เรื่องเด่น แม้ใจมีแต่ให้..แต่อยู่ในโลก..ต้องกระทบทั้งรักและชัง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 4 มกราคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    a.jpg


    ?temp_hash=4914ef33f41b596f573a37dc9e8eef96.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2019
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ......ผู้บำเพ็ญ เพื่อเดินทางไปสู่มรรคปฏิปทา ที่ไม่หวั่น ไม่ไหว ไปตาม รัก-ชัง........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2019
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467


    ณ พระเชตุวันมหาวิหาร อันร่มรื่นอุดมไปด้วยป่าไผ่

    มีนางภิกษุณีรูปหนึ่ง เป็นบุตรสาวของตระกูลหนึ่งในนครสาวัตถี เห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาส แล้วออกบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าศรีศากยมุนี ไปฟังธรรมพร้อมด้วยหมู่นางภิกุษุณี

    ได้เห็นพระพุทธเจ้าทรงมีรูปโฉมอันงดงาม ทรงประทับอยู่เหนือธรรมมาสน์ กำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนา

    นางภิกษุณีจากสาวัตถีคิดว่า เมื่อเราได้เวียนว่ายตายเกิดในภพชาติ ได้เคยเป็นภรรยา ของมหาบุรุษผู้นี้หรือไม่ ในทันใดนั้น นางภิกษุณีก็ระลึกชาติได้ว่า เคยเป็นอนุภรรยาของมหาบุรุษนี้ในคราวที่พระองค์ทรงเป็นพญาช้างฉัททันต์
    เมื่อนางภิกษุณีระลึกได้อย่างนั้น จึงหัวเราะเสียงดังด้วยความสุขดีใจเป็นอย่างมาก นางภิกษุณีคิดต่อว่า อันอนุภรรยาภายใต้การดูแลของบุรุษโดยส่วนมากจะมุ่งแต่ประโยชน์ตนเป็นใหญ่ ตามประสาผู้มีน้อย จึงยอมเป็นอนุภรรยา ย่อมอยากครอบครองประโยชน์สุขมาก ย่อมมุ่งแต่ประโยชน์ตนและครอบครัวเดิมของตนไว้ก่อน อนุภรรยาที่มุ่งประโยชน์ต่อสามีผู้ดูแลตนนั้นมีน้อยมาก นางภิกษุณีจึงได้สงสัยว่า เรานี้มีนิสัยมุ่งต่อประโยชน์มหาบุรุษผู้นี้หรือไม่ พอนางภิกษุณีคิดดังนี้ ก็ระลึกได้ต่ออีกว่า ที่จริงแล้ว นางได้กระทำความผิดต่อมหาบุรูษผู้นี้ไว้มาก ผูกแค้นพยาบาทน้อยใจที่สามีไม่ดูแล ไม่รักลำเอียง จ้างนายพรานโสณดรให้เอาลูกศรอาบยาพิษยิงพญาช้างฉัททันต์ สามีในอดีตตาย เมื่อคราวเกิดเป็นพระมเหสี พอนางภิกษุณีระลึกต่อได้อย่างนี้ ก็เศร้าโศก ร้องไห้เสียงดัง
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นแล้วก็ทรงแย้มสรวล หมู่ภิกษุที่นั่งแวดล้อมฟังพระธรรมเทศนาเห็นดังนั้น จึงทูลถามพระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หมู่ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยว่า เหตุใดพระองค์จึงทรงแย้มสรวล พะย่ะค่ะ พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย นางภิกษุณีผู้นี้ระลึกชาติที่เคยเป็นอนุภรรยาภายใต้การดูแลของเราได้ จึงหัวเราะ แล้วระลึกถึงความผิดที่เคยทำต่อเรา ในชาติก่อนได้ เลยร้องไห้ แล้วทรงแสดงฉัททันต์ชาดก คราวที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นพญาช้างฉัททันต์
    เมื่ออดีตกาล มีฝูงช้างป่าประมาณ 8000 เชือก อาศัยอยู่บริเวณสระฉัททันต์ในป่าหิมพานต์ มีฤทธิ์เหาะได้ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกของช้างจ่าโขลง เป็นช้างผิวขาวเผือก พอเติบโตเต็มที่ สูง 88 ศอก ยาว 120 ศอก มีงวงดังพวงเงินด้วยผิวกายขาวยาวถึง 58 ศอก งาทั้งคู่ แต่ละข้างวัดโดยรอบที่ฐานได้ถึง 15 ศอก ยาว 30 ศอก มีรัศมีเปล่งประกายออกมาถึง 6 สี
    เมื่อโตเต็มที่พญาช้างฉัททันต์ได้เป็นจ่าโขลง ปกครองช้างทั้ง 8000 เชือก มีจิตศรัทธาบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 500 องค์ อัครมเหสีของพญาช้างฉัททันต์มี 2 เชือก คือ จุลลสุภัททา และมหาสุภัททา ร่วมปกครองเหล่าช้างทั้งหมด รอบสระฉัททันต์ที่กว้างใหญ่ ไม่มีสาหร่าย จอกแหน หรือ เปลือกตม น้ำใสดังแก้วมณี มีต้นจงกลนีขึ้นปกคลุมล้อมรอบ มีกอบัวหลากหลายพันธุ์ มีทุ่งข้าวสาลีแดงป่าขึ้นโดยรอบ แผ่ปกคลุมโดยรอบไปไกลถึง 16 กิโลเมตร ถัดจากทุ่งข้าวสาลีแดงป่า มีกอตะไคร่น้ำขึ้นสสับกับหมู่ดอกไม้หลากสีสันนานาพันธุ์ ส่งกลิ่นหอมฟุ่งกระจายไปทั่วป่า ถัดจากป่าดอกไม้ ก็มีป่าแตงโม ฟักทอง น้ำเต้า ป่าอ้อยที่มีขนาดลำต้นเท่าต้นหมาก ถัดจากป่าอ้อยมีป่ากล้วยที่มีผลโตเท่างาช้าง ถัดจากป่ากล้วยก็มีป่าไม้รัง ป่าขนุนหนัง ที่มีผลโตขนาดเท่าตุ่ม ถัดจากป่าขนุนหนัง ก็มีป่าขนุนสำมะลอ ที่มีผลอร่อย ถัดจากป่าขนุนสำมะลอ ก็มีป่ามะขวิด มีพันธ์ไม้ปะปนกันมากมาย ถัดไปก็เป็นป่าไผ่รอบล้อม ภูเขาล้อมรอบป่าไผ่อีกถึง 7 เขา ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดเขาสุวรรณปัสส มีต้นไทรใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขากว้างไกลออกโดยรอบไกลถึง 192 กิโลเมตร อีกด้านหนึ่งถ้ำใหญ่ ที่พญาช้างฉัททันต์ มหาสุภัททา จุลลสุภัททาและเหล่าช้างบริวารทั้ง 8000 เชือกสามารถหลบฝนได้
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    เมื่อถึงคราวหน้าไม้รังออกดอกบานสะพรั่ง พญาช้างฉัททันต์ชวนมเหสีทั้งสองพร้อมเหล่าบริวารไปเล่นชมดอกไม้รัง พญาช้างฉัททันต์เอากระพอง(ส่วนนูนเป็นปุ่ม 2 ข้างศีรษะช้าง)ชนไม้รังต้นหนึ่งที่มีออกดอกสพรั่ง กิ่งไม้ร้งแห้งที่มีใบไม้รังเก่า ๆ มีมดแดง ตกใส่ร่างช้างจุลลสุภัททาที่อยู่เหนือลม มดแดงก็กัดนางช้าง แต่นางช้างมหาสุภัททายืนอยู่ใต้ลม เกสรดอกไม้และใบสด ๆ ก็ตกใส่ นางช้างจุลลสุภัททาคิดว่า พญาช้างสามีนี้รักใคร่โปรดปรานนางช้างมหาสุภัททาเท่านั้น จึงทำให้เกสรดอกไม้ตกใส่แต่นาง แต่รังเกียจเรา ทำให้ใบไม้แห้ง และมดแดงตกใส่เรา เราจะแก้แค้นให้สมกับที่ทำเราไว้
    ต่อมา พญาช้างฉัททันต์เดินลงสระฉัททันต์เพื่ออาบน้ำ มีช้างหนุ่ม 2 เชือกใช้งวงกำหญ้าไทรมาให้พญาช้างขัดกาย พออาบน้ำเสร็จจึงให้นางช้างมเหสีทั้งสองลงอาบพร้อมกัน พอนางช้างอาบเสร็จ ก็ขึ้นมายืนเคียงข้างพญาช้างฉัททันต์ที่ยืนรออยู่บนฝั่ง แล้วช้างทั้ง 8000 เชือกก็ลงอาบ เล่นน้ำกัน นำดอกไม้นานาชนิดจากสระมาประดับตกแต่งพญาช้าง แล้วประดับนางช้างทั้งสอง แต่มีช้างเชือกหนึ่งอาบน้ำเที่ยวเล่นไปในสระ พบดอกปทุมใหญ่มีกลีบ 7 ชั้น จึงนำมาให้พญาช้างฉัททันต์ พญาช้างรับแล้วก็โปรยเกสรลงที่กระพองตนเองแล้วยื่นดอกปทุมใหญ่ให้นางช้างมหาสุภัททา อัครมเหสีใหญ่ นางช้างจุลลสภัททาเห็นแล้วคิดน้อยใจว่า พญาช้างนี้ให้ดอกปทุมใหญ่ที่มีกลีบ 7 ชั้นแต่ภรรยาที่รักโปรดปรานแต่ตัวเดียว ส่วนเราไม่ให้ จึงคิดผูกเวรกับพญาช้างอีก


