรับปากที่จะมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้อพยพเหล่านี้

    ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ถูกองค์กรระหว่างประเทศติเตียนอย่างรุนแรงที่ไม่รับเรือประมงซึ่งมีชาวมุสลิมโรฮีนจาและชาวบังกลาเทศโดยสารมานับร้อยๆ ขึ้นฝั่ง ทั้งที่ผู้อพยพเหล่านี้อยู่ในสภาพอ่อนระโหย และขาดแคลนทั้งอาหารและน้ำดื่ม

    อย่างไรก็ตาม ในวันนี้(20) อานีฟะห์ อามาน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ได้ประกาศหลังจากร่วมพูดคุยกับ เร็ตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย และ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยว่า “การลากจูงและขับไล่ผู้อพยพทางเรือจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป... เราตกลงจะให้ที่พักพิงชั่วคราวแก่พวกเขา โดยมีเงื่อนไขว่านานาชาติจะต้องมีกระบวนการส่งบุคคลเหล่านี้กลับไปยังประเทศต้นทาง หรือส่งไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศอื่นภายใน 1 ปี”

    ด้าน พล.อ.ธนะศักดิ์ ยังไม่ระบุว่าไทยจะยึดถือนโยบายเดียวกับมาเลเซียและอินโดนีเซียหรือไม่ เนื่องจากต้องปรึกษากับทางรัฐบาลเสียก่อน อานีฟะห์ แถลง

    ในช่วง 10 วันที่ผ่านมามีผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศเกือบ 3,000 คนว่ายน้ำมาขึ้นฝั่ง หรือได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพของทั้ง 3 ประเทศ หลังจากที่ไทยมีมาตรการกวาดล้างเครือข่ายค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ซึ่งทำให้นายหน้าบางรายตัดสินใจทิ้งผู้อพยพเอาไว้กลางทะเล

    รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียอ้างข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองซึ่งประเมินว่า น่าจะยังมีผู้อพยพทางเรือติดค้างอยู่กลางทะเลอีกประมาณ 7,000 คน และล่าสุดวันนี้(20) ก็มีชาวประมงท้องถิ่นให้ความช่วยเหลือผู้อพยพ 433 คนซึ่งติดอยู่บนเรือสภาพจวนพังที่นอกชายฝั่งอินโดนีเซียในสภาพหิวโหยอย่างหนัก

    ผู้สื่อข่าวเอเอฟพียืนยันว่า เรือที่พบเป็นลำเดียวกับที่ล่องไปมาระหว่างน่านน้ำไทยและมาเลเซียในช่วงไม่กี่วันมานี้ ซึ่งภาพของผู้ลี้ภัยที่อัดแน่นมาเต็มลำเรือได้สร้างความสะเทือนใจต่อคนทั่วโลก

    “มาเล-อินโด” ตกลงรับ “โรฮีนจา” ขึ้นฝั่ง-ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวก่อนส่งต่อไปประเทศอื่นใน 1 ปี

    “ผู้อพยพเหล่านั้นร่างกายอ่อนแอ หลายคนกำลังป่วย พวกเขาบอกผมว่า เพื่อนที่มาด้วยกันหิวตายไปหลายคนแล้ว” เตอูกู นยัก อิดรุส ชาวประมงท้องถิ่นที่เข้าช่วยเหลือชาวโรฮีนจากลุ่มนี้ ให้สัมภาษณ์

    เจ้าหน้าที่กู้ภัยเผยเพิ่มเติมว่า ในบรรดาผู้อพยพที่ได้รับความช่วยเหลือวันนี้(20) มีผู้หญิง 26 คน และเด็กอีก 30 คน

    สื่อเมียนมาร์ได้เผยแพร่คำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศวันนี้(20)ว่า รัฐบาลเมียนมาร์มีความกังวลต่อปัญหาผู้อพยพทางเรือไม่ต่างจากนานาชาติ และ “พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้ที่ทุกข์ทรมานอยู่กลางทะเล”

    ถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นท่าทีประนีประนอมอย่างชัดเจนที่สุดจากทางการเมียนมาร์ ซึ่งมองชาวมุสลิมโรฮีนจาว่าเป็นพวกหลบหนีเข้าเมืองจากบังกลาเทศ และปฏิเสธที่จะรับผิดชอบชีวิตของคนเหล่านี้

    รัฐบาลเมียนมาร์ถูกกดดันให้ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติชาวโรฮีนจา ซึ่งเผชิญการกดขี่ข่มเหงจากชาวพุทธในเมียนมาร์จนต้องล่องเรือลี้ภัยมากลางทะเลปีละหลายพันคน โดยส่วนใหญ่หวังจะไปตั้งหลักปักฐานในมาเลเซียซึ่งพลเมืองส่วนใหญ่นับถืออิสลามเช่นเดียวกับพวกเขา

    ทอม มาลิโนว์สกี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า เมียนมาร์จำเป็นต้องปรับนโยบายที่มีต่อชาวมุสลิมโรฮีนจาในประเทศ โดยปฏิบัติต่อพวกเขาเฉกเช่น “พลเมืองซึ่งมีศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชน” มิเช่นนั้นกรุงเนปีดอก็ไม่อาจสร้างความสัมพันธ์อันดีและเป็นปกติกับประชาคมโลกได้

    อานีฟะห์ และ มาร์ซูดี ระบุในคำแถลงร่วมว่า ปัญหาคลื่นผู้อพยพจากอ่าวเบงกอลจะต้องแก้ไขที่ “ต้นตอ” ทว่าไม่ได้ชื่อประเทศใดอย่างเฉพาะเจาะจง พร้อมแนะให้สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้ง 10 ประเทศจัดประชุมฉุกเฉิน เพื่อหาทางออกแก่วิกฤตการณ์ครั้งนี้

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000057463
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัสเซียจับสปายของลิธัวเนียได้ขณะแลกเปลี่ยนเอกสารลับ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤษภาคม 2558 21:09 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของรัสเซียระบุในวันพุธ (20 พ.ค.) ว่าสามารถจับกุมตัวสายลับชาวลิธัวเนียได้แบบคาหนังคาเขา ขณะกำลังแลกเปลี่ยนเอกสารลับในกรุงมอสโก

    หน่วยงานความมั่นคงรัสเซียระบุในคำแถลงที่โพสต์บนเว็บไซต์ขององค์กรว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่เอฟเอสบีของรัสเซียได้ควบคุมตัวพลเมืองชาวลิธัวเนียรายหนึ่งได้ในกรุงมอสโก ผู้ซึ่งเป็นลูกจ้างของหน่วยข่าวกรองลิธัวเนีย

    "สายลับต่างชาติผู้นี้ถูกจับได้คาหนังคาเขาขณะกำลังรับเอกสารลับจากพลเมืองรัสเซียรายหนึ่ง เขาให้การสารภาพว่าเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองด้านการทหาร สังกัดกระทรวงกลาโหมลิธัวเนีย ตอนนี้เขาถูกคุมขังที่เรือนจำเลฟอร์โตโว ในมอสโก" คำแถลงระบุ

    โฆษกของศาลรัสเซียบอกกับสำนักข่าวอินเตอร์แฟ็กซ์ในเวลาต่อมาว่า ศาลได้สั่งให้ควบคุมตัวสายลับผู้นี้ที่มีชื่อว่า อาร์สติดัส ทาโมไซติส ในระหว่างที่ดำเนินการสืบสวน

    ด้านโฆษกของกระทรวงกลาโหมลิธัวเนีย ได้บอกกับเอเอฟพีว่า ทางกระทรวงกลาโหมของลิธัวเนียไม่แสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารลักษณะนี้

    ลิธัวเนีย ประเทศที่เคยเป็นอดีตสหภาพโซเวียต ได้แสดงท่าทีต่อต้านอย่างแข็งขันต่อรัสเซีย ท่ามกลางความวิตกกังวลว่ารัฐบาลหมีขาวมุ่งที่จะบั่นทอนเสถียรภาพของบรรดาชาติในแถบทะเลบอลติก หลังจากที่เข้าไปป่วนภาคตะวันออกของยูเครน

    เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน อัยการลิธัวเนียได้ประกาศว่า มีการจับกุมพลเมืองรัสเซียรายหนึ่งที่ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับ พร้อมทั้งสั่งคุมขังไว้เป็นเวลา 3 เดือน

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000057603
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จนท.จีนระบุ ‘ธนาคารบริกส์’ จะเปิดดำเนินการได้ภายในสิ้นปีนี้
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2558 22:58 น.

    BRICS bank may open by year end: Report
    16/05/2015

    ไชน่าเดลี่ หนังสือพิมพ์ของทางการจีน รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมการพัฒนาของกลุ่ม “บริกส์” ซึ่งก็คือกลุ่ม 5 ประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ของโลก ที่ประกอบด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้ โดยรายงานนี้อ้างอิงการเปิดเผยของรองรัฐมนตรีคลังจีนที่กล่าวว่า ธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มบริกส์ แห่งนี้น่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในสิ้นปี 2015 นี้ และชาติที่จะเข้าเป็นสมาชิกของแบงก์แห่งนี้ก็จะไม่จำกัดอยู่เพียงแค่ 5 ชาติบริกส์เท่านั้น

    เอเชียไทมส์อ้างอิงข่าวชิ้นหนึ่งของ “ไชน่าเดลี่” (China Daily) หนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษของทางการจีน ที่รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมการพัฒนาของกลุ่ม “บริกส์” หรือกลุ่ม 5 ประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ของโลก ซึ่งประกอบด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้

    ตามรายงานของไชน่าเดลี่ สือ เหยาปิน (Shi Yaobin) รองรัฐมนตรีว่าการคลังของจีน เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (15 พ.ค.) ที่ผ่านมาว่า สถาบันการเงินแห่งนี้ หรือที่นิยมเรียกขานกันว่า ธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มบริกส์ (BRICS Development Bank) คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในสิ้นปี 2015 นี้หรือตอนเริ่มต้นของปี 2016 และสมาชิกภาพของแบงก์แห่งนี้จะไม่จำกัดอยู่เพียงแค่เฉพาะ 5 ชาติสมาชิกกลุ่มบริกส์เท่านั้น

    รองรัฐมนตรีสือแถลงแจกแจงว่า สถาบันการเงินแห่งนี้จะเปิดกว้างต้อนรับสมาชิกของสหประชาชาติทุกๆ ราย ซึ่งทางคณะกรรมการผู้ว่าการของธนาคารพิจารณาอนุมัติให้เข้าร่วม

    เขาเปิดเผยต่อไปว่า เวลานี้งานเตรียมการสำหรับเปิดดำเนินการแบงก์เพื่อการพัฒนาระดับพหุภาคีแห่งใหม่นี้ กำลังเดินหน้าไปด้วยดี โดยที่กำลังมีการจัดทำกฎบัตรข้อบังคับของธนาคาร เพื่อส่งให้รัฐสภาของแต่ละชาติสมาชิกอนุมัติรับรองต่อไป รวมทั้งมีการดำเนินการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการซึ่งจะมีลักษณะเป็นสำนักงานพหุภาคี ตลอดจนมีการจัดทำข้อบัญญัติของทางธนาคาร และตกลงกันเกี่ยวกับนโยบายเฉพาะเจาะจงในบางเรื่อง

    ทั้งนี้ รายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ได้รับการเปิดเผยเอาไว้ในคำแถลงฉบับหนึ่งซึ่งโพสต์อยู่บนเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังของจีนแล้ว นอกจากนั้นคำแถลงยังระบุว่าจะมีการประชุมหารือครั้งแรกของคณะกรรมการผู้ว่าการของแบงก์แห่งนี้ตอนต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ในระหว่างการประชุมซัมมิตของกลุ่มบริกส์ในรัสเซีย โดยที่ในการประชุมหารือหนแรกนี้ จะมีการลงมติแต่งตั้งประธานและรองประธานของธนาคารอย่างเป็นทางการอีกด้วย

    ความคืบหน้าต่างๆ เหล่านี้บังเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 1 ปี นับตั้งแต่ที่บรรดาผู้นำของ 5 ชาติสมาชิกกลุ่มบริกส์ ประกาศว่าจะดำเนินการจัดตั้งแบงก์แห่งนี้ ซึ่งใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่” (New Development Bank) แต่รู้จักเรียกขานกันมากกว่าในนาม ธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มบริกส์ (BRICS Development Bank)

    เกี่ยวกับผู้บริหารของแบงก์เพื่อการพัฒนาแห่งนี้นั้น เวลานี้ เค.วี.คามาธ (K.V Kamath) ซึ่งเคยเป็นทั้งกรรมการผู้จัดการ และประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ของ ไอซีไอซีไอ แบงก์ (ICICI Bank) ธนาคารภาคเอกชนใหญ่ที่สุดของอินเดีย รวมเป็นเวลากว่า 1 ทศวรรษ ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานคนแรกของ ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ที่จะมีทุนจดทะเบียน 100,000 ล้านดอลลาร์แล้ว ขณะที่รองประธานจะมี 4 คน หนึ่งในนั้นซึ่งเสนอชื่อโดยฝ่ายจีน ได้แก่ จู เสียน (Zhu Xian) รองประธานของธนาคารโลก

    สำหรับสำนักใหญ่ของธนาคารแห่งนี้ กำหนดจัดตั้งขึ้นในย่าน ลู่เจียจุ่ย (Lujiazui) ศูนย์กลางการเงินของมหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ขณะเดียวกันก็จะมีการจัดตั้งศูนย์ภูมิภาคแอฟริกาขึ้นที่เมืองโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้

    จากการประกาศรายละเอียดเหล่านี้ออกมา ย่อมหมายความนับแต่นี้ไปเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจะต้องดำเนินการอย่างเร่งรีบเพื่อสร้างฐานะของแบงก์ใหม่แห่งนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องถูกเปรียบเทียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นกับองค์การทางการเงินระดับพหุภาคีรายอื่นๆ ทั้งที่กำลังดำเนินการจัดตั้งอยู่ และที่มีการจัดตั้งขึ้นมาอย่างมั่นคงแล้ว ตลอดจนกลายเป็นแรงกดดันทำให้ต้องเร่งรีบเปิดดำเนินการ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่” แห่งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

    เรื่องที่มีลำดับความสำคัญเร่งด่วนอย่างสูงอีกเรื่องหนึ่ง ได้แก่การขีดเส้นแบ่งแยกแยะกันให้ชัดเจนว่า ธนาคารแห่งนี้มีความแตกต่างอย่างไรกับ ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank ใช้อักษรย่อว่า AIIB) ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบในเบื้องต้นได้อย่างใหญ่โตมโหฬารนับตั้งแต่รัฐบาลจีนเสนอให้จัดตั้งขึ้นมาตอนแรกสุดช่วงสิ้นปีที่แล้ว โดยที่สามารถดึงดูดให้ประเทศต่างๆ 57 ประเทศจากทั้งเอเชีย, ยุโรป, แอฟริกา, ละตินอเมริกา, และโอเชียนนา สมัครขอเข้าร่วม

    คำแถลงในคราวนี้ของ สือ ยืนยันว่า ธนาคารบริกส์ จะแสดงบทบาทหนุนเสริมซึ่งกันและกันกับพวกองค์การการเงินเพื่อการพัฒนาที่ก่อตั้งมานานแล้วทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารโลก หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank หรือ ADB) โดยที่ธนาคารบริกส์พร้อมจะเรียนรู้และร่วมมือกับแบงก์เพื่อการพัฒนาแห่งอื่นๆ ร่วมส่วนสร้างคุณูปการให้แก่การต่อเชื่อมกันทั้งภายในเอเชียและกับส่วนอื่นๆ ของโลก

    ขณะที่ทางด้าน หวง เว่ย (Huang Wei) นักวิจัยของสถาบันเพื่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก (Institute of World Economics and Politics) ในสังกัดของบัณฑิตยสถานทางสังคมศาสตร์แห่งประเทศจีน (Chinese Academy of Social Sciences) บอกว่า อันที่จริงมีความแตกต่างที่ชัดเจนอยู่แล้วระหว่างธนาคาร AIIB กับธนาคารบริกส์

    กล่าวคือ AIIB เป็นองค์การระดับภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาติเอเชียและชาติยุโรป โดยที่เงินทุนของแบงก์แห่งนี้จะมุ่งเน้นนำไปใช้ในโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ใน 2 ทวีปนี้ ขณะที่ขนาดขอบเขตของธนาคารบริกส์ จะขยายไปครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์อันหลากหลายมากกว่า

    หวง ชี้ว่า AIIB จะเป็นธนาคารที่มุ่งผลเชิงพาณิชย์มากกว่า ส่วนบริกส์แบงก์จะมี “กลิ่นไอทางภูมิรัฐศาสตร์อันโดดเด่น รวมทั้งยังจะทำหน้าที่เป็นกลไกการสนทนาอย่างหนึ่งของ 5 ประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์” อีกด้วย

    นักวิจัยผู้นี้มองว่า มีความเป็นไปได้ที่กิจกรรมของธนาคารทั้ง 2 แห่งนี้จะเหลื่อมซ้อนกัน และในบางกรณีอาจจะถึงขั้นแข่งขันกันเองด้วยซ้ำในการช่วงชิงโครงการต่างๆ แต่เขาไม่เห็นว่าการแข่งขันกันจะต้องเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป

    ทางด้าน ฟาน หยงหมิง (Fan Yongming) ผู้อำนวยการของศูนย์เพื่อการศึกษาเรื่องบริกส์ (Center for BRICS Studies) แห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (Fudan University) นครเซี่ยงไฮ้ มองว่า “ธนาคารบริกส์เป็นตัวแทนของพลังความสามัคคีของบรรดาชาติเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ จึงมีลักษณะเป็นกลุ่มเชิงยุทธศาสตร์ที่มีขอบเขตครอบคลุมทั่วโลก” เขากล่าวเสริมว่า ธนาคารแห่งนี้จะไม่เพียงแสดงบทบาทส่งเสริมสนับสนุนองค์การที่ก่อตั้งมาก่อนแล้วทั้งหลายเท่านั้น แต่ยังจะแสดงบทบาทในการท้าทายองค์การเหล่านี้อีกด้วย

    ลำดับเวลาของการจัดตั้งธนาคารบริกส์

    กุมภาพันธ์ 2012: รัฐมนตรีคลังของ 5 ชาติสมาชิกในกลุ่มบริกส์ เสนอให้จัดตั้งธนาคารแห่งนี้ขึ้น ณ การประชุมซัมมิตของกลุ่มจี-20

    มีนาคม 2012: เรื่องการจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มบริกส์ ถูกบรรจุอย่างเป็นทางการเอาไว้ในวาระการประชุมซัมมิตของกลุ่มบริกส์ครั้งที่ 4 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย

    มีนาคม 2013: การประชุมซัมมิตของกลุ่มบริกส์ครั้งที่ 5 ในเมืองเดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ มีมติให้จัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มบริกส์ขึ้นมา

    กรกฎาคม 2014: ณ การประชุมซัมมิตของกลุ่มบริกส์ครั้งที่ 6 ที่เมืองฟอร์ตาเลซา ประเทศบราซิล ทั้ง 5 ประเทศประกาศอย่างเป็นทางการถึงการก่อตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มบริกส์ ขึ้นมา โดยให้สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครเซี่ยงไฮ้

    9 มีนาคม 2015: ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ลงนามในกฤษฎีกาเห็นชอบรับรองการก่อตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มบริกส์

    11 พฤษภาคม 2015: อินเดียประกาศชื่อ เค.วี. คามาธ ให้เป็นประธานคนแรกของธนาคารแห่งนี้

    12 พฤษภาคม 2015: จีนประกาศชื่อ จู เสียน เป็นรองประธาน

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การบริโภคน้ำมันในจีนซึ่งฮอตสุดๆ ย้ำถึงอนาคตศก.ที่แข็งแกร่ง
    โดย เอเชียอันเฮดจ์ 20 พฤษภาคม 2558 23:00 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    Oil through a Chinese looking glass
    Author: Asia Unhedged
    12/05/2015

    ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา จีนสามารถเบียดแซงสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นแชมป์ผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่สุดของโลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ยิ่งกว่านั้น คาดกันว่าระดับการสั่งซื้อน้ำมันดิบของจีนจะสูงลิ่วนำหน้าใครแบบว่าไม่เลิกรากันง่ายๆ การทะยานขึ้นมาแบบปุบปับเกินความคาดหมายดังกล่าวชี้กันว่าเป็นอานิสงส์จากการที่ราคาน้ำมันตกต่ำลงมากนั่นเอง ประกอบกับปัจจัยเอื้อจากการหั่นลดดอกเบี้ยหลายครั้ง ที่ส่งผลให้กำลังซื้อพุ่งขึ้นมาได้

    ตัวเลขการนำเข้าน้ำมันของแดนมังกรที่ประกาศออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ นับเป็นอาหารสมองที่เอื้ออย่างยิ่งแก่การตรวจวัดสภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ว่ามีความร้ายแรงแท้จริงเป็นเยี่ยงไร

    ทั้งนี้ รอยเตอร์รายงานเมื่อวันจันทร์ (11 พ.ค.) ว่า ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา จีนสามารถเบียดแซงสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นแชมป์ผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่สุดของโลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ยิ่งกว่านั้น คาดกันว่าระดับการสั่งซื้อน้ำมันดิบของจีนจะสูงลิ่วนำหน้าใครแบบว่าไม่เลิกรากันง่ายๆ

    อ้าว เศรษฐกิจของจีนไม่ใช่ถูกทึกทักเอาว่ากำลังอยู่ในภาวะล้มลุกคลุกคลาน แถมกูรูบางคนยังฟันธงว่ามันเป็นอาการเบื้องต้นก่อนจะทรุดลงไปเป็นวิกฤตเศรษฐกิจควงสว่างสู่หายนะทีเดียว? การทะยานขึ้นมาแบบปุบปับเกินความคาดหมายดังกล่าวชี้กันว่าเป็นอานิสงส์จากการที่ราคาน้ำมันตกต่ำลงมากนั่นเอง ประกอบกับปัจจัยเอื้อจากการหั่นลดดอกเบี้ยหลายครั้ง ที่ส่งผลให้กำลังซื้อพุ่งขึ้นมาได้ โดยล่าสุดนั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2015 ธนาคารกลางจีนประกาศลดดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือน

    นอกจากนั้น รัฐบาลปักกิ่งยังเอาจริงอย่างยิ่งกับการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ดังเห็นได้ว่าในเดือนเมษายน การจับจ่ายในภาคการคลังของจีนทะยานร้อนแรงในอัตรา 33.2% จากเมื่อช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ไปแตะระดับ 1.25 ล้านล้านหยวน ตามข้อมูลที่กระทรวงการคลังประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม นี้เป็นการพุ่งทะยานที่มหาศาลเมื่อเทียบกับอัตราขยายตัวเพียงแค่ 4.4% ในเดือนมีนาคม และเมื่อคิดเป็นรายสี่เดือนแรกของปี การจับจ่ายภาคการคลังพุ่งขึ้นในอัตรา 26.4% จากช่วงเดียวกันของเมื่อปีที่แล้ว

