เปิดข้อมูลพระพุทธศาสนาในถิ่นไทยเป็นการสาธารณะ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เอกอิสโร, 10 พฤศจิกายน 2014.

  1. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,378
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ความจริง ใกล้เปิดเผย สุวรรณภูมิ คือ สถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน

    เมื่อ หลายปี ใด้ ฝึก มโนมยิทธิ กับท่าน อ.ไก่ คนเมืองบัว
    ทราบว่า ท่าน ใด้พูด ถึง คุณ เอกอิสโร ในการค้นหา ข้อมูล เหล่านี้ เพื่อ เปิดเผย ...ต่อมา ท่านอ.คนเมืองบัว ใด้ จากไป..

    ใน ขณะนี้ เริ่ม มีการค้นพบ วัตถุโบราณ ซึ่ง ระบุ อายุ ประมาณ ๒,๕๐๐ กว่าปี ใน สยามประเทศ สุวรรณภูมิ โครงกระดูก ,วัตถุ สิ่งของ มีค่า มากมาย ทั้ง พระพุทธรูปไม้..พระพุทธรูปทองคำ

    ทาง เพื่อน ใด้ แจ้ง ขอ ปิดเป็นความลับ ก่อน รอ การ พิสูจน์ หลักฐาน ทั้งหมด
    ทราบ เบื้องต้น ทาง พระเจ้าอโศกมหาราช ใด้ เดินทาง มา ชมพูทวีป หรือ สุวรรณภูมิ ด้วยความ ศรัทธา ต่อ พระสัมมาสัมพุทธองค์ จากนั้น ใด้นำ แบบก่อสร้าง หลายอย่าง ไปสร้าง ใว้ที่ อินเดีย , เนปาล
    ข้อมูล เริ่ม มีการค้นพบ

    องค์ หลวงปู่มั่น ใด้ กล่าว เรื่องนี้ เช่นกัน ทั้ง ข้อมูลจาก ปฏิปทา องค์หลวงปู่บรมครูโลกอุดร
    ขออภัย ต่อ ท่านผู้ ที่ใด้ เปิด ข้อมูล ให้ ทราบ นะ ครับ ขออนุญาต นำมา ช่วย คุณ เอกอิสโร ในการ ค้นหา ข้อมูล อีกแรงหนึ่ง
    ส่วน ข้อมูล อื่นๆ ขอ ไม่เปิดเผย ครับ

    ( คุณ เอกอิสโร กรุณา ติดต่อ เพื่อน ที่ ใด้ ติดต่อ คุณมา นะครับ )
     
  2. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ขอบพระคุณครับ..
     