    อยู่มาวันหนึ่ง พญาช้างฉัททันต์ปรุงผลมะซาง เผือก มันด้วยน้ำผึ้งถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 500 องค์


    นางช้างจุลลสุภัททาได้ถวายผลไม้ที่ตนหาได้แด่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 500 องค์


    แล้วตั้งความปรารถนาในผลแห่งทานนี้ว่า “ ข้าแต่เหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เจริญ ถ้าข้าพเจ้าตายแล้ว ขอให้เกิดเป็นธิดาในตระกูลมัททราช มีนามว่า สุภัททาราชกัญญา พอเจริญวัยโตเป็นสาวแล้ว ขอให้ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระองค์ จนสามารถทำอะไรก็ได้ตามชอบใจ สามารถทูลพระองค์ให้ทรงใช้นายพรานคนหนึ่งมายิงพญาช้างฉัททันต์ตายด้วยลูกศรอาบยาพิษ และให้นำงาทั้งคู่อันเปล่งประกายด้วยรัศมี 6 สีมาได้ด้วย “


     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    หลังจากนั้น นางช้างจุลลสุภัททาก็ไม่กินอาหารและน้ำเลย จนร่างกายซูบผอมลง ไม่นานก็ตายแล้วไปเกิดในครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชาแห่งแคว้นมัททราช พอประสูติ มีพระนามว่า สุภัททาราชกัญญากุมารี พระชนกชนนีพาไปถวายแด่พระเจ้าพาราณสีตั้งแต่ยังเด็ก สุภัททาราชกัญญากุมารีเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าพาราณสีอย่างมาก พอโตขึ้นก็ได้เป็นอัครมเหสีปกครองนางสนมทั้งหมื่นหกพันนาง ต่อมาพระนางสุภัททราชกัญญาระลึกชาติที่เคยเป็นนางช้างจุลลสุภัททาได้ พระนางยังทรงมีจิตคิดผูกเวรกับพญาช้างฉัททันต์อดีตสามีอยู่ ทรงดำริว่า ความปรารถนาของเราจะสำเร็จแล้ว ในคราวนี้ที่เราเป็นอัครมเหสีแห่งพระเจ้าพาราณสีนี้ เราจะเอางาทั้งคู่อันเป็นที่รักยิ่งของพญาช้างมา
    ด้วยมารยาแห่งหญิง พระนางก็ทรงแสร้งประชวร มีพระอาการเป็นไข้ เอาน้ำมันทาตัว ทรงผ้าที่ให้เศร้าหมอง ทรงแสดงกิริยาให้น่าสังเวชยิ่งนัก เสด็จเข้าสู่ห้องสิริยาสน์ บรรทมเหนือพระแท่นน้อย
    พระเจ้าพาราณสีเมื่อทรงไม่ทอดพระเนตรเห็นพระนางสุภัททาราชกัญญา จึงตรัสถามมหาดเล็กว่า พระนางสุภัททาไปไหน พอทรงทราบว่า ประชวร จึงเสด็จเข้าไปยังที่ประทับของพระนาง ทรงลูบคลำปฤษฎางค์(หลัง)ของพระนาง แล้วตรัสว่า
    “ ดูก่อนพระน้องนาง ผู้มีพระสรีระอร่ามงามดังทอง มีผิวพรรณผ่องเหลืองเรืองรอง พระเนตรทั้งสองแจ่มใส. เหตุไรหนอ พระน้องจึงดูเศร้าโศก ซูบไป ดุจดอกไม้ที่ถูกขยี้ ฉะนั้น “


    พระนางทรงสดับแล้วตรัสตอบว่า “ ข้าแต่มหาราชเจ้า หม่อมฉันแพ้พระครรภ์ โดยการแพ้พระครรภ์ เป็นเหตุให้หม่อมฉันฝันเห็นสิ่งที่หาไม่ได้ง่าย. “
    เมื่อพระนางกราบทูลเช่นนี้พระเจ้าพาราณสีเข้าใจโดยทันทีว่า อัครมเสีของพระองค์ทรงแพ้พระครรภ์ อยากได้ในสิ่งที่หาได้ยาก แม้นไม่ได้ ก็คงเศร้าหมองอย่างนี้ จนอาจไม่มีชีวิตที่เป็นสุขได้ แต่ใจพระนางนั้นคงถึงขั้นไม่มีชิวิตอยู่ได้ ด้วยความรักใคร่ในมเหสียิ่งนัก พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสว่า
    .
    “ กามสมบัติของมนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ และในสวนนันทนวัน กามสมบัติทั้งหมดนั้น เป็นของเราทั้งสิ้น เราหาให้เธอได้ทั้งนั้น. “


    พระนางจึงทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ความแพ้ท้องของหม่อมฉันแก้ได้ยาก หม่อมฉันจะไม่ทูลให้ทราบก่อนในบัดนี้ ก็ในแว่นแคว้นของทูลกระหม่อม มีพรานป่าอยู่จำนวนเท่าใด ได้โปรดให้มาประชุมกันทั้งหมดเถิดพะย่ะค่ะ กระหม่อมฉันจักทูลให้ทรงทราบ ในท่ามกลางพรานป่าเหล่านั้น. แล้วตรัสว่า
    “ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นายพรานป่าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในแว่นแคว้นของพระองค์ จงมาประชุมพร้อมกัน. หม่อมฉันจะแจ้งเหตุที่แพ้พระครรภ์ของหม่อมฉัน ให้นายพรานป่าเหล่านั้นทราบ. "
    พระเจ้าพาราณสีตรัสรับคำ แล้วเสด็จออกจากห้องบรรทม ตรัสสั่งหมู่อำมาตย์ว่า ขอท่านจงตีกลองประกาศเรียกนายพรานป่าทั้งหลาย ที่อยู่ในเขตกาสิกรัฐอันมีอาณาเขตสามร้อยโยชน์( 1 โยชน์ คือ 16 กิโลเมตร ) มาประชุมกัน
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ไม่นานหลังจากอำมาตย์ทำตามพระราชโองการแล้ว นายพรานป่าประมาณหกหมื่นคนทั้งแคว้นกาสีต่างก็มาเฝ้าถวายบรรณาการตามแต่จะหามาได้กัน เมื่อพระเจ้าพาราณสีทรงทราบเหล่านายพรานมาพร้อมกันแล้ว จึงประทับยืนอยู่ที่พระบัญชร แล้วชี้พระหัตถ์ตรัสบอกพระนางสุภัททาว่า
    “ ดูก่อนเทวี นายพรานป่าเหล่านี้ ล้วนแต่มีฝีมือเป็นคนแกล้วกล้า ชำนาญป่า รู้จักชนิดของเนื้อ ยอมสละชีวิตเพื่อประโยชน์ของเราได้. “
    พระนางสุภัททาราชกัญญาทรงสดับดังนั้นตรัสเรียกพวกนายพรานแล้ว ตรัสว่า
    “ ท่านทั้งหลาย ผู้เป็นเชื้อแถวของนายพราน ที่มาพร้อมกันอยู่ ณ ที่นี้ จงฟังเรา เราฝันเห็นช้างเผือกผ่อง งามีรัศมี ๖ ประการ ฉันต้องการงาช้างคู่นั้น เมื่อไม่ได้ชีวิตก็เห็นจะหาไม่. “


