ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    15. จักรวรรดิโรมันคืนชีพ
    โรมเฟื่องฟูมาตั้งแต่ก่อนสมัยจูเลียส ซีซ่าร์ด้วยซ้ำ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของระบบการค้าเสรี ช่วงสมัยสาธารณะรัฐ โรมมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รุ่งเรื่องกลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก แต่ความยิ่งใหญ่นี้ไม่ยั่งยืน
    สาเหตุเป็นเพราะโรมเป็นรัฐทหาร รัฐทหารคือโรม ระหว่างการสนับสนุนการค้าเสรี ดูแลหรือสนับสนุนการผลิตให้เติบโตอย่างมั่นคง กับการพิชิตอาณาจักรใหม่และดินแดนใหม่ผ่านการทำสงคราม อย่างใหนจะเป็นทางเลือกสำหรับโรม? จักรพรรดิยุคต่อมาไม่ว่าจะเป็นคลอดิอุส คาลิกูล่า เนโร และออกัสตัสเชื่อว่าการยึดเอาอาณาจักรใหม่และที่ดินทำกินของผู้แพ้สงครามจะเป็นวิธีเพิ่มอำนาจและความร่ำรวยให้โรมเร็วที่สุด ดีกว่าไปพิจราราเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการค้าตลาด เนื่องจากโรมมีกองทัพที่เกรียงไกรเข้มแข็งที่สุด ความร่ำรวยหลังไหลเทมาจากการทำสงครามชนะอาณาจักรใหม่
    ในเมื่อเลือกเดินนโยบายนี้ โรมต้องขยายตัวทางทหารไปเรื่อยๆ และต้องมีภาระในการดูแลการใช้จ่ายทางทหาร ชัยชนะต่ออิยิปต์ จูเดีย โกลและบริเวณใกล้เคียงทำให้โรมต้องใช้เงินถึง400ล้านเซสเตอร์เซส
    ทองคำเริ่มทะยอยหมดจากท้องพระคลังเพราะการค้าทีขาดดุลกับจีนและอินเดีย บวกกับภาระการใช้จ่ายทางทหารทำให้โรมมีอนาคตที่ไม่แน่นอน ทำให้ความมั่นคงทางการคลังของโรมเสื่อมลง เนื่องจากกองทัพมีการขยายใหญ่โตมากขึ้น โรมเริ่มมีปัญหาจ่ายค่าจ้างทหาร ทำให้เกิดความไม่พอใจ มีการหนีทัพ แปรพักตร์ และเกิดการจราจลต่อต้านรัฐทำให้ต้องสูญเสียเงินเพิ่มในการรักษาความสงบ
    จักรพรรดิเนโรแก้ปัญหาการคลังด้วยการเพิ่มปริมาณเหรียญเงินเพื่อให้สอดคล้องการค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของโรม ตอนนั้นโรมยังไม่รู้จักระบบการเงินกระดาษเหมือนทุกวันนี้ ที่เราได้เห็นUS Federal Reserve และBank of Japanพิมพ์เงินกระดาษเปล่าๆ เพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลของตัวเอง เพื่อกดดอกเบี้ยต่ำและเพื่อไฟแนนซ์การใช้จ่ายที่ขาดดุลงบประมาณของรัฐ จักรพรรดิเนโรเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบด้วยการลดปริมาณทองและเงินในเหรียญที่หล่อออกมา ดั้งเดิมทีโรมค่อนข้างจะมีวินัยในการรักษาปริมาณเหรียญในะบบให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม แต่ฐานะการคลังที่ล้มละลายทำให้โรมเข้าตาจน ต้องเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบ มีการเพิ่มปริมาณเงินถึง85% แร่เงิน1ปอนด์ที่เคยหล่อเหรียญเงินออกมาได้84เดนารีอุส ถูกลดปริมาณให้เพิ่มการหล่อเหรียญให้ได้96เดนารีอุส ผลก็คือค่าเงินเสื่อมลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
    แต่จักรพรรดิอื่นๆองค์ต่อมาติดกับดักการใช้จ่ายที่เกินตัว เพื่อแบกภาระกองทัพโรม ทำให้ส่วนผสมของแร่เงินต่ำกว่า50%ในเหรียญเดนารีอุสในสมัยของจักรพรรดิลูเซียส ซีเวรัส เวลาผ่านไป200ปี ส่วนผสมของแร่เงินในเหรียญเดนารีอุสจากที่เคยมี100%ลดลงเหลือ1% หรือไม่เหลือเลย มีแต่ทองแดง โรมเจอเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ข้าวสาลีที่เคยมีราคา1เหรียญเดนาริอุส มีราคาพุ่งสูงเป็น200เดนารีอุส
    จักรพรรดิเนโรยกเลิกการรักษาวินัยการเงินด้วยการเพิ่มแร่เงินในเหรียญเดนารีอุสที่หล่อออกมา ถ้าเทียบกับยุคปัจจุบันแล้ว เหมือนกับสมัยประธานาธิบดีนิกสันของสหรัฐฯที่ได้ยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ ในอดีตสหรัฐฯพิมพ์เงินโดยมีทองคำหนุน ทำให้รัฐบาลและธนาคารกลางไม่สามารถเพิ่มการใช้จ่ายหรือปริมาณเงินเข้าไปในระบบได้สะดวกมือ แต่นิกสันเลิกระบบมาตรฐานทองคำ คือพิมพ์เงินดอลล่าร์ออกมาดื้อๆ โดยไม่มีทองหรือทรัพย์สินอะไรหนุน ตั้งแต่นั้นมาปริมาณเงินดอลล่าร์กระดาษเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บวกกับที่สหรัฐฯนำเอาระบบหนี้มาใช้ ผ่านการเพิ่มเครดิตในระบบแบงค์กิ้ง ทำให้ดอลล่าร์เสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ
    จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบระหว่างส่วนผสมของแร่เงินในเหรียญเดนารีอุสของโรมตั้งแต่สัมยจักรพรรดิเนโร ถึงจักรพรรดิSeptimus Severus และการเคลื่อนไหวของUS dollar indexตั้งแต่นิสกสันเลิกมาตรฐานทองคำถึงปีแรกที่โอบามารับตำแหน่างเป็นประธานาธิบดี จะเห็นได้ว่าสมัยจักรพรรดิเนโร ส่วนผสมของเงินในเหรียญเดนารีอุสอยู่ที่ระดับประมาณ90% และส่วนผสมของแร่เงินนี้เพิ่มขึ้นในยุคต่อมา ก่อนที่จะตกลงไปเรื่อยๆ ส่วนUS dollar index ซึ่งเป็นดัชนีเปรียบเทียบกับค่าเงินสกุลคู่ค้าหลักๆของสหรัฐฯมีการอ่อนตัวลงจาก90สมัยนิกสันลงมาที่80สมัยคาร์เตอร์ ก่อนที่จะพุ่งขึ้นเกิน90สมัยเรแกน แต่หลังจากนั้นดัชนีนี้อ่อนลงมาเรื่อยๆ ยุคคลินตันจะแข็งขึ้นมาบ้างเพราะว่าการคลังเริ่มดีขึ้น แต่พอบุชประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย และฟองสบู่การเงินวอลล์สตรีทแตก ดัชนีดอลล่าร์แครซมาที่60ในปี2009 ซึ่งตรงกับยุคสมัยของจักรพรรดิMarcus Aureliusพอดีที่ส่วนผสมของแร่เงินอยู่ที่80%ในเหรียญเดนารีอุส
    แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา เหรียญเดนารีอุสตกต่ำลง ดีขึ้นอีกสองสมัยก่อนที่จะแครซในสมัยSeptimus Severusโดยที่แร่เงินมีน้อยกว่า60%ในเหรียฐเดนารีอุส และสมัยGallienusแร่เงินในเหรียญเดนารีอุสแทบจะไม่เหลืออยู่เลย มีแต่ทองแดงที่ไร้ค่า นั้นคือจุดตกต่ำสุดของโรม ก่อนที่อีกประมาณ200กว่าปีต่อมา โรมล่มสลายจากการถูกพวกบาร์บาเรียนโจมตีจนยับเยิน
    เริ่มต้นสมัยโอบามาอันเจอผลพวงของวิกฤติการเงิน2008 ดัชนีดอลล่าร์ตกต่ำมาที่ระดับ60 แต่หลังจากนั้นมีการดีดตักลับ แม้ว่าจะเริ่มมีการพิมพ์เงินทำquantitative easingเพื่ออุ้มระบบการเงิน เฟดเดอรัลรีเชิร์ฟเพิ่มงบดุลจาก$900,000ล้านในปี2008 เป็น$4.5ล้านล้านในปัจจุบัน ทำให้คู่ค้าหลักไม่ว่าจีน และประเทศอื่นๆไม่ต้องการถือดอลล่าร์อีกต่อไป แต่เนื่องจากแสนยานุภาพทางทหารทำให้หลายประเทศต้องคิดหนักถ้าต้องทิ้งดอลล่าร์ อีกประการหนึ่งทางเลือกของเงินหยวนของจีนยังไม่เปิดกว้างพอ การกลับไปหาทองคำยังมีอุปสรรคเพราะว่าแกีงค์ทุบทองของโรม ลอนดอนและดีซีทำให้ราคาทองไม่สามารถโงหัวขึ้นมาทาบรัศมีดอลล่าร์กระดาษได้ในช่วงนี้
    ดัชนีดอลล่าร์ตอนนี้ตีกลับไปยืนอยู่เหนือระดับ90 ไม่ใช่เพราะว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจหรือการเงินของสหรัฐฯดีขึ้น แต่เพราะว่าประเทศบริเวารไม่ว่าจะเป็นยุโรป ญี่ปุ่น สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษต่างก็มีปัญหาโครงสร้างทางการเงินที่หนักหน่วงเหมือนกัน
    เมื่อเปรียบเทียบการเงินโรมโบราณและสหรัฐฯแล้ว จะเห็นได้ว่าเดินในแนวทางของหายนะทางการเงินเหมือนกัน รอวันล่มสลาย เงินเฟ้อกำลังสร้างปัญหาให้ดีซีแล้ว แต่ตัวเลขจริงของเงินเฟ้อ รวมทั้งตัวเลยคนตกงานที่แท้จริง93ล้านคนถูกกดเอาไว้ ตัวแปรในปัจจุบันคือจีน รัสเซีย กลุ่มBRICSที่กำลังหันหลังให้กับดอลล่าร์ที่พิมพ์ออกมาจนเฟ้อ ทำให้จักรวรรดิดีซีจำต้องเร่งเครื่องทางแสนยานุภาพเพื่อที่จะปกป้องดอลล่าร์กระดาษที่ในท้ายที่สุดแล้วมิอาจจะปกป้องได้
    thanong
    28/2/2015
    http://history.econtrader.com/devaluation_of_the_roman_curr…
    http://www.lbma.org.uk/assets/Speeches/S8_3_Smith.pdf
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub
    16. จักรวรรดิโรมันคืนชีพ

    [​IMG]

    [​IMG]

    โรมโบราณฟื้นคืนชีพผ่านดีซี ให้เปรียบเทียบกองทหารของโรมที่กระจายทั่วทั้งยุโรปปัจจุบัน แอฟริกาเหนือและเอเซีย กับฐานทัพของสหรัฐฯที่มีอยู่เกือบจะทุกมุมโลก ดีซีเจริญรอยตามโรมอย่างเคร่งครัด ทั้งเป็นศูนย์กลางการค้าเสรี การเงินโดยที่ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของ เหมือนกับที่เหรียญเดนารีอุสเป็นเงินสกุลหลักของโลกโบราณ มีแสนยานุภาพทางทหารที่ต้องดูแลและมีภาระการใช้จ่ายที่มากมายมหาศาล รุกรานดินแดนประเทศอื่น หรือบังคับให้ประเทศอื่นๆให้อยูในระบบผ่านการทำสงคราม ความร่ำรวยของโรมอยู่ในมือขุนนางเซเนทและผู้ปกครอง และความร่ำรวยของดีซีอยู่ในมือของนายแบงค์ บริษัทรวมทั้งอิลิทที่อยู่ทั้งในลอนดอนและโรม
    thanong
    28/2/2015
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้นำคิมสั่งกองทัพโสมแดงเตรียมพร้อม “ทำสงคราม” กับสหรัฐฯ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 18:32 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – ผู้นำ คิม จอง อึน แห่งเกาหลีเหนือสั่งให้กองทัพเตรียมความพร้อมเพื่อทำสงครามกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ซึ่งถือเป็นคำขู่ล่าสุดจากเปียงยางก่อนที่ภารกิจซ้อมรบประจำปีระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้จะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ สื่อรัฐบาลเกาหลีเหนือรายงานวันนี้ (28 ก.พ.)

    ถ้อยแถลงล่าสุดจากผู้นำ คิม มีขึ้นหลังจากที่เกาหลีใต้ได้ส่งเรือรบจำนวน 10 ลำร่วมฝึกซ้อมทางทะเลกับเรือพิฆาตเอจิสของสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ (27) ซึ่งถือเป็นการโหมโรงก่อนที่ปฏิบัติการซ้อมรบประจำปีจะเริ่มขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในสัปดาห์หน้า

    “จากสถานการณ์ในเวลานี้ซึ่งสงครามครั้งยิ่งใหญ่เพื่อการรวบรวมชาติอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ กองทัพประชาชนเกาหลี (เคพีเอ) ทุกหน่วยจึงต้องทำหน้าที่กองกำลังผู้พิทักษ์ (Guard Units) โดยเตรียมพร้อมรับมือสงครามทั้งในเชิงการเมืองและค่านิยม รวมถึงในด้านยุทธวิธี” สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของเกาหลีเหนืออ้างถ้อยแถลงของผู้นำ คิม

    ผู้นำ คิม ซึ่งเดินทางไปทำพิธีเปิดหอนิทรรศการใหม่ที่พิพิธภัณฑ์สงครามปลดปล่อยแผ่นดินปิตุภูมิ (Victorious Fatherland Liberation War Museum) ในกรุงเปียงยาง ได้สั่งให้ทหารทุกกรมกองฝึกซ้อมอย่างหนัก “เพื่อฉีกธงชาติสหรัฐฯ ให้แหลกเป็นชิ้นๆ” เคซีเอ็นเอ ระบุ

    ภารกิจทางทะเลเมื่อวานนี้ (27) ถือเป็นปฐมบทของการซ้อมรบภายใต้รหัส “โฟล อีเกิล” ซึ่งจะเปิดฉากอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ (2 มี.ค.) และต่อเนื่องไปตลอด 8 สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีทหารเกาหลีใต้ 200,000 นาย และทหารอเมริกัน 3,700 นายร่วมฝึกยุทธวิธีทั้งทางอากาศ ภาคพื้นดิน และทางทะเล

    ในส่วนของภารกิจ “คีย์ รีโซล์ฟ” ซึ่งเป็นการซ้อมรบที่จำลองด้วยระบบคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน

    แม้กรุงโซลและวอชิงตันจะยืนยันว่า ปฏิบัติการซ้อมรบร่วมประจำปีมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันประเทศ แต่เปียงยางกลับเชื่อว่าเป็น “แผนซ้อมรุกราน”

    รัฐบาลเปียงยางเสนอที่จะงดเว้นการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ชั่วคราว หากสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ยอมยกเลิกภารกิจซ้อมรบร่วมกันในปีนี้ ทว่าวอชิงตันปฏิเสธและประณามว่าเป็นคำขู่ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 4


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000024285
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐฯตั้ง “เกณฑ์ผลลัพธ์” ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ก่อนเจรจาสัปดาห์หน้า
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 15:23 น. (แก้ไขล่าสุด 28 กุมภาพันธ์ 2558 15:29 น.)

