คําอธิบายการฝึกมโนมยิทธิของพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 26 มกราคม 2008.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร
    ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี่เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี ๔๐ แบบ แล้วก็ ๔๐ แบบ ถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ ๔ หมวด คือ
    หมวดที่ ๑ สุขวิปัสสโก
    หมวดที่ ๒ เตวิชโช
    หมวดที่ ๓ ฉฬภิญโญ
    หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    หมวดที่ ๑ ที่เรียกว่า สุขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างแบบง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบสุขวิปัสสโกนี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ
    สำหรับ เตวิชโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือว่ามีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็
    ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสามและอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
    หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่
    ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศํยของบรรดาท่านพุทธบริษัท
    สำหรับ สุขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก
    สำหรับ เตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น
    สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดชพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้
    สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
    ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
    สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    มโนมยิทธิ นี่คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อนเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า
    สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้ สามารถจะเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว
    สำหรับมโนมยิทธิ ใช้กำลังของจิตเคลื่อนออกจากกายไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ซึ่งมีกำลังสูงกว่า ทั้งนี้เพราะว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาสมาบัติ
    สำหรับประโยชน์ที่จะฝึกพระกรรมฐาน นอกจากที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเข้าใจว่าการเจริญกรรมฐานนี้ต้องการสวรรค์ ต้องการพรหมโลก ต้องการนิพพานอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม
    ถ้าทุกท่านได้มโนมยิทธิแล้วก็ไปฝึกฝนให้คล่อง เมื่อฝึกฝนคล่องแล้ว นอกจากจะยกจิตขึ้นไปสู่ภพต่าง ๆ ก็ยังมีคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ
    ทิพจักขุญาณ สามารถจะเห็นสิ่งของที่อยู่ในที่ลี้ลับได้ เห็นผีได้ เห็นเทวดาได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ ของที่เราเก็บไว้ในที่ลี้ลับหาไม่พบเราก็สามารถเอาจิตเข้าไปกำหนดรู้ได้ หรือว่าใครจะแอบแฝงอยู่ที่ไหนเราก็ทราบได้ ถ้าเราต้องการจะรู้ รวมความว่าไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับพวกที่มีทิพจักขุญาณ
    และถ้าหากว่าจะใช้ทิพจักขุญาณนี้ประกอบอาชีพ ถ้าทิพจักขุญาณมีความเข้มข้นขึ้น เข้าถึงฌาน ๔ และก็ได้ อดีตังสญาณ อนาคตังสญาณ มันจะได้ไปเอง ถ้าเราจะประกอบอาชีพเราก็สามารถจะรู้ได ้ว่า อาชีพที่เราประกอบข้างหน้ามันขาดทุนหรือกำไรจะทำอะไรก็ได้
    ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษา ถ้ามีกำลังจิตเข้มข้นจริง ๆ สามารถจะเดาข้อสอบ (ไม่ต้องเดาละดูเลย ดูข้อสอบเลย ก่อนที่ครูจะเขียนน่ะ) อนาคตังสญาณ จะสามารถรู้ข้อสอบที่ครูจะออกมาได้ ถ้าหากว่าจิตยังคล่องไม่ถึง มีความเข้มข้นไม่ถึงเวลาจะสอบถ้าตอบไม่ได้ตัดสินใจใช้กำลังสมาธิช่วยสัก ๒ นาที คิดว่าถ้าจะตอบยังไงถึงจะถูก ขอให้ตัดสินใจไปตามนั้น มันตัดสินใจเองแล้วก็ถูกต้อง
    อย่างนี้นักเรียนนักศึกษาในกรุงเทพฯ ใช้มาหลายพันคนแล้ว เวลาเข้ามาหาวิทยาลัยเธอตอบไม่ได้เธอก็เดาอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เดานะ เดาเฉย ๆ ไม่ได้นะ ต้องใช้กำลังใจที่เขาเรียกว่าทำจิตเข้าไปถึงนิพพานก่อนและก็นั่งอยู่ที่นั่น ขอพระพุทธเจ้าว่าจะตอบอย่างไร ตัดสินใจไปตามนั้น อย่าถามท่านไม่ได้นะ ถามท่านไม่บอกแต่ว่าจะรู็ด้วยกำลังของจิตที่เป็นทิพย์
    แบบนี้เขาใช้กันเยอะแล้ว ถ้าจะถามว่าได้หรือ นี่มันสายไปแล้ว เขาทำได้มากแล้ว อันนี้เป็นประโยชน์ในทางโลก ใช้ได้มากกว่านี้
    เมื่อกี้พูดถึงทิพจักขุญาณ และก็ญาณที่ ๒ ที่จะได้จากมโนมยิทธิก็คือ จุตูปปาตญาณ
    จุตูปปาตญาณ ที่เขาบอกว่าจะรู้เห็นคนหรือสัตว์ หรือ ว่าได้ยินชื่อคนหรือสัตว์ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนเกิดมาจากไหน ถ้ารู้็ว่าใครเขาตายเขาแจ้งว่าคนนั้นตาย สัตว์ตัวนี้ตายเราก็จะทราบได้ว่าผู้ตายผู้นี้เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อันนี้เขาเรียกว่า จุตูปปาตญาณ
    แล้วก็ต่อมาเป็น ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ การระลึกชาติ สามารถจะทบทวนชาติต่าง ๆ ที่เราเกิดมาได้ทั้งหมดว่า เราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่กี่ชาตินี่นับไม่ไหวนะ ว่าเคยเกิดมาแล้วกี่แสนชาติดีกว่า เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เราสามารถจะรู้
    แล้วก็ต่อไป เจโตปริยญาณ เจโตปริยญาณ เขาแปลว่าสามารถรู้อารมณ์จิตของบุคคลอื่น หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้ายังไม่มาก็ดี เราจะรู้ว่าเขาคิดอะไร เราสามารถจะรู้ได้ทันที
    และต่อไป อตีตังสญาณ สามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์และสถานที่ได้ ว่าก่อนนั้นเขาทำอะไรมาหรือมีสภาพเป็นอย่างไร
    อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต
    ปัจจุปันนังสญาณ ญาณนี้สำคัญมาก รู้กฏของกรรมที่ทำให้คนมีความสุขหรือความทุกข์ เราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี ซึ่งกำลังมีความสุขอยู่เพราะผลความดีอะไรให้ผล ที่มีความทุกข์อยู่เพราะความชั่วอะไรให้ผลทำมาแล้วในอดีต ถ้าหากว่ารู้ญาณนี้ได้ความหนักใจความกลุ้มใจไม่มี
    รวมความว่า มโนมยิทธิ นอกจากจะยกจิตไปสู่ภพต่าง ๆ แล้ว ยังมีคุณสมบัติอีก ๘ ประการ และก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อุทุมพริกสูตร เฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวถึง วิชชาสาม ท่านบอกว่า
    ท่านผู้ใดสามารถกระทำจิตไปสู่ภพต่าง ๆ คือว่าไปสวรรค์ก็ได ้ไปนรกก็ได ้ไปพรหมก็ได้ ไปนรกเปรตอสุรกายได้ ชื่อว่าถึงแก่นของพระศาสนา
    เมื่อบุคคลปฏิบัติกิจเข้าถึงแก่นของพระศาสนาแบบนี้ ถ้าปฏิบัติด้านวิปัสนาญาณ ท่านบอกว่า
    ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้ามีบารมีอย่างอ่อน จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ ปี