    พระนางสุภัททาราชกัญญาทรงสดับดังนั้นตรัสเรียกพวกนายพรานแล้วทรงมีพระราชดำรัสว่า
    “ ท่านทั้งหลาย ผู้เป็นเชื้อแถวของนายพราน ที่มาพร้อมกันอยู่ ณ ที่นี้ จงฟังเรา เราฝันเห็นช้างเผือกผ่อง งามีรัศมี ๖ ประการ ฉันต้องการงาช้างคู่นั้น เมื่อไม่ได้ชีวิตก็เห็นจะหาไม่. “
    เหล่าพรานป่าได้ฟังพระเสาวนีย์เช่นนั้น จึงพากันกราบทูลว่า
    “ บิดาหรือปู่ทวด ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็ยังไม่เคยได้เห็น ทั้งยังไม่เคยได้ยินว่า พญาช้างที่มีงามีรัศมี ๖ ประการ. พระนางเจ้าทรงนิมิตเห็นพญาช้างมีลักษณะเช่นไร ขอได้ตรัสบอกพญาช้างที่มีลักษณะเช่นนั้น แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า. “
    (พวกนายพรานไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นพญาช้างฉัททันต์มาก่อนเลย จึงไม่ทราบลักษณะรูปร่าง จึงกราบทูลถามลักษณะของเศวตกุญชรที่งามีรัศมี ๖ ประการ)
    เหล่าพรานไพรถามต่อว่า
    “ ทิศใหญ่ ๔ ทิศน้อย ๔ เบื้องบน ๑ เบื้องล่าง ๑ ทิศทั้ง ๑๐ นี้. พระองค์ทรงนิมิตเห็นพญาช้าง ซึ่งมีงามีรัศมี ๖ ประการ อยู่ทิศไหน พระเจ้าข้า. “


    เมื่อพวกพรานทูลถามอย่างนี้แล้ว พระนางสุภัททาราชเทวีจึงทรงพินิจดูพรานป่าทั้งหมด ทรงทอดพระเนตรเห็นพรานป่าคนหนึ่ง ชื่อโสณุดร ทรงทราบด้วยญาณระลึกชาติได้ว่า เป็นคู่กรรมตามจองเวรพญาช้างฉัททันต์อยู่ รูปร่างแสดงความเป็นพรานป่าเยี่ยมกว่าทุกคน รูปทรงสัณฐานชั่วเห็นแจ้งชัด เช่น มีเท้าใหญ่ แข้งเป็นปมดังก้อนภัตต์ เข่าโต สีข้างใหญ่ หนวดดก เคราแดง ตาเหลือง จึงทรงดำริว่า ผู้นี้จักสามารถทำตามคำของเราได้. แล้วกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตพระเจ้าพาราณสี ทรงเสด็จดำเนินนำพรานโสณุดรขึ้นไปยังพื้นปราสาทชั้นที่เจ็ด ทรงเปิดสีหบัญชรด้านทิศเหนือ แล้วเหยียดพระหัตถ์ ชี้ตรงไปยังป่าหิมพานต์ด้านทิศเหนือ ตรัสว่า
    “ จากที่นี้ตรงไปทิศอุดร ข้ามภูเขาสูงใหญ่ ๗ ลูก เขาลูกสูงที่สุดชื่อ สุวรรณปัสสคิรี มีพรรณไม้ผลิดอกออกบานสะพรั่ง มีฝูงกินนรเที่ยวสัญจรไปมาไม่ขาด. “
    “ ท่านจงขึ้นไปบนภูเขา อันเป็นที่อยู่แห่งหมู่กินนร แล้วมองลงมาตามเชิงเขา. ทันใดนั้น จะได้เห็นต้นไทรใหญ่ สีเสมอเหมือนสีเมฆ มีย่านไทร ๘,๐๐๐ ห้อยย้อย. ใต้ต้นไทรนั้น พญาเศวตกุญชรตัวมีงามีรัศมี ๖ ประการอยู่อาศัย ยากที่ใครอื่นจะข่มขี่จับได้. “
    “ ช้างประมาณ ๘,๐๐๐ มีงาเท่างอนไถ วิ่งไล่เร็วปานลมพัด พากันแวดล้อมรักษาพญาเศวตกุญชรนั้นอยู่ ช้างเหล่านั้นย่อมบันลือเสียงน่าหวาดกลัว. โกรธแม้แต่ลมที่พัดถูกตัว ถ้าเห็นมนุษย์ ณ ที่นั้นเป็นต้องขยี้เสียให้เป็นภัสมธุลี แม้แต่ละอองก็ไม่ให้ถูกต้องพญาช้างได้เลย. “

     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    นายพรานโสณุดรฟังพระเสาวนีย์แล้ว หวาดกลัวต่อมรณภัยยิ่งนัก กราบทูลว่า
    “ ข้าแต่พระราชเทวี เครื่องอาภรณ์ที่แล้วไปด้วยเงิน แก้วมุกดา แก้วมณี และแก้วไพฑูรย์ มีอยู่ในราชสกุลมากมาย. เหตุไร พระแม่เจ้าจึงทรงประสงค์เอางาช้างมาทำเป็นเครื่องประดับเล่า. "
    " พระแม่เจ้าทรงปรารถนาจะให้ฆ่าพญาช้าง ซึ่งมีงามีรัศมี ๖ ประการเสีย หรือว่าจะให้พญาช้างฆ่าพวกเชื้อแถวของนายพราน เสียกระมัง. “
    พระนางสุภัททาทวีตรัสคาถา ความว่า
    “ ดูก่อนนายพราน เรามีทั้งความริษยา ทั้งความน้อยใจ เพราะนึกถึงความหลังเข้า ก็ตรอมใจ ขอท่านจงทำตามความประสงค์ของเรา เราจักให้บ้านส่วยแก่ท่าน ๕ ตำบล. “


    เมื่อพระนางสุภัททาเทวีตรัสบอกความในพระทัยอย่างนี้แล้ว ตรัสปลอบโยนนายพรานโสณุดรให้คลายหวาดกลัวและมีความมั่นใจว่า สหายพรานเอ๋ย ในชาติก่อน เราได้ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขอให้เราเป็นคนสามารถ ที่จะให้ฆ่าพญาช้างฉัททันต์เชือกนี้ เอางาทั้งคู่มาให้ได้. ใช่ว่า ฉันจะฝันเห็นก็หามิได้. ความปรารถนาที่ฉันตั้งไว้ต้องสำเร็จ เจ้าไปเถิด อย่ากลัวเลย.
    เมื่อนายพรานโสณุดรมั่นใจว่าการนี้จะสำเร็จ จึงรับปฏิบัติตามพระเสาวนีย์ของพระนางว่า ตกลงพระแม่เจ้า. แล้วทูลว่า ถ้าเช่นนั้น พระแม่เจ้า โปรดชี้แจงที่อยู่ของพญาช้างฉัททันต์นั้นให้แจ่มแจ้ง แล้วจึงทูลถามต่อว่า
    “ พญาช้างนั้นอยู่ที่ตรงไหน เข้าไปยืนอยู่ที่ไหน ทางไหนเป็นทางที่พญาช้างไปอาบน้ำ อนึ่ง พญาช้างนั้นอาบน้ำอย่างไร ทำไฉนข้าพระพุทธเจ้าจึงจะรู้คติของพญาช้างได้. “
    (หมายเหตุ : คติ คือ ที่ไป)
    ด้วยพระญาณที่ระลึกชาติได้ พระนางสุภัททาจึงตรัสบอกได้อย่างละเอียดว่า
    “ ในที่ๆ พญาช้างอยู่นั้น มีสระอยู่ใกล้ๆ น่ารื่นรมย์ มีท่าราบเรียบ ทั้งน้ำก็มาก สะพรั่งไปด้วยพรรณไม้ดอก มีหมู่ภมรมาคลึงเคล้า พญาช้างลงอาบน้ำในสระนี้แหละ. “

    “ พญาช้างชำระศีรษะแล้ว ทัดทรงมาลัยอุบล มีร่างเผือกผ่องขาว ราวกะดอกบุณฑริก บันเทิงใจ. ให้มเหสีชื่อว่าสัพพภัททา เดินหน้า ดำเนินไปยังที่อยู่ของตน. “