    [​IMG]
    ---
    @จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (ซ้าย) จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน (ขวา)
    ---
    เอเอฟพี – สหรัฐฯกำหนดสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เกณฑ์ผลลัพธ์” ในการบรรลุข้อตกลงกับอิหร่านเพื่อที่จะควบคุมโครงการนิวเคลียร์ของเตหะรานเมื่อวานนี้ (27) ก่อนหน้าการเจรจารอบใหม่ในสัปดาห์หน้า

    วอชิงตันยังยืนยันว่า พวกเขาต้องการ “ข้อตกลงที่ดี” และเห็นพ้องต่อการยืดเวลาการเจรจาหลายๆ ครั้ง “เนื่องจากเรายึดมั่นต่อเกณฑ์ผลลัพธ์บางข้อ” เจ้าหน้าอาวุโสในรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าว

    “เราจะยอมรับเพียงเฉพาะแต่ข้อตกลงที่ปิดช่องทางต่างๆ ที่จะทำให้อิหร่านได้มาซึ่งวัสดุฟิตไซล์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับอาวุธนิวเคลียร์” เจ้าหน้าที่รายนี้ เน้นย้ำ

    สุดสัปดาห์นี้ จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะออกเดินทางไปที่สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเขาจะพบปะกับ จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านอีกครั้งหนึ่ง

    ความถี่และความเข้มข้นของการเจรจานี้ได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากบรรดาประเทศมหาอำนาจทั่วโลกที่รวมตัวกันภายใต้กลุ่ม P5+1 กำลังหาทางให้ได้มาซึ่งข้อตกลงกับอิหร่านเพื่อหยุดยั้งไม่ให้สาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เตหะรานปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่ได้มีความพยายามจะทำเช่นนั้น

    เส้นตายวันที่ 31 มีนาคมสำหรับเค้าโครงทางการเมืองในข้อตกลงดังกล่าวกำลังจวนเจียนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่คณะเจรจาระบุว่า พวกเขาวางเป้าหมายที่จะได้รายละเอียดทางเทคนิคสุดท้ายภายในวันที่ 30 มิถุนายน

    ถึงแม้คณะเจ้าหน้าที่สหรัฐฯจะเตือนว่า ไม่มีอะไรรับประกันว่าข้อตกลงจะได้รับการบรรลุ แต่พวกเขาก็ระบุว่า “การเจรจาได้คืบหน้าไปมากแล้ว และความเห็นต่างหลายอย่างก็น้อยลง”

    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯกลุ่มนี้กำลังหารือกันไม่กี่วันก่อนการเยือนกรุงวอชิงตีนดี.ซี.ของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ซึ่งคัดค้านการทำข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านแบบหัวชนฝา

    เนทันยาฮู มีกำหนดที่จะปราศรัยต่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯในวันอังคาร (3) ถึงเหตุผลที่เขาเชื่อว่าการทำข้อตกลงกับอิหร่านเป็นก้าวย่างที่เลวร้าย ถึงแม้จะทีกระแสคัดค้านจากทำเนียบขาวที่มองว่านี่เป็นการแทรกแซงก่อนการเลือกตั้งของรัฐยิวในเดือนมีนาคม

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Weekend Focus : “หยุดยิง” ยูเครนส่อแววล่ม จับตากบฏเล็งยึดเมืองท่าเชื่อม “ไครเมีย” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 08:27 น.
    [​IMG]
    ---
    @ประธานาธิบดี เปโตร โปโรเชนโก แห่งยูเครน และประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
    ---
    สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนตะวันออกยังเป็นที่น่าจับตามอง ภายหลังข้อตกลงหยุดยิงระหว่างยูเครนกับฝ่ายกบฏที่ทำขึ้น ณ กรุงมินสก์ของเบลารุสเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนส่อแววจะล่มไม่ท่า เห็นได้จากการที่ฝ่ายกบฏเดินหน้ายึดศูนย์กลางเชื่อมต่อระบบราง “เดบอลต์เซเว” (Debaltseve) จนทหารยูเครนต้องเป็นฝ่ายล่าถอย อีกทั้งการโจมตีหมู่บ้านใกล้ๆ เมืองท่ามารีอูโพล (Mariupol) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอีกแห่งที่กบฏต้องการครอบครอง

    ในการประชุมหารือที่กรุงปารีสเมื่อวันอังคาร (24 ก.พ.) รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย และยูเครน ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพข้อตกลงหยุดยิงกรุงมินสก์ และดำเนินการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่แนวหน้า ขณะที่นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษประกาศจะส่งทหาร 75 นายเข้าไปช่วยฝึกยุทธวิธีและให้คำแนะนำแก่กองกำลังยูเครน ทว่าจะไม่ส่งอาวุธหนักให้ เพราะยังเชื่อว่าความขัดแย้งควรจะยุติลงด้วยการเจรจาทางการทูตเป็นหลัก

    อย่างไรก็ดี ข้อตกลงหยุดยิงที่ถูกละเมิดอย่างต่อเนื่องกำลังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นระหว่างคู่สงครามลงไปทุกที

    พาฟโล คลิมกิน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศยูเครน ยอมรับว่าการเจรจาที่ปารีสซึ่งกินเวลา 3 ชั่วโมงไม่บรรลุผลที่เป็นชิ้นเป็นอัน เพียงแต่หารือปัญหาเชิงเทคนิคกันเท่านั้น “น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะประณามสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเดบอลตเซเวอย่างไร” เขากล่าว

    ยูเครนกล่าวหาว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนนิยมรัสเซียฉวยโอกาสยึดเมืองเดบอลต์เซเวซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อรถไฟทั้งๆ ที่ข้อตกลงหยุดยิงเริ่มมีผลบังคับไปแล้วเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ในขณะที่พวกกบฏและรัสเซียแก้ต่างว่า เมืองนี้อยู่ “ภายใน” เขตปกครองของฝ่ายกบฏ จึงไม่ได้ถูกครอบคลุมจากข้อตกลงหยุดยิง

    แม้การสู้รบจะสงบลงไปมากหลังจากที่ทหารยูเครนถอนกำลังออกจากเดบอลต์เซเว และยังปรากฏสัญญาณที่ดีเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนนักโทษราว 200 คนในช่วงค่ำวันเสาร์ (21) และบรรลุข้อตกลงเริ่มถอนอาวุธหนักออกจากแนวหน้าในวันอาทิตย์ (22) ทว่าหลังจากนั้นไม่นานกลับมีการปะทะเกิดขึ้นหลายระลอกตามจุดยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะที่เมืองท่ามารีอูโพล

    ยูเครนอ้างว่า ฝ่ายกบฏพยายามที่จะบุกเข้าโจมตีหมู่บ้านชืย์โรคีเนซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของมารีอูโพล และมีทหารเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บอีก 7 นายจากการปะทะในรอบ 24 ชั่วโมง

    การสู้รบกันไม่เลิกเช่นนี้กลายเป็นอุปสรรคสำหรับปฏิบัติการขั้นต่อไปของข้อตกลงกรุงมินสก์ อันได้แก่การให้ทั้งสองฝ่ายถอนอาวุธหนักออกไปเพื่อสร้างเขตกันชนตรงกลางขึ้นมา

    กองทัพยูเครนปฏิเสธไม่ยอมถอนอาวุธหนักของฝ่ายตนจากแนวรบ จนกว่าการยิงต่อสู้จะหยุดลงจริงๆ ขณะที่ฝ่ายกบฏอ้างหลายครั้งว่าพวกเขาเริ่มถอนปืนใหญ่และระบบขีปนาวุธของฝ่ายตนแล้ว ทว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจากคณะตรวจสอบขององค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE)

    วลาดิสลาฟ เซเลซนยอฟ โฆษกกองทัพยูเครน ระบุว่า “ตราบใดฐานที่มั่นของทหารยูเครนยังถูกถล่มไม่หยุด ก็คงพูดเรื่องการถอนอาวุธไม่ได้”

    แฟรงก์-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี กล่าวเตือนว่า หากฝ่ายกบฏยังพยายามที่จะขยายดินแดน หรือแม้กระทั่งคิดยึดเมืองท่ามารีอูโพล “ก็จะเป็นการทำลายพื้นฐานข้อตกลงกรุงมินสก์ทั้งหมด” เช่นเดียวกับ โลรองต์ ฟาเบียส รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสที่ออกมาขู่ว่า มอสโกจะต้องถูกสหภาพยุโรปคว่ำบาตรหนักขึ้นหากปล่อยให้พวกกบฏโจมตีมารีอูโพล ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลยูเครน

    “สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเวลานี้อยู่ที่มารีอูโพล เราแจ้งให้รัสเซียทราบชัดเจนแล้วว่า หากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนคิดจะโจมตีมารีอูโพล สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เว้นกระทั่งเรื่องคว่ำบาตร” \

    [​IMG]
    ---
    @นักรบฝ่ายกบฏยูเครนยืนอยู่ใกล้ๆ รถบรรทุกของกองกำลังสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ที่พ่วงปืนใหญ่เคลื่อนที่เอาไว้ เมื่อวันที่ 24 ก.พ.
    ---
    อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์ของรัสเซียว่า สงครามสู้รบเต็มขั้นชนิด “โลกาวินาศ” ระหว่างรัสเซียกับยูเครนคงไม่เกิดขึ้น และยืนยันว่าข้อตกลงหยุดยิงมินสก์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นเสถียรภาพยูเครนตะวันออก

    “ผมคิดว่าสถานการณ์แบบโลกาวินาศเช่นนั้นไม่น่าที่จะเกิดขึ้น และผมหวังว่ามันจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นมาเลย... ถ้าหากข้อตกลงมินสก์ได้รับการปฏิบัติตาม ผมก็แน่ใจว่าสถานการณ์จะค่อยๆ กลับคืนสู่ปกติ”

    ปูติน ยังเสริมอีกว่า “ไม่มีใครต้องการความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธซึ่งเกิดขึ้นที่บริเวณชายขอบของยุโรป”

    ผู้นำรัสเซียย้ำอีกครั้งว่า มอสโกไม่ได้ส่งกองกำลังหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ไปช่วยหนุนหลังกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครนตะวันออก และชี้ว่าข้อกล่าวหาเช่นนี้เป็นเพียงความพยายามปิดบังความรู้สึก “เสียหน้า” ของกรุงเคียฟที่ต้องพ่ายแพ้ให้กลุ่มกบฏที่เป็นเพียงกลุ่มคนงานเหมืองแร่และคนขับรถแทรกเตอร์เท่านั้น

    ทางด้าน จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาปรามาสผู้นำระดับสูงของรัสเซียว่า “พูดจาโกหกซึ่งหน้า” เกี่ยวกับบทบาทของมอสโกในวิกฤตการณ์ยูเครน พร้อมตำหนิพฤติกรรมของรัสเซียว่าเป็นการ “โฆษณาชวนเชื่อ” ครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น

    “รัสเซียกำลังเปิดศึกโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักหน่วงและชัดเจนที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น... หลายครั้งที่อยู่ต่อหน้าผมและคนอื่นๆ พวกเขาก็ยังดึงดันที่จะพูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริง หรือจะเรียกว่าโกหกก็ได้ เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำอยู่” เคร์รี แถลงต่อคณะกรรมการจัดสรรงบประมาณแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร (24 ก.พ.)

    เคร์รี ยังยืนยันว่า สหรัฐฯ “กำลังแสดงบทบาทที่ดีในการต่อสู้เพื่ออธิปไตยของยูเครน”

    สำหรับเมืองท่ามารีอูโพลซึ่งมีประชากรราว 500,000 คนนั้น นอกจากจะเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในพื้นที่ขัดแย้งที่รัฐบาลยังควบคุมไว้ได้แล้ว ยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่มีการจ้างแรงงานหลายพันคน ฝ่ายใดก็ตามที่ครอบครองเมืองนี้จึงถือว่ามีขุมทรัพย์ทางเศรษฐกิจอยู่ในมือ และหากฝ่ายกบฏยึดเมืองแห่งนี้ได้ก็จะสามารถควบคุมท่าเรือสำคัญบนชายฝั่งทะเลอาซอฟได้อีกด้วย

    มารีอูโพลยังเป็นเมืองท่าที่ตั้งขวางอยู่ระหว่างแหลมไครเมียกับดินแดนยูเครนตะวันออกซึ่งอยู่ในการยึดครองของกบฏ ดังนั้นการยึดเมืองนี้ได้ก็จะช่วยให้ “โนโวรอสสิยา” หรือ “รัสเซียใหม่” ที่ฝ่ายกบฏประกาศจัดตั้งขึ้นถูกเชื่อมเข้ากับแหลมไครเมียที่มอสโกได้ผนวกเอาไว้ก่อนแล้ว

    [​IMG]
    ---
    @รถบรรทุกของกองทัพกรุงเคียฟแล่นไปบนถนนสายหนึ่งใกล้เมืองอาร์ทีมิฟสก์ ทางภาคตะวันออกของยูเครน เมื่อวันที่ 24 ก.พ.
    ---

    [​IMG]
    ---
    @ที่ตั้งของเมืองท่ามารีอูโพล (Mariupol)
    ---
    Weekend Focus :
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    น้ำมันพุ่ง หุ้นสหรัฐฯลง-ทองคำทรงตัวหลังมะกันปรับลดตัวเลขศก.
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 05:19 น.

