เป็นพุทธภูมิต้องละสังโยชน์ ๑๐ หรือไม่?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 6 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    สืบเนื่องจากมีกรุ๊ปไลน์พุทธภูมิกลุ่มหนึ่งได้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติเพื่อการละสังโยชน์ ผมเห็นว่าห้องนี้มีพุทธภูมิหลายท่าน คำตอบที่ผมได้ให้แก่เพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ในห้องนั้นน่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านในห้องนี้บ้างไม่มากก็น้อยครับ

    คำถามมีว่า "ขอความเห็นการละสังโยชน์ของผู้ปรารถนาพุทธภูมิว่า ทำได้ไหมอย่างไร ใครมีประสบการณ์แชร์พี่น้องฟังได้ครับ"

    ขอแชร์ประสบการณ์และสอดแทรกความเห็นส่วนตนสักนิดครับ

    การละสังโยชน์ ๑๐ ประการ เป็นสิ่งที่เราทุกคนผู้ปรารถนาจะเข้าสู่พระนิพพานพึงปฏิบัติให้ได้ไม่ว่าจะเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิ ยิ่งละได้หมดโดยเร็วเท่าใดยิ่งเป็นการดีเท่านั้น

    พุทธภูมิกับสาวกภูมิจะต่างกันก็ตรงที่"หน้าที่" ของแต่ละบุคคล หากเป็นพุทธภูมิซึ่งตั้งความปรารถนาจะช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปพระนิพพาน แม้ละสังโยชน์ ๑๐ ได้ครบถ้วนทุกประการก็ยังไม่อาจเข้าพระนิพพานได้ ต้องรอวาระในการทำ "หน้าที่" ของตนให้เสร็จเสียก่อน นั่นคือการบรรลุพระโพธิญาณและนำพาลูกหลานบริวารและเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพานตามกำลังบารมีและวาสนาของตน หากเป็นสาวกภูมิซึ่งไม่มี "หน้าที่" พิเศษอันใด ก็ควรที่จะเร่งรัดการละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้โดยเร็ว

    สำหรับพุทธภูมินั้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่เร่งรัดเข้าสู่พระนิพพานด้วยเหตุที่มี "หน้าที่" ที่จะต้องสั่งสมบุญญาบารมี เรียนรู้สรรพสิ่ง สรรพวิชา ฯลฯ และยังต้องเดินทางยาวไกล ต้องขยันเกิดอีกเท่าใดก็ตาม ก็จะต้องละสังโยชน์ ๑๐ ในเบื้องต้นให้ได้ ผมใช้คำว่า "ต้องละให้ได้" โดยเฉพาะใน ๓ ข้อแรก คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ท่านต้องละให้ได้อย่างมั่นคงหรือพยายามทรงอารมณ์นี้ได้ทรงตัวเท่าที่ท่านจะทำได้

    จากประสบการณ์ของผม ผมพบว่าความแตกต่างระหว่างพุทธภูมิกับสาวกภูมิในเรื่องของการละสังโยชน์นั้นจะต่างกัน คือ หากเป็นสาวกภูมิ เมื่อละสังโยชน์ ๑๐ ใน ๓ ข้อแรกได้แล้วจะเข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้าเบื้องต้น คือ เป็นพระโสดาบันและจะมีแต่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปไม่ถอยหลังกลับลงมา แต่ทว่าหากเป็นพุทธภูมิ จะมีขึ้นๆ ลงๆ บางอารมณ์บางขณะก็ทรงอารมณ์ในการละสังโยชน์ ๓ ข้อแรกได้ บางขณะก็เผลอหรือตั้งใจกลับมายึดถืออีก ซึ่งแสดงว่ากำลังใจในการละสังโยชน์ยังไม่เข้มแข็งพอ อันนี้เกิดขึ้นกับตนเองบ่อยๆ ในช่วงชีวิตที่ผ่านมานี้ จน "พระ" ท่านเห็นว่า หากปล่อยให้ผมทำเหลวไหลตามอำเภอใจ การทำบารมีในชาตินี้ของผมก็จะเสียเปล่า ท่านจึงลงมาขนาบผมให้เดินให้ตรงทาง

    อย่างไรก็ตาม ผมยังเห็นว่าผู้ที่เป็นพุทธภูมิโดยเฉพาะในช่วงของการทำบารมีต้นและอุปบารมี (หรือแม้แต่ปรมัตถบารมีที่เหลวไหล) ก็อาจมีอาการขึ้นๆ ลงๆ ในการทรงอารมณ์ที่จะละสังโยชน์ได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงกำลังสั่งสมบุญบารมี จึงอาจมีการลองผิดลองถูก เรียนรู้ทั้งบุญและบาปแบบละเอียดทุกขั้นทุกตอน เรียนรู้เพื่อที่จะไปเป็นครูเขา ไปสอนคนอื่นเขาได้ ดังนั้น ตัวเองก็ต้องรู้ให้ช่ำชองเสียก่อน นรกมีกี่ขุม สวรรค์และพรหมมีกี่ชั้น เรียนรู้จนจบครบถ้วน โดยเฉพาะท่านที่บำเพ็ญบารมีแบบวิริยาธิกะ

    ผมมีคำถามที่มักถามตัวเองบ่อยๆ ว่า การละสังโยชน์ ๑๐ จำเป็นต้องละโดยเรียงลำดับเป็นข้อๆ หรือไม่? ตรงนี้อยากให้ทุกท่านมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

