ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล

ถามหน่อย ด้วยความสงสัย
ยูทูบ ที่เอามาโพส เคยดูจนจบเองสักตอนหรือป่าวครับ

คงไม่ใช่เพียงแค่เอามาจับวางๆ นะครับ

เพราะถ้าดูจนจบเอง คุณเองอาจจะได้ความรู้ในสิ่งนั้นๆดียิ่งกว่า
สามารถนำไปปฏิบัติเป็นแบบอย่างได้

และสามารถเผยแผ่เป็นวิทยาทาน ด้วยความรู้ความเข้าใจในสิ่งนั้นๆ
ซึ่งอาจจะเป็นการแสดงความเห็น ด้วยข้อความตัวอักษร ต่อวีดีโอนั้นๆ

ซึ่งหากใครคลิกเข้ามาดูกระทู้ จะทำให้ทราบว่า คุณมีความรู้ความเข้าใจดีต่อสิ่งนั้นดีแค่ไหน
และจะเป็นความบันเทิงในวิทยาทาน ดีกว่านำมาแปะอย่างเดียวด้วยความใคร่

 

อย่างเช่นการปลูกมะนาว ตอนกิ่งมะนาว
มีพันธุ์อะไรเป็นที่ต้องการของตลาด พันธุ์อะไรทนต่อโรค

ถ้ารู้ในสิ่งเหล่านี้ด้วย มันก็เพิ่มจุดสนใจ ให้คนคลิกเข้าไปกดดูวีดีโอยูทูบนั้นๆ ที่นำมาวาง

ในวีดีโอนั้นว่าเขาบอกอะไร เป็นอารัมภบท แม้วีดีโออื่นๆ ก็คงเป็นลักษณะนี้ ไม่ต่างกัน

ไม่ต่างจาก หากเราไม่ได้ดู ไม่มีความเข้าใจ ในสิ่งนั้นที่ต้องการสื่อ

เสมือนเราได้เอาสิ่งของยัดๆใส่ถุง แล้วโยนให้ผู้อื่น
โดยที่ไม่รู้ว่าผู้รับนั้น เขาจะแกะถุงออกหรือไม่ ว่าในนั้นมีอะไรดี ประโยชน์อยู่ตรงไหน

นั่นหากเรามีความเข้าใจในสิ่งนั้นด้วย เรื่องการแกะถุงภาชนะ ให้เปิดออก หงายของที่คว่ำอยู่ คงไม่ใช่เรื่องยาก

 

ภัยพิบัติและการเตรียมการ​

​

ห้องภัยพิบัติและการเตรียมการ

เกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและมนุษย์ เช่น น้ำท่วม มีทั้งทางแนว วิทยาศาสตร์ พลังจิต และโหราศาสตร์ มีการเตรียมการเพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้ในยามที่เกิดภัยอ้นตรายต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุพัดถล่มบ้านเรือน ผมก็ได้นำคลิปวิดิโอในยูทูป เรื่องการป้องกันตัวและหลีกเลี่ยงภัยอันตรายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเพราะภัยพิบัติเหล่านี้

หรือเมื่อเกิดภัยสงคราม ผมก็ได้รวบรวมองค์ความรู้เรื่องการเอาชีวิตรอด เมื่อยามต้องอพยพหนีภัยสงคราม ไปอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร หรือตามชนบทที่ห่างไกลตัวเมือง เพื่อหลีกหนีการถูกปล้นจี้ฆ่าข่มขืน จากเหล่าทรชนคนไม่มีศีลธรรมที่จะรวมตัวกันตั้งตัวเองเป็นใหญ่ จนกฏหมายบ้านเมืองไม่สามารถจะควบคุมได้ เพราะกำลังตำรวจทหารมีน้อยกว่ากลุ่มคนเหล่านี้ในเวลาที่เกิดภัยพิบัติครับ ดูตัวอย่างได้ที่เมืองนิวออลีนในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อคราวที่เกิดพายุแคทรีน่าพัดถล่มครับ

เรื่องคลิปวีดิโอที่ผมนำมาโพสต์ในกระทู้นี้ ผมตั้งใจจะรวบรวมองค์ความรู้ให้เป็นเสมือนห้องสมุด ใครที่ต้องการความรู้เรื่องภัยพิบัติและการเตรียมการต่างๆ ก็สามารถเข้ามาดูมาอ่านได้ตลอดเวลา และเช่นเดียวกับห้องสมุดทั่วๆไป คือคนที่เข้ามาหาความรู้ ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหน้งสือทุกเล่มในห้องสมุด เพียงเลือกหาอ่านตามความสนใจของแต่ละคนเท่านั้น คลิปวีดีโอที่ผมนำมาโพสต์เอาไว้ถึงจะมีเป็นจำนวนมากและหลากหลายประเภท แต่ท่านที่เข้ามาดูในกระทู้นี้ ก็เพียงเลือกดูเอาตามที่ตัวเองสนใจก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องดูทุกคลิปที่ผมนำมาโพสต์หรอกครับ

ท่านผู้อ่านท่านใดที่เข้ามาดูคลิปในกระทู้นี้ แล้วรู้สึกหมั่นไส้ในความขยันของผม ที่นำคลิปวีดิโอมาโพสต์เอาไว้มากมาย ก็ไม่ต้องเข้ามาดูให้เสียอารมณ์ก็ได้นะครับ เพราะผมไม่เคยไปบังคับให้ใครต้องเข้ามาดูในกระทู้นี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น และคิดว่าองค์ความรู้ต่างๆเหล่านี้ ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไรกับใครเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะช่วยให้คนที่เข้ามาอ่านมาดู เก็บเอาองค์ความรู้เหล่านี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากมาย ในยามที่เกิดภัยพิบัติครับ

 

พายุฝนถล่มชิลีแรงสุดในรอบ 20 ปี​

​

พายุฝนรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี พัดกระหน่ำภาคเหนือชิลี มีผู้เสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ศพ และสูญหายอีกหลายสิบคน

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงซันติอาโกประเทศชิลี เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ว่าเกิดพายุฝนกระหน่ำภูมิภาคทะเลทราย ทางเหนือของชิลีอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี ทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 2 ศพ และสูญหาย 24 ราย นอกจากนี้พายุฝนยังเป็นสาเหตุให้โคลนถล่ม และระดับน้ำในแม่น้ำล้นตลิ่ง ส่งผลให้ประชาชนหลายพันคน ติดค้างไม่สามารถออกไปไหนได้