    [​IMG]

    วอลล์สตรีทเจอนัล/เอเอฟพี - น้ำมันฟื้นแรงเมื่อวันศุกร์(27ก.พ.) พบกิจกรรมขุดเจาะในสหรัฐฯลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนวอลล์สตรีทขยับลงและทองคำบวกเล็กน้อย หลังตัวเลขคาดการณ์จีดีพีของอเมริกาให้มุมมองทางเศรษฐกิจที่ผสมผสาน

    น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 1.59 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 2.53 ดอลลาร์ ปิดที่ 62.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

    ผลสำรวจของเบเกอร์ ฮิวจ์ พบว่าในสัปดาห์นี้ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯที่ยังปฏิบัติการอยู่ลดลงไปร้อยละ 33 เหลือ 986 แห่ง น้อยกว่า 1,000 แห่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2011 และยังลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 31 ปัจจัยนี้ก่อความกังวลต่ออุปทานพลังงาน

    ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(27ก.พ.) ปิดลบเล็กน้อย หลังพบเศรษฐกิจของอเมริกาในช่วงไตรมาส 4 ขยายตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น

    ดาวโจนส์ ลดลง 81.72 จุด (0.45 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 18,132.70 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 6.24 จุด (0.30 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,104.50 จุด แนสแดค ลดลง 24.36 จุด (0.49 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,963.53 จุด

    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ปรับลดคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ในช่วงไตรมาส 4 เหลือขยายตัวร้อยละ 2.2 จากเดิมที่เคยประมาณการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่าน่าจะเติบโตร้อยละ 2.6 ทั้งนี้แม้ตัวเลขดังกล่าวจะเหนือกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมาย แต่ก็ทรุดลงมาอย่างจากไตรมาส 3 ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 5

    ข้อมูลจีดีพีของสหรัฐฯซึ่งบ่งชี้ทิศทางเศรษฐกิจที่ผสมผสาน ส่งผลให้ราคาทองคำเมื่อวันศุกร์(27ก.พ.) ปิดบวกในกรอบแคบๆ โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 3.00 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,213.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อุกอาจ! นักการเมืองฝ่ายค้านคู่อริ “ปูติน” ถูกยิงดับคาสะพานใกล้ทำเนียบเครมลิน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 09:49 น.
    [​IMG]
    ---
    @โบริส เน็มต์ซอฟ นักการเมืองฝ่ายค้านรัสเซีย วัย 55 ปี (แฟ้มภาพ)
    ---
    รอยเตอร์ – โบริส เน็มต์ซอฟ นักการเมืองฝ่ายค้านฝีปากกล้าซึ่งมักวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน และไม่เห็นด้วยที่รัสเซียเข้าไปแทรกแซงวิกฤตการณ์ในยูเครน ถูกยิงเสียชีวิตใกล้ๆ กับทำเนียบเครมลินใจกลางกรุงมอสโกเมื่อค่ำวานนี้ (27 ก.พ.)

    เน็มต์ซอฟ วัย 55 ปี ถูกคนร้ายซึ่งใช้รถยนต์สีขาวเป็นพาหนะสาดกระสุนเข้าที่กลางหลังจำนวน 4 นัด ขณะกำลังเดินอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำมอสกวากับสตรีชาวยูเครนคนหนึ่ง โดยฝ่ายหญิงไม่ได้รับอันตราย

    ตำรวจมอสโกนำรถมาจอดกั้นจุดเกิดเหตุซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสแดง หลังเกิดเหตุลอบสังหารบุคคลสำคัญซึ่งทำให้ชาวรัสเซียหลายคนหวนนึกไปถึงความสับสนวุ่นวายของบ้านเมืองหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายใหม่ๆ

    เน็มต์ซอฟ ถือเป็นนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดที่ถูกลอบสังหารในช่วง 15 ปีที่ ปูติน ครองอำนาจ ซึ่งทำให้มอสโกรีบออกมาปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้

    ปูติน แถลงประณามการลอบสังหารที่ “ป่าเถื่อน” พร้อมสั่งให้เจ้าหน้าที่เร่งสอบสวนหาตัวคนร้าย และรายงานตรงต่อประธานาธิบดี

    ผู้นำแดนหมีขาวระบุด้วยว่า กรณีนี้อาจจะเป็นการ “จ้างวานฆ่า” โดยมีเป้าหมายเพื่อยั่วยุให้ประชาชนโกรธแค้นรัฐบาล ก่อนที่จะมีการชุมนุมประท้วงใหญ่ในวันอาทิตย์นี้ (1 มี.ค.) ซึ่งตามกำหนดเดิม เน็มต์ซอฟ จะต้องเป็นแกนนำด้วย

    อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายมองว่าการปลิดชีพ เน็มต์ซอฟ สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะกวาดล้างผู้ต่อต้าน ซึ่งที่ผ่านมาก็มีนักวิจารณ์หลายคนถูกจำคุกหรือไม่ก็ต้องหนีออกนอกประเทศ หลังการชุมนุมต่อต้านประธานาธิบดีครั้งใหญ่เมื่อ 3 ปีก่อน

    “การที่ผู้นำฝ่ายค้านถูกยิงเสียชีวิตข้างรั้วทำเนียบเครมลินเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น คือเขาถูกยิงเพราะกำลังพูดความจริง” มิคาอิล คาสยานอฟ ผู้นำพรรคฝ่ายค้านและอดีตนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลปูติน กล่าว

    ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้รัสเซียสอบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นกลางและโปร่งใส และนำตัวผู้ก่อเหตุเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้

    “เน็มต์ซอฟ เป็นนักการเมืองที่ต่อสู้เพื่อประเทศของเขาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เพื่อให้พลเมืองรัสเซียได้มีสิทธิเสรีภาพที่พึงได้รับ... ผมนับถือที่เขามีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชัน และซาบซึ้งที่เขาได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับผมระหว่างพบกันที่กรุงมอสโกเมื่อปี 2009” ถ้อยแถลงจากผู้นำสหรัฐฯ ระบุ

    ตำรวจรัสเซียได้ล้างคราบเลือดออกจากทางเท้าบนสะพาน เกรท มอสโควเรตสกี จนหมดหลังเหตุลอบยิงผ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง ขณะที่ผู้สนับสนุนทยอยนำช่อดอกไม้มาวางไว้อาลัย ณ จุดที่ เน็มต์ซอฟ เสียชีวิต

    สำนักข่าวทาสส์ รายงานว่า เน็มต์ซอฟ เข้าไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งใกล้จัตุรัสแดงก่อนจะถูกยิงเสียชีวิต และยังอ้างคำพูดที่เขาเคยกล่าวว่า ประธานาธิบดี ปูติน อาจต้องการให้เขา “ตายไปเสีย” เพราะไม่พอใจที่เขาคัดค้านนโยบายแทรกแซงยูเครน

    การจัดชุมนุมใหญ่ของฝ่ายค้านในวันอาทิตย์นี้ (1) มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดค้านการทำสงครามในยูเครนตะวันออก หลังจากกบฏแบ่งแยกดินแดนโปรรัสเซียสามารถยึดครองดินแดนไว้ได้อย่างกว้างขวาง โดยกรุงเคียฟ ชาติตะวันตก หรือแม้แต่ชาวรัสเซียบางกลุ่มก็เชื่อว่า มอสโกส่งทหารเข้าไปช่วยสนับสนุนพวกกบฏอย่างแน่นอน

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000024137
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สภาเยอรมนีลงมติเห็นชอบขยายเงินกู้แก่กรีซ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 กุมภาพันธ์ 2558 22:06 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - สมาชิกรัฐสภาเยอรมนีในวันศุกร์(27ก.พ.) ลงมติเห็นชอบขยายเวลาเงินกู้กรีซ ความเคลื่อนไหวที่รัฐมนตรีคลังบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เป็นสิ่งจำเป็น ก้าวผ่านอุปสรรคสุดท้ายสำหรับปล่อยเงินช่วยเหลือนานาชาติอันสำคัญให้แก่เอเธนส์ต่อไป

    แม้มีความเคลือบแคลงภายในชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป แต่มติขยายเวลาเงินกู้กรีซออกไปอีก 4 เดือนได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นตามความคาดหมายในรัฐสภา ด้วยคะแนน 542-32 เสียง และงดออกเสียง 13 เสียง ขณะที่รัฐบาลผสมขวา-ซ้ายของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ครองเสียงข้างมากในสภาแห่งนี้

    โวล์ฟกัง ชอยเบิล รัฐมนตรีคลังเยอรมนี เรียกร้องเหล่าส.ส.ยกมือเห็นชอบมติต่อลมหายใจให้กรีซที่กำลังประสบกับวิกฤตนี้สินได้พักใหญ่ แต่ก็ย้ำว่าเอเธนส์จำเป็นต้องดำเนินการตามคำมั่นสัญญา "ผมอยากขอร้องรัฐสภา สมาชิกสภาแต่ละท่าน อย่าปฏิเสธคำขอของกระทรวงการคลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผม เพราะมันอาจทำร้ายประชาชนของเราและอนาคตของเราก็ได้"

    ชอยเบิล ซึ่งตอบโต้กับเอเธนส์อย่างเผ็ดร้อนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บอกกับสมาชิกรัฐสภาต่อว่าประชาชนชาวยุโรปมีพื้นฐานความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทางสังคม ซึ่งคนที่อยู่ในฐานะที่ดีกว่าจะคอยช่วยเหลือผู้ที่ต้องประสบกับความยากลำบาก "เรา โดยเฉพาะเยอรมนี จะมีอนาคตที่ดีในศตวรรษที่ 21 ก็ต่อเมื่อการรวมกลุ่มของยุโรปยังประสบความสำเร็จ และยุโรปของเรายังสามัคคีกัน"

    รัฐมนตรีคลังเยอรมนีรายนี้ พยายามให้คำรับประกันกับรัฐสภาว่าการขยายเวลาเงินกู้ 240,000 ล้านยูโร ไม่ใช่ให้เงินกู้ก้อนใหม่แก่เอเธนส์ หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของโครงการกู้ยืม แต่เป็นการให้เวลาเพิ่มเติมกับแผนช่วยเหลือเอเธนส์ที่นำมาใช้เมื่อปี 2012 เพื่อจะได้ลงเอยด้วยความสำเร็จ

    "พื้นฐานของคำร้องของผมที่มีต่อรัฐสภาเยอรมนีก็คือคำสัญญาว่ากรีซจะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขต่างๆของโครงการช่วยเหลือ โดยปราศจากข้อสงวนและปราศจากข้อยกเว้นใดๆ"

    เพื่อจะได้ต่อลมหายใจ รัฐบาลฝ่ายซ้ายของนายอเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ ได้นำเสนอข้อเสนอปฏิรูปต่างๆแก่ “ทรอยกา” อันประกอบด้วยคณะกรรมาธิการยุโรป ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งเป็นเจ้าหนี้หลักของเอเธนส์ โดยพุ่งเป้าไปที่จัดการกับปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีและคอรัปชัน รวมถึงปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อปรับปรุงการเงินการคลังของประเทศ

    เยอรมนี เป็นเพียงพันธมิตรยูโรโซนหนึ่งเดียวของกรีซ ที่เปิดประชุมสภาลงมติเกี่ยวกับการขยายเงินช่วยเหลือแก่เอเธนส์ ซึ่งมีเป้าหมายช่วยกรีซไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้ในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์และความเป็นไปได้ที่ต้องออกจากยูโรโซน


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000024062
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สเปนรวบพลเมือง8คนไปช่วยกบฏยูเครนสู้รบแยกดินแดน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 01:05 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - สเปนเมื่อวันศุกร์(27ก.พ.) ควบคุมตัวพลเมือง 8 คน หลังเร็วๆนี้เพิ่งกลับจากไปร่วมสู้รบเคียงข้างกบฏฝักใฝ่รัสเซียในยูเครน ถือเป็นพลเมืองสหภาพยุโรปกลุ่มแรกที่ถูกจับกุมตัวฐานเกี่ยวข้องกับเหตุความขัดแย้งทางภาคตะวันออกของยูเครน

    ถ้อยแถลงของกระทรวงมหาดไทยสเปนระบุว่าทั้ง 8 คนที่ถูกรวบตัวจากปฏิบัติการตามจับทั่วประเทศ คือผู้ต้องสงสัยอาชญากรที่เป็นอันตรายต่อสันติภาพและเอกราชของสเปน นอกจากนี้ยังละเมิดสถานภาพความเป็นกลางของประเทศ ที่ผดุงไว้ในความสัมพันธ์กับประชาคมนานาชาติ

    "ผู้ถูกกล่าวหาเดินทางไปยังยูเครนช่วงปี 2014 และเพิ่งเดินทางกลับสเปนเมื่อเร็วๆนี้ ทั้งหมดเข้าร่วมกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนนิยมรัสเซีย สู้รบเพื่อเอกราชของแคว้นลูกานส์กและโดเนตส์ก" ถ้อยแถลงระบุ

    ในคำแถลงของกระทรวงมหาดไทยยูเครนบอกต่ออีกว่า ทั้ง 8 คนแชร์ข้อมูลและภาพถ่ายตอนที่พวกเขาสวมเครื่องแบบกองกำลังอาสาสมัคร กำลังฝึกฝนการใช้อาวุธจู่โจมและระเบิด ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมทั้งยังแสดงความเห็นสนับสนุนการแยกดินแดนของแคว้นลูกานส์กและโดเนตส์กด้วย

    อียูให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครนและกล่าวหรัสเซียสนับสนุนฝ่ายกบฏ แต่มอสโกปฏิเสธมาตลอด

    ปีที่แล้วเหตุสู้รบในยูเครนคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 5,600 ศพ ขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงที่เปราะบาง ท้ายที่สุดก็ได้รับการยึดถือในวันพฤหัสบดี(26ก.พ.) หรือ 11 วันหลังจากมันมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามในวันศุกร์(27ก.พ.) มีรายงานฝั่งยูเครนเสียชีวิต 3 ราย ก่อความกังวลว่าความสงบรอบใหม่คงจะอยู่ไม่ได้นาน


     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สภามะกันผ่านกม.เฉียดฉิวเกือบทำกระทรวงมาตุภูมิชัตดาวน์

    [​IMG]

    สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐผ่านร่างกฎหมายขยายงบประมาณกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิเฉียดฉิวก่อนถึงเส้นตายแล้ว เกือบทำให้หน่วยงานบางส่วนต้องเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ ไม่มีเงินจ่ายให้เจ้าหน้าที่

    วันเสาร์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 11:07 น.
    สำนักข่าวเอพี รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28ก.พ.ว่า สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐลงคะแนนรองรับร่างกฎหมายขยายงบประมาณของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิให้สามารถทำงานได้อีก 1 สัปดาห์อย่างเฉียดฉิวก่อนจะถึงกำหนดเส้นตายเที่ยงคืนวันศุกร์ โดยได้ส่งร่างดังกล่าวไปให้กับฝ่ายบริหารรับรอง ป้องกันกระทรวงดังกล่าวเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์แล้ว ทั้งนี้ หากผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ทันจะส่งผลให้บางหน่วยงานในกระทรวงฯต้องหยุดทำการ เนื่องจากไม่มีเงินจ่ายให้เจ้าหน้าที่ราว 30,000 คน จากเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจำนวนราว 250,000 คน อย่างไรก็ตาม หน่วยงานสำคัญๆอย่างหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง หน่วยยามฝั่งและตำรวจอากาศยังคงทำหน้าที่ต่อไป