    สำหรับผม ผมเห็นว่า หากเป็นสาวกภูมิไม่จำเป็นต้องละแบบเรียงข้อ ละข้อไหนได้ก่อนก็ทำไป แต่ ๓ ข้อแรกควรละให้ได้ แล้วไปลัดตัดตรงตัดสังโยชน์ข้อ ๑๐ เอาอีตอนวาระสุดท้ายของชีวิต ดั่งที่หลวงพ่อฤๅษีท่านสอนลูกหลานเอาไว้ แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิจะต่างกัน แม้พุทธภูมิจะละสังโยชน์ได้เพียงใดก็ยังไม่เข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า เป็นได้แค่ทรงอารมณ์เทียบเท่า จึงยังอาจมีขึ้นมีลงได้ อย่างไรก็ตาม การละสังโยชน์ของพุทธภูมิก็ควรละให้ได้ทุกข้อ บางข้ออาจละได้บริบูรณ์ บางข้ออาจละได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ควรพยายามทำไป แต่อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ต้องละหรือพยายามทรงอารมณ์ในการละ ๓ ข้อแรกให้ได้อย่างสม่ำเสมอทุกชาติของการเกิด เพื่อหลีกเลี่ยงการเรียนรู้นรกโดยไม่จำเป็น ผมใช้คำว่า "โดยไม่จำเป็น" เพราะบางครั้งบางคราเราอาจต้องยอมลงนรกเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากหรือเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและพระพุทธศาสนาก็เป็นได้

    การละสังโยชน์แบบเรียงข้อมีข้อดีตรงที่สามารถใช้เป็นเครื่องวัดการทรงอารมณ์ของเราได้ว่า หากเปรียบเทียบการเป็นพระอริยะเจ้าแล้วขณะนี้เราทำได้แค่ไหนและยังต้องทำอีกมากน้อยเพียงใด

    นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมซึ่งอาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ แล้วท่านอื่นละครับมีความเห็นกันว่าอย่างไร?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2015
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ขอนำประสบการณ์เกี่ยวกับการละสังโยชน์มาเล่าสู่กันฟังครับ

    แต่ไหนแต่ไรมาผมก็พยายามที่จะละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้ แม้จะละไม่ได้ทุกข้อแต่อย่างน้อย ๓ ข้อแรกผมจะต้องพยายามรักษาไว้ให้ได้

    แต่แล้วจู่ๆ อยู่มาวันหนึ่งถึงวาระที่มารจะเข้ามาขวางมาปิดกั้นการทำความดีในส่วนนี้ และเขาก็เกือบทำหน้าที่ของเขาได้สำเร็จ แต่ก็แค่เกือบเท่านั้น

    เรื่องมีอยู่ว่า เขามาดลใจให้ผมเกิดสับสนและเกิดความคิดว่า "หากเราละสังโยชน์ ๑๐ ได้ เราก็ต้องเข้าพระนิพพานน่ะสิ แล้วลูกหลานบริวารของเราล่ะ พวกเขาจะทำอย่างไร ใครจะพาพวกเขาเข้าพระนิพพาน" เมื่อเกิดความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเช่นนี้ขึ้นมาก็เลยพาลจะเลิกละสังโยชน์เสีย แต่บุญเก่าคงมีอยู่ ความคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็ตีกลับขึ้นมาว่า "ถึงเป็นพุทธภูมิก็ต้องละสังโยชน์" ความคิดทั้งสองด้านตีกันไปตีกันมาจนสับสนและเกิดอาการเครียดขึ้นมา เป็นอย่างนี้อยู่ ๓-๔ วัน จนทนไม่ไหว จึงชวนรุ่นน้องคนหนึ่งขับรถดิ่งตรงไปหาท่านจิตโต (หลวงพี่สมปอง) ที่บ้านสบายใจ ไปถึงเอาเย็นแล้วซึ่งเป็นเวลาเลิกรับแขก เห็นประตูบ้านปิดสนิท ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงปีนประตูรั้วหน้าบ้านตะโกนเรียกหลวงพี่ๆ หลวงพี่ท่านก็เมตตามาก ท่านไม่ดุสักคำ ท่านร้องบอกเดี๋ยวๆ ขอห่มผ้าก่อน เมื่อท่านห่มผ้าเรียบร้อยแล้วจึงมาเปิดประตูให้ผมเข้านั่งคุยกับท่านที่ศาลากลางน้ำ

    ท่านมองหน้าผมยิ้มๆ แล้วถามว่ามีเรื่องร้อนใจอะไรหรือ ผมก็เล่าสิ่งที่ผมกำลังประสบอยู่ให้ท่านฟัง แล้วเรียนถามท่านว่า "เป็นพุทธภูมิต้องละสังโยชน์ ๑๐ หรือไม่ครับ" ท่านตอบว่า "ไม่ว่าจะเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ต้องละเช่นกัน" ผมจึงเรียนถามต่อไปว่า "มีตัวอย่างไหมครับ พุทธภูมิที่ละสังโยชน์ ๑๐ ได้แล้วไม่เข้าพระนิพาน" หลวงพี่ท่านยิ้มแล้วตอบว่า "มีสิ หลวงปู่ปานยังไงล่ะ"

