สนทนาธรรม ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๗

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย suekong, 22 พฤศจิกายน 2014.

  1. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    สนทนาธรรม ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๗
    ถ้าพระท่านบอกให้พูดก็พูด ถ้าพระมาบอกไม่ให้พูดก็ไม่พูด เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
    วันนี้ท่านบอกให้พูดก็พูด เพราะถือว่าเป็นวันสำคัญ วันขึ้นดิถีชีวิตใหม่
    สำหรับปีใหม่ในด้านโบราณกาล โบราณถือว่า วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่
    เป็นอันว่านับว่าตั้งแต่วันสงกรานต์ปีที่แล้วถึงปีนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทมีอายุครบ ๑ ปีพอดี
    จัดว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่เราทรงชีวิตอยู่ได้ แต่ว่าการทรงชีวิตของผู้ใดก็ตาม
    ถ้าทรงชีวิตอยู่ในด้านของอกุศล ก็นับว่าโชคร้ายจัด เพราะอะไร เพราะว่าชีวิตอยู่นาน
    เพียงใดก็ตาม เราก็มีอกุศลของความชั่ว ที่เป็นเหตุของความชั่วเกิดขึ้นในวันหน้ามากเท่านั้น

    แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่มากันถ้วนหน้าในวันนี้ พระท่านไม่ได้บอกว่าใครมั่ง
    ขืนบอกชื่อก็จำไม่ได้ บอกว่าปัจจัยที่จะเข้าถึงพระนิพพานมีถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ในชาติปัจจุบัน
    และเรียนถามว่าอีก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านว่าอ่อนไปนิด แต่ก็มีจิตที่จะพึงเข้าถึงได้เหมือนกัน
    แล้วก็เลยแนะนำมานิดหนึ่งตอนท้ายจะเลิกท่านบอกว่า การพูดตอนต้นเป็นสำนวนของพระพุทธกัสสป
    องค์นี้มีอยู่ว่าสำนวนพูดไม่เหมือนองค์อื่น แม้แต่จะให้ศีลก็เอาจริงเอาจัง เจ้ากรมบอกว่าตามไม่ทันว่า
    ไม่เหมือน ถ้าท่านมาแล้วจะมีอะไรแปลกๆ อยู่ตอนหนึ่ง ตอนนี้ให้สำนวนแปลก ชักหนักใจ
    เกรงว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทฟังไม่รู้เรื่อง ดูเหมือนว่าท่านมีสำนวนสัมผัสมาก เป็นเรื่องของสำนวนโบราณ
    ในตอนท้ายนี้องค์ปัจจุบันบอกขอแก้ให้พูดชัดเข้า บอกว่าคนทั้งหลายที่นั่งอยู่นี้ ถ้าตั้งใจกันจริงๆ
    ๙๐ เปอร์เซ็นต์มีหวังแน่นอน นิพพานในชาติปัจจุบัน อีก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เหมือนกัน
    ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็ถึง

    แต่ว่าตั้งใจจริงให้คิดแบบนี้ ปฏิบัติแบบนี้ คือบอกว่าเห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี
    ให้นึกถึงสภาพความเป็นจริงของคนและสัตว์ แม้แต่ตัวเราก็เหมือนกัน
    เห็นคนก็ตามสัตว์ก็ตามคิดว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นตายแล้ว แล้วสภาพที่ตายเป็นอย่างไร
    นึกดูคนที่ตายไปหลายๆ วัน ว่ามีสภาพขึ้นอืดแล้วนานๆ เข้า ความร่วงโรยของการขึ้นก็ลดน้อยลงไป
    ไหลไปแล้วละลายไปตามเนื้อ ในที่สุดก็เหลือแต่ธาตุกระดูก กระดูกมีสภาพเป็นโครงร่าง
    เห็นแต่โครงกระดูก แล้วต่อมากระดูกก็ขาดเป็นท่อนเป็นตอนไป เป็นภาคเป็นชิ้น
    ไม่สามารถจะเก็บเข้ามารวบรวมได้ นานๆ เข้ากระดูกก็เรี่ยรายกระจายกันออกไป แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
    ในที่สุดก็จมอยู่ในพื้นแผ่นดิน