    ก่อนหน้านี้สภาฯได้ขัดขวางร่างขยายงบประมาณฉบับที่แล้ว ซึ่งมีเนื้อหาให้กระทรวงฯสามารถทำงานต่อไปได้อีก 3 สัปดาห์ เนื่องจากส.ส.ที่มาจากพรรคริพับลิกันพากันลงคะแนนไม่ให้ผ่าน เพราะร่างกฎหมายไม่ได้บรรจุแนวคิดนโยบายตรวจคนเข้าเมืองใหม่ของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีเข้าไปด้วย ส่วนส.ส.ฝั่งเดโมแครตเองก็ลงคะแนนไม่เห็นด้วยเช่นกัน เพราะร่างกฎหมายไม่ได้ทำให้กระทรวงดังกล่าวสามารถทำงานได้ตลอดรอดฝั่งไปทั้งปีงบประมาณ

    สภามะกันผ่านกม.เฉียดฉิวเกือบทำกระทรวงมาตุภูมิชัตดาวน์ | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เขาคงเสียใจที่พรรคพวกเขาตาย

    Pst Nong ได้แชร์รูปภาพของ Now TV 26

    [​IMG]

    'โอบามาประณามสังหารผู้นำฝ่ายค้านรัสเซีย

    ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐประณามการสังหารนายบอริส เนมต์ซอฟ ผู้นำฝ่ายค้านรัสเซีย ซึ่งเคยวิพากษ์วิจารณ์ประธานธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียอย่างรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลรัสเซียให้ดำเนินการสอบสวนการสังหารนายเนมต์ซอฟโดยทันที อย่างเป็นธรรมและอย่างโปร่งใส และนำตัวบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในการสังหารนี้ขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม ผู้นำสหรัฐยังกล่าวชื่นชมความกล้าหาญของผู้นำฝ่ายค้านรัสเซียที่ได้อุทิศตนในการต่อสู้กับกระบวนการคอร์รัปชั่นในรัสเซีย และชื่นชมความคิดเห็นตรงไปตรงมาของนายเนมต์ซอฟที่ได้ร่วมแบ่งปันกับนายโอบามา เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายพบปะกันในกรุงมอสโกเมื่อปี 2552

    ชมคลิป : โอบามาประณามสังหารผู้นำฝ่ายค้านรัสเซีย - NOW26.TV
    #NOW26 #ktnews'
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Pst Nong

    [​IMG]

    เปิดตัว12มหันตวินาศภัยทำลายโลกเวิลด์วาไรตี้ : เปิดตัว 12 มหันตวินาศภัยทำลายโลก
    ภัยใดๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่เคยส่งผลดีต่อผู้ร่วมเหตุการณ์และได้รับผลกระทบเลยสักครั้งเดียว ไม่ว่าจะเติมคำนำหน้าเข้าไปเช่นใด ก็เป็นการขยายความหมายของคำว่า ภัย นั้นเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง เช่น วาตภัย ก็คือภัยที่เกิดจากลมไม่ว่าจะเป็นพายุ หรืออื่นใด แต่ถ้า โอษฐภัย ก็แปลได้ว่าภัยที่เกิดจากปาก เช่นว่าปากพูดว่าร้ายคนอื่น ก็ทำให้เกิดภัยที่ปากหรือร่างกาย เจ้าของปากได้นั่นเอง
    แต่ภัยที่กำลังจะพูดถึงนี้คือมหันตวินาศภัย ที่มาจากการรวมเอาคำว่า มหันต์ (ใหญ่มาก) กับ คำว่า วินาศ (ความเสียหาย ความสูญสิ้น) เข้าด้วยกัน เพื่ออธิบายถึงภัยร้ายแรงที่อาจทำให้มนุษยชาติถูกทำลายจนหมดไปจากโลก หรือนำไปสู่เหตุการณ์เช่นนั้น ที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งประเมินไว้ล่วงหน้า ถึงมหันตวิบัติภัยที่กำลังจะมาถึง ทั้งที่เป็นภัยธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง โดยรวบรวมได้ 12 ประการ ที่เราน่าจะฟังไว้บ้าง
    ในหนังสือ อินฟินิท อิมแพค โดย เดนนิส แพมลิน แห่งมูลนิธิ โกลบอล ชาเลนจ์ และ สจ๊วร์ต อาร์มสตรอง แห่งสถาบันอนาคตแห่งมนุษยชาติ ระบุถึงมหาวินาศภัย เริ่มจากภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้าง ผู้เขียนอ้างถึงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกตั้งแต่ 4 องศาเซลเซียส หรือ 6 องศาเซลเซียส นั้นโลกจะกลายเป็นพื้นที่หายนะสำหรับมนุษยชาติ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นท่วมพื้นที่ชายฝั่ง และระบบการเกษตรของมนุษย์จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และแม้มนุษย์จะรู้จักศาสตร์ที่เรียกว่า "วิศวกรรมภูมิศาสตร์" แต่ความรู้นั้นก็จะกลับกลายทำร้ายมนุษย์เองในที่สุดเมื่อธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว เมื่ออุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลงมากขนาดนั้น
    สงครามนิวเคลียร์ หนึ่งในมหันตหายนะที่จะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ แต่ข่าวดีคือ หายนะนี้จะจำกัดอยู่ในวงแคบๆ ในขอบเขตของอานุภาพทำลายล้างของหัวรบนิวเคลียร์เท่านั้น แต่ผู้เขียนทั้งสองก็มองว่า ภัยที่แท้จริงของสงครามนิวเคลียร์คือ ฤดูหนาวนิวเคลียร์ (nuclear winter) ที่เกิดจากการสะสมหมอกและเมฆบนท้องฟ้าที่ถูกพลังระเบิดนิวเคลียร์ดันขึ้นไปลอยบนท้องฟ้า ปกคลุมพื้นผิวโลกในวงกว้าง ก่อให้เกิดสภาพภาวะเรือนกระจกมืดที่พื้นผิวโลกจะไม่ได้รับแสงแดดเป็นเวลานาน ซึ่งนั่นมีความเป็นไปได้มากที่ประชากรมนุษย์ทั่วโลกจะสูญพันธุ์ไป
    โรคระบาดทั่วโลก คล้ายกับการเกิดสงครามนิวเคลียร์ โรคระบาดที่ถือว่าเป็นวินาศภัยระดับโลกเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2461 เมื่อเกิดโรคไข้ดำ หรือ ไข้สเปนระบาดในยุโรปทำให้ประชากรโลกกว่า 10 ล้านคนในสมัยนั้นเสียชีวิต ที่น่าเป็นห่วงคือ ปัจจุบัน การคมนาคมขนส่งจากมุมโลกหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่งของโลกทำได้สะดวก และง่ายดาย ทำให้การระบาดของโรคร้ายแรงเป็นไปได้ง่ายกว่าในโลกยุคที่มีการระบาดของไข้สเปนหลายเท่า แม้จะมีข้อถกเถียงว่าการแพทย์ของเราพัฒนาขึ้นไปมากน่าจะมีการรักษาได้ทันท่วงที แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็มองว่าพลังทำลายของโรคระบาดนั้นสามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เป็นเผ่าๆ ไปเลยทีเดียว
    มหันตวินาศภัยอีกประการหนึ่งคือ ความล้มเหลวของระบบนิเวศ ซึ่งหมายถึงการที่ระบบนิเวศไม่สามารถรักษาความสมดุลไว้ได้ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศนั้นไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และ นั่นจะทำให้เกิดวงจรลูกโซ่แห่งการทำลาย เนื่องจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่งจะมีความเกี่ยวพันกับสายพันธุ์ที่เหลืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เปรียบดั่งเสากับคาน ซึ่งถ้าเสาพังลงมา คานก็ต้องหล่นลงมาด้วยนั่นเอง ความล้มเหลวของระบนิเวศนั้นเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายต่อหลายประการ และส่งผลได้หลายต่อหลายแบบ แต่ทุกแบบที่เกิดขึ้นจะมีจุดสิ้นสุดคือ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในระบบนิเวศนั้นสูญสลายลงไป
    โลกก็เป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่อยู่ในจักรวาล และสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกพึ่งพากันในทางใดทางหนึ่ง ดังนั้น หากมีสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไป ก็จะเกิดลูกโซ่แห่งการทำลาย ที่ผลกระทบจะมาถึงมนุษย์นั้นช้า หรือ เร็ว ก็แตกต่างกันออกไป แต่ที่สุดแล้วก็จะมาถึงมนุษยชาติในวงกว้างอยู่ดี
    เช่นเดียวกับกรณีการเกิดระบบโลกล่มสลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ หรือการเมือง ที่จะส่งผลกระทบ ส่งแรงแห่งภาวะซบเซาในระยะยาวทำให้ระบบธนาคารล่มสลายเป็นจำนวนมาก อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นมหาศาล การค้าล่มสลาย ด้วยเหตุเหล่านี้จะก่อให้เกิดลูกโซแห่งหายนะที่ทำลายมนุษยชาติเป็นจำนวนมหาศาล
    โลกอาจจะเกิดมหันตวินาศภัย จากสิ่งแวดล้อมและเป็นปัจจัยนอกเหนือการควบคุมได้อีก เช่น อุกกาบาตพุ่งชนโลก ภูเขาไฟยักษ์ปะทุ ที่จะทำให้เกิดสภาพเรือนกระจกที่ทำให้โลกมืด เช่นเดียวกับสงครามนิวเคลียร์ แต่ภัยที่ร้ายแรงและรวดเร็วกว่าคือ การเกิดแรงกระแทก ที่ทำให้เกิดคลื่นช็อกจากอุกกาบาต และ แรงสั่นสะเทือนจากมหาภูเขาไฟที่ทำให้พื้นดินเปลี่ยนแปลง และอาจเกิดแผ่นดินขนาดใหญ่ถล่มลงในแหล่งน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ กวาดต้อนชีวิตมนุษยชาติจำนวนมาก
    ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือภัยที่เกิดจากความใฝ่รู้ของมนุษยชาติเอง ทั้งการสร้างชีววิทยาสังเคราะห์ ที่เป็นได้ทั้งคุณประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ และเป็นภัยร้ายหากปรับใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้าง รวมทั้งนาโนเทคโนโลยี ที่ใช้เป็นเครื่องมือระดับจิ๋ว ที่อาจกลายเป็นดาบสองคมให้แก่มนุษย์เอง
    แม้กระทั่งปัญญาประดิษฐ์ ที่ถ้าผู้ชื่นชอบการดูภาพยนตร์ก็คงเคยผ่านตากับภาพยนตร์ที่มีเรื่องเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาตนเองขึ้นมาได้ จนมองว่ามนุษย์เป็นภัยของตัวเอง จึงเริ่มกำจัดมนุษย์ออกไปจากสมการสังคมโลก
    รวมทั้งการขาดธรรมาภิบาลในการบริหาร ในทุกระดับ ซึ่งเป็นชนวนแห่งความวุ่นวายที่ไม่จบสิ้น และจะมีผลนำไปสู่การทำลายล้างระดับโลกในที่สุด
    สุดท้ายก็คือ ภัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จัก ที่อาจเกิดขึ้นได้ในรูปแบบที่ต่างออกไปจาก 11 ปัจจัยมหาวินาศภัยดังที่กล่าวมาทั้งหมด

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทำไมซาอุดิอาระเบียจึงกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง?
    เรื่องเด่นประเด็นร้อนby มูฮัมหมัด ซากี สันหมาด - ก.พ. 28, 2015 178

    [​IMG]

    ในตะวันออกกลางได้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในอิรักและซีเรียจนลุกลามไปถึงเยเมนอีกทั้งไหนจะในเรื่องข้อตกลงปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านมีผลทำให้เจ้าหน้าที่ซาอุฯมีกังวลอย่างหนัก

    รายงานจากสำนักข่าวอัลอะลัมระบุ หนึ่งในสมาชิกคณะมนตรีแหล่งข่าวความมั่นคงในอ่าวเปอร์เซียได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักพิมพ์ อัล บะนา ของเลบานอนว่า ส่วนใหญ่ของเหล่าผู้นำประเทศต่างๆในแถบอ่าวเปอร์เซียต่างรอคอยดูความสำเร็จในข้อตกลงระหว่างอิหร่านกับสหรัฐนอกจากประเทศซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากข้อตกลงนี้จะทำให้กลยุทธ์ทางการเมืองของตนจะเป็นไปตามแผนที่วาดไว้ ในขณะเดียวกัน ในระหว่างพวกเขาก็มีแค่ซาอุดิอาระเบียและอิสราเอลเท่านั้นไม่เห็นด้วยที่จะให้บรรลุข้อตกลงสนธิสัญญานี้

    ซาอุดิอาระเบียเชื่อว่าข้อตกลงระหว่างสหรัฐกับอิหร่านถือเป็นสงครามต่อต้านซาอุฯ และเป็นตัวลดบทบาทของของซาอุดิอาระเบียในตะวันออกกลางด้วยเช่นกัน และนี่คือความกลัวถึงผลกระทบที่จะตามมสำหรับพวกเขา

    ด้วยเหตุนี้ซาอุดิอาระเบียพยายามที่จะหาข้อตกลงในเรื่องของความปลอดภัยอย่างลับๆ กับอิสราเอล ซึ่งหลักๆ คือการแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงระหว่างอิหร่านกับสหรัฐ เช่นเดียวกันซาอุดิอารเบียกำลังพยายามที่จะดึงผลประโยชน์ต่างๆ แก่ตนเองโดยใช้การบริหารทางการเมืองและทางทหารแก่ตุรกี บาห์เรน ซีเรีย และถือว่าได้ประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งด้วยการร่วมมือกันกับสหรัฐ

    ส่วนใหญ่ของประเทศอาหรับในอ่าวเปอร์เซียเชื่อว่า ข้อตกลงสัญญาดังกล่าวคงจะเกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐสภาชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของอิสราเอล และพวกเขายังเชื่อว่าสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนและหลังการลงนามในข้อตกลงจะมีความแตกต่างอย่างมากมาย

    ซาอุดิอาระเบียคือหนึ่งในประเทศที่จะได้รับผลกระทบทางลบมากที่สุดจากข้อตกลงระหว่างสหรัฐกับอิหร่านในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเยเมน ด้วยเหตุนี้สถานการณ์ในทุกวันนี้ทุกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเยเมนมีส่วนทำให้ซาอุดิอาระเบียเกิดความกังวลและความกลัวขึ้น และนี่ถือเป็นผลดีของกลุ่มขบวนการอันศอรุลลอฮ์และขบวนการต่อสู้ต่างๆในตะวันออกกลาง และเป็นผลดีต่อประเทศซีเรียเช่นกัน

    และเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้คือเหตุทำให้ซาอุดิอาระเบียต้องตกอยู่ในความกังวล พวกเขาสูญเสียผลประโยชน์จากโครงการต่างๆในซีเรีย แถมยังได้รับความพ่ายแพ้ในสงครามเยเมน กองกำลังของพวกเขาในเลบานอนกำลังตกอยู่ในภวังค์และความสับสน อำนาจและบทบาททางการเมืองในอิรักของพวกเขาก็จืดจางลงเนื่องจากให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย isis เมื่อเร็วๆ นี้ซาอุดิอาระเบียกำลังพยายามที่จะสร้างความวุ่นวายและทำการรัฐประหารในเหล่าประเทศอาหรับ

    เนื่องจากบทบาททางการเมืองที่ลดลงของซาอุดิอาระเบียและการสูญเสียหมากหลายตัวในภูมิภาคจึงทำให้ในขณะนี้ซาอุดิอาระเบียพยายามอย่างหนักเพื่อเข้าแทรกแซงเยเมน ถึงขั้นที่ว่าเยเมนได้กลายเป็นประเทศที่สำคัญที่สุดสำหรับซาอุดิอาระเบียทั้งทางการเมือง ทหาร ภูมิศาสตร์ และทางเศรษฐกิจ

    ด้วยเหตุนี้ซาอุดิอาระเบียจึงได้ทำการสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายต่างๆ เช่น อัลกออิดะห์ ซึ่งพวกเขาสามารถรวบรวมเหล่านักรบที่มีอยู่ทั้งในซีเรีย เลบานอนและจอร์แดน กว่า 32,000 นายภายในหนึ่งเดือนเพื่อส่งไปปฏิบัติการในเยเมน โดยใช้หนทางในการขนส่งผ่านประเทศตุรกีและสนามบินนานาชาติกาตาร์ไปยังสถานที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้วในเยเมน และนั่นคือสถานที่จำเพาะที่กลุ่มก่อการร้ายใช้รวมตัวกัน

    บางส่วนของนักรบเหล่านี้ได้รับการฝึกอบรมด้วยอาวุธสมัยใหม่ บางส่วนมาเข้าร่วมขบวนการผ่านสื่อโฆษณาชวนเชื่อทางความเชื่อและอุดมการณ์ และบางส่วนผ่านการฝึกอบรมทางทหารเพื่อใช้ในการรบกับกลุ่มอันศอรุลลอฮ์และทหารเยเมนโดยเฉพาะ

    คณะมนตรีแหล่งข่าวความมั่นคงของอ่าวเปอร์เซีย ยังได้ชี้อีกว่า นโยบายทางการเมืองของซาอุดิอารเบียในปัจจุบันได้เน้นและให้ความสำคัญแก่เยเมนมากที่สุดเพราะถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา



    چرا تحولات منطقه، عربستان را نگران کرده است؟

    ทำไมซาอุดิอาระเบียจึงกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง? | abnewstoday
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ร้อยละ 60 ของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ใช้ตุรกีเป็นชายแดนสู่ซีเรีย
    ตะวันออกกลางby เอบีนิวส์ทูเดย์ - ก.พ. 28, 2015 131

    [​IMG]

    หัวหน้าหน่วยงานสืบราชการลับของอเมริกา เผยว่า การต่อสู้ของตุรกี กับกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ไม่ได้จัดอยู่ในลำดับความสำคัญแต่อย่างใด และ ร้อยละ 60 ของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ใช้ตุรกีเป็นชายแดนข้ามสู่ซีเรีย

    เจมส์ คลาเบอร์ ได้กล่าวในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารอาวุธในวุฒิสภาอเมริกา ว่า การต่อสู้ของตุรกี กับกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ไม่ได้จัดอยู่ในลำดับความสำคัญแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดทางให้กับบรรดานักรบของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสได้ดีที่สุด ในการอาศัยตุรกีเป็นชายแดนข้ามสู่ซีเรียได้อย่างง่ายดาย

    เขากล่าวเสริมว่า ตุรกียังมีเรื่องที่จัดอยู่ในลำดับที่สำคัญกว่านี้ และมีผลประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นต่อการทำสงครามและปราบกลุ่มก่อการร้ายไอซิส

    เขากล่าวว่า ผลการสำรวจในตุรกี พบว่า ส่วนใหญ่เห็นว่ากลุ่มก่อการร้ายไอซิส ไม่ได้เป็นภัยคุกคามที่แท้จริงสำหรับพวกเขา แต่พวกเขากลับกังวลในเรื่องเศรษฐกิจ หรือ เรื่องปัญหาชาวเคิร์ดเสียมากกว่า

    เขากล่าวเสริมว่า ผลจากสถานการณ์เช่นนี้ และบรรยากาศแห่งความอ่อนข้อผ่อนปรน โดยเฉพาะในระบบกฎหมายแล้ว ทำให้มันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บรรดานักรบต่างชาติอย่างมากที่จะใช้ดินแดนตุรกีเป็นทางผ่านเข้าสู่ซีเรียได้อย่างสะดวกและง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ จึงมีนักรบต่างชาติ ร้อยละ 60 ใช้ตุรกีเป็นชายแดนข้ามสู่ซีเรีย

    เขากล่าวว่า ความปาเถื่อน ความโหดร้ายของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส การตัดศีรษะ การเผาเชลยทั้งเป็น โดยเฉพาะการเผา นักบินชาวจอร์แดน ส่งผลกระทบต่อความคิดและความสามัคคีของประชาชนในตะวันออกกลาง ที่มีต่อกลุ่มก่อการร้ายไอซิส

    ร้อยละ 60 ของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ใช้ตุรกีเป็นชายแดนสู่ซีเรีย | abnewstoday
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ซาอุดีอาระเบีย” ลั่น พร้อมช่วยอิสราเอล “ถล่ม” อิหร่าน
    ตะวันออกกลางby เอบีนิวส์ทูเดย์ - ก.พ. 28, 2015

    ทีวีช่อง 2 ของรัฐเถื่อนอิสราเอล อ้างว่า ซาอุดิอาระเบียพร้อมที่จะสนับสนุนทางทหารให้กับอิสราเอลในการถล่มอิหร่าน

    [​IMG]

    เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทีวีช่อง 2 ของรัฐเถื่อนอิสราเอล รายงานว่า ทางการซาอุดิอาระเบียมีการเจรจากับพันธมิตรของตนจากชาติยุโรป ว่า ซาอุดิอาระเบียพร้อมที่จะให้ความร่วมมือทางทหารกับยิวอิสราเอลในการบุกถล่มโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน

    ฟาร์ส นิวส์ รายงาน – ทีวีช่อง 2 ของรัฐเถื่อนอิสราเอล ได้รายงานเพื่อสร้างความตึงเครียดต่อความคืบหน้ากรณีการเจรจานิวเคลียร์ โดยอ้างว่า ซาอุดิอาระเบียพร้อมที่จะให้ความร่วมมือทางทหารกับยิวอิสราเอลในการบุกถล่มโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน

    ตามรายงาน หนังสือพิมพ์ jpost ของยิวอิสราเอล ว่า ทางการซาอุฯได้มีการพบปะอย่างลับๆกับเจ้าหน้าที่ของยุโรป โดยอ้างว่า ซาอุฯ พร้อมที่จะให้รัฐเถื่อนอิสราเอลใช้ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในการส่งเครื่องบินถล่มสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านโดยมีเงื่อนไขว่า เทลอาวีฟต้องให้คำมั่นในความมุ่งมั่นที่จะสร้างความปรองดองให้กับขึ้นระหว่างกลุ่มติดอาวุธกับอิสราเอล

    ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ วอล์สตรีท เจอร์นัล ก็ออกมาเปิดเผยว่า ประเทศอาหรับบางชาติ เช่น ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ เอมิเรสต์และอียิปต์ ก็ออกมาแสดงท่าทีกังวลต่อการบรรลุข้อตกลงของการเจรจาระหว่างอิหร่าน กับกลุ่ม 5 + 1
    ขณะที่ จอห์น แครี่ รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกากล่าวว่า อาหรับและอิสราเอล ก็มีการติดตามความคืบหน้าในการเจรจานิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างใกล้ชิด

    کانال 2 تلویزیون رژیم‌صهیونیستی مدعی شد عربستان حاضر است به اقدام نظامی علیه ایران کمک کند

    Report: Saudis might help Israel attack Iran in exchange for progress in peace process - Arab-Israeli Conflict - Jerusalem Post

    “ซาอุดีอาระเบีย” ลั่น พร้อมช่วยอิสราเอล “ถล่ม” อิหร่าน | abnewstoday
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จุดกำเนิดของศาสนา
    บทความby ยูซุฟ ญาวาดี - ก.พ. 28, 2015

    [​IMG]

    มีการอธิบายถึงสาเหตุการกำเนิดของศาสนาที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจต่อเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่บรรดาศาสนิกชนจำต้องศึกษาและเรียนรู้เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง แน่นอนฝ่ายที่มีความเชื่อเรื่องพระเจ้าต่างมีความเห็นว่าศาสนามาจากพระผู้เป็นเจ้า ทว่าการจะทำการพิสูจน์ต่อความเชื่อเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เหตุผลและหลักฐานเพื่อยืนยันถึงความถูกต้องของมัน ในด้านตรงข้ามมีการนำเสนอที่มาหรือจุดกำเนิดของศาสนาในมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่นำเสนอทฤษฎีเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่ไม่เชื่อในศาสนา ทฤษฎีต่างๆ ที่ถูกนำเสนอมาอธิบายถึงจุดกำเนิดของศาสนามีดังนี้

    • ทัศนที่ 1 ศาสนามาจากความกลัวของมนุษย์

    • ทัศนะที่ 2 ศาสนามาจากความโง่เขลาของมนุษย์

    • ทัศนะที่ 3 ศาสนามาจากความเชื่อและประเพณีที่ผิดๆของมนุษย์

    • ทัศนะที่ 4 ศาสนามาจากเศรษฐกิจของมนุษย์ หรือ ศาสนาคือผลของเศรษฐกิจ

    โดยในบทความนี้เราจะทำการนำเสนอวิเคราะห์และวิพากษ์ในแต่ละทรรศนะ เพื่อพิสูจน์และหักล้างทฤษฎีเหล่านี้ ซึ่งเป็นการอธิบายที่ไม่ถูกต้องและไม่สมเหตุสมผล


    1. ศาสนามาจากความกลัวของมนุษย์

    มีการพยายามนำเสนอว่าศาสนาเกิดจากความกลัวของมนุษย์ กล่าวคือมนุษย์ในยุคแรกมีความกลัวต่อเหตุการณ์ต่างๆทางธรรมชาติหรือภัยพิบัติ เช่นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นยักษ์ ซึ่งจากความหวาดกลัวเหล่านี้ทำให้พวกเขาพยายามหาสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติเป็นที่พึ่งเพื่อสกัดปัดเป่าภัยพิบัติเหล่านั้น พวกเขาจึงได้สร้างพระเจ้าขึ้นมา และความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นศาสนาตามกาลเวลา มีการนำเสนอทฤษฎีดังกล่าวอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน ตามอินเทอร์เนตหรือตำราวิชาการต่างๆ ทว่าในรูปแบบของทางการนั้นเจ้าของทฤษฎีคือเบอร์แทรนด์ รัสเซลล์(1872-1970) แพร่หลายในศตวรรษที่ 20 [1]

    วิพากษ์ทัศนะ

    ประการที่ 1 การรวมกันระหว่างจุดกำเนิดของศาสนากับแรงจูงใจในการนับถือศาสนา

    ในบางกรณีมีการนำแรงจูงใจกับสาเหตุมาอธิบายเป็นสิ่งเดียวกัน เราพบว่ามนุษย์ยอมรับในศาสนาจากหลายแรงจูงใจ บางครั้งคนเรายอมรับศาสนาเพราะเข้าถึงสัจธรรมคำสอนบางประการ บางครั้งคนเรายอมรับศาสนาเพราะสอดคล้องกับมโนธรรมสำนึกอันบริสุทธิ์ของเขา บางครั้งมนุษย์ยอมรับศาสนาเพราะต้องการที่พึ่ง ต้องการผู้ที่จะคุ้มครองและนำพาเขาให้หลุดพ้นออกจากความกลัว ความเจ็บปวด ความทุกข์

    การอธิบายว่าแรงจูงใจคือสาเหตุของศาสนาจึงเป็นสิ่งไม่ถูกต้องเพราะมนุษย์ไม่ได้มีแรงจูงใจในการนับถือศาสนาแต่เพียงอย่างเดียว

    ประการที่ 2 ทฤษฎีที่บอกว่าศาสนามาจากความกลัวนั้นเป็นทฤษฎีที่ไม่มีหลักฐานรองรับทางประวัติศาสตร์

    การอธิบายว่าศาสนามาจากความกลัวเป็นการอธิบายที่ไม่สมเหตุสมผลใดๆเลย เพราะเราไม่เคยพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ว่ามนุษย์สร้างศาสนาขึ้นมาหลังจากเกิดภัยพิบัติแม้แต่ครั้งเดียว ในด้านตรงข้ามเราสามารถตามรอยประวัติศาสตร์ไปจนถึงยุคแรก เรายังพบอีกว่านับตั้งแต่วันแรกที่มีมนุษย์ก็มีศาสนาปรากฏขึ้นมาแล้ว

    ประการที่ 3 การเชื่อต่อพระเจ้าคือการทำงาน กระบวนการและกลไกลของฟิตรอต(สามัญสำนึกอันบริสุทธิ์ของมนุษย์)

    คำถามของเราก็คือแทนที่มนุษย์จะพึ่งพิงตัวเองหรือวัตถุ ทำไมพวกเขากลับมองหาอำนาจที่อยู่เหนือวัตถุเหล่านั้น แน่นอนว่าเป็นเพราะการทำงานของฟิตรอต(สามัญสำนึกอันบริสุทธิ์)[2]ภายในของเขา ภายในของเขาได้กระซิบบอกต่อเขาถึงการมีอยู่ของสิ่งหนึ่งซึ่งมีอาจเหนือทุกสิ่งและเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง ซึ่งกลไกลนี้มันจะทำงานและมันคือตัวชี้นำมนุษย์เพื่อค้นหาพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มนุษย์จะพึ่งพิงต่อพระองค์เพราะธรรมชาติของเขาเป็นเช่นนั้น