    พอได้ฟังคำตอบเช่นนั้น เหมือนฟ้าที่มืดมิดเพราะถูกเมฆหมอกปกคลุมก็สว่างเจิดจ้าขึ้นมา ความคิดสับสนต่างๆ นานา พลันมลายหายไปสิ้น วันนั้น ผมลากลับบ้านมาด้วยใจที่ปลอดโปร่งและเกิดความมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะพยายามละสังโยชน์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    พวกเราต้องอย่าลืมว่าหลวงพ่อฤๅษีท่านสอนให้เราเอากระดาษมาจดบารมี ๑๐ และสังโยชน์ ๑๐ แล้วให้ปิดไว้บนหัวนอนหรือที่ที่เราเห็นได้ชัด เพื่อจะได้เอาไว้คอยทบทวนและเตือนตัวเองว่า เรายังพร่องในบารมี ๑๐ ข้อใด ยังละสังโยชน์ ๑๐ ในข้อไหนไม่ได้ ก็ให้เร่งทำเร่งปฏิบัติทุกวัน

    ผมมีของแถมให้ในท้ายนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมได้รับมาจากหลวงพี่เล็กว่า "แม้เป็นพุทธภูมิจิตก็ต้องจับพระนิพพานไว้เป็นอารมณ์เสมอ หากพุทธภูมิคนใดจิตยังห่างไกลจากพระนิพพาน ขอให้รู้ไว้ว่า ยังต้องเกิดอีกยาวนาน"
     
  3. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    บารมี ๑๐ เป็นอริกับสังโยชน์ในตัวอยู่แล้วครับ เดี่ยวผมว่างแล้วจะมาคุยเรื่องนี้ด้วยครับ มีประโยชน์กับผู้ทำความปราถนาใหม่ๆ มากทีเดียว
     
  4. neltharion

    neltharion เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +107
    นิวรณ์ทั้ง 5 ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเข้าเกาะใจ ฌานก็เสื่อม จงอย่าสนใจในด้านของนิวรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอองค์นี้ (ท่านหันมาทางอาตมา) เธอปรารถนาพุทธภูมิก็จริง แต่ทว่าคำว่า พุทธภูมิ หมายถึงว่า การศึกษาวิชาเป็นครู การจะเอาแต่ฌานโลกีย์ อย่างเดียว นี่มันไม่ได้ ต้องใช้กำลังด้านวิปัสสนาญาณ เข้าช่วยให้หนัก ถ้าครูโง่ก็ไม่มีใครเขามาเป็นลูกศิษย์
    นั่นก็หมายความว่า การทรงฌานโลกีย์นี่ยังมีความโง่อยู่มาก ฌาน 1,2,3,4,5,6,7,8 เธอสามารถจะทำเมื่อไรก็ได้ แต่ว่าถ้าจะถามเธอว่า เวลานี้สังโยชน์ 3 เธอละได้ไหม เธอก็ตอบว่า ไม่ได้ สังโยชน์ 5 เธอละได้ไหมเธอก็ตอบว่า ไม่ได้ สังโยชน์ 10 ละได้ไหม เธอก็ตอบว่า ไม่ได้ ฉะนั้นการทรงฌานโลกีย์ ในเมื่อยังไม่สามารถทำลายสังโยชน์ทั้ง 10 ประการได้ จะถือว่าฉลาดไม่ได้ ก็ถือว่าเป็น คนโง่

    ต่อมา ท่านก็แนะนำเรื่องการศึกษาสังโยชน์ 10 ประการ ว่า การศึกษาสังโยชน์ 10 ประการนี่ ความจริงไม่ใช่ของหนัก เป็นของเบา เราต้องทำแบบเบา ๆ อย่างสมัยพระพุทธเจ้าท่านเทศน์ให้คนฟัง คนที่เขาฟังเขามีความฉลาด เขาฟังแล้วเขาก็คิดตาม ในเมื่อคิดตามจิต ก็มีผลตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
    แต่ว่าคนสมัยนี้ พระสมัยนี้หายาก ที่ฟังแล้วคิดตาม มีแต่จำอย่างเดียว ดีไม่ดีก็จำไม่ได้เสียอีกด้วย วิธีคิดตามก็มีง่าย ๆ เป็นของไม่ยาก เมื่อท่านพูดถึงสังโยชน์ 3 ประการ เราก็ต้องจำว่า สังโยชน์ คือ กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดใจ พูดง่าย ๆ ก็คือ ความชั่ว ที่เข้ามาดึงใจไม่ให้เข้าไปถึงความดี อันดับแรกมี 3 อย่าง คือ
    1. สักกายทิฏฐิ
    2. วิจิกิจฉา
    3. สีลัพพตปรามาส
    สำหรับในตอนต้น เราจะตัดสังโยชน์ 3 ก็จงอย่าละเมอเพ้อฝัน ไปนำเอาอารมณ์พระอรหันต์มาใช้ ที่ทำกันไม่ได้จริง ๆ น่ะเพ้อไป แต่ความจริงสังโยชน์ 3 ของพระโสดาบันกับสกิทาคามีเป็นของง่าย นั่นคือ
    1. นึกถึงความตาย ท่านก็หันมาถามว่า พวกเธอทั้งหลายเคยนึกถึงความตายไหมทุกองค์ก็ ตอบว่า นึกทุกวันพระเจ้าข้า (เรื่องความตายนี่ต้องนึก ถ้าไม่นึกถึงความตาย ฌานมันเสื่อม อารมณ์จิตมันกำเริบ ต้องเอาความตายเข้าคุมและยอมรับความจริงว่า มันตายจริง)