    ทั้งนี้ รอยเตอร์รายงานถ้อยแถลงของกระทรวงการคลังว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงิน ได้ดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุกอย่างจริงจัง แม้ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจเติบโตช้าลง ตลอดจนเผชิญกับแรงกดดันด้านรายได้ในภาคการคลัง กล่าวคือ ภาษีเงินได้จากภาคการผลิตในเดือนเมษายน อ่อนตัวลง 4.5% จากเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่รายได้จากบริษัทธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ร่วงหนัก 11.9% กระนั้นก็ตาม รายได้ของรัฐบาลยังสามารถขยับสูงขึ้นมา 8.2% จากเมื่อเมษายนของปีที่แล้ว พร้อมกับขยายขึ้นกว่าเมื่อเดือนมีนาคม 5.8%

    ทางการจีนออกโรงกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อพบว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวในไตรมาสแรก ลงมาเหลือ 7% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำสุดในรอบ 6 ปี นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลใหม่ๆ ที่เตือนว่าอาการชะลอตัวจะดำเนินสืบเนื่องต่อในไตรมาสที่ 2

    ในรอบ 4 เดือนแรกของปี การจับจ่ายภาครัฐไปทะยานแรงในหมวดการสร้างระบบปกป้องด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระโจนขึ้นไปในอัตรา 30.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพื่อลงทุนด้านขนส่งก็พุ่งกระฉูดในอัตรา 57.8%

    ความเคลื่อนไหวเหล่านี้นับเป็นเครื่องชี้บ่งว่า ความพยายามของฝ่ายผู้คุมกฎในอันที่จะกระตุ้นอุปสงค์ ซึ่งแม้ว่าการดำเนินการจะไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ แต่ขณะนี้ก็ส่งผลในทิศทางที่พึงปรารถนา ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเมื่อการตกต่ำของราคาน้ำมันโลกได้รับการหนุนเสริมจากปัจจัยทางการเงิน ปัจจัยทางการคลัง และปัจจัยอื่นหลายประการ สภาวะของระบบเศรษฐกิจจีนจึงเข้มแข็งขึ้นมาเกินคาด ทั้งที่จีนเจอแต่ตัวบ่งชี้ความถดถอยต่างๆ นานานับตั้งแต่เดือนมกราคม พลวัตการขยายตัวของจีนมีความแข็งแกร่งเกินกว่าจะหยุดยั้ง หรือจะถดถอยลงเป็นภาวะหดตัว

    เมื่อพิจารณาในมุมมองของเอเชีย ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากการดิ่งเหวของราคาน้ำมันในตลาดโลกนับจากปีที่แล้ว ก็คือจีนและญี่ปุ่น

    ข้อมูลจากสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า จีนนำเข้าน้ำมันดิบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คือเกือบ 7.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้จีนขึ้นแท่นแชมป์นำเข้าน้ำมัน เพราะสหรัฐฯ มียอกนำเข้าน้ำมันที่ระดับ 7.2 ล้านบาร์เรลต่อวันเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของการบริโภคน้ำมันโลกซึ่งขยับปรับเปลี่ยนไปมาเสมอ บ่งบอกว่าสหรัฐฯ อาจคว้าแชมป์ผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่สุดของโลกกลับคืนได้ในปลายปีนี้

    กระนั้น เมื่อมองถึงการปรับเปลี่ยนในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในระยะยาว มันกลับบ่งบอกว่า จีนน่าจะครองความเป็นแชมป์ได้อย่างถาวรในเวลาต่อไป เพราะปัจจุบันนี้ จีนกลายเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    “การแย่งตำแหน่งผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกมาจากสหรัฐฯ ได้นั้น แสดงว่าจีนเป็นผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในเกือบทุกหมวดของสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน แร่เหล็กและโลหะส่วนใหญ่ พร้อมกันนั้นยังบ่งบอกกว้างไกลออกไปว่า ในแง่ของตลาดแล้ว การค้าระหว่างประเทศกำลังผันผายจากซีกโลกตะวันตก สู่ซีกโลกตะวันออก” รอยเตอร์ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างนั้น

    (หมายเหตุผู้แปล – ข้อเขียนชิ้นนี้ ผู้แปลได้นำเอาเรื่อง China pushes pedal on fiscal spending โดย เอเชียอันเฮดจ์ วันที่ 14 พฤษภาคม 2015 มารวมเอาไว้ด้วย)

    (จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนทุ่มลงทุน 'โครงการทางรถไฟ' เป็นรากฐานของ 'เส้นทางสายไหม'
    โดย เอเชียอันเฮดจ์ 20 พฤษภาคม 2558 19:21 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    Finding the ‘silk thread’ in China’s rail projects
    Author: Asia Unhedged
    19/05/2015

    ยอดรายจ่ายทางการคลังของจีนประจำเดือนเมษายนที่ผ่านมาพุ่งพรวดขึ้นไป 33.2% โดยปัจจัยสำคัญมาจากการเดินหน้าโครงการด้านเส้นทางรถไฟ 6 โครงการซึ่งมีมูลค่ารวมกันประมาณ 250,000 หยวน การดำเนินโครงการเหล่านี้ไม่เพียงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับโครงการเส้นทางสายไหมสายใหม่อันใหญ่โตมหึมาอีกด้วย

    ลงท้ายแล้ว เราก็ได้คำเฉลยปริศนาของการที่ยอดรายจ่ายทางการคลังของจีนประจำเดือนเมษายนที่ผ่านมาพุ่งพรวดขึ้นไป 33.2% เอเชียอันเฮดจ์ไม่ได้บอกว่าปริศนานี้น่าวิตกถึงขั้นทำให้เราหลับตานอนได้ยากในยามค่ำคืน ทว่าคุณต้องยอมรับว่า รายงานข่าวตัวเลขของกระทรวงการคลังที่ยอดเดือนเมษายนกระโจนขึ้นไปขนาดนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับในเดือนมีนาคมซึ่งยังขยับขึ้นไปแค่ 4.4% ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาจำนวนมากที่ยังคงไม่มีคำตอบ

    อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เป็นที่กระจ่างแล้วว่าเนื่องมาจากจีนเปิดไฟเขียวให้เดินหน้าโครงการทางรถไฟและโครงการทางรถไฟใต้ดินหลายๆ โครงการ ซึ่งรวมแล้วมีมูลค่าประมาณ 250,000 ล้านหยวน (40,300 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,375,000 ล้านบาท) ทั้งนี้ตามการแถลงเมื่อวันจันทร์ (18 พ.ค.) ของหน่วยงานสูงสุดทางด้านการวางแผนเศรษฐกิจของแดนมังกร สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน

    หน่วยงานดังกล่าว ซึ่งก็คือ คณะกรรมการการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission ใชัอักษรย่อว่า NDRC) ระบุในเว็บไซต์ของตนว่า ได้อนุมัติโครงการไปทั้งสิ้น 6 โครงการ โดย 5 ในจำนวนนี้อนุมัติในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ที่เหลืออีก 1 เพิ่งได้รับการรับรองในเดือนนี้

    อย่างไรก็ดี ในการรายงานเรื่องจีนใช้จ่ายด้านทางรถไฟเพิ่มขึ้นพุ่งพรวดนี้ รอยเตอร์ดูจะมองข้ามแง่มุมอันละเอียดอ่อนบางประการไป โดยที่สำนักข่าวแห่งนี้กล่าวถึงการลงทุนอย่างมหึมาในเรื่องรางรถไฟนี้ เพียงแค่ว่าเป็นความพยายามอย่างหนึ่งของปักกิ่งที่จะกระตุ้นอัตราเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจในขณะที่ภาคส่วนต่างๆ กำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างทั่วหน้า

    แทนที่จะเป็นแค่เพียงกิจการงานอันคึกคักวุ่นวายที่จะช่วยจุดประกายให้แก่เศรษฐกิจของจีนเท่านั้น เอเชียอันเฮดจ์มองว่าบางส่วนของการใช้จ่ายด้านทางรถไฟนี้ ยังเป็นการวางงานรากฐานสำหรับโครงการเส้นทางสายใหม่อันใหญ่โตมโหารของแดนมังกรอีกด้วย

    ถ้าคุณพินิจพิจารณาโครงการใหม่ๆ เหล่านี้ ในฐานะที่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการขนส่งซึ่งจะนำเอาสินค้าและบริการของประเทศจีนไปยังเอเชียกลางและยุโรป แทนที่จะเป็นเพียงการทำให้ประชาชนมีงานทำเท่านั้นแล้ว คุณย่อมบังเกิดความประทับใจขึ้นมาว่าการลงทุนที่จีนดำเนินการเหล่านี้เป็นการทำงานซึ่งมุ่งสร้างอนาคตให้แก่ตนเองด้วย มันต้องเป็นเรื่องสวยสดงดงามเช่นกัน ถ้าหากสหรัฐฯสามารถยุติการทำเมินเฉยกับปัญหาที่กองอยู่รอบๆ ตัวเอง และทำการลงทุนอย่างเดียวกันนี้ในกิจการทางรถไฟของตน ซึ่งจากโศกนาฏกรรมขบวนรถไฟ “แอมแทร็ก” (Amtrak) ตกรางที่เมืองฟิลาเดลเฟียเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นหลักฐานพิสูจน์หมาดๆ อีกชิ้นหนึ่งว่า จำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนเพื่อปรับปรุงยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานอย่างขนานใหญ่ได้เสียทีแล้ว

    ด้วยระบบทางรถไฟใต้ดินมูลค่า 46,700 ล้านหยวนในเมืองเฉิงตู มันย่อมเพิ่มพูนความสามารถของนครใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนแห่งนี้ ในการเคลื่อนย้ายและในการรองรับคนงานซึ่งพำนักอาศัยอยู่ ณ ศูนย์อุตสาหกรรมสำคัญศูนย์หนึ่งของเส้นทางสายไหมสายใหม่ นอกจากนั้นยังมีการวางแผนสร้างเส้นทางรถไฟใหม่ๆ ต่อเชื่อมระหว่างเมืองต่างๆ ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน อีกด้วย

    เราท่านต่างทราบกันดีแล้วว่า เส้นทางสายไหมสายใหม่นั้น มีส่วนที่เป็นเส้นทางเดินเรือทะเลซึ่งเชื่อมโยงจีนกับตลาดทางตะวันตกโดยทางทะล ดังนั้น เอเชียอันเฮดจ์จึงมองเห็นแง่มุมในลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน จากโครงการเส้นทางรถไฟมูลค่า 60,000 ล้านหยวนซึ่งจะเชื่อมนครชิงเต่า ที่เป็นเมืองท่าชายฝั่งทางใต้ของมณฑลซานตง กับนครจี่หนาน เมืองเอกของซานตง ขณะที่เส้นทางรถไฟไฮสปีดสายปักกิ่ง-เสิ่นหยาง ซึ่งสร้างขึ้นมาแล้ว ก็จะได้รับเงินสดอัดฉีดเพิ่มเติมอีกก้อนหนึ่ง

    การสร้างเส้นทางรถไฟใหม่ๆ เหล่านี้ยังประกบเข้ากันกับแผนการของรัฐบาลที่จะเร่งรัดการพัฒนาอาณาบริเวณต่างๆ ที่ยังเป็นค่อนข้างเป็นชนบทของประเทศ และส่งเสริมสนับสนุนประชาชนให้โยกย้ายออกจากศูนย์ชุมชนเมืองที่แออัดยัดเยียดทั้งหลาย เป็นต้นว่า ปักกิ่ง ไปพำนักอาศัยตามบริเวณที่จะเร่งพัฒนาขึ้นมาเหล่านี้

    (จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)



     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘โอบามา’ยื่นไมตรีให้ ‘ปูติน’ โดยส่ง ‘เคร์รี’ ไปเจรจาที่โซชิ
    โดย เอ็ม เค ภัทรกุมาร 20 พฤษภาคม 2558 23:31 น. (แก้ไขล่าสุด 21 พฤษภาคม 2558 00:19 น.)

    (เก็บความเอเชียไทมส์ Asia Times)

    Obama’s overture to Putin has paid off
    By M K Bhadrakumar
    13/05/2015

    ถ้าหากดูจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นแล้ว การเดินทางของรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ไปยังเมืองโซชิ เมืองตากอากาศริมทะเลดำของรัสเซีย เมื่อวันอังคารที่ 12 พฤษภาคม เพื่อพบเจรจากับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และรัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เกย์ ลาฟรอฟ คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว และสิ่งที่บังเกิดขึ้นมานี้ก็เป็นไปตามธรรมเนียมแต่ไหนแต่ไรมาของของความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-อเมริกันที่จะต้องมีการปิดฉากลงท้ายอย่างสวย

    ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปตั้งข้อสงสัยเอากับการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อาวุโสในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งยังคงออกมากล่าวบรรยายสรุปให้สื่อมวลชนรับฟัง แม้ในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ของสหรัฐฯ กำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองโซชิ เมืองตากอากาศริมทะเลดำของแดนหมีขาวอยู่แล้ว เพื่อเข้าพบเจรจากับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียในวันอังคาร 12 พฤษภาคม ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นถึงขนาดกล่าวว่า “ท่านรัฐมนตรีและ (รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซียร์เกย์) ลาฟรอฟ มีการพูดจาหารือกันมาระยะหนึ่งแล้ว เกี่ยวกับจังหวะเวลาที่เงื่อนไขต่างๆ น่าจะสุกงอม และสำหรับฝ่ายเรา (สหรัฐฯ) นั้น เห็นได้ชัดเจนว่าต้องการให้เกิดความมั่นใจว่า ถ้าหากท่าน (รัฐมนตรีเคร์รี) จะเดินทางไป (ยังรัสเซีย) แล้ว ท่านจะได้รับโอกาสให้พูดจากับผู้มีอำนาจตัดสินใจคนสำคัญที่สุด (ซึ่งก็คือ ปูติน นั่นเอง)”

    อันที่จริง ถ้าหากดูจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นแล้ว การเจรจาหารือที่เมืองโซชิเมื่อวันที่ 12 พ.ค. คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น และสิ่งที่บังเกิดขึ้นมานี้ก็เป็นไปตามธรรมเนียมแต่ไหนแต่ไรมาของของความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-อเมริกันที่จะต้องมีการปิดฉากลงท้ายอย่างสวย พวกพลพรรคอาสาสมัครของทั้งสองฝ่ายซึ่งได้สู้รบกันอย่างดุเดือดในสงครามสื่อตลอดรอบปีที่ผ่านมา บางทีอาจจะถึงขั้นขบคิดใหลหลงไปว่า “สงครามเย็นครั้งใหม่” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็มีความรู้สึกว่าพวกเขากำลังเป็นประจักษ์พยานผู้เฝ้าชมการถือกำเนิดขึ้นมาของระเบียบโลกแห่งยุคใหม่ ครั้นมาบัดนี้วอชิงตันกับมอสโกกลับหันกลับมาพูดจาแบบรอมชอมมีมิตรไมตรีต่อกัน ทั้งสองพวกนี้ย่อมจะต้องเกิดความรู้สึกเหมือนกับถูกทรยศหักหลัง

    น้ำเสียงที่พูดถึงรัสเซียของเจ้าหน้าที่อาวุโสแห่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯรายนี้ ซึ่งมีลักษณะสุภาพและถ่อมตน ถือว่าเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับการแสดงออกต่อมอสโกของวอชิงตันในตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากฝ่ายรัสเซียได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาสามารถที่จะยึดมั่นในแนวทางนโยบายของตนเองอย่างเหนียวแน่นมั่นคงชนิดที่ใครคนอื่นเทียบเคียงได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อเป็นการพิทักษ์ปกป้องสิ่งที่เป็นผลประโยชน์แกนกลางของพวกเขา และมาถึงตอนนี้คณะบริหารโอบามาก็ทำความเข้าใจซาบซึ้งกับเรื่องนี้แล้ว

    สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำก็คือ สหรัฐฯยังเข้าอกเข้าใจด้วยว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับรัสเซีย พวกเขาจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ตามหลักเศรษฐศาสตร์ว่าด้วย “กฎการลดน้อยถอยลงของผลผลิตที่ได้ตอบแทนกลับมา” (law of diminishing returns)

    พูดง่ายๆ ก็คือ บัดนี้ ได้มีจีนเข้ามาปรากฏตัวบนภูมิทัศน์ยูเรเชียอันทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในครั้งแรก ขณะที่สหรัฐฯกำลังมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดเหลือเกินที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากรัสเซียในตะวันออกกลาง ยิ่งกว่าระยะเวลาใดๆ นับตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลง

    ส่วนในอีกด้านหนึ่ง ถึงแม้หมีขาวจะแสดงออกซึ่งความองอาจห้าวหาญของพวกเขาสักเพียงใดก็ตาม แต่ชนชั้นนำรัสเซียก็เข้าอกเข้าใจดีแล้วว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในอนาคตของพวกเขาจะต้องมืดมัวไม่รู้หาย ถ้าหากยังคงถูกเล่นงานด้วยมาตรการลงโทษคว่ำบาตรทั้งทางการเงิน, การลงทุน, และการค้าต่อไปอีกอย่างไม่มีการผ่อนผัน พวกเขาตระหนักด้วยเช่นกันว่า ด้วยอัตราความเร็วของความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกกับปักกิ่งอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ในที่สุดแล้วพวกเขาก็คงจะต้องยินยอมรับบทบาทที่เป็นแค่หุ้นส่วนระดับจูเนียร์ ของจีนเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกอาจจะมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของแดนหมีขาวตลอดจนการถูกแยกตัวโดดเดี่ยวที่รัสเซียได้รับอยู่ในเวลานี้ ทว่าชีวิตนั้นถึงอย่างไรก็จะต้องดิ้นรนกันต่อไป และในที่สุดก็คงเหลือแต่พวกชนชั้นนำในมอสโกเท่านั้น ซึ่งมีหน้าที่ต้องคอยแก้ไขรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

    เมื่อมองย้อนหลังกลับไปเพื่อสรุปบทเรียน สามารถกล่าวได้ว่าฝ่ายรัสเซียตั้งความหวังเอาไว้สูงอย่างไม่สอดคล้องความเป็นจริง ในเรื่องที่คาดฝันว่าพวกพันธมิตรยุโรปของสหรัฐฯจะกล้าหาญดำเนินโยบายการต่างประเทศที่เป็นอิสระ เพื่อรักษาสายสัมพันธ์ที่มีอยู่กับรัสเซีย ดูเอาเถอะ แม้กระทั่งกรีซ (ซึ่งรัฐบาลที่นำโดยพรรคฝ่ายซ้ายจัด ประกาศนโยบายไม่เอาการใช้มาตรการเข้มงวดทางเศรษฐกิจ และใช้ท่าทีพร้อมชนกับอียู –ผู้แปล) ลงท้ายก็ต้องยอมแพ้เช่นเดียวกัน

    ในที่สุด รัสเซียก็ต้องหวนกลับมาทบทวนดูว่ามันเป็นการคุ้มค่าจริงๆ หรือ ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีการผจญภัยอันอึกทึกครึมโครมของ “เอดเวิร์ด สโนว์เดน” (Edward Snowden) ซึ่งเท่ากับเป็นการรหยามหมิ่นสหรัฐฯและสร้างความสับสนซับซ้อนให้แก่สายสัมพันธ์ที่รัสเซียมีอยู่กับพันธมิตรใกล้ชิดทั้งหลาย ทั้งนี้มอสโกควรจะสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างง่ายดาย (เฉกเช่นเดียวกับปักกิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้และตระเตรียมทางหนีทีไล่รองรับ) ว่า “จักรวรรดิ” สหรัฐฯอเมริกาจะต้องโจมตีแก้เผ็ดอย่างแน่นอน และเป็นการเอาคืนแบบโหดสุดๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ย่อมไม่มีคำตอบอันเด่นชัดและง่ายดายใดๆ

    ด้วยเหตุนี้ เมื่อพูดกันตามเนื้อผ้าแล้ว มันจึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมเลย หากจะประเมินผลลัพธ์จากการเดินทางไปเจรจาที่โซชิของเคร์รี โดยใช้ถ้อยคำแบบคำว่า “ผ่าทางตัน” (breakthroughs) อันที่จริงแล้ว ไม่มีฝ่ายใดคาดหมายกันเลยว่าจะเกิดการ “ผ่าทางตัน” ใดๆ อย่างไรก็ดี วัตถุประสงค์สำคัญที่สุดในภารกิจเที่ยวนี้ของเขาก็ถือว่าบรรลุผลแล้ว ก้อนน้ำแข็งเย็นเยือกที่เคยห่อหุ้มปกคลุมความสัมพันธ์รัสเซีย-อเมริกันอยู่ บัดนี้ได้แตกแยกปริหักออกไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น การเจรจา 2 นัดในโซชิ (คือการเจรจาระหว่าง เคร์รี กับ ปูติน ที่ใช้เวลาราว 4 ชั่วโมง และการเจรจาระหว่าง เคร์รี กับ ลาฟรอฟ ที่ใช้เวลาพอๆ กัน –ผู้แปล) ซึ่งกินเวลาทั้งสิ้นกว่า 8 ชั่วโมง ยังได้ครอบคลุมพาดพิงถึงประเด็นปัญหาต่างๆ จำนวนมาก

    ในการแถลงสรุปผลการเจรจาหารือต่อสื่อมวลชนที่โซชิคราวนี้ ทั้ง เคร์รี และ ลาฟรอฟ ต่างมุ่งลดทอนทัศนะที่แตกต่างกันในเรื่องยูเครน ตรงกันข้ามพวกเขากลับหันมาเน้นหนักอย่างน่าสังเกตต่อผลประโยชน์ที่สองฝ่ายมีอยู่ร่วมกันในการแสวงหาหนทางแก้ไขคลี่คลายวิกฤตนี้ “อย่างรอบด้าน” การเจรจากันในโซชิดูเหมือนจะนำไปสู่ความเข้าอกเข้าใจระหว่างกันที่ว่า ฝ่ายไหนๆ ก็จะต้องไม่ทำอะไรที่จะเป็นการเร่งรัดก่อกวนให้เกิดความขัดแย้งใหม่ๆ ขึ้นมา ความเข้าใจเช่นนี้น่าจะส่งผลอันเป็นประโยชน์ต่อ “พวกสายเหยี่ยว” ในกรุงเคียฟเช่นกัน

    อีกประเด็นหนึ่งที่ออกมาจากการเจรจาโซชิ ก็คือ สหรัฐฯกับรัสเซียเห็นพ้องกันที่จะเปิดฉากใช้ความพยายามร่วมกันครั้งใหม่เพื่อผลักดันให้มีการเจรจาสันติภาพระหว่างฝ่ายต่างๆ ในซีเรีย นอกจากนั้น เคร์รีดูเหมือนจะประสบความสำเร็จในการบีบคั้นจนได้รับคำมั่นจากมอสโกว่าจะไม่ทำอะไรซึ่งอาจเป็นการก่อกวนสร้างความเสียหายให้แก่ผลลัพธ์ของการเจรจาทำข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับอิหร่าน ทั้งนี้มีความเป็นไปได้มากทีเดียวว่า การลำเลียงขีปนาวุธ เอส-300 ที่อิหร่านสั่งซื้อจากรัสเซีย จะถูกระงับเอาไว้ต่อไปอีกหลายๆ เดือน

