นั่งสมาธิแล้วเหมือนมีอะไรระเบิดออกจากตัว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นายมาก, 14 มกราคม 2015.

  1. นายมาก

    นายมาก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +13
    อ่าตามหัวข้อเลยครับ จริงๆได้ทำสมาธิไม่ทุกวัน ได้ทำแค่วันที่ใจมันรู้สึกอยากทำ นั่งสมาธิไปกำหนดรู้อยู่ที่แค่จุดเดียวที่จุดกระทบของลมที่ปลายจมูก แล้วเหมือนมีอะไรมากระตุ้นในจิต แล้วอารมณ์มันระเบิดออก รู้สึกเหมือนมีอะไรแผ่ไปทั่วร่างกาย จับลมหายใจไม่ได้ ชาไปทั้งตัว แล้วมันจะมีจุดๆหนึงในตัวที่เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ นั่งสมาธิเมื่อกี้ ก็เหมือนเห็นนิ้วคนจิ้มผ่านมาทางสายตาด้านขวา ทั้งๆที่หลับตาอยู่ แล้วมันก็เกิดอาการแบบข้างต้นที่มีอะไรมากระตุ้น แล้วเหมือนมีอะไรบางอย่างมารวมกันที่ท้ายทอย ตามันก็ลืมขึ้นมาเอง เลยพยายามหลับตา อาการต่างๆมันก็เริ่มหายไปเหลือแต่ที่มีอะไรรวมกันอยู่ที่ท้ายทอยที่ยังรู้สึกอยู่ (ไอเราก็กลัวอะเนอะว่าลืมตามามันจะเห็นอะไร ก็เล่นเห็นเป็นนิ้วมาจิ้มขนาดนั้น) ไม่ทราบอาการแบบนี้คืออะไรครับ หรือผมคิดไปเอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ (รู้สึกตัวเองพิมพ์แต่คำว่าอะไรแหะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2015
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ไม่ต้องตกใจแปลกใจ เจอบ่อยๆ เดี่ยวก็ชิน พึ่งเจอครั้งแรก ก็ตื่นเป็นธรรมดาครับ

    แนะนำว่า ปฏิบัติ ไม่ต้องกลัวตาย ไม่มีอะไร ไม่ตายหรอกครับ

    อาการ ก็ มีตั้งแต่ นิมิต ไปจน ปิติ ของการปฏิบัติ นะครับ

    แนะนำว่า เวลาเจออะไรก็แล้วแต่ ให้มี สติ จดจ่ออยู่ในกรรมฐานที่เราปฏิบัติ อย่าให้หลุดจากกรรมฐาน ครับ
     
  3. นายมาก

    นายมาก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณที่มาตอบให้ครับ
     
  4. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ที่จริงอาการต่างๆก็เป็นอารมณ์ของจิตนั้นละ โดยสภาพแห่งจิตเขาจะเคลื่อนที่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง อาการนิ่งที่จุดใดจุดหนึ่งย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อจิต อาการที่ปรากฏก็เป็นอาการที่จิตต่อต้านการปฏิบัติ ย่อมต้องมีกันทุกคน แต่อาจแตกต่างกัน
    อาการอย่างนี้เมื่อปรากฏย่อมหมายถึงการปฏิบัติของคุณก้าวหน้า อาการต่างๆที่เกิดก็คล้ายกับการทดสอบว่าคุณนิ่งจริงหรือไม่
    การแก้อย่าเข้าไปใส่ใจกับอาการนั้นๆ เพราะเมื่อไปใส่ใจมันก็จะหลุดจากองค์ปฏิบัติ แต่จะดึงให้หนีเลยมันก็ทำไม่ได้เช่นกัน หากทำอย่างนี้มันก็จะเด้งมาเด้งไป ยิ่งดึงก็ยิ่งคล้ายวิ่งเข้าหา ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น ก็ยิ่งรู้ยิ่งเห็นเป็นอย่างนั้น
    เมื่อมันเป็นอย่าดึงกลับทันที ให้ใช้การค่อยๆน้อมกลับมาที่องค์ปฏิบัติ โดยการระลึกรู้ภาพรวมกว้างๆ แล้วน้อมเข้าองค์ปฏิบัติ การน้อมมานั้นอาจได้ไม่เต็มที่ ได้แค่ไหนก็เอาก็เอาแค่นั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2015
  5. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ม่ายช่าย ม่ายช่าย