  3. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    บรรพบุรุษของไทยเราแต่โบราณกาล รู้ วันประสูติของ พระเจ้าอโศกมหาราช และตรงศักราชในอรรถกถา แต่ ไม่ตรงกับ "ประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งเขียน"
    ...
    แปลกมั๊ยครับ ที่ ในบันทึกสมัยโบราณของคนไทย รู้วัน เดือน ปีเกิด ของพระเจ้าอโศกมหาราช และขึ้นครองราชย์ตรงตามที่ พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์สมัยพุทธกาล ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าข้อความที่ปรากฏอยู่ในตำนานทางเหนือ แปลออกมาเป็นไทยแล้วในพระอรรถกถา ตอนหนึ่ง บันทึกไว้ว่า.. แม้พระมหากัสสปเถรก็เล็งเห็นพระเจ้าอโศกล่วงหน้าถึง ๒๑๘ ปี
    ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะ อธิษฐานว่า พวงมาลัยอย่าเหี่ยว กลิ่นหอมอย่าหาย ประทีปอย่าไหม้ แล้วให้จารึกอักษรไว้ ที่แผ่นทองว่า แม้ในอนาคตกาลครั้งพระกุมารพระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช ท้าวเธอจักทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลายไป ดังนี้.
    พระราชา (พระเจ้าอชาตศัตรู) ทรงเอาเครื่องประดับทั้งหมดบูชา ทรงปิดประตูแล้วเสด็จออกไปตั้งแต่แรก.
    ท้าวเธอ (พระเจ้าอชาตศัตรู) ครั้นปิดประตูทองแดงแล้ว ทรงคล้องตรากุญแจไว้ที่เชือกผูก ทรงวางแท่งแก้วมณีแท่งใหญ่ไว้ที่ตรงนั้นนั่นเอง โปรดให้จารึกอักษรไว้ว่า ในอนาคตกาล เจ้าแผ่นดินที่ยากจน จงถือเอาแก้วมณีแท่งนี้ กระทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลายเทอญ.
    เมื่อการเก็บพระบรมธาตุเสร็จเรียบร้อยอย่างนี้แล้ว แม้พระเถระ (พระมหากัสสปะ) ดำรงอยู่จนตลอดอายุก็ปรินิพพาน แม้พระราชา (พระเจ้าอชาตศัตรู) ก็เสด็จไปตามยถากรรม พวกมนุษย์แม้เหล่านั้น ก็ตายกันไป.
    ต่อมาภายหลัง เมื่อครั้งอโศกกุมารเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระธรรมราชาพระนามว่าอโศก ทรงรับพระบรมธาตุเหล่านั้นไว้แล้ว ได้ทรงกระทำให้แพร่หลาย.
    พระราชาให้รื้อพระเจดีย์ในกรุงราชคฤห์ ก็ไม่พบ ทรงให้ทำพระเจดีย์คืนดี อย่างเดิมแล้ว ทรงพาบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปยัง กรุงเวสาลี แม้ในที่นั้น ก็ไม่ได้ ก็ไปยังกรุงกบิลพัศดุ์ แม้ในที่นั้น ก็ไม่ได้ แล้วไปยังรามคาม เหล่านาคในรามคาม ก็ไม่ยอมให้รื้อพระเจดีย์.
    จอบที่ตกต้องพระเจดีย์ ก็หักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย. ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ในที่นั้น ก็ไม่ได้ ก็ไปยังเมืองอัลลกัปปะเวฏฐทีปะ ปาวา กุสินารา ในที่ทุกแห่งดั่งกล่าว มานี้ รื้อพระเจดีย์แล้วก็ไม่ได้พระบรมธาตุเลย ครั้นทำเจดีย์เหล่านั้นให้คืนดี ดั่งเดิมแล้ว ก็กลับไปยังกรุงราชคฤห์อีก ทรงประชุมบริษัท ๔ แล้วตรัสถามว่า ใครเคยได้ยินว่า ที่เก็บพระบรมธาตุ ในที่ชื่อโน้น มีบ้างไหม.
    ในที่ประชุมนั้นพระเถระรูปหนึ่ง อายุ ๑๒๐ ปี กล่าวว่า อาตมาภาพก็ไม่รู้ว่า ที่เก็บพระบรมธาตุ อยู่ที่โน้น แต่พระมหาเถระบิดาอาตมภาพ ให้อาตมภาพครั้งอายุ ๗ ขวบ ถือหีบมาลัย กล่าวว่า มานี่ สามเณร ระหว่างกอไม้ตรงโน้น มีสถูปหินอยู่ เราไปกันที่นั้นเถิด แล้วไปบูชา ท่านพูดว่า สามเณร ควรพิจารณาที่ตรงนี้.
    ถวายพระพร อาตมภาพรู้เท่านี้ พระราชาตรัสว่า ที่นั่นแหละ แล้วสั่งให้ตัด กอไม้ แล้วนำสถูปหินและฝุ่นออก ก็ทรงเห็นพื้นโบกปูนอยู่ แต่นั้นทรงทำลาย ปูนโบกและแผ่นอิฐแล้วเสด็จสู่บริเวณตามลำดับ ทอดพระเนตรเห็นทรายรัตนะ ๗ ประการ และรูปไม้ (หุ่นยนต์) ถือดาบ เดินวนเวียนอยู่ ท้าวเธอรับสั่งให้ เหล่าคนผู้ถือผีมา แม้ให้ทำการเซ่นสรวงแล้ว ก็ไม่เห็นที่สุดโต่งสุดยอดเลย จึงทรงนมัสการเทวดาทั้งหลายแล้วตรัสว่า ข้าพเจ้ารับพระบรมธาตุเหล่านี้แล้ว บรรจุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร จะทำสักการะ ขอเทวดาอย่าทำอันตรายแก่ ข้าพเจ้าเลย.