สำนักงานฉุกเฉินของรัฐบาลชิลี แจ้งเมื่อเช้าตรู่วันพฤหัสบดีว่า พายุฝนทำให้ประชาชนเกือบ 61,000 คน ไม่มีไฟฟ้าใช้และเกือบ 50,000 คน ขาดแคลนน้ำดื่มในภูมิภาคแห้งแล้งอย่างโคคิมโบ,อตาคามาและอันโตฟาเกสต้า ขณะที่ ภาพจากโทรทัศน์และรูปต่างๆ ที่โพสต์ลงเว็บไซต์อย่างทวิตเตอร์แสดงให้เห็นถึงกระแสโคลน ที่ไหลผ่านถนนหลายสายของเมือง สะพานถูกซัดจนพัง น้ำท่วมหลายพื้นที่ทั้งอาคารบ้านเรือนและโรงพยาบาล

คาดว่า ฝนจะตกหนักและต่อเนื่องอีกราว 8 ชั่วโมง ทำให้ทางการชิลีสั่งอพยพประชาชนในหลายเมืองขณะที่ ถนนหลายสายถูกตัดขาดและการอพยพทำได้ผ่านทางเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น ระบบใยแก้วนำแสงถูกตัดขาดทั่วภาคเหนือชิลี ทำให้การสื่อสารขัดข้องและส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินจำนวนมาก

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 19:51 น.

ซาอุฯ ระดมทหารพันธมิตรกว่าแสนนายรบกบฏเยเมน​

​

ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรเร่งระดมกำลังทหาร 150,000 นาย และฝูงเครื่องบินรบอีก 100 ลำ เสริมกำลังปฏิบัติการทางทหารในเยเมน เพื่อขับไล่กลุ่มกบฏฮูซีที่ยึดอำนาจรัฐบาล

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 26 มี.ค. อ้างข้อมูลจากรายงานของสถานีโทรทัศน์อัล-อารบียา ว่ากองทัพซาอุดีอาระเบียหารือกับกลุ่มพันธมิตรอาหรับหลายประเทศ เรื่องการระดมกำลังทหารสูงสุด 150,000 นาย และเครื่องบินรบอีก 100 ลำ เพื่อปฏิบัติการทางทหารอย่างเต็มรูปแบบในเยเมน ในการปราบปรามและขับไล่กลุ่มกบฏฮูซี ซึ่งเป็นฝ่ายรุกรานรัฐบาลซานาที่มีความชอบธรรมตามกฎหมาย และพิทักษ์ความปลอดภัยให้แก่ชาวเยเมนด้วย

รายงานของอัล-อารบียาระบุด้วยว่า อียิปต์ จอร์แดน ซูดาน ปากีสถาน โมร็อกโก จอร์แดน คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และบาห์เรน แสดงความพร้อมเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลริยาดยังไม่ออกมายืนยันข่าวดังกล่าวอย่างเป็นทางการ เว้นเรื่องการส่งเครื่องบินรบเข้าไปเปิดฉากโจมตีทางอากาศถล่มเป้าหมายหลายจุดในกรุงซานา และฐานทัพสำคัญในเยเมนตั้งแต่คืนวันพุธ เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตแล้ว 13 ศพ

ขณะที่ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ในวันเดียวกัน แสดงความสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารในเยเมนที่มีซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำ พร้อมกับเผยด้วยว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา สั่งการโดยตรงให้กองทัพและหน่วยข่าวกรองมอบความช่วยเหลือให้แก่ซาอุดีอาระเบียอย่างเต็มที่ด้วย

ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองสถานการณ์ความไม่สงบในเยเมนว่าคือ "สงครามตัวแทน" ระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบีย เนื่องจากกลุ่มกบฏฮูซีที่ยึดครองกรุงซานาตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้วนั้นมีแนวคิดทางการเมืองฝักใฝ่ในอิหร่าน ประเทศซึ่งมีสถานะเป็นศัตรูทางการเมืองของรัฐบาลริยาดและอีกหลายประเทศในโลกอาหรับ ที่ให้การยอมรับประธานาธิบดีอาเบด รับโบห์ มานซูร์ ฮาดี ว่ายังมีสถานะเป็นผู้นำตามกฎหมายของเยเมน แม้เจ้าตัวลาออกจากตำแหน่งตามแรงกดดันอย่างหนักจากกลุ่มฮูซีแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ปฏิบัติการทางทหารของซาอุดีอาระเบียเป็นไปตามคำเตือนของรัฐบาลริยาดที่ออกมาเมื่อต้นสัปดาห์ว่า จะใช้ "มาตรการเด็ดขาด" หากสถานการณ์ในเยเมนไม่มีแนวโน้มยุติด้วยสันติวิธี

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 14:06 น.

โสมแดงกล่าวหาสหรัฐเล็งปิดล้อม จีน-รัสเซีย​

​

เกาหลีเหนือระบุ ระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐที่จะถูกนำมาติดตั้งในเกาหลีใต้ เพื่อปิดล้อมจีนกับรัสเซีย

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงโซลประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 26 มี.ค.อ้างสำนักข่าวกลางเกาหลี (เคซีเอ็นเอ) กระบอกเสียงของรัฐบาลเกาหลีเหนือระบุว่า การที่สหรัฐเสนอติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในเกาหลีใต้ เป็นการเคลื่อนไหวในยุคของสงครามเย็นเพื่อปิดล้อมจีนและรัสเซีย กระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือระบุว่า แนวคิดติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธของอเมริกา เป็นประเด็นระดับภูมิภาคมากกว่าคุกคามเกาหลีเหนือโดยตรง แต่สิ่งที่สหรัฐกำลังแสวงหาการติดตั้งระบบดังกล่าว เพื่อปิดล้อมจีนกับรัสเซีย ทว่าการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ จะทำให้เกิดภาวะสงครามเย็นระลอกใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ

ทั้งนี้ สหรัฐยืนกรานว่าระบบทาด (TerminalHigh-Altitude Area Defence) เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสกัดกั้นโครงการขีปนาวุธวิถีโค้งล้ำยุคของเกาหลีเหนือ ขณะที่ รัสเซียกับจีนอ้างว่าเป็นการบ่อนทำลายเสถียรภาพและก่อให้เกิดการแข่งขันสะสมอาวุธ นอกจากนั้น รัสเซียและจีนยังร่วมกันคัดค้านระบบทาดของสหรัฐ พร้อมเตือนว่า จะเป็นภัยต่อความมั่นคง ส่วนเกาหลีใต้ ยังไม่ตัดสินใจว่า จะติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐหรือไม่ ถึงแม้กองทัพสหรัฐ ได้ดำเนินการสำรวจพื้นที่ประจำการระบบทาดแล้วก็ตาม

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 18:15 น.