    ท่านบอกว่าเวลานั่งอยู่นอนอยู่ เดินอยู่หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม ถ้ามีอารมณ์ว่างให้คิดถึงอารมณ์นี้
    คิดถึงสภาพคนและสัตว์ที่ตาย มีสภาพขึ้นอืด ต่อไปมีแต่กระดูก และกระดูกก็ตกเรี่ยรายไป
    แล้วก็น้อมเข้าไปหาตัวเรา ตัวเราก็มีสภาพอย่างนี้เหมือนกัน คนอื่นเขาตายได้เราก็ตายได้
    แล้วก็คนอื่นเขาเน่าได้เราก็เน่าได้ เราเก่งเท่าเขา ในที่สุดเขาเน่าแล้ว ความเน่าทรุดโทรมลงไปเหลือแต่กระดูกได้
    เราก็เหลือแต่ร่างกระดูกได้เหมือนกัน ต่อมาร่างกระดูกเขาพลัดออกไปเป็นภาคเป็นชิ้น
    ของเขาเป็นเช่นไรของเราก็เป็นเช่นนั้น ในที่สุดกระดูกก็เรี่ยรายไป ในที่สุดจมไปในพื้นปฐพีหาธาตุกระดูกไม่ได้
    เขาเป็นได้เราก็เป็นได้ ชื่อว่าเราเก่งเท่าเขา

    ทีนี้ถ้าหากว่าเราจะเกิดไปอีกกี่ชาติสภาพมันก็เป็นอย่างนี้ ในตอนต้นก็รู้สึกว่าดี มีชีวิตมีลมปราณ
    เราหายใจได้ เข้าใจว่าโก้ หรือเข้าใจว่าดี แต่ว่าความตายค่อยคืบคลานเข้ามาทุกทีๆ ถ้าเราไม่เอาสติสัมปชัญญะเข้าไปนึกถึง เราก็จะคิดว่าเราเป็นบุคคลที่ไม่ตาย แต่ความจริงเราต้องตาย
    เกิดทุกชาติมีสภาพเหมือนกันอย่างนี้ทุกชาติ

    แล้วท่านก็เตือนต่อไปว่า ให้ทุกคนคิดอารมณ์แบบนี้ให้เป็นเอกัคคตารมณ์ คำว่าเอกัคคตารมณ์
    หมายถึงอารมณ์อันเดียว จัดเป็นฌาน ทำไมจึงเป็นอารมณ์อันเดียวได้ สรุปความ เรานั่งอยู่ก็ดี
    นอนอยู่ก็ดี เดินอยู่ก็ดี ถึงจะไปไหนก็ตามจะเห็นคนสัตว์ หรือไม่เห็นก็ตาม คิดว่าสภาพอย่างนี้มันมีกับเราแน่
    และสภาวะที่กล่าวนี้มันมีกับคนและสัตว์ทุกคน แล้วเราจะทำเป็นคนฉลาดเกินโลก คิดว่าคนอื่นเขาพังได้
    เราไม่พัง คนอื่นเน่าได้ คนอื่นเขาเหลือแต่กระดูกได้ เราจะมีเนื้อมีหนังมีชีวิต
    และในที่สุดกระดูกก็เรี่ยรายไปหมด กระจัดกระจาย และของเรายังมีสภาพมีชีวิตอยู่ตามเดิม
    อย่างนี้ท่านเรียกว่า มีอารมณ์คิดฉลาดเกินโลก ความจริงท่านน่าจะบอกว่าโง่เกินโลก
    แต่ว่าฉลาดเกินไปก็ใช้ไม่ได้ อารมณ์ฉลาดแบบนี้เป็นอารมณ์ฉลาดหาความทุกข์
    คือไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