    เจ้าของกระทู้ ดูดีๆ ว่า ปัญญาของตนโน้มเอียงไปทางไหน

    อย่าให้ คนภาวนาไม่เป็น พา พายเรือวนในอ่าง

    การภาวนานั้น อาการยุ๊บๆ ยั๊บๆ ยิ๊บๆ มันจะมี ของมันตลอดแหละ หากภาวนาจน
    คล่องแล้ว เพียงระลึกลมหายใจเพียง เสี้ยววินาทีเดียว อาการยุ๊บๆ ยั๊บๆ ก็ปรากฏ
    แล้ว

    คนที่ชำนาญกว่านั้น ยังไม่ทันจะ " นมสิการสิกขา " ยังไม่ทันน้อมใจเลย จิตก็แล่น
    ไปเห็น อาการยุ๊บๆ ยั๊บๆ แย๊บๆ ได้แล้ว

    ไม่ต้องอาศัยเวลา นั่งเล่นจ้ำจี้ กับ กรรมฐาน ไม่ต้องตั้งท่านาน

    ทีนี้ ..............


    เจ้าของกระทู้ดูดีๆ ว่า ตนชำนาญในการระลึก สรรพธรรมในกายหนาคืบกว้างศอก
    นี้ได้รวดเร็วแค่ไหน

    จะเร็วแค่ไหน ตะ เอาไว้ นั่นไม่ใช่ เนื้อหาที่จะไปทำการเห็นว่า ปัญญาเราเจริญถึงไหน

    ปัญญาจะเจริญถึงไหน จะดูที่ สิ่งที่หยิบมาเป็นบัญญัติ มาเป็นคำถาม

    สังเกตนะ ปัญญาที่เกิดขนานกันกับ การบัญญัติ มันผุดขึ้นพร้อมกันขณะที่
    พิมพ์คำถามไปทางหนึ่ง แต่ จิตหนึ่ง ที่เป็นปัญญา มัน ตะ เอา ประโยคใน
    วงเล็บขึ้นมา

    (ไอเราก็กลัวอะเนอะว่าลืมตามามันจะเห็นอะไร ก็เล่นเห็นเป็นนิ้วมาจิ้มขนาดนั้น)

    ท่านเจ้าของกระทู้คร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

    ไอ้ประโยคที่เกิดขึ้นแบบ ฟ้าแล๊บ ช้างกระดิกหู ที่เป็น คำในวงเล็บ นั่น ..นั่นแหละ ตัวภูมิจิต
    ภูมิธรรม ที่ควรทำการเห็นว่า เกิด และ ดับ

    ทำไมต้องยก ตัวในวงเล็บ ดูการเกิดดับ

    ก็เพราะมันเป็น ปัญญาที่จะพาข้ามโคตร ข้ามไปสู่นิพพาน ไม่ใช่ ยุ๊บๆ แย๊บๆ

    ลองสังเกตดีๆ

    (ไอ้เราก็กลัวอะเนอะว่าลืมตามามันจะเห็นอะไร ก็เล่นเห็นเป็นนิ้วมาจิ้มขนาดนั้น)

    อันเนี่ยะเขาเรียกว่า เห็นกิเลส เห็นนิวรณ์ จิตเห็น วิตก3 โดยตัวนี้ เรียกว่า
    จิตกำลังยกวิจัยเรื่อง " วิหิงสาวิตก "

    จิตมันเกิดวิตกว่ามี "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" ที่ยังมีอุปทานขันธ์ มารั้งเราผู้กำลังชำแรกละวาง อุปทานขันธ์