ฟิลิปปินส์โวยจีนหวังฮุบทะเลจีนใต้​

​

รมว.ต่างประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวหาจีนกำลังหาทางยึดน่านน้ำในทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด และถมดินตามแนวปะการัง 7 แห่ง ในบริเวณหมู่เกาะสแปรทลีย์ เพื่อขยายอาณาเขต

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่26มี.ค.ว่า นายอัลเบิร์ต เดล โรซาริโอ รมว.ต่างประเทศฟิลิปปินส์กล่าวหาจีนกำลังหาทางควบคุมน่านน้ำในทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด เพื่อขยายอาณาเขตด้วยการถมดินที่แนวปะการัง 7 แห่ง ซึ่งจีนยึดครองในบริเวณหมู่เกาะสแปรทลีย์ ความพยายามของจีนมีเป้าหมายอยู่ที่การทำลายศาลอนุญาโตตุลาการ ที่มีกำหนดตัดสินในช่วงต้นปีหน้า กรณีที่ฟิลิปปินส์นำเรื่องพิพาททะเลจีนใต้กับรัฐบาลปักกิ่งไปฟ้องศาลของสหประชาชาติ

แต่จีนยืนกรานถึงสิทธิทางอธิปไตยเกือบทั้งหมด ต่อทะเลจีนใต้ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แม้ว่าพื้นที่เหล่านี้อยู่ใกล้ชายฝั่งของฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม โดยยึดหลักแผนที่เก่าของจีนที่ใช้เส้นประ 9 เส้น กำหนดอาณาเขตของประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้จีนลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทางทะเลของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ แต่จีนปฏิเสธเป็นคู่กรณีของฟิลิปปินส์ในศาลอนุญาโตตุลาการ ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลไม่มีผลทางกฎหมาย และมีการคาดหมายเป็นวงกว้างว่าจีนจะเพิกเฉยต่อคำตัดสินชี้ขาดของศาลอนุญาโตตุลาการ

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 17:50 น.

สหรัฐโจมตีทางอากาศช่วยอิรักปราบไอเอส​

​

เครื่องบินรบของกองทัพสหรัฐ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในเมืองติกริต ทางตอนเหนือของอิรัก เพื่อช่วยเหลือทหารรัฐบาลแบกแดดในการยึดเมืองคืนจากกลุ่มไอเอส

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ว่าพ.อ.สตรีฟ วอร์เรน โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ( เพนตากอน ) แถลงเมื่อวันพุธ เรื่องปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในเมืองติกริต ทางตอนเหนือของอิรัก เพื่อสนับสนุนกองทัพของรัฐบาลแบกแดด ที่กำลังสู้รบอย่างหนักกับกลุ่มไอเอส โดยปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามการร้องขอของรัฐบาลอิรัก ซึ่งปฏิบัติการยังคงดำเนินอยู่ และเป้าหมายทั้งหมดได้รับการกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนของกองทัพสหรัฐจำนวนหนึ่งบินเข้าไปสำรวจพื้นที่เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้

การให้ความช่วยเหลือกองทัพอิรักของสหรัฐในปฏิบัติการกระชับพื้นที่เมืองติกริต ซึ่งมีความสำคัญสำหรับชาวอิรัก ในฐานะเป็นบ้านเกิดของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็น ผู้ล่วงลับ เกิดขึ้นราว 3 สัปดาห์ หลังกองทัพอิรักและกลุ่มนักรบอาสาชาวเคิร์ดหลายหมื่่นนาย กระจายกำลังจู่โจมกลุ่มไอเอสในเมืองติกริตจากรองทิศทาง โดยสามารถยืดพื้นที่คืนได้แล้วหลายเขต

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 12:19 น.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/

 

กรมอุตุฯเตือนระวังพายุฤดูร้อน​

​

กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ อิทธิพลความกดอากาศสูงจากจีน ปะทะคลื่นลมกระแสตะวันตกจากพม่า ส่งผลให้ประเทศไทยตอนบน โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ และภาคกลาง จะมีพายุฤดูร้อน และพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับมีลูกเห็บตก เตือนประชาชนเตรียมพร้อมรับมือ

เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 26 มี.ค. กรมอุตุนิยมวิทยารายงาน ลักษณะอากาศทั่วไปว่า บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีน ยังคงแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมตะวันตกจากประเทศพม่าเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ ส่งผลให้วันที่ 27 มี.ค. บริเวณประเทศไทยตอนบน โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ และภาคกลาง จะมีพายุฤดูร้อน และพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น รวมถึงอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาและสิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงไว้ด้วย

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันนี้ ถึง 06. 00 วันพรุ่งนี้

ภาคเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง ตาก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู ชัยภูมิ และนครราชสีมา อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีเมฆเป็นส่วนมาก โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี และกาญจนบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา เซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีเมฆเป็นส่วนมาก โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ปัตตานี และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 07:40 น.

กรมชลฯ ทุ่มงบสร้างสถานีสูบน้ำสู้ภัยแล้ง​

​

กรมชลประทาน ทุ่มงบกว่า 58 ล้าน สร้างสถานีสูบน้ำแก้ภัยแล้งซ้ำซาก ช่วยพื้นที่เกษตรกว่า 3,500 ไร่

เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานโครงการชลประทานจังหวัดบุรีรัมย์ ได้เร่งรัดดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าขนาดกำลังสูบ 200 ลิตร/ต่อวินาที ในพื้นที่บ้านไผ่ใหญ่ ต.หนองคู และสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า กำลังสูบ 150 ลิตร/ต่อวินาที ที่บ้านหนองตราด ต.ห้วยยาง อ.ลำปลายมาศ หลังได้รับการจัดสรรงบประมาณจากกรมชลประทาน ให้ดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบน้ำทั้ง 2 แห่งเป็นเงินกว่า 58 ล้านบาท เพื่อให้ทันต่อการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาภัยแล้งซ้ำซากให้เกษตรกรพื้นที่ 2 ตำบล เพื่อใช้สูบผันน้ำจากลำน้ำมาศที่มีระยะทางกว่า 2- 6 กิโลเมตร ไปหล่อเลี้ยงต้นข้าวและพืชไร่ของเกษตรกร เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ต้องประสบปัญหาเดือดร้อน จากภาวะภัยแล้งฝนทิ้งช่วง ส่งผลให้นาข้าวและพืชไร่ขาดน้ำแห้งตายเสียหาย ทำให้เกษตรกรต้องมีหนี้สินจากการลงทุนทำนา