    ประการที่ 4 ผู้มีศาสนาทุกคนไม่ใช่คนขี้ขลาดหรือหวาดกลัว

    ข้อคลุมเครือดังกล่าวพยายามอธิบายว่า ศาสนาคือผลจากความกลัวของมนุษย์ และมีแต่คนที่กลัวเท่านั้นจึงจะมีศาสนา หากเราทำการพิจารณาจากความเป็นจริง จะเห็นว่าประวัติศาสตร์ของผู้นับถือศาสนาในแต่ละเผ่าพันธุ์ ต่างเริ่มต้นนับถือศาสนาในหลายๆสาเหตุ และไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแอหรือหวาดกลัวเพียงกลุ่มเดียวที่จะเป็นผู้ศรัทธาต่อศาสนา บุคคลกลุ่มอื่นๆยังเข้ารับนับถือศาสนาด้วยเหตุผลที่แตกต่างด้วยเช่นกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นคนที่มีความหวาดกลัวที่สุดก็จะต้องเป็นผู้ที่มีความศรัทธาต่อศาสนามากที่สุด แต่เรากลับพบว่ามีคนกล้าหาญมากมายที่มีความศรัทธาต่อศาสนาเช่นเดียวกัน

    ประการที่ 5 ความต่อเนื่องของผู้นับถือควบคู่กับการขจัดความกลัว

    หมายความว่า ในวันนี้เราต่างเห็นแล้วว่าการพัฒนาทางความรู้ได้ทำให้เราเข้าใจถึงสาเหตุต่างๆทางธรรมชาติ ซึ่งความเข้าใจเหล่านี้ได้ขจัดความกลัวแก่มนุษย์ ดังนั้นหากศาสนามาจากความกลัวหากเป็นเช่นนี้แล้วการนับถือศาสนาก็ต้องไม่ผิดพลาดแต่อย่างใด ในขณะที่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนี้เลย ความโอ้อวดของมนุษย์คือเมื่อเขาเข้าใจถึงเหตุการณ์หนึ่งทางธรรมชาติ เขาจึงรีบที่จะปฏิเสธหรือรีบที่จะสรุปว่าโลกนี้ไม่มีผู้วางระบบธรรมชาติเหล่านั้น กล่าวอีกทางหนึ่งมนุษย์บางกลุ่มตีความว่าโลกนี้ไม่มีพระเจ้าเพราะเข้าใจเพียงบางเรื่องเท่านั้น และในความเป็นจริงก็ยังมีอีกหลายล้านเรื่องที่เขายังไม่เข้าใจ ในการมีอยู่ของผู้นับถือศาสนาก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีว่าศาสนาไม่ได้เกิดมาจากความกลัวของมนุษย์

    ถึงจุดนี้เป็นไปได้ว่าผู้ที่ไม่ยอมรับศาสนา อาจอ้างว่าการยอมรับศาสนาของคนในยุคนี้เป็นผลของมรดกจากพ่อแม่หรือว่าวัฒนธรรม เราจะถามคำถามต่อเขาเหล่านั้นว่า(โดยเฉพาะในกรณีของศาสนาอิสลาม) ในยุคสมัยนี้ไม่มีใครเข้ารับศาสนาเพราะพ่อแม่ วัฒนธรรมหรือสังคมเลยหรือ? ถ้าหากว่ามีเราขอตั้งคำถามว่า พวกเขาเข้ารับนับถือศาสนาด้วยเหตุผลอะไร? ด้วยความกลัวหรือ? ในด้านตรงข้างเรากลับพบว่า ในประเทศที่มีการต่อต้านเสรีภาพทางศาสนากันอย่างหนักหน่วง หรือประเทศที่มีการสร้างกระแสความหวาดกลัวต่ออิสลามอย่างจริงจังกลับกลายเป็นประเทศที่มีผู้คนหันมานับถือศาสนามากที่สุด ดังนั้นข้อกล่าวหาเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลใดๆ เลยจากการพิจารณาตามความเป็นจริง

    ประการที่ 6 ในเชิงสมมุติหากเรายอมรับว่าสาเหตุของศาสนาคือผลมาจากความกลัวของมนุษย์ในยุคแรก

    เราจะตั้งคำถามต่อพวกเขาว่า ตามหลักการคิดอย่างมีเหตุผล หากศาสนาเกิดมาจากความกลัวเท่ากับไม่มีพระเจ้าอยู่จริงกระนั้นหรือ? แน่นอนเป็นไปได้ว่าการที่มนุษย์ยุคแรกยังไม่ได้พัฒนาทางความรู้ อาจทำให้เขาไม่เจอพระเจ้าหรือไม่ค้นพบต่อพระองค์ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีพระเจ้าอยู่จริง ดังนั้นทฤษฎีเรื่องศาสนามาจากความกลัวจึงไม่ถูกต้อง ทว่าเป็นความพยายามหาสาเหตุการถือกำเนิดของศาสนาภายหลังจากที่คนผู้นั้นมีโลกทัศน์หรือเชื่อไปแล้วว่าโลกนี้ไม่มีพระเจ้า และพยายามอธิบายถึงทุกสิ่งตามกรอบของโลกทัศน์นี้



    2. ศาสนาคือผลของความโง่เขลา

    ความคลุมเครืออีกประการหนึ่งคือข้อกล่าวหาที่ว่า ด้วยเหตุของความไม่รู้และความโง่เขลาต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ทำให้พวกเขาคิดว่าเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์เหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้า และต่อมาศาสนาก็ถือกำเนิดภายใต้ความเชื่ออันนั้น ทัศนะนี้ถูกนำเสนอโดย Auguste Comte (1798-1857),David Hume(1711-1776) ,Erich Fromm(1900-1980) แพร่หลายในกลุ่มนักปรัชญาตะวันตก ตั้งแต่ศตววรษที่ 18[3]

    วิเคราะห์วิพากษ์ทัศนะ

    ประการที่ 1 ปัญหาก่อนหน้านี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อคลุมเครือนี้เช่นกัน เมื่อมนุษย์ยุคแรกไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุการเกิดปรากฎการณ์ต่างๆทางธรรมชาติได้ เพราะเหตุผลใดพวกเขาจึงตามหาสาเหตุที่อยู่เหนือธรรมชาติ? นี่ไม่ได้แสดงถึงสามัญสำนึกอันบริสุทธิ์ต่อการแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขากระนั้นหรือ

    ประการที่ 2 หากเราอ้างว่าศาสนาเป็นผลจากความเขลาของมนุษย์ เราจะไม่พบผู้รู้ ผู้มีสติปัญญา นักคิดหรือนักวิทยาศาสตร์ต่างๆจำนวนมากที่จะรับนับถือศาสนาในยุคอดีต ปัจจุบันหรือยุคไหนๆก็ตาม เช่นไอสไตน์, เอดิสัน, ริชาร์ด, มาร์ค, แฟรงค์….., อเวซีน่า หรือ อบู อาลี ซีน่า

    ประการที่ 3 หากศาสนาคือผลจากความเขลา เช่นนั้น เราจะไม่มีทางพบหลักธรรมคำสอนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิทยปัญญาและมีความมั่นคงยั่งยืนนาน ตัวอย่างเช่นคำสอนด้านเกียรติของมนุษย์ การต่อสู้กับระบบกดขี่สตรีเพศในสมันอาหรับยาฮีลียะฮ์ การจัดระบบทางเศรษฐกิจสังคม การให้ความสำคัญกับสติปัญญา การให้คำตอบแก่เป้าหมายของชีวิต

    การอธิบายว่าศาสนามาจากความเขลาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากสิ่งหนึ่งมีต้นกำเนิดมาจากความไม่รู้ ผลผลิตของมันก็จะมาจากความไม่รู้ และเมื่อความรู้มากมายถูกถ่ายทอดผ่านในนามของศาสนา ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีว่าต้นกำเนิดของศาสนาไม่ได้มาจากความไม่รู้เลย



    3. ศาสนามาจากความเชื่อผิดๆหรือประเพณีที่ผิดบิดเบือนของมนุษย์

    นักสังคมวิทยาบางส่วนมีความเชื่อว่า พระเจ้า,ศาสนา… เป็นผลมาจากประเพณีวัฒนธรรมเฉพาะของสังคมในยุคแรกเริ่ม ซึ่งรากฐานของมันมาจากความเชื่อผิดๆหรือการบิดเบือนของมนุษย์

    โดยทรรศนะนี้เป็นของเอมีล โดรเคม emile Durkhem 1858-1917 มีความเชื่อว่าเมื่อมนุษย์ยุคแรกสัมผัสได้ถึงความพิเศษที่แปลกประหลาด ความตื่นเต้น ความหวาดสะพรึงหรืออยู่ในสภาวะของคนที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าร่างทรง ความหมายของศาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติจึงแล่นเข้ามาในความคิดของเขา [4]
    วิเคราะห์วิพากษ์ทัศนะ

    ประการที่ 1 คำถามแรกคือหากศาสนาเกิดมาจากความเชื่อผิดๆ เพราะเหตุใดความเชื่อประเพณีหรือร่างทรงเหล่านี้ถึงได้มุ่งหน้าไปสู่เรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์หรอกหรือว่า ภายในจิตใจของมนุษย์มีเรื่องของพระเจ้าและศาสนาฝังไว้อย่างลึกซึ้ง

    ประการที่ 2 นักสังคมวิทยาจะทำการวิเคราะห์ ศึกษาถึงสภาพของสังคมหรือค่านิยมของสังคมเท่านั้น ทว่าพวกเขาไม่ได้วิเคราะห์ถึงสภาวะภายในของมนุษย์ ซึ่งหากว่าพวกเขาพิจารณาถึงส่วนนี้บ้าง จะทำให้พวกเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ฟิตรอตการค้นหาพระผู้สร้างต่างหากคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์เกิดความเชื่อมั่น

    ประการที่ 3 คำถามสุดท้าย สมมุติหากเรายอมรับว่าศาสนาคือผลิตผลจากวัฒนธรรมทางสังคมของมนุษย์ในยุคแรกเริ่ม ทฤษฎีนี้ก็ไม่สามารถเป็นข้อพิสูจน์ทางตรรกะต่อการปฏิเสธความคิดเรื่องพระเจ้าหรือศาสนาแต่อย่างใดเลย เพราะกฎทางตรรกะคือ(การพิสูจน์ต่อสิ่งหนึ่ง ไม่ได้ปฏิเสธการไม่มีของสิ่งอื่น) นั่นคือแม้ว่านักสังคมวิทยาจะอ้างว่าศาสนาเกิดจากสิ่งนี้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าได้ แน่นอนว่าการพิสูจน์ของพระเจ้านั้นเราได้นำเสนอไว้ในหัวข้อของประเด็นดังกล่าวไว้แล้ว



    4. ศาสนาคือผลจากเศรษฐกิจ

    2-3 ศตวรรษก่อนหน้า มีการนำเสนอทฤษฎีที่ว่าศาสนาเกิดมาจากผลของเศรษฐกิจ โดยมีวัตถุนิยมเป็นผู้ยกทฤษฎีนี้ขึ้นมาอธิบายถึงสาเหตุการถือกำเนิดศาสนา นั่นก็คือ กลุ่มมารกซิสม์ กล่าวคือพวกเขามีความเชื่อว่าศาสนาและพระเจ้าคือผลผลิตจากเศรษฐกิจหรือผลผลิตจากบุคคลชนชั้นสูง โดยเฉพาะ กลุ่ม Proletarius , นายทุน ผู้ที่มีความมั่งมี เศรษฐี ซึ่งคนที่อยู่ชนชั้นที่ต่ำกว่าไม่รู้ความลับหรือเรื่องนี้แม้แต่น้อย [5]



    วิพากษ์ทัศนะ

    ประการที่ 1 ทฤษฎีนี้เป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานและมีความอ่อนแอโดยตัวของมัน เพราะการอ้างทฤษฎีเช่นนี้เปรียบเสมือนการอ้างโดยการมองข้ามประวัติศาสตร์ของมนุษย์ อารยธรรมและประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเราได้บอกแก่เรา เป็นผู้ชี้แจงแก่เราว่าศาสนาและผู้ยอมรับในพระเจ้า มักอยู่ในวงการของบุคคลชนชั้นล่างของสังคมเสมอ ซึ่งพวกเขาต่างก็ใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลชนชั้นสูง

    ประการที่ 2 จากตัวของข้อคลุมเครือนี้ก็ยังให้ผลลัพธ์แก่มันเองว่า ในความเป็นจริงมีความเชื่อเรื่องพระเจ้า เรื่องศาสนาอยู่จริงในสังคม ทว่าเพราะการบิดเบือนศาสนาโดยนายทุน ผู้มั่งมี ทำให้ศาสนาแปรเปลี่ยนไปจากเดิม เหตุผลสนับสนุนคือหากไม่มีรากฐานทางศาสนาอยู่แต่เดิมแล้ว ชนชั้นผู้ปกครอง เศรษฐี… จะสามารถควบคุมมนุษย์ไปสู่เป้าหมายพวกเขาได้อย่างไร ดังนั้นพื้นฐานทางศาสนาที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคม จึงเป็นข้อพิสูจน์ต่อการมีอยู่ของศาสนาก่อนหน้านายทุน

    ประการที่ 3 สมมุติว่าเรายอมรับว่าศาสนาคือผลจากนายทุน ความคิดเช่นนี้ก็ไม่อาจนำมาปฏิเสธต่อพระเจ้าหรือศาสนาที่แท้จริงได้ คำอธิบายมีลักษณะคล้ายคลึงกับข้อคลุมเครือก่อนหน้านี้

    ประการที่ 4 หากเราทำการศึกษาจุดเริ่มต้นของศาสนาจะพบว่า ศาสดาแต่ละองค์ ไม่ได้อยู่ในระดับของผู้มั่งมีหรือนายทุนของแต่ละประชาชาติ พวกเราเริ่มต้นเผยแพร่ศาสนาโดยไม่ขึ้นตรงกับนายทุนใดๆในยุคของพวกเขา

    ประการที่ 5 หากศาสนาคือผลจากการเล่นเกมส์ทางเศรษฐกิจของนายทุน คนชนชั้นสูง ผู้มีอำนาจ ผู้มั่งมี เราจะต้องพบว่ารากฐานคำสอนของศาสนานั้นจะต้องเอื้ออำนวยผลประโยชน์ให้กับคนรวยและคนมีอิทธิพลมีฐานะเหล่านั้น ทว่าในความเป็นจริงเรากลับพบว่า กลุ่มบุคคลที่ศาสนาให้ความสำคัญมากที่สุดคือบรรดาผู้อ่อนแอ ผู้ยากไร้ ผู้กดขี่ ผู้ถูกปิดกั้น

