เป็นกันไหม? ยิ่งปฏิบัติธรรมเข้าไปเรื่อยๆยิ่งเห็นความเลวของตนเองเยอะตามเป็นเงาขึ้นทุกที

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย kengloveyou, 1 มีนาคม 2015.

  1. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    เป็นกันไหม? ยิ่งปฏิบัติธรรมเข้าไปเรื่อยๆยิ่งเห็นความเลวของตนเองเยอะตามเป็นเงาขึ้นทุกที ทั้งกิเลส
    รัก โลภ โกรธ หลง ในตนเองมันเด่นมันชัดขึ้นทุกวัน รู้สึกว่ายิ่งปฏิบัติเข้าไปเยอะตนเองยิ่งจะเลวขึ้นตามทุกที
    เพราะแต่ก่อนอาจไม่เคยสนใจจิตใจตนเองมาก่อนก็เป็นได้ แต่ตอนนี้จิตมันทันกิเลสมากขึ้นหรือเปล่า
    เลยรู้และเห็นเงาหัวตัวเองว่ายังเลวมาก เลวระยำอีกเยอะ ยังชั่วมากๆเลย ถ้านับย้อนหลังไปผมจำความ
    ได้ว่า ตั้งแต่ผมพยามและได้ปฏิบัติรักษาศีล 5 ประการให้ครบถ้วนกว่าจะบริบูรณ์อย่างทุกวันนี้

    ผมใช้เวลาเกือบถึง 6 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ไม่น้อยเหมือนกันที่ธรรมได้อบรมตัวจิตเอง มาเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ไม่ค่อย
    ได้เน้นนั่งสมาธิหลับตาปี๋เท่าไร แต่ภาวนามันทุกลมหายใจเข้าออกทั้งลืมตาหลับตาไปเลย ปัญญาก็อาศัย
    สิ่งที่มากระทบใจ ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง ที่ใจมันกำลังพล่านๆแล่นๆอยู่นั้น เป็นเวทีจัดศึกหนักระหว่างกิเลสกับธรรม
    เวลาจิตใจเป็นปรกติก็ภาวนาไปเรื่อยๆคาถา วิระทะโย ที่ชอบถูกจริตผมก็ภาวนาของผมไปเรื่อยไม่
    ต้องนับรอบนับจบ นึกได้จิตมันจับมาภาวนาเอง จะนอนจะหลับไม่สนใจจิตมันภาวนาเองจนหลับ แต่พออารมณ์
    เครียดต่างๆ ทั้งถูกด่า ถูกนินทาว่าร้าย ทำงานแล้วเหนื่อย เบื่องาน เซงชีวิต เบื่อโลก ปัญหาต่างๆเข้ามารุมเร้า
    นั่นแหละคือว่าเวลาใช้ธรรมใช้ปัญญาที่มีที่รู้ที่เห็นเข้าไปจัดการให้มันเละกันไปข้างหนึ่ง ถ้าจิตใจเราเอาธรรม
    สู้กิเลสมันไม่ได้ ผลก็คือเราก็ต้องทนทุกข์ยอมเป็นทาสของมัน แต่ถ้าเรามีกำลังจิตใจที่แข้มแข็งกำลังธรรมะ
    ที่ตัดขาดๆ ก็จะทำให้จิตใจเรารู้สึกเฉยๆชาๆไปครู่หนึ่ง ถ้าใจมันตัดสินคงที่คำว่า "ช่างมัน ธรรมดา" ได้คือผลการ
    ต่อสู่แมทนั้นเรากำชัยชนะมาสู่จิตใจของเราได้ แต่ถ้าตรงข้ามกันก็อย่าพูดเลยคุณเอ๋ย รู้สึกและเป็นเหมือนกันทุกคน