    ทีนี้เมื่อเห็นสภาพของความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
    กระดูกเรี่ยรายทับผืนแผ่นดินจนกระทั่งหาไม่ได้แล้ว และก็บอกว่าให้พิจารณากายของเราก็ดี
    กายของบุคคลอื่นก็ดี ที่มันเน่าอยู่อย่างนี้ เป็นของน่ารักตรงไหน ท่านว่าอย่างนั้นนะ
    นี่องค์ปัจจุบันท่านมาสรุปให้ฟัง ท่านบอกว่า สำนวนพระพุทธกัสสปวันนี้ที่ท่านมาพูดสำนวนเก่ามาก
    เกรงว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทจะไม่เข้าใจ ท่านก็เลยขยายออกมา บอกว่าในเมื่อสภาพร่างกายของเราก็ดี
    ของคนอื่นก็ดี นี่ว่ากันถึงตอนตาย ยังไม่ตายก็สกปรกพอแล้ว นี่ก็ตอนตายสกปรกแบบนี้
    เราจะมองดูชีวิตเพื่ออะไร ให้ตัดแต่เพียงว่าคิดว่าตาย ในเมื่อทุกคนต้องตาย
    จะต้องเน่า เน่าแล้วก็หมดเนื้อหมดหนัง ในที่สุดก็เหลือแต่กระดูก กระดูกก็ยังไม่ทรงตัว ขาดถึง ๖-๗ ท่อน
    แล้วก็แตกเป็นชิ้นเล็ก อย่างนี้เราคิดว่ามันดีตรงไหน ทำไมเราจึงต้องมานั่งคิดว่าเราจะต้องเกิดต่อไป
    ทุกข์ที่ประจำใจประจำกายทุกขณะจิต ทำไมทุกคนไม่คิดถึง แล้วทำไมทุกคนจึงไม่คิดว่าเราจะเลี่ยงความทุกข์
    หนทางที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์มันมี

    ตอนนี้องค์สมเด็จพระบรมครูตัดเนื้อความให้สั้นเข้ามา ท่านบอกว่าคนทุกคนที่มานั่งกันอยู่ที่นี่
    ถ้ามากันด้วยความศรัทธา ท่านวงเล็บไว้หน่อยนะ ฟังให้ดีนะ ท่านบอกว่ามาด้วยความศรัทธา
    และตั้งใจปฏิบัติด้วยศรัทธา ถ้าใครมาเพราะไม่มีศรัทธาและปฏิบัติไม่มีศรัทธา ท่านไม่รับรองว่าทุกคนจะเห็นผล
    ในฐานะที่จะได้อริยมรรค อริยผลทุกคนในชาตินี้ แต่ทว่าการจะเข้าถึงผลในพระนิพพานในชาตินี้
    ท่านบอกว่าต้องระมัดระวังหน่อย เพราะเกณฑ์ของบุคคลยังมีจริงๆ อยู่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์
    ความจริงถ้าเราได้พระโสดาบันเราก็เบ่งได้แล้ว เบ่งกับพระยายมได้แล้ว พระยายมบัญชีไม่มีสำหรับเรา
    มีเท่าไรเพื่อนฉีกทิ้งหมด ไอ้บัญชีฝากเรามีอยู่แต่ชาติไหนๆ ที่ให้ผลในด้านของสำนักพระยายม
    ถ้าเราเข้าถึงพระโสดาบัน บัญชีเราก็จะถูกทำลายไป เพราะอะไร ไม่มีประโยชน์ที่จะจดต่อไป
    เพราะโทษที่เราจะลงอบายภูมิไม่มี องค์สมเด็จพระชินสีห์ท่านบอกว่าจงระวัง ระวังกำลังใจไว้

    อันดับแรกคือ สมถภาวนา คือบอกให้พิจารณาถึงความตายเป็นสมถะ
    ทีนี้ถ้าหากว่าเราพิจารณาถึงความตาย ความเน่า ความเปื่อยของร่างกาย คือสภาพน่าเกลียด
    ตอนนี้แหละจิตมันโยงเข้าไปถึงวิปัสสนาญาณทันที ทั้งๆ ที่เราไม่ตั้งใจที่จะเจริญวิปัสสนาญาณให้เข้าถึง
    เมื่อเราเห็นสภาพความเน่าของบุคคลอื่นแล้ว ของเน่านี่ไม่มีใครรัก ถ้าบังเอิญมีคนปรารถนาของเน่าขึ้นมา
    พระพุทธเจ้าท่านว่าฉลาดเกินไป ตอนนี้แหละอารมณ์นิพพิทาญาณในด้านวิปัสสนามันเข้าถึง
    เป็นอันว่าวิปัสสนาญาณก้าวเดียวก็สตาร์ททีเดียวถึงข้อที่ ๖ เลย เห็นไหมไม่ต้องมานั่งย่ำข้อหนึ่งข้อสองกัน