    เคร์รีเปิดเผยในการแถลงสรุปต่อสื่อมวลชนคราวนี้ว่า ในการเจรจาที่โซชินี้ ได้มีการหยิบยกเรื่องการประชุมซัมมิตระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาผู้นำของชาติสมาชิกคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวเปอร์เซีย (GCC) ในกรุงวอชิงตันและแคมป์เดวิด ขึ้นมาหารือด้วย ทั้ง เคร์รี และ ลาฟรอฟ ต่างเน้นย้ำว่า พวกเขามีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างแข็งแกร่งเหนียวแน่น ในเรื่องการสู้รบกับพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) และพวกแนวร่วมอัล-นุสรา (Al-Nusra Front กลุ่มนักรบญิฮัดสุดโต่งที่ถือเป็นสาขาในซีเรียของอัลกออิดะห์ -ผู้แปล) เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นอันแน่นอนทีเดียวว่าทั้งซาอุดีอาระเบีย และตุรกี ต่างจะได้รับข้อความที่ว่า คณะบริหารโอบามาจะไม่หนุนหลังแผนการเล่นของพวกเขาในซีเรีย ไม่เพียงเท่านั้น ฝ่ายซาอุดีอาระเบียยังน่าจะรู้สึกสับสนไม่สบายใจต่อการที่สหรัฐฯและรัสเซียแสดงความตั้งใจที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน บนหนทางที่จะให้สหประชาชาติเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างกลุ่มต่างๆ ในเยเมน เพราะการเปิดประตูเจรจาสันติภาพกันในลักษณะเช่นนี้ ย่อมจะทำให้การแก้ไขปัญหาด้วยการรณรงค์ทางการทหารเป็นอันใช้การไม่ได้

    แทบไม่ค่อยมีการเปิดเผยอะไรออกมาเลยว่า ในการเจรจาโซชิคราวนี้ มีการพูดจากันอย่างไรในเรื่องที่ฝ่ายตะวันตกมีแผนการให้องค์การนาโต้ (NATO องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ) หวนกลับเข้าไปในยุทธบริเวณลิเบียอีกครั้ง ทั้งนี้ที่ผ่านมาฝ่ายรัสเซียคอยสกัดกั้นไม่ให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นผ่านมติที่จะมอบหมายอำนาจ ซึ่งจะเปิดทางให้นาโต้สามารถกลับเข้าไปแทรกแซงทางการทหารในประเทศอาหรับทางแอฟริกาเหนือแห่งนั้นได้ใหม่

    แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงในการแสดงความเห็นของลาฟรอฟเกี่ยวกับการสู้รบกับพวกก่อการร้ายภายในขอบเขตของกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ก็ดูเหมือนจะบ่งบอกให้เห็นว่าฝ่ายรัสเซียกำลังมีท่าทีอ่อนลงในการข่มขู่ที่จะใช้อำนาจยับยั้งเพื่อสกัดกั้นญัตติว่าด้วยลิเบียในคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น หลังออกจากโซชิแล้ว เคร์รีก็บินต่อไหปยังตุรกี เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของนาโต้ โดยที่วาระเรื่องการเตรียมตัวเข้าแทรกแซงในลิเบียเร็วๆ นี้ ถูกระบุว่าเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในระเบียบวาระการหารือ

    เมื่อนำเอาเรื่องเหล่านี้มาบวกรวมกันแล้ว ถือว่าเป็นผลลัพธ์เพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้เราประเมินการเดินทางไปโซชิของเคร์รีเที่ยวนี้ว่าคุ้มค่ามาก? คำตอบก็คือ เกือบจะเป็นเช่นนั้นทีเดียว การที่โอบามาแสดงท่าทีหยิบยื่นมิตรไมตรีต่อปูตินคราวนี้ถือว่าเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะเหม็งยิ่ง มันจะทำให้สหรัฐฯอยู่ในฐานะดีขึ้นมากในระยะต่อไป ในการรับมือกับประเด็นปัญหาร้อนๆ ลวกมือทั้งหลายในตะวันออกกลาง

    ในอีกด้านหนึ่ง เราย่อมได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากฝ่ายมอสโกแทบจะด้วยระดับความดังพอๆ กันทีเดียว มองจากทัศนะของรัสเซียแล้ว การที่ฝ่ายสหรัฐฯเป็นผู้ริเริ่มหยิบยื่นมิตรไมตรีมาเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าการบอยคอตต์ของฝ่ายตะวันตกที่กระทำต่อมอสโกเป็นอันสิ้นสุดลง เราอาจจะสามารถคาดหมายได้ว่าหลังจากนี้จะมีรัฐบุรุษจากฟากฝั่งยุโรปเดินทางไปมาหาสู่กับฝ่ายมอสโกเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา อันที่จริง ในเมื่อความร่วมมือกันระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียในเรื่องการสู้รบขัดแย้งต่างๆ ในระดับภูมิภาคมีความคืบหน้าไปเช่นนี้ มันก็ย่อมจะส่งผลกระทบในทางบวกต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างมหาอำนาจใหญ่ 2 รายนี้ด้วย (เป็นต้นว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วอชิงตันได้ส่งสัญญาณแสดงความปรารถนาที่จะเชิญมอสโกมาเจรจาหารือกันเกี่ยวกับโครงการระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ)

    ทั้งวอชิงตันและมอสโกในวันนี้ต่างยังคงอยู่ในอารมณ์ของความรู้สึกอยากกล่าวโทษสั่งสอนคนอื่น ดังที่การแถลงสรุปต่อสื่อมวลชนในโซชิได้บ่งบอกให้เห็นอย่างเด่นชัดมาก พวกเขาเฝ้ามองเข้าไปในสถานการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นมา และไม่ชอบสิ่งที่พวกเขาได้เห็นเลย

    เมื่อวิเคราะห์กันจนถึงที่สุดแล้ว โอบามาเป็นผู้ที่ยอมเอาตัวเองเข้าเสี่ยงอย่างสูงลิ่วทีเดียว จากการแสดงท่าทีหยิบยื่นไมตรีจิตต่อรัสเซียเช่นนี้ พวกที่คอยวิพากษ์วิจารณ์เขาและพวกที่คอยประณามว่าร้ายเขาต่างจับจ้องที่จะเล่นงานเขาอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขามองเห็นแต่เพียงแค่ว่โอบามาเป็นฝ่ายเสนอมิตรไมตรีให้แก่ปูติน และนี่เป็นเพียงการเลี้ยวยูเทิร์นอีกครั้งหนึ่งของโอบามาในแนวรบด้านนโยบายการต่างประเทศอันสำคัญยิ่งยวด

    แต่แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้ประธานาธิบดีโอบามาโดดเด่นยิ่งกว่านักการเมืองอเมริกันคนอื่นๆ ก็คือการที่เขาสามารถนำเอาสติปัญญาระดับสูงเข้ามาส่งผลต่อนโยบายการต่างประเทศของอเมริกา แน่นอนทีเดียวเขาเป็นผู้ที่ภาคภูมิใจใน “ฝันของอเมริกัน” (American Dream) แต่กระนั้นเขาก็ทราบดีว่าเขากำลังเป็นประธานาธิบดีที่อยู่ในระยะสรุปปิดท้ายของศตวรรษอเมริกันในการเมืองโลกแล้ว การเป็นประธานาธิบดีในช่วงเวลาลาโรงของ “ชั่วขณะที่โลกมีขั้วอำนาจเพียงขั้วเดียว นั่นคือสหรัฐอเมริกา” ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เขากำลังทำสิ่งนี้ด้วยความสงบราบเรียบ, ด้วยความสง่างดงาม, ด้วยความมีแบบแผนมีวิธีการ เท่าที่เขาสามารถกระทำได้

    เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขากำลังก้าวล้ำหน้ากว่าพวกชนชั้นแวดวงการเมืองของอเมริกา ตลอดจนภาคส่วนอันใหญ่โตทีเดียวของพวกปัญญาชนและสื่อมวลชนอเมริกัน –และ แน่นอนที่สุด พวกเพื่อนมิตรและพันธมิตรผู้น่ารำคาญในยุโรปกลาง ซึ่งคอยแต่ส่งเสียงอึกทึกโวยวายเรียกร้องให้ใช้แนวทางแข็งกร้าวกับรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โปแลนด์ และประดารัฐริมทะเลบอลติกทั้งหลาย

    ในอดีตที่ผ่านมา โอบามาได้เคยกระทำความผิดพลาดอันใหญ่โตเกี่ยวกับการวินิจฉัยตัดสินรัสเซียรวมแล้ว 3 ประการด้วยกัน อย่างแรกคือ เขายินยอมปล่อยให้สหรัฐฯเข้าแทรกแซงกิจการภายในประเทศของรัสเซียต่อไป ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีคิดคำนวณทางการเมืองในวังเครมลิม ให้หันมาอยู่ในทิศทางซึ่งจะเป็นการรับใช้ผลประโยชน์ในทั่วโลกของอเมริกา ถูกต้องทีเดียว สหรัฐฯนั้นเคยเป็นผู้บงการชักใยพวกชนชั้นนำของรัสเซีย และครั้งหนึ่งถึงกับเคยดำเนินแผนการเพื่อให้ บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีรัสเซียอีกครั้งด้วยซ้ำ (ในปี 1996)

    ทว่าโอบามาสมควรที่จะมองให้ออกว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เมื่อพิจารณาดูจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาไม่ว่าจะอาศัยหลักเกณฑ์บรรทัดฐานอย่างไรก็ตามที ปูตินนั่นแหละคือผู้ที่ชนะได้รับอาณัติให้ขึ้นปกครองประเทศอย่างถูกต้องชอบธรรม และเขาคือนักการเมืองที่ได้รับความนิยมชมชื่นจากประชาชนอย่างมากมายเป็นพิเศษอีกด้วย สหรัฐฯสามารถที่จะปล่อยให้รัสเซียดำเนินไปแนวทางเช่นนั้นโดยไม่เข้ายุ่งเกี่ยว เมื่อตอนที่ ปูติน ได้กลับคืนสู่วังเครมลินอีกครั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2012 แต่แล้วโอบามากลับแต่งตั้ง ไมเคิล แมคฟาวล์ (Michael McFaul) ผู้เชี่ยวชาญในเรื่อง “การปฏิวัติสี” (color revolution การลุกฮือของประชาชนเพื่อโค่นระบอบปกครองในหลายประเทศที่เคยเป็นสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต ตลอดจนรัฐในแหลมบอลข่าน เมื่อช่วงต้นทศวรรษ 2000 -ผู้แปล) ผู้โด่งดัง ให้ไปเป็นเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำรัสเซีย นี่คือการวินิจฉัยตัดสินอันผิดพลาดถึงขั้นหายนะ และเป็นการยั่วยุท้าทายที่ไม่มีความจำเป็นเลย

    ประการที่สอง โอบามาประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของรัสเซียที่จะธำรงรักษากันชนตามแนวพรมแดนด้านตะวันตกของตนเอาไว้ โดยที่พรมแดนด้านตะวันตกนี้เองแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเส้นทางที่รัสเซียจะถูกศัตรูเข้ารุกราน วอชิงตันนั้นเรียกได้ว่าบังคับกดดันให้ปูตินต้องจัดการกับแหลมไครเมียและยูเครนตะวันออกก่อนเวลาที่ผู้นำหมีขาวผู้นี้อยากจะกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการเลือกของปูตินเลย ในการก่อกระแสอย่างเกินเลยเพื่อทำให้ปูตินกลายเป็นปีศาจร้ายนั้น บ่อยครั้งมักมีการมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าปูตินเป็นผู้ที่ปรารถนาจะเป็นหุ้นส่วนกับโลกตะวันตก ทว่าต้องเป็นหุ้นส่วนในลักษณะที่เท่าเทียมกัน “ความอ่อนไหวอย่างยิ่งยวดระดับไฮเปอร์” (hyper sensitivity) ของรัสเซียในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแก่การทำความเข้าใจเลย

    ประการที่สาม โอบามาแสดงให้เห็นถึงความดื้อดึง จากการที่เขาปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ความมุ่งมาดปรารถนาอันชอบธรรมของรัสเซียที่จะมีฐานะเป็นมหาอำนาจระดับโลกรายหนึ่ง เขาก้าวไปไกลเกินกว่าประธานาธิบดีอเมริกันผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเขาอีกก้าวหนึ่ง (ไม่ว่าจะเป็น บิลล์ คลินตัน และ จอร์จ ดับเบิลยู บุช) และตั้งสมมุติฐานทึกทักขึ้นมาเองว่า สหรัฐฯสามารถที่จะจัดการรับมือกับประเด็นปัญหาระดับโลกทั้งหลาย ตลอดจนการสู้รบขัดแย้งในระดับภูมิภาคทั้งหลาย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ โดยที่ไม่ต้องอาศัย “การเข้ามีปฏิสัมพันธ์แบบคัดสรร” (selective engagement) กับรัสเซีย

    บุรุษผู้มีความคิดอันหลักแหลมรอบรู้และมีสติปัญญาอันลึกซึ้งเฉกเช่นโอบามา ทำไมจึงทำความผิดพลาดได้ถึงขนาดนี้หนอ ? แน่นอนทีเดียว โอบามานั้นมีความคุ้นเคยกับการเมืองรัสเซียในระดับจำกัด และเขาปล่อยให้ตนเองถูกนำพาชักจูงโดย “มือทำงานด้านรัสเซีย” ผู้มีประสบการณ์สูงในแวดวงด้านนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ทว่าคนเหล่านี้มักเป็นพวกที่ยังติดข้องอยู่กับแนวคิดการเมืองของยุคสงครามเย็น ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นว่า ลงท้ายเขาก็กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ปิดล้อมรัสเซียในลักษณะคล้ายคลึงยิ่งกับสิ่งที่ใช้อยู่ในคณะบริหารของบิลล์ คลินตัน ในตอนต้นทศวรรษ 1990

    การดำเนินนโยบายเช่นนั้นได้รับการพิสูจน์จากความเป็นจริงว่า เสมือนกับการเดินไปบนถนนที่ไม่ทราบว่าจะนำไปไหน เนื่องจากรัสเซียที่ บิลล์ คลินตัน เคยสามารถหลอกลวงตบตา, ข่มเหงรังแก, และบงการปั่นหัวนั้น ไม่ดำรงคงอยู่ในทุกวันนี้แล้ว คำถามที่ยังคงคาใจอยู่ในเวลานี้มีอยู่ว่า โอบามามีความตั้งใจแน่วแน่ขนาดไหนที่จะตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งจะเป็นตัวนำไปสู่การล่มสลายในความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกันกับรัสเซีย

    สัญญาณที่สำคัญและให้กำลังใจอย่างหนึ่งก็คือ ในคณะของเคร์รที่เดินทางไปยังโซชินั้น มีบุคคลที่ขาดหายไปอย่างผิดสังเกตมากผู้หนึ่ง ได้แก่ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ วิกตอเรีย นูแลนด์ (Victoria Nuland) ผู้เป็นจอมบงการอยู่เบื้องหลัง “การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง” ในกรุงเคียฟเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว

    เอกอัครราชทูต เอ็ม เค ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย เขาเคยได้รับมอบหมายให้ไปประจำอยู่ในหลายๆ ประเทศ อาทิ สหภาพโซเวียต, เกาหลีใต้, ศรีลังกา, เยอรมนี, อัฟกานิสถาน, ปากีสถาน, อุซเบกิสถาน, คูเวต, และตุรกี


     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘โอบามา’บีบคั้นให้ ‘รัฐอาหรับ’ หนุน ‘ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน’
    โดย เอ็ม เค ภัทรกุมาร 16 พฤษภาคม 2558 22:58 น.

    Obama extracts GCC support for Iran deal
    By M K Bhadrakumar
    15/05/2015

    คำแถลงร่วมของการประชุมระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบามา กับ “หัวหน้าคณะผู้แทน” ของบรรดารัฐสมาชิกคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวเปอร์เซีย (GCC) ที่ออกเผยแพร่ ณ แคมป์เดวิด ในวันพฤหัสบดี (14 พ.ค.) แสดงให้เห็นว่า การเจรจาหารือคราวนี้ไม่ได้ล้มเหลวหมดท่าอย่างที่หวั่นเกรงกัน ตรงกันข้ามโอบามายังสามารถบีบคั้นให้รัฐอาหรับเหล่านี้ยอมรับว่า การทำข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์กับอิหร่าน ถือเป็นผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของ GCC ด้วย


    ไม่ใช่งานง่ายๆ เลยที่จะสรุปผลการเจรจาหารือที่กรุงวอชิงตันและแคมป์เดวิดในวันพุธและวันพฤหัสบดี (13-14 พ.ค.) ที่ผ่านมา ระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบามา กับ “บรรดาหัวหน้าคณะผู้แทน” ของรัฐสมาชิก “คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวเปอร์เซีย (Gulf Cooperation Council ใช้อักษรย่อว่า GCC)

    เริ่มตั้งแต่ว่าการประชุมคราวนี้ที่วางแผนเอาไว้ให้เป็นการประชุมซัมมิต ก็กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากมีผู้นำสำคัญจากฝ่าย GCC ขาดหายไปหลายคน ทั้งนี้ยกเว้นแต่ประมุขแห่งรัฐของคูเวตและกาตาร์แล้ว ประมุขแห่งรัฐของอีก 4 ชาติต่างปฏิเสธไม่ตอบรับคำเชื้อเชิญของโอบามา รายที่ออกจะน่าขบขันก็คือ กษัตริย์แห่งบาห์เรน พันธมิตรสำคัญชาติหนึ่งของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้โดยเป็นสถานที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพเรือที่ 5 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ นั้น ได้ทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปทอดพระเนตรงานแสดงม้าที่ประเทศอังกฤษ แทนที่จะทรงเข้าร่วมซัมมิตคราวนี้ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Absent from Obama summit, Bahrain king to visit UK horse show)

    วอชิงตันได้แสดงอาการอดกลั้นต่อการหมิ่นหยามไม่รับคำเชิญของพระราชาธิบดีแห่งซาอุดีอาระเบียและบาห์เรน แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ความลับอะไรเลยที่ว่าคณะบริหารโอบามา และพวกชาติอาหรับริมอ่าวเปอร์เซียเหล่านี้ มีความคิดเห็นห่างไกลกันมากในประเด็นเรื่องที่สหรัฐฯกำลังหันไปมีปฏิสัมพันธ์กับอิหร่าน ชาติอาหรับเหล่านี้แสดงความวิตกต่อการที่อิหร่านกำลังมีอิทธิพลในภูมิภาคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็กำลังพยายามเรียกร้องให้สหรัฐฯประกาศค้ำประกันความมั่นคงของพวกเขาอย่างแข็งแรงหนักแน่นประดุจ “หุ้มเกราะ” หนาแกร่ง ตลอดจนให้สหรัฐฯตกลงขายอาวุธใหม่ๆ ทันสมัยแก่พวกเขา ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายยังมีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องหนทางแก้ไขการต่อสู้ขัดแย้งต่างๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามในซีเรีย

    ความวิตกกังวลลึกๆ ของพวกชนชั้นปกครองริมอ่าวเปอร์เซียเหล่านี้ก็คือ การที่สหรัฐฯกับอิหร่านหันมามีปฏิสัมพันธ์กัน อาจจะเบ่งบานจนกลายเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดกันอย่างเต็มรูป ซึ่งนั่นอาจจะบังเกิดผลที่เป็นการบดบังบทบาทแต่ไหนแต่ไรมาของพวกเขาในฐานะที่เป็นพันธมิตรหลักๆ ของวอชิงตันในภูมิภาคนี้

    คำแถลงร่วมของการประชุมซัมมิตคราวนี้ที่ออกมา ณ แคมป์เดวิด ในวันพฤหัสบดี (14 พ.ค.) (ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.whitehouse.gov/the-pres...ooperation-council-camp-david-joint-statement) รวมทั้งภาคผนวกของคำแถลงร่วมนี้ (ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.whitehouse.gov/the-pres...ooperation-council-camp-david-joint-statement) มีความพยายามเป็นอย่างมากที่จะเสนอภาพออกมาให้เห็นว่า การประชุมระหว่างโอบามากับ “หัวหน้าคณะผู้แทน” จากพวกรัฐริมอ่าวเปอร์เซียคราวนี้ ไม่ได้ล้มเหลวหมดท่าอย่างที่หวั่นเกรงกันไว้ ทั้งนี้ ส่วนประกอบสำคัญที่สุดของคำแถลงร่วมและภาคผนวกดังกล่าวนี้ สรุปสาระสำคัญซึ่งตกลงกันจากที่ประชุมเป็น 3 ประการ ดังนี้:

    **สหรัฐฯให้คำมั่นสัญญาที่จะเข้าเผชิญหน้ากับภัยคุกคามซึ่งกระทำต่อพวกชาติริมอ่าวเปอร์เซีย โดยใช้ “เครื่องมือต่างๆ รวมทั้งการใช้กำลัง”

    **สหรัฐฯกับ GCC เน้นย้ำว่า การทำข้อตกลงที่ครอบคลุมรอบด้านและสามารถตรวจสอบได้ว่ามีการปฏิบัติตาม อีกทั้งสามารถคลี่คลายความกังวลห่วงใยทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับระหว่างประเทศเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้อย่างเต็มที่นั้น คือสิ่งที่อยู่ในผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงของบรรดารัฐสมาชิก GCC ด้วย”

    **สหรัฐฯกับบรรดาชาติริมอ่าวเปอร์เซียให้สัญญาว่าจะร่วมมือกันในการดำเนินการต่อต้าน “บรรดากิจกรรมที่ก่อให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพ” ของอิหร่าน

    ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งที่ถือเป็นผลสำเร็จอย่างแท้จริงนั้น อยู่ตรงส่วนที่ระบุว่า ทั้งสองฝ่าย “เน้นย้ำว่า ...” เพราะมันคือการที่สหรัฐฯประสบความสำเร็จในการบีบคั้นทำให้พวกชาติหุ้นส่วนริมอ่าวเปอร์เซียเหล่านี้ ยอมรับข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านที่กำลังจะเกิดขึ้นมา โดยที่จะมีการสรุปขั้นสุดท้ายกันภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ (ทั้งนี้มีบางฝ่ายอ้างด้วยซ้ำว่า ข้อตกลงทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอแต่เพียงการประกาศออกมาเท่านั้น)

    เพื่อเป็นการตอบแทนการยอมรับของ GCC ทางสหรัฐฯก็ยินดีประกาศยืนยันว่า ตนจะ “ใช้ส่วนประกอบทุกๆ อย่างของอำนาจ ... เพื่อป้องปรามและเพื่อเผชิญหน้า กับภัยคุกคามจากภายนอกซึ่งมีต่อบูรณภาพแห่งดินแดน ของรัฐสมาชิก GCC ทุกๆ ราย อันอยู่ในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสหประชาชาติ”

    อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันพวกรัฐ GCC ไม่ได้เผชิญกับภัยคุกคามจากการก้าวร้าวรุกรานภายนอกใดๆ ทั้งสิ้น และวอชิงตันก็กำลังประกาศขยายการค้ำประกันให้เข้มแข็งมั่นคงประดุจ “หุ้มเกราะ” หนาแกร่งเช่นนี้ บนสถานการณ์ที่สมมุติขึ้นมาว่าอาจจะเกิดขึ้นได้เท่านั้น ทั้งนี้ ซัดดัม ฮุสเซน นั้นสิ้นชีวิตแล้ว เหมือนนกโดโด้ (dodo) บนหมู่เกาะมอริเชียส ที่สูญพันธุ์ไปนมนานแล้ว

    น่าสนใจมากที่คำแถลงร่วมยังเดินหน้าระบุต่อไปอีกว่า บรรดารัฐ GCC “จะปรึกษาหารือกับสหรัฐฯเมื่อมีการวางแผนการในการดำเนินปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ซึ่งเกินเลยไปจากพรมแดนของ GCC” พูดง่ายๆ ก็คือ วอชิงตันคาดหมายว่า เหล่ารัฐ GCC จะไม่เร่งรัดสถานการณ์ที่จะกลายเป็นการดึงลากเอาสหรัฐฯเข้าสู่การผจญภัยทางการทหารนั่นเอง นี่จึงหมายความว่า “หลักการซัลมาน” (Salman Doctrine ดูรายละเอียดได้ที่ http://english.alarabiya.net/en/views/news/middle-east/2015/04/01/Saudi-King-Salman-s-doctrine.html) ได้ถึงจุดจบสิ้นชีวิตลงไปอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันนกกระจอกกินน้ำเสียแล้ว

    เป็นที่ทราบกันดีว่า ซาอุดีอาระเบียนั้นถึงขั้นคาดหมายว่าจะได้รับการค้ำประกันความมั่นคงอย่างแข็งแกร่งชนิด “หุ้มเกราะ” จากสหรัฐฯ ในรูปของเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าโอบามาไม่ยินยอมถึงขนาดนั้น ในทางเป็นจริงแล้ว ในคำแถลงร่วมนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่เกี่ยวกับจุดยืนของสหรัฐฯ เพิ่มเติมไปจากสิ่งที่เคยมีการยืนยันกันไปแล้ว โดยที่ผ่านมา โอบามาก็ประกาศอยู่เสมอว่าสหรัฐฯจะพิทักษ์คุ้มครองบรรดารัฐ GCC ให้พ้นจากภัยคุกคามของการรุกรานภายนอก

    ในการต่อรองกันคราวนี้ ยังทำให้สหรัฐฯมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นในการผลักดันวาระการนำเอาระบบต่อต้านขีปนาวุธนำวิถี (ABM system) มาติดตั้งประจำการในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย นี่ย่อมหมายความว่าระบบโล่ป้องกันขีปนาวุธนำวิถี ABM ของสหรัฐฯ กำลังค่อยๆ เคลื่อนคืบหน้าเข้ามาในยุทธบริเวณแห่งใหม่ ซึ่งสามารถที่จะใช้เฝ้าจับตา 3 มหาอำนาจภูมิภาคซึ่งมีโครงการพัฒนาขีปนาวุธที่กำลังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว อันได้แก่ อิหร่าน, ปากีสถาน, และอินเดีย

    ในทำนองเดียวกัน เป็นที่คาดหมายได้ว่าสหรัฐฯจะขายอาวุธใหม่ๆ ให้แก่เหล่าประเทศ GCC โดยที่พวกกลุ่มอุตสาหกรรมทหารอันทรงอิทธิพลของสหรัฐฯก็กระหายที่จะกระโจนเข้าไปอยู่แล้ว

    เมื่อมองกันเป็นภาพรวม ความโดดเด่นของการเจรจาที่แคมป์เดวิคราวนี้ อยู่ตรงความสำเร็จของโอบามาในการบีบคั้นจนได้ฉันทามติออกมาว่า ข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน ถือว่าอยู่ใน “ผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคง” ของบรรดารัฐ GCC และเพื่อเป็นการตอบแทนฉันทามติที่เขาได้รับนี้ โอบามาก็ให้คำมั่นว่าสหรัฐฯจะ “ทำงานด้วยกัน” กับบรรดารัฐ GCC “เพื่อต่อต้านบรรดากิจกรรมของอิหร่านที่ก่อให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพ” ทว่า น่าสนใจมากที่คำแถลงร่วมยังมีข้อความเรียกร้องอิหร่านให้เข้ามีปฏิสัมพันธ์ในภูมิภาคด้วยจิตวิญญาณแห่งมิตรไมตรี และ “เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและเพื่อแก้ไขคลี่คลายความแตกต่างทั้งหลายที่อิหร่านมีกับเพื่อนบ้านของตน ทั้งนี้ด้วยวิธีการที่สันติ”

    เราย่อมสามารถพูดได้ว่า เหตุผลข้อโตแย้งสำคัญที่สุดของโอบามาได้รับการยอมรับแล้ว –นั่นก็คือ ข้อตกลงด้านนิวเคลียร์สามารถก่อให้เกิดอิหร่านที่เดินสายกลางมีความบันยะบันยัง (ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ อาชาร์ก อัล-อาวซัต Asharq al-Awsat ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันของพวกชนชั้นปกครองซาอุดีอาระเบีย ช่วงก่อนหน้านี้ในสัปดาห์นี้ โอบามาได้แสดงความสงสัยข้องใจเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า อิหร่านให้การสนับสนุนลัทธิก่อการร้าย และมีจุดมุ่งหมายในการฉวยโอกาสขยายอำนาจอิทธิพลในตะวันออกกลางด้วยกำลังทหาร แต่เขาก็พูดถึงความเชื่อของเขาที่ว่า หากสามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับอิหร่าน มันก็น่าจะทำให้เกิด “มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในเศรษฐกิจของอิหร่าน และมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นสำหรับประชาชนชาวอิหร่าน ซึ่งสามารถที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พวกผู้นำที่นิยมทางสายกลางในอิหร่าน”)

    ทั้งนี้สหรัฐฯแสดงท่าทีเฉยชาไม่ค่อยอยากหนุนหลังข้อกล่าวหาของฝ่ายซาอุดีอาระเบียที่ว่า อิหร่านเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการยุยงให้ประชาชนออกมาเรียกร้องการปฏิรูปเพื่อประชาธิปไตยในบาห์เรน ตลอดจนเรื่องที่ว่าพวกกบฎฮูตี (Houthis) ในเยเมน เป็นตัวแทนของอิหร่าน

    ในอีกด้านหนึ่ง คำแถลงร่วมมีเนื้อหาที่เป็นการห้ามปรามอย่างเปิดเผย ไม่ให้ซาอุดีอาระเบียให้ความสนับสนุนต่อไปอีกแก่พวกกลุ่มสุดโต่งทั้งหลายในซีเรีย “อย่างเช่นกลุ่ม อัล-นุสรา (Al-Nusra)”

    และ ในขณะที่พูดถึงการสู้รบขัดแย้งระดับภูมิภาคทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นที่ซีเรีย, อิรัก, ลิเบีย, หรือเยเมน คำแถลงร่วมระบุว่า สหรัฐฯกับเหล่ารัฐ GCC “ตัดสินใจที่จะกำหนดหลักการร่วมขึ้นมาชุดหนึ่ง เป็นต้นว่า หลักการแห่งการยอมรับร่วมกันว่าหนทางแก้ไขด้วยการใช้กำลังทหารนั้นไม่มี แต่การสู้รบขัดแย้งเหล่านี้สามารถแก้ไขคลี่คลายได้ก็ด้วยการใช้หนทางการเมืองและหนทางสันติเท่านั้น, หลักการแห่งการเคารพในอธิปไตยขององรัฐทั้งหลายทั้งปวง และการไม่แทรกแซงในกิจการภายในของรัฐเหล่านี้”

    อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญพอๆ กัน นั่นคือ ในขณะที่พูดถึงเยเมน คำแถลงร่วมเน้นย้ำถึง “ความจำเป็นอันเร่งด่วนในการปรับเปลี่ยนจากการปฏิบัติการทางทหาร ไปสู่การดำเนินกระบวนการทางการเมือง” ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ตรงกับเงื่อนไขล่วงหน้าที่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียตั้งขึ้นมา ที่บอกว่าพวกฮูตีจะสามารถเข้าร่วมในกระบวนการทางการเมืองใดๆ ได้ ก็ต่อเมื่อภายหลังพวกเขาละทิ้งดินแดนที่พวกเขายึดเอาไปได้ในช่วงหลังๆ นี้ ตลอดจนภายหลังพวกเขายอมวางอาวุธแล้ว

    เมื่อพิจารณาโดยรวมทั้งหมด ซาอุดีอาระเบียซึ่งเคยแผดเสียงคำรามลั่นในระยะไม่กี่เดือนหลังมานี้ ดูเหมือนยินยอมอ่อนข้อแล้วด้วยความง่ายดายอย่างน่าประหลาดใจ แต่ก็นั่นแหละ พวกรัฐ GCC มีทางเลือกอะไรอื่นอีกหรือ นอกเหนือจากการยอมรับอย่างซาบซึ้งใจต่อสิ่งที่สหรัฐฯเสนอให้มา? โอบามาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจนไม่รู้จะชัดอย่างไรแล้วว่า บัดนี้เข็มทิศของเขาตั้งเอาไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะเข้ามีปฏิสัมพันธ์กับอิหร่าน และขณะนี้จึงเหลือเพียงอิสราเอลเท่านั้นที่แสดงตัวเป็นคาวบอยผู้โดดเดี่ยวในตะวันออกกลาง ซึ่งยังคงพยายามใช้หอกยาวทิ่มแทงโรงสีลมแห่งข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ทว่านี่จะไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อโอบามาหรอก

    (ข้อเขียนนี้มาจาก Indian Punchline เว็บบล็อกของเอกอัครราชทูต เอ็ม เค ภัทรกุมาร ดูต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ Obama extracts GCC support for Iran deal – Indian Punchline)

    เอกอัครราชทูต เอ็ม เค ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย เขาเคยได้รับมอบหมายให้ไปประจำอยู่ในหลายๆ ประเทศ อาทิ สหภาพโซเวียต, เกาหลีใต้, ศรีลังกา, เยอรมนี, อัฟกานิสถาน, ปากีสถาน, อุซเบกิสถาน, คูเวต, และตุรกี


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มติ ครม. รับทราบรายงานควบคุมผู้ลักลอบเข้าเมืองฉบับ พม. พบงบประมาณ-พื้นที่ไม่พอรองรับ “โรฮีนจา-อุยกูร์” ล้นเฉียดหลักพัน ชง กอ.รมน. ควบคุม ยันยึดหลักสิทธิมนุษยชน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง-ตชด. เร่งหาพื้นที่ใหม่

    [​IMG]

    ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการหาพื้นที่ควบคุมผู้อพยพแห่งใหม่ จัดทำโดยกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นผู้ลงนาม

    โดยสาระสำคัญในรายงานดังกล่าว ระบุว่า ปัจจุบันสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ให้การดูแลจำนวนกลุ่มผู้ลักลอบเข้าเมืองจำนวนทั้งสิ้น 638 คน เป็นชาวโรฮีนจาจำนวน 363 คน และชาวมุสลิมไม่ทราบสัญชาติ (อุยกูร์) จำนวน 275 คน และมีสถานที่ควบคุม (ห้องกัก) จำนวน 11 แห่ง

    ซึ่งปัญหาที่พบคือ จำนวนสถานที่ควบคุมไม่เพียงพอรองรับผู้ลักลอบเข้าเมืองในปริมาณที่เต็มขีดความสามารถ สภาพห้องไม่มั่นคงแข็งแรง คับแคบ รวมทั้งงบประมาณ และกำลังพลไม่เพียงพอ

    ส่วนกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้ให้การดูแลผู้ลักลอบเข้าเมืองที่เป็นเด็ก ผู้หญิง และกลุ่มที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์รวมทั้งสิ้น 174 คน เป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองชาวโรฮีนจาจำนวน 139 คน และชาวมุสลิมอุยกูร์จำนวน 35 คน มีสถานที่คุ้มครองหลัก จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ บ้านพักเด็กและครอบครัว จ.สงขลา และสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพภาคใต้ (บ้านศรีสุราษฎร์)

    ปัญหาที่พบคือ หน่วยงานไม่ใช่สถานที่กักกัน เป็นสถานที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับให้บริการประชาชนทีประสบปัญหาทางสังคม จึงทำให้กลุ่มคนดังกล่าวหลบหนีง่าย รวมทั้งงบประมาณ และกำลังพลไม่เพียงพอ

    ทั้งนี้มติที่ประชุมในการดำเนินการจัดการติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาชาวโรฮีนจา และกลุ่มมุสลิมอุยกูร์ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบุว่า ให้ปฏิบัติงานยึดหลักสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ สำหรับการผลักดัน การสกัดกั้น การเข้าประเทศของกลุ่มผู้ลักลอบเข้าเมือง ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินงานตามภารกิจอย่างเคร่งครัด และในเรื่องการจัดหาพื้นที่ในระยะยาวมอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) พิจารณาพื้นที่ควบคุมผู้ลักลอบเข้าเมือง โดยขอให้ยึดกรอบและระยะเวลาการทำงานที่ชัดเจน

    ขณะเดียวกันกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ร่วมกับผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแหงชาติ (สตช.) ประชุมหารือเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว มีมติมอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ร่วมกันพิจารณาหาพื้นที่ใหม่ที่เหมาะสม โดยให้เสนอต่อที่ประชุมภายใน 1 เดือน และมีมติให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ เพิ่มมาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมผู้ลักลอบเข้าเมืองที่อยู่ในความดูแล



    หมายเหตุ : ภาพประกอบเรือชาวโรฮีนจาจาก thairath

    http://www.isranews.org/isranews-news/item/38688-adul_888999.html
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พบเบาะแส'โรฮิงญา'กำลังผ่านเข้าน่านน้ำไทยกว่า2พันคน
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 21 พฤษภาคม 2558, 15:01

    [​IMG]

    รองผอ.รักษาความมั่นคงฯระนอง เผยมีเบาะแสว่าผู้อพยพโรฮิงญา กำลังจะผ่านน่านน้ำไทย อีกกว่า 2 พันคน

    พ.อ.สุทธิพงษ์ จงภักดี รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า ได้แจ้งให้หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ จ.ระนอง ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของผู้อพยพทางทะเลชาวโรฮิงญา หลังจากมีเบาะแสว่าจะเดินทางมายังน่านน้ำประเทศไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 29 พ.ค. 3 มิ.ย. นี้ กว่า 2,000 คน โดยให้ทุกหน่วยยึดแนวทางการปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลและเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน
    สำหรับการเดินทางของชาวโรฮิงญา จะเดินทางมาจากรัฐยะไข่ซึ่งอยู่ตอนเหนือของพม่า หรือตอนใต้ของบังกลาเทศ มาถึงประเทศไทยระยะทาง780 ไมล์ ใช้เวลาเฉลี่ย 15 วัน ส่วนแนวทางรับมือการเข้ามาของชาวโรฮิงญา เริ่มจากการสกัดกั้นและปฏิเสธการเข้าเมืองทันที โดยได้กำหนดแนวสกัดกั้นตามเส้นทางการหลบหนีเข้าเมืองทางทะเล ตั้งแต่แนวเกาะตาครุฑ,เกาะสินไห,เกาะช้าง,เกาะพยาม,เกาะค้างคาว ซึ่งเป็นเส้นทางหลบหนีเข้าเมืองทางทะเล โดยพยายามใช้วิธีชักจูง โน้มน้าวมิให้ขึ้นฝั่ง และสนับสนุนเสบียง อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้เดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม
    - See more at: พบเบาะแส'โรฮิงญา'กำลังผ่านเข้าน่านน้ำไทยกว่า2พันคน

    พบเบาะแส'โรฮิงญา'กำลังผ่านเข้าน่านน้ำไทยกว่า2พันคน
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In & Outside World

    [​IMG]

    เฮลิคอปเตอร์บินสำรวจลาวา ที่ไหลจาก ภูเขาไฟ Piton de la Fournaise
    ...ซึ่ง ภูเขาไฟ Piton de la Fournaise ดังสนั่นบน 17 พฤษภาคม 2015
    ...ภูเขาไฟตั้งอยู่บน เกาะ ลา เรอูนียง ของฝรั่งเศส ในมหาสมุทรอินเดีย
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc
    21 พ.ค. ไอซิส ยึดเมืองโบราณ 'พัลไมรา' ในซีเรียได้เกือบสมบูรณ์แล้ว มรดกโลกเสี่ยงถูกทำลายอื้อ

    [​IMG]

    กลุ่มติดอาวุธ รัฐอิสลาม ยึดพื้นที่ในเมืองโบราณ พัลไมรา ของซีเรียได้เกือบสมบูรณ์แล้ว ทำให้เกิดความกังวลว่า มรดกโลกสำคัญในเมืองนี้อาจถูกทำลายหมดสิ้นเหมือนในอิรัก
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มติดอาวุธ รัฐอิสลาม (ไอซิส) บุกยึดเมืองโบราณ พัลไมรา ของประเทศซีเรีย และสามารถควบคุมพื้นที่ต่างๆ ได้เกือบสมบูรณ์แล้ว ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่า พวกเขาอาจทำลายโบราณสถานภายในเมืองแห่งนี้ ซึ่งบางแห่งมีความงดงามโอ่อ่าที่สุดในโลก และได้รับเลือกเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก
    ก่อนหน้านี้ กลุ่มไอซิสสามารถยึดเมืองทัดมูร์ เมืองยุคใหม่ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองพัลไมราเอาไว้ได้ หลังจากเอาชนะกองกำลังทหารซึ่งภักดีต่อประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย โดยนายโมมาร์ ฮัมซา นักเคลื่อนไหวในเมืองพัลไมรา เผยต่อสำนักข่าวบีบีซีว่า มีกระสุนปืนใหญ่ตกในเมืองพัลไมราไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในพื้นที่ทางตะวันออกของเมือง ระหว่างการต่อสู้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
    นายฮัมวา ระบุด้วยว่า รูปปั้นโบราณหลายร้อยชิ้นในเมืองพัลไมราได้ถูกย้ายไปยังที่ปลอดภัยแล้ว แต่ยังมีอนุสรณ์สถานและโบราณสถานขนาดใหญ่จำนวนมากที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ โดยโบราณสถานเหล่านี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ระหว่างพื้นที่การเกษตรและพื้นที่ที่ถูกยึดครองโดยกลุ่มไอซิส ซึ่งยิงปืนใหญ่เข้าใส่ที่ตั้งโบราณสถานและวัตถุโดยไม่สนใจว่าโบราณสถานที่ประเมิณค่าไม่ได้เหล่านี้จะได้รับความเสียหายหรือไม่
    ทั้งนี้ ตามข้อมูลของยูเนสโก พัลไมรา เมืองโบราณในทะเลทรายแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์โบราณของเมืองอันยิ่งใหญ่ในอดีตซึ่งเป็นศูนย์รวมทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกยุคโบราณ โบราณสถานและโบราณวัตถุในเมืองแห่งนี้ส่วนใหญ่อยู่มาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 1 และ 2 ในยุคจักรวรรดิโรมัน
    ขณะเดียวกัน เมืองแพลไมรายังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการเดินทางระหว่างเมืองหลวงกรุงดามัสกัส กับจังหวัดเดร์ อัส-ซอร์ และอยู่ใกล้กับบ่อก๊าซธรรมชาติด้วย
    ไอซิส ยึดเมือง 'พัลไมรา' ในซีเรีย มรดกโลกเสี่ยงถูกทำลายอื้อ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc

    [​IMG]

    20 พ.ค. ชาวเน็ตเตือนภัย! ระวังโดนแฮ็กแอคเคานท์อูเบอร์แท็กซี่
    สมาชิกเว็บไซต์พันทิปได้ตั้งกระทู้เตือนภัยชื่อว่า “โดนแฮ็ก Uber Account Taxi Service ระวังกันด้วย!!”
    ระบุว่า อยู่ดีๆ Uber Account ของเจ้าของกระทู้ก็ถูกใครไม่รู้นำไปใช้งานที่ประเทศอังกฤษ โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนประมาณตี 4 ครึ่งตามเวลาประเทศไทย ได้มีเบอร์โทรศัพท์จากต่างประเทศโทรเข้ามาหา แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ซึ่งต่อมาพอเข้าช่วงเย็นของวันที่เกิดเหตุ ก็ได้มี SMS แจ้งเตือนเข้ามาว่า ได้หักบัตรเครดิตไปจำนวน 52.25 ปอนด์จาก Uber หรือประมาณ 2,800 บาทไทย ซึ่งเจ้าของกระทู้ก็ได้โทรไปอายัดบัตรเครดิตทันทีที่รับทราบว่ามีการโดนโกง หลังจากนั้นได้ตรวจสอบข้อมูลการเดินทางพบว่า ระบบได้มีการหักเงินไปจำนวนทั้งสิ้น 4 ครั้งด้วยกัน โดยเป็นการเสียค่าเรียกรถจำนวน 3 ครั้ง และเรียกใช้บริการ 1 ครั้ง รวมทั้งสิ้นกว่า 84 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 4,400 บาท
    ทั้งนี้เหตการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยเป็นแห่งแรก แต่เกิดขึ้นมาแล้วในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเรียกได้ว่า งานนี้ทาง Uber จำเป็นต้องมีการปรับปรุงการจัดเก็บข้อมูลทั้ง username และ password กันขนานใหญ่เลยทีเดียว
    ล่าสุด "ไทยรัฐทีวี" ได้ติดต่อไปยัง ทีมงาน Uber ในประเทศไทย เพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว ได้รับคำตอบว่า ทางบริษัทได้มีการติดต่อไปยังทางผู้เสียหายท่านนี้แล้วหลังจากที่รับทราบ เรื่องที่เกิดขึ้นทันที แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับมาแต่อย่างใด
    ชาวเน็ตเตือนภัย! ระวังโดนแฮ็กแอคเคานท์อูเบอร์แท็กซี่ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wassana Nanuam

    [​IMG]

    รัฐบาลไทย ปฏิเสธข่าว ทหารใช้ปืนยิงขู่เรือ "โรฮีนจา"ให้ออกนอกน่านน้ำตามคำกล่าวอ้างของโรฮีนจา ชี้หากตั้งใจจะขับไล่ไม่จำเป็นต้องให้ข้าวให้น้ำก่อน เผยข่าวนี้ทำทหารเรือเสียกำลังใจ วอนสื่อเสนอข่าวอย่างระมัดระวัง

    พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงข่าวที่ผู้ลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมายซึ่งลอยลำเข้ามาในเขตน่านน้ำรอยต่อประเทศไทยมาเลเซีย เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันขึ้นฝั่งอยู่ที่จังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย โดยหนึ่งในชาวโรฮิงญาที่เดินทางมากับเรือให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ทหารไทยได้ใช้ปืนขู่จะยิงเรือของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเดินทางต่อไป ว่า รัฐบาลไทยมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนที่จะไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบใด ยึดหลักการช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม รวมทั้งได้มีการตรวจสอบกับทหารทุกนายที่ปฏิบัติการช่วยเหลือในคืนนั้นยืนยันว่าไม่มีการใช้อาวุธปืนข่มขู่ตามคำกล่าวอ้าง

    ข้อเท็จจริงคือ เมื่อตรวจสอบพบเรือของผู้ลักลอบ ได้มีการสอบถามพูดคุย พบว่าทั้งหมดต้องการเดินทางต่อไม่ประสงค์จะขึ้นฝั่งไทยโดยร้องขออาหารและน้ำดื่ม

    "รัฐบาลและกองทัพเรือขอปฏิเสธข่าวที่ไร้มูลความจริงนี้โดยสิ้นเชิง ข้อเท็จจริงคือนอกจากทหารเรือไทยจะให้อาหารและน้ำดื่มตามหลักมนุษยธรรมแล้ว ยังช่วยซ่อมเครื่องยนต์เรือที่ชำรุดให้ตามที่ร้องขอซึ่งต้องดำเนินการถึงตีสามกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจในวันนั้น
    ดังนั้นหากคิดจะใช้กำลังข่มขู่ขับไล่ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องไปสอบถาม ไปให้การช่วยเหลือจนค่อนคืน และในวันนั้นก็มีสื่อมวลชนเป็นพยาน มาบันทึกภาพเหตุการณ์การช่วยเหลือด้วยความตั้งใจของทหารเรือไทย รัฐบาลไทยรู้สึกเจ็บปวดกับคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและทำให้ทหารเรือไทยซึ่งทุ่มเท ตั้งใจทำงานทั้งเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมมนุษย์ และเพื่อปกป้องอธิปไตยทางทะเลของชาติรู้สึกเสียใจไม่น้อย"

    พลตรีสรรเสริญ กล่าวว่าแม้จะได้รับการกล่าวร้ายที่ไม่เป็นธรรมซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการที่นานาชาติจะเข้าใจประเทศไทยผิด แต่รัฐบาลไทยยังจะไม่เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติต่อผู้เคลื่อนย้ายโดยไม่ปกติเหล่านี้ โดยหากอยู่ในเขตนอกน่านน้ำไทยก็จะให้การช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม เช่นให้อาหารน้ำดื่ม หากประสงค์จะเข้าเขตน่านน้ำไทยก็ต้องเข้าสู่กระบวนการกฎหมายไทยในฐานะผู้ลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมายต่อไป

    "สุดท้ายอยากฝากให้สื่อมวลชน พิจารณานำเสนอข่าวอย่างรอบคอบ โดยใช้หลักเหตุและผล ตรึกตรอง เพื่อมิให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเหล่านี้มาบั่นทอนกำลังใจผู้ที่ตั้งใจทำงาน
    ขณะที่ ทัพเรือภาค3 เผยภาพทหารเรือไปตั้งครัวบนเรือหลวง กลางทะเล แจกจ่าย ยา อาหาร และน้ำ แก่ ชาวโรฮีนจา แถวเกาะหลีเป๊ะ สตูล
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไขปริศนา “เรือโรฮีนจา” ลอยลำจริงหรือแค่จัดฉาก!?
    โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 20 พฤษภาคม 2558 22:00 น.