    นี่คือข้อดีอย่างหนึ่งที่เรามีธรรมอยู่ในจิตใจ คือเรามีเพื่อนที่แสนดีที่จะคอยปกป้องเราจากภัยคือกิเลส
    ตลอดเวลา แต่จะสู้ได้หรือไม่ได้นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและกำลังใจของเรากับเรื่องนั้นๆอีกที แต่เมื่อยิ่งปฏิบัติ
    ธรรมมากยิ่งขึ้น ความจริงไม่ได้มากยิ่งขึ้น ก็ปฏิบัติแบบขี้เกียจๆเหมือนเดิม ไม่หักโหมปฏิบัติไปเรื่อยๆ
    ให้เป็นปรกติของชีวิต บางทีนั่งสมาธิได้แค่ 9นาทีไม่ไหวจิตมันพล่าน ก็ต้องยอมมัน แต่ทุกครั้งหลังจากที่
    นั่งสมาธิ ต้องให้กำลังใจตนเอง เราทำได้แค่นี้เราพอใจ เก็บเล็กผสมน้อยได้เราพอใจ วันหน้าเอาใหม่ ผมขอ
    ปฏิบัติแบบขี้เกียจๆแต่ได้ผลเป็นใช้ได้ ดีกว่าเอาเป็นเอาตายแต่เครียดผมไม่เอา จริตนิสัยผมมาแบบนี้ละมั้ง หุหุ
    ทำน้อยๆแต่ได้เงินเดือนมากๆนี่เอาชอบเลย แต่ก็นั่นแหละสิ่งที่แย่ๆและเลวในจิตใจเหมือนขยะที่กองไว้สูง
    ท่วมหัวยังมีอีกเยอะมาก เหมือนกับว่ายิ่งปฏิบัติยิ่งเห็นความเลวระยำของจิตมากขึ้นๆ ถ้าทุกวันนี้ใครชมผมว่าดีแล้ว
    ปฏิบัติได้ดีแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ ผมขอยืนยันและตอบได้เต็มปากเลยว่า ผมยังเลวอีกเยอะและก็เยอะมากๆซะด้วย
    จิตใจเรานี่มันฝังความเลวความระยำไว้เยอะจริงๆ

    "คุณเห็นตัวเลวระยำในใจของตนเองแล้วหรือยัง?"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มีนาคม 2015
  2. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    รู้จักตนยอมรับความจริงของตนคือก้าวที่2. เพราะก้าวแรกคือศีล สำหรับผู้ที่เข้าสู่แดนพุทธ ดินแดนแห่งความสุขเพราะพุทธศาสนาคือศาสนาแห่งความจริง แห่งปัญญาเมื่อรู้ความจริงยอมรับความจริงจึงเกิดอาการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เห็นทุกข์เริ่มจะหาเหตุแห่งทุกข์และจะเริ่มดับเหตุแห่งทุกข์น้้นแหละแก่นแท้ๆของศาสนาพุทธครับนอกนั้นเป็นแต่เปลือกเป็นประพี้เป็นสิ่งภายนอกที่มิใช่แก่นแกนสำคัญของศาสนาพุทธเลยครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2015
  3. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ถ้าเห็นว่าดี ก็ไปต่อไม่ได้

    ถ้าเห็นว่าเลว ยังไปต่อได้

    ต้องหาความเลว ต้องฝึกหา ทั้งกาย วาจา ใจ
     
  4. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เมื่อใจใสก็จะเห็นกิเลสชัดเจนขึ้น เหมือนน้ำขุ่นมองไม่เห็นอะไรเลย แต่พอใสขึ้นก็สามารถแยกแยะสิ่งที่อยู่ในน้ำได้ ยิ่งใสก็ยิ่งเห็นชัดเป็นเรื่องธรรมดา ใจยิ่งใสก็ยิ่งเห็นกิเลสได้มากขึ้น
     
  5. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    แปลกจริงแหะ ผมนี่เห็นตัวเองดีขึ้นทุกวันเลยไม่รู้ทำไม *-*
     
  6. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ขอบคุณ pongsanun ที่ตอบคำถามนี้

    เมื่อเรามีสติมากขึ้น เราก็ควรมองทั้งสองด้าน ว่ามีสิ่งใดอยู่บ้าง

    สิ่งใดมีประโยชน์มาก น้อย สิ่งใดมีโทษ มาก น้อย

    จะวางเรื่องไหนก่อน ยากแค่ไหน ต้องใช้เวลาแค่ไหน

    แต่ขอแนะนำว่าให้เลือกเรื่องที่คิดว่าง่ายสุดก่อน เพื่อสร้างกำลังใจ

    เรื่องใดที่มีประโยชน์ มาก น้อย ควรเพิ่มเรื่องไหน

    ก็คงเลือกเรื่องง่ายที่สุดที่ทำได้สบายๆเหมืือนกัน

    ต้องวางแผนที่จะสู้กับกิเลศบ้าง

    ในความคิดผม เราน่าจะ รู้ ตื่น เบิกบาน ในทุกขั้นของการปฎิบัติ

    ทำงานเหนื่อย นั่งไม่ไหว ก็นอนภาวนาจนหลับก็ดีเหมือนกัน
     
  7. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,333
    ค่าพลัง:
    +4,793
    ครับ เห็นเยอะเลย ครับ นึกว่าเราดีแล้วที่ไหนได้กิเลสตีหลังเราซะกระเจิง โดยเฉพาะวจีกรรมที่เราทำเพราะความคึกคะนอง สนองซะเราเซเลยทีเดียว พบว่าเรายังดีไม่พอ ยังสะสมอกุศลกรรมไว้เพียบ และพร้อมปฏิบัติได้ยามเผลอตัว
     