    คำว่า บารมี ก็หมายถึง </B>กำลังใจ กำลังใจที่เราจะเอาจริงหรือไม่เอาจริง ถ้าเราใช้กำลังส่วนนี้ไปช่วยวิปัสสนาญาณ หรือนำวิปัสสนาญาณมาใช้ ก็จะเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์
    และก็เป็นที่น่าเสียดายที่มีกำลังพอแต่ไปใช้กำลังอย่างอื่นอยู่ ถ้ามุ่งต้องการความเป็นพระอริยเจ้าจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้องการพระโสดาบันละก็ อย่างช้าก็ไม่เกิน ๑ เดือน ช้ามากเกินไป แต่ว่าคนขี้เกียจก็เร็วมากเกินไป ใช่ไหม ถ้าขี้เกียจ ๑ เดือนนี่ เร็วมากเกินไป ถ้าขยัน ๑ เดือน ช้าเกินไป เร็วมากเกินไป
    พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงว่าเป็นพระโสดาบัน ท่านพูดถึงอรหันต์เลย ถ้ามีความเข้มข้นในการปฏิบัติที่เรียกว่ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีกำลังใจอย่างกลางที่เรียกว่า อุปบารมี คือกำลังใจอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้าขี้เกียจมากหน่อย แต่ว่าทำไม่เลิก ทำบ้างไม่ทำบ้าง วันหนึ่งก็ไม่เว้นละ ทำมากทำน้อย นอนน้อยทำมาก สลับกันไปอย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี
    แต่ว่าก็มีเยอะเหมือนกัน ที่ได้ไปแล้วไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ใช้เฉพาะกิจส่วนนี้ก็ยังดีกว่า เพราะหายสงสัย
    ที่พระพุทธเจ้าสอนวิชานี้ไว้เป็นวิชาขั้นต้นของ อภิญญา ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์บอกว่า
    คนเราตายไปแล้วมีสภาพไม่สูญ ถ้าสร้างผลของความชั่ว ผลของความชั่วจะให้ผล คือไปนรก จากนรกก็ต้องมาเป็นเปรต จากเปรตแล้วก็มาอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
    สัตว์เดียรัจฉานนี่เป็นนานหน่อย ต้องเสวยบารมีมากฆ่าสัตว์กี่ตัว สัตว์ประเภทใดบ้าง ต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้นเท่าชีวิตที่เราฆ่า ฆ่ายุงไปเท่าไร เอาแค่ยุงอย่างเดียวก็พอมั๊ง
    หลังจากเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมชั่วที่เราทำไว้จะให้ผลเพียงเศษ เช่น
    ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือทรมานสัตว์ เป็นปัจจัยให้คนมีอายุสั้น เพราะทำเขาไว้มาก หรือว่าป่วยไข้ไม่สบาย มีร่างกายทุกพพลภาพ สุดแท้แต่กฎของกรรม
     
