เหรียญบิน หลวงพ่อทรง - แพโบสถ์น้ำ หลวงตา (เล็ก) น. ๑๒๖๕

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย พี เสาวภา, 7 เมษายน 2008.

  1. benay

    benay เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    12,283
    ค่าพลัง:
    +15,617
    [/QUOTE]

    ได้ข่าวว่ารุ่นนี้ช่างหมดธูปไปเป็นห่อๆ แฮ่ๆ
     
  2. SANOR

    SANOR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +139
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่เกลี้ยง สาธุครับ
     
  3. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    ได้ข่าวว่ารุ่นนี้ช่างหมดธูปไปเป็นห่อๆ แฮ่ๆ[/QUOTE]

    น่าจะหลายห่อ ไม่จุดงานไม่เดิน น่าจะเข็ดไปพอสมควร แต่ฝีมือเขาดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2015
  4. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    ท่านเป็นพระดี น่ากราบ น่าใกล้ชิด แต่ผมมาเจอท่าน ท่าน ๙๗ แล้ว น่าเสียดาย
     
  5. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    อันนี้เกลา สำนวนล่าสุดครับ


    [/QUOTE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2015
  6. cc5922

    cc5922 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    4,193
    ค่าพลัง:
    +16,973
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่บุญศรี หลวงพ่อทรง ครับ
    โมทนาบุญใส่บาตรในทุกๆเช้าและกิจอันเป็นกุศลที่เกิดอย่างต่อเนื่องของบ้านนี้ครับ สาธุ

    พอเข้ามาบ้านได้เห็นของดีของหลวงปู่เล็กเลยครับ สาธุ
     
  7. puniw

    puniw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    768
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,092
    จาก นสพ.คมชัดลึก วันนี้ครับ :cool:



    <a href="http://www.uppic.org/share-1B63_550D42CB.html"><img src="http://www.uppic.org/image-1B63_550D42CB.jpg" border="0"></a>

    เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อยกับพลังศรัทธาของ'ณัฐเศรษฐ รัตนพิภพ'
    เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อยกับพลังศรัทธาของ'ณัฐเศรษฐ รัตนพิภพ' : พระเครื่องคนดัง เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู
    “พระครูสุภัทรธรรมโสภณ” หรือหลวงพ่อทรง ฉันทโสภี วัดศาลาดิน (วัดมอญ) ต.ม่วงเตี้ย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับการขนานนามจากลูกศิษย์ว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย”

    วัตถุมงคลที่หลวงพ่อทรงจัดสร้างขึ้น ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมาก เนื่องจากมีพุทธคุณครอบจักรวาล โดดเด่นในหลากหลายด้าน ทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี ที่เสาะหากันอยู่ขณะนี้ ได้แก่ เหรียญใบเสมา รุ่นเหรียญบิน ๒๕๑๓, เหรียญบาตรน้ำมนต์, พระกริ่งบาเก็ง รวมทั้งสมเด็จยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ เป็นต้น

    “ผมแขวนเต่าทองเหลืองหลวงพ่อทรงเพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแขวนแล้วทุกอย่างจะราบรื่น" นี่คือคำยืนยันของนายณัฐเศรษฐ รัตนพิภพ ทายาทสวนอาหาร "กระท้อน ไก่ลอยฟ้า" ริม ถ.นางนา-ตราด กม.๑ ตรงข้ามไบเทค บางนา

    ส่วนเรื่องการสะสมพระเครื่องนั้น นายณัฐเศรษฐ บอกว่า เป็นมือใหม่เริ่มสะสม โดยมีความเชื่อว่าสะสมพระเครื่องดีกว่าฝากเงินไว้กับธนาคาร แต่ต้องเป็นพระแท้เท่านั้น พระเครื่องที่มีมากคือ หลวงพ่อทรงวัดศาลาดิน นอกจากนี้ยังมีพระกริ่งชินบัญชรหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ เหรียญหลวงปู่สี อายุยืน วัดเขาถ้ำบุญนาค จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก "ทุกครั้งที่เช่าเหรียญหลวงปู่สีจะได้เงินข้ากระเป๋าอย่างไม่คาดคิด"