    ถ้าพิจารณาความเน่าของร่างกายนั้น นิพพิทาญาณมันก็เกิด คำว่านิพพิทาญาณแปลว่าความเหนื่อยหน่าย
    เหนื่อยหน่ายเพราะอะไร เพราะร่างกายแต่ละร่างกายของบุคคลทั่วไปก็เต็มไปด้วยความเน่าเหมือนกัน
    ถึงจุดเน่า เน่าจนไม่รู้ตัวเราอยู่ตรงไหน ความเบื่อมันก็เกิด เมื่อความเบื่อมันเกิด
    ตอนนี้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า เมื่อเบื่อแล้วก็จงคิดหาทางตัด ตัดไปเลย
    พิจารณาว่าร่างกายมันไม่ดีอย่างนี้ ถ้าเรามีความต้องการในการเกิดอีกเพียงใด
    เราก็จะพบกับความทุกข์ในข้อต้น และก็พบในความเน่าเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งใจตัดเฉพาะเพื่อพระนิพพาน

    ให้พิจารณาว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไร แม้แต่ร่างกายของเรานี้ มันก็เพียง ๕ สิ่ง มาประชุมกันในเรือนร่างชั่วคราว
    และในที่สุดก็มีสภาพอย่างนั้น ทรัพย์สินต่างๆ ที่เราหาไว้ก็มากมาย ในเมื่อร่างกายเราตายเสียอย่างเดียว
    เราก็ไม่มีสิทธิ์มาปกครอง

    องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถบอกว่า เตือนไว้สักนิด ว่าดินแดนที่มีความสุขจริงๆ นี่เกิดแล้วไม่แก่
    ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ตาย ไม่สลายตัว ไม่มีความทุกข์ นั่นก็คือพระนิพพาน
    ในการที่จะทำจิตให้เข้าถึงพระนิพพานนั้น ท่านบอกว่าทำง่ายๆ แบบง่ายๆ คิดได้เลยว่าเราไม่มีอะไร
    ถ้าร่างกายของเราไม่ใช่เรา ทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายไม่ใช่เรา ที่เราเกิดมาก็ด้วยอำนาจความโง่
    เวลานี้เรามาพบพระพุทธเจ้าที่ทรงความฉลาด สามารถชี้ช่องทางให้เราหลีกความโง่ได้
    เราจึงน้อมใจหรือว่าเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร
    คิดว่าความมีอะไรไม่มีสำหรับเราแล้วในโลกนี้ โลกนี้จัดว่าเต็มไปด้วยความทรมาน
    เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่เอา ไม่มาอยู่
    เราไม่ต้องการมาอยู่ แล้วเราก็ไม่ต้องการพักอยู่ที่สวรรค์ ไม่ต้องการพักอยู่ที่เทวโลก
    เราต้องการเด็ดเดี่ยวคือพระนิพพาน