  2. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    กรรมของอทินนาทาน ลักขโมยยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ทรัพย์เสียหายจากไฟไหม้บ้าง ลมพัดบ้าง น้ำท่วมบ้าง ถูกโจรลักขโมยบ้าง
    กรรมของกาเมสุมิจฉาจารที่เราละเมิด เป็นเหตุให้คนในปกครองว่ายากสอนยาก คนที่มีลูกดื้อ ๆ จำให้ดีนะ เคยทำกรรมนี้มาแล้วจะให้พระช่วยได้อย่างไร และ
    กรรมของมุสาวาท เราพูดจริงแต่ไม่มีใครเขาอยากฟัง
    เศษกรรมของการดื่่มสุราเมรัย</B> ทำให้เป็นโรคเส้นประสาท หรือโรคบ้า
    ทีนี้ถ้าอาการทั้ง ๕ อย่างนี้เกิดขึ้น อย่าไปโทษใคร ถ้าเราได้ ยถากรรมมุตาญาณ เราจะทราบ ว่ากรรมประเภทนี้ทำให้เราลำบากเราทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก่อนที่จะได้รับเศษของกรรมเราได้รับโทษของกรรมใหญ่ที่ไหนบ้าง ลงนรกมากี่ขุม ท่องเที่ยวนรกแสนสบาย มีความสุขมีที่อยู่ที่อาศัย พญายมเอาอกเอาใจ ไม่ต้องการให้พ้นจากนรกนี่ดีมีวาสนาบารมีสูง
    ออกจานรกขุมใหญ่ ออกจากนรกบริวาร ผ่านยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ออกจากยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ผ่านเปรตอีก ๑๒ ลำดับ จากเปรตมาผ่านอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน กว่าจะเกิดมาเป็นคนที่มีความสมบูรณ์มาก พระพุทธเจ้าตรัสแล้วหลายสิบองค์ อันนี้เป็นกฎของความชั่วที่เราพึงจะรู้ได้ด้วยกำลัง มโนมยิทธิ ที่ญาติโยมพุทธบริษัทปฏิบัติกัน
    ด้านของความดีที่เราจะพึงทราบจาก ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เราจะทราบว่าเราเคยเป็นเทวดามาแล้วกี่ครั้ง เคยเกิดเป็นคนมาแล้วเท่าไหร แล้วเคยเกิดมาเป็นมนุษย์มาแล้วเท่าไหร่ ความเป็นมนุษย์ชาติไหนมีความสุขมาก ชาติไหนมีความทุกข์มาก ชาติไหนมีฐานะอย่างไร อย่างนี้เราทราบได้
    ทีนี้ถ้าอยากจะทราบว่าบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ บุญประเภทนี้จะให้ผลเราขนาดไหน สมมุติว่าถ้าเราตายขณะนี้เราจะเป็นเทวดาหรือจะไปเป็นพรหมหรือจะไปนิพพาน เราพิสูจน์ได้เลย บุญทำวันนี้พิสูจน์วันนี้ได้ว่าบุญวันนี้จะส่งผลไปถึงไหน
    ถ้าจะถามว่าถ้าปุบปับตายจะมีวิมานอยู่ไหม ถ้าเคยทำบุญก่อสร้างเกี่ยวกับการสร้างวัดสร้างศาลา สร้างสาธารณประโยชน์ แม้แต่เขาสร้างโบสถ์ ๑ หลัง เราทำบุญไป ๑ บาท และทำด้วยความเต็มใจ วิมานก็ปรากฏแล้ว คือว่าทำในทันทีวิมานจะปรากฏทันที
    ที่กล้าพูดอย่างนี้ เพราะว่าทุกท่านหรือหลาย ๆ ท่านกำลังเจริญมโนมยิทธิ และก็หลายท่านที่ได้แล้วสามารถพิสูจน์ได้ทันที ก็มาตัดสินใจทำบุญไว้ตั้งแต่เมื่อไหรก็ตามเถอะไม่สนใจ วันนี้หรือก่อนวันนี้ทำบุญเนื่องในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ วิมานจะปรากฏก่อน เราสามารถจะไปดูวิมานได้ทันทีว่าวิมานเราอยู่ที่ไหน
    ทีนี้วิมานนี่อยู่ตามกำลังของบารมีหรือตามกำลังของบุญที่ทำ ถ้ากำลังบุญของท่านถึงขั้น กามาวจรสวรรค์ วิมานก็จะตั้่้งอยู่ที่สวรรค์ กำลังบุญของท่านถึงขั้นของพรหม วิมานจะตั้งอยู่ที่พรหม กำลังบุญความดีของท่านถึงขั้นนิพพาน วิมานก็อยู่ที่นิพพาน คอยอยู่แล้ว ตายเมื่อไรถึงเมื่อนั้น อันนี้พูดถึงผลที่จะพึงได้
    ต่อไปก็ขออธิบายถึงวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ที่บอกไว้แล้ว ๔ หมวด คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต อันนี้ใช้แนวสมาธิเหมือนกันแต่ใช้กำลังไม่เท่ากัน อันนี้ต้องระวังให้มากนะ กำลังขึ้นต้นไม่เท่ากัน ถ้าใช้กำลังขึ้นต้นผิดไม่มีผล
    สำหรับ สุขวิปัสสโก นี่ท่านเริ่มเจริญสมาธิเล็กน้อยควบคู่กับวิปัสสนาญาณ
    แต่ว่าเรื่องศีลมีความสำคัญมาก ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์สมาธิไม่มีผล อย่างวันนี้ท่านฝึกมโนมยิทธิ หากว่าศีลของท่านไม่บริสุทธิ์มาก่อน หรือว่าท่านไม่แน่ใจในความบริสุทธิ์ของศีล เวลาสมาทานศีลก็ขอให้ตั้งใจสมาทานด้วยความเคารพจริง ๆ ว่าเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าท่านไม่มั่นใจในศีล พอไปถึงพระจุฬามณี เขาไม่เปิดประตูให้เข้า อย่างนี้ครูผู้ฝึกเขาจับได้แน่