    ครั้งนั้น พระราชาทรงถือตรากุญแจ ที่ติดอยู่ที่เชือกผูก ทอดพระเนตรเห็นแท่งแก้วมณีและเห็นอักษรจารึกว่า ในอนาคตกาล เจ้าแผ่นดินที่ยากจนถือเอาแก้วมณีแท่งนี้แล้ว จงทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลาย ทรงกริ้วว่า ไม่ควรพูดหมิ่นพระราชาเช่นเราว่า เจ้าแผ่นดินยากจน ดังนี้แล้ว ทรงเคาะซ้ำ ๆ กันให้เปิดประตู เสด็จเข้าไปภายในเรือนประทีปที่ตามไว้ เมื่อ ๒๑๘ ปี ก็โพลงอยู่อย่างนั้นนั่นเอง ดอกบัวขาบก็เหมือนนำมาวางไว้ขณะนั้นเอง เครื่องลาดดอกไม้ก็เหมือนลาดไว้ขณะนั้นเอง เครื่องหอมก็เหมือนเขาบด วางไว้เมื่อครู่นี้เอง.
    พระราชาทรงถือแผ่นทอง ทรงอ่านว่า ต่อไปในอนาคตกาล ครั้งกุมารพระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระธรรมราชาพระนามว่า อโศก ท้าวเธอจักทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลาย ดังนี้ แล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้า มหากัสสปเถระเห็นตัวเราแล้ว ทรงคู้พระหัตถ์ซ้ายปรบกับพระหัตถ์ขวา.
    ท้าวเธอเว้นเพียงพระบรมธาตุที่ปกปิดไว้ในที่นั้น ทรงทำพระบรมธาตุที่เหลือทั้งหมดมาแล้ว "ปิดเรือนพระบรมธาตุไว้เหมือนอย่างเดิม ทรงทำที่ทุกแห่งเป็นปกติอย่างเก่าแล้ว โปรดให้ประดิษฐานปาสาณเจดีย์ไว้ข้างบน" บรรจุพระบรมธาตุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร
    พระพุทธเจ้า ก็เล็งเห็น พระโมคคัลลีบุตรติสสะ ที่เป็นประธานการสังคายนาครั้งที่ ๓ ในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช ล่วงหน้า ดังในพระอรรถกถา บันทึกไว้ว่า..
    พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นพระโมคคัลลีบุตรล่วงหน้า หลังพุทธปรินิพพาน ๒๑๘ ปีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า เมื่อเราปรินิพพานล่วงไป ๒๑๘ ปี พระเถระชื่อว่าโมคคัลลีปุตตติสสะ จะนั่งในท่ามกลางภิกษุหนึ่งพันประมวล พระสูตรมาพันหนึ่ง คือ พระสูตร ๕๐๐ สูตร ในฝ่ายสกวาที พระสูตร ๕๐๐ สูตรในฝ่ายปรวาที แล้วจักจำแนกกถาวัตถุปกรณ์ประมาณเท่ากับทีฆนิกาย แม้พระโมคคัลลีปุตตติสสเถระ เมื่อจะแสดงปกรณ์นี้ มิได้แสดงด้วยญาณของตน แต่แสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้โดยนัยที่พระศาสดาประทาน ดังนั้น ปกรณ์นี้ ทั้งสิ้น จึงชื่อว่าพุทธภาษิตเหมือนกัน เพราะพระเถระแสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้ โดยนัยที่พระศาสดาประทาน เหมือนมธุปิณฑิกสูตรเป็นต้น.
    แต่ ตามที่นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตก ศึกษาประวัติพระเจ้าเทวานัมปิยทัสสี ที่เขาเชื่อว่า คือ "พระเจ้าอโศก" นั้น กลับประสูติ หลัง พ.ศ. ๒๑๘ ซึ่งเป็นที่ขึ้นครองราชย์ ตามที่บันทึกไว้ในพระอรรถกถา คือ ประสูติ 302 BC หรือ พ.ศ. 240 ครองราชย์ 273 BC หรือ พ.ศ. 270 ตามประวัติย่อ จาก Wikipedia
    .....
    ที่อินเดีย มีการขุดค้นพบหลักฐาน สถานที่ที่ "พระเจ้าอชาตศัตรูประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ" หรือไม่?
    และ ที่อินเดีย มีการค้นพบ "จารึกแผ่นทองคำที่พระมหากัสสปะให้จารึกไว้" ใน สถานที่ที่ "พระเจ้าอชาตศัตรูประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ" หรือไม่?
    และที่อินเดีย ได้ ค้นพบ "สิ่งมีค่า" ต่างๆ ที่พระเจ้าอชาตศัตรู ให้สร้างไว้เพื่อบูชาพระบรมธาตุ หรือไม่?
    แล้วพวกเรา คิดว่า "พระเจ้าอโศกประสูติก่อนการสังคายนาพระไตรปิฎก หรือหลังการสังคายนา" และ "พระเจ้าอโศกที่อินเดียที่เกิดหลัง พ.ศ. 218" จะใช่องค์ที่เป็นผู้อุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 3 ได้อย่างไร?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. username9999