    พอคุณไม่ได้กำหนดรู้ เห็นความเกิดดับ ของ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ท่านก็เลยหลง
    จมกลับลงไป ดูยิ๊บๆ แย๊บๆ เล่นเอาเถิดอยู่ในโอฆะที่หาฝั่งไม่ได้

    เนี่ยะ ภาวนาให้ดีๆ แล้วจะ พ้นอำนาจของ สัตว์ที่ยังมีอุปทาน ภาวนาไม่เป็น ไปได้
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    (รู้สึกตัวเองพิมพ์แต่คำว่า "อะไร" แหะ)

    อันนี้ สามารถบอกได้ว่า จิตของเจ้าของกระทู้ ทรงฌาณ

    จิตจึงพรากออกจาก ขันธ์5 แล้ว ย้อนกลับไปเห็น การหยิบบัญญัติว่า "อะไร" มาใช้ซ้ำๆ

    ถ้าสามารถกำหนดเห็น ความเป็น รูปขันธ์ของ "อะไร" ได้ จิตจะแยกธาตุแยกขันธ์
    แล้ว คว่ำสังสารวัฏลง ก็ยังได้ หากเห็นชัด

    ส่วนใหญ่จะเห็นไม่ชัด เพราะ รสอร่อยในการพูดเล่น สัจจวาจาไม่ค่อยดี เสียศีลวาจา
    ด้วยการพูดเล่น หรือ หยอกคนอื่นเล่นมากไป ทำให้ กรรมมันมาขวาง แล้วก็ตกไป
    ดูยิ๊บๆ แย๊บๆ จมโอฆะอย่างเดิม

    ถ้า สิกขาหายไปจากจิต "อะไร" จะลากไป สร้างคำพูดเอาฮา ข้องอยู่กับความเป็น
    สัตว์ที่ชื่อ มนุษา

    นะ ดูดีๆนะ เวลาจิตมันตรึก รูปเสียงคำว่า " อะไร " ให้พิจารณาจิต ขณะนั้นว่า
    มีกำลังหรือไม่มีกำลัง มีนมสิการ หรือไม่มีนมสิการ

    จิตมันจะรวมอยู่แล้ว จะพรากออกจากขันธ์ได้อยู่แล้ว หากไม่ยกขึ้นพิจารณา ก็จะ
    งง แล้ว แล่นกลับไป ฟังธรรมแบบภาษาสัตว์



    ภาษาธรรม ที่ใช้สดับเพื่อการข้ามโคตรนั้น จะพ้นบัญญัติ จะพ้นการใช้ ตา หู จมูก ลิ้น
    หู รวมทั้งวิญญาณขันธ์ เพื่อไปแสวงหานิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2015
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    การใช้วาจา หยอกล้อคนอื่นเล่น ผลกรรมคือ การเบียดเบียนสัตว์อื่น

    ดังนั้น เวลาภาวนา กำลังจะได้ธรรมะ เวรกรรมมันจะตามมารั้งเอาไว้

    ทำให้เกิด วิหิงสาวิตก มันกำเริบในจิต

    ทั้งๆที่ อาการยิ๊บๆ แย๊บๆ จิ้มๆ ไม่จิ้ม จริงแล้ว มันมี ของมันตลอดเวลา

    แต่พอ วิหิงสาวิตกำเริบ อันเกิดจาก เวรกรรมไม่รักษาศีล มันจะทำให้
    เกิดการหยิบเอา ยิ๊บๆแย๊บๆ ที่เด่นที่สุด แล้ว อุปโลค หรือ เกิดทิฏฐิ
    ขึ้นในจิตว่า " เอ๊ะ "

    พอ อุปทานว่า "เอ๊ะ " ก็เกิดเป็นผัสสะ ทำให้ เกิด อยาตนะไปรับรู้
    มีเวทนาปัก หลังจากนั้น จึงเริ่มเติมบัญญัติว่า " ใคร " เกิดอัตตวาทุปาทาน เต็ม
    รอบ หลังจากนั้น จาก "อะไร" ที่ควรคงไว้แค่ " อะไร " มันก็ ขยายเป็น