    [​IMG]

    ทันทีที่เรื่องราวการอพยพย้ายถิ่นฐานของ “ชาวโรฮีนจา” ปรากฏต่อหน้าสื่อ ก็เกิดกระแสดรามาตามมามากมายผู้คนต่างจับจ้องการตัดสินใจของประเทศไทย รวมถึงความสงสัยว่อนโลกออนไลน์ว่าเป็นไปได้แค่ไหนที่ชาวโรฮีนจาจะอยู่บนเรือลำเล็กๆ ได้นานแรมเดือนโดยไม่มีผู้อยู่เบื้องหลัง!

    [​IMG]


    ปริศนาออนไลน์ที่รอวันคลี่คลาย!

    ปัญหาการอพยพย้ายถิ่นฐานของ “ชาวโรฮีนจา” กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ผู้คนให้ความสนใจ และเป็นที่พูดถึงมากที่สุดอยู่ ณ ขณะนี้ ประเทศต่างๆ ต่างจดจ้องและวิจารณ์การตัดสินใจของประเทศไทย หรือการรายงานข่าวในลักษณะดรามาท่ามกลางกระแสขับไล่ชาวโรฮีนจาให้ออกไปจากประเทศไทย และลามไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์

    เฉกเช่น กรณีกระทู้เว็บไซต์พันทิปที่ตั้งข้อครหากับชาวโรฮีนจาในหัวข้อ “เป็นไปได้เหรอครับที่ชาวโรฮีนจา อยู่บนเรือลำเล็กๆ ได้นานเป็นเดือน” โดยตั้งข้อสงสัยในแง่ของวิทยาศาสตร์ ความสามารถของเครื่องยนต์ในการเดินเรือ ความว่า

    “ขอเน้นเรื่องวิทยาศาสตร์นะครับ ไม่เน้นดรามา ดูข่าวบอกว่า เรือผู้อพยพชาวโรฮีนจาอยู่ในทะเลมาแล้วเป็นเดือน บ้างก็บอกว่า 2-3 เดือน ไม่รวมเรื่องอาหารและการอยู่อาศัยนะครับ ในแง่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ความสามารถของเครื่องยนต์ที่ต้องเดินทางไกลมากๆ ติดต่อกันหลายวัน

    ต้องเตรียมน้ำมันขนาดไหนถึงจะมีสำรองไปได้ตลอดรอดฝั่ง (จากบังกลาเทศไปอินโดฯ ก็ไกลอยู่นะ) มันเป็นไปได้เหรอครับ ไหนจะต้องฝ่าคลื่นลมคลื่นมรสุมอีก (แถมบรรทุกคนขนาดนั้น น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ) ถ้าไม่ใช่เรือใหญ่ๆ นี่จะเอาอยู่เหรอครับ หรือว่าจริงๆ แล้วมีนายทุนนำเรือลำใหญ่พามา พอใกล้ฝั่ง ก็ปล่อยให้ลงเรือลำเล็กๆ เรียกความสงสาร”

    ทันทีที่กระทู้ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียจำนวนไม่น้อยต่างออกมาแสดงความเห็นและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นนี้กันอย่างหนาหู โดยกล่าวว่า เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่พวกเขาจะอยู่ในเรือได้เป็นเดือน เพราะเรือลำนี้ไม่น่าจะทนทานต่อคลื่นแรงๆ ได้ อีกทั้งมีความสงสัยในเรื่องของความเป็นอยู่และอาหารการกินอีกด้วย

    “หลักความจริงมาพูดคุยกัน การเดินเรือในทะเล ติดต่อกัน เกิน 5 วัน สิ่งที่น่าสังเกต สำหรับเรือขนาดนี้ (ตามรูป) ไม่น่าจะทนทาน ต่อคลื่นลูกแรงๆ สูงๆ ของทะเลได้แต่ที่ผมสงสัยมากกว่าคือ น้ำดื่ม นับจำนวนคนบนเรือ น้ำดื่มเก็บไว้ไหน? การตากแดดร้อนๆ กลางทะเลทั้งวัน + หลายวัน ริมฝีปากมันต้อง แตก แห้ง ขาดน้ำ ไม่ใช่เหรอ?

    ในทะเล ฝน + ร้อน สลับกันไปมาอยู่อย่างนี้ ร่างกาย ต่อให้เป็นพวกทน อึด ทึก ก็ไม่น่าจะรับไหว 7 วันก็ป่วย ร่วงหมดลำแล้วมั้งครับ เสื้อผ้า เดินทางรอนแรม มาในทะเลตั้งนาน ทำไม สีไม่ซีด เสื้อไม่ขาด ลมในทะเล ไม่ใช่สงบนิ่ง เหมือนเดินในสวนหลังบ้าน หนาว, เย็น, ร้อน สลับกันไป เสื้อผ้าชุดเดียวคงไม่น่าพอ ผมคิดแบบ เดินทาง 8 วันในกลางทะเล โดยสภาพเรือ และความเป็นอยู่แบบที่เห็นในภาพนะครับ”

    แน่นอนมีผู้เข้ามาแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกัน ตั้งข้อสังเกตว่า เรือที่บรรทุกคนจำนวนมาก ต้องมีปัจจัยสำคัญในการเดินเรือไม่น้อย และถ้าขาดสิ่งใดส่งหนึ่งไป การเดินทางด้วยเรือจะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายเป็นอย่างมาก

    “เรือบรรทุกคนขนาดนั้นถ้าจะเดินทางได้ตามเส้นทางที่ต้องการต้องมีอะไรบ้าง 1.คนขับเรือ (ไต๋ก๋ง) 2.เครื่องนำทาง(GPS) 3.น้ำอาหาร สำหรับเพียงพอกับทุกคน 4.สิ่งของกำบังแดดและน้ำค้าง กลางทะเล 5.สภาพเรือต้องพร้อม เครื่องยนต์ต้องพร้อม และน้ำมันเชื้อเพลิงต้องพร้อม 6.ความรู้ความชำนาญของ ไต๋ก๋ง เรื่อง พายุลมแรง
    เท่าที่นึกออก ถ้าขาดสิ่งใดส่งหนึ่งไป การเดินทางด้วยเรือแบบนั้นจะเสี่ยงมาก ขนาดว่าไปตายเอาดาบหน้า นอกจากไม่ได้มาแบบที่เห็นลอยเรืออยู่ติดฝั่งแล้ว แต่ใช้การขนถ่ายลงจากเรือใหญ่เอา”

    หรือบางรายมีความคิดเห็นในเชิงที่ว่า อาจจะมีนายทุนอยู่เบื้องหลัง คอยส่งเสบียง น้ำมัน ผ่านเรือเล็กมาให้อย่างแน่นอน

    “พวกค้ามนุษย์ มีเรือเสบียงมาส่งทุกๆ 3 ชั่วโมง เรือสุขาอะไรก็มีให้หมด เพราะสินค้าในเรือต้องครบจำนวนตามที่สั่ง ไม่แปลกอะไรหรอก มันเป็นแบบนี้มา 10 กว่าปีแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจจะมาดังอะไรช่วงนี้ เรียกกระแสไปทำไมกัน”

    “เขาว่าทำกันเป็นขบวนการ โรฮีนจาไม่ได้นั่งเรือเสี่ยงภัย ความเป็นจริงมีการลำเลียงส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ พักมนุษย์เรือไว้ตามจุดต่างๆ เกาะร้างกลางทะเล หรือจุดซ่อนเร้นในประเทศใกล้เคียง รอเดินทางสู่เป้าหมายต่อไป” หรือ “แค่การจัดฉาก ของพวกรับจ้างขน”

    กระทั่งบางความเห็นมองลึกลงไป ตั้งข้อสันนิษฐานว่าใต้ท้องเรืออาจถูกสร้างขึ้นมาให้มีหลายชั้นก็เป็นได้ “ดูจากรูป ใต้ท้องเรือน่าจะมีห้องอยู่นะ เก็บเสบียงกับน้ำมันน่าจะได้ ไม่อนุญาตให้แรงงานลงไปนอกจากผู้คุม แต่ที่รู้สึกแปลกคือ น่าจะมีคนตายไปบ้างระหว่างเดินทาง หรือไม่ตายก็ต้องมีสิบกว่าคนที่ป่วยนอนซมในรูปไม่มีเลย”

    “เรื่องใต้ท้องเรือ มีรายงานว่าเรือถูกดัดแปลงให้มีหลายชั้น เพราะอย่างนั้นเป็นไปได้ว่ามีที่เก็บเสบียงแน่ แต่ในข่าวคือ ลอยลำเพราะนายหน้าหนีไปพร้อมคนขับเรือ ซึ่งหลังจากนายหน้าหนีไป เสบียงไม่เหลือแน่ และไม่อยู่รอดแบบหน้าตาดูชุ่มชื้นแบบนี้ (ในแดดอย่างนี้) แน่ๆ”

    เป็นไปได้! เรือดัดแปลงเพื่อบรรทุกคน

    จากประเด็นดังกล่าวข้างต้น ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live ได้สอบถามไปยัง กนก ขาวมาลา ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือไทย ทายาทผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์เรือไทย "ครูไพฑูรย์ ขาวมาลา"เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์เรื่องเรือของชาวโรฮีนจาจากภาพข่าวต่างๆ ที่ออกมาเขามองว่า เป็นเรือประมงน้ำลึก โดยบางลำอาจมีการดัดแปลงเพิ่มเติมเพื่อให้บรรทุกคนขึ้นเรือได้จำนวนมาก

    "ที่เห็นจากภาพข่าวบางข่าว ท้ายเรือจะมีการทำเป็นคอกกั้นเสริมขึ้นมาเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้สามารถนั่งหรือยืนได้สะดวก แต่ก็อันตรายเรื่องจุดศูนย์ถ่วง อย่างเรือของชาวโรฮีนจาที่ถูกจับได้ครั้งแรก อันนั้นเข้าใจว่าน่าจะต่อด้านท้ายเรือโดยใช้ไม้กระดาน ทำสูงขึ้นมาเป็นคอกเพื่อให้คนนั่ง นอน หรือโหนได้โดยไม่ตกน้ำ บางลำอาจมีการถอดเสากระโดงเรือออกเพื่อจะได้บรรจุคนในจำนวนเยอะๆ" ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือไทยเผย

    เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการชีวิตบนเรือที่ลอยลำอยู่กลางทะเลเป็นเวลาแรมเดือน ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือบอกว่า ถ้ารอดมาได้ถือว่าอึดสุดๆ แล้ว

    "ด้วยจำนวนคนที่เยอะมากๆ จึงไม่น่าจะมีเตาในการปรุงอาหาร เพราะลำพังที่นอน ที่ยืนก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว คงจะกินกันง่ายๆ แห้งๆ แล้วก็มีน้ำจืดดื่มบ้างพอประทังชีวิตกันไป ส่วนการอยู่อาศัยบนเรือคงจะผลัดกันยืนบ้าง นอนบ้าง เรื่องของขับถ่ายก็จะมาโหนกันตรงกราบเรือด้านท้าย จากนั้นก็ปล่อยลงทะเลไปเลย"

    นอกจากนั้น ยังบอกต่อไปว่า ด้านล่างท้องเรือ มีความลึกประมาณ 1.30-2 เมตร ปกติเป็นที่เก็บปลา แต่ถ้าลงไปอยู่อาศัยก็คงต้องอยู่อย่างลำบาก ส่วนใหญ่จะนอนกันส่วนท้ายที่เป็นเก๋งเรือ (อยู่ด้านท้ายของเรือ) มากกว่า ส่วนอื่นๆ เท่าที่เห็นจากภาพ ไม่มีเรือช่วยชีวิต เวลาจะไปไหนก็คงต้องใช้วิธีกระโดดน้ำว่ายออกไป

    "คนที่อยู่ใต้ท้องเรือคงต้องทรมานมากๆ เพราะมีทั้งกลิ่นอับ กลิ่นชื้น กลิ่นเหม็น รวมไปถึงกลิ่นของน้ำมันเครื่อง อยู่มาได้ 5-6 วันก็อึดแล้ว หากต้องอยู่กันเป็นเดือนๆ คงต้องอึดมากจริงๆ ซึ่งการจะอยู่เป็นเดือนๆ ได้คงต้องแวะพักตามเกาะเล็กๆ หรือเลาะไปตามชายฝั่งเพื่อหาน้ำและของกิน จากนั้นก็แล่นต่อไป

    แต่ส่วนตัวเข้าใจว่าพวกนี้คงจะมีคนเติมเชื้อเพลิง เติมน้ำให้บ้างเป็นระยะๆ เพราะอยู่แออัดในเรือเป็นเดือนๆ ไม่ไหวหรอกครับ" ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือเผย ก่อนจะบอกต่อไปว่า "แล้วเด็กต้องดื่มน้ำปัสสาวะของแม่ ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ถ้าจำเป็นมันก็คงต้องใช้วิธีนั้น"

    นี่คือการจัดฉากจากผู้อยู่เบื้องหลัง!?

    กัปตัน ธีระศักดิ์ อัจฉริยวิทย์กุล โรงเรียนนักเดินเรือ ก็มีความคิดเห็นเป็นไปในทางเดียวกัน คือคิดว่าการที่ชาวโรฮีนจาอาศัยอยู่บนเรือนานเป็นเดือนนั้นไม่มีความเป็นไปได้เลย และด้วยความที่ว่าคนนับร้อยที่ต้องเบียดเสียดกันอยู่บนเรือก็ไม่มีทางเป็นไปได้อีกเช่นกัน ว่าจะมีที่เพียงพอสำหรับเก็บเครื่องอุปโภคบริโภค

    “มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะครับ ที่มันลอยได้มันก็ต้องมีคนซัปพอร์ตให้อยู่แล้ว จำนวนคนที่อยู่ในเรือลำนั้นเอาง่ายๆ ที่เห็นเป็นร้อยคน 1. ก็คือจำนวนคนร้อยคนที่ไปอยู่ในนั้นเขาจะเอาอาหารที่ไหนมา 2. ตัวปัจจัยสำคัญเรื่องของน้ำจืดต้องบรรจุเยอะมาก ร้อยคนเอาง่ายๆ เต็มที่ต้องวันละ 3-5 ลิตร เรือชาวโรฮีนจาที่ใช้อยู่มันไม่ใช่เรือขนาดใหญ่มาก แค่บรรจุร้อยกว่าคน จะให้บรรจุน้ำดื่มก็ไม่พอแล้ว”

    ส่วนในเรื่องของนายทุน ที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างตั้งข้อสงสัยไว้ ว่าอาจจะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการอพยพในครั้งนี้ เขากล่าวสรุปสั้นๆ กับทางทีมข่าวว่ามีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน และไม่เชื่อว่าเรือลำนี้จะอยู่ได้เป็นเดือนๆ อาจจะเป็นการจัดฉากหรือว่ามีคนคอยซัปพอร์ตอยู่

    ต่อข้อซักถามที่ว่า ความสามารถของเครื่องยนต์ในการเดินเรือที่ต้องเดินทางไกลติดต่อกันหลายๆ วัน ต้องเตรียมน้ำมันมากขนาดไหนถึงจะพอต่อการเดินทาง และการให้คำตอบของเขาในครั้งนี้ทำให้ฉุกคิดได้ว่า เรือที่เห็นอยู่เป็นเรือขนาดเล็กจะวิ่งทางไกลได้อย่างไร เพราะถ้าหากเจอมรสุมคงเกิดอันตรายไปเสียแล้ว

    “เนื่องจากเรือของชาวโรฮีนจาที่เห็นนะครับ มันก็เป็นเรือกึ่งชายฝั่ง เพราะฉะนั้น เรื่องของอัตราการกินน้ำมัน มันไม่เยอะหรอก อย่างในอ่าวไทย ในอ่าวที่โรฮีนจาวิ่งมาจากบังกลาเทศ พม่า วัตถุประสงค์ของเขาเข้าใจน่าจะใช้ประโยชน์สำหรับลอยลำเพื่อให้เรือของทหารมันจับไปอย่างนี้มากกว่า

    แต่วัตถุประสงค์ที่วิ่งจากอ่าวไทย วิ่งจากฝั่งบังกลาเทศ หรือว่าวิ่งจากฝั่งพม่าวิ่งออกมาไกลๆ เขาไม่มีเหตุจูงใจที่ต้องวิ่งไป หรืออีกอย่างหนึ่ง เรือที่เห็นจากรูปมันจะต่ำ การวิ่งอัตราไกลที่วิ่งตรงนั้นมันอันตราย”

    ทว่า ข้อสงสัยยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่กล่าวว่าใต้ท้องเรืออาจถูกสร้างเป็นห้องขนาดใหญ่ เพื่อกักเก็บข้าวของเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต เขากล่าวว่ามีความเป็นไปได้อีกเช่นกัน และเลยยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ว่าเรือประมงที่ลักลอบขนน้ำมันเถื่อนก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน

    “เป็นไปได้ เอาง่ายๆ เวลามองที่เห็นในส่วนที่เหนือน้ำ แต่ส่วนที่จมในน้ำเราไม่รู้ว่าเยอะแค่ไหน เอาง่ายๆ เรือประมงที่ขนน้ำมันเถื่อน มันก็จะดัดแปลงข้างล่าง เวลาคนข้างนอกมองก็จะมองเป็นเรือสำหรับบรรทุกปลา แต่เอาเข้าจริงๆ ก็จะเป็นแบบที่บอก และเขาจะทำเป็นห้องหรือว่าเป็นชั้นลงไป”

    อย่างไรก็ตาม จากผลการวิเคราะห์ของผู้รอบรู้ทางด้านเรือ ทั้ง 2 ท่าน อาจจะสรุปได้ว่าเรื่องราวการอพยพของชาวโรฮีนจาทั้งหมดนี้ไม่มีความเป็นไปได้ในการชีวิตบนเรือที่ลอยลำอยู่กลางทะเลเป็นเวลาแรมเดือน และอาจจะเป็นการจัดฉากขึ้นมาก็เป็นได้ ทว่าในทางกลับกันก็ไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนเพราะยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดแต่อย่างใด

    ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
    ขอบคุณภาพประกอบ: กระทู้เว็บไซต์พันทิป“เป็นไปได้เหรอครับที่ชาวโรฮีนจา อยู่บนเรือลำเล็กๆ ได้นานเป็นเดือน”, แฟนเพจBBC Thai

    http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9580000057609
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปิดบัญชีทรัพย์สินวัดบ้านไร่ ‘พ่อคูณ’เป็นหนี้แตะ95ล้าน : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

    [​IMG]