    โดยเฉพาะในศาสนาอิสลามเราจะเห็นว่าศาสดาได้ทำการต่อสู้กับระบบการกดขี่ทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ขอให้ท่านศึกษาเกี่ยวกับบทบาทซะกาตในสังคมอิสลาม บทบาทของการคว่ำบาตรระบบดอกเบี้ย ท่านจะพบความพยายามอย่างยิ่งยวดในการช่วยเหลือผู้คนในระดับนี้เสมอ ดังนั้นการอ้างว่าศาสนามาจากนายทุนจึงเป็นการอ้างทฤษฎีที่มองข้ามความเป็นจริง



    อ้างอิง
    [1] เบอรแทรนด์ รัซเซล (Bertrand Russell) จากหนังสือ Why I Am Not a Christian (برتراند راسل، چرا مسیحی نیستم؟ )
    [2] ฟิตรอต มีความหมายตรงกับคำว่า Apriori data ตามการนิยามของพจนานุกรมตรรกวิทยา ,ปทานุกรมปรัชญาให้ความหมายของคำๆนี้ว่า คือ inborn disposition,innate disposition โดยรวมแล้ว ฟิตรอตหมายถึง สามัญสำนักของมนุษย์ที่มีมาแต่กำเนิด คือ สิ่งไม่ได้มาจากการเรียนการสอน หรือ การอบรมของบิดามารดา อย่างไรก็ตาม ความแตกต่าง ระหว่าง ฟิตเราะฮ กับ สัญชาติญาณธรรมชาติ สามารถสรุปได้ด้วยสามลักษณะ คือ 1 ฟิตรอตจะถูกพบในมนุษย์ แม้ว่า คุณภาพของมัน จะอ่อนแอ หรือ เข้มแข็งก็ตาม
    2 กิจการทางฟิตรอตเป็นกิจการ ที่พิสูจน์ได้ นั่นคือ ฟิตรอตเป็นสิ่งที่อยู่ในภายในมนุษย์ทุกยุคสมัย และทุกสถานที่ กล่าวคือ วัฒนธรรม หรือ การเปลี่ยนแปลงของเวลา ไม่ได้เป็นตัวลบหรือเปลี่ยนแปลง ฟิตรอต
    3 ฟิตรอต เป็นส่งที่ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยการเรียนการสอน เป็นความรู้ติดตัวของมนุษย์มาแต่แรกเริ่ม
    ตัวอย่างเช่น ความรักในสิ่งสวยงาม ความรักในความดี การค้นหาสัจธรรม…..
    [3] เรมอนด์ แอรอน Raymond Aron จากหนังสือ ระดับขั้นพื้นฐานความคิดในสังคมวิทยา ,เดวิด ฮูม,จากหนังสือ ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของศาสนา หรือ The Natural History of religion ,อิริค ฟรอม จากหนังสือ จิตและศาสนา หรือ psychoanalysis and religion
    [4] ซามูเอล คิง อลีสัน Samuel King Allison จากหนังสือ สังคมวิทยา
    [5] Peter Andre จากหนะงสิอ มารฺก และ มารกซิสม์ Marx va Maxism, Persian translate by Shuja’ al-Din 1975

    จุดกำเนิดของศาสนา | abnewstoday
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อีกแค่ 2 ปี การผ่าตัดเปลี่ยนหัวมนุษย์จะสามารถทำได้จริงแล้ว !
    โพสต์เมื่อ : 28 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 12:50:21

    <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/FV5pOO5Mt64" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    การผ่าตัดเปลี่ยนหัวมนุษย์

    [​IMG]

    ศัลยแพทย์อิตาลีลั่น การผ่าตัดเปลี่ยนหัวจ่อทำได้จริงในแน่ภายในปี 2017 เชื่อการแพทย์ก้าวไกลจนข้ามอุปสรรคไปได้แล้ว !

    เว็บไซต์มิเรอร์เผยในรายงานวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558 ว่า เซอร์จิโอ คานาเวโร ศัลยแพทย์ชาวอิตาลีจากตูริน แอดวานซ์ นิวโรโมดูเรชั่น กรุ๊ป ได้ออกมาแสดงความมั่นใจว่า ภายในสองปีที่จะถึงนี้ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวมนุษย์เข้ากับร่างใหม่จะสามารถเกิดขึ้นได้จริง อันจะเป็นการต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยที่ร่างกายเป็นโรคมะเร็งหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อมได้ ซึ่งอยู่ในสภาพที่ร่างกายเจ็บป่วยแต่สมองยังทำงานได้ดี

    ศัลยแพทย์อิตาลีเผยคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ ของการผ่าตัดว่า เริ่มจากการหาร่างกายของผู้บริจาค จากนั้นศีรษะของผู้ป่วยและร่างกายของผู้บริจาคจะถูกนำไปแช่เย็น เพื่อยืดอายุของเซลล์ให้เซลล์ยังสดและมีชีวิตอยู่ได้แม้ไม่มีออกซิเจนจากเลือดหล่อเลี้ยง แล้วจึงทำการผ่าตัดส่วนลำคอนำเส้นเลือดใหญเชื่อมติดกันด้วนท่อเล็ก ๆ แล้วตัดไขสันหลังแล้วของทั้งสองร่าง ซึ่งนับว่าเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดเนื่องจากมีเส้นประสาทจำนวนมากอยู่ในส่วนนี้ จากนั้นจึงนำมาเชื่อมติดกันโดยใช้สารไพลีเอธิลีน กลีคอล

    หลังจากนี้แล้วศีรษะพร้อมร่างที่ได้รับการผ่าตัดเข้าด้วยกันจะต้องพักฟื้นหนึ่งเดือน เพื่อให้กล้ามเนื้อ เส้นเลือด และไขสันหลังเชื่อมติดเข้าด้วยกัน แล้วจึงผ่าตัดฝังอิเล็กโทรดลงไป เพื่อคอยปล่อยกระแสไฟฟ้ากระตุ้นการเกิดใหม่และเชื่อมเนื่องกันของใยประสาท เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้แล้วคาดว่าผู้ป่วยจะฟื้น สามารถขยับตัว และเรียนรู้ที่จะเดินได้อีกครั้งภายใน 1 ปี

    ทั้งนี้ เซอร์จิโอ คานาเวโร เคยได้เสนอไอเดียดังกล่าวมาแล้วในปี 2013 แต่ตอนนี้เขามั่นใจมากกว่าเดิมด้วยความเชื่อมั่นว่า นวัตกรรมการแพทย์ใหม่ ๆ สามารถก้ามข้ามอุปสรรคประการต่าง ๆ ในการผ่าตัดลงได้แล้ว และจะนำเรื่องนี้เข้าเสนอในที่ประชุมองค์การศัลยแพทย์ประสาทและออโธปิดิกส์แห่งสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมทั้งระบุด้วยว่าในตอนนี้คนเข้ามาขอเป็นอาสาสมัครเพื่อรับร่างกายใหม่แล้วด้วย

    อย่างไรก็ตามหลาย ๆ เสียงแม้แต่คนในวงการแพทย์เองยังแสดงความคิดเห็นว่า เรื่องผ่าตัดเปลี่ยนหัวนี้เป็นได้แค่จินตนาการแฟนตาซีเท่านั้นเอง


    อีกแค่ 2 ปี การผ่าตัดเปลี่ยนหัวมนุษย์จะสามารถทำได้จริงแล้ว !
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    เปรียบเทียบการทำกลองแบบจีนกับไทย
    ---------------
    เมื่อวันก่อนช่วงกำลังตระเวนหาข่าวต่างประเทศมาให้เพื่อนๆได้อ่านจากแหล่งอื่นบ้าง เพราะเกรงว่าเพื่อนๆ อาจจะอิ่มข่าวรัสเซีย-ยูเครนซะก่อน ก็ชะแว๊บไปที่เว็บไซต์ข่าวของจีนแล้วก็ไปเจอข่าวเกี่ยวกับงานฝีมือในการทำกลอง ก็ลองคลิกเข้าไปดูเห็นมีภาพประกอบด้วย คิดว่าน่าสนใจดีจึงนำมาเล่าต่อให้เพื่อนๆ ท่านผู้อ่านสมาชิกแฟนเพจได้รับทราบบ้างตามสมควรแก่เวลาดังนี้ครับผม
    สมัยก่อนนี้เคยเห็นผู้เฒ่าผู้แก่เขาทำกลองยาวด้วยการเอาท่อนไม้มาขึ้นรูปภายนอกให้เป็นรูปกลองซะก่อน จากนั้นก็ขุดเอาตรงแกนกลางออกเจาะให้เป็นรูทะลุกันทั้งสองด้านตามแนวยาวของท่อนไม้ ขัดสีฉวีวรรณให้เนียนแล้วก็เอาหนังสัตว์ตากแห้งมาขึงปิดทับด้านหน้าเพื่อให้เวลาตีหรือตบที่หนังสัตว์จะได้เกิดเสียง เล่าแบบย่อๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้อ่ะนะ
    แต่พอไปเจอขั้นตอนการทำกลองจีนแดงจากอินเตอร์เน็ทแล้วรู้สึกว่ากรรมวิธีของชาวจีนเขาไม่เหมือนกับที่เราทำกันอยู่ในบ้านเราเลย แต่ผลงานออกมาเป็นรูปกลองได้ไม่แตกต่างกันหากเป็นกลองประเภทเดียวกันนะ อย่างในกรณีนี้ที่ตำบล Yanshi เมืองลกเอี๋ยง (จีนกลางออกเสียงเป็น ลั่วหยาง) ในตอนกลางของมณฑลเหอหนาน (Henan) ที่ตำบลแห่งนี้เขาจะมีโรงงานทำกลองจีน ที่นี่เป็นแหล่งทำกลองที่ขึ้นชื่อมาก ที่น่าสนใจก็คือกรรมวิธีในการทำกลองของเขาไม่เหมือนบ้านเรา โดยเขาจะท่อนไม้มาผ่าครึ่งแบ่งออกเป็น 2-3 ส่วน (คล้ายกับเป็นไม้แผ่นหรือไม้กระดานแต่ค่อนข้างหนา) จากนั้นก็เอาแบบพิมพ์ที่เป็นเส้นโค้งมาทาบลงไปแล้วก็ขีดดินสอตีเส้นตามแบบพิมพ์นั้น ไม้กระดานที่หนาประมาณ 50 เซ็นติเมตรสามารถตัดแยกเป็นส่วนประกอบของกลองได้ถึง 7 ส่วนด้วยกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของกลองว่าต้องการให้มีขนาดเล็ก-ใหญ่ขนาดไหน (ดูรูปที่1-2ประกอบ) จากนั้นก็เอาแต่ละส่วนมาประกอบเข้ากันขึ้นรูปเป็นรูปทรงกลมของกลอง (ภาพที่ 3) ขั้นตอนในการประกบไม้เข้ากันให้สนิทนั้นเขามีเทคนิคพิเศษที่ทำให้ไม่มีรอยรั่ว จากนั้นก็เอามาขัดด้วยกระดาษทรายให้ผิวไม้เรียบ แล้วก็ทาสีกลองและขึ้นหนังตอกหมุด เรียบร้อย แล้วก็ส่งขาย
    ส่วนที่บ้านเราก็มี จากที่ลองเช็คดูในเน็ทก็พอจะพบบ้าง ที่ขึ้นชื่อก็คือที่บ้านปากน้ำ ตำบลเอกราช อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ขั้นตอนการทำกลองของที่นี่จะไม่ใช่การเอาซี่ไม้มาต่อเข้าลิ่มกันอย่างของจีน แต่จะมีลักษณะคล้ายกับการทำกลองยาวอย่างที่เล่าให้ฟังแล้วในตอนต้น ถ้ากลองที่จะทำนั้นมีขนาดใหญ่ ช่างก็จะแทงเอาไส้ในม้ตรงกลางออกมาก่อนเพื่อนำไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น ส่วนมากแล้วส่วนที่แทงออกมานั้นจะเป็นลักษณะสี่เหลี่ยม ความสูญเสียระหว่างทั้งสองวิธีนี้เมื่อคำนวณดูคร่าวๆแล้วก็น่าจะใกล้เคียงกันหมายถึงไม้ส่วนที่ใช้การการไม่ได้ที่ต้องตัดหรือคว้านทิ้ง
    แต่ข้อจำกัดตามวิธีของไทยเราก็คือว่าถ้าต้องการให้ได้กลองที่มีหน้ากว้างมากๆ หรือมีขนาดใหญ่ก็ต้องใช้ต้นไม้ที่มีลำต้นขนาดใหญ่ตามไปได้ด้วย เช่นอยากได้กลองที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร ก็ต้องใช้ต้นไม้ที่อายุไม่ต่ำกว่า 200-300 ปีมาทำ น่าเสียดายต้นไม้มากๆ ยิ่งต้องให้กลองมีขนาดใหญ่เท่าไรก็ต้องขึ้นอยู่กับขนาดของต้นไม้ด้วย อย่างการจะหาไม้มาทำกลองเพลใบใหญ่ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องตัดไม้ที่มีอายุหลายร้อยปี 1 ต้นถึงจะสามารถทำกลองเพลขนาดใหญ่ได้ซัก 1-2 ใบ เพราะจะใช้เฉพาะช่วงโคนไม้เท่านั้นเนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่าช่วงกลางและช่วงปลายของต้นไม้
    แต่หากเราใช้วิธีการทำกลองแบบจีนเราก็ไม่จำเป็นต้องตัดไม้ที่มีอายุมากขนาดนั้นก็ได้ ใช้ต้นไม้ที่มีอายุประมาณ 30-50 ปีแค่ต้นเดียวก็สามารถทำกลองเพลที่มีขนาดใหญ่เท่ากับที่ได้จากต้นไม้ที่มีอายุหลายร้อยปี ก็เห็นว่าข้อมูลนี้น่าสนใจจึงนำมาฝากอ่ะครับผม

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    The Eyes
    01/03/2558
    ------------
    http://usa.chinadaily.com.cn/…/20…/25/content_19643640_8.htm
    http://www.openbase.in.th/files/pom5001.pdf
    การศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่อง การทำกลอง | OpenBase.in.th
    กลองชัยมงคล
    กลองชัยมงคล: วิธีการทำกลองชัยมงคล
    http://www.bloggang.com/mainblog.php…
    นาฏดุริยการล้านนา - กลองหลวง (3) ขั้นตอนการทำกลองหลวง | OpenBase.in.th
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    นายกกรีซบอกว่า "ลืมไปเลยนะเรื่องที่จะขอกู้เงินช่วยเหลือรอบที่สามหนะ"

    [​IMG]