    เมื่อถามถึงที่มาของ “ไก่ปูนปั้น ไก่เงิน ไก่ทอง รวมทั้งไก่ชน” ที่ตั้งอยู่หน้าร้าน บริเวณหน้าประตูทางเข้าสวนอาหาร "กระท้อน ไก่ลอยฟ้า" นายณัฐเศรษฐ บอกว่าเป็นไก่ที่พ่อ (ธงชัย รัตนพิภพ) ซื้อมาโดยมีความเชื่ออว่า “ใช้...ไก่แก้วไว้จิกเรียกคนเข้าร้าน” แรกๆ มีเพียงตัวเดียว จากนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไก่เงิน ไก่ทอง รวมทั้งไก่ชนทั้งเล็กและใหญ่เกือบ ๕๐ ตัว เป็นไก่ที่พ่อใช้เป็นเครื่องรางแทนนางกวักเรียกคนเข้าร้าน โดยทุกๆ วัน ก่อนเปิดร้านเขาจะเอาน้ำเปล่าและข้าวเปลือกไปเซ่นไหว้ไก่”

    "เครื่องรางและวัตถุมงคลเป็นของคู่กันสำหรับร้านค้า สุดแล้วแต่ใครจะเชื่อ คนจำนวนไม่น้อยอาจจะมองเป็นเรื่องเหลวไหล อีกมุมหนึ่งก็เป็นเครื่องสร้างขวัญและกำลังใจได้เป็นอย่างดี อย่างคำพูดที่ว่ามีขวัญและกำลังใจดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคุณภาพและบริการ" นายณัฐเศรษฐ กล่าวทิ้งท้าย

    คำสอนของหลวงพ่อทรง

    เมื่อครั้งที่หลวงพ่อทรงมีชีวิตอยู่ นายณัฐเศรษฐ บอกว่า ถ้ามีพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลที่ไหนจะต้องเห็นหลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน นั่งปรกปลุกเสกกับพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัย ความเป็นเอกอุด้านไสยเวทวิทยาคมไม่แตกต่างกัน

    แม้ว่าท่านจะเป็นเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า เป็นที่เลื่องลือไปทั่วภาคกลาง แต่การเข้ากราบไหว้ขอพรจากท่านมิใช่เรื่องยากเย็น ทุกคนมีโอกาสเสมอเหมือนกันหมด ไม่มีผู้ใดกีดกัน ท่านมักจะนำวิชาความรู้ด้านวิทยาคมเป็นกุศโลบายในการอบรมสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชนทั่วไป ให้ยึดหลักธรรมคำสั่งสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา เป็นวิถีสำคัญในการประพฤติปฏิบัติตน

    หลวงพ่อทรงมักพูดย้ำอยู่เสมอว่า “วัตถุมงคลทั้งหลายล้วนเข้มแข็งด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ” รวมทั้งท่านจะกล่าวสอนลูกศิษย์อยู่เสมอๆ ว่า

    “การทำจิตใจให้สงบ รู้จักปล่อยวางในสิ่งต่างๆ อย่าไปยึดติดกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิระลึกถึงปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำสั่งสอนของท่านเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด หาคำสอนใดมาเปรียบเทียบมิได้เลยทีเดียว และการที่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นอะไรที่ประเสริฐที่สุดแล้วในชาตินี้”
     
  8. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    914
    ค่าพลัง:
    +1,470

    รบกวนถามพี่พีเพิ่มเติมครับ ว่าหลวงปู่เล็กจะอยู่โรงพยาบาลถึงวันไหนครับ
     
  9. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    ไม่มีกำหนดครับ
     
  10. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    กราบ ๆ ๆ หลวงพ่อทรง ครับ
     
  11. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    ผมรอข้อมูลรูปถ่าย เรื่องเหรียญ เจริญสุข เมื่อได้ครบ จะบรรยายต่อให้ครบน่ะครับ
     
  12. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    914
    ค่าพลัง:
    +1,470

    ขอบคุณมากครับพี่พี

    ประมาณสิ้นเดือนนี้ว่าจะไปกราบท่านครับ
     
  13. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    [/QUOTE]

    รอยนี้ พอช่างเจอก่อนจะปั้ม ได้บอกลูกศิษย์น่ะครับ ว่าแปลก ขนาดเหล็กบล็อคชุบแข็งนี่ เอาตะปู มาตอกที่ผิว ตะปู ยังเด้งเลยท่านที่เคยทำเหรียญน่าจะพอทราบ เพราะต้องชุบให้แข็งเพราะจะต้องทำปั้มเหรียญเป็นหมื่นๆเหรียญ ถ้าไม่แข็งปั๊มไป แม่พิมพ์เยิน ชำรุดก็ทำงานต่อไม่ได้