    ประการที่ 2 เธอมีความสงสัยในพระไตรสรณคมน์ไหม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก็ตอบท่านว่า ไม่สงสัย

    ประการที่ 3 เธอมั่นใจในศีลไหม ว่า เธอเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็กราบเรียนท่าน บอกว่าข้อนี้ไม่มั่นใจ เพราะศีลละเอียดมาก ศีลของพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านอภิสมาจาร อภิสมาจารนี่ละเมิดเรื่อย ๆ ท่านบอกว่า อภิสมาจารนี่ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องของจริยาเล็กน้อย ก็ไม่น่าจะสนใจนัก ตั้งใจระวังก็แล้วกัน ระวังสิกขาบทที่มีความสำคัญยิ่งกว่านั้นอย่างปาราชิก สังฆาทิเสส นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์ เป็นต้น นอกจากนั้นเป็นส่วนปฏิบัติเป็นเรื่องของจริยา อาจจะมีการละเมิดบ้างไม่สำคัญ เลยกราบเรียนท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่หนักใจ

    ท่านบอกว่า ไม่หนักใจจงอย่าคิดว่า ได้นะ จงคิดว่า อันดับแรก ก่อนที่จะทำอะไรเมื่อลืมตาขึ้นมา ก็ดูกำลังใจว่า กำลังใจ เวลานี้ของเรา ต้องการสงัด หรือต้องการคิดการปฏิบัติทางจิต อย่าฝืนกำลังใจ ถ้าลืมตามีความรู้สึกขึ้นมาว่า กำลังใจต้องการคิด ก็ให้มันคิด เพราะกรรมฐานทั้งหมด 40 อย่าง มีอารมณ์คิด 29 อย่าง มีอารมณ์ทรงตัว 11 อย่าง ชอบใจกองไหน ทำกองนั้น
    เวลาที่จะคิดก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องคิดเฉพาะกองนั้น เฉพาะกองนี้ จะเป็นกองใด กองหนึ่งก็ได้ อย่าง อสุภกรรมฐานก็ได้ มรณัสสติกรรมฐานก็ได้ กายคตาสติกรรมฐานก็ได้ หรืออะไรก็ได้ตามชอบใจ คิดให้มันถูกว่า เวลานี้ เราคิดนอกเหนือกำลังของกิเลส ฉะนั้น การศึกษาเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งก็ถูก แต่ก็แพ้ความดีง่าย ต้องศึกษาให้รอบตัวในกรรมฐาน 40 ใช้ได้ให้คล่องทุกอย่าง
    ท่านถามว่า ในกรรมฐาน 40 เธอหนักใจกองไหนบ้าง ก็กราบเรียนท่านบอกว่ากรรมฐาน 40 ไม่มีอะไรหนักใจเลย เวลานี้ตามความเข้าใจของตัวเองคิดว่า คล่องทุกอย่างท่านตอบว่า ใช่ เธอมีความคล่องจริง แต่อย่าลืมนะว่า เธอยังไม่สามารถทำลายนิวรณ์ได้ นิวรณ์นี่เป็นตัวชั่วร้ายมาก เป็นกิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง จะต้องพยายามทำลายนิวรณ์ให้ได้ด้วยสังโยชน์

    ก็ถามท่านว่า
    ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องตัดสังโยชน์ด้วยหรือ ท่านบอกว่า มันก็ไม่มีความจำเป็นว่า ปรารถนาพุทธภูมิ หรือไม่ปรารถนาพุทธภูมิก็ตามต้องตัดสังโยชน์ให้ได้ ถ้าตัดสังโยชน์ 3 ข้อไม่ได้ เราก็ต้องเป็นเหยื่อของอบายภูมิ เรายังมีโอกาสลงนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันจะดีหรือ ก็กราบเรียนท่านว่าไม่ดี
    ท่านเลยบอกว่า ในเมื่อมันไม่ดี ก็จงเลิกเสีย เลิกคิดว่า พุทธภูมิไม่ควรจะปฏิบัติในสังโยชน์ ต้องมีความเข้าใจว่า พุทธภูมิต้องคล่องทุกอย่าง ตั้งแต่ อานาปานสติถึงสังโยชน์ 10 ต้องมีการคล่องตัว และก็มีอารมณ์ทรงตัว ก็ยอมรับว่า จะปฏิบัติตามนั้น
    ที่มา หนังสือหลวงพ่อธุดงค์ หน้า 107 -109
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2015
  5. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    "พระ" ท่านกล่าวไว้ชัดเจนครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ



    .
     
  6. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ... ท่านหลวงพ่อเนียม วัดน้อยสอนว่า "ทั้งนี้คนที่ปรารถนาพุทธภูมิจะทรงวิปัสสนาญาณคู่กับสมถภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมถภาวนาต้องศึกษาจับจุดทั้งหมด คือทั้งกรรมฐาน ๔๐ แล้วก็มหาสติปัฏฐานสูตรแล้วก็มีสูตรอื่นอีกมาก จะต้องทรงคุณธรรมนั้นทั้งหมด เพราะเป็นผู้ทรงความดีมากมีกำลังใจสูงที่เรียกกันว่ามีบารมีสูง มิฉะนั้นเขาจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ฯ."