ทั้งนี้ สถานีสูบน้ำทั้ง 2 แห่ง ได้ก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.ที่จะถึงนี้โดยจะสามารถสูบผันน้ำจากลำน้ำมาศ ไปช่วยเหลือนาข้าวของเกษตรกรในเขตพื้นที่ต.หนองคู และ ต.ห้วยยาง ได้ไม่น้อยกว่า 3,500 ไร่ ในฤดูกาลเพาะปลูกที่จะถึง โดยจะมีเกษตรกรได้รับประโยชน์จากสถานีสูบน้ำทั้ง 2 แห่ง มากกว่า 450 ครัวเรือน นายกิติกุล เสภาศีราภรณ์ ผอ.โครงการชลประทานจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า กรณีกรมชลประทานได้อนุมัติงบประมาณมายังจังหวัด เพื่อเร่งดำเนินการช่วยเหลือและแก้ปัญหาภัยแล้ง ให้กับประชาชนและเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและน้ำอุปโภคบริโภค และเพื่อเป็นการสนองนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ในด้านการบริหารจัดการน้ำดังกล่าวอีกด้วย.

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 02:30 น.

ฟ้าผ่าไฟไหม้หอประชุมโรงเรียนวอด​

​

พายุฝนกระหน่ำ พื้นที่ปราจีนบุรี ฟ้าผ่าหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ลุกลามไหม้หอประชุม โรงเรียน เสียหายกว่า 3 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ร.ต.ท.ธีรวัฒน์ ณ ระนอง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปราจีนบุรี รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนปราจีนราษฎรอำรุง ถนนปราจีนอนุสารณ์ ต.หน้าเมือง จึงไปตรวจสอบพร้อมรถดับเพลิงเทศบาลเมืองปราจีนบุรี ที่เกิดเหตุ พบเพลิงกำลังลุกไหม้ อาคารหอประชุมเอนกประสงค์ ซึ่งด้านหลังของตัวอาคารเป็นห้องควบคุมเครื่องเสียงขนาดใหญ่ โดยมีเสียงระเบิดของสายไฟฟ้าดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่กล้าที่จะฉีดน้ำเข้าไปยังจุดที่เพลิงลุกไหม้ เนื่องจากเกรงว่าไฟฟ้าอาจจะรั่วทำให้ได้รับอันตราย จึงทำได้เพียงฉีดน้ำหล่อเลี้ยง รอบๆบริเวณ เพื่อป้องกันไฟลุกลามไปยังอาคารอื่น พร้อมประสานเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ามาทำการตัดกระแสไฟฟ้า

ทั้งนี้หลังเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า ทำการตัดระบบไฟฟ้า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงทุบกระจก แล้วใช้น้ำฉีดเข้าไปภายในตัวอาคารเพื่อควบคุมเพลิง ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เพลิงสงบ ตรวจสอบพบ อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น เครื่องขยายเสียง เครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่กว่า 10 เครื่อง โต๊ะ เก้าอี้ ถูกเพลิงไหม้ ได้รับความเสียหายทั้งหมด สอบสวนเบื้องต้น นายภานุพงศ์ อยู่สำราญ และนายสุรินทร์ พรมแสง เจ้าหน้าที่รปภ.ที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุมีพายุฝนฟ้าคะนองในพื้นที่อย่างหนัก และเกิดฟ้าผ่าที่หม้อแปลงไฟฟ้า จนเกิดการระเบิดเสียงดังสนั่น เกิดไฟลุกไหม้ก่อนจะวิ่งตามสายไปยังตัวอาคารหอประชุมดังกล่าว และลุกไหม้ขึ้นอย่างรุนแรง ส่วนค่าเสียหายเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบต่อไป.

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 02:10 น.

สธ.ทุ่งใหญ่รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ​

​

สาธารณสุข ทุ่งใหญ่ เมืองคอน รณรงค์ให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบในกลุ่มผู้ใหญ่เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ในวโรกาส เฉลิมพระชนมายุ 5 รอบ 2 เม.ย.ตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ผู้ใหญ่กว่า 28 ล้านคนทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 26 มี.ค. นายคำรณ อุบลกาญจน์ หัวหน้าสาธารณสุข อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ได้ประชาสัมพันธ์ เชิญชวนประชาชนในพื้นที่ อ.ทุ่งใหญ่ และทั่วประเทศไทยที่ยังตกค้าง ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ตามโครงการให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบในกลุ่มผู้ใหญ่ อายุ 20-50 ปี ฟรี เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ ในวันที่ 2 เม.ย. โดยตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ผู้ที่เกิดในเดือนม.ค. 2508 – ธ.ค. 2538 กว่า 28 ล้านคนทั่วประเทศเพื่อเร่งรัดและรักษาความครอบคลุมวัคซีนให้ประชาชนไทยให้สูงเพียงพอที่จะป้องกันโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนก่อนที่ไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

สำหรับสาเหตุที่ต้องฉีดวัคซีนให้ผู้ใหญ่ด้วยนั้น เนื่องจากในปี 55 ที่ผ่านมา ได้มีการสำรวจพบข้อมูล การระบาดของโรคคอตีบ เนื่องจากเด็กและผู้ใหญ่ได้รับวัคซีนไม่ครบถ้วน โดยผู้ใหญ่ช่วงอายุ 20-50 ปี เป็นกลุ่มที่มีระดับภูมิต้านทานโรคคอตีบต่ำที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เกิดก่อนพ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยเริ่มใช้แผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในเด็กในระดับชาติจึงยังไม่เคยได้รับวัคซีนชนิดนี้ ทำให้มีความเสี่ยงติดเชื้อและป่วยเป็นโรคคอตีบสูง โครงการนี้จะเป็นการป้องกันควบคุมโรคคอตีบในระยะยาวของประเทศ สำหรับวัคซีนที่จะใช้ฉีดนี้ เป็นจะเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงสิ้นเดือนเมษายน 2558 จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบฟรีที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกระดับทั่วประเทศ โรคคอตีบ (Diphtheria) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน เชื้อจะอยู่ในโพรงจมูกในลำคอผู้ป่วยติดต่อได้จากการไอจาม ส่วนใหญ่ประชาชนยังเข้าใจผิดว่า เกิดขึ้นเฉพาะในเด็ก แต่จริง ๆ แล้วโรคนี้เกิดได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่ไม่มีภูมิต้านทานโรค จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ไปรับวัคซีนกันให้ครบทุกคน ต่อไป.