    รอยนี้ขึ้นกับโลหะที่ปั้มเหรียญด้วยครับ เหรียญแรกๆที่ปั้ม ด้วย ทองและ เงินรอยจิกนี่จะเห็นชัด แต่พอ ปั้มทองแดงที่เป็นโลหะแข็งกว่า ปั้มไปเรื่อยจะแทบมองไม่เห็นรอยน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2015
  14. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    หลวงปู่ เล็ก วัดทำนบ

    คนเรามันมีอะไรที่อยากทำ ชอบทำ และ มีอะไรที่ไม่อยากทำ เลยไม่ทำ หรือ จำใจทำ

    แต่การเขียนเรื่องหลวงปู่เล็ก วัดทำนบ เป็นสิ่งที่ผมอยากทำที่สุด ไม่ต้องมีใครมาสั่ง ไม่มีอะไรบังคับ มันมาจากใจ ผมได้มีวาสนาเจอท่านก็ประมาณ ปี ๒๕๕๑ หรือ ๒๕๕๒ หลังจากหลวงพ่อทรง ล่ะสังขารไป ไปทราบเรื่องหลวงปู่มาจาก หลวงพ่อเสียน และ เสี่ย เบ็น พอมาปรึกษากับหลวงพ่อเสียนจะไปกราบ หลวงปู่เล็ก วัดทำนบครั้งแรก หลวงพ่อ เสียนท่านบอกว่า

    มึงเล็งแนวให้ดีๆเลยน่ะ เข้าไปน่ะ ถ้าไม่ดี ถอยมาตั้งหลักก่อน

    ผมหัวเราะ เจอพระมาเป็นร้อยอะไรจะขนาดนั้น แต่ก็หวั่นๆอยู่นิดๆเหมือนกันขนาดพระผู้ใหญ่แบบหลวงพ่อเสียนยังเตือน

    แต่อย่างว่า ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ ไม่เข้าถึงพญามังกร ก็ไม่ได้แก้วมังกร

    แต่ผมอาศัย หน้าด้าน และ ความคิดไม่อยาก ตอนไปหาพระ ไม่เอาโน่น เอานี่ ขอนั่นขอนี่ เรียกว่ากะว่า จะไปกราบท่าน ไปดูว่างั้นเถอะ ท่านอายุมากแล้วตอนนั้นประมาณ ๙๐ พรรษา จะว่าไปคนอายุขนาดนี้ ท่านก็หง่อมมากแล้ว จะเดินท่านก็ค่อยๆเดิน เล็งอยู่นานกว่าจะเดินไปหน่อยแล้ว จะไปพยุง หรือ ช่วย ท่านขยับมือเลยว่าไม่ต้อง

    การพบท่านครั้งแรกเลยไม่มีอะไรมาก พุดคุยกันนานพอสมควร ด้วยผมเป็นคนชอบถามถ้าเห็นโอกาศ แต่ต้องดูแนวแบบเคล็ดหลวงพ่อเสียนท่านว่า ก็พูดคุยกันด้านประวัติท่านมาจากไหน อย่างไร ท่านก็เมตตาเล่าให้ฟัง ก่อนจะกลับ ท่านยังล้วง เหรียญ หลวงพ่อวัดกุฎิ รุ่น ๒ ในตู้เหล็กมาแจกผมซ่ะอีก เล่าให้ฟังเสร็จ ว่าลงทุนไปล้านหนึ่ง ( ไม่ได้บอกว่าเงินใคร ) ยังไม่ได้ทุนคืนเลย ตอนเสก ท่านจุดธูป บอก อาราธนา สมเด็จพุฒาจารย์ โต ( อันนี้ฟังไม่มีผิด ชัวร์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ) ให้ท่านมาเสกให้ และ เอาไปเสกอีกหลายที่ ที่ กทม

    ผมไปเล่าให้เสี่ย เบ็น ฟัง เสี่ยเขายังว่า พี่ได้มายังไง ท่านแจกแน่หรือ คนแถวนั้น ยังไม่ค่อยจะมีใครได้เลย ไปกราบท่าน ล้วงมาแจกเลย น่าจะเป็นเพราะท่านทราบว่าผมชอบของฟรี ชอบเล่นหาของแบบนี้ เหรียญนั้น ผมเก็บอย่างดี ตอนหลังพา ครอบครัวมา ท่านแจกอีก คนล่ะเหรียญ พามาอีกครั้งท่านแจกสมเด็จวัดเกศไชโยให้ ไปเล่าให้เสี่ยเบ็นฟัง เสี่ยเบ็นก็ยังง อีกว่า สมเด็จ ท่านล้วงเอามาแจกเหรอครับ