    ศีลดีพอสมควร แต่ไม่มั่นใจ คือศีลบกพร่อง ทางจุฬามณีเขาไม่เปิดประตูให้เข้าเด็ดขาด ทำยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เข้า ถ้าเราไม่สามารถจะผ่านจุฬามณีได้ก็ไปที่อื่นไม่ได้เหมือนกัน
    ถ้าหากว่าท่านผู้ใดไม่มั่นใจในศีลของท่านว่าที่ผ่านมาแล้วศีลจะดีพอควรไหม เวลาสมาทานศีลก็จงคิดว่าเวลานี้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ว่านับตั้งแต่เวลาสมาทานไปจนกว่าจะไปจากที่นี้ ศีล ๕ เราไม่มีโอกาสจะขาด ใช่ไหม เราฆ่าใครเขาได้เล่า ลักขโมยใครเขานี้ไม่แน่นะ อย่าไปล้วงกระเป๋าเขานะ บอกว่าผมไม่ลัก แต่ผมล้วงกระเป๋าเขาอย่างเดียว
    เป็นอันว่าทุกคนต้องถือว่าศีลบริสุทธิ์ นี่เป็นพื้นฐานใหญ่
    แล้วเวลาทรงสมาธิ สำหรับสุขวิปัสสโก ก็ใช้สมาธิเล็กน้อยเริ่มต้นควบกับวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิจริง เขาเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ แต่ว่าการเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ นี่ลำบาก จึงลดลงเหลือกำลังอุปจารสมาธิเ่ท่าวิชชาสาม
    ฉะนั้นเวลาเริ่มต้นขอทุกท่านใช้กำลังสมาธิแค่อุปจารสมาธิ ถ้าถึงฌานสมาบัติ กำลังสูงเกินไปเลยความเป็นทิพย์ ถ้าต่ำไปก็ไม่ถึงความเป็นทิพย์
    เหมือนกับกำแพงที่มีช่องน้อย ๆ อยู่ช่องหนึ่ง ถ้าเรามองตาสูงกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น ต่ำกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น เราต้องมองให้พอดี ๆ จึงเห็น
    สำหรับ ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกัน จิตเกิดเป็นทิพย์ ตอนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าจิตเลยไปถึงฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ ถ้าต่ำกว่าฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ
    ถ้าจะถามว่า อุปจารสมาธิทำอารมรณ์ขนาดไหน ก็ขอตอบแบบตรงไปตรงมาว่าใช้อารมณ์แบบปกติธรรมดา เวลาภาวนาอยู่ การภาวนานี่ต้องคู่กับลมหายใจเข้าออก เพราะว่าลมหายใจเข้าออกทำให้จิตเป็นสมาธิ ทำให้จิตมีกำลัง สมาธิ เขาแปลว่า ตั้งใจ
    สำหรับคำภาวนาใช้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ คำภาวนา นะ มะ พะ ธะ ทำให้กำลังจิตเป็นทิพย์ แต่ว่าคำภาวนาทำให้จิตเป็นทิพย์มีหลายสิบแบบ ไม่เฉพาะแต่ นะ มะ พะ ธะ อย่างเดียว
    แต่ว่าที่เลือก นะ มะ พะ ธะ มาใช้ก็เพราะว่าแบบอื่น ถ้าเราสามารถจะรู้ได้ เห็นได้ ไปได้ ไปท่องเที่ยวในภพต่าง ๆ ได้ แต่คนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ต้องจบกิจเรื่องนั้นแล้วกลับมาจึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้
    สำหรับ นะ มะ พะ ธะ นี่ ขณะที่เราไปพบอะไรที่ข้างบน หรือที่ไหนก็ตาม นรกก็ตาม สวรรค์ก็ตาม พรหมโลกก็ตาม คนข้าง ๆ จะถามได้ทันทีแล้วจะตอบได้เลย ทางโน้นตอบมา ฝ่ายนี้ก็พูด พูดรู้เรื่องกันได้ตลอด
    แบบนี้ควานหามา ๒๓ ปี กว่าจะพบ และแบบอื่น ๆ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นเรื่องสงสัยของคน ผู้ถามอยู่ข้าง ๆ ต้องการจะรู้ว่าพ่อฉันตายแม่ฉันตายไปอยู่ที่ไหน หลับตาปี๋อยู่นาน ลืมตามาก็บอก ทีนี้คนข้าง ๆ อาจจะสงสัย หมอนี่อาจจะโกหกก็ได้
    สำหรับ มโนมยิทธิแบบนี้ ปัจจุบันใช้ นะ มะ พะ ธะ คนข้าง ๆ จะถามได้ทันที และก็เราผู้ไม่รู้ ถ้าไปพบคนตาย จะต้องถามก่อนที่ท่านจะตายรูปร่างลักษณะอย่างไร แสดงให้ดูก่อน ร่างกายจะตายอาการแบบไหน ชี้ให้ชัดว่าคนที่ถามเขารู้เวลานั้นเอาเฉพาะอาการที่รู้ เราก็จะบอกได้ตามปกติว่ามันชัดเจนดี เขามีโอกาสซัก ซักได้ทั้งที่ยังไม่ถอนจากฌานแบบนี้มีประโยชน์มาก
    ฉะนั้นเวลาปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ตามแบบปกติ ไม่ต้องทำจิตให้มันเครียดเป็นฌานอย่าลืมนะ ถ้าเป็นฌานไม่มีผล คือใช้คำภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ
    ถ้าจะควบคู่กับลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าก็นึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกก็นึกว่า พะ ธะ เอาแบบสบาย ๆ นะ อย่าให้เหนื่อย อย่าไปเร่งรัดลมหายใจ อย่าบังคับลมหายใจ อย่าให้เร็วเกินไป อย่าให้ช้าเกินไป ปล่อยลมหายใจไปตามปกติ แค่นึกตามเวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เอาแค่นี้นะ