    "การตรวจสอบทรัพย์สินหลวงพ่อคูณ และวัดบ้านไร่" กลายเป็นประเด็นหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันว่า พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทโธ) เจ้าของฉายานาม "เทพเจ้าแห่งด้านขุนทด" ว่ามีทรัพย์อะไรบ้างและมีเงินอยู่เท่าไร
    ล่าสุด พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ หรือ ดอกเตอร์มหาโกวิท เจ้าอาวาสวัดด่านใน ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เปิดเผยว่า ได้เชิญคณะสงฆ์อำเภอด่านขุนทดประชุม โดยมีพระสงฆ์มาร่วมประชุมจาก 152 วัด จำนวน 217 รูป โดยได้หารือประเด็นหลักๆ คือ
    กรณีบัญชีทรัพย์สินของหลวงพ่อคูณที่บอกว่า ยังไม่สามารถแจ้งจำนวนเงินและบัญชีได้ประกอบด้วย
    1.เงินงบประมาณของ มูลนิธิหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานมูลนิธิ โดยตำแหน่ง และมีนายอำเภอด่านขุนทด เป็นเลขาธิการมูลนิธิ นางปทุม กุลกำจร เป็นเหรัญญิก ปัจจุบันมีเงินกองทุนอยู่ประมาณ 47 ล้านบาท และคณะกรรมการมูลนิธิได้นำดอกผลมาใช้บริหารจัดการภายในวัดบ้านไร่ และบริจาคเพื่อสาธารณกุศล
    2. "เงินที่ประชาชนมาบริจาค" ให้เป็นการส่วนตัวของหลวงพ่อคูณ และ 3.เงินบริจาคในบัญชีของวัดบ้านไร่ ที่มี พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ ประธานคณะกรรมการ และคณะกรรมการวัดบ้านไร่ โดยมี "ธวัช เรืองหร่าย" เป็นเหรัญญิก บริหารจัดการอยู่ แต่ทั้ง 2 บัญชีท้าย ยังไม่ทราบจำนวนเงินที่แน่ชัดต้องรอประชุมหารือสรุปตัวเลขก่อน โดยกำหนดจัดประชุมหลังจากสวดอภิธรรมศพและบำเพ็ญกุศลให้หลวงพ่อคูณผ่านไปครบ 7 วันก่อนเพื่อจะได้ความโปร่งใสอีกครั้งหนึ่ง และจะรายงานไปตามลำดับขั้นตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัดต่อไป
    แต่มีเรื่องที่หน้าสนใจยิ่งกว่าคือ "หลวงพ่อคูณเป็นหนี้! กรรมการวัดบ้านไร่ 95,445,215.45 บาท"
    ทั้งนี้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 เวลา 10.00 น. คณะกรรมการวัดบ้านไร่ประชุม ครั้งที่ 4/2558 ณ ศาลาริมสระน้ำ วัดบ้านไร่ มีวาระการประชุมทั้งหมด 4 วาระ โดยมี พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ อดีต ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา ประธานกรรมการวัดบ้านไร่
    ในการประชุมครั้งดังกล่าวมีอยู่ 2 วาระที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือ วาระที่ 2 เรื่องรายงานความก้าวหน้าในการก่อสร้าง และการบริหารวิหารเทพวิทยาคม และ วาระที่ 3 เรื่อง รายงานบัญชีรายรับ - รายจ่ายในการก่อสร้างและการบริหารวิหารเทพวิทยาคม ในหน้าที่ 3
    เมื่อองค์ประชุมครบแล้ว พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ ได้มอบหมายให้ เกรียงไกร จารุทวี รองประธานกรรมการวัดบ้านไร่ เป็นผู้ดำเนินการประชุม โดยในระเบียบวาระที่ 3 รายงานบัญชีรายรับ-รายจ่ายในการก่อสร้างและการบริหารวิหารเทพวิทยาคม เกรียงไกร กล่าวรายงานสถานะบัญชี รายรับ-รายจ่าย ลานสุคโต การก่อสร้างและการบริหารวิหารเทพวิทยาคม ณ วันที่ 20 มีนาคม 2558 มีรายละเอียด ดังนี้
    1.รายงานบัญชีลานสุคโต
    1.1 เงินบริจาคบัญชีลานสุคโต จำนวน 3,800,000 บาท
    1.2 ดอกเบี้ยธนาคาร 2,711.43 บาท รวม 3,802,711.43 บาท
    1.3 รายจ่ายการก่อสร้าง จำนวน 3,316,565.58 บาท คงเหลือจำนวน 486,141.85 บาท
    1.4 รายจ่ายค้างจ่าย งานปั้นรูปหล่อหลวงพ่อ (ขุนสว่าง อนุศิลป์) จำนวน 400,000 บาท
    1.5 เงินสดคงเหลือในบัญชี จำนวน 486,141.85 บาท
    2.รายงานผลการดำเนินงาน และสถานะการเงิน บัญชีรายรับ-รายจ่าย วิหารเทพวิทยาคม
    2.1 ค่าก่อสร้างวิหาร จำนวน 385,537,202.49 บาท
    2.2 รายจ่ายค้างจ่ายค่าก่อสร้าง (หนี้ร้านค้า) จำนวน 5,143,171.50 บาท
    2.3 เงินฝากธนาคารและเงินสดคงเหลือ จำนวน 397,035.79 บาท
    2.4 เกรียงไกร จารุทวี สำรองจ่ายคงเหลือ จำนวน 95,445,215.45 บาท
    2.5 พระคงเหลือ ชุดทองคำถวายในหลวงจำนวน 1 ชุด
    3.งบรายรบรายจ่าย (บริหารจัดการวิหารเทพวิทยาคม) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 - 20 มีนาคม 2558
    3.1 รายได้ จำนวน 57,706,714 บาท
    3.2 เงินทำบุญ จำนวน 8,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 61,706,714 บาท
    3.3 รายจ่ายเงินเดือนพนักงานและบริหารจัดการ จำนวน 40,723,393 บาท
    3.4 ซื้อทรัพย์สิน จำนวน 4,323,012 บาท
    3.5 พัฒนาก่อสร้าง จำนวน 16,933,581 บาท
    ทั้งนี้ในท้ายรายงานของวาระที่ 3 ไม่มีคณะกรรมการคนใดสอบถามเพิ่มเติม โดยที่ประชุมมีมติรับทราบเท่านั้น
    การประชุมคณะกรรมการวัดบ้านไร่ ครั้งที่ 4/2558 เมื่อวันที่วันที่ 7 พฤษภาคม 2558 ถือว่า เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายก่อนที่หลวงพ่อคูณจะมรณภาพ โดยการประชุมเสร็จสิ้นลงเวลา 12.00 น. โดยมี "ปริญญา ญาณบุตร" เป็นผู้จดรายงานการประชุม
    เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวคณะกรรมการวัดบ้านไร่ให้ข้อมูลกับ “คม ชัด ลึก” ว่า ปัจจุบัน “วิหารเทพวิทยาคม” ผู้ดูแลผลประโยชน์ คือ เกรียงไกร จารุทวี รองประธานกรรมการวัดบ้านไร่ โดยรองประธานคนดังกล่าวเคยเป็นทนายความประจำตัวของว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคไทยรักไทย และอดีตรองประธานมูลนิธิหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่มีส่วนผลักดันให้จัดสร้าง "พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ"
    อย่างไรก็ตามตั้งแต่ “วิหารเทพวิทยาคม” สร้างแล้วเสร็จ มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เงินทำบุญถูกนำไปหักหนี้ก่อสร้างที่วัดค้างไว้จำนวน 95,445,215.45 บาท โดยในรายงานผลการดำเนินงาน และ สถานะการเงิน บัญชีรายรับ-รายจ่าย วิหารเทพวิทยาคมระบุว่า "เกรียงไกร" เป็นผู้สำรองจ่าย
    คณะกรรมการวัดบ้านไร่ ยังให้ข้อมูลกับ “คม ชัด ลึก” อีกด้วยว่า ตามกฎหมายหนี้จำนวน 95,445,215.45 บาท แม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นหนี้วัดบ้านไร่ แต่วัดบ้านไร่คือวัดหลวงพ่อคูณนั่นเอง
    เพื่อเป็นการปลดหนี้จำนวนดังกล่าว สิ่งตามมาของการหารายได้ โดยเป็นแผนที่ทุกวัดยึดปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน คือ วัดบ้านไร่อาจจะ สร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อคูณ รุ่นปลดหนี้ เพื่อนำเงินรายได้ไปใช้หนี้จำนวน 95,445,215.45 บาท
    ทรัพย์สินของวัดบ้านไร่
    "ธวัช เรืองหร่าย" อดีตไวยาวัจกร วัดบ้านไร่ ลูกศิษย์ใกล้ชิดพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เปิดเผยถึงทรัพย์สินของวัดบ้านไร่ว่า ปัจจุบันมีบัญชีเงินฝากธนาคารหลักอยู่ 3 บัญชี คือ บัญชีส่วนตัวของพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เป็นเงินมาจากการบริจาคทำบุญในตู้บริจาคภายในวัดบ้านไร่ทั้งหมด โดยหลวงพ่อคูณเป็นผู้ลงนามเบิกจ่ายเงินในบัญชีได้เพียงคนเดียวนั้น จะถูกนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำในการบริหารจัดการต่างๆ ของวัดบ้านไร่ทั้งหมด มีค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเจ้าหน้าที่พยาบาล เป็นต้น
    ส่วนที่เหลือจะถูกนำไปฝากเข้าบัญชีของหลวงพ่อคูณ โดยส่วนใหญ่เมื่อได้เงินทำบุญมา หลวงพ่อจะบริจาคให้สาธารณประโยชน์ไปเกือบทั้งหมด ล่าสุดมีเงินเหลือในบัญชีประมาณ 2-3 แสนบาท
    ส่วนบัญชีที่ 2 คือ “บัญชี 90” เป็นบัญชีเงินฝากธนาคารที่หลวงพ่อตั้งใจจะนำน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อได้ครบจำนวน 100 ล้านบาท โดยเป็นความตั้งใจสุดท้าย อันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อคูณก่อนละสังขาร โดยเงินส่วนนี้ได้มาจากการสร้างวัตถุมงคลให้เช่า กองทุนบัญชีนี้ตั้งได้ไม่นานประมาณ 2-3 ปีเท่านั้น ล่าสุดมีเงินในบัญชีประมาณ 17 ล้านบาท ผู้มีอำนาจในการเบิกจ่ายมี 3 คน คือ พล.ต.ต.มหัคฆพันธุ์ สุรคุปต์ ประธานกรรมการวัดบ้านไร่ ธวัช เรืองหร่าย ไวยาวัจกร วัดบ้านไร่ และสมบูรณ์ โสตถิอนันต์ หรือไก่โต้ง เลขานุการคณะกรรมการวัดบ้านไร่
    บัญชีที่ 3 คือ บัญชีเงินฝากธนาคารของพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ ตั้งอยู่ภายในวัดบ้านไร่ โดยรายได้จากการบริจาคในพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายจะนำเข้าบัญชีนี้ มีเงินอยู่ประมาณ 6-7 ล้านบาท ผู้ที่มีอำนาจในการลงนามเบิกจ่ายมี 3 คน คือ ธวัช เรืองหร่าย ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ ธวัฒน์ชัย แสนประสิทธิ์ กำนัน ต.กุดพิมาน และ สมบูรณ์ โสตถิอนันต์ หรือไก่โต้ง เลขานุการคณะกรรมการวัดบ้านไร่
    ส่วนบัญชีเงินฝากธนาคารได้ใช้ชื่อบัญชีมูลนิธิหลวงพ่อคูณนั้น เกรียงไกร จารุทวี ผู้บริหารกิจการวิหารเทพวิทยาคม และเป็นดูแลเงินรายได้จากวิหารเทพวิทยาคมทั้งเงินบริจาค เงินทำบุญจากบัตรเติมบุญต่างๆ
    นอกจากนั้น ยังมีบัญชีเงินฝากของมูลนิธิหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่จ.นครราชสีมาเป็นผู้ดูแล โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานมูลนิธิ และนายอำเภอด่านขุนทด เป็นเลขาธิการมูลนิธิ และนางปทุม กุลกำจร เป็นเหรัญญิก โดยมูลนิธิได้นำดอกผลมาใช้บริจาค เพื่อการสาธารณกุศล มอบทุนการศึกษา ทุนอาหารกลางวัน ให้แก่เด็กนักเรียน-นักศึกษาฐานะยากจนเป็นประจำทุกปี ปัจจุบันมีเงินกองทุนอยู่ประมาณ 47 ล้านบาท
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เผยอีก “พ่อคูณ” ไล่ “พระนุช” พ้นวัดบ้านไร่พร้อมเงิน 30 ล้าน-วัตถุมงคล 1 รถสิบล้อ ลั่นแยกแผ่นดินกันอยู่ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤษภาคม 2558 13:53 น. (แก้ไขล่าสุด 21 พฤษภาคม 2558 14:36 น.)

    [​IMG]

    @พระภาวนาประชานารถ (นุช รตนวิชโย) หรือ “พระนุช” รักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา

    ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ลูกศิษย์ใกล้ชิดรุ่นบุกเบิกเผย “หลวงพ่อคูณ” ไล่ “พระนุช” รักษาการเจ้าอาวาสออกจากวัดบ้านไร่พร้อมเงิน 30 ล้านบาท และวัตถุมงคล 1 รถสิบล้อ หลังงานฝังลูกนิมิตสร้างพระอุโบสถ 2 ชั้น พร้อมลั่นวาจา “กูกับไอ้นุชแยกแผ่นดินกันอยู่” ชี้ “หลวงพ่อคูณ” เป็นพระผู้ให้ มีเงินเท่าไหร่บริจาคหมดไม่เก็บสะสมไว้ ถามหาชุดโต๊ะมุกขนาดใหญ่วัดบ้านไร่หายไปไหน รวมทั้งค่าอนุญาตสร้างวัตถุมงคลใบละ 2 ล้านบาท เข้าวัดหรือไม่

    วันนี้ (21 พ.ค.) ลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ รุ่นบุกเบิกก่อสร้างพัฒนาวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ตนเป็นลูกศิษย์ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อคูณมาตั้งแต่สมัยยุคเริ่มแรก หลังจากหลวงพ่อย้ายจากวัดสระแก้ว อ.เมือง จ.นครราชสีมา มาอยู่ที่วัดบ้านไร่ และตนได้มารู้จักกับ “พระนุช” พระภาวนาประชานารถ (นุช รตนวิชโย) ซึ่งขณะนั้นยังไม่บวชเป็นพระ

    รวมทั้ง “กำนันป่อง” นายธวัฒน์ชัย แสนประสิทธิ์ กำนันตำบลกุดพิมาน คนปัจจุบัน ซึ่งอดีตเคยทำงานอยู่โรงงานปั๊มพระเครื่อง และเป็นคนขายลอตเตอรี่ในวัดบ้านไร่ แต่โชคดีขายลอตเตอรี่ไม่หมดจึงถูกรางวัลที่ 1 ทำให้มีเงินไปลงสมัครรับเลือกตั้งจนได้รับเลือกตั้งเป็นกำนันมาจนปัจจุบัน ส่วนพระนุช ก็เคยทำงานอยู่ในโรงงานปั๊มพระมาก่อน จึงรู้จักและสนิทสนมกันกับกำนันป่องเป็นอย่างดี

    ฉะนั้น จึงนับได้ว่าทั้งสองได้กลับมาร่วมงานกันอีกรอบ กับการช่วงชิงได้รับแต่งตั้งมาเป็นรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ทันทีในวันเดียวกับที่หลวงพ่อคูณมรณภาพ เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมาในครั้งนี้ของพระภาวนาประชานารถ หรือ “พระนุช”

    ลูกศิษย์หลวงพ่อคูณรุ่นบุกเบิกกล่าวต่อว่า ในสมัยแรกเริ่มนั้นลูกศิษย์ที่มารับใช้หลวงพ่อคูณที่วัดบ้านไร่มีไม่มากนัก เมื่อตนเข้ามาก็ทราบว่าบัญชีการรับบริจาคและเงินทำบุญของวัดทั้งหมดหลวงพ่อเป็นผู้ดูแลโดยนำเงินเข้ากองกลางวัดบ้านไร่ ต่อมาพระนุชขอแยกบัญชีรายได้จากวัตถุมงคลออกไปต่างหากและขอเป็นผู้ดูแลจัดการเองทั้งหมด ซึ่งตนเห็นว่าไม่ถูกต้องเพราะเงินทุกอย่างเป็นของหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ ต้องนำมารวมเป็นบัญชีเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงนั้นมีประชาชนเลื่อมใสศรัทธามาเช่าวัตถุมงคลเป็นจำนวนมาก มีรายได้ค่าเช่าเฉลี่ยสัปดาห์ละ 5-6 ล้านบาท

    ส่วนเงินบริจาคของหลวงพ่อ จะมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมานับเงินและฝากเข้าบัญชีที่วัดบ้านไร่แบบวันต่อวัน ช่วงนั้นจำได้ว่ามี 2 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่มีรายได้เข้าวัดบ้านไร่เป็นจำนวนมหาศาล เฉพาะเงินบริจาคทำบุญไม่ต่ำกว่าวันละหลายแสนบาทถึง 1 ล้านบาท ซึ่งนำมากองจนเต็มห้องกุฏิหลวงพ่อคูณเพื่อร่วมกันนับทุกวัน ขณะนั้นหลวงพ่อคูณจะมีเงินเข้าออกไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท

    สำหรับหลวงพ่อคูณกับพระนุชนั้น ในช่วงที่ตนเข้ามาทราบว่าพระนุชไม่พอใจและมักพูดอยู่เป็นประจำว่า หากไม่มีพระนุชก็ไม่มีหลวงพ่อคูณในวันนี้ และมักต่อว่าหลวงพ่อคูณในเรื่องต่างๆ นานา เช่นไม่พอใจที่หลวงพ่อรับเงินถวายทำบุญจากญาติโยมเพียงครึ่งเดียว และขอแยกบัญชีเช่าวัตถุมงคลมาดูแลเองต่างหาก โดยเฉพาะในช่วงการก่อสร้างพระอุโบสถและศาลาการเปรียญวัดบ้านไร่แบบ 2 ชั้น แบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ราวปี 2532 -2533 ที่มีเงินจากประชาชนมาทำบุญจำนวนมากและมีการทำวัตถุมงคลหลวงพ่อคูณมาใช้เช่าอย่างล้นหลาม จนกลายเป็นจุดแตกหัก ทำให้หลวงพ่อคูณตัดสินใจไล่พระนุชออกจากวัดบ้านไร่ หลังเสร็จสิ้นพิธีฝังลูกนิมิตสร้างพระอุโบสถวัดบ้านไร่ 2 ชั้นดังกล่าว

    ในวันนั้น หลวงพ่อคูณได้ลั่นวาจาประกาศว่า “กูกับไอ้นุชแยกแผ่นดินกันอยู่” ก่อนไล่ออกจากวัดบ้านไร่ไป พร้อมให้นำเงินที่ได้จากงานฝังลูกนิมิตทั้งหมดกว่า 30 ล้านบาท รวมทั้งให้ขนเอาวัตถุมงคลที่พระนุชจัดทำขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงนั้นไปทั้งหมดด้วย ซึ่งจำได้ว่าวัตถุมงคลดังกล่าวมีเป็นจำนวนมากถึงขั้นต้องนำรถบรรทุกสิบล้อมาขนออกไป และนับตั้งแต่นั้นมาพระนุชก็ไม่เคยได้กลับเข้ามาที่วัดบ้านไร่อีกเลย ทราบข่าวเพียงว่าพระนุชไปใช้เงินที่ได้จากหลวงพ่อคูณอยู่ประมาณ 3-4 ปี ก่อนไปบวชอยู่ที่วัดบ้านเกิดใน อ.คง จ.นครราชสีมา

    จากนั้นตนก็ไม่ทราบข่าวอีก กระทั่งมาทราบอีกครั้งเมื่อเป็นข่าวทางสื่อมวลชนว่าเป็นเจ้าอาวาสสร้าง “โถส้วมทองคำ” ที่วัดหนองบัวทุ่ง ต.ตาจั่น อ.คง จ.นครราชสีมา และมาอยู่ประจำที่วิหารหลวงปู่โต หรือมูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ มูลนิธิหลวงพ่อโต ที่รู้จักกันในนาม “วัดสรพงศ์ ชาตรี” อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ประมาณ 3 ปี ก่อนได้เข้ามารักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ทันทีในวันที่หลวงพ่อคูณมรณภาพ

    “ลักษณะนิสัยส่วนตัวพระนุช เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นพระมือเติบ ใช้เงินซื้อได้ทุกอย่าง จึงเป็นผู้ที่เข้าถึงพระผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี” ลูกศิษย์คนเดิมกล่าว

    ลูกศิษย์คนเดิมกล่าวอีกว่า หลังจากพระนุชออกจากวัดบ้านไร่ไปบัญชีวัดบ้านไร่ ทุกอย่างก็มารวมอยู่ที่เดียว และหลวงพ่อคูณมีอำนาจในการเบิกจ่ายคนเดียว ในช่วงนั้นได้มีการตั้งกองทุน มูลนิธิ และนำเงินไปช่วยเหลือสาธารณประโยชน์หลายอย่าง ซึ่งเมื่อมีเงินมากพอหลวงพ่อก็มักบริจาคทำบุญ สร้างสาธารณประโยชน์โดยตลอดโดยไม่เก็บสะสมไว้เป็นจำนวนมาก แม้แต่ไม่มีเงินก็ยังบริจาค ทั้งการก่อสร้างโรงเรียน วิทยาลัย โรงพยาบาล รั้วโรงเรียน สถานที่ราชการ และแหล่งน้ำ รวมแล้วตามข้อมูลที่บันทึกวันในหนังสือรวบรวมประวัติหลวงพ่อคูณ ในโอกาสอายุปี 77 ปี 4 ต.ค. 2543 เป็นเงินกว่า 4,000 ล้านบาท

    อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อคูณท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบงานไม้มาก มีผู้มาถวายโต๊ะ เก้าอี้ ไม้ ให้หลวงพ่อที่วัดบ้านไร่เป็นจำนวนมาก รวมชุดโต๊ะมุกขนาดใหญ่ แต่ขณะนี้ไม่เห็นโต๊ะมุกชุดนั้นอยู่ในวัดบ้านไร่เลย ไม่ทราบว่าหายไปไหน ทราบเพียงว่าไปอยู่บ้านเศรษฐีคนหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ซึ่งอยากให้มีการติดตามกลับมาเป็นทรัพย์สินของวัดบ้านไร่ด้วย

    “นอกจากนี้ ในช่วงบั้นปลายชีวิตของหลวงพ่อคูณนั้น ตนทราบว่าผู้ที่จะทำการสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อคูณต้องขอใบอนุญาตจากทางวัดบ้านไร่ และต้องจ่ายเงินสูงถึงใบละ 2 ล้านบาท อยากถามว่าเงินส่วนนี้เข้าวัดบ้านไร่หรือไม่และหายไปไหน เพราะมีการมาขอใบอนุญาตกันจำนวนมาก” ลูกศิษย์คนเดิมกล่าวในตอนท้าย

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ASTV Manager Fan Club

    [​IMG]