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 09:02 น.

ร้อนจัดช้างพังชักลากไม้เป็นลมล้มพับ​

​

สภาพอากาศที่ร้อนจัดใน จ.ตรัง ส่งผลให้ชางพังวัยกว่า 60 ปี มีสภาพร่างกายซูบผอม และเกิดเป็นลมล้มลงระหว่างที่เข้าไปชักลากไม้ยางพาราในป่า ทีมสัตวแพทย์เร่งให้ยาบำรุง พร้อมเฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิด

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากชาวบ้านหมู่ 2 ต.ปากแจ่ม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ว่า จากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในช่วงนี้ ทำให้มีช้างที่เข้าไปชักลากไม้ยางพาราในป่าเกิดเป็นลม จึงเดินทางตรวจสอบ พบช้างเพศเมีย ชื่อ "พังสมบูรณ์" อายุประมาณ 60 ปี น้ำหนักกว่า 3 ตัน นอนเป็นลมล้มอยู่ในสภาพไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยันกายยืนขึ้นมาได้ ชาวบ้านจึงช่วยกันนำเชือกมาคล้องรอบตัว แล้วดึงยกร่างพังสมบูรณ์ให้ยืนขึ้น จากนั้นจึงประสานทีมสัตวแพทย์ประจำ รพ.ช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย สาขาภาคใต้ จ.กระบี่ ให้มาดูอาการ ซึ่งทีมสัตวแพทย์ได้ฉีดยาบำรุง ให้น้ำเกลือ อาหารเสริม และกลูโคส รวมทั้งสั่งให้ช้างพังสมบูรณ์งดทำงาน เพื่อพักฟื้นร่างกาย

ด้าน นางบุญรัตน์ เพ็ชรสุทธิ์ อายุ 61 ปี เจ้าของช้าง อยู่บ้านเลขที่ 64 หมู่ 2 ต.ปากแจ่ม อ.ห้วยยอด เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสภาพอากาศที่แห้งแล้ง จึงทำให้พังสมบูรณ์มีอาการเซื่องซึม กินอาหารไม่ได้ จนร่างกายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด และน้ำหนักลดหายไปกว่า 1 ตันแล้ว อีกทั้งพังสมบูณ์อายุเริ่มมาก เลยไม่อาจต้านทานกับสภาพอากาศร้อนจัดได้ อย่างไรก็ตามทีมสัตวแพทย์จะทำการดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้พังสมบูรณ์กลับมีอาการดีขึ้นต่อไป.

เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558 เวลา 12:55 น.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/

 

บทเรียนจาก “แคทรินา” ถึงไทย​

​

วิกฤตอุทกภัยปี 2554 เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จะอยู่ในความทรงจำของคนไทยไปอีกนานแสนนาน เพราะนอกเหนือจากความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งชีวิตประชาชน ทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง เทือกสวนไร่นา จนถึงนิคมอุตสาหกรรมสำคัญๆ ในอยุธยาและปทุมธานี ล้วนต้านรับมวลน้ำก้อนมหึมาที่เชี่ยวกรากไม่ได้ ได้รับความเสียหายอย่างถ้วนทั่ว

มองฝ่าความเสียหายยับเยินของประเทศเพื่อหาต้นรากของความผิดพลาด ใครจะเชื่อว่า ไทยในฐานะประตูสู่อาเซียน ซึ่งมีสาธารณูปโภคพื้นฐานและระบบการสื่อสารที่ดี มีระบบเตือนภัยและศูนย์พยากรณ์ดิน ฟ้า อากาศ ไม่น้อยหน้าใคร กลับตกม้าตายเพราะการจัดการน้ำผิดพลาด และพอปัญหาบานปลายก็ไม่สื่อสารข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ประชาชนรับรู้

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ต้องการปกปิดหรือหวังดีไม่อยากให้เกิดความแตกตื่นอลหม่าน แต่ที่สุดแล้ว อุทกภัย 2554 คือ บทเรียนราคาแพงอีกครั้งหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะบทเรียนด้านการสื่อสารความเสี่ยงในภาวะวิกฤต

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นภาพว่า การสื่อสารซ้ำเติมวิกฤติครั้งนี้ให้รุนแรงกว่าที่ควรเป็นอย่างไร ไทยพับลิก้าขอหยิบยกบทเรียนมหันตภัยทางธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา มาทบทวนความทรงจำและเปรียบเทียบภัยพิบัติที่ประเทศไทยเผชิญหน้าอยู่

ถอดบทเรียน “แคทรีนา”

วันที่ 23 สิงหาคม ปี 2548 พายุโซนร้อน “แคทรีนา” ก่อขึ้นกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจากแนสซอ เมืองหลวงของบาฮามาราว 280 กิโลเมตร แล้วค่อย ๆ สะสมพลังเป็นเฮอริเคนที่พัดเข้าสู่ฝั่งครั้งแรกที่มลรัฐฟลอริดาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมซึ่งในช่วงเวลานั้น แคทรีน่ามีความรุนแรงเพียงระดับ 1 เท่านั้น

เหนือความคาดหมาย แคทรีนาได้เคลื่อนตัวลงสู่อ่าวเม็กซิโกสะสมพลังรอบใหม่จนทวีความรุนแรงเป็นเฮอริเคนระดับ 5 ซึ่งมีความเร็วลมสูงสุด 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก่อนจะขึ้นฝั่งที่มลรัฐลุยเซียนาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม โดยมีความรุนแรงระดับ 4 ขณะเคลื่อนตัวผ่านเมืองนิวออร์ลีนส์ไปทางตะวันออก ผ่านมิสซิสซิปปี เทนเนสซี และต่อเนื่องไปทางเหนือถึงแคนาดา

แคทรีนาถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ กินบริเวณกว้าง 92,000 ตารางไมล์ ทำลายทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้างและสาธารณูปโภคต่างๆ ของเมืองขนาดใหญ่อย่างนิว ออร์ลีนส์ไปเกือบทั้งหมด สูญเสียชีวิตประชาชนไปมากกว่า 1,800 คนและทำให้ชาวอเมริกันหลายหมื่นครัวเรือน ไร้ที่อยู่อาศัยและปราศจากอาหารและสิ่งประทังชีวิตขั้นพื้นฐานเป็นเวลานาน

วิเคราะห์ในเชิงวิกฤตการณ์ ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงนี้มีสาเหตุมาจาก 2 ส่วน โดยส่วนแรกมาจากพลังทำลายล้างของแคทรินา เฮอริเคนระดับ 4-5 ขณะพัดถล่มฝั่ง สาเหตุส่วนที่สองที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกคือ การพังทลายของเขื่อนกั้นน้ำ ทำให้พื้นที่ต่างๆ กว่า 80% ของนิว ออร์ลีนส์ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลจมอยู่ใต้น้ำนับตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม โดยบางแห่งมีระดับน้ำสูงถึง 7 เมตร

แม้คำสั่งอพยพของทางการได้ช่วยให้ประชาชนกว่า 1 ล้านคนรอดพ้นจากภัยพิบัติ แต่มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังปักหลักอยู่ในบ้านเรือนของตัวเองต้องถูกตัดขาดเป็นเวลานานกว่าความช่วยเหลือจะเข้าไปถึง

ความเสียหายทางกายภาพและชีวิตประชาชนนำไปสู่การสอบสวนหาข้อเท็จจริง ทั้งที่ดำเนินการโดยรัฐสภาอเมริกันและจากองค์กรต่างๆ อาทิ รายงานเรื่อง A Failure of Initiative : Final Report of the Select Bipartisan Committee to Investigate จัดทำโดยคณะกรรมาธิการร่วม 2 สภาขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องการเตรียมความพร้อมและสนองตอบต่อภัยพิบัติดังกล่าวและรายงานเรื่อง The Federal Response to Hurricane Katrina: Lessons Learned จัดทำโดยฟราน ทาวน์เซนด์ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลบู บุช จูเนียร์และรายงานพิเศษรื่อง Hurricane Katrina: A Nation Still Unprepared จัดทำโดยคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกิจการรัฐบาล วุฒิสภาสหรัฐ

ในแวดวงสถาบันการศึกษา กรณีภัยพิบัติที่นิว ออร์ลีนส์กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญในเรื่องการสื่อสารความเสี่ยงที่มีการตีพิมพ์และเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ดังปรากฎในบทความวิชาการเรื่อง Risk Communication Failure: A Case Study of New Orleans and Hurricane Katrina วิเคราะห์และเรียบเรียงโดยเทอร์รี ดับเบิลยู โคล ภาควิชาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยอัพพาเลเชียน สเตทและเคลลี แอล เฟลโลว์ส ภาควิชาการสื่อสารศึกษา มหาวิทยาลัยนอร์ธ คาโรไลนา วิลมิงตัน และบทความวิชาการเรื่อง Hurricane Katrina: Risk Communication in Response to a Natural Disaster วิเคราะห์และเรียบเรียงโดย วิลเลียม ไวติง ผู้ช่วยผู้อำนวยฝ่ายธุรกิจและมูลนิธิสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยอาร์คันซอว์

ผลการศึกษาของฝ่ายภาครัฐสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบในการเตรียมความพร้อมและการสนองตอบต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ตลอดจนการแสวงหาทางออกในการรับมือกับวิกฤตที่ดีที่สุดของส่วนกลาง

โดยเฉพาะในรายงานพิเศษของกรรมาธิการด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิฯ ให้ข้อสรุปว่า มีปัจจัยครอบคลุมและเชื่อมโยงกันอยู่ 4 ประการที่นำไปสู่ความล้มเหลวในกรณีของแคทรีนา ประกอบด้วย

1.การไม่ใส่ใจกับคำเตือนภัยในระยะยาว ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐละเลยหน้าที่ของตัวเองในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ที่มีการเตือนล่วงหน้ามาก่อนแล้ว

2.เจ้าหน้าที่รัฐไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอ หรือมีการตัดสินใจที่ไม่ดีในช่วงเวลาก่อนและหลังเฮอริเคนเข้าถล่มพื้นที่แล้ว

3.ระบบซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐนำมาใช้ ในการสนับสนุนความพยายามในการรับมือกับภัยพิบัติล้มเหลว และ

4.เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับชั้นล้มเหลวที่จะแสดงภาวะผู้นำ

อีก 2 ประเด็นสำคัญจากข้อสรุปของรายงานฉบับนี้ คือ ในช่วงเกิดภัยพิบัติ ซึ่งมีความรุนแรงเกินกว่าที่ทรัพยากรของท้องถิ่นและมลรัฐจะรับมือได้ จนเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติการและการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน บทบาทของรัฐบาลกลางมีความสำคัญมาก แต่จากรายงานของหลายฉบับพบว่า สำนักงานจัดการภาวะฉุกเฉินกลางแห่งสหรัฐ (Federal Emergency Management Agency : FEMA) ใช้เวลานานหลายวันกว่าจะนำทีมเข้าไปยังพื้นที่ประสบภัย อาทิ ใช้เวลา 5 วันกว่าจะเข้าไปในพื้นที่ประสบภัยเมืองเกรทนา รัฐหลุยเซียนา

ประเด็นถัดมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลในทุกระดับชั้น ไม่สามารถเข้าใจหรือประเมินอานุภาพทำลายล้างของพายุร้ายก่อนที่มันจะเข้าถล่ม ทั้งๆ ที่ได้รับคำแนะนำที่ดีและน่าเชื่อถือมากมายมาแล้ว เขื่อนกั้นน้ำที่เคยช่วยปกป้องพื้นที่ที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในเมืองนิว ออร์ลีนส์ ได้พังทะลาย เปิดช่องให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนซ้ำเตือนภัยพิบัติที่เลวร้ายอยู่ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น

ที่มา : http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/20/New_Orleans_17th_Street_Canal_filling.JPG