    แล้วเลาที่ยังไม่มีใครเข้าไปแนะนำ จงอย่าไปนึกอย่ากรู้ อยากเห็นอะไรเป็นอันขาด เพราะว่าถ้านึกอยากรู้อยากเห็นตอนนั้นจิตซ่านไม่เป็นสมาธิ
    และก็มีปัญหาอันหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย เวลาที่ผู้แนะนำเขาปล่อยให้นั่งภาวนาประมาณ ๑๕ นาที ตอนนี้เราก็รู้ลมหายใจเข้าออกด้วย รู้คำภาวนาด้วย จิตก็อดซ่านไม่ได้เป็นของธรรมดา ภาวนาไปรู้ลมหายใจเข้าออกไปสัก ๒-๓ นาทีก็เผลอไปคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทน ถ้านึกขึ้นมาได้ก็กลับดึงเข้ามาใหม่
    ถ้าอาการจิตเป็นอย่างนี้ละก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าเพิ่งคิดว่าเราชั่ว ถือว่าที่เราทำไปนั้นไม่ชั่วแล้วก็ไม่ผิด มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิตมันชอบคิดเรื่องอื่น แต่วาถ้าไปคิดเรื่องอื่นแทนที่ ถ้าเรารู้ตัวก็ดึงกลับมาใหม่ ถ้าจิตอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ มันเป็นแบบนี้แหละ เพราะยังไม่ได้ฌานสมาบัติ ถ้าจิตจะทรงตัวจริงต้องเป็น ฌานสมาบัติ
    ทีนี้พอได้เวลาก็จะมีผู้เข้าไปแนะนำโดยตรง วิธีนี้ถ้าปล่อยให้ปฏิบัติธรรมดานะ พระเคยทำมาแล้ว ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง บางองค์ ๔๐ ปีไม่ได้ ตายไปเลย ตายไปเยอะ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ เป็นเรื่องใหญ่มากเดิมทีเดียวต้องขึ้นต้นด้วยฌาน ๔ ทีนี้กว่าจะได้ฌาน ๔ เขี้ยวเหี้ยน กินหญ้าต่อไปไม่ได้แล้ว
    ต่อมาท่านเจ้าของมาแนะนำบอกว่า ปฏิบัติอย่างนี้ (แบบเก่า) มันไม่มีผล เพราะว่ากำลังของคนไม่พอ ท่านก็แนะนำบอกว่า ให้ขึ้นต้นด้วยอุปจารสมาธิ ใช้กำลังของวิชชาสามแทน การใช้กำลังของวิชชาสามแทนนี้ก็อ่อนไปหน่อย การเคลื่อนไหวตัวรู้สึกตัวน้อย ๆ เป็นที่น่าสงสัย
    ถ้าหากว่าใช้กำล้ังเดิม คือกำลังของฌาน ๔ เวลามันออกมันรู้ตัวเหมือนอกจากกระบอกไม้ มันพุ่งตรงออกจากโพรงไม้หรืออกจากถ้าำ มันรู้ตัวเลย ก็จะปรากฏชัดเป็นแสงสว่างในอากาศ แสงสว่างเป็นลำบ้าง เป็นแสงทั่วไปในอากาศบ้าง จะปรากฏเห็นกายข้างในมันพุ่งตรงออก ไปไหนก็มีรู้สึกเหมือนเราไปเอง
    แต่ว่ากำลังแบบนี้เวลานี้ท่านพุทธบริษัทยังรับไม่ได้กว่าจะรับได้ก็ใช้เวลาเป็นเดือนหรืออาจจะเป็นปี ที่สอนมาแล้วระยะต้น เมื่อปี ๒๕๐๘ ได้มาประมาณ ๘๐ คน หลังจากนั้นมาอีก ๑๐ ปี ไม่มีใครได้เลย เพราะกำลังไม่พอ ต่อมาท่านเจ้าของจึงแนะนำบอกว่า ให้ลดกำลังลงเหลือกำลังของวิชชาสาม
    ทีนี้กำลังของวิชชาสามมีสภาพคล้ายความฝัน เป็นที่น่าสงสัย กำลังของวิชชาสามก็คือใช้กำลังของอุปจารสมาธิแทนฌานสมาบัติ
    ทีนี้มาจุดหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย คือ คำว่า ทิพจักขุญาณ
    คำว่า ทิพจักขุญาณ นี่ไม่ใช่แปลว่า ลูกตาเนื้อเป็นทิพย์ ญาณ เขาแปลว่า รู้ ทิพจักขุญาณ เขาแปลว่า มีความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์ อย่าลืมนะว่าความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ เพราะว่าเรายังไม่ได้ใช้ฌาน ๔ ถ้าใช้ฌาน ๔ ตัวนี้ไม่ต้องอธิบายเพราะมันออกไม่รู้ตัว เมื่อใช้กำลังของวิชชาสามกำลังลังอ่อนลง ไม่สามารถจะมีความเข้มแข็งแบบนั้นได้ ต้องใช้ความสังเกตเป็นเกณฑ์
    ถ้าหากว่าศีลดี สมาธิดีพอสมควร ไม่มากนักการตัดสินใจด้านพระนิพพานน้อยเกินไป อย่างนี้ทิพจักขุญาณจะเกิดอย่างอ่อน เกิดความรู้สึกของใจ ความรู้สึกทางใจนี่มันจะมีความรู็สึกอันดับแรกว่าเป็นอะไรต้องตอบทันที ตัวแรกเป็นตัวแท้แล้วก็แน่นอน
    และเวลาที่ท่านทั้งหลายจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าทำใจให้สบายคิดว่างานที่เราทำจะมีผลดีหรือผลชั่ว อารมณ์แรกมันบอกปั๊บต้องเชื่ออารมณ์นั้นทันที
    ทีนี้ถ้าหากว่าถ้าอารมณ์มันอ่อน เมื่อเวลามีผู้เข้าไปแนะนำ หลังจากภาวนาไปแล้วประมาณ ๑๕ นาที เขาจะให้สัญญาณบอกว่าพักได้ แล้วต้องสังเกตนะ ถ้าท่านผู้ใดมีคนไปนั่งข้างหน้า เขาจะแนะนำ ขอให้ท่านผู้นั้นเลิกภาวนาเสียเลย อย่าภาวนา แล้วก็เลิกรู้ลมหายใจเข้าออก ปล่อยใจสบาย ๆ เพราะตอนนั้นไปภาวนาไม่ได้ ขวางกัน ให้ฟังคำแนะนำของผู้แนะนำ
    ถ้าผู้แนะนำเขาแนะนำว่ายังไงให้ตัดสินใจไปตามนั้น ถ้าเห็นว่ากำลังใจเริ่มเป็นทิพย์พอสมควร เขาจะถามว่า
     