    นายพรานโสณุดรฟังพระเสาวนีย์แล้ว ทูลรับสนองว่า ดีละ พระแม่เจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักฆ่าช้างนั้นนำเอางามาถวาย.
    พระนางสุภัททาราชกัญญาทรงชื่นชมนายพรานโสณดร แล้วทรงยินดีประทานทรัพย์แก่เขาพันหนึ่งเป็นรางวัลเบื้องต้นก่อน แล้วรับสั่งว่า เจ้ากลับไปเรือนก่อนเถิด อีกเจ็ดวันจึงค่อยมาหาฉัน แล้วไปที่นั่น.
    เมื่อส่งนายพรานป่าไปแล้ว รับสั่งให้ช่างเหล็กมาเฝ้า ทรงบัญชาว่า พ่อคุณ ฉันต้องการมีดพับ ขวาน จอบ สิ่ว ค้อน มีดตัดพุ่มไผ่ เคียวเกี่ยวหญ้า มีดดาบ ท่อนโลหะแหลม เลื่อย และหลักเหล็กสามง่าม พ่อจงรีบทำของทั้งหมดมาให้ฉัน. แล้วรับสั่งให้ช่างหนังมาเฝ้า ทรงบัญชาว่า พ่อคุณ พ่อควรจะจัดทำกระสอบหนัง สำหรับใส่สัมภาระ หนักประมาณหนึ่งกุมภะ ให้เรา. เราต้องการเชือกหนัง สายรัด ถุงมือ รองเท้า และร่มหนัง. พ่อจงช่วยทำของทั้งหมดนี้ มาให้เราด่วนด้วย.
    ช่างทั้งสองรับพระบัญชาแล้วก็รีบทำของทั้งหมดจนเสร็จ แล้วนำมาถวายแด่พระนางสุภัททาเทวี



    พระนางสุภัททาเทวีทรงตระเตรียมเสบียงให้นายพรานโสณุดร ตั้งแต่ไม้สีไฟ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นทั้งหมด บรรจุเครื่องอุปกรณ์ทุกอย่างและเสบียง เช่น สัตตุก้อน ใส่ลงในกระสอบหนัง เครื่องอุปกรณ์และเสบียงทั้งหมดนั้นหนักประมาณกุมภะหนึ่ง.
    ฝ่ายนายพรานโสณุดรนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว เมื่อครบกำหนดเจ็ดวัน ก็มาเฝ้าถวายบังคมพระนางสุภัททาราชเทวี. พระนางรับสั่งกับนายพรานว่า เครื่องอุปกรณ์ทุกอย่างของเจ้าสำเร็จแล้ว เจ้าจงลองยกกระสอบนี้ดูก่อน.
    นายพรานโสณุดรนั้นเป็นคนมีพละกำลังมากดังช้างสารห้าเชือก จึงสามารถยกกระสอบได้ง่ายมาก คล้ายดังยกกระสอบพลูแล้วสะพายบ่า ยืนเฉยดุจยืนมือเปล่า. พระนางสุภัททาจึงประทานข้าวของแก่พวกลูกๆ ของนายพราน แล้วกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ จัดส่งนายพรานโสณุดรไป.



    นายพรานป่าโสณุดรขึ้นราชรถที่จัดเตรียมรอไว้ ออกเดินทางจากพระนคร มีฝูงชนต่างมุ่งดูนายพรานป่านั่งราชรถวิ่งผ่านไป ผ่านย่านหมู่บ้าน นิคมต่าง ๆ ชนบทใกล้เขตป่า เดินเท้าต่อเข้าไปอีกผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ในป่า เข้าป่าลึกไปอีกจนสุดเขตแดนที่คนไปตั้งบ้านเรือนอยุ่ เป็นระยะทาง 30 โยชน์ ก็ถึงป่ารกชัฏ 18 แห่ง มีป่าหญ้าแพรก ป่าเลา ป่าหญ้า ป่าแขม ป่าไม้มีแก่น ป่าไม้มีเปลือก 6 แห่ง เป็นที่รกชัฏเต็มไปด้วยพุ่มหนาม ป่าหวาย ป่าไม้เบญจพรรณเขตร้อน ป่าไม้อ้อ ป่าทึบซึ่งแม้นงูก็เลี้อยเข้าไปได้ยาก ป่าไผ่ ที่ขึ้นเต็มไปหมดจนนายพรานป่าต้องตัดไม้ทำพองพาดขึ้นไป แล้วตัดยอดไผ่ให้ตกลงเป็นพุ่มแล้วไต่เดินทรงตัวบนยอดพุ่มไม้ที่ทำนั้น ราวกับเดินบนยอดไม้ได้ยังกระรอก
    ป่าที่เต็มไปด้วยเปลือกตมล้วน ๆ ก็ต้องตัดไม้เลียบแห้ง ๆ เป็นท่อน ๆ วางผาดเดินแล้วยกท่อนที่เดินผ่านมาวางผาดเดินต่อไป ราวกับเดินบนโคลนโดยไม่จมได้ยังแมลงน้ำ
    ป่าพรุน้ำล้วน ๆ ก็ต้องต่อเรือโกลนข้ามไป ก็ถึงเชิงผา ก็ต้องเอาเชือกผูกเหล็กสามง่าม ขว้างขึ้นไปให้ติดตามร่องหรือก้อนหินที่มั่นคง แล้วโหนตัว ปีนหน้าผาขึ้นไป พอปีนขึ้นถึงยอดเขาได้ ก็เหวี่ยงเชือกหนังที่มีตาขอลงไปเกี่ยวก้อนหิน ยึดเชือกหนังลงมาผูกที่หลักข้างล่าง แล้วโรยตัวลงไป พอถึงแล้วกระตุกหลักให้หลุด ทำคล้ายแมงมุมชักใยลอยไป




    บางคราวเมื่อขึ้นถึงยอดเข้าได้แล้ว ทางลงลำบากมาก ลมแรงจัด นายพรานป่าก็ต้องใช้เชือกหนังผู้กระสอบหนังพันกระสอบ แล้วใช้เหล็กสามง่ามผูกเชือกเหวี่ยงไปคล้องอีกยอดเขาหนึ่ง เชือกหนังคล้องเชือกที่เหวี่ยงไป แล้วตนเองนั่งในกระสอบโรยตัวสาวไปจนถึงอีกยอดหนึ่ง เหมือนดังนกถลาปีกโฉบลงมา



    นายพรานป่าโสณุดรต้องข้ามเขาถึง 6 ลูก จนมาถึงเขาลูกที่ 7 ชื่อ สุวรรปัสสะอันสูงเด่น ขึ้นเขาลูกนี้จนถึงยอด ซึ่งเป็นที่อยู่ของกินนร ยืนสะพายแล่งคันศรและธนูใหญ่มองลงมายังเชิงเขาอีกด้าน เห็นต้นไทรใหญ่สีเขียว มีย่านไทรห้อยย้อยมากมาย มองไปรอบ ๆ ดุจสัตว์ร้ายที่กำลังหาเหยื่อล่า ไม่ไกลจากตันไทรนัก




    ทันใดนั้นเอง..............................................