​

จุดบอดสื่อสารความเสี่ยง ต้นรากหายนะนิวออร์ลีนส์

บทเรียนอีกมิติหนึ่งจากกรณีแคทรีนาคือ ความล้มเหลวในการสื่อสารความเสี่ยงไปยังประชาชนในพื้นที่เป้าหมายก่อนที่แคทรีนาจะเกิด ในบทความวิชาการ Hurricane Katrina: Risk Communication in Response to a Natural Disaster ไวติงค้นพบว่า ในช่วงก่อนเกิดแคทรินา 9 เดือนได้มีการแจกจ่าย National Response Plan ซึ่งเป็นเสมือนแนวทางในการรับมือภัยฉุเฉินทุกรูปแบบ หนา 426 หน้า ครอบคลุมบทเรียนการจัดการกับวิกฤตต่างๆ นำมารวบรวมให้อยู่ในเอกสารฉบับเดียวกันเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิใช้รับมือและจัดการกับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ที่สำคัญ นอกเหนือจากการจัดทำคู่มือรับมือกับวิกฤตฉุกเฉินแล้ว ยังพบว่า ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญหลายรายได้ข้อสรุปคล้ายๆ กันว่า มีโอกาสที่จะเกิดเฮอริเคน ที่มีพลังความรุนแรงสูงและเป้าหมายของภัยพิบัติอยู่ที่นิว ออร์ลีนส์ ประกอบกับในช่วงที่แคทรินาก่อตัว สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติและศูนย์วิจัยเฮอริเคนได้พยากรณ์เส้นทางของพายุและหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา อย่างไรก็ตาม จากรายงานการสอบสวนของหลายหน่วยงานพบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินแคทรินาว่า เป็นเพียงมรสุมลูกหนึ่งที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลเท่านั้น

การประเมินสถานการณ์ที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงนำไปสู่ความล้มเหลวในการสื่อสารความเสี่ยงไปยังประชาชนในพื้นที่ให้รับรู้ถึงวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นและการประเมินภัยคุกคาม เพื่อนำไปสู่การเตรียมความพร้อมในการรับมือและการอพยพ

เทอร์รี ดับเบิลยู โคล และเคลลี แอล เฟลโลว์ส สรุปบทเรียนความล้มเหลวของการสื่อสารความเสี่ยงในกรณีเฮอริเคน แคทรินาไว้ 4 ประการ ได้แก่ การสื่อสารให้ประชาชนตระหนักหรือใส่ใจกับความเสี่ยงมีน้อยเกินไปและขาดความชัดเจน อาทิ ในช่วงที่แคทรินากำลังเคลื่อนตัวเข้าถล่มนิว ออร์ลีนส์ มีรายงานว่าได้พบรอยปริแตกของเขื่อนกันน้ำ แต่เจ้าหน้าที่จากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิกลับคลางแคลงใจ กับรายข่าวเหล่านั้นว่าเป็นจริงหรือไม่ ทำให้ไม่มีการสั่งการ ให้หน่วยลาดตระเวณชายฝั่งเข้าไปกู้สถานการณ์ก่อนเขื่อนพังและทำให้เกิดน้ำท่วมตามมา

ประการที่สอง ขาดความเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลที่จะสื่อสาร ในกรณีของแคทรีนาพบว่า ไม่มีการเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินความเป็นไปได้ของเฮอริเคน ตั้งแต่ระดับความเสี่ยงน้อยสุดไปจนถึงกรณีเลวร้ายสุด อยู่ในแผนจัดการภัยพิบัติแต่อย่างใด

บทเรียนประการที่สาม ข้อมูลที่สื่อสารขาดความน่าเชื่อถือ ในกรณีของแคทรีนาพบว่า การที่ข้อมูลข่าวสารขาดความน่าเชื่อถือส่วนหนึ่งมาจากโฆษกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนและขาดการประสานงานกับผู้นำชุมชน ทำให้ประชาชนในพื้นทีที่รัฐบาลต้องการอพยพซึ่งไม่ไว้วางใจอยู่ก่อนแล้ว ไม่ยอมอพยพออกมา

บทเรียนประการสุดท้าย การสื่อสารความเสี่ยงต้องไม่เลือกปฏิบัติ ในกรณีของแคทรีนาพบปัญหาในเรื่องการเหยียดผิว จนนำไปสู่มุมมองที่ว่า การอพยพจะให้ความสำคัญกับคนรวยผิวขาวมากกว่าเพื่อนบ้านผิวสีที่ยากจน

สู่บทเรียนประเทศไทย

บทเรียนจากแคทรีนาเป็นกรณีศึกษาที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของการสื่อสารความเสี่ยงเช่นปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อมูลเท็จจริงที่ประชาชนควรรับทราบ

ผลสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญที่ชี้ชัดว่า ประชาชนจำนวนเริ่มไม่เชื่อถือข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) อันเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบในการช่วยเหลือประชาชนและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนับเป็นสัญญาณเตือนที่เริ่มดังขึ้นแล้ว

​

ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. ภายใต้การนำของ พลตำรวจเอกประชา พรหมนอก ขณะแถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่า น้ำจะไม่ท่วมกรุงเทพมหานครและจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกัน

ที่มา : http://media.thaigov.go.th/Sitedirectory/471/1779/61333_18991230123523.jpg

“ภาพรวมประชาชนพอใจการให้ข้อมูลข่าวน้ำท่วมของ ศปภ. เพียงแค่ร้อยละ 3.36 จาก 10 คะแนน และขณะที่มีเพียงร้อยละ 3.08 ที่พอใจระบบการแจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ขึ้นไป ระบุว่า ข้อมูลที่ได้รับไม่ชัดเจนว่าพื้นที่ของตนจะถูกน้ำท่วมหรือไม่ รวมถึงสับสนกับข้อมูลที่ได้รับจาก ศปภ. ขณะที่มีเพียงแค่ร้อยละ 12.8 ที่เห็นว่าข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับน้ำท่วมของภาครัฐมีความน่าเชื่อถือ”

ความไม่เชื่อถือข้อมูลของศปภ. ยังนำไปสู่ปรากฏการณ์กระจายข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในโซเชียล มีเดีย อย่าง เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ บล็อกต่างๆ และเว็บพันทิพ