    ...... ท่านหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคสอนว่า " การบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิ เราจะหวังไปบำเพ็ญบารมีต่อในการเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมน่ะไม่มีทาง ไม่เหมือนกับสาวกภูมิ
    สาวกภูมิสามารถบำเพ็ญบารมีต่อบนสวรรค์หรือพรหมได้ แต่ถ้าบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิแล้ว จะบำเพ็ญบารมีนอกจากความเป็นมนุษย์ไม่ได้
    ฉะนั้น ก่อนที่เราจะตาย ถ้าบารมีใดยังอ่อนอยู่ ก็ควรจะส่งเสริมให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ถึงแม้ว่าจะไม่เต็ม ก็ให้ใกล้เต็มเข้าไป ทนลำบากเอาเพื่อพุทธภูมิเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
    เพราะการปฏิบัติเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้า ก็เพื่อทำลายความทุกข์ บำรุงความสุขให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก หรือชี้ช่องบอกทางให้พ้นอบายภูมิเป็นอย่างน้อย แล้วก็แนะนำให้เข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุดฯ "

    ... แต่มีอีกอย่าง คือ บารมีเราถึงขั้นไหน จิตจะมีความพอใจแค่ขั้นนั้น

    ... เช่น ถึงบารมีต้น ก็พอใจอยู่แค่ทานกับศีล จิตถึงบารมีกลางจิตจะเพิ่มความพอใจในการเจริญฌาน จิตถึงปรมัตถบารมีจะเพิ่มวิปัสสนาญาณ มหาสติปัฏฐานและพระนิพพานเข้ามา เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2015
  7. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    คุณ tamsak ครับ

    การละสังโยชน์ที่คุณเข้าใจ กับที่เป็นจริง มันไม่ใช่แบบนี้นะครับ ไม่ใช่จริงๆๆ แต่ถ้าจะเชื่อแบบนั้นแล้วทำให้คุณตั้งใจปฏบัติ มีจิตปลอดโปร่ง ก็อนุโมทนานะครับ


    เป็นกำลังใจให้คุณ tamsak นะครับ
     
  8. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    เข้าใจว่า ต้องเพียรละด้วยวิขัมภนปหานและตทังคปหาน เรื่อยๆ
    แต่ถ้าละดัวยสมุจเฉทปหานก่อนบรรลุสัมโพธิญาณ จะกลายเป็นสาวกภูมิ
    เข้านิพพานไปโดยปริยาย
     
  9. Aiy

    Aiy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2013
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +43
    พุทธภูมิบารมีสูงๆ ท่านน่าจะละสังโยชน์เป็นอารมย์เหมือนพระอริยะเจ้านะครับ
    แต่อารมย์บางอย่างจะไม่ถูกตัดไปเหมือนอริยะเจ้า

    การตัดสังโยชน์ เป็นการตัดอวิชชาที่ต้องใช้ปัญญา เมื่อจิตมีปัญญาเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะหายไป นอกจากปัญญาที่เกิดขึ้นนั้นยังไม่มากพอครับ

    พระโพธิสัตว์บารมีสูงๆ ท่านก็เบื่อหน่ายการเกิดเหมือนพระอริยะเจ้า แต่ยังเห็นว่าการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้านั้นสำคัญกว่าครับ

    อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2015
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ ท่านเจ้าของกระทู้ และพี่ๆน้องทุกๆท่าน มาขอแจมออกความเห็นนิดหน่อยครับ ใครจะยังไงผมไม่ทราบ แต่ผมทราบ ของผมว่า พุทธภูมิ คือพระโพธิสัตว์ ที่จะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคต ส่วนใครจะทำถึงหรือ ไม่ถึงนั้น ก็อยู่ที่ว่า กำลังใจของพวกท่าน ว่าจะไปให้ถึงหรือไม่ ถ้ากำลังใจ ไปไม่ถึง ก็ลา ในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆแหละครับ เมื่อถึงเวลา จะถึงหรือไม่ถึง ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า พุทธภูมิ จะไปเป็นครูเขานี่ มันต้องเรียนรู้หมด ไม่มีข้อยกเว้น สักข้อเดียว ชาตินี้คุณเรียนไม่ผ่าน ชาติต่อๆไป คุณก็ต้องเกิดมาเรียนให้ผ่าน เป็นขั้นตอน ของการทำบารมี ระหว่างคนกับสัตว์ เท่านั้น เฉพาะ พุทธภูมิ ส่วนสาวก เป็นเทวดากับพรหม สามารถ บำเพ็ญต่อที่นั้นได้ พุทธภูมิ มันต้องขยันเกิดขยันตาย ผมก็พูด มาเยอะในพลังจิต แต่ก็อด มาแจมไม่ได้ ที่กระทู้ดีๆครับ


    พุทธภูมิ กรรมฐาน ๔๐ มหาสติปัฏฐาน ๔ ต้องได้หมด และต้องคล่อง จนนับชาติ ไม่ถ้วนเหมือนกัน และชาติสุดท้าย ต้องบริจาคลูกเมีย ให้เป็นทาน ฉนั้นไม่มีทางได้ตรัสรู้เป็นพระพทธเจ้า เพราะมันเป็นกฏตายตัว ของเหล่าพุทธภูมิ ที่จะต้องบำเพ็ญบารมี ถ้าบารมีเต็มยังไม่ได้ บริจาคลูกเมีย ให้เป็นทาน ก็คงต้องลา มาเป็นพระปัจเจกะพุทธเจ้า หรือพุทธสาวก หรือ ปรกติสาวก และข้อประการสำคัญ พระโพธิสัตว์ ทุกๆพระองค์ ที่มีบารมีใกล้เต็ม หรือเต็มแล้ว ท่านต้องเรียนรู้ อารมย์ พระโสดาบัน อารมย์พระสกิทาคามี อารมย์ พระอนาคามี และเรียนรู้อารมย์ของพระอรหันต์ครับ และผมเองก็ได้เคยสำผัสแบบ งูๆปลาๆมาบ้างนะครับ