    " ใครแกล้งกูอะเป่า " ตกจากกรรมฐานไป เพราะ เวรกรรมที่ตนไปเบียดเบียนเขา
    แม้ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2015
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    เป็นอาการที่เราไม่ทันความคิดที่เกิดจากจิต มันปรุงร่วมกับตัวจิตครับ..
    มันเลยเป็นกระแสความคิดวนเวียนอยู่ในสมองของเรา ตั้งแต่ส่วนหลัง
    หน้าฝากวิ่งอ้อมผ่านช่วงท้ายทอยวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น.จะส่งผลทำให้
    ปวดที่ท้ายทอยครับ.และบางครั้งจะทำให้รูสึกว่าศรีษะเรามันหนักๆตึงๆ
    .และกระแสพวกนี้พอรวมกับความคิดแล้วมันจะวิ่งย้อน
    ไปกระตุ้นให้ตัวจิตที่อยู่ตรงกลางลิ้นปี่ของเรามันตื่นตัวเกิดอยู่ตลอดเวลาครับ.
    เราจะรู้สึกคล้ายว่ากลางลิ้นปี่ของเรามันหมุมวนเข้ามาในร่างกายได้.เลยเป็น
    เหตุให้คล้ายๆว่าตัวจิตมันจะระเบิด แต่ความจริงก็คือตัวจิตมันเกิดเนื่องจาก
    มีความคิดจากสมองตรงนี้มารวมครับ..

    ให้แก้ด้วยการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องครับ วิธีอะไรก็ได้ขอให้
    ฐานอยู่ที่กาย เพื่อสร้างสติทางธรรม เอาไว้สำหรับควบคุมความคิดต่างๆ
    ควบคุมอารมย์ต่างๆไม่ให้เกิดครับ หรือถ้าความคิดเกิดอารมย์เกิดก็จะได้รู้ทัน
    และดับมันได้ครับ. จนกว่าจะมีกำลังสติทางธรรมมากพอที่จะคลายความคิด
    ที่เกิดจากจิตที่มันปรุงร่วมกับตัวจิต ตรงนี้ได้ คลื่นสมองของเราที่มันวิ่งวนๆ
    ในกระโหลกอย่างปัจจุบันนี้ มันถึงจะถ่ายเทขึ้นออกนอกกระโหลกศรีษะของเราได้

    พอมานั่นสมาธิก็ไม่ต้องไปคิดอะไรทั้งสิ้นครับ..ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจเข้า
    และออกกระทบที่ปลายจมูกก็พอครับ..เราถึงจะตัดเรื่องสัมผัสต่างๆ ไม่ว่าทางตา
    หู จมูก กายของเราออกไปได้ สมาธิจะก้าวในระดับต่อไป และอาการจิตเกิดตอนนี้
    ถึงจะสงบลง และจะไม่ปวดท้ายทอยครับ..
    ประเด็นนี้ค่อนข้างสำคัญนะครับ ถ้าไม่ระวังตรงนี้ไม่แก้ตรงนี้
    โอกาสที่สมองเราจะกระทบกระเทือน
    ถึงขั้นวิกลจริตเราจะมีโอกาสสูงกว่าปกติทั่วๆไปได้ครับ...
     
  9. นายมาก

    นายมาก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำครับผม
     
  10. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    จิตรวมใหญ่

    ปิติ --> วิริยะ --> ปัสสัทธิ

    มันรวดเร็วมาก
     
  11. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    เป็นปกติ เป็นธรรมชาติ ของอารมณ์ เกิดๆ ดับๆ เปลี่ยนไปมาไม่ซํ้ากัน

    สังเกตุ ตรง ที่มันไม่ซํ้ากันให้ดี อย่าไปอยากให้มันซํ้า อย่าไปอยากให้มันเหมือนเดิม อย่าเข้าไปกําหนด มันว่าวันนี้ ต้องเป็น เเบบนั้น วั้นนั้น ต้องเป็นเเบบนี้