ดังตัวอย่างของการเผยแพร่ภาพถ่ายผ่านดาวเทียมแสดงให้เห็นมวลน้ำก้อนใหญ่ 2 ก้อนที่ล้อมรอบกรุงเทพมหานครเอาไว้ ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพถ่ายดาวเทียมที่เผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) หรือ GISTDA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ข่าวสารข้อมูลที่ไหลผ่านโลกไซเบอร์ยากต่อการควบคุมและคัดกรองย่อมให้ผลตามมาทั้งบวกและลบ ในด้านบวก ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ขาดหายหรือไม่มีการเปิดเผยทำให้สามารถประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมในการรับมือได้ดีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในด้านลบ เมื่อยากต่อการควบคุมและคัดกรองก็มีความเสี่ยงในแง่ที่ข้อมูลบางส่วนอาจจะคลาดเคลื่อนหรือเป็นช่องทางแพร่กระจายข่าวลือที่ปราศจากมูลความจริง

นอกจากนี้ ความสับสนจากการให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในศปภ. ด้วยกัน และหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งในหลายๆ ครั้งก่อให้เกิดภาวะตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน อาจผลักให้ประเทศไทยเดินซ้ำรอยกรณีของแคทรีนาได้ คือ ประชาชนไม่เชื่อถือและไม่ปฏิบัติตามข้อมูลข่าวที่ออกมาจากหน่วยงาน จนทำให้ปัญหาน้ำท่วมบานปลายและรุนแรงเกินกว่าที่ประเมินไว้

“ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.4 อยากฟังข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมจากกลุ่มคนหรือหน่วยงานที่ทำงานในพื้นที่มากกว่าทีมงานโฆษกของศปภ. และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.1 ต้องการฟังข้อมูลจากคนทำงานที่ศูนย์พักพิงมากกว่าทีมงานโฆษกของศปภ.” ผลสำรวจของเอแบคโพลได้สะท้อนความในใจของประชาชนออกมาอย่างชัดเจน แม้ข้อสรุปที่ได้มาจากกลุ่มตัวอย่างก็ตาม

ไม่เพียงแค่นี้ การเคลื่อนไหวขององค์การสหประชาชนที่แสดงความกังวลผ่านโนเอลีน เฮย์เซอร์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำเอเชียแปซิฟิกหรือ UNESCAP โดยเฉพาะประเด็นวิกฤตการณ์น้ำท่วมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจก่อให้วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมตามมา

แต่นั่นยังไม่น่าห่วงเท่ากับคำวิจารณ์ของเจอร์รี เวลาสเควซ เจ้าหน้าที่อาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำหน้าทีประสานงานตรงกับศูนย์ยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศด้านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติของสหประชาชน ที่ระบุว่า ประเทศไทยมีหน่วยงาน 8 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาน้ำในประเทศ แต่กลับไม่มีกรอบการดำเนินการที่ครอบคลุมครบถ้วนในการจัดการเรื่องน้ำ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญและไม่ใช่ปัญหาเฉพาะแค่ไทย แต่เป็นปัญหาที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในขณะนี้เผชิญอยู่เช่นเดียวกัน

“ในระยะยาว ไทยจำเป็นต้องจัดทำกรอบการดำเนินการที่ครอบคลุมและครบถ้วน เพื่อจัดการกับภัยพิบัติต่างๆ โดยเฉพาะอุทกภัย” นี่เป็นข้อเสนอแนะของเขาที่ฝากถึงรัฐบาลไทย

พัฒนาการเหล่านี้กำลังตีแผ่มุมมองของคนไทยด้วยกันและองค์การระหว่างประเทศต่อการจัดการน้ำท่วมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งอาจพัฒนาเป็นความเสี่ยงที่มีผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้ หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขสถานการณ์และปรับแนวทางบริหารจัดการวิกฤติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

วันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.2011

ที่มา สื่อสารความเสี่ยง-ข้อเท็จจริงภัยพิบัติ บทเรียนจาก “แคทรินา” ถึงไทย | ThaiPublica

 

เปิดตัวหนังสือ “บันทึกของลูกช้าง"​

เผยแพร่เมื่อ 19 มี.ค. 2015​

นานมีบุ๊ค และ มูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม เปิดตัวหนังสือวรรณกรรมเยาวชน ถ่ายทอดเรื่องของช้างไทย ผ่านตัวหนังสือ โดย “กัญจนา ศิลปอาชา” ในเรื่อง “บันทึกของลูกช้าง”

 

หญ้าแฝก...กำแพงธรรมชาติที่มีชีวิต​

อัปโหลดเมื่อ 26 ม.ค. 2012​

 

พระราชวังเมืองเกษตร​

อัปโหลดเมื่อ 5 ก.พ. 2012​

 

ภูมิปัญญาชาวปกาเกอะญอ​

อัปโหลดเมื่อ 3 มิ.ย. 2011​

 

คนค้นฅน - มุเสาะ แห่งขุนเขา​

เผยแพร่เมื่อ 1 ก.ย. 2012​

 

คนค้นฅน - ชาวนาเงินล้าน​

เผยแพร่เมื่อ 29 ก.ค. 2012​

 

คนค้นฅน - กฤษฏา รากแก่น​

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=Pjhs0WGi1h4"]YouTube[/ame]

เผยแพร่เมื่อ 15 ม.ค. 2013​

 

ชุมชนเครื่องปั้นดินเผา เกาะเกร็ด​

เผยแพร่เมื่อ 13 ส.ค. 2014​

 

เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน​

เผยแพร่เมื่อ 9 ธ.ค. 2012​

 

เป็นอยู่คือ สมลักษณ์ ปันติบุญ​

เผยแพร่เมื่อ 8 มี.ค. 2012​

 

เป็นอยู่คือ - บ้านไทยใครอยู่​

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=RzjVK41JunI]YouTube[/ame]

เผยแพร่เมื่อ 24 มี.ค. 2012​

 

คนค้นตน : ผีบ้าห่วงแผ่นดิน​

เผยแพร่เมื่อ 29 มิ.ย. 2013​

 

รายการไทยเท่ - เจ้าชายผัก​

เผยแพร่เมื่อ 20 ก.พ. 2014
เจ้าชายผัก - คุณนคร ลิมปคุปตถาวร
ออกอากาศวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2557
ไทยเท่ - รายการที่นำเสนอเรื่องราวของคนไทยที่ทำอะไ­รเท่ๆ​

 

ปรุงดินและสวนผักแนวตั้ง​

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=d64pbfn3y1E]YouTube[/ame]

เผยแพร่เมื่อ 3 ก.ค. 2013​