    เหรียญหลวงพ่อวัดกุฎฺ รุ่นสองนี้ ศักดิ์สิทธิ์มาก แฟนผมกำลังมีปัญหา ด้านงานพอดี เลยไปกราบอธิษฐาน ที่ศาลาท่าน ปรากฎ ว่าผ่านฉลุย เลยไปเอาเหรียญ รุ่นนี้ไปเลี่ยมทองแขวนคอ หลวงพ่อวัดกุฎิ นี้ หลวงปู่เล่าว่าแต่ก่อน ( ไม่บอกว่านานเท่าไหร่ ) มีองค์เดียวชำรุด ชาวบ้านเลยซ่อมแล้วสร้างมาอีกองค์ ที่เห็นนั่งคู่กัน แล้วพอน้ำท่วม ท่วมถึงถนน แต่ไม่ท่วม ศาลา หลวงพ่อวัดกุฎฺิ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ฟังจาก เสี่ยเบ็นว่า แต่ก่อนเฮี้ยนมาก ผีก็ดุ แต่หลังๆท่านเงียบๆไป

    ผมก็ไปมา หาสู่ท่าน พาแม่ผมไป คุณแม่ผมเกิดปีเดียวกับท่าน เป็นสหชาติ เลยคุยกันเรื่องเก่าๆเข้าใจ จากนั้นก็ไปอีกหลายครั้ง ทั้งพ่อ ตาแม่ยาย ลูกหลานพาไปกราบท่านหมด ท่านแจกพระให้ทุกๆคน

    จนผมได้มามีโอกาส ทำรูปอัดกระจก ล็อคเก็ต และเบี้ยแก้ ถวายท่าน ก็เริ่มไปมาหาสู่ท่านประจำ จนท่านเข้าโรงพยาบาล วิชัยยุทธ ( ยังมีต่อ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2015
  15. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    ที่ผม intro เรื่อง หลวงปู่เล็กมา จะเล่าต่อที่เจอมาก็หลายเรื่องแต่ เนื้อที่อยากจะเล่าวันนี้ก็คือ อุปนิสัยนักบวชของท่าน

    ผมไปหาพระดีๆมาเยอะ เจอที่ไม่ค่อยชอบก็เยอะ ( ด้วยเหตุผลส่วนตัว ) ครูบาอาจารย์ทางพระสอนมาว่า พระเคร่งๆ ( เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ) พอปฏิบัติตัวเคร่งๆไปในพรรษาแรกจนแก่พรรษาขึ้นเรื่อย เรียกว่าจนชินน่ะครับ กิริยามารยาท การวางตัว มารยาทน่ะ นางงามยังสู้ไม่ได้ จะเดินจะเหิน จะนั่ง จะแต่งตัวครองผ้า จะฉันอาหาร จะเรียบร้อยดูธรรมชาติ สำรวมแบบ ธรรมชาติ ไม่ใช่ fake ให้ดู พระแบบนี้หายากหน่อย เพราะว่า ตอนพระพุทธองค์ท่าน กำหนดพระธรรมวินัย ด้าน กิริยามารยาท องค์สมเด็จพระทศพล ท่านเป็นลูกกษัตริย์ เกิดมาเป็นเจ้า ท่านมีในสายเลือด ขัตติยา ราชวงศ์ ศากยะ ท่านได้รับการอบรมมาตั้งแต่ จำความได้ และมีในสายพระโลหิต พูกภาษาชาวบ้านท่านเป็นเจ้าน่ะครับ จะ เสวย จะเดิน จะ นั่ง จะนอน จะพูด จะถูกอบรมมาแต่ยังเด็กๆ จนเป็นธรรมชาติ กริยา มารยาท เรียบร้อย จะพูด จะจา ภาษาคำพูด จะกิน จะนอน ดูดี เป็น ระเบียบ ตามนิสัยเจ้า

    พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ออกประกาศพระศาสนา ท่านก็บวชกุลบุตร มาช่วยเสริมกำลัง เผยแพร่ พระศานา ซึ่งในยุคนั้น ศาสนา พราหมณ์ ครองความยิ่งใหญ่มาหลายพันปี การประกาศศาสนาใหม่ ต่อต้านความคิดเดิมๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องมี กุศโลบายหลายอย่างเพราะเจอการต่อต้าน จากเจ้ากูในลัทธิเดิม