    เพราะ ถ้าอยาก ประคองอารมณ์ เดิมเก็บไว้ ให้เหมือน วันวาน ก็ เสร็จโจร โดนองค์คุลีมาร เอานิ้วไป เเก้ม เหล้าสบาย เเฮ

    มันจะเกิด จะเห็น จะรู้ นั้น นี่ก็ ช่างมัน ปล่อยมัน เรื่องของมัน ไม่ใช้เรื่องของเราซะหน่อย เนอะ
     
  12. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ตอนนี้ น้องนิวมีอาการ ตามที่พี่นพได้กล่าวข้างต้นเลยคะ ชาไปทั่วทั่งหัวเลยคะตอนนี้ เป็นพร้อมๆกับอาการหมุนอัดเข้ากายตรงลิ้นปี่ แบบว่านี่เช่นกันเลยคะพี่นพ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    คงพอรู้วิธีแก้ไขแล้วเนาะ ค่อยๆทำไปนะครับ..แยกให้มันได้จริงๆก่อนครับ..
    ว่าอะไรเป็นตัวจิต อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากจิต อะไรเป็นความคิด
    ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่เป็นขันธ์ ๕ นามธรรมเป็นฝ่ายอารมย์
    ให้ตัวจิตเค้าคลายจากความคิดที่เกิดจากจิต ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรม
    ตรงนี้ ให้คลายความยึดมั่นถือมั่น ทั้งความคิดทั้งอารมย์ตรงนี้.ให้ได้จริงๆก่อนครับ
    รวมทั้งอย่าลืมเรื่องกิเลสเล็กๆน้อย เช่น อยากไปโน้นไปนี่ หรือทานโน้นทานนี้
    ให้ดับก่อนแล้วใช้สติพากายไป แล้วค่อยทาน..ไอ้จากตัวกระแสที่มันที่มันทำ
    ให้เรารู้สึกวู๊บๆตรงกลางหน้าอกตรงนี้ และกระแสความคิดที่มันวนๆอยู่ตอนนี้
    ภายในสมองของน้องนิว มันถึงจะเปลี่ยนเป็นแนวเส้นตรงวิ่งขึ้นไปออกตรง
    กระโหลกศรีษะส่วนหน้าได้ของมันเอง และจะได้ไปเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์
    ข้างบนแบบไม่ขาดช่วงต่อไปในอนาคตได้ของมันเองครับ...

    เรารู้ว่าจริตเราพอมีสัมผัสอะไรได้.เราควรรู้แนวทางในการจัดการกับเรื่อง
    แบบนี้ครับ..ไม่ใช่ว่าพอกิริยาทางจิตต่างๆที่มันพิเศษๆมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว
    เราจะไปคิดให้มันวาง ไปอุเบกขามันไม่วางไม่อุเบกขาหรอกครับ..
    มันก็เหมือนเราไปขวาง ไปกด ไปทับมันไว้ ยังไงๆทั้งชาตินี้มันก็ยังอยู่ครับ.
    เราต้องรู้วิธีที่จะอยู่ร่วมกับมันเป็นธรรมชาติครับ..
    เหมือนเราจะไปห้ามตาไม่ให้เห็น ห้ามสัมผัสพิเศษไม่ให้มี
    ห้ามหูไม่ให้ได้ยินได้ฉันใดก็ฉันนั้นหละครับ..
    ถ้าเค้าเห็นก็คือเห็นครับ ถ้าเค้าสัมผัสได้ก็คือสัมผัสครับ.
    ถ้าเค้าได้ยินก็คือได้ยินครับ จะไปคิดว่าไม่เห็น
    จะไม่คิดว่าไม่ได้ยินก็ไม่ได้ จะไปคิดว่าไม่ให้สัมผัสก็ไม่ได้..
    เพราะมันเป็นการผลัก.ซึ่งเป็นการหลีกหนีชั่วคราว..แต่เราทำได้ก็คือ
    จะเห็นอย่างไร จะสัมผัสอย่าง จะได้ยินอย่างไร
    แล้วจิตเรามันถึงไม่ยึดนั้นเองครับ..
    แนวทางการปฏิบัติของเราก็ต้องเดินต่อไป..ก็เพื่อเป้าปลายการรู้แต่ไม่ยึด
    ต่อไปในอนาตคเช่นกันครับ.ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม..
    .แต่ละดวงจิตมีสิ่งที่เคยสะสมมาไม่เหมือนกัน..เราจึงจะไปนึกเปรียบ
    นึกเทียบกับดวงจิตอื่นๆไม่ได้ เราต้องมาดูที่ตัวจิตของเราเอง..
    ความรู้ความเข้าใจเนื่องจากการสะสมที่ผ่านมาในอดีต
    จึงส่งผลให้ย่อมแตกต่างกันบ้างแม้ว่าบางท่านจะมีเจตนาดี...