    เขาเรียนรู้อารมย์ หรืออารมย์เทียบเท่านะครับ ไม่มีมีสิทธิ ได้มรรคผล เหมือนพระอริยเจ้าท่าน รอคิวจนกว่ารอคิว มาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าครับ หรือไม่ก็ ลาพุทธภูมิมาเป็นสาวก ครับ ในกรณีแบบ พระศรีอาริยเมตตรัย พระราม หลวงปู่ปาน หลวงปู่ทวด และอีกหลายๆพระองค์ ท่านเรียน เลยธงแล้ว ล้นแล้ว ว่างั้นเถอะ รอคิวมาตรัสรู้ แต่ท่านจะเกิด ที่ไหน โปรด คนลูกศิษย์ บริษัทบริวารของท่าน มันก็เป็นของเด็กๆแล้ว เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่างเราๆหรือ หลายๆท่าน ยังต้องเรียนถูก เรียนผิด อยู่ แก้ไขกันต่อไป จนกว่า จะเรียนตามรอยผู้ใหญ่ ท่าน ทำให้ถึงให้เป็น ดังความมุ่งหวังแต่ละคน ที่ทำความปรานาครับสวัสดี
     
  11. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    เป็นพุทธภูมิต้องภาวนา ต้องเอาให้ครบทั้งสมถะและวิปัสนา ยิ่งในการเจริญวิปัสนาต้องมุ่งเน้นเป็นพิเศษเพราะเวลาที่จะเจริญวิปัสนามีเฉพาะตอนที่มีพระศาสนา

    จากชาดกจะพบว่าชาติใดถ้าพระโพธิสัตว์เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ได้เป็นกษัตริย์ที่มีหน้าที่ทะนุบำรุงพระศาสนา ชาตินนั้นพระโพธิ์จะออกบวช เหมือนกับพระอชิตะภิกขุเมื่อไม่มีโอกาสเป็นกษัตรย์ก็จะออกบวชเพื่อเรียนวิปัสนา

    และถามว่าจะเรียนวิปัสนาถึงขั้นไหน ก็ต้องเรียนจนได้ญานขั้นสูงสุดคือสังขารุเบกขาญาน และต้องเรียนทุกหมวดทุกบรรพเพื่อเอาไปใช้สอนสาวกในอนาคต

    ในการภาวนาควรวางใจว่าจะเอามรรคผลให้ได้ อย่าไปกังวลว่าจะลาพุทธภูมิเพราะถ้ามัวแต่กังวลการภาวนาจะไม่ก้าวหน้า กำลังใจจะไม่ถึง. และการภาวนาจนถึงสังขารรุเบกขาญาณจะเป็นตัววัดได้อย่างหนึ่งว่าตัวเรามีความเข้มแข็งพอจะก้าวไปในเส้นทางพุทธภูมิหรือไม่. เพราะเมื่อได้ถึงญานสังขารฯใจจะเป็นกลางต่อดีและชั่วไม่มีกิเลสมาหลอกให้อยากปราถนาพุทธภูมิ เมื่อถึงจุดนี้หากอยากถอยกลับเป็นสาวกแต่ปรากฏว่าลาไม่สำเร็จแปลว่ามีโอกาสที่จะเคยได้รับพยากรณ์มาแล้ว
     
  12. patdorn

    patdorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +227
    สาธุ พุทธภูมินั้นท่านนั้นๆเสียสละเพื่อส่วนรวมมากๆ ต้องยกย่องอย่างยิ่งหากบรรลุจะมีอานุภาพมากกว่าพระสาวกทั่วไป พุทธภูมิเกิดตายเยอะเก็บทุกเม็ดถึงได้ถึงช้าแต่เป็นรถคันใหญ่ แรงส์
     
  13. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ถูกต้องแล้วครับ อนุโมทนาบุญด้วย
    การละสังโยชน์ คือ ต้องใช้ปัญญา อันเป็นสิ่งที่รู้แจ้งแทงตลอด เพื่อตัดอวิชชา
    การคิดนึกเอง ละเองอยู่เนืองๆ หาใช่การละสังโยชน์ ไม่

    ถ้าหากการละสังโยชน์ เกิดได้เองโดยการคิดละได้เอง ป่านนี้คงมีพระอรหันต์เต็มบ้านเต็มเมืองแล้วล่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2015
  14. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    1. พูดกันถึงบันได้ขั้นที่พันขั้นที่หมื่น .. ส่วนบันไดขั้นแรก จะตัดกันเสียเลยเหรอ?
    ที่ขึ้นไปถึงบันได ขั้นที่พันขั้นที่หมื่น ไม่ได้ขึ้นมาจากขั้นแรกๆเหรอ.. เหาะกันขึ้นมา
    หรือ มีคนอุ้มขึ้นไปกันเหรอท่าน?