    username9999 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    นายเอกบอกปี2555 โบราณสถาน โบราณวัตถุทางพุทธศาสนาจะโผล่มาให้เห็นในประเทศไทย มั่วแล้วก็ทำตีเนียนไม่พูดถึงอีกเลย 5555+

    นายเอกบอกไบเบิ้ลโค้ดข้านี่ของจริง มั่วไปมั่วมา แล้วก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ เลิกแล้ว ไปมาตีเนียนมามั่วต่อ

    คิดอะไรไม่ออกก็google อินเดีย เนปาลเอกไม่เคยไปแต่เอกgoogleตลอด

    q: อือ เอกพุทธประวัตินี่เกิดในไทยหรอ

    เอก: ชัวร์เลย ผมgoogleมานาน เชื่อผม

    q:แล้วมันมีอะไรเป็นหลักฐานมั้ย แบบตรวจสอบทางวิทย์หรือขุดโบราณวัตถุเจออะไรที่เกี่ยวกับพุทธเก่าๆขนาด2500ปีอ่ะ

    เอก:อุ๊ยย!! เยอะแยะเก่ากว่า2500ปีมีเพียบ

    q:เอก เก่ากว่า2500ปีอ่ะมี แต่มันไม่เกี่ยวกะพุทธ ถ้าเอกเจอคนแรกนี่แจ้งกรมศิลป์เลยดีมั้ย

    เอก:อ้อ ยังไม่มี แต่เดี๋ยวปี2555โผล่มาแน่ สถานที่ประสูติเอย ตรัสรู้เอย โผล่มาชัวร์เลย รอบนี้ไม่มั่ว

    q:นี่ปี2557จะหมดปีอยู่แล้ว ขอดูหน่อยดิ

    เอก: อ้าว หรอ อุตส่าห์ตีมึน อือขอโทษนะ มั่วไปหน่อย แต่ผมgoogleเก่งนะ

    q:เออ แล้วเขียนๆมานี่เคยไปที่อินเดีย เนปาลดูสถานที่จริงแล้วเทียบกะไทยเป็นไงมั่ง

    เอก: เอ่อ อ่า เอาจริงไม่เคยไปหรอก แต่googleมานานแล้ว รู้ทุกซอกทุกมุมของอินเดียเลย

    q: อ้อ อ้อ แล้วที่เอกค้นคว้ามานี่ มันมีไปขุดดูอะไรมั่งมั้ย

    เอก:ก็ยังเลย แต่googleมานานแล้วนะ

    q:เอกคิดว่านักโบราณคดีที่ดีควรเป็นยังไงอ่า

    เอก:Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google Google
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2014
  5. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ขอบคุณนะครับ..ที่คอยเป็นแรงใจ ให้เดินหน้า เพื่อค้นหาความจริงต่อไปครับ
     
  6. username9999

    username9999 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    เขียนผิดไปนิดนะเอก มันต้อง "ขอบคุณนะครับ..ที่คอยเป็นแรงใจ ให้เดินหน้า เพื่อgoogleต่อไปครับ"

    จากเอกอิสโรนักโบราณคดีgoogle ผู้ไม่เคยไปอินเดีย เนปาลแต่รู้ทุกซอกมุมของ
    อินเดีย เนปาลโดย google
     
  7. Historian

    Historian สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    ถ้าเรื่องต่างๆเกิดที่ประเทศไทยแล้วแม่น้ำสินธุจะไปอยู่ตรงไหน?
     