    หอบ30ล้านเผ่น ศิษย์แฉเบื้องลึก"พ่อคูณ"ไล่"พระนุช" เตรียมตรวจทรัพย์สิน25พ.ค.นี้ ... ลูกศิษย์ใกล้ชิดแฉ "พระนุช" ถูก "หลวงพ่อคูณ" ไล่ออกออกจากวัดบ้านไร่ พร้อมเงิน 30 ล้าน วัตถุมงคล 1 คันรถสิบล้อ เผยลั่นวาจา "กูกับไอ้นุชแยกแผ่นดินกันอยู่" ด้าน "พระราชสีมาภรณ์"เผยคณะกรรมการเตรียมตรวจสอบทรัพย์สินหลวงพ่อคูณ วันที่ 25 พ.ค.นี้ เผยเบื้องต้นพบบัญชีเงินฝากหลายสิบล้าน เงินกองทุน มูลนิธิอีกกว่า 200 ล้าน มข.จัดทำอ่างดองสรีระสังขารแบบเรียบง่าย แต่สมเกียรติ ย้ำดองร่าง 1 ปี เป็นอาจารย์ใหญ่ 2 ปี ก่อนจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพในปี 61 ... (22/5/58) ... http://astv.mobi/Ax5XB6Y
    หอบ30ล้านเผ่น ศิษย์แฉเบื้องลึก"พ่อคูณ"ไล่"พระนุช" เตรียมตรวจทรัพย์สิน25พ.ค.นี้ โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 21 พฤษภาคม 2558 23:42 น.
    ศูนย์ข่าวภาคอีสาน-ลูกศิษย์ใกล้ชิดแฉ "พระนุช" ถูก "หลวงพ่อคูณ" ไล่ออกออกจากวัดบ้านไร่ พร้อมเงิน 30 ล้าน วัตถุมงคล 1 คันรถสิบล้อ เผยลั่นวาจา "กูกับไอ้นุชแยกแผ่นดินกันอยู่" ด้าน "พระราชสีมาภรณ์"เผยคณะกรรมการเตรียมตรวจสอบทรัพย์สินหลวงพ่อคูณ วันที่ 25 พ.ค.นี้ เผยเบื้องต้นพบบัญชีเงินฝากหลายสิบล้าน เงินกองทุน มูลนิธิอีกกว่า 200 ล้าน มข.จัดทำอ่างดองสรีระสังขารแบบเรียบง่าย แต่สมเกียรติ ย้ำดองร่าง 1 ปี เป็นอาจารย์ใหญ่ 2 ปี ก่อนจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพในปี 61
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (21 พ.ค.) ลูกศิษย์ใกล้ชิดพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) รุ่นบุกเบิกที่ร่วมก่อสร้างพัฒนาวัดบ้านไร่ เปิดเผยว่า ตนเป็นลูกศิษย์ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อคูณ มาตั้งแต่สมัยยุคเริ่มแรก หลังจากหลวงพ่อย้ายจากวัดสระแก้ว อ.เมือง จ.นครราชสีมา มาอยู่ที่วัดบ้านไร่ และตนได้มารู้จักกับพระนุช หรือพระภาวนาประชานารถ (นุช รตนวิชโย) ซึ่งขณะนั้นยังไม่บวชเป็นพระ รวมทั้งกำนันป่อง หรือนายธวัฒน์ชัย แสนประสิทธิ์ กำนันตำบลพิพาน คนปัจจุบัน ซึ่งอดีตเคยทำงานอยู่โรงงานปั๊มพระเครื่อง และเป็นคนขายล็อตเตอรี่ในวัดบ้านไร่ แต่โชคดีขายล็อตเตอรี่ไม่หมดจึงถูกรางวัลที่ 1 ทำให้มีเงินไปลงสมัครรับเลือกตั้งจนได้รับเลือกตั้งเป็นกำนันมาจนปัจจุบัน ส่วนพระนุช ก็เคยทำงานอยู่ในโรงงานปั้มพระมาก่อน จึงรู้จักและสนิทสนมกันกับกำนันป่อง เป็นอย่างดี จึงนับได้ว่าทั้งสองได้กลับมาร่วมงานกันอีกรอบกับการช่วงชิงได้รับแต่งตั้งมาเป็นรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ทันที ในวันเดียวกับที่หลวงพ่อคูณ มรณภาพเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา
    ในสมัยแรกเริ่มนั้น ลูกศิษย์ที่มารับใช้หลวงพ่อคูณที่วัดบ้านไร่มีไม่มากนัก เมื่อตนเข้ามาก็ทราบว่า บัญชีการรับบริจาคและเงินทำบุญของวัดทั้งหมดหลวงพ่อเป็นผู้ดูแลโดยนำเงินเข้ากองกลางวัดบ้านไร่ ต่อมาพระนุช ขอแยกบัญชีรายได้จากวัตถุมงคลออกไปต่างหากและขอเป็นผู้ดูแลจัดการเองทั้งหมด ซึ่งตนเห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะเงินทุกอย่างเป็นของหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ ต้องนำมารวมเป็นบัญชีเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงนั้นมีประชาชนเลื่อมใสศรัทธามาเช่าวัตถุมงคลเป็นจำนวนมาก มีรายได้ค่าเช่าเฉลี่ยสัปดาห์ละ 5-6 ล้านบาท
    ส่วนเงินบริจาคของหลวงพ่อ จะมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมานับเงินและฝากเข้าบัญชีที่วัดบ้านไร่แบบวันต่อวัน ช่วงนั้นจำได้ว่ามี 2 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่มีรายได้เข้าวัดบ้านไร่เป็นจำนวนมหาศาล เฉพาะเงินบริจาคทำบุญไม่ต่ำกว่าวันละหลายแสนบาทถึง 1 ล้านบาท ซึ่งนำมากองจนเต็มห้องกุฏิหลวงพ่อคูณเพื่อร่วมกันนับทุกวัน ขณะนั้นหลวงพ่อคูณจะมีเงินเข้าออกไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท
    **ไล่พ้นวัดพร้อมเงิน30ล้าน-วัตถุมงคล1สิบล้อ
    สำหรับหลวงพ่อคูณ กับพระนุช ในช่วงที่ตนเข้ามา ทราบว่า พระนุชไม่พอใจและมักพูดอยู่เป็นประจำว่า หากไม่มีพระนุชก็ไม่มีหลวงพ่อคูณในวันนี้ และมักต่อว่าหลวงพ่อคูณในเรื่องต่างๆ นานา เช่น ไม่พอใจที่หลวงพ่อรับเงินถวายทำบุญจากญาติโยมเพียงครึ่งเดียว และขอแยกบัญชีเช่าวัตถุมงคลมาดูแลเองต่างหาก โดยเฉพาะในช่วงการก่อสร้างอุโบสถและศาลาการเปรียญวัดบ้านไร่แบบ 2 ชั้น แบบคอนกรีตเสริมเหล็กราวปี 2532-2533 ที่มีเงินจากประชาชนมาทำบุญจำนวนมากและมีการทำวัตถุมงคลหลวงพ่อคูณมาใช้เช่าอย่างล้นหลาม จนกลายเป็นจุดแตกหัก ทำให้หลวงพ่อคูณ ตัดสินใจไล่พระนุช ออกจากวัดบ้านไร่ หลังเสร็จสิ้นพิธีฝังลูกนิมิตสร้างอุโบสถวัดบ้านไร่ 2 ชั้นดังกล่าว
    ในวันนั้นหลวงพ่อคูณ ได้ลั่นวาจาประกาศว่า "กูกับไอ้นุชแยกแผ่นดินกันอยู่" ก่อนไล่ออกจากวัดบ้านไร่ไป พร้อมให้นำเงินที่ได้จากงานฝั่งลูกนิมิตทั้งหมดกว่า 30 ล้านบาท รวมทั้งให้ขนเอาวัตถุมงคลที่พระนุช จัดทำขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงนั้นไปทั้งหมดด้วย ซึ่งจำได้ว่าวัตถุมงคลดังกล่าวมีเป็นจำนวนมากถึงขั้นต้องนำรถบรรทุกสิบล้อมาขนออกไปและนับตั้งแต่นั้นมาพระนุช ก็ไม่เคยได้กลับเข้ามาที่วัดบ้านไร่อีกเลย ทราบข่าวเพียงว่า พระนุช ไปใช้เงินที่ได้จากหลวงพ่อคูณ อยู่ประมาณ 3-4 ปีก่อนไปบวชอยู่ที่วัดบ้านเกิดใน อ.คง จ.นครราชสีมา
    จากนั้น ตนก็ไม่ทราบข่าวอีกกระทั่งมาทราบอีกครั้งเมื่อเป็นข่าวทางสื่อมวลชนว่าเป็นเจ้าอาวาสสร้าง "โถส้วมทองคำ" ที่วัดหนองบัวทุ่ง ต.ตาจั่น อ.คง จ.นครราชสีมา และมาอยู่ประจำที่วิหารหลวงปู่โต หรือมูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ มูลนิธิหลวงพ่อโต ที่รู้จักกันในนาม "วัดสรพงศ์ ชาตรี" อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ประมาณ 3 ปีก่อนได้เข้ามารักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ทันที ในวันที่หลวงพ่อคูณมรณภาพ
    **"พ่อคูณ"เป็นพระผู้ให้มีเงินเท่าไรบริจาคหมด
    ลูกศิษย์คนเดิม กล่าวอีกว่า หลังจากพระนุช ออกจากวัดบ้านไร่ไปบัญชีวัดบ้านไร่ ทุกอย่างก็มารวมอยู่ที่เดียวและหลวงพ่อคูณ มีอำนาจในการเบิกจ่ายคนเดียว ในช่วงนั้นได้มีการตั้งกองทุน มูลนิธิและนำเงินไปช่วยเหลือสาธารณประโยชน์หลายอย่าง ซึ่งเมื่อมีเงินมากพอหลวงพ่อ ก็มักบริจาคทำบุญ สร้างสาธารณประโยชน์โดยตลอด ไม่เก็บสะสมไว้ แม้แต่ไม่มีเงินก็ยังบริจาคทั้งการก่อสร้างโรงเรียน วิทยาลัย โรงพยาบาล รั้วโรงเรียน สถานที่ราชการ และแหล่งน้ำ รวมแล้วตามข้อมูลที่บันทึกวันในหนังสือรวมรวมประวัติหลวงพ่อคูณในโอกาสอายุปี 77 ปี 4 ต.ค.2543 เป็นเงินกว่า 4,000 ล้านบาท
    อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อคูณ ท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบงานไม้มาก มีผู้มาบริจาคโต๊ะ เก้าอี้ ไม้ ให้กับหลวงพ่อที่วัดบ้านไร่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งชุดโต๊ะมุกขนาดใหญ่ด้วย แต่ขณะนี้ไม่เห็นโต๊ะมุกชุดนั้นอยู่ในวัดบ้านไร่เลยไม่ทราบว่าหายไปไหน ทราบเพียงว่าไปอยู่บ้านเศรษฐีคนหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ซึ่งอยากให้มีการติดตามกลับมาเป็นทรัพย์สินของวัดบ้านไร่
    นอกจากนี้ ในช่วงบั้นปลายชีวิตของหลวงพ่อคูณ ตนทราบว่าผู้ที่จะทำการสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อคูณ ต้องขอใบอนุญาตจากทางวัดบ้านไร่ และต้องจ่ายเงินสูงถึงใบละ 2 ล้านบาท อยากถามว่าเงินส่วนนี้เข้าวัดบ้านไร่หรือไม่ และหายไปไหน เพราะมีการมาขอใบอนุญาตกันจำนวนมาก
    ***ตั้งกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน
    วันเดียวกันนี้ พระราชสีมาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ของหลวงพ่อคูณ และวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ซึ่งแต่งตั้งโดยพระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึงความคืบหน้าของการดำเนินการตรวจสอบว่า ตนได้หารือกับคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องแล้ว และตกลงกันว่าคณะกรรมการทั้งหมดจะเดินทางไปที่วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดในวันจันทร์ที่ 25 พ.ค.นี้ โดยทางคณะกรรมการได้ส่งหนังสือแจ้งไปผู้ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีทรัพย์สินต่างๆ ให้เตรียมเอกสารหลักฐานไว้ชี้แจงกับคณะกรรมการแล้ว
    ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องเบื้องต้นทราบว่า ทรัพย์สินของวัดบ้านไร่มีบัญชีเงินฝากธนาคารอย่างน้อย 5 บัญชี มียอดเงินรวมกันจำนวนหลายสิบล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 วัน ในการตรวจสอบทรัพย์สินของหลวงพ่อคูณ และวัดบ้านไร่
    นายธวัช เรืองหร่าย รักษาการไวยาวัจกรวัดบ้านไร่และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการวัดบ้านไร่ และเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจลงนามเบิกเงินของวัดบ้านไร่หลายบัญชี กล่าวว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวัดบ้านไร่และหลวงพ่อคูณ เป็นเรื่องที่ดี ตนและกรรมการวัดบ้านไร่ พร้อมชี้แจงบัญชีทรัพย์สินในส่วนที่ตนรับผิดชอบทั้งหมดในวันที่ 25 พ.ค.นี้ ส่วนเรื่องข่าวมีการตั้งกรรมการวัดบ้านไร่ชุดใหม่แล้วนั้น ตนยังไม่ทราบเรื่องนี้และไม่รู้รายละเอียดตรงนั้น
    **พบทรัพย์สินในนามกองทุน-มูลนิธิ200ล้าน
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับทรัพย์สินวัดบ้านไร่และหลวงพ่อคูณ ในส่วนที่มีการดำเนินการจัดตั้งเป็นกองทุนและมูลนิธิต่างๆ นั้น เบื้องต้นจากข้อมูลในหนังสือรวบรวมประวัติ ศาสนกิจ และการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ "หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ" ที่ศิษยานุศิษย์ ได้จัดทำขึ้นในโอกาสครบรอบวันเกิด 77 ปี จัดพิมพ์เมื่อเดือนต.ค.2543 พบว่า หลวงพ่อคูณ มีเมตตาจัดตั้งกองทุนและมูลนิธิขึ้นเป็นจำนวนมาก และดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือทุกด้าน ทั้งการศึกษา สาธารณสุข ศาสนา สังคมและชุมชน รวมทั้งนักเรียนที่ยากจนทั่วไป จำนวน 9 กองทุน มูลนิธิ รวมเงินในบัญชี ร่วม 200 ล้านบาท
    **มติ มข.ช่วงดองร่างงดให้ประชาชนสักการะ
    ด้านบรรยากาศในงานสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศลหลวงพ่อคูณ เมื่อคืนวันที่ 21 พ.ค. ที่ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ได้มีญาติโยม ศิษยานุศิษย์เข้าร่วมรับฟังสวดพระอภิธรรมหลายหมื่นคนจนล้นออกมานอกตัวอาคารศูนย์ประชุม แม้ทางคณะกรรมการจัดงานจะเปิดที่นั่งบริเวณชั้น 2 ภายในศูนย์ประชุมให้ประชาชนขึ้นไปนั่งเพิ่มก็ยังรองรับได้ไม่หมด
    ต่อมาช่วงบ่ายที่ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษกฯ รศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมด้วย รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มข.ได้ร่วมแถลงข่าวถึงคืบหน้าอ่างดองสแตนเลสครอบแก้วเพื่อดองสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ภาพรวมการจัดงานและการเตรียมรับมือ 3 วันสุดท้ายก่อนเคลื่อนสรีระส่งคณะแพทยศาสตร์ มข.
    รศ.นพ.ชาญชัย กล่าวว่า หลังจากได้เผยแพร่การทำอ่างดองสรีระหลวงพ่อคูณ ซึ่งเป็นอ่าง 2 ชั้น ชั้นภายในเป็นอ่างสแตนเลส และชั้นนอกครอบด้วยแก้วกลับมีเสียงสะท้อนว่าการสร้างอ่างดองดังกล่าวอลังการเกินไป ไม่ตรงแนวคิดของหลวงพ่อคูณ ที่ประสงค์ให้จัดงานแบบเรียบง่าย ทำให้คณะแพทยศาสตร์พิจารณารูปแบบที่ญาติโยมเสนอโดยจัดสร้างอ่างดองสรีระสังขารให้เรียบง่ายและสมเกียรติ โดยภายในตัวอ่างดองสแตนเลส ไม่มีลวดลาย ส่วนแก้วครอบโลงสแตนเลสจะมีลวดลายบ้างเล็กน้อย คาดว่าอ่างสแตนเลสจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 23 พ.ค.นี้ ส่วนแก้วครอบคาดแล้วเสร็จประมาณ 2 สัปดาห์
    ส่วนการบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ จะดำเนินไปจนถึงวันที่ 24 พ.ค. ก่อนจะเคลื่อนย้ายสรีระหลวงพ่อคูณไปยังคณะแพทยศาสตร์ เพื่อดองร่างไว้ 1 ปี ที่ห้องพิพิธภัณฑ์ใหญ่ชั้น 7 อาคารเรียนรวมคณะแพทยศาสตร์ โดยจะให้นักศึกษาทำการศึกษาต่ออีก 2 ปี ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงมีมติให้ภายในช่วงระหว่าง 3 ปีดังกล่าว งดหรือมีแนวโน้มไม่ให้กราบไหว้สรีระสังขาร หรือร่างหลวงพ่อ ระหว่างที่มีการดอง หรือระหว่างที่เป็นอาจารย์ใหญ่
    "เฉพาะในช่วงปีแรกระหว่างดองร่างของหลวงพ่อคูณ จะไม่เปิดให้ประชาชนเข้าไปสักการบูชา เพื่อให้เป็นไปตามเจตนาและพินัยกรรมของหลวงพ่อคูณ จนกว่าจะนำร่างของท่านมาประกอบพิธีทางศาสนาประมาณเดือนมิ.ย.2561 ที่ลูกศิษย์ท่านจะได้ร่วมพิธีฌาปนกิจ จากนั้นจะนำเถ้ากระดูกหรือทุกส่วนของท่านไปลอยอังคารแม่น้ำโขงที่จังหวัดหนองคายตามพินัยกรรมทุกอย่าง"
    **เตรียมรับมือมหาชนช่วงงาน3วันสุดท้าย
    รศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตนะศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า เหตุที่ มข.ต้องดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวเพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาได้ว่าไม่ทำตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ โดยเห็นใจลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่อยู่ทั่วประเทศและโดยเฉพาะที่วัดบ้านไร่ ในช่วงบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารหลวงพ่อไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ค.นี้ อยากให้ทุกคนเดินทางมากราบหลวงพ่อได้ที่มหาวิทยาลัย
    "ขณะนี้มีประชาชนทั่วประเทศเดินทางมาร่วมงานตลอดทั้งวันและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วง 3 วันสุดท้ายนี้จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก การจัดการจราจร ซึ่งได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลเรื่องจราจร ที่จอดรถ และการตรวจตรามิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาก่อเหตุ รวมทั้งกลุ่มคนที่มาแสวงหาผลประโยชน์จำหน่ายจ่ายแจกวัตถุมงคล ภายในบริเวณงาน"
    สำหรับการเตรียมการเพื่ออำนวยความสะดวกในช่วง 3 วันสุดท้าย ตั้งแต่วันที่ 22-24 พ.ค.2558 สำนักงานขนส่งจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับจังหวัดขอนแก่น ให้บริการรถเมล์รับ-ส่ง ผู้เดินทางไปสักการะสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ฟรีในช่วงเวลา 10.00 น.-20.00 น.ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 21 พ.ค.ไปถึงวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ค.นี้ โดยแบ่งเป็น 2 เส้นทางคือสายแรกเริ่มจากร้านขายยามหาวิทยาลัยขอนแก่น ถึงวัดป่าอดุลยาราม สายที่สองเริ่มจากประตูศรีฐานถึงลานจอดรถอุทยานการเกษตร โดยจะมีป้ายสีขาวข้อความสีดำติดไว้ข้างรถ รับ-ส่งฟรี สักการะสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
    ส่วนพิธีการบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารวัดสุดท้ายอาทิตย์ที่ 24 พ.ค. ได้ข้อสรุปว่า พิธีทางสงฆ์จะเริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 น.การถวายภัตราหารเพล การเทศน์นาธรรม การถวายผ้าบังสุกุล 93 ไตร จากนั้นให้ประชาชนวางดอกไม้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณ 15.00-16.00 น.แล้ว จึงจะเคลื่อนสรีระสังขารหลวงพ่อคูณไปยังภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มข. เพื่อประกอบพิธีมอบร่างอาจารย์ใหญ่
    โดยได้ประสานการจัดระบบจราจรไปเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ใช้เส้นทางออกจากศูนย์ประชุมเลี้ยวซ้ายเข้าถนนกัลปพฤกษ์ ตรงไปถึงแยกเลี้ยวมุ่งไปถนนมิตรภาพ เลี้ยวซ้ายผ่านศูนย์หัวใจสิริกิติ์ มุ่งเข้าประตูโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ซึ่งคณะแพทย์ได้เตรียมสถานที่ไว้ คาดวาตลอดสองข้างทางและภายในบริเวณโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จะมีประชาชนมาคอยสักการะสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ทั้งสองข้างทางจำนวนมาก
    **แก๊งมิจฉาชีพอาละวาดล้วงกระเป๋า
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลา 10.00 น.วานนี้ ที่กองอำนวยการรักษาความปลอดภัย มข.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุประชาชนถูกล้วงกระเป๋าภายในงานบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ โดย ร.ต.ท.ขจรยศ นานอก พนักงานสืบสวนสอบสวน สภ.ย่อยมหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำหน้าที่ลงบันทึกประจำวัน หลังจากนางสุวลีพร ทาทัน อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 370/172 ม.21 ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น ที่ได้เดินทางมากราบสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ กับญาติ และถูกแก๊งมิจฉาชีพล้วงกระเป๋าเงินไปในช่วงจังหวะที่ชุลมุนเนื่องจากมีคนเบียดเสียดกันต่อแถวเข้ากราบสรีระสังขารหลวงพ่อคูณกันเป็นจำนวนมาก
    ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฝากเตือนประชาชนให้รักษาของมีค่าและระวังมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามา หลังพบว่ามีประชาชนมาแจ้งเหตุลักษณะเดียวกันนี้แล้วไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ราย
    ขณะเดียวกันภายในบริเวณงานบำเพ็ญกุศลหลวงพ่อคูณ ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มีการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.ย่อยต่างๆ ใน จ.ขอนแก่น และตำรวจภาค 4 เพิ่มขึ้นรวมเป็นทั้งหมด 400 นายจากเดิมวางกำลังไว้ 150 นาย โดยมี พ.ต.อ.สุภากร คำสิงห์นอก รอง ผบก.ภ.4 รับผิดชอบกำกับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยโดยรอบพื้นที่จัดงาน
    **โปสการ์ดหลวงพ่อคูณแจกหมดแล้วแสนใบ
    รศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้สัมภาษณ์หลังมีการแจกโปสการ์ดหลวงพ่อคูณ เพื่อเป็นที่ระลึกภายในงานจำนวน 100,000 ฉบับว่า ขณะนี้ได้แจกหมดแล้ว และตอนนี้ได้ประสานไปยังฝ่ายกองสื่อสารองค์กร มข.เพื่อให้เร่งผลิตโปสการ์ดดังกล่าวเพิ่มเติมอีก 100,000 ฉบับเพื่อกระจายแจกจ่ายให้แก่ญาติโยมที่มาร่วมงานอย่างทั่วถึง และยังได้เตรียมการผลิตหนังสือพิเศษที่บอกเล่าประวัติหลวงพ่อคูณ จำนวน 50,000 เล่มเพื่อเป็นที่ระลึกแจกจ่ายภายในงานบำเพ็ญกุศลวันสุดท้ายในวันที่ 24 พ.ค.58 นี้ด้วย
    **ชาวโคราชแห่จองรถฟรีร่วมงาน"พ่อคูณ"
    ส่วนที่บริเวณลานสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา มีพุทธศาสนิกชน ประชาชน ศิษยานุศิษย์ที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อคูณ ยังคงแต่งกายด้วยชุดขาวดำทยอยเดินทางมาขึ้นรถโดยสารปรับอากาศ ที่ทางจังหวัดนครราชสีมาจัด เตรียมไว้ให้บริการฟรีเพื่อเดินทางไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารของหลวงพ่อคูณ ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นจำนวนมาก จนเต็มทุกที่นั่ง
    โดยทางจังหวัดนครราชสีมาได้จัดรถโดยสารมาคอยบริการรับส่ง วันละ 5 คัน รองรับศิษยานุศิษย์ญาติโยมได้กว่า 200 คนซึ่งให้บริการฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งขาไปและกลับและมีการจัดรถโดยสารไว้บริการทุกวันไปจนถึงวันที่ 24 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันสุดในการสวดอภิธรรมบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ล่าสุดพบว่าได้มีประชาชนมาลงชื่อจองการเดินทางเต็มทุกที่นั่งไปจนถึงวันที่ 24 พ.ค.แล้ว
    http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx…
    ASTVผู้จัดการรายวันฉบับPDF -> http://digitalpdf.manager.co.th/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2015
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อนุ กมธ.ไฟฟ้ายันพลังงานล้นไม่หมดตามที่อ้าง ชงรื้อสัญญาโรงไฟฟ้ายุค “ยิ่งลักษณ์” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤษภาคม 2558 14:59 น. (แก้ไขล่าสุด 21 พฤษภาคม 2558 16:17 น.)