    กำลังของพระภิกษุ ในยุคแรก ๆท่านได้มาจาก พระปัญจวัคคีย์ และ พวกเจ้า ที่เป็น พระญาติที่ตามมาบวช ต่อมา พวก ลูกหลาน เศรษฐี ในวรรณะสูง ที่เห็นในทุกข์ พวกพราหมณ์ยังมี พวกที่ตามพระองค์มา เนื่องจากเป็นคนมีความรู้ เป็นคนวรรณะสูง เป็นนักบวชมาแล้ว กิริยามารยาท ยังไปในแนวดี แต่พอมาเรื่อยๆ คนมาบวชมาขึ้น มาจากวรรณะที่ต่ำกว่า เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งประชาธิปไตย ไม่ว่ามาจาก วรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ หรือ จัลฑาล ชาวไร่ ชาวนา ก็มาขอบวชได้ ถ้าคุณสมบัติผ่าน คือไม่ใช่ คนต้องโทษบ้านเมืองมา ไม่ใช่คนขี้เรื้อนกุฎฐัง ไม่ใช่พญานาคแปลงมาบวช ฯลฯ ( ตอนที่พวกเราบวช พระคู่สวดจะถามท่านเป็นบาลีน่ะครับ ) ถ้าคุณสมบัติครบ บวชได้ครับ เมื่อบวชเเล้ว ก็มีหนึ่งเสียงเท่ากัน ทำสังฆกรรมร่วมกัน นักถือกันตามอาวุโส ที่บวชก่อนหลัง ไม่ใช่เคารพกันตาม วรรณะหรือ ความมีสตังค์

    ถ้าเป็นพวกที่เรียบร้อยมาแต่เดิม ก็ทำตัวเรียบร้อย แต่ลูกชาวบ้านนี่สิครับไม่ได้ ฝึกกันมา การกิน การเดิน การพูดจา ไม่สำรวมว่างั้นเถอะ จึงต้องมี พระธรรมวินัย คือ ง่ายๆเป็นทหารต้องมีวินัย เมื่อมาบวชเป็นพระต้องมีพระธรรมวินัย ว่าด้วยสิกขาบทต่างๆ ให้มีกริยามารยาท สำรวมเรียบร้อย ไม่ให้ชาวบ้าน ติฉินนินทา ว่าเป็นพระสมณศากยบุตร แต่ทำตัว กระโดก กระเดก กินเสียงดังคุยกันเหมือนกับอยู่ในตลาด อะไรแบบนั้น แต่ต้องสำรวม และ มีสติ อยู่เสมอ ว่ามายาวให้เข้าใจว่า คนอินเดียสมัยโบราณเวลาท่านด่าหรือ นินทา กันท่านด่าถึงโคตรเหง้า ประมาณนั้น

    หลวงปู่เล็กเป็นแบบนั้นครับ ท่านจะสำรวม แม้บางครั้ง จะดุพูดเสียงดัง ( แกล้งทำไปอย่างนั้นแหละ ) แต่ ท่านจะสำรวมมีสติตลอด กราบขอประทานโทษ ขนาดท่านนอนป่วย ท่านยังแต่งตัว ครองจีวร มีผ้ารัดอกอย่างดี แบบ เราใส่เครื่องแบบตอนทำหน้าที่ หรือ ใส่สูท ไปงาน ท่านก็ใส่เครื่องแบบผ้าสามผืนของท่านเต็มที่ เรียกว่าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมีสติตลอดเวลา แม้จะไม่มีใครมาดู แม้จะ อนุมานว่าท่านเป็นพระป่วยไข้

    ผมไปหาท่านหลายที เห็นท่านครองผ้าอย่างดีทุกที แม้ในรูปเก่าตอนทำงานลานวัด จะเห็นท่าน ครองแค่สบง หรือไม่ใส่สบง แต่เป็นในรูป ตัวเป็นๆ ผมเห็นท่าน สำรวม แต่งกายครองผ้าอย่างดีทุกครั้ง ของนี้เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมชอบสังเกตุ และ ทึ่งครับ

    คนอาจจะพูดถึงหลวงปู่เล็กหนักไปในด้าน อภินิหาร แต่ผมว่า ศีลาจารวัตร ความเคร่งในศีลของท่านนี่แหละ คือ อภินิหาร ของผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2015
  16. JLB

    JLB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,180
    ค่าพลัง:
    +8,080
    ผมชอบบทความของพี่พีมาก อ่านแล้ว น่าติดตาม และ อ่านเพลินมากครับ
     
  17. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    ว่าจะเข้าเรื่องเหรียญ เฉไปเรื่องด้านอื่นด้วยความอยากเขียน แต่ที่อยากจะพูดคือ การ ปรุงธาตุ ครับ

    พระสมัยโบราณ ท่านจะเล่นเรื่องแม่ธาตุ ที่หลักๆคือ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ

    คนเราจะขลัง หรือ ทำอะไรขลัง มันพอมีหลักว่า จิตต้องมีสมาธิ หรือ ครู ( ครูบาอาจารย์ เทวดาที่คุม มาต่อวิชา ) เขาแรง

    การทำให้ขลัง คนสมัยก่อน จะทำให้เกิด สมาธิ เอาแบบง่ายๆจิตให้มั่น หากกลั้นลมหายใจ แล้วว่าพระคาถา ใน หนึ่งคาบหรือ ๑ กลั้นลมหายใจ ( ๗ หรือ ๙ครั้ง ) การกลั้นลมหายใจก็จะทำให้เกิดสมาธิได้ ระดับ ขณิก สมาธิ หรือ ดีหน่อยขั้นอุปจารสมาธิ

    แต่ผู้ที่ฝึกดีขึ้น จะฝึกให้นิ่ง ( อันนี้อาจจะฝึกนานหน่อย ถ้ามีวาสนา ) อัปปนาสมาธิ คือ นิ่งนาน และถ้านิ่งลึกไปนานๆ จิตจะรวม เข้าตามลำดับ ของ ญาณ ญานที่สูงสุดของด้านโลกีย์ คือ ญาณ ๔ ท่านใดที่สนใจลึก หาตำราอ่านเอาน่ะครับ ท่านเหล่านี้จะได้ ญานสมาบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2015
  18. JLB

    JLB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,180
    ค่าพลัง:
    +8,080
    การกลั้นลมหายใจก็จะทำให้เกิดสมาธิได้

    อันนี้เรื่องจริงครับ

    ปล.วันนี้ว่างๆ ขอติดตามกระทู้พี่พี แบบ real time ครับ อิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2015
  19. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    ในทางพุทธ องค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นพบ วิปัสสนา ซึ่งก้าวข้าม ญานโลกีย์ ( ที่ พราหมณ์ ค้นพบ และ เรียกว่า สามารถนิพพานในญานสี่ คือ นิ่งไปหมด เป็นจุดสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ คือ เป็นพรหมแล้ว )

    การก้าวข้ามด้วย วิปัสสนาญาน ญานรู้ ญานรู้นี้ทำให้เห็นแก่นแท้ของ โลก เห็นธรรม และ เห็นกิเลสที่มา เกาะติดอยู่ข้างสมถะญาน และ สามารถ ทำลายกิเลสนั้นให้หมด ไปได้ เมื่อ รู้ เมื่อเห็น ด้วยวิปัสสนาญาณ

    ถ้าไม่รู้ ไม่เห็นกิเลสศัตรู ก็ไม่สามารถทำลายศัตรูได้ได้

    กำลัง ของ สมาธิและ ญาณเหล่านี้พัฒนาขึ้นมา ถ้า ขณิก คือ มีกำลัง ความสว่างแค่ หัวไม้ขีดไฟ

    ขนาดของ อัปปนาสมาธิ ก็คงเหมือน แบตเตอรี่

    ขนาดของ ญาณสมาบัติ คงเหมือนที่ โรงงานไฟฟ้า

    แต่วิปัสสนาญาณ ของพระอริยเจ้าไปเทียบคงเหมือนดวงอาทิตย์ ยิ่งสูงบารมีขึ้นไปคงเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์หลายๆดวง

    ที่ยกตัวอย่างมา เพื่อให้เห็นว่าขนาดและ กำลัง บารมี ไม่สามารถเทียบได้ เพราะการ รู้ การเห็น การก้าวข้าม ภพ และ ชาติ มีกำลัง ความใสสว่างมากกว่ากันเยอะ

    การปรุงธาตุ ตามหลักไสยศาสตร์ ครูท่านจะสอนเปรียบไว้ว่า

    นะ คือ ธาตุ น้ำ

    โม คือ ธาตุ ดิน

    พุท คือ ธาตุ ไฟ

    ธา คือ ธาตุ ลม

    ยะ คือ อากาศธาตุ หรือ วิญญาณธาตุ

    ในธรรมชาติ เมื่อธาตุเหล่านี้มาประชุมกันและ อยู่ในสมดุลย์ ( equilibrium ) ดิน น้ำ ไฟ ลม และ อากาศ ของชิ้นนั้น จะคงตัว ไม่เคลื่อนไหว