  8. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ถ้าพิจารณาในพระไตรปิฎก-อรรถกถา แม่น้ำ 5 สาย ในชมพูทวีป หรือที่เรียกว่า “ปัญจมหานที” ได้แก่ แม่น้ำคงคา ยมนา อิรวดี มหิ และสรภู นะครับไม่มีแม่น้ำสินธุ

    ซึ่งถ้าพิจารณาจาก แผนที่ข้างล่างนี้..จะพอเห็นร่องรอยว่า ปัญจมหานที ไหลไปที่ใด?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      304.6 KB
      เปิดดู:
      325
  9. Historian

    Historian สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    ผมสนใจแต่แม่น้ำสินธุครับ ถามแต่แม่น้ำสินธุ


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค๑

    (๓๒๑)ในกาลนั้น เราเป็นชาวนาอยู่ ณ ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ ประกอบ ในแหล่งการงานของผู้อื่น อาศัยอาหารของผู้อื่น เราเที่ยวไปตามแม่น้ำสินธุ ได้เห็นพระชินเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ กำลังประทับนั่งเข้าสมาธิอยู่ ดัง ดอกบัวบานฉะนั้น ในกาลนั้น เราจึงเด็ดดอกบัว ๗ ดอกที่ขั้ว โปรยบูชา ที่พระเศียรของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์
     
  10. Historian

    Historian สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    [๓๙๖]เราได้สร้างอาศรมอย่างสวยงามไว้ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ เราบอกคัมภีร์อิติหาสะ พร้อมทั้งตำราทายลักษณะ กะพวกศิษย์ที่อาศรมนั้น ศิษย์เหล่านั้นเป็นผู้ ใคร่ธรรม เราแนะนำดี เป็นผู้ใคร่ฟังคำสั่งสอนดี ถึงที่สุดในองค์ ๖ ประการ อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธู เป็นผู้ฉลาดในการทำนายการมาเกิด และในลักษณะทั้งหลาย แสวงหาประโยชน์อันสูงสุดอยู่ในป่าใหญ่
     
  11. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    การที่คุณ Historian ถามหา แม่น้ำสินธุ ในประเทศไทยนั้น..จนใจจริงๆ เพราะถ้าหากเป็นแม่น้ำในสมัยพุทธกาล เมื่อ 2 พัน 6 ร้อยกว่าปีก่อน และในพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา บันทึกว่าพระพุทธเจ้า หรือพระสาวก หรือคนในสมัยพุทธกาลเดินทางไป อาศัยอยู่ ข้ามแม่น้ำนั้น ผมอาจพอเทียบเคียงหาข้อมูลนั้นได้ แต่นี่ เป็นชื่อแม่น้ำที่มีอยู่เมื่อ 94 กัลปย้อนไปจากกัลปนี้...ดังความในพระไตรปิฎก ที่คุณ Historian คัดมาบางส่วน ซึ่ง ความเต็มๆ มีดังว่า..