    ร่างของช้างเผือกขาวผ่อง สูงใหญ่ งาทั้งคู่มีรัศมีส่องประกาย 6 สี มีช้างประมาณ 8000 เชือก แต่ละเชือกมีงางามงอน ขนาดคันไถ วิ่งเร็วดุจลมพัด แวดล้อม พญาช้างเผือกนั้น ยากที่พรานผู้ใดจะจับได้ นี้คือการเห็นพญาช้างฉัททันต์ครั้งแรกของนายพรานป่าโสณุดร ก็รู้สึกถึงบารมีที่น่าเกรงขามแล้ว ความยากลำบากดังที่พระนางสุภัททาเทวีตรัสไว้แล้ว
    นายพรานป่าเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของพญาช้างฉัททันต์และฝูงโขลงช้างป่า ยืนมองไปรอบ ๆ เห็นท่าน้ำก็ราบเรียบ มีน้ำเต็ม พรรณไม้ดอกป่านานาชนิดนานาพันธ์ล้วนงดงามบานสะพรั่ง ต่างส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรไกล ยั่วยวนชวนหมู่ภมรเที่ยวลอยบินชม จนต้องลงมาเคล้าคลึงดอกไม้ ดูดน้ำหวานจากดอกไม้แล้วก็จากไป ธรรมชาติอันงดงามอย่างนี้ มิอาจทำให้ใจของนายพรานป่าอ่อนโยน มีเมตตาได้ ในใจคิดแต่หาวิธีจัดการฆ่าพญาช้างฉัททันต์ ราวกับเสือร้ายที่คอยซุ่มดักฝูงเหยื่อที่กล้าแข็ง การเผชิญหน้ากันระหว่างนายพรานป่ากับพญาช้างฉัททันต์ในป่านี้คงเกิดขึ้นแน่นอน แต่จะเมื่อไหร่


     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    นายพรานโสณุดรลอบสังเกตพฤติกรรมของพญาช้างนานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จึงทราบพฤติกรรมต่าง ๆ ว่า พญาช้างลงอาบน้ำที่ท่าน้ำไหน เมื่อไหร่ พักอยู่ที่ไหน เวลาไหนที่เข้าที่พักแล้วไม่มีบริวารทั้ง 8000 เชื่อกอยู่รอบกาย ใช้เวลาเตรียมสถานที่ ตัดไม้ ทำเสารอไว้ นายพรานโสณุดรต้องรอเวลาช่วงที่ตนสามารถเข้าไปเตรียมการฆ่าพญาช้างได้ตอนช่วงที่พญาช้างฉัททันต์และบริวารช้างไปอาบน้ำกันหมด จึงลอบเข้าไปขุดหลุมตำแหน่งที่พญาช้างพักเอาน้ำราด ปักเสาลงบนหิน ใส่ชื่อ ปูกระดานเลียบไว้ เจาะช่องขนาดคอลอดได้ แล้วโรยฝุ่น เกลี่ยขยะมูลฝอยพลางด้านบนปิดไว้ แล้วทำทางที่เข้าออกของตนได้ เมื่อหลุมเสร็จแล้ว เวลาใกล้รุ่งเช้า จึงคลุมศรีษะ นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์อย่างนักบวช ถือธนู พร้อมด้วยลูกศรอาบยาพิษ ลงไปในหลุมดักทำร้าย
    เมื่อพญาช้างฉัททันต์เข้าที่พัก นายพรานโสณุดรลอบยิงศรอาบยาพิษถูกพญาช้างเข้าที่นาภี(สะดือ)แล่นผ่านตัดอวัยวะน้อยใหญ่ สำไส้ ไตจนฉีกขาด ทะลุออกหลังพญาช้างยังมีแรงส่งลอยไปในอากาศได้อีก ปากแผลบริเวณหลังเหวอะหวะ คล้ายถูกคมขวานฟัน เลือดไหลออกทางปากแผลต่อเนื่อง ดังน้ำย้อมผ้าสีแดงไหลออกจาหม้อย้อม พญาช้างอดกลั้นเวทนาที่แรงไม่ได้ จึงส่งเสียงก้องสนั่นไปทั่วป่า ทำให้เหล่าช้างบริวารทั้งหมดทราบว่า พญาช้างมีภัย ต่างพากันวิ่งมายังที่พักของพญาช้าง


    เมื่อพญาช้างอดกลั้นเวทนาได้แล้ว ดูทิศทางที่ลูกศรพุ่งมา พิจารณาก็รู้ว่า จะต้องมาจากเบื้องล่างด้านหน้า จึงจะทะลุเข้าที่สะดือก่อน แล้วแล่นทะลุออกหลังด้านหาง ดังนั้นผู้ยิงเราต้องอยู่ใต้ดินด้านหน้าเรา พญาช้างเกรงว่า ภัยจะเกิดกับนางช้างมหาสุภัททาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พญาช้าง และทราบว่าเหล่าช้างบริวารต่างพากันได้ยินเสียงร้องของตน จะพากันวิ่งมา ทำให้เกิดเหตุวุ่นวายได้ จึงหันไปบอกนางช้างว่า
    “ น้องรัก ช้างทั้ง 8000 เชือกย่อมค้นหาศัตรูของพี่ ต่างพากันวิ่งไปตามทิศต่าง ๆ สัตว์ป่าในเขตนี้ย่อมเดือดร้อนกัน เจ้ามัวทำอะไรอยู่ที่นี้เล่า “
    นางช้างมหาสุภัททาตอบว่า “ ท่านพี่เจ้าขา ดิฉันยืนคอยพยาบาลปลอบใจท่านอยู่ ขอท่านพี่อดโทษแก่ดิฉันด้วยเถิด “ แล้วทำความเคารพเวียนขวา 3 รอบ แล้วเหาะไปในอากาศ



    เมื่อนางช้างมหาสุภัททาไปแล้ว พญาช้างก็เอาเล็บเท้ากระชุ่นพื้นดิน ทำให้แผ่นกระดานกระดกขึ้น พญาช้างฉัททันต์ก็มองเห็นนายพรานโสณุดรที่ลอบยิงตนพร้อมธนู ก็โกรธจัด จะฆ่านายพรานโสณุดร สอดงวงงามราวกะพวงเงินลงไปจับรัดนายพรานป่าขึ้นมา จึงเห็นนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ จึงเกิดสติ ศีลแห่งการไม่เบียดเบียนขึ้น สำนึกแห่งความดีอันยิ่งยวดที่สะสมจนเป็นบารมีธรรมในใจ จนเป็นอุปนิสัย สันดานของพระโพธิสัตว์ที่ผ่านการฝึกอบรมตน เพาะบ่มมานาน ย่อมไม่ทำกรรมอันหยาบช้านั้น ถึงแม้นตนจะถูกทำร้ายได้รับทุกขเวทนาอย่างหนักจนถึงแก่ชีวิตก็ตาม สามารถพิจารณาใคร่ครวญได้ว่า ธงชัยแห่งพระอรหันต์ ไม่ควรที่บัณฑิตจะทำลาย ควรแต่สักการะเคารพอย่างเดียวโดยแท้ จึงวางนายพรานป่าลงด้านหน้า

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2015
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    พระโพธิสัตว์พญาช้างฉัททันต์กล่าวเตือนนายพรานป่าโสณุดรว่า “ ผู้ใดยังไม่หมดกิเลส ปราศจากทมะและสัจจะ. ผู้นั้นไม่ควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ. ส่วนผู้ใดคลายกิเลสได้แล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีล ประกอบด้วยทมะและสัจจะ. ผู้นั้นแลควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ. “

    (หมายเหตุ :
    สัจจะ คือ ความจริง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง
    ทมะคือ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัด ดัดนิสัย แก้ไข้ข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา

    อ้างอิงจาก ฆราวาสธรรม 4 ใน พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    ความขยายจากอรรถกาจารย์
    คาถานั้นมีอธิบายดังนี้ สหายพรานเอ๋ย คนใดไม่ใช่คนหมดกิเลส ดุจน้ำฝาดมีราคะเป็นต้น ปราศจากการฝึกอินทรีย์ทั้งวจีสัจจะ คือไม่เข้าถึงคุณเหล่านั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อันย้อมแล้วด้วยน้ำฝาด คนนั้นไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์นั้นเลย คือไม่สมควรกับผ้านั้น ส่วนคนใดพึงชื่อว่า เป็นผู้ชำระกิเลสได้ เพราะคลายกิเลส ดุจน้ำฝาดเหล่านั้นเสียได้. บทว่า สีเลสุ สุสมาหิโต ความว่า บุคคลใดเป็นผู้มีศีลและอาจาระตั้งมั่นด้วยดีบริบูรณ์ บุคคลนั้นชื่อว่า ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะนี้.)




    ............................