    แต่ถ้ามีขบวนการทางเคมี เกิดขึ้น มีตัวเร่งปฏิกิริยา ( catalyst ) และมีสารเคมีตัวอื่น มาเร่ง ธาตุหนึ่งให้ทำปฏิกริยา สะสารนั้น จะเกิดขบวนการทางเคมีแปรสภาพไปเป็นอีก แบบ อีก แบบ เปรียบเหมือน เอา ส่วมผสม มาเป็นแบตเตอรี่ มีสารเคมีเป็นตัวเร่ง มีน้ำเป็นตัวทำละลาย แบตเตอรี่ก็ สามารถทำงานได้ มีกระแสไป เป็นของเป็นขึ้นมา

    ในทางไสยศาสตร์ ใช้จิต เป็นตัวเร่ง โดยหนุนธาตุ ชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นมา เมื่อทำวิชานั้น หนุนธาตุนั้นๆขึ้นมา ให้ธาตุนั้นโดดเด่น เช่นทำวิชา ด้าน เสน่ห์ เมตตา มหาอุด ก็หนุน ธาตุ อาโปขึ้นมา

    ใช้ในการการทำวิชา กำบัง ล่องหน ก็หนุนธาตุลมขึ้นมา ทำวิชา เชิญครูด้านนั้นๆมา ประจุพระคาถา บรรจุ พระยันต์ด้านนั้นลงไป

    ๑)กำลังนี้ ถ้าใช้ ขณิก หรือ อุปปจาร หรือ อัปปนา สมาธิ ก็มีกำลังอย่างหนึ่ง อยู่ได้นาน ระยะหนึ่ง

    ๒) แต่ถ้าเป็นผู้มีญาณสมาบัติ ก็ใช้กำลังอีกอย่างหนึ่ง มีประสิทธิภาพ ขนาดหนึ่ง และ อยู่ได้คงทนกว่ามากขึ้น

    แต่ถ้าผู้นั้นได้ ญานสมาบัติ สำเร็จกสิน และ มีวิปัสสนาญาน ก้าวข้าม ๑ ๒ มาแล้ว ซึ่ง ๑ และ ๒ เป็นแค่ของเล่น ฝึกจิตให้มีกำลัง และ ถ้าผู้เป็น ผู้สิ้นอาสวแล้ว ปราศจากกิเลสมาเกาะกุม เห็นชัดเจนว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ บารมีสูง ธาตุที่หนุนขึ้นมาจะเป็น จะเป็นอมตะ ในอายุอยู่ชีวิตของพระศาสนานี้

    การทำวิชาต่างๆ ใช้การหนุน ธาตุ ต่างๆ ธาตุบางอย่างหนุนมาแล้ว พร้อมๆกันจะขัดกัน เช่น น้ำ ขัดกับ ไฟ หรือ ดิน ขัดกับ ลม ท่านที่สำเร็จแม่ธาตุ สำเร็จมาหลายๆวิชา ท่านจะเรียง ลำดับก่อนหลัง ให้ วิชา และ ธาตุเหล่านั้น แสดงตัวไม่ขัดกัน เป็นศาสตร์และ ศิลป ของ พระอริยะ ผู้ทรงญาณจะทำได้ จะเห็นว่าในอดีต พระปรมาจารย์ท่านทำพระเครื่อง เครื่องรางอย่างใดขึ้นมา จะเด่น นำหน้าไปอย่างหนึ่ง เช่นคงกระพัน แต่ก็ยังแฝงไปด้วยอีกอย่างตามมา เช่นกำบัง ล่องหน ถ้าเก่งมาก เด่นหลายด้านและ แฝงมาอีก หลายวิชา

    วิธี เปิดกลไก วิชา เหล่านั้นท่านก็ อธิษฐานให้ พระคาถาไว้ ว่าพระคาถาใด เน้นด้านใด

    แต่ถ้าสุดยอด ไม่ต้องใช้พระคาถา ให้ อธิษฐานเอา เอาด้วยจิต

    ยันต์ นะ โม พุท ธา ยะ นะ ชา ลี ติ ก็การลงแต่แม่ธาตุ แล้วหนุนด้วย

    นะ โม พุท ธา ยะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ แล้วหนุนด้วยแก้วมณีโชติ หรือ ปั่นดวงกสินที่สำเร็จ เช่น กสินน้ำ นะมะมะนะ นะอะอะนะ นะอุอุนะ ( มะอะอุ )