  3. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    ครู ขอให้ทุกท่านตัดสินใจว่าการที่เรามาปฏิบัติพระกรรมฐานในวันนี้ ก็เพื่อหวังมรรคผลนิพพานเป็นสำคัญ บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหมดเห็นจริงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูทุกประการแล้วว่า การเกิดเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ มีความยุ่งยากนานาประการและร่างกายของข้าพระพุทธเจ้านี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วไม่ช้าก็เดินเข้าไปหาความแก่ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีการป่วยไข้ไม่สบาย ประสบกับอารมณ์ไม่สมหวังนานาประการ บางครั้งก็ถูกเขากลั่นแกล้ง ด่าว่าหรือถูกนินนทามีการพลัดพรากจากของเรักของชอบใจ และสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนหนีไม่พ้นก็คือความตาย
    เมื่อร่างกายนี้ตายไปเราก็ไม่สามารถจะแบกเอาไปได้ ร่างกายของบุคคลอื่นอันเป็นที่รักเราก็แบกเอาไปไม่ได้ ทรัพย์สมบัติแม้ชิ้นเดียวหรืองเงินทองแม้แต่บาทเดียว เราก็ไม่สามารถจะแบกเอาไปได้ เพราะฉะนั้นถ้าร่างกายของข้าพระพุทธเจ้านี้พังเมื่อใด ขอตัดสินใจเข้าสู่พระนิพพานตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว
    ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ขอได้ทรงโปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณ แสดงพระวรกายของพระองค์ในสภาวะพระนิพพานให้ข้าพระพุทธเจ้าทังหมดรับสัมผัสได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
    ครู ขณะนี้ความรู้สึกของทุกท่านว่าพระพุทธเองค์ประทับอยู่ข้างหน้าพวกเราหรือเปล่าคะ...?
    ศิษย์ อยู่ครับ
    ครู เมื่ออยู่แล้วกราบนมัสการพระองค์ท่านหรือยังคะ...?
    ศิษย์ อยู่ครับ
    ครู เมื่ออยู่แล้วกราบนมัสการพระองค์ท่านหรือยังคะ...?
    ศิษย์ กราบแล้ว
    ครู ขณะที่กราบนมัสการ วันนี้พระพุทธองค์ประทับนั่งหรือนอน หรือยืน...?
    ศิษย์ ประทับนั่ง
    ครู พระพุทธเจ้าของเราเข้าสู่พระนิพพานไปสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว กายเนื้อของพระองค์ถูกเผาไปแล้ว แต่จิตหรืออทิสสมานกายของพระองค์อยู่บนพระนิพพานตามสภาพความเป็นจริงแล้ว เวลาพระองค์ประทับอยู่ที่วิมานของพระองค์ ท่านแต่งองค์อย่างไร ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ารับสัมผัสได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าแล้วทั้งหมดขอกราบแทบพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ครู ขณะที่กราบลงไป ความรู้สึกของใจว่าขณะนี้พระพุทธองค์แต่งองค์แบบไหนคะ...?
    ศิษย์ ทรงเครื่องพระนิพพาน
    ครู สวยไหมคะ...?
    ศิษย์ สวยค่ะ
    ครู ความรู้สึกเครื่องแต่งกายของพระองค์ออกสีอะไรคะ...?
    ศิษย์ สีขาวมีประกาย
    ครู ขณะนี้พระองค์แย้มพระโอษฐ์ไหมคะ...?
    ศิษย์ ยิ้มนิด ๆ
    ครู หลวงพี่มีความรู้สึกพระพุทธองค์แย้มพระโอษฐ์ไหมคะ...?
    ศิษย์ (พระ) ยิ้มน้อย ๆ
    ครู ขณะที่เราอยู่ต่อหน้าพระองค์ท่าน ตัดสินใจว่าข้าพเจ้าจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์นับตั้งแต่วันนี้จนกว่าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบัน สำหรับพระสงฆ์ที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ถือว่าเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ ต้องรักษาศีล ๒๒๗ ข้อโดยเคร่งครัด และขณะที่ดำรงชีวิตอยู่จะทำงานทุกอย่างตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อใด การเกิดเป็นคนก็ดี เทวดาหรือพรหมก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่พึงปรารถนา ขอติดตามพระองค์มาอยู่บนแดนพระนิพพานแต่เพียงอย่างเดียว ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ขอได้ทรงโปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณให้ข้าพระพุทธเจ้ารับสัมผัสอทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าแต่ละคนที่อยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพานขณะนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า แต่ละคนดูซิคะว่าแต่งตัวยังไง เหมือนกายเนื้อข้างล่างที่นั่งอยู่ที่วัดท่าซุงหรือเปล่า...?
    ศิษย์ ไม่เหมือน แต่งตัวสวย
    ครู หลวงพี่แต่งตัวเป็นพระสงฆ์หรือเปล่าคะ...?
    ศิษย์ (พระ) ไม่ได้แต่ง
    ครู แต่งเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ...?
    ศิษย์ แต่งเป็นชาย
    ครู ให้ทุกคนขอดูอทิสสมานกายเวลาที่อยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน กับกายเนื้อที่อยู่ในเมืองมนุษย์ อันไหนสวยกว่ากัน...?
    ศิษย์ อยู่ข้างบนสวยกว่า
    ครู ภายในบริวเวณวิมานพระพุทธเจ้ากว้างขวางหรือแคบคะ...?
    ศิษย์ กว้างค่ะ
    ครู นอกจากสมเด็จพระพุทธองค์แล้ว มีใครเสด็จมาอีกไหมคะ...?
    ศิษย์ มี
    ครู มากหรือน้อยคะ....?
    ศิษย์ เสด็จมากันมาก
    ครู ทั้งหมดให้แยกกายตัวเองที่แต่งตัวสวย ๆ ให้มีปริมาณเท่ากับทุก ๆ พระองค์ที่เสด็จมาทั้งหมด แล้วกราบนมัสการท่านพร้อมกันทังหมดด้วย อาศัยบารมีพระพุทธเจ้าท่านช่วย กราบได้ไหมคะ...?
    ศิษย์ กราบแล้ว
    ครู มีความรู้สึกว่ามีใครอยู่ใกล้ ๆ เราไหมคะ..?
    ศิษย์ มี
    ครู รู้จักท่านไหมว่าท่านเป็นใคร...?
    ศิษย์ หลวงพ่อ
    ครู วันนี้หลวงพ่อแต่งตัวยังไงคะ...?
    ศิษย์ แต่งคล้าย พระพุทธองค์
    ครู หลวงพ่อใส่แว่นไหมคะ...?
    ศิษย์ ไม่ใส่ค่ะ
    ครู กราบระลึกถึงพระคุณท่าน เพราะท่านเป็นผู้นำความรู้การฝึกมโนมยิทธิมาสอนเรา ทำให้เราขึ้นมารับสัมผัสว่าแดนพระนิพพานมีจริง ไม่สูญอย่างที่เขาพูดกัน ขณะที่กราบท่านมีความรู้สึกรักเคารพและผูกพันกับองค์ท่านมาก่อนไหม...?
    ศิษย์ รู้สึกคุ้น ๆ กับท่านมาก่อน
    ครู ใจอยากจะเรียกท่านว่าอะไรขณะนี้
    ศิษย์ เรียกท่านพ่อ
    ครู เพื่อความมั่นใจ ถ้าในอดีตชาติ เราเคยเกิดเป็นลูกองค์หลวงพ่อ ขอให้ท่านได้มีพระเมตตายกมือให้ลูกได้ทราบ
    ศิษย์ ยกค่ะ
    ครู เราจะได้มั่นใจว่าในอดีตชาติเราเคยเกิดเป็นลูกหลวงพ่อ ถึงได้ติดตามมาฝึกวิชานี้ เมื่อเรารู้จักท่านพ่อในอดีตแล้ว ขออัญเชิญท่านแม่ที่เป็นคู่บุญบารมีขององค์หลวงพ่อมาทุกชาติ ขอได้ทรงโปรดเสด็จประทับข้างหลวงพ่อให้ลูกได้กราบด้วยเถิดพระเจ้าข้า ท่านเสด็จมาหรือยังคะ...?
    ศิษย์ มาแล้ว
    ครู ขอกราบแทบพระบาท แล้วกราบบนตักท่าน
    ศิษย์ กราบแล้ว
    ครู พอกราบบนตักท่านแม่ทำอย่างไรคะ...?
    ศิษย์ ท่านลูบศีรษะ
    ครู มีความรู้สึกว่าท่านแม่มีความรักเมตตาห่วงใย มีความหวังดีต่อลูกไหมคะ...?
    ศิษย์ มีเมตตามาก
    ครู หลวงพ่อท่านบอกว่าใครจะมีพระคุณเกินแม่ไม่มีอีกแล้ว กราบถามท่านแม่ว่าจะกลับลงมาเกิดในเมืองมนุษย์อีกไหมคะ...?
    ศิษย์ ไม่ลงมาเกิดอีกแล้ว
    ครู ก็แสดงว่าท่านแม่ของลูกอยู่บนพระนิพพานแล้ว ท่านดีใจไหมคะ วันนี้ลูกขึ้นมาถึงพระนิพพานกราบท่านได้
    ศิษย์ ดีใจมากค่ะ
    ครู หลวงพ่อท่านบอกว่าทั้งพระ ทั้งพรหมและเทวดา ถ้าในอดีตชาติเราเคยเกิดเป็นลูกท่านแม้แต่เพียงชาติเดียว ท่านจะถือว่าเป็นลูกท่านตลอดไปคอยช่วยเหลือเราตลอดเวลา ถ้าไม่เกินกฎของกรรม กราบถามพระนามสั้น ๆ ที่องค์หลวงพ่อเรียกท่านแม่มาทุกชาติว่าชื่ออะไร
    ศิษย์ ท่านแม่ศรี
    ครู ถูกต้อง ต่อไปนี้ให้จำท่านแม่ไว้ เวลาไปที่ใดขอบารมีให้ท่านช่วยนำไป จะได้คล่องขึ้น วันนี้วิมานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังใหญ่หรือเล็ก และทำด้วยอะไร...?
    ศิษย์ ใหญ่มากครับ ทำด้วยเพชร สวยมาก
    ครู เป็นการพิสูจน์แล้วว่า แดนพระนิพพานไม่สูญอย่างที่บางคนพูดกัน คำว่าสูญ ต้องไม่มีอะไรเลย นี่วิมานของพระองค์ก็มี พระองค์แย้มพระโอษฐ์แต่งองค์ทรงเครื่องพระนิพพาน เราก็รับสัมผัสได้ แม้กระทั่งจิตหรืออทิสสมานกายของตัวเราเองออกจากร่างอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ เราก็รับสัมผัสได้ ความรู้สึกของจิตเวลาอยู่บนพระนิพพานเป็นอย่างไร...?
    ศิษย์ สบาย รู้สึกเบา โปร่ง
    ครู สมอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
     