    --------------
    + ข่าว
    --------------
    มาติดตามดูความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้สินของกรีซกับเจ้าหนี้อียูกันบ้างครับ เมื่อกรีซกับยุโรปบรรลุข้อตกลงที่จะยืดเวลาการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินการกรีซเป็นเวลาอีก 4 เดือน จากที่กรีซเคยขอไว้ที่ 6 เดือน ล่าสุดทางสภาฯของเยอรมันนีมีมติเสียงข้างมาก 542 ต่อ 32 สนับสนุนนโยบายการปฏิรูปการเงินและเศรษฐกิจของกรีซ และงานนี้นายกรัฐมนตรี Angela Merkel ผู้นำเยอรมันนีก็สนับสนุนกรีซด้วยเช่นกัน สำหรับกรีซแล้วทางสะดวกว่างั้นเถอะ แต่ทางเยอรมันนีก็ออกมาเตือนกรีซว่าที่อียูยอมยกมือช่วยเหลือกรีซในครั้งนี้ก็เพราะมองแล้วว่าเป็นผลดีต่อส่วนรวมของสหภาพยุโรป ซึ่งหากทำให้กรีซฟื้นขึ้นมาได้ ก็จะทำให้อียูแข็งแกร่งขึ้นมาด้วยเช่นกัน (เออ… พูดงี้ค่อยน่าฟังหน่อย) แต่… หวังว่ากรีซจะไม่กลับมาแบ็คเมล์ประเทศสมาชิกอื่นๆ ในภายหลังนะ พูดอย่างนี้แสดงว่าอียูกลัวว่ากรีซจะออกจากอียูจริงๆนะนี่
    แต่ที่แปลกก็คือหลังจากที่กรีซได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินจากอียูออกไปอีก 4 เดือนแล้ว ก็มีการเดินประท้วงจากกลุ่มที่อ้างว่าเป็นพวกต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัด ออกมาเดินประท้วงรัฐบาลนี้เป็นครั้งแรก โดยตอนแรกบอกว่าจะไม่มีความรุนแรง แต่ผลสุดท้ายก็มีความรุนแรงเกิดขึ้นจนได้ มีการพังร้านค้าตามริมถนน เผารถยนต์
    ทางนายกฯ Alexis Tsipras หนุ่มหล่อคนใหม่ของกรีซออกมาแก้เกมนี้ทันทีเลยว่า "บางคนได้พนันว่าจะมีการขอความช่วยเหลือด้านการเงินอีกเป็นครั้งที่สาม ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเดือนมิถุนายน ผมขอแสดงความเสียใจด้วย แต่ว่า อีกครั้งที่ต้องทำให้พวกเขาผิดหวัง เพราะว่าประชาชนชาวกรีซได้จบเรื่องความช่วยเหลือด้านการเงิน (กู้หนี้เพิ่ม) ด้วยการออกเสียงเลือกตั้งโน่นแล้ว ขอให้พวกเขาลืมเรื่องที่จะมีการกู้เงินเพิ่มอีกเป็นครั้งที่สามไปเลยนะ"
    + วิเคราะห์
    --------------
    นำเสนอข่าวและข้อเท็จจริงแบบเนื้อๆเน้นๆไปแล้ว คราวนี้ลองมาวิเคราะห์กันดูบ้างว่า "ทำไมถึงมีการประท้วง? และผู้ที่ออกมาประท้วงในครั้งนี้เป็นพวกที่ออกเสียงเลือกตั้งรัฐบาลชุดนี้มาจริงๆหรือเปล่า?" นี่แหละที่ผมสงสัย จากโพลที่มีการสำรวจความนิยมและปฏิกิริยาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลนี้ในรอบ 1 เดือนที่มีการบริหารประเทศมา 47.6 เปอร์เซ็นบอกว่าถ้ามีการเลือกตั้งอีกพวกเขาก็จะรัฐบาลชุดนี้อีกครั้ง ตัวเลขนี้ถ้ามองเพียงผิวเผนแม้จะไม่มากในสายตาของบางคนเพราะไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำไป แต่อย่างลืมนะว่ารัฐบาลชุดนี้ชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดจนสามารถครองเสียงข้างมากในสภาฯและจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยคะแนนเสียงเพียง 36.3% เองนะ นี่แสดงให้เห็นว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลนี้เพิ่มขึ้นอีก 10% และจากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนพบว่า 76% รู้สึกพึงพอใจกับการทำงานโดยภาพรวมของรัฐบาลชุดนี้ อ้าว! ตัวเลขนี้มันไม่ใช่น้อยๆเลยนะนั่นหนะ แล้วพวกที่ออกมาประท้วงนี่จะประท้วงทำไม?
    เหตุผลที่เขาออกมาประท้วงก็คือว่า "รัฐบาลชุดนี้ล้มเหลวในการต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดตามที่ได้พูดไว้ในตอนหาเสียง" 1 เดือนนี่นะ? บอกว่าล้มเหลวละ... ผมมองอย่างนี้ มีคนอยู่สองประเภทที่ออกมาพูดอย่างนั้น
    1.) คือพวกเขาไม่เข้าใจและไม่รู้จริงๆ ว่าการแก้ไขมาตรการรัดเข็มขัดและการการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้นจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คืออยากให้เศรษฐกิจดีกว่านี้ ลดอัตราการว่างงาน ประเทศไม่เป็นหนี้เป็นสินมากขนาดนี้ พวกเขาอาจจะไม่อยากรู้ด้วยซ้ำไปเกี่ยวกับรายละเอียดว่ารัฐบาลจะต้องทำขั้นตอน 1-2-3… อย่างไรบ้าง ถึงพูดก็ไม่ฟัง ถึงฟังก็ไม่เข้าใจ พวกนี้ก็จะซื่อๆ ใสๆอย่างนี้แหละ อ้าวงั้นก็เป็นความผิดของรัฐบาลนี้สิที่ไม่สามารถสื่อฯให้ประชาชนของตัวเองเข้าใจได้ ก็คงต้องให้นายกฯใหม่ของเขามาฝึกการพูดจากลุงตู่ของเราบ้างแล้วหละครับ นี่ขนาดลุงตู่พูดภาษาชาวบ้านนะ ก็ยังมีคนที่ไม่เข้าใจ หรือแกล้งไม่เข้าใจอีกนะ ดูอย่างนักข่าวบางคนเป็นต้น ถามคำถามเดิมๆซ้ำๆทุกวันทุกอาทิตย์ พวกอย่างนี้เกินเยียวยาหละ
    อันที่จริงกลยุทธ์ในทางการเมืองระหว่างประเทศเขาก็ต้องมีอุบไต๋กันไว้บ้าง ขืนพูดออกไปหมดทุกอย่างฝ่ายตรงข้ามเขาก็รู้ทันหมดสิ และเขาก็จะแก้เกมได้แล้วจะเอาอะไรไปต่อรองกับเขาหละ แต่อย่างน้อยตลอด 1 เดือน (?) ที่ผ่านมารัฐบาลหใหม่ชุดนี้ของกรีซก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการเพิ่มมาตรการรัดเข็มขัดตามที่ทางอียูและเจ้าหนี้ต้องการแต่แรกเลยนะ แต่ปัญหาหนี้สินพวกนี้รัฐบาลก่อนเขาสร้างมาตั้งแต่ปี 2010 โน่นแล้วกู้สะสมมาเรื่อยๆ จู่พอมีรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบอกว่าภายในหนึ่งเดือนจะต้องแก้ปัญหาพวกนี้ให้ได้ เออ… แล้วเทพเจ้าองค์ไหนของกรีกจะทำได้บ้างหละครับนี่?
    2.) พวกที่ออกมาประท้วงนี้อาจจะไม่ใช่พวกที่ออกมาเรียกร้องการต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดตัวจริง อาจจะมีบางคนที่แฝงเข้ามาในกลุ่มแล้วถือโอกาสทำลายข้าวของสาธารณะและของชาวบ้านเพื่อลดความน่าเชื่อถือของกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลนี้ หรืออาจจะเป็นกลุ่มของฝ่ายตรงข้ามหรือของพวกเจ้าหนี้ที่ต้องการจะทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดนี้และล้มรัฐบาลชุดนี้ซะ แล้วก็ให้สถานการณ์ทางการเมืองมันวุ่นวายอยู่อย่างนี้แหละ พวกนี้จึงถูกมองว่าเป็นพวกที่ออกมาสร้างสถานการณ์ให้สถานการณ์ที่กำลังจะดีขึ้นมันกลับแย่ลงไปดังเดิมหรือยิ่งกว่าเดิมอีก
    และที่สังเกตเห็นความผิดปรกติอีกอย่างก็คือ รัฐบาลใหม่ของกรีซชุดนี้ก็ออกมาพูดตั้งนานแล้วนะว่าไม่ต้องการอะไรมากจากอียูขอแค่ให้อียูช่วยยืดเวลาการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินออกไปอีกซัก 6 เดือนเท่านั้นเอง อาจจะปลอดดอกเบี้ยหรืออาจจะมีแต่ไม่สูงมากนักอย่างที่เคยทำมาและไม่ต้องถูกบังคับให้ขายสมบัติชาติภายใต้นโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจตามที่เจ้าหนี้เป็นผู้กำหนดให้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะอะไรถึงต้องกู้เพิ่มในครั้งนี้อีก? ก็เพราะว่ากรีซไม่มีเงินเหลือในคลังซักแดงเดียวเลยนะสิ ภาษีก็แทบจะเก็บไม่ได้ ขนาดจะจ่ายเงินเดือนให้เจ้าหน้าที่รัฐตามหน่วยงานต่างๆ ก็แทบจะไม่เพียงพออยู่แล้ว ถ้าไม่กู้เพิ่มในครั้งนี้แล้วจะเอาที่ไหนมาแก้ไขปัญหาพื้นฐานและพัฒนาประเทศ แต่ช่วงนั้น ช่วงที่อียูยังไม่อนุมัติ ทำไมพวกนี้ถึงไม่ออกมาประท้วง หรือคัดค้านนโยบายของรัฐบาลนี้ แต่พออียูอนุมัติแล้วทำไมถึงรีบออกมาประท้วงบอกว่าล้มเหลวในการต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดทันทีเลย? นี่ความไม่ชอบมาพากลมันอยู่ตรงนี้
    The Eyes
    01/03/2558
    ------------
    Greek PM says 'forget about third bailout' — RT News
    Germany’s Bundestag okays Greece’s bailout extension — RT Business
    Germany's Bundestag Backs Term Extension for Greece Aid Package / Sputnik International
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    สเปน 2 มาตรฐานกรณีวิกฤตยูเครนจับเฉพาะชาวสเปนที่ไปช่วยฝั่งนิยมรัสเซียแต่ไม่จับชาวสเปนที่ไปช่วยยูเครน

    [​IMG]

    --------------
    เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ก.พ.58 ที่ผ่านสำนักข่าวต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยของประเทศสเปนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นที่พักอาศัย 8 แห่งของพลเมืองชาวสเปนที่ไปช่วยกลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซียสู้รบกับกองกำลังของยูเครน โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมชาวสเปนจำนวน 8 คนใน 6 พื้นที่ทั่วประเทศที่กลับมาจากยูเครน ผู้ถูกควบคุมตัวถูกกล่าวหาว่ามีอาวุธและวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองและเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม ตามรายงานชาวสเปนกลุ่มนี้ได้เข้าสู้รบในยูเครนตะวันออกและเรียกตัวเองว่า "ศัตรูของระบบทุนนิยม" (adversaries of capitalism) ซึ่งได้ไปต่อสู้กับพวกนิยมลัทธินาซีใหม่ในยุโรป
    หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมกล่าวว่ารัฐบาลสเปนไม่ได้มีจุดยืนที่เป็นกลาง (neutrality) ในความขัดแย้งในยูเครนและในเรื่องการสนับสนุนยุทโธปกรณ์ให้กับทางกรุงเคียฟ
    ฝ่ายรัฐบาลก็ออกมาแก้ว่า ผู้ต้องหาที่เข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งในยูเครนตะวันออกได้ทำลายความพยายามในเรื่องสันติภาพและละเมิดความเป็นกลางของสเปนซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้ง
    ส่วนผู้ที่ถูกควบคุมตัวกล่าวว่า รัฐบาลสเปนโกหกเกี่ยวกับเรื่องความเป็นกลางในความขัดแย้งในยูเครน "เนื่องจากไม่มีความเป็นกลางจากสเปนในความขัดแย้งนี้ ดังนี้พวกเราจึงไม่ได้ทำลายมัน รัฐบาลสเปนสนับสนุนอุปกรณ์ทางการทหารให้กรุงเคียฟและให้การสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันของยูเครน พวกเรารู้ว่ามีทหารรับจ้างของสเปนอยู่ในรถถังของยูเครน รัฐบาลสเปนไม่มีหลักฐานที่จะมาดำเนินคดีกับพวกเขา และกลุ่มของพวกเขาเป็นพวกช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคดอนบาสส์ (โดเนทส์กกับลูฮานส์ก)"
    หนึ่งในผู้ถูกควบคุมตัวกล่าวว่าเขาและเพื่อนๆของเขาเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกสงครามทำลายจนบ้านเรือนย่อยยับ เขาก็แปลกใจว่าทำไมถึงได้ถูกจับกุม แต่ตอนนี้พวกที่ถูกจับกุมก็ถูกปล่อยตัวออกมาหมดแล้วเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีหลักฐานว่าพวกเขาก่ออาชญากรรม แต่ก็ยังต้องขึ้นศาลอยู่ดี และหากพบว่าพวกเขามีความผิดก็อาจจะติดคุกเป็นเวลา 4-15 ปี
    เรื่องไม่เป็นเรื่องของรัฐบาลสเปน คงจะถูกสหรัฐฯบีบมาแน่ๆงานนี้ โทษฐานที่ไม่ช่วยพวกนาซีใหม่ของยูเครน ก็ตลกอีกหละจับเฉพาะพวกที่ไปช่วยฝั่งนิยมรัสเซียแต่ไม่จับพวกที่ไปช่วยฝั่งยูเครน ประเทศอื่นๆก็แอบส่งไปเหมือนกัน ในภาพข่าวจากรัสเซียเห็นมีทหารต่างชาติโผล่ออกมาเยอะแยะเลย งั้นสเปนก็ต้องไปจับรัฐบาลของสหรัฐฯก่อนเลยดีมะที่สนับสนุนด้านอาวุธให้กับยูเครน และเมื่อเร็วๆ นี้ทั้งสหรัฐฯและอังกฤษและแคนาดาบอกว่าจะส่งทหารเข้าไปช่วยฝึกให้กับกองทัพของยูเครนอีก อ้าว! ไปดินั่นหนะ นี่แหละประชาธิปไตยของโลกตะวันตกหละ
    The Eyes
    01/03/2558
    ------------
    TASS: World - Spaniards suspected of fighting in Donbas say were struggling new Nazi threat in Europe
    Spain's Neutrality Over Ukrainian Conflict Questioned / Sputnik International
    Spanish Police Detain Eight Citizens Who Fought in Donbas / Sputnik International
     

แชร์หน้านี้

Loading...