    เมื่อพระคณาจารย์ท่านปรุงธาตุ หนุนธาตุแล้ว ลงวิชาแล้ว เป็นพื้นฐาน ท่านก็ใช้จิตของท่านสื่อไปเชิญครูบาอาจารย์ เทพ เทวดา มาอาลักษณ์ มาร่วมอธิษฐาน และ รับรู้ พวกครูบาอาจารย์ ก็มีครูบาอาจารย์ของท่านขึ้นไปอีก จะต่อกันขึ้นไป รวมทั้งเชิญ พรหม เทพ เทวดา มามากน้อยแล้วแต่กำลังบารมี

    และถ้าท่านก้าวข้ามไปแล้ว ของที่ทำนี้ จะเป็นแค่ ระดับของเล่น ท่านเลยไปไกลมากแล้ว ที่ทำให้ทำให้ด้วยการสงเคราะห์ ลูกศิษย์ ลูกหา ครับ

    อยากจะเขียนแค่นี้ เอาแค่นี้สั้น ๆ จะไม่สรุป พวกท่านไปคิดกันเองน่ะจ้ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2015
  20. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,295
    การแกะแม่พิมพ์เหรียญรุ่นเจริญสุข

    การขออนุญาต รูปแบบเหรียญและ ยันต์ ทางด้านลูกศิษย์ ก้นกุฎิ มีโชว์ ในกระทู้รักวัดทำนบ ( หลวงปู่เล็ก )แล้วน่ะครับ ช่วงนั้น เวลาจากที่คุณก่อ บันทึกไว้คือ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ หลังจากร่างรูป เอาไปให้หลวงปู่ท่านพิจารณา ในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ท่านอนุมัติ จึงสั่งแกะบล็อคน่ะครับ ส่วนจำนวนแล้วแต่เจ้าภาพครับ ไม่ได้กำหนดจากท่าน เรียกว่าท่านโปรด ช่วงนั้น ใครอยากได้ก็มาน่ะครับ ออกเงินกันเอง สำหรับตัวเอง เท่าที่มีกำลัง

    การแก้ แม่พิมพ์ เหรียญเจริญสุข หรือ รุ่นเล็บจิกนี้ มีด้วยกัน ถึง ๑๐ ครั้ง กว่าจะเป็นที่พอใจ ด้วยกันทุกฝ่ายและ กว่าหลวงปู่ท่านจะพอใจ

    ผมจะ เรียงให้เห็น การเปลี่ยนแปลงไปน่ะครับ แต่การแก้ ครั้งที่ ๑ ถึงครั้งที่ ๗ จะเป็นการแก้รายละเอียดต่างๆ เมื่อแก้แล้ว ช่างจะปั้ม เหรียญลองพิมพ์ ส่งเหรียญมาให้คุณ ชัยพร ซึ่งเป็น ลูกศิษญ์ ที่เก่งด้านช่างและ ศิลป ตรวจสอบ

    เมื่อดูแล้ว ปรึกษากันไม่พอใจ ก็สั่งแก้ เหรียญนี้จะเห็นว่าตรงศรีษะ ทุยๆออกมา และรายละเอียด ไม่เป็นที่พอใจ

    ผมเน้นกับคุณชัยพระว่า ต้องการแบบนูนต่ำ มีเส้นรายละเอียด ไม่เอาแบบ แกะโป่งออกมาเเบบเหรียญที่ทำกันใหม่ๆ ให้ทำแบบแนวโบราณ เรียบๆ ยันต์ก็ลง แบบเรียบๆ และ เส้นยันต์ต้องโป่งออกมา ไม่เอาแบบยันต์จมที่ช่างชอบเพราะทำง่าย และย้ำเลยว่า เหรียญต้องหนา บางๆไม่เอา ทองแดงต้องหนา เงินต้องหนา ส่วนทองคำ ทำตามน้ำหนัก ทองคำต้องกดไว้เรื่องการลงทุน เพราะ มีราคาสูง และ ต้องลง พ.ศ. เหรียญจำนวนมาก หลายวัด ทำแล้วไม่ลง พ.ศ. วัน สองวัน นี่ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ถ้าเป็นสิบๆปี ไป คนมาทีหลัง จะงง ว่ามา พ.ศ. อะไร ทันหลวงพ่อไหม เถียงกันไม่จบ เพราะต่างคนต่างไม่ทัน

    แก้ครั้งที่ ๑

    1.jpg

    รูปชัดจะตามมาและให้คุณชัยพรมาบรรยายว่าแก้อะไร ครับ เพื่อบันทึกไว้ ให้ จบ ในอนาคต ว่า กว่าจะสร้างออกมา พิถีพิถันอย่างไร และ รอนานแคไหน กว่าท่านจะให้ทำเหรียญรูปท่าน ออกในนามวัดทำนบ เป็นครั้งแรก ไม่ให้อายเขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...