    จากนั้นพญาช้างโพธิสัตว์ได้ถามว่า " พญาช้างถูกลูกศรใหญ่เสียบเข้าแล้ว ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย ได้ถามนายพรานว่า เพื่อนเอ๋ย ท่านประสงค์อะไร เพราะเหตุอะไร หรือว่าใครใช้ให้ท่านมาฆ่าเรา. "
    นายพรานโสณุดรตอบพญาช้างว่า
    “ ดูก่อนพญาช้างที่เจริญ นางสุภัททาพระมเหสีของพระเจ้ากาสิกราช อันประชาชนสักการะบูชา อยู่ในราชสกุล. พระนางได้ทรงนิมิตเห็นท่าน และได้โปรดให้ทำสักการะแก่ข้าพเจ้าแล้ว ตรัสบอกข้าพเจ้าว่า มีพระประสงค์งาทั้งคู่ของท่าน. “
    พญาช้างโพธิสัตว์ฟังก็ทราบว่านี้เป็นการกระทำของนางช้างจุลลสุภัททา อัครมเหสีองค์รองที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นพระนางสุภัททา ก็อดกลั้นเวทนาไว้ แล้วกล่าวว่า พระนางสุภัททานั้น ใช่จะต้องการงาทั้งสองของเราก็หามิได้ แต่เพราะประสงค์จะให้ท่านฆ่าเรา จึงได้ส่งท่านนายพรานป่ามา.
    พระโพธิสัตว์พญาช้างฉัททันต์กล่าวต่อว่า
    “ แท้จริง พระนางสุภัททาทรงทราบดีว่า งางามๆ แห่งบิดา และปู่ทวดของเรา มีอยู่เป็นอันมาก แต่พระนางเป็นคนพาล โกรธเคือง ผูกเวร ต้องการจะฆ่าเรา. “


    “ ดูก่อนนายพราน ท่านจงลุกขึ้นเถิด จงหยิบเลื่อยมาตัดงาคู่นี้เถิด ประเดี๋ยวเราจะตายเสียก่อน ท่านจงกราบทูลพระนางสุภัททาผู้ยังผูกโกรธว่า พญาช้างตายแล้ว เชิญพระนางรับงาคู่นี้ไว้เถิด. ”


    นายพรานโสณุดรลุกขึ้นจากที่นั่ง ถือเลื่อยเข้ามาใกล้ๆ พญาช้าง แต่พญาช้างฉัททันต์สูงใหญ่มาก ประมาณ 80 ศอก ไม่สามารถเอื้อมมือไปเลือยเอางาได้ จึงคิดว่า เราจะตัดเอางาไปได้อย่างไร ขณะนั้นเองพญาช้างฉัททันต์จึงย่อกายน้อม ก้มศรีษะลง ให้นายพรานป่าเหยียบงวงพวงเงินนั้นขึ้นไปยืนอยู่บนกระพอง แล้วเข่ากระตุ้นเนื้อซึ่งย้อยอยู่ที่ปาก ยัดเข้าข้างใน ลงจากกระพอง แล้วสอดเลื่อยเข้าไปในปาก นายพรานป่าใช้สองมือเลื่อยเอางาอย่างทะมัดทะแมง พระโพธิสัตว์พญาช้างฉัททันต์ได้รับความเจ็บปวดทางกายอย่างมาก เลือดไหลออกเต็มปาก นายพรานโสณุดรเลื่อยไปมาอยู่สักพัก ก็ไม่สามารถเลื่อยงาให้ขาดได้
    พระโพธิสัตว์พญาช้างฉัททันต์จึงบ้วนเลือดออกจากปาก อดกลั้นทุกขเวทนาทางใจได้ แล้วถามว่า " สหายเอ๋ย ท่านไม่สามารถตัดงาให้ขาดได้หรือ "
    พรานโสณุดรตอบ " ใช่แล้วนาย. "
    พระโพธิสัตว์พญาช้างฉัททันต์มีสติมั่น แล้วกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงยกงวงของเราขึ้น ให้จับเลื่อยข้างบนไว้ เราเองไม่มีกำลังจะยกงวงของเราได้. นายพรานป่าก็ทำตามพระโพธิสัตว์พญาช้างสั่ง
    พระโพธิสัตว์พญาช้างเอางวงยึดมือเลื่อยไว้แล้วชักขึ้นชักลง ไม่นานงาทั้งสองก็ขาด ประดุจตัดตอไม้
    พระโพธิสัตว์พญาช้างให้นายพรานนำงาคู่นั้นมาถือไว้ แล้วกล่าวว่า



    " สหายพราน เราให้งาเหล่านี้แก่ท่าน ใช่ว่าเราจะไม่รักของเราก็หามิได้ ทั้งเรามิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ เป็นมาร เป็นพรหมเลย. แต่เพราะงา คือพระสัพพัญญุตญาณนั้น เรารักกว่างาคู่นี้ ตั้งร้อยเท่าพันเท่า. ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยแห่ง การได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ. "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 เมษายน 2016
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    พระโพธิสัตว์พญาช้างถามต่อไปว่า “ สหาย กว่าท่านจะมาถึงที่นี่ เป็นเวลานานเท่าไร? “
    เมื่อนายพรานตอบว่า “ เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน. “
    พระโพธิสัตว์พญาช้างจึงกล่าวว่า “ เชิญไปเถิดด้วยอานุภาพแห่งงาคู่นี้ ท่านจะถึงพระนครพาราณสีภายในเจ็ดวันเท่านั้น “
    พระโพธิสัตว์พญาช้างส่งนายพรานป่าไปโดยการตั้งสัตยาธิษฐานป้องกันภัยให้นายพรานว่า
    “ เราเป็นผู้ถูกลูกศรเสียบแทงแล้ว แม้จะถูกเวทนาครอบงำ ก็ไม่คิดประทุษร้ายในบุคคลผู้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ถ้าข้อนี้เป็นความจริง อันเราผู้เป็นพญาช้างตั้งไว้ ขอพาลมฤคในไพรสณฑ์ อย่าได้มากล้ำกรายนายพรานนี้เลย. “

    นายพรานนั้นรีบลุกขึ้นจับเลื่อย เลื่อยงาพญาช้างทั้งคู่ อันงดงามวิลาส หาที่เปรียบมิได้ในพื้นปฐพี แล้วรีบถือหลีกออกจากที่นั้นไป
    ช้างเหล่านั้นตกใจ ได้รับความเสียใจ เพราะพญาช้างถูกยิง พากันวิ่งไปยังทิศทั้ง ๘ เมื่อไม่เห็นปัจจามิตรของพญาช้าง ก็พากันกลับมายังที่อยู่ของพญาช้าง.

    พระโพธิสัตว์พญาช้างฉัททันต์ส่งนายพรานไปแล้ว ล้มลงตาย ณ ที่นั้น โดยที่เหล่าช้างบริวารและนางมหาสุภัททายังมาไม่ถึงเลย


    เมื่อนางช้างมหาสุภัททามาพร้อมเหล่าช้างบริวารทั้ง 8000 เชือก เห็นพญาช้างฉัททันต์ล้มลงตายแล้ว ต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญ แล้วพากันไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้ากุลปกะ กราบทูลพระองค์ให้ทรงทราบว่า “ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พญาช้างฉัททันต์ปัจจยทายกของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายถูกยิ่งด้วยลูกศรอาบยาพิษ ถึงแก่ความตายเสียแล้ว ขอนิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลายไปดูซากของพญาช้างฉัททันต์ในป่าเถิด “
    พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 500 รูป ก็เหาะมาทางอากาศ ลงตรงที่ลานใหญ่ ช้างหนุ่ม ๒ เชือก ช่วยกันเอางาเสยยกสรีระร่างของพญาช้างให้กราบไหว้จบพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วยกขึ้นสู่จิตกาธาร ทำฌาปนกิจ.
    พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสาธยายธรรมอยู่ที่ป่าตลอดคืนถึงเช้า
    พอถึงเช้า ช้างทั้ง ๘,๐๐๐ เชือก ดับธาตุเสร็จ
    ช้างเหล่านั้น พากันคร่ำครวญร่ำไห้อยู่ ณ ที่นั้น ต่างเกลี่ยอังคารขึ้นบนกระพองของตนๆ แล้วยกเอานางสัพพภัททาผู้เป็นมเหสี ให้เป็นหัวหน้า พากันกลับยังที่อยู่ของตนทั้งหมด.
    เชิญนางช้างมหาสุภัททาเป็นหัวหน้า แห่มายังสถานที่อยู่