    2. บางคนก็ถามกันแปลกๆ .. เหมือนถามกันว่า
    จะขึ้นเครื่องบิน ต้องผ่านจุดเช็คอินหรือป่าว?
    คนที่กำลังจะขึ้นเครื่องแล้ว ก็ต้องผ่านจุดเช็คอินแล้ว
    ส่วนคนที่ยังมาไม่ถึง ก็ยังไม่ได้เช็คอิน .. มันก็ปกติ (ก็ต้องรอขึ้นเครื่องรอบหลัง)

    ถ้าอยากจะขึ้นเครื่อง .. อย่าไปกังวลว่าจะผ่านจุดเช็คอินแล้วหรือยัง
    เพราะถ้ากังวลเรื่องแบบนี้ รับรองว่ามีเรื่องอีกมากให้กังวลแน่ๆ
    และเกรงว่าจะไปไม่ถึงเสียก่อน
    สิ่งที่ควรทำคืออะไร? สิ่งที่ควรทำคือ สิ่งที่เราทำแล้วได้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2015
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    คำว่าไอ้บ้า ๕๐๐ จำพวก มันมีอยู่ คำว่าบ้า มันมีมากกว่า ห้าร้อยนะจะบอกให้ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ มันมาจากการคิดนึก เอาทั้งนั้น เมื่อคิด ไปแล้ว จะดีหรือชั่ว มันก้ออกไปถึง กาย วาจา นี่เขาเรียกว่ามันล้น ไปถึง กายและวาจา ถ้ามันยังไม่ล้น มันก็อยู่ที่แค่ใจ ยังไม่ได้ ทำความเดือดร้อน ให้ใครๆได้ ทั้งชั่ว และดี มันของคู่กัน คิดชั่ว ถ้าหักมุมกลับ มันก็คิดดี แต่ถ้ามันไม่หักมุมกลับ มันก็คิดชั่ว ต่อไปเรื่อยๆ จนไปคิดทำการชั่วร้ายให้สูงขึ้นๆไป คิดดีก็เช่นกัน มันเหมือนกันหมด อยู่ที่ใจเรา คนเรา สัตว์ บุคคลต่างๆ อยู่ที่ใจตัวเดียว คิดการไม่ไม่สำเร็จ ทั้งชั่วและดี ก็อยู่ที่ใจ ใจเป็นหัวหน้า สำเร็จที่ใจ


    การจะฝึก กรรมฐาน มันก็ฝึกที่ใจ สำเร็จที่ใจ ทางโลกก็เช่นกัน เหมือนกัน เช่น ทางธรรม อยากจะฝึกกสิน กองใดกองหนึ่ง เมื่อเริ่มฝึก ใช้ตามองดูภาพต่างที่เรากำหนด มันก็นึกให้เห็นภาพ ติดตาติดใจ จนกว่าจะทำได้ สำเร็จ ทุกๆกอง ทุกๆอย่างไป การพิจรณากาย ก้เช่นกัน ก็ใช้ใจนึกทั้งนั้น นึกว่า กายเรานี้ ประกอบด้วยอะไรบ้าง มีเท่าไหร่ มีอะไรเป็นองค์ประกอบ เมื่อพิจรณาบ่อยๆ ปัญญามันจึงเกิด พิจรณาถึงความตาย ก็เช่นกัน มันเกิดมายังไง แล้วมันจะตายอย่างไร ตายเมื่อไหร่ เช้าสาย บ่ายเย็น กลางวันกลางคืน เขาใช้ใจพิจรณากันทั้งนั้น จนปัญญา มันเห็นจริง ตามหลัก อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่ว่า จะเป็นใคร พระพุทธเจ้าก็ตาม พระปัจเจกะพุทธเจ้า ก็ตาม พระสาวก ต่อให้สัตว์ทุกตัว ที่เกิดมาบนโลกนี้ เขาใช้ใจคิดกันหมด ถ้าเป็นวัตถุ ซิครับ มันไม่มีจิตครอง ภูเขา ดิน กรวด หินทราย เนี่ยไปทำอะไร มันเท่าไหร่ มันไม่ร้องให้ ให้ เราได้ยิน สักแอะเลยเห็นไหม ร่างกายคนสัตว์ พอตาย จิตออกจากร่าง เอาร่างมันไปเผา หรือฝัง มันก็ไม่ร้อง ไห้ หรือพูดเลย นี่จิตมันออกไปแล้ว หรือกายใน ตัวตนของสัตว์นั้นๆ


    นี่ก็แค่อธิบายให้ฟัง จะคิดกันทั้งวัน คนๆเดียว วันไม่รู้ คิดกี่ร้อยกี่พันเรื่องแล้ว ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  16. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    ถ้าเช่นนั้นผมก็มีคำถาม..

    ถ้าพุทธภูมิละสังโยชน์ ได้มากข้อแล้ว .. แต่ยังไม่สามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องรอบารมีเต็ม รอบริษัทบริวารมีความพร้อม

    คำถามคือ ถ้าหลังจากนั้นได้ลงมาเกิดเป็น มนุษย์บ้าง สัตว์บ้าง ยังต้องกลับมาละสังโยชน์อีกไหม
    หรือว่าไม่ต้องทำแล้วเพราะได้เคยละสังโยชน์ได้ไปแล้ว?