    อันนี้ถ้าอารมณ์อันนี้เกิดขึ้นกับเราเป็นอาจินต์ เรียกว่าอารมณ์เอกัคคตารมณ์ คำว่าเอกัคคตารมณ์
    นี่มันนึกอยู่เป็นปกติ ให้มีอารมณ์เดียวโดยเฉพาะ ทีนี้ถ้าอารมณ์อย่างนี้มันเกิด
    พระพุทธเจ้าให้หันไปจับสังขารุเปกขาญาณ คำว่าสังขารุเปกขาญาณ คือญาณเป็นเครื่องวางเฉยในร่างกาย
    เห็นว่าร่างกายของเรานี้มันแก่ก็ช่างมัน เฉยไว้ สังขารุเปกขาญาณคืออุเบกขา เป็นอย่างไร
    สังขาระ อุเบกขา มาสนธิกันเข้าและเรียกว่า สังขารุเปกขา เรียกว่าวางเฉยในสังขาร ร่างกายมันจะแก่ก็
    ตามใจมัน รู้แล้วว่ามันจะแก่ เวลามันป่วยไข้ไม่สบาย เมื่อป่วยก็รักษา รักษาแล้วก็หาย ไม่หายก็ตาย
    ช่างหัวมัน ใจสบาย เวลาเราจะตาย จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจที่พึงหามาได้ด้วยความยาก
    เราก็สบายใจ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าทรัพย์สินเหล่านี้ ที่เราพึงหามามีประโยชน์แต่เฉพาะที่มีชีวิตอยู่
    เราหามาตามหน้าที่ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ต้องกินต้องใช้ แต่ว่าเราจะตายเราก็เลิกกัน เรารู้อยู่แล้ว

    อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารให้คิดง่ายๆ แบบนี้เป็นประจำวันทุกวัน วันหนึ่งอย่างมาก ๑๐ นาที
    จะเป็นเวลาไหนก็ตาม ไม่ต้องมาก จะเป็นเวลาเช้า เวลาสาย เวลาบ่าย เวลาเที่ยง เวลากลางวันก็ช่าง
    จะนั่งคิด นอนคิด เดินคิด ยืนคิดก็ช่าง ราวสักวันละ ๑๐ นาทีเป็นประจำ จะคิด ตัดสินใจ
    มุ่งในใจได้ พิจารณาได้ด้วยความจริงใจ ด้วยอำนาจของญาณ คือความจำ จำจากคำพูดไปแล้วไปคิดตามนั้น
    แต่ความจริงความคิดไม่ต้องเลียนคำพูดเป็นสำคัญ เอาความเข้าใจเป็นสำคัญ ท่านบอกว่าคิดสักวันละ
    ๑๐ นาที อย่างช้า ๓ ปี จิตจะเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ ท่านบอกว่าถ้าจิตเข้าถึงเอกัคคตารมณ์
    และก็ไม่ต้องนั่งนับพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พอเป็นเอกัคคตารมณ์จริงๆ แล้ว
    ทั้งผู้ชายผู้หญิงพระเณรก็ตาม อย่างเลวที่สุด ๗ เดือน อย่างดีที่สุด ๑ เดือนเท่านั้นสบาย
    สบายตอนไหนไม่บอก บอกไม่ได้ บอกเดี๋ยวไปพูดกับใครจะหาว่าจุ้นจ้านเกินไป
    ******************
    ที่มา: E-book รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม ๑ เผยแพร่โดย luangpor.com

    พระท่านช่วยย้ำให้มั่นใจมากขึ้นนะครับ ว่าการคิดทุกคืนก่อนนอนได้ผลแน่นอน
    (ขอเพียงอย่างเดียวอย่าขี้เกียจให้มากกว่านี้ ต้องคิดทุกคืนจริงๆ)
    แถมท่านยังกำหนดเวลาไว้ให้เสร็จสรรพ สาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2014
  2. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     
  3. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    ชีวิตคนเราก็เท่านี้ ตายไปก็เอาไปได้แค่บุญกับกุศลที่ติดตัวเท่านั้น
    กราบในคำสอนของหลวงพ่อฤาษีด้วยจิตเคารพศรัทธาอย่างยิ่ง
    กราบอนุโมทนา สาธุที่นำมาเผยแผ่ค่ะ
     
  4. daowdeaw

    daowdeaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    537
    ค่าพลัง:
    +1,558
    กราบสาธุธรรมในคำสอนของหลวงพ่อฤาษี
    จะคิดทุกคืนก่อนนอนและปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อค่ะ
     
  5. vannipa

    vannipa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +222
    กราบ กราบ กราบ นมัสการหลวงพ่อที่เคารพรักอย่างยิ่งเจ้าค่ะ เมื่อลูกหมดอายุขัย มารับลูกกลับบ้านพระนิพพานด้วย เจ้าค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...