    ฝ่ายนายพรานโสณุดรออกเดินทางกลับ พอใกล้ถึงได้ส่งข่าวไปทูลพระนางสุภัททาเทวี มเหสีของพระเจ้าพาราณสีว่า ข้าพระพุทธเจ้า นายพรานป่าโสณุดรจะนำงาทั้งคู่อันเปล่งปลั่งมีรัศมี 6 ประการของพญาช้างฉัททันต์ เข้ามาถวาย ขอพระองค์ได้โปรดให้ประดับตกแต่งพระนคร. เมื่อพระนางเทวีกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ ให้ประดับตกแต่งพระนครดุจเทพนครแล้ว ใช้เวลาเพียง 7 วันเท่านั้น ถึงกรุงพาราณสีอย่างรวดเร็วด้วยอานุภาพของงาพญาช้างฉัททันต์
    “ นายพรานนั้นนำงาทั้งคู่ของพญาคชสาร อันอุดมไพศาล งดงาม ไม่มีงาอื่นในปฐพีจะเปรียบได้ ส่องรัศมีดุจสีทอง สว่างไสวไปทั่วทั้งไพรสณฑ์ มาถึงยังพระนครกาสี แล้วน้อมนำงาทั้งคู่ เข้าไปถวายพระนางสุภัททา กราบทูลว่า พญาช้างล้มแล้ว ขอเชิญพระนางทอดพระเนตรงาทั้งคู่นี้เถิด. “
    เมื่อถึงพระนครแล้ว นายพรานป่าโสณุดรขึ้นไปยังปราสาท เพื่อเข้าเฝ้าพระนางสุภัททาเทวี น้อมถวายคู่งาที่เปล่งประกายรัศมี 6 สี กราบทูลว่า
    “ ขอเดชะพระแม่เจ้า ได้ทราบว่า พระแม่เจ้าก่อความขุ่นเคืองเหตุเล็กน้อยไว้ในพระทัยต่อพญาช้างใด ข้าพระพุทธเจ้าฆ่าพญาช้างนั้นตายแล้ว โปรดทรงทราบว่า พญาช้างตายแล้ว ขอเชิญพระแม่เจ้าทอดพระเนตร นี้คืองาทั้งสองของพญาช้างนั้น ” แล้วได้ถวายงาไป.
    พระนางสุภัททาเทวีจึงสั่งให้ทำงวงตาลประดับด้วยแก้วมณี รับคู่งาอันวิจิตรมีรัศมี 6 ประการของพระโพธิสัตวพญาช้างฉัททันต์มาวางไว้ที่กลางเมือง




    “ พระนางสุภัททาผู้เป็นพาล ครั้นทอดพระเนตรเห็นงาทั้งสองของพญาคชสารอันอุดม ซึ่งเป็นปิยภัสดาของตน ในชาติก่อนแล้ว หทัยของพระนางก็แตกทำลาย ณ ที่นั้นเอง ด้วยเหตุนั้นแล พระนางจึงได้สวรรคต. “
    เมื่อพระนางสุภัททาเทวีทอดพระเนตรดูงาแห่งสามีที่รักของพระองค์ในภพชาติก่อน ทรงระลึกว่า นายพรานโสณุดรฆ่าพญาช้างตายถึงที่แห่งป่าที่ตนเคยอยู่ร่วมกับพญาช้าง ตัดเอางาทั้งคู่มาให้เราตามคำบัญชาของเรา เมื่อทรงอนุสรณ์ถึงพญาช้างฉัททันต์ ก็ทรงบังเกิดความเศร้าโศกไม่สามารถที่จะอดกลั้นได้ ทันใดนั้นเอง พระนางทรงประชวร หัวใจวายโดยฉับพลัน สิ้นพระชนม์ทันที



    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงฉัททันตชาดกเสร็จแล้ว หมู่ภิกษุต่างสรรเสริญคุณแห่งพระทศพลญาณ บรมศาสดาว่า
    “ พระบรมศาสดาได้บรรลุสัมโพธิญาณแล้วมีพระอานุภาพมาก ได้ทรงทำการแย้มในท่ามกลางบริษัท ภิกษุทั้งหลายผู้มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว พากันกราบทูลถามว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้ทรงทำการแย้มให้ปรากฏ โดยไร้เหตุผลไม่. “
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ เธอทั้งหลายจงดูกุมารีสาวคนนั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ประพฤติอนาคาริยวัตร นางกุมารีคนนั้นแลเป็นนางสุภัททาในกาลนั้น เราตถาคตเป็นพญาช้างในกาลนั้น นายพรานผู้ถือเอางาทั้งคู่ของพญาคชสารอันอุดม หางาอื่นเปรียบปานมิได้ในปฐพี กลับมายังพระนครกาสีในกาลนั้น เป็นพระเทวทัต.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คราวครั้งนั้น เรายังเป็นพญาช้างฉัททันต์ อยู่ที่สระฉัททันต์นั้น เธอทั้งหลายจงทรงจำชาดกไว้ ด้วยประการฉะนี้แล. "

    จบฉัททันตชาดก


    พระพุทธเจ้าผู้ปราศจากความกระวนกระวาย ความเศร้าโศก และกิเลสดุจลูกศร ตรัสรู้ยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ได้ตรัสฉัททันตชาดกนี้ อันเป็นของเก่า ให้พวกเราได้ทราบเรื่องราวที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทานบารมีอย่างยิ่งยวด สละชีวิต และงาอันเป็นที่รักยิ่งได้ ทรงบำเพ็ญขันติบารมี ศีลบารมี เมตตาบารมีต่อนายพรานป่าที่ทำร้ายพระองค์จนถึงแก่ชีวิตได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2015
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว นางภิกษุณีที่ระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นบาทจาริกาในคราวที่พระองค์เป็นพญาช้างฉัททันต์ ก็บำเพ็ญเพียรภาวนาจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ที่ต้องวนเวียนมาก่อภพชาติ ให้หลง รัก ชัง น้อยใจ ประทุษร้ายได้แล้ว
    การที่พระองค์ทรงตรัสฉัททันต์ชาดก ต่อหน้านางนี้ เพื่อเป็นการเตือนให้นางภิกษุณี เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร เจริญสติ สัมปชัญญะ เพื่อหลุดพ้น
    หรือแม้นแต่พระเทวทัต หรือ นายพรานโสณุดรเอง ก็ทำบารมีมามาก ก็เที่ยงแท้ที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์ก็ต้องหลุดพ้นได้ด้วยพระองค์เองด้วยซ้ำไปสักวันหนึ่ง แต่พวกเราแหละที่อาจไม่ได้ทำกรรมหนักเช่นพระเทวทัต มีวันที่เที่ยงแท้จะหลุดพ้นกันแล้วยัง
     
  13. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    สาธุ ขออนุโมทนาครับ กับเจ้าของกระทู้ ที่ยกชาดกเรื่องนี้มาแสดง

    ชาดกเรื่องนี้ถือว่าเป็น 1 ในหลายๆ ชาดก ที่กินใจ สะเทือนใจ เป็นเรื่องของเมียน้อย เมียหลวง ความรัก ความพยาบาท ถือได้ว่า เป็นชาดกที่สำคัญเรื่องหนึ่ง

    ผมเคยได้ยิน ได้เคยอ่านมา (จำหนังสือไม่ได้ ต้องกลับไปค้น) ว่างาคู่ของพญาช้างฉัททันต์ยังอยู่ และยังคงเก็บรักษาไว้ ซึ่งผมเองก็เคยจินตนาการว่าอยากไปพบไปเห็น

    จากชาดกเรื่องนี้ สามารถนำไปถอดบทเรียน ได้ดังนี้

    1. ควรจะมีผัวเดียวเมียเดียวทุกชาติ ถ้าหากแม้ว่าภรรยาทั้งหลายในอดีตได้มาเกิดร่วมภพร่วมชาติเดียวกัน ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กันง่ายๆ ควรอนุเคราะห์ช่วยเหลือกัน และสละบริจาคพวกเธอออกตามเหตุตามปัจจัย(เพราะมีผู้ชายอื่นที่คู่ควรกับเธอเข้ามาจีบ) ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์ ต้องเป็นคู่บารมีที่แท้จริง ซึ่งก็มีอยู่หนึ่งเดียว นั่นก็คือ นางแก้ว

    2. นางช้างจุลลสุภัททา และนางช้างมหาสุภัททา เข้าใจว่า น่าจะเป็นนางช้างที่เป็นพี่น้องกัน และทั้งคู่เคยเป็นภรรยาและอนุภรรยาเคียงข้างพระโพธิสัตว์มาหลายภพหลายชาติ ก่อนที่จะมาเกิดเป็นนางช้าง และนางช้างทั้งคู่เหมาะที่จะเป็นนางแก้ว แต่นางแก้วมีได้เพียงคนเดียว กรรมจึงได้จัดสรรให้ลงเอยเช่นนี้