    นาลิปุปผิยเถราปทานที่ ๙ (๓๑๙)
    ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกบัว ๗ ดอก
    [๓๒๑] ในกาลนั้น เราเป็นชาวนาอยู่ ณ ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ ประกอบ
    ในแหล่งการงานของผู้อื่น อาศัยอาหารของผู้อื่น เราเที่ยวไปตามแม่น้ำสินธุได้เห็นพระชินเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ กำลังประทับนั่งเข้าสมาธิอยู่ ดัง
    ดอกบัวบานฉะนั้น ในกาลนั้น เราจึงเด็ดดอกบัว ๗ ดอกที่ขั้ว โปรยบูชา
    ที่พระเศียรของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ เราเข้าเฝ้าองค์
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณดังทองคำ มีพระหฤทัยมั่นคง ในการ
    อนุกูล ยากที่จะเข้าใกล้ได้ ดังช้างมาตังคะตกมัน ๓ ครั้ง มีพระปัญญา
    ทรงอบรมอินทรีย์แล้ว ได้ประนมกรอัญชลีถวายบังคมแด่พระศาสดา
    ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการ
    บูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา คุณวิเศษเหล่านี้
    คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว
    พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
    ทราบว่า ท่านพระนาลิปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
    จบ นาลิปุปผิยเถราปทาน.
     
  12. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    การที่คุณ Historian ถามหา แม่น้ำสินธุ ในประเทศไทยนั้น..จนใจจริงๆ เพราะถ้าหากเป็นแม่น้ำในสมัยพุทธกาล เมื่อ 2 พัน 6 ร้อยกว่าปีก่อน และในพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา บันทึกว่าพระพุทธเจ้า หรือพระสาวก หรือคนในสมัยพุทธกาลเดินทางไป อาศัยอยู่ ข้ามแม่น้ำนั้น ผมอาจพอเทียบเคียงหาข้อมูลนั้นได้ แต่นี่ เป็นชื่อแม่น้ำที่มีอยู่เมื่อ 3 หมื่นกัลปย้อนไปจากกัลปนี้.ที่พระพุทธเจ้าพระนามโคดม จักบังเกิดขึ้น..ดังความในพระไตรปิฎก ที่คุณ Historian คัดมาบางส่วน ซึ่ง ความเต็มๆ มีดังว่า..
    มธุทายกเถราทานที่ ๔ (๓๙๔)
    ว่าด้วยอานิสงส์การถวายน้ำผึ้งและลาดหญ้า
    [๓๙๖] เราได้สร้างอาศรมอย่างสวยงามไว้ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ เราบอกคัมภีร์อิติหาสะ
    พร้อมทั้งตำราทายลักษณะ กะพวกศิษย์ที่อาศรมนั้น ศิษย์เหล่านั้นเป็นผู้
    ใคร่ธรรม เราแนะนำดี เป็นผู้ใคร่ฟังคำสั่งสอนดี ถึงที่สุดในองค์ ๖ ประการ
    อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธู เป็นผู้ฉลาดในการทำนายการมาเกิด และในลักษณะ
    ทั้งหลาย แสวงหาประโยชน์อันสูงสุดอยู่ในป่าใหญ่ ในกาลนั้น ครั้งนั้น
    พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ผู้ทรงแนะ
    นำให้วิเศษ จะทรงอนุเคราะห์พวกเรา จึงเสด็จเข้ามา เราได้เห็นมหาวีระ
    พระนามว่าสุเมธ ผู้เป็นนายกของโลก เสด็จเข้ามา จึงได้เอาหญ้าลาด
    ถวายแด่พระองค์ผู้เป็นเชษฐบุรุษของโลก เราถือเอาน้ำผึ้งจากป่าใหญ่ มา
    ถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระสัมพุทธเจ้าเสวยแล้ว ได้ตรัส
    พระดำรัสนี้ว่า ผู้ใดมีความเลื่อมใส ได้ถวายน้ำผึ้งแก่เราด้วยมือทั้งสอง
    ของตน เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ด้วยการถวาย
    น้ำผึ้ง และด้วยการลาดหญ้าถวายนี้ ผู้นั้นจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด
    ๓ หมื่นกัลป ใน ๓ หมื่นกัลป พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ทรง
    สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นจักเป็นทายาท
    ในธรรมของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จัก
    กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะนิพพาน เมื่อเราจากเทวโลก
    มาในมนุษยโลกนี้ เข้าอยู่ในครรภ์มารดา เมล็ดฝนน้ำผึ้งได้ตกปกปิด
    แผ่นดินด้วยน้ำผึ้ง แม้ในขณะเมื่อเราพอออกจากครรภ์นั้น ฝนน้ำผึ้งก็ตก
    ให้แก่เรา เต็มเปี่ยมหม้อตลอดกาลเป็นนิตย์ เมื่อเราออกจากเรือนบวช
    เป็นบรรพชิตแล้ว ย่อมได้ข้าวและน้ำ นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำผึ้ง เรา
    เกิดในเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยกามทั้งปวง ได้บรรลุความสิ้น
    อาสวะ เพราะการถวายน้ำผึ้งนั้นแล.
     