    อนุ กมธ.กิจการไฟฟ้า เตรียมระดมความเห็นถกแผนพัฒนาผลิตไฟฟ้า ชี้อ้างพลังงานหมดทั้งที่ล้นเกินบริโภค ทำประชาชนแบกภาระ คาดปี 65-67 มีปริมาณไฟฟ้าสำรองสูงถึง 45-47% แฉเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ยุค “ยิ่งลักษณ์” เตรียมเสนอแก้ไข เหตุนำเข้าแอลเอ็นจีต้นทุนแพงแต่กลับไม่ระบุตัวเลข

    นายชาลี เจริญสุข โฆษกอนุกรรมาธิการ นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ และนายดุสิต เครืองาม อนุกรรมาธิการปฏิรูปกิจการไฟฟ้าในคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลงว่า อนุกรรมาธิการฯ จะมีการเปิดรับฟังความเห็นประชาชนเกี่ยวกับแผนพัฒนาผลิตไฟฟ้าประเทศไทย 2015-2036 หรือ PDP ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรกองทัพบก เนื่องจากแผนของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่ได้ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าช่วงปี 2558-2579 หรือ 21 ปี แต่ยังไม่เป็นที่ทราบเป็นการทั่วไป หรืออาจจะมีบางเรื่องที่ควรจะมีการปรับปรุง เพิ่มเติม จึงกำหนดให้มีเวทีสัมมนาเพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ผู้ลงทุน ผู้ใช้ไฟฟ้า ทุกภาคส่วนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ โดย สปช.จะรวบรวมข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะและปัญหาต่างๆ บรรจุลงในข้อเสนอการปฏิรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศไทยเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป

    นายหาญณรงค์กล่าวว่า เนื้อหาการสัมมนาจะครอบคลุมปัญหาการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ปัญหาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเชื้อเพลิงต่างๆ ปัญหากำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่ล้นมากเกินไปจะทำอย่างไร การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสามารถรองรับการเติบโตของพลังงานหมุนเวียน การเปิดการผลิตซื้อขายไฟฟ้าเสรีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และความโปร่งใสและการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพของเงินในกองทุนพัฒนาไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากโรงไฟฟ้า ในส่วน สปช.เห็นว่าแผนไฟฟ้าอาจต้องกำหนดใหม่ให้ละเอียดว่า การพยากรณ์การใช้พลังงานน่าจะมีข้อเสนอแนะที่ให้ข้อมูลครบถ้วน เพราะการรับฟังความเห็นของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติยังไม่เพียงพอ

    “อย่างการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในช่วง 21 ปี ที่กำหนดว่าปริมาณสูงว่าตรงหรือไม่ ใช้หลักอะไร เพราะใช้แต่หลักการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเท่านั้น คิดว่าพยากรณ์เกินความจริง เพราะไฟฟ้าสำรองมีถึง 30% ทั้งที่ไม่ควรเกิน 15% ปี 65-67 มากกว่า 45-47% ซึ่งเกิดจากสัญญาที่เคยเซ็นไว้แล้วและประกาศรับซื้อไฟฟ้าบางประเภทไว้แล้ว ถ้าไฟฟ้าสำรองมากขึ้นผู้บริโภคจะเป็นผู้รับภาระ จึงต้องพิจารณาว่าจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไรได้บ้าง”

    นายดุสิตกล่าวถึงประเด็นการสร้างโรงไฟฟ้าที่มีการทำสัญญาไปแล้วว่า ผูกพันประเทศไทยทั้งภาครัฐและผู้ลงทุนรวมทั้งประชาชนที่ใช้ไฟฟ้า เช่น ปริมาณสำรองที่จะมีเหลือล้นเกินความจำเป็นในอีก 5 ปีข้างหน้าอาจขึ้นถึง 40% ต้องแก้ไข ส่วนการทำสัญญาโรงไฟฟ้า IPP ตั้งแต่ปี 55-56 ที่คาดว่าจีดีพีจะมีค่าเฉลี่ยประมาณ 4.4-4.5% แต่ในปัจจุบันสภาพัฒน์ฯแจ้งค่าเฉลี่ยลดลงเหลือแค่ 3% กว่า ทำให้มีไฟฟ้าเหลือเกินความจำเป็น

    ทั้งนี้ เห็นว่าการเซ็นสัญญาของรัฐต้องมีหมายเหตุ เช่น รัฐสามารถชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าได้ตามการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในสัญญาเดิมไม่มีเรื่องเหล่านี้ ในการปฏิรูปจะดูว่าทำอย่างไรไม่ให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นเพราะมีผลทางนิติกรรมไปแล้ว เช่น การนำเอาแอลเอ็นจีเข้ามายังไม่ทราบต้นทุนและสัดส่วนปริมาณก๊าซเหลวมากกว่าที่ใช้อยู่ โดยไม่พบตัวเลขว่าเป็นจำนวนเท่าใดนอกจากทราบว่าจะแพงกว่าในปัจจุบันแน่นอน

    “ในเรื่องข้อมูลการวางแผนผลิตสำรองมีส่วนเกินจะแก้ไขสัญญาได้หรือไม่ ทำอย่างไรไม่ให้รัฐเสียค่าปรับใช้ไฟฟ้าส่วนเกินให้เป็นประโยชน์ การตีกรอบโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใน 20 ปีข้างหน้า 15-20% ทำไมจึงไม่ขึ้นเป็น 40-50% เหมือนต่างประเทศ รวมทั้งการปฏิรูปกิจการไฟฟ้าต้องปรับโครงสร้างอะไรหรือไม่การไฟฟ้าควรจะต้องไปอยู่กับกระทรวงพลังงานหรือไม่”

    ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขณะที่ สปช.ระบุว่าไฟฟ้าสำรองจะมีปริมาณเกินความจำเป็นถึงกว่า 40% ในอนาคตแต่กระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าโฆษณาตลอดว่าไฟฟ้ากำลังจะหมด ข้อมูลใดเป็นข้อมูลเท็จและข้อมูลใดเป็นข้อมูลจริง นายดุสิตกล่าวว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ไม่มีเจตนาที่จะโจมตีใคร แต่ สปช.มีหน้าที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อประชาชน และรักษาผลประโยชน์ของประชาชนให้ได้มากที่สุด ด้วยการเสนอแนวทางที่เหมาะสมเกี่ยวกับแผนพัฒนาผลิตไฟฟ้า

    ͹
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ณรงค์ชัย” เมินม็อบ จ่อขึ้นภาษีสรรพสามิต LPG ภาคขนส่ง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤษภาคม 2558 15:42 น. (แก้ไขล่าสุด 21 พฤษภาคม 2558 16:34 น.)

    “ณรงค์ชัย” ลั่นรัฐบาลพร้อมเดินหน้าขยับขึ้นภาษีสรรพสามิต LPG ภาคขนส่ง รอคลังแก้ กม.ภาษีสรรพสามิต 7 ฉบับอยู่ คาดเสร็จเร็วๆ นี้ เหตุปัจจุบันจ่ายต่ำกว่าผู้ใช้น้ำมันทุกคนต้องเสียภาษีที่เท่าเทียมกัน ส่วน NGV รอคิวต่อไป เหตุปั๊มบริการยังไม่เพียงพอ

    นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานยังยืนยันนโยบายที่จะต้องมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรือแอลพีจีในภาคขนส่งที่ปัจจุบันเก็บเพียง 1 บาทต่อลิตรให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสมเพื่อความเป็นธรรม เนื่องจากปัจจุบันผู้ที่ใช้น้ำมันในภาคขนส่งเองต้องจ่ายภาษีสรรพสามิต 4-5 บาทต่อลิตร แต่จะปรับขึ้นเท่าใดนั้นจะต้องไปดูในเรื่องของค่าความร้อนประกอบด้วย ส่วนจะมีผลเมื่อใดนั้นขณะนี้กำลังรอกระทรวงการคลังแก้กฎหมายภาษีสรรพสามิตรวม 7 ฉบับที่ล่าสุดอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. คาดว่าจะมีการประกาศใช้ได้ในเร็วๆ นี้

    “แม้ว่าจะมีผู้ประกอบการไปยื่นคัดค้านแนวทางดังกล่าวและต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนผู้ใช้แอลพีจีในรถยนต์ แต่เราก็ยืนยันหลักการเดิมว่าทุกคนที่ใช้ถนนต้องแสดงความรับผิดชอบในการเสียภาษีที่เท่าเทียมกัน โดยภาษีจะปรับขึ้นเท่าใดต้องไปคำนวณตามอัตราค่าความร้อน” นายณรงค์ชัยกล่าว

    ส่วนภาษีสรรพสามิตก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. จะมีมติให้สามารถจัดเก็บ 1 บาท/กก. แต่เนื่องจากยังมีข้อจำกัดเรื่องสถานีการให้บริการที่ไม่ทั่วถึง จึงเห็นว่าควรเร่งดำเนินการเปิดสถานีบริการให้ทั่วถึงก่อน และค่อยพิจารณาจัดเก็บภาษีฯ ในส่วนของ NGV ในระยะต่อไป

    ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. จัดงาน LED Expo Thailand 2015 ขึ้น เพื่อแสดงสินค้าด้านเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ LED ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เชื่อว่าจะทำให้เกิดความสนใจทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาการผลิตของประเทศในแถบเออีซีที่มีอัตราการผลิตเพื่อพัฒนาประเทศสูง

    โดยงาน LED Expo Thailand 2015 จัดขึ้นวันที่ 21-24 พฤษภาคม 2558 ที่อาคาร 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยจะเปิดสำหรับภาคธุรกิจ 3 วัน และเปิดให้ประชาชนเข้าชมงานในวันสุดท้าย ซึ่งจะสามารถซื้อสินค้าราคาพิเศษจากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศกว่า 350 ราย จึงคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 18,000 ราย

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    นายกฯอิรัคเข้าพบปูตินขอความช่วยเหลือและความร่วมมือกับรัสเซียทุกด้านไม่สนใจคำคัดค้านจากสหรัฐฯ

    [​IMG]

    -------------
    แม่เจ้าโว้ย! เกิดอะไรขึ้น? เมื่อนักเดินเรือรู้ทิศทางลมย่อมหันใบเรือรับกระแสลมเพื่อพานาวาของตนให้แล่นไป ผู้นำอิรัคก็คงจะเหมือนนักเดินเรือที่ว่านี้ ตั้งแต่เกิดสงครามโค่นล้มซัดดัมโดยฝีมือของกองทัพสหรัฐฯและพันธมิตรในอิรัคปี 2003 เป็นต้นมา สหรัฐฯก็เข้าจัดการระบบการเมืองในอิรัคตามแบบที่สหรัฐฯต้องการจะให้เป็นและไม่ยอมถอนกองทัพของตัวเองออกจากอิรัค ธุรกิจน้ำมันของอิรัคตกอยู่ในมือของสหรัฐฯ
    ไม่นานนักก็เกิดมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายไอซิสโผล่ขึ้นมาในอิรัคปราบปรามไม่รู้จักหมดสิ้นซะที สหรัฐฯก็ใช้เป็นข้ออ้างในการคงกองกำลังของตนไว้ในอิรัคและโจมตีเมืองต่างๆของอิรัคโดยบอกว่าเพื่อปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงติดอาวุธไอซิส ซึ่งปราบอย่างไรก็ไม่รู้จักหมดสิ้น เพราะสหรัฐฯฝึกเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ผู้นำอิรัคก็พูดไม่ออกจึงขอให้ทางอิหร่านกับกลุ่มฮิชบอลเลาะห์มาช่วยจึงสามารถยึดบางเมืองคืนจากไอซิสได้ พอกองทัพอิหร่านถอนกลับ ไอซิสก็รุกไปก่อเหตุยึดเมืองอื่นแทน ล่าสุดก็ที่เมือง Ramadi ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงแบกแดดนัก ซึ่งพึ่งจะยึดได้เมื่อวันที่ 18 นี้เองหลังจากที่ต่อสู้กับกองทัพของอิรัคมาตั้งแต่วันที่ 15 เดือนนี้ สาเหตุมาจากอะไร ทำไมไอซิสถึงเข้ายึดเมือง Ramadi ในช่วงนี้?
    ก็มีข่าวระแคะระคายมาก่อนหน้านี้แล้วว่าทางนาย Haider al-Abadi นายกรัฐมนตรีของอิรัคจะเดินทางมาที่รัสเซีย ซึ่งสหรัฐฯได้ปฏิเสธและคัดค้านว่าไม่ให้มารัสเซีย ดังนั้น 2-3 วันก่อนที่ผู้นำอิรัคจะเดินทางมาที่รัสเซียจึงเกิดเหตุขึ้นที่เมือง Ramadi
    เมื่อวานนี้สำนักข่าวต่างประเทศของรัสเซียรายงานว่านาย Haider al-Abadi นายกฯของอิรัคพร้อมคณะได้เดินทางเข้าพบทั้งนายกฯดมิทรี เมดเวเดฟ และปธน.วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียเพื่อเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือกับทางรัสเซียในทุกด้าน โดยนาย Haider al-Abadi กล่าวว่า "พวกเราได้เดินทางมาถึงรัสเซียโดยไม่สนใจคำแนะนำของกองทัพหลัก (สหรัฐฯและนาโต้) ที่ให้ปฏิเสธคำเชิญในครั้งนี้จากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม เรามีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเราในทุกมิติ (we aim to develop our ties in all spheres) ซึ่งรวมทั้่งด้านความมั่นคงและความมือด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับความพยายามร่วมกันในอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ส"
    Dmitry Peskov โฆษกรัฐบาลกรุงเครมลิน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ความร่วมมือทางด้านเทคนิคในกองทัพถือว่าเป็นวาระการประชุมในครั้งนี้ แน่นอนว่าจะมีการปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับความร่วมมือระดับทวิภาคีเหล่านี้เป็นอันดับแรก นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาค สถานการณ์จะปั่นป่วนมาก ทำให้เกิดความกังวล (จากใครหนอ?) และแน่นอนว่าจะมีการหารือกันในเรื่องนี้"
    ในการพบกันกับปูตินนั้น Abadi กล่าวว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอิรัคนั้นเข้มแข็งมาก (ไม่เคยได้ยินนายกฯอิรัคพูดอย่างนี้กับสหรัฐฯเลยนะ คริๆ) ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยู่บนพื้นฐานของประเพณีเก่าแก่และเราแสวงหาการพัฒนาความร่วมมือเหล่านั้นในทุกด้าน (in all areas)… รวมทั้งในด้านการลงทุนและอาคารสถานที่การทำงานของบริษัทชาวรัสเซียในประเทศของเรา"
    นายกฯอิรัคกล่าวว่าประเทศอิรัคยังต่อสู้กับพวกกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ซึ่งพยายามที่จะมีอำนาจเหนือรัฐบาลให้ได้ (รู้ใช่ไหมว่าหมายถึงใคร) "วันนี้พวกเราจึงต้องการที่จะเข้าพบ (รัสเซีย) เกี่ยวกับกรณีนี้เพื่อขอการสนับสนุนในโอกาสต่อไป ขยายความสัมพันธ์เกี่ยวกับการต่อสู้กับเหล่าผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่เฉพาะในอิรัคเท่านั้น แต่ในภูมิภาคทั้งหมดเลย"
    เมื่อวันที่ 18 พ.ค.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียรายงานว่า นาย Haider al-Abadi นายกรัฐมนตรีของอิรัคจะเดินทางมาที่กรุงมอสโคว์ระหว่างวันที่ 21-23 พ.ค. 58 ซึ่งคาดว่ารัสเซียและอิรัคจะหารือกันเกี่ยวกับความร่วมมือทางกองทัพและทางด้านเทคนิค
    รายงานเบื้องต้นแจ้งว่าอิรัคต้องการที่จะซื้ออาวุธจากรัสเซีย อิหร่าน และจีน เนื่องจากความล่าช้าของสหรัฐฯในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคงทางยุทธศาสตร์กับอิรัค อิรัคต้องการที่จะเสริมสร้างกองทัพให้เข้มแข็งเพื่อต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายไอซิส แหล่งข่าวในอิรัคแย้มกับสำนักข่าว sputnik ว่าอิรัคอาจจะสั่งซื้ออาวุธจากรัสเซียมูลค่า $3 billion (ประมาณ 1 แสนล้านกว่าบาท) ในอนาคตอันใกล้นี้
    มาฟังรมว.ต่างประเทศของรัสเซียพูดบ้างครับเพราะมันจะทำให้บางคนเมื่อได้ยินแล้วรู้สึกเจ็บลึกเข้าทรวงในเลยหละ Sergey Lavrov กล่าวว่า "รัสเซียจะใช้ความพยายามทุกด้านเพื่อทำให้คำร้องขอของอิรัคเป็นไปได้ (หมายความว่าใครก็ขวางไม่ได้ทั้งนั้น เมื่อรัสเซียจะช่วยอิรัค มาดิมะ) เพื่อให้มั่นใจว่าอิรัคมีศักยภาพในการป้องกันประเทศและสามารถขับไล่พวกผู้ก่อการร้ายไอซิสและพวกผู้ก่อการร้ายรายอื่นๆออกไปจากประเทศอิรัคให้ได้" (เอ… ผู้ก่อการร้ายรายอื่นๆที่ว่านั้นหมายถึงใครกันนะ?)
    Sergey Lavrov กล่าวต่ออีกว่า "รัสเซียมีความร่วมมือทั้งด้านกองทัพและด้านเทคนิคกับอิรัคอย่างใกลชิดและแนบแน่น ไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆบางประเทศ รัสเซียพร้อมที่จะสนับสนุนอาวุธให้กับอิรัคโดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขล่วงหน้า ซึ่งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าอิรัค ซีเรีย และอิยิปต์อยู่ในแถวหน้าของการต่อสู้กับขบวนการก่อการร้าย"
    คนนี้ขาดไม่ได้ ปูตินกล่าวว่า "อิรัคถือว่าเป็นหุ้นส่วนที่ยาวนานและเชื่อถือได้ของพวกเราในภูมิภาคนี้ แม้จะมีความยากลำบากต่างๆนาๆทางด้านเศรษฐกิจในโลก และความยากลำบากในภูมิภาค ความสัมพันธ์ของพวกเรา (รัสเซียกับอิรัค) ก็พัฒนามาได้จนประสบผลสำเร็จ" (หวานมาเชียว ต้องอย่างนี้แหละวาจาการทูตถึงจะขายของได้ แต่รัสเซียมีความจริงใจให้ด้วยนะ) นอกจากนี้ปูตินยังกล่าวเสริมอีกว่ารัสเซียได้ดำเนินโครงการต่างๆทั้งในอิหร่านและอิรัคซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ กรุงมอสโคว์จะดำเนินความร่วมมือทั้งด้านพลเรือน กองทัพ และด้านเทคนิคกับอิรัคต่อไป
    พอนายกฯอิรัคมาจับมือกับปูติน ทางสหรัฐฯออกมากล่าวว่าสัปดาห์หน้าสหรัฐฯจะจัดส่งจรวดต่อต้านรถถัง AT-4 จำนวน 2,000 ชุดไปให้กองทัพอิรัคเพื่อใช้ในการทำลายคาร์บอม สัปดาห์ที่ผ่านมาไอซิสใช้คาร์บอมจำนวน 30 คันโจมตีทหารของอิรัค
    เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมือง Ramadi ของอิรัคหลังจากที่ถูกไอซิสยึดได้แล้ว ทางปธน.โอบาม่าก็ออกมาพูดว่า "ไม่ใช่ ผมไม่คิดว่าพวกเราสูญเสีย (แพ้) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าได้มีการกลับมาโจมตีทางยุทธศาสตร์ แม้ว่าเมือง Ramadi จะถือว่ามีความเสี่ยงมานานแล้ว"
    นั่นแหละสไตล์สหรัฐฯ ถ้ารู้แต่แรกแล้วทำไมถึงไม่ป้องกันไว้ให้ดี อุปกรณ์เทคโนโลยี่ทางทหารของสหรัฐฯและสายลับในพื้นที่ก็ใช่ว่าจะน้อยซะที่ไหน ยกเว้นจงใจให้มันเกิดขึ้น สุดท้ายสหรัฐฯก็เล่นมุกเดิม พยายามที่จะให้เกิดความแตกแยกขึ้นภายในกองทัพและในหมู่ประชาชนของอิรัคโดยยกเรื่องนิกายทางศาสนามาเป็นข้ออ้างว่าทหารในกองทัพของอิรัคส่วนมากเป็นชาวซีอะห์ และรัฐบาลของอิรัคไม่นิยมรับชาวซุนนีมาเป็นทหาร ขอให้ชาวซุนนีอิรัคออกมาร่วมต่อสู้กับพวกไอซิสเพื่อรักษาประเทศของตนเองไว้ สหรัฐฯไม่สามารถทำอย่างนั้นให้กับพวกเขา (ซุนนีอิรัค) ได้
    แหม… ถ้าทำไม่ได้แล้วจะคงกองทัพของตัวเองไว้ในอิรัคและอ้างเพื่อต่อสู้กับพวกไอซิสไว้ทำแป๊ะอะไรหละครับคุณไข่เยี่ยวม้า งั้นก็สั่งให้ทหารอเมริกันและนาโต้ออกจากอิรัคสิครับ แล้วคอยดูว่ารัสเซียจะจัดการยังไงกับไอซิสในอิรัคดีกว่าไหม?
    The Eyes
    22/05/2558
    ----------
    Iraq Wants to Develop Ties With Russia in All Areas – PM Abadi / Sputnik International
    Iraqi Prime Minister Says Came to Russia Against Advice of ‘Certain Forces’ / Sputnik International
    Iraq Plans to Buy Weapons From Russia, Iran and China / Sputnik International
    http://rt.com/news/260913-russia-iraq-weapons-isis/
    Obama Denies US Losing War Against ISIL Despite Failure in Ramadi / Sputnik International
    https://www.youtube.com/watch?v=yNaTu0M49cM
    https://www.youtube.com/watch?v=Vq8HPqxPXU0
     

แชร์หน้านี้

Loading...