    3. นางช้างจุลลสุภัททา ถือได้ว่าเป็นผู้ที่สร้างสมบารมีมาพร้อมที่จะเป็นนางแก้ว ดูได้จากการที่นางอธิฐานจิต และกำลังใจเข้มแข็งแรงกล้า มีความมั่นใจที่จะยอมตาย เพื่อไปเกิดเป็นธิดากษัตริย์ ซึ่งบุคคลทั่วไปทำได้ยาก เฉพาะผู้ที่มีบารมีเท่านั้น เพราะการตายลักษณะอย่างนี้เป็นการตายด้วยความผูกอาฆาตพยาบาท ถ้าไม่มีบุญบารมี หรือกำลังใจไม่เข้มแข็ง ขาดสติ ไม่อยู่ในอารมณ์ฌาณ ย่อมไปอบาย

    4. พิจารณาแล้ว(ความคิดเห็นของข้าพเจ้า)เห็นได้ว่า นางช้างจุลลสุภัททา เป็นผู้ที่รักพระโพธิสัตว์มาก ลักษณะรักมากจนกลายมาเป็นความแค้นพยาบาท เห็นได้ตอนที่พระนางสุภัททาเทวีทอดพระเนตรงาช้างแล้วสิ้นใจตาย(หัวใจแตกสลาย กระอักเลือดและประชวร) นางเป็นผู้ที่มีบุญบารมีสูง มีอำนาจ มีฤทธิ์มีเดช สามารถควบคุมบริวาร แต่เวลาโกรธเอาเรื่องเป็นยักษ์เป็นมาร ลักษณะเหมือนเจ้าแม่กาลี

    ส่วนนางช้างมหาสุภัททาน่าจะเป็นพระนางพิมพายโสธรา นอกจากพระนางจะมีบุญบารมีแล้ว ยังมีบารมีธรรมมากกว่านางช้างจุลลสุภัททา สรุปก็คือ ผู้ที่เป็นนางแก้ว นอกจากจะวัดกันที่บุญบารมีแล้ว ยังวัดกันที่บุญบารมีธรรมอีกด้วย

    เหตุที่พระนางคิดวางแผน ว่าจะขอตายแล้วไปเกิดเป็นธิดากษัตริย์ เพื่อจ้างนายพรานให้ไปสังหารพญาช้างแล้วตัดเอางามานั้น(ความคิดเห็นของข้าพเจ้า) ก็เพราะต้องการทำร้ายจิตใจนางช้างมหาสุภัททา ให้เกิดความพรักพรากสูญเสียคนรัก ให้เกิดความทุกข์เศร้า โดยการแย่งเอา(ชีวิต)พญาช้าง แม้แต่งาก็ไม่เหลือไว้ให้นางช้างมหาสุภัททาดูต่างหน้า

    5. ในชาติที่มาเกิดเป็นนางช้างจุลลสุภัททาและต่อเนื่องไปเกิดเป็นธิดากษัตริย์ ถือได้ว่าเป็นชาติที่ตัดภพตัดชาติ ไม่ต้องมาเกิดเป็นภรรยาของพระโพธิสัตว์อีกต่อไป เพราะถือว่าเป็นชาติที่แรงมาก ซึ่งกรรมก็ได้จัดสรรให้พระโพธิสัตว์มีนางแก้วเพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นตอนที่พระนางสุภัททาเทวีสิ้นพระชนม์ จิตใจเศร้าหมองมาก ไม่สามารถทำองค์ฌาณให้บังเกิด เพราะเนื่องจากกรรมปาณาติบาปพระโพธิสัตว์ ย่อมมีทุคติวินิบาตเป็นที่ไป

    ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าพระนางได้เวียนว่ายตายเกิด มาเกิดเป็นภรรยาชูชกหรือไม่ ที่อ้อนวอนให้ชูชกมาทูลขอสองกุมาร กัญหา ชาลี เหตุที่คิดเช่นนี้ เพราะมีกรรมร่วมกับนายพราน

    6. คิดเล่นๆในมุมกลับด้านเมตตา สงสาร พระนางน่าจะไปเป็นนางแก้ว ของพระโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่ง แต่พระนางได้ประมาทในชาติที่มาเกิดเป็นพระนางสุภัททาเทวี แล้วทำปาณาติบาตพระโพธิสัตว์ จึงปิดทางเป็นนางแก้ว

    7. อย่างไรก็ตาม ถือได้ว่าคู่อาฆาต พยาบาท จองเวรพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่ช่วยให้พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบารมีสำเร็จ ในแต่ละบารมี ในแต่ละชาติ

    เขียนเสร็จแล้ว กลับไปอ่านใหม่ ไม่รู้เขียนได้อย่างไร ไม่มีข้อมูลอะไรอ้างอิงเลย เป็นความเห็นล้วนๆ ถือว่าเป็นเรื่องอ่านเล่นหนุกๆ
     
  14. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ยังมีประเด็นค้าง

    8. ได้มีนักวิเคราะห์(รวมข้าพเจ้า) คิดตั้งคำถามในใจ
    ทำไมนางช้างจุลลสุภัททา เมื่อครั้งถวายผลไม้แด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ทำไมไม่ตั้งจิตอธิฐานขอเป็นนางแก้วพระโพธิสัตว์พระองค์นี้

    คำตอบในใจ
    1. ชะตากรรมได้ลิขิต
    2. ปัญญาบารมีไม่ถึงพร้อม
    3. ถูกความพยาบาท และโมหะ เข้าครอบงำ

    คำถามต่อมา ถ้านางอธิฐานจริง นางก็จะได้เป็นนางแก้ว
    แต่สภาะและสภาพการณ์เช่นนั้น นางคงคิดไม่ถึง และคิดไม่ออก เพราะสภาพกรรมบังคับ

    อีกอย่างหนึ่งด้วยเล่า ถ้านางช้างมหาสุภัททาอธิฐานขอเป็นนางแก้วด้วยแล้ว กรรมจะยิ่งสับสน จัดสรรไม่ลงตัว

    ดังนั้น คิดว่า นางช้างมหาสุภัททา น่าจะมีความคิดที่จะอธิฐานขอเป็นนางแก้ว ต่อหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือนางอาจจะอธิฐานแล้วด้วยในคราวนั้น
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ....ไม่จำเป็นต้องคอยอธิบายทุกอย่าง


    ...เพียงรักษากำลังใจไม่ให้ออกจากมหากุศลจิต แล้วเวลาที่เหมาะสม จะเป็นคำตอบให้กับชีวิตอื่นๆเอง
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    [​IMG]
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ทานะ ปาระมี สัมปันโน , ทานะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทานะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    สีละ ปาระมี สัมปันโน , สีละ อุปะปารมี สัมปันโน , สีละ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    เนกขัมมะ ปาระมี สัมปันโน , เนกขัมมะ อุปะปารมี สัมปันโน , เนกขัมมะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    ปัญญา ปาระมี สัมปันโน , ปัญญา อุปะปารมี สัมปันโน , ปัญญา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    วิริยะ ปาระมี สัมปันโน , วิริยะ อุปะปารมี สัมปันโน , วิริยะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    ขันตี ปาระมี สัมปันโน , ขันตี อุปะปารมี สัมปันโน , ขันตี ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    สัจจะ ปาระมี สัมปันโน , สัจจะ อุปะปารมี สัมปันโน , สัจจะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    อะธิฏฐานะ ปาระมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ อุปะปารมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    เมตตา ปาระมี สัมปันโน , เมตตา อุปะปารมี สัมปันโน , เมตตา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน , อุเปกขา อุปะปารมี สัมปันโน , อุเปกขา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    ทะสะ ปาระมี สัมปันโน , ทะสะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทะสะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
    เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นะมามิหัง
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a3a1.jpg
      a3a1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.1 KB
      เปิดดู:
      87
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2019
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ?temp_hash=6eac24312d76f6a7d19fdc8b78ee5fff.jpg
    มีสติ-สัมปชัญญะ รู้ตัวไว้ ไม่ให้ชีวิตเดินไปด้ว่ยโมหะนำทางไป แต่ไม่ติดพัน ไม่ชัง ไม่เกลียด หมดหน้าที่ต่อกัน แล้วก็ปล่อยตามวิถี

    เมตตาพรหมวิหาร ค้ือธรรมาวุธ คือพระขรรค์เพชรแห่งพระพุทธเจ้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...