    คนเห็นผีคุยกับคนเห็นผีก็จะเข้าใจอีกอย่าง
    กับคนไม่เคยเห็นผีพยายามคุยให้คนเคย
    เห็นผีว่าตนรู้...ว่าตนเข้าใจเรื่องผี

    และคนเคยเห็นผีพยายามคุยกับคนไม่เห็นผี
    เพื่อให้คนไม่เคยเห็นผีเข้าใจเรื่องผีนั่น..

    ให้พิจารณาเองนะครับ ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร.ครับ.
    .

    .
     
  14. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ไม่ต้องตกใจอะไรหรอกครับพูดให้เป็นวิทยาศาสตร์หน่อย ทั้งหมดเป็นปฎิกริยาชีวะเคมีในร่างกายมันถูกเปลี่ยนแปลงปรับแต่งโดยเราบังคับความเป็นธรรมชาติของมัน โดยกำหนดจิตให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเช่นลมหายใจ ซึ่งปรกติจิตไม่เคยหยุดนิ่งกับสิ่งใดเลย ทำให้เส้นประสาทต่างๆทั้งหูตา จมูก ลิ้น กายใจมีการเปลี่ยนแปลง มีอาการแตกต่างกันของแต่ละบุคคลที่สะสมกรรมมาต่างกัน. กายที่เป็นกรรมเก่าไม่เหมือนกัน. การกระทำแบบนี้คือการเพ่งฌานเป็นกรรมใหม่เพื่อสู่ความสงบ(จิตตัดขาดจากทวารทั้ง5หู ตา จมูก ลิ้น และกาย)แต่ท่านจะต้องผ่านกรรมเก่าอาจจะทำให้ท่านถ้อถอย. ซึ่งมันจะแสดงตัวออกมาในรูปแบบต่างๆทุกทวารท่านต้องสู้ไม่ว่าจะเจออะไรไม่ต้องกลัว ถ้าท่านมีศรัทธาแรงกล้าท่านจะผ่านมันไปได้แม้แต่ความตายท่านก็จะไม่หวั่น ในขณะนี้ท่านเพียงเริ่มต้นทำอาจจะใช้เวลานานหรือไม่นานยากง่ายก็แล้วแต่การสะสมมาในอดีต การปฎิบัติของท่านถ้าไม่หวังพระนิพพานก็จะได้ความสงบแต่ถ้าปราถนาพระนิพพานให้ศึกษาเรื่องอริยสัจควบคู่ไปด้วย พิจารณาตามเห็นความเกิดดับกิจอื่นยิ่งไปกว่านี้ไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2015
  15. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    อ่านอันนี้ http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B0-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-8-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%A1.544355/

    ถ้าทำได้สำเร็จ สิ่งที่เป็นอยู่จะค่อยๆ จาง เสมือน ไฟหรี่ลงเรื่อยๆ หรือ ดวงไฟค่อยๆมืดลงมืดลง จนดับ
    แล้วเมื่อวางใจละมันได้ทั้งหมด จะเข้าสู่ฌาน4 ทันที
     
  16. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอบพระคุณค่ะพี่นพ

     
  17. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอบพระคุณคะคุณตั้งฉาก รวมทั้งขอบพระคุณเจ้าของกระทู้ด้วยคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...