  13. Historian

    Historian สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    ในเมื่อคุณเอกคิดว่าไม่มีก็ไม่เป็นไรครับ ซึ่งอันที่จริงคำว่าคัมภีร์อิติหาสะ นักประวัติศาสตร์จะรู้ดีว่าเกี่ยวกับศาสนาอะไร และในพระไตรปิฎกมีเค้าว่าหมายถึงบริเวณริมฝั่งแม่น้ำใดในปัจจุบันใด

    อย่างนั้นผมเอาของหลวงจีนฟาเหียนที่คุณเอกถนัดก็ได้ครับ เข้าใจว่าอ่านทั้งเล่ม ถ้าหลวงจีนฟาเหียนมาที่ประเทศไทย แล้วแม่น้ำสินธุที่หลวงจีนฟาเหียนข้าม มันอยู่ตรงไหนของประเทศไทยครับ?
     
  14. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    เพื่อให้ง่ายขึ้น..เพราะเวลานี้ ผมไม่มีบันทึกหลวงจีน ฟาเหียนอยู่กับตัวเวลานี้ และไม่คุ้นว่า เป็นสำนวนแปลของใคร? เพราะไม่คุ้นจริงๆ ว่า เมื่อหลวงจีนฟาเหียน เดินทางเข้าสู่ชมพูทวีปนั้นได้ข้ามแม่น้ำสินธุที่แคว้นใด?
    รบกวนช่วย quote ประโยคหรือย่อหน้าที่พูดถึงแม่น้ำสินธุ และแคว้นที่แม่น้ำสินธุไหลผ่าน บางทีผมจะตอบคำถามได้ง่ายขึ้นครับ
    เพราะผมจำได้เป็นบางเรื่อง เช่น จากสาวัตถีหลวงจีนเดินทางล่องมาทางตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ได้ขึ้นไปทางเหนือที่ประเทศเนปาล หรือหลวงจีนได้เห็นพระแก่นจันทน์ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลสร้างแต่ครั้งพระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ หรือ พระเจ้าอโศกโปรดให้สร้างพระพุทธรูปที่เมืองสังกัสสะ แต่ฝรั่งว่าพระพุทธรูปสร้าง พ.ศ. 600 กว่าๆ ไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการสร้างพระพุทธรูป
     
  15. Historian

    Historian สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    คุณเอกครับ ผมคิดว่าเรื่องหลวงจีนฟาเหียนเป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่คุณเอามาใช้อ้างอิง
    สำนวนแปลที่คุณใช้อ้างผมก็อ่านอยู่ มันเป็นสำนวนแปลของ พระยาสุรินทราฤๅชัย (จันทร์ ตุงคสวัสดิ์) แปลและเรียบเรียงจากต้นฉบับของ ศาสตราจารย์ เจมส์ เล็กจ์.เอ็ม.เอ.แอล.แอล.ดี. ผู้เชี่ยวชาญในภาษาและอักษรศาสตร์ของจีน
    จัดพิมพ์ที่ มหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ.2480

    ศาสตราจารย์ เจมส์ เล็ก ในต้นฉบับเขียนไว้ในFoot Noteว่ามันหมายถึงแม่น้ำสินธุ(Indus River)ที่อยู่บริเวณปากีสถาน อินเดียในปัจจุบัน ซึ่งถ้าคุณอ่านทั้งเล่มจริง สภาพภูมิประเทศมันก็ยังคล้ายเดิมเหมือนที่หลวงจีนฟาเหียนเดินทาง

    ผมจะโค้ดที่หลวงจีนฟาเหียนบันทึกไว้จากต้นฉบับเลยแล้วกันครับ


    When one approaches the edge of it, his eyes become unsteady; and if he wished to go forward in the same direction, there was no place on which he could place his foot; and beneath where the waters of the river called the Indus.