    ถ้ายังต้องกลับมาทำอีก ทำไมไม่สะสมสิ่งที่สะสมข้ามภพชาติได้
    เช่น บารมี 10 เป็นต้น?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2015
  17. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ต้องละใหม่ครับ อยู่สมาธิตั้งมั่น (สติ) เมื่อมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์บ้าง สัตว์บ้าง (จำนวนมากชาติ ระยะเวลานานๆ) มันลืมหมด จำอะไรไม่ได้ มันจะกลายเป็นของเก่าไป

    สิ่งสำคัญ เราเห็นว่าอยู่ที่การเอาบารมีขึ้น ตรงนี้ยากมาก ยิ่งบารมีสูงๆยิ่งยากมาก
     
  18. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    พุทธภูมิละสังโยชน์ไม่ได้ ถ้าเมื่อไหร่ละสังโยชน์เมื่อนั้นก็กลายเป็นพระสาวก/พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือละทีเดียวตอนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

    พระโพธิสัตว์ทำได้ใกล้เคียงที่สุดคือ ภาวนาจนได้สังขารุเบกขาญาน. (ไม่ใช่ใช้กำลังณานมากดจิตให้นิ่งแบบตอไม้/แบบหินทับหญ้า)

    ส่วนที่มีบางท่านบอกว่าทรงอารมณ์พระอรหันต์ผมเข้าใจว่าเจริญวิปัสนาจนได้สังขารรุเบกขาญาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2015
  19. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    เรื่องของพระโพธิสัตว์ ในการเจริญวิปัสนาญาณนั้น เป็นเรื่องอจินไตยเลย เกินการคิดคำนวณ ไม่สามารถคาดเดาได้ การคิดวิเคราะห์อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

    เรื่องที่เป็นอจินไตยนั้น เราต้องเห็นเอง ต้องทำให้ถึงแล้วจะเข้าใจ ว่าถูกหรือผิด

    บางอย่างบารมีของเราไม่ถึง เราก็จะปฏิบัติไม่ได้ พอปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่สามารถพิจารณาความถูกต้องในเรื่องนั้นๆได้

    เรื่องนี้เราอยากให้จบลงเท่านี้จะดีกว่าเพราะมันอยากที่จะเข้าใจ ส่วนใครจะเห็นอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องของคนนั้น

    การมีความรู้มากๆนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นเครื่องชี้นำทางได้ แต่สิ่งที่ดีกว่า คือ การทำได้
     
  20. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    พระโพธิสัตว์ ไม่ใช่พระอริยะ

    พระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทเรา หินยานเรา ก็มีชาดกพระเจ้าสิบชาติก็ตอบคำถามได้แล้วครับ พระเตมีย์ชาติก่อนตกนรก พระอริยะละสังโยชน์ ๓ ได้ไม่มีทางตกนรก พระเวสสันดรเมื่อบริจาคลูกแล้วเห็นชูชกทุบตีบุตรธิดาก็มีโทสะหากไม่มีกำลังแห่งขันติธรรมก็จะทำร้ายชูชก จะเห็นว่า กิเลสมีครบถ้วนครับ แต่ที่ท่านให้จับอารมณ์นิพพาน คือ นิพพานชั่วคราว คือให้จิตจับนิพพานชั่วคราวบ่อยๆ ตามคัมภีร์ ก็เช่น การที่จิตทรงอารมณ์ฌาณระดับใดระหนึ่ง หรือการมีปัญญาให้จิตย่างเข้าสู่นิพพานแต่เมื่อเหวี่ยงจิตแล้วให้ดึงกลับมาที่สภาพเดิมก่อนพิจารณาเหวี่ยงจิต การเหวี่ยงจิตเข้าสู่นิพพานก็คือ วิปัสสนาละความยึดมั่นถือมั่นในทุกข์ที่เกิดครับ แต่เมื่อหลุดจากทุกข์นั้นแล้วจิตก็จะเข้าโหมดโพธิจิตทันที ซึ่งทำให้ดวงจิตไม่เข้าสู่นิพพานอย่างแท้จริงแต่ได้อารมณ์นิพพานของแท้ครับ แต่อารมณ์นั้นจะเกิดชั่วขณะหนึ่งทุกครั้งไป ท่านนิยมปฏิบัติแนวนี้มากครับ เพื่อคล่องแคล่วในปัญญาเพราะทุกข์ต่างจะเกิดได้ต่างกัน การจะยกจิตดับทุกข์ก็ต้องฝึกความฉลาด แต่ถ้าจิตทรงปฐมฌาณ ก็ได้แต่ปํญญาพิจารณาจะน้อยครับ พระโพธิสัตว์ยิ่งฉลาดจับอารมณ์นิพพานย่อมเข้าถึงความสำเร็จได้เร็วครับ
    สำหรับคัมภีร์ฝ่ายมหายาน แตกต่างครับ พระโพธิสัตว์จะบรรลุธรรมแล้วแต่ยังโปรดสัตว์ครับ เค้าพิศดารถึงขั้นว่า มาตรัสรู้ได้อีกรอบ ซึ่งต้องพิจารณาหลักกระบวนการตรัสรู้ให้ดีนะครับว่า มันขัดกันไหม ถ้ามันขัดกันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เช่น หากดับตัณหาสิ้นอุปาทาน แล้วภพจะเกิดแก่ดวงจิตที่สืบเนื่องไม่ได้ แล้วจะลงมาเกิดอีกได้อย่างไรครับจะอวตารได้อย่างไร เพราะหลักธรรมก็สอนกันว่าทุกอย่างคือมายา มายาคือจิตที่มีตัณหาสร้างขึ้น เมื่อไม่มีตัณหาเสียแล้ว จะลงมาเกิดมาอวตารได้อย่างไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...