  8. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    ขอบคุณท่าน hastin ที่ชี้แนะนะครับ ผมพอเข้าใจอยู่ครับ ว่าการมองตัวเองว่าชั่วนั้น
    คนในที่นี้เขาหมายถึงอะไร ผมเลยยอมรับตามตรงเลย ว่าผมก็คนดีๆ ผู้ชายดีๆ เท่านั้นเองครับ 55 แต่โดยการให้ความหมายในใจผมนี้ ผมให้ แก้ไขชั่วกับต่อยอดดีก็เหมือนๆกันครับ
     
  9. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ผมเชื่อครับว่าท่าน pongsanun มองเห็นตัวเองเป็นแบบนั้นจริงๆ

    อ่านคำตอบของท่าน ทำให้ผมคิดได้ว่า ตัวเองก็ยังมองไม่ค่อยรอบคอบเหมือนกัน

    ได้ปัญญาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
     
  10. Ahimsa

    Ahimsa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +38
    ทำไมผมรู้สึกว่าผมเห็นอัตตาตรงที่ว่า เรารู้ธรรมะซึ่งเป็นของสูง แต่พอฟังอะไรที่มันไม่ตรงกับความเห็นเรา ดันรู้สึกอคติ อยากทราบจะแก้ไขตรงนี้อย่างไรดีครับ ทำอย่างไรให้ใจเราเปิดกว้างไม่อคติกับสิ่งรอบตัว เพราะช่วงนี้ฟังธรรมะเยอะมาก พอฟังอะไรทางโลกแล้วมันจะเหมือนขัดๆตลอดเลยคับ ขอบคุณครับ
     
  11. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    แน่นอนครับถ้าเรามองเผินแล้วเรื่องทางธรรม กับเรื่องทางโลกมันย่อมขัดกัน
    อย่างเห็นได้ชัด และมันจะชัดที่สุดถ้ามันขัดใจเรา แต่ถ้าพูดภาษาธรรมะ
    โลกุตรธรรมแล้วธรรมย่อมไม่ขัดกับโลก โลกย่อมไม่ขัดกับธรรม เพราะเรื่องของ
    โลกก็เป็นธรรม ถ้าถามว่าเรื่องของโลกเป็นธรรมตรงไหน ก็เป็นธรรมตรงที่โลก
    ย่อมมี สภาพเป็นอนิจจัง คือความไม่เที่ยง เมื่อมันไม่เที่ยงก็ไม่ต้องไปยึดมั่นกับ
    มัน ถ้าไปยึดกับความไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์อย่างนี้แล โลกย่อมมีสภาพเป็นทุก
    ขัง เมื่อมันเป็นทุกข์ก็ไม่ต้องไปยึดมั่นกับมัน ถ้าไปยึดมั่นกับความเป็นทุกขังก็จะ
    เป็นทุกข์อย่างนี้แล โลกย่อมมีสภาพเป็นอนัตตา เมื่อมันเป็นอนัตตาก็ไม่ต้องไป
    ยึดมั่นกับมัน ถ้าไปยึดมั่นกับความเป็นอนัตตามันก็เป็นทุกข์อย่างนี้แล เพราะ
    ธรรมดาสภาพของโลกมันเป็นมาอย่างนี้อยู่แล้ว และมันมีสภาพเป็นอย่างนี้ก่อนที่
    เราจะมาอาศัยอยู่กับร่างกายนี้เสียอีก

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละท่านว่าจะเห็นความจริงและยอมรับ
    นับถือความจริงที่สุดนี้ได้มากน้อยเพียงใด และทำได้เมื่อไร ถ้าถึงเวลาทุกเรื่อง
    จิตปลงลงที่ "มันเป็นธรรมดาของโลก โลกนี้มันมีสภาพเป็นธรรมดาอย่างนี้ ช่าง
    มันเถอะ จิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายกับเรื่องของโลกธรรมทั้ง 8 ได้ตลอดไป
    อย่างอัตโนมัติ" เมื่อนั้นแหละ ท่านไม่ใช่คนธรรมดาแล้วครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มีนาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...