    where there are also more than three thousand monks, all students of the hinayana. Proceeding from this place for three days, they again crossed the Indus, where the country on each side was low and level

    From the place where (the travellers) crossed the Indus to Southern India, and on to the Southern Sea,

    เอาแค่นี้คงพอนะครับ แม่น้ำสินธุไม่ใช่แม่น้ำไก่กาอะไรครับ ศาสตราจารย์ เจมส์ เล็กท่านแปลมาแล้วก็พล็อตตำแหน่งสถานที่ไปด้วยถ้าอ่านทั้งเล่ม ในหนังสือยังพูดถึงทะเลทรายโกบีด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2014
  16. Historian

    Historian สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    อีกอย่างหนึ่งที่คุณเอาหลวงจีนฟาเหียนมาอ้างบ่อยๆ คุณต้องไม่ลืมว่าหลวงจีนไปชมพูทวีปหลังจากเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ประมาณหนึ่งพันปี และหลังจากยุคพระเจ้าอโศกร่วมๆแปดร้อยปี

    เอาง่ายๆเราไปเดินอยู่แถวอยุธยาตอนนี้ ซึ่งเราย้ายกรุงมาไม่ถึงสามร้อยปี ผมว่าเราคงงง ก็ได้แค่ถามคนแถวนั้นว่าอะไรเป็นอะไรซึ่งจะได้คำตอบเป๊ะๆคงเป็นไปไม่ได้ แล้วจะให้หลวงจีนฟาเหียนรู้เรื่องเป๊ะๆกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาแปดร้อยปีได้อย่างไร หนำซ้ำการสื่อสารกับคนพื้นเมืองก็คงยากเพราะพูดคนละภาษา
     
  17. siritach

    siritach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +555
    ถ้าโลกนี้ ไม่มี google นายเอกอิสโรจะหา ข้อมูลจากอะไร ?
     
  18. siritach

    siritach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +555
    แย่

    บ้าน เชียง ที่เดียว ไงละครับ คุณคนโง่ ระดับหมู่บ้าน ... ที่ผมพูดนะระดับประเทศ ขนาดพื้นที่และจำนวนคน ระดับประเทศ ... ประเทศไทย ไม่มีประวัติ ระดับพันปีครับ ... ว่าคนอื่นเขาโง่ ใช่คนไทยรึเปล่า หัดมองตัวเองก่อนนะครับ ท่าน... แปลความหมายในการอ่านให้ดีก่อนครับ ...พื้นที่ว่างเปล่า เพราะ บ้านเชียง .. กี่พันปีของคุณ พูดมาได้แบบไร้สติ บ้านเชียงบ้านเดียว หลายพันปีแล้วหลังจากนั้น ละ คนหายไปไหนหมด ? ลูกหลานหายไปไหน ทำไมเกิด ช่วง เว้นว่าง ไม่มีกระดูก ลูกหลาน หรืออะไรเลย มีแค่ บ้านเชียงบ้านเดียว ...เมื่อ เว้นว่าง มีแค่หมู่บ้านเดียวแล้วหายสาบสูญไปจากพื้นที่นั้น .. ก็= ว่างเปล่า และ คงไม่ใช่ บรรพบุรูษ ไทย อาจจะเป้นคน เผ่าโบราณที่เคยอาศัยอยู่ แล้ว ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นต่อ ...ใช้สติก่อน ตอบและ ด่าคนอื่นนะครับ ..คุณ..ฉลาด ..ไปหมด..
     
  19. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    หากสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน อยู่ในเมืองไทย

    เหตุใด พระอาจารย์หลายๆท่านต้องไปที่อินเดีย

    อย่าลืมนะว่า ครูบาอาจารย์ท่านเหล่านั้น ใช่ว่าจะไม่มีญาณวิถี

    ใครมีเหตุผลใด มาแก้ตรงนี้ได้

    [​IMG]
     
  20. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ว่าแต่ท่าน ศาสตราจารย์ ดร.เจียม อิสโรส พรมวงนาคี จะว่ายังไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...