  4. ZyTon

    ZyTon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +377

    อ่ะฮ้า ....เจอกระทู้โดนใจ ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจในจุดนี้ด้วยนะครับ จะได้ไม่หาว่าคนที่เขาฝึกสายฤทธิ์นอกลู่นอกทาง นอกพระพุทธศาสนา หรือใช้วิธีอ้อม เพราะอัธยาศัยของแต่ละคนที่ปรารถนานั้นไม่เหมือนกัน คิดจะละกิเลสแล้วต้องใจกว้างกันนะครับ "เหล่าสุกขวิปัสสโก" เพราะเราต่างคนต่างทำหน้าที่เพื่อรักษาและสืบทอดพระพุทธศาสนาเหมือนกัน สาธุ
     
  5. ดาราจักร

    ดาราจักร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,707
    ค่าพลัง:
    +10,092
    ผมก็เคยฝึกมโนนะครับ แล้วก็ฝึกอะไรๆทำนองนี้แบบอื่นด้วย

    ก็น่าสนใจนะครับ สำหรับคนที่อยากรู้โน่นนี่

    จริงๆ เท่าที่รู้ บางคนทำได้ บางคนก็ทำไม่ได้

    ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ทำได้ แต่คนในสมัยปัจจุบัน ต่างจาก 2500 ปีก่อน

    ไม่เคยสัมผัส จึงบอกสิ่งที่ไม่เคยเห็น ว่าไม่มีจริง ไม่ยอมรับ

    แล้วก็ไม่ใช้เรื่องฤทธิ์เดชอะไรหรอกครับ ย้ำว่าเป็นเรื่องปกติของจิต

    อย่างชีวิตผมเนี่ย ใช้ชีวิตโสดๆ ไม่แต่ง แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างฆารวาส

    ทำงานหาเงิน สร้างวัด ทำบุญ รักษาศีลตลอดมา ตั้งแต่เด็กแล้ว

    อาจเป็นเรื่องผิดปกติของสังคมก็เป็นได้นะครับ

    จริงๆทำไป ทำไป รู้อะไรมากขึ้น เดี๋ยวก็จะรู้สึก ขี้เกียจ ไม่อยากทำ

    เพราะไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร จริงอย่างที่สุขวิปัสโกเขาว่า

    สรุปว่า อย่าไปคิดมาก ทาน ศีล สัมมาสมาธิ แล้วจะมีสัมมาทิฐิ เองครับ

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2008
  6. Starsophere

    Starsophere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +437
    อย่าไปพูดแบ่งเหล่าอย่างนั้นเลย คนที่ชอบพูดบอกว่าคนอื่นนอกลู่นอกทางน่ะ ก็เป็นพวกยังมีทิฐิไม่ตรง การไปพูดแบ่งเหล่ามันก็พูดเหมือนแบ่งนิกายเด๊ยวจะบาปกันไปซะปล่าว การฝึกไม่ว่าจะฝึกอะไรอย่างไรเด๊ยวมันก็ไปลงร่องเดียวกันอยู่ดี มีที่สุดที่เดียวกัน สภาพปรุงแต่งมันไม่เหมือนกันจะให้ฝึกอย่างเดียวกันทั้งหมดคงไม่ได้ เพียงแต่ขอให้ฝึกจริง ๆ ก็พอ ไม่ใช่ฝึกนิด ๆ หน่อย ๆ ก็พองตัวซะแล้ว
     
  7. ZyTon

    ZyTon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +377

    คุณอยากรู้ไหมครับ ว่าใครแบ่งเหล่า หรือฝึกนิดๆหน่อยก็พองตัวซะแล้ว

    คุณStarsophere ลองไปถามท่านนี้ซิครับ ผมว่าท่านผู้นี้ศึกษาพระไตรปิฎกน้อยไปถึงได้ออกมากล่าวเช่นนี้ วิสุทธิมรรคนั้นขยายความของกรรมฐาน๔๐ และอภิญญาสมาบัติอย่างละเอียดละออ


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เล่าปัง [​IMG]
    อภิญญา ถ้าอยากได้แบบเต็มต้องศึกษา ศาสนาพรหม์ ฤาษี ของเขาครบถ้วน

    ของพุทธสอนเท่าที่จำเป็น และส่วนใหญ่จะออกแนวห้ามไว้ เพราะเห็นว่าอ้อมไปหน่อย ไม่ได้ห้ามโดยเด็ดขาดนะว่าไม่ให้ฝึก ไม่ให้มี

    เพราะมันเป็นของธรรมดา บางคนฝึกสมาธิอยู่ดีๆ ก็เกิดเอง ตามเองรู้เอง ก็มี เรียกว่าเป็นลาภ

    แต่สำหรับบางท่าน มีวาสนาก่อนเก่าส่วนตัว ก็สมารถยกมาสอนโดยพิศดารปริเฉทละเอียดละออ ก็อาจจะเข้าไปเรียนโดยเข้าใจได้ง่าย ยิ่งมีใจชอบ ก็ยิ่งฝึกตามได้ยิ่งขึ้น


    * * **
    ขอแก้ จากอ้อมไปหน่อย เป็นอ้อมไปมากๆ อันนี้กล่าวโดยปัจจัยของคนไปเรียนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องคุณลักษณะวิชา


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://palungjit.org/showpost.php?p=878019&postcount=6

    อัธยาศัยสั่งสมมาอย่างไร ก็ไปทางนั้นเถิดผมแค่ปกป้องคำปรามาสจากคนแบบท่านนี้ที่มากล่าวหา กลุ่มที่มีอํธยาศัย เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ว่าเป็นทางอ้อมมากๆ

    ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ในยุคต่างๆรวมถึงอนาคต คงไม่มีเกิดขึ้นมาช่วยรื้อสัตว์ ขนสัตว์ จากวัฏฏสงสารแบบนี้หรอกครับ คงเลือกทางเดิน สุกขวิปัสสโก เพราะถึงอย่างไรก้ต้องนิพพานอยู่ดี แต่ท่านเหล่านี้อยากช่วยเหลือสรรพสัตว์มากกว่านั้น(อัปปมัญญาธรรม) 1จิตวิญญาณถ้าไม่เกิดได้ มีค่ากว่าสิ่งใดๆในอนันตจักรวาลนี้จะเทียบได้

    ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าสมณโคตมของเราในยุคนี้ ถ้าท่านปรารถนาแค่นิพพาน ท่านคงได้ก่อนเป็น "สุเมธดาบส"อีก ใน4อสงไขยแสนมหากัปที่ผ่านมา เพราะในขณะนั้นท่านได้อภิญญาสมาบัติแล้ว และปรารถนาทั้งในใจและวาจา เหลือแค่กายเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น พระพุทธเจ้ามีนามว่า "โคตม"คงจะไม่ได้มาตรัสรู้ช่วยเรื้อสัตว์ขนสัตว์ในยุคนี้อย่างแน่นอน เพราะท่านแค่ปรารถนานิพพานก็ย่อมทำได้ เพราะท่านเจอพระพุทธเจ้าในยุคนั้นแล้ว แต่ท่านยังน้อมกายเป็นสะพานมีจิตปรารถนาขอเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเหมือนพระพุทธเจ้าองค์นั้น และท่านผู้กล่าวปรามาสคนนี้คงไม่ได้เรียนรู้ธรรมะเป็นแน่ ถึงได้ปีกกล้าขาแข็งมากล่าวว่าผู้ที่ปรารถนาอภิญญา


    สิ่งที่ท่านกล่าวปรามาส เวรกรรมจะตกแก่ท่านแน่นอนครับ

    แต่ผมขออโหสิกรรม รวมทั้งขอให้พระโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์ ผู้กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เป็นพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าในอนาคตอันไม่มีประมาณ ที่กำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ ไม่ว่า10ประการ 20ประการ 30ประการ มีจิตใจมุ่งมั่นเพื่อเจริญอภิญญาสมาบัติ เพื่อปราบมาร เพื่อช่วยสัตว์โลก ขอโปรดอโหสิกรรมแก่ท่านนี้ด้วยที่ได้กล่าวล่วงเกินแก่ท่าน

    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2008
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอ....แล้วผมพูดผิดตรงไหนละนี้

    เราคือคนที่ใช้นามว่า เล่าปัง แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้ชื่อจริง

    ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า เราจะทำอย่างไรในการธำรงรักษาพระพุทธศาสนา
    คือ การสร้างพุทธภูมิขึ้นมาสักคนอย่างคุณหรือ หรือแค่สร้าง
    โสดาบันขึ้นมาสักคน

    ระหว่างสร้าง พุทธภูมิขึ้นมาสักคน กับ โสดาบัน สักคน อันไหนง่ายกว่า

    และระหว่างวิกฤติอย่างนี้ ที่พระอริยะนั้น มีไม่ถึง 100 คนในประเทศ เรา
    ควรทำวิธีไหนให้โสดาบันมีเยอะที่สุด วิธีกายคตา มโนยิทธิ หรือ สุขวิปัสสโก
    คุณลองตอบผมหน่อยสิว่าอันไหนลัดสั้น อันไหนเนิ่นช้า ซึ่งเราพูดเรื่องมิติเวลา
    กับสถานการณ์ ไม่ได้พูดว่าอะไรดีไม่ดี และก็ไม่ได้พูดเรื่องการสร้างพุทธภูมิ
    แต่เรากำลังเน้นไปที่ อริยะสาวก คุณคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ ว่าการให้มีโสดาบันมาก
    เร็วๆ มาก และ เร็ว เท่าไหร่ยิ่งดี ยิ่งมีประโยชน์ต่อยุคนี้

    แล้วถ้ามีโสดาบันแล้ว ที่นี้ก็มีแต่สัมมาทิฏฐิ แล้วท่านเหล่านั้นจะมีอิทธิบาท 4
    เอาไปฝึกทางไหนสักทาง ก็ยังสามารถ เป็นโสดาบันแล้ว ไปศึกษามโนยิทธิก็
    สามารถ และทำให้การศึกษามโนยิทธิยิ่งเจริญไม่ต้องสงสัย

    คุณเข้าใจไหมว่า เราพลักดันเพื่ออะไร เพื่อใคร ไม่ใช่เพื่อเรา แต่พุทธะทั้งผอง

    เราเองก็เป็นหนึ่งในผู้ปราถนาพุทธภูมิ หนทางทั้งหมดก็อยู่ในขั้นตอนการฝึกฝน
    เราฝึกทุกทาง หยั่งไปทุกด้าน ไม่ใช่ด้านใดด้านเดียว สมาธิก็ฝึกแล้วส่วนหนึ่ง
    สุขวิปัสสโก ก็ฝึกแล้วส่วนมาก และ เตวิชโช ก็กำลังฝึกฝน สำนักแปลกๆนอกศาสนา
    ก็พยายามหามาศึกษา มาน้อมทำความเข้าใจ เรียกว่าหยั่งไปทุกอินทรีย์
    และพยายามศึกษาด้วยตัวเองทั้งหมด ไม่ต้องมีครูสอน ไม่ต้องมีครูมาสั่ง
    ทั้งหมดเพื่อปฏิสัมภิทาญาณ แต่การฝึกแบบนี้ก็อย่างที่คุณทราบ เราจะไม่ได้สำเร็จใน
    อายุขัยนี้ แต่หากอีกหลายอสงไขย ต้องลงนรกก็เป็นเรื่องธรรมดา คุณจะสาปส่งเรา
    ก็ตามใจ เจตนาคุณคุณสร้างขึ้นแค่ไหนกรรมก็ตอบกลับไปเท่านั้น เราไม่เกี่ยวเลย
    คุณสร้างของคุณเอง ปรุงภพด้วยทิฏฐิของคุณเอง

    แต่เราฝึกมาทุกด้าน ศึกษาวิธีปฏิบัติของทุกสำนัก โดยไม่แบ่ง ไม่เอียง แต่การ
    ศึกษาก็ส่วนการศึกษา แต่ตอนนี้คือปัญหา พระพุทธศาสนาของไทยเราเปลี่ยน
    ไปมาก แต่ละสำนักมีน้อยที่ที่จะสอนให้คนได้บรรลุมรรคผล เพื่อโสดาบัน สำนัก
    ไหนเน้นสอนโยคาวจร ให้เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ฝึกกันไป แต่สายมโนยิทธิ
    ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เราก็เห็นว่าท่านสั่งสอนไว้ชัดเจน ให้ถึงโสดาบันก่อน
    ซึ่งถือเป็นอันรอดจากอบาย ถ้าโสดาบันไม่ได้ ก็ช่วยเขาน้อมให้เขาระลึกบุญให้ได้
    ให้ไปสววรค์ นี้ เขาจะได้ประโยชน์ ไม่ตกอบายไปเสียก่อน นี่ น่าสรรเสริญ และ
    ยังเป็นแนวเดียวกันที่เรากระทำ คือ สร้างโสดาบันเสียก่อน แล้วค่อยฝึกแต่ละสายก็ไม่สาย

    คุณว่าเราสงเสริมผิดหรือ เรามีความคิดไม่ถูกต้องหรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2008
  9. หูกาง

    หูกาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    4,330
    ค่าพลัง:
    +5,449
    มีคำถามครับ ?

    ทำไมพระคำข้าวและพระหางหมากแต่ละองค์จึงมีสีไม่เหมือนกันครับ

    อนุโมทนาสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...