เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UCzMET9eTssh_fdxlYPKDYRs0bIu6OihIVeDhX-0ijKt.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2018
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    >

    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UHVZay7AHGBInrDuGoehUmwP-32vQwWc2eyJC5Kp38IB.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2018
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <center>ประสบการณ์ของข้าพเจ้า

    </center>
    <center>สุวิทย์ สวรรค์กสิกร</center>


    <dd>ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการหลวงพ่อ (พระราชพรหมยานมหาเถระ) ด้วยความเคารพรักอย่างสูงยิ่ง หลวงพ่อท่านเมตตา เทศน์ สอนธรรม เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ที่บ้านซอยสายลม (ของท่าน พล.อ.ท. หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เวลาหัวค่ำ ท่านเล่าเรื่อง ตัมพทาฐิกโจร ว่า “ท่านเป็นโจรมาตั้งแต่เด็ก อย่างของเราจะเทียบบาปกับท่านตัมพทาฐิกโจร เราเทียบกันไม่ได้

    </dd><dd>ท่านเกิดมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยพบกับคำว่า ทำความดี และต่อมาเมื่ออายุ ๑๖ – ๑๗ ปี ก็เข้าไปในสำนักของโจร ปล้นเขาบ้าง ฆ่าเขาบ้างตลอดเวลา ต่อมาเมื่อออกจากความเป็นโจร ก็มาเป็นเพชฌฆาต ก็ฆ่าพวกกันเอง ๕๐๐ คน เขาให้เป็นเพชฌฆาตฆ่า ถ้าใครเป็นเพชฌฆาตฆ่าโจร ๕๐๐ ได้ เขาจะไม่เอาโทษกับคนนั้น ให้เป็นเพชฌฆาตฆ่าต่อไป ตอนหลังท่านแก่มากแล้ว มีลูกสาวโตแล้ว

    </dd><dd>พอดีฟังเทศน์จากพระสารีบุตรครึ่งจบ เป็นพระโสดาบัน ทำไมจึงฟังครึ่งจบ ครึ่งจบแรก พระสารีบุตรท่านเทศน์เรื่องปาณาติบาต แกเหงื่อแตกพลั่ก เพราะว่าพระสารีบุตรเทศน์ตรงกับความเป็นจริงที่แกทำมาทุกอย่าง ต้องลงนรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง พระสารีบุตรท่านเป็นพระฉลาด เห็นว่าตัมพทาฐิกโจรไม่สบายใจ ท่านก็หยุดเทศน์ ถามว่า โยมไม่สบายรึ ท่านบอกไม่สบายใจ

    </dd><dd>ท่านก็หยุดเทศน์ ต่อมาท่านหานโยบายเทศน์ใหม่ ในที่สุดตัมพทาฐิกโจรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันก็เป็นอันว่าบาปเก่าทั้งหมดทีทำแล้วในชาตินี้ก็ดี ชาติก่อนก็ดี ไม่สามารถให้ผลได้ เพราะว่าพระโสดาบันเขาแปลว่า เป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน คนที่เข้าถึงพระนิพพานแล้ว อบายภูมิลงโทษไม่ได้” “ทีนี้ญาติโยมพุทธบริษัทก็ยังมีบาปไม่เท่าตัมพทาฐิกโจร
    </dd><dd>คุณสุวิทย์ เป็นพระโสดาบันหรือยัง (งง เราเป็นพระโสดาบันหรือยังก็ไม่รู้ คิดในใจ) ฉันว่าบางเวลาคุณเป็นพระอรหันต์นะ (ญาติโยมหัวเราะ ฮา กันทั้งห้อง) บาง เวลานะ เป็นอรหันต์เพราะอะไร
    </dd><dd>
    </dd><dd>
    </dd><dd>
    </dd><dd>อรหันต์มีอย่างเดียวคือ สังขารุเบกขาญาณ อย่างที่วัดพระบาทตากผ้า (หลวงพ่อครูบาพรหมจักรสังวร – พระสุพรหมยานเถระ) ท่านบอกว่า อรหันต์ชั่วคราว ขณิกอรหันต์ หรือ ขณิกนิพพาน แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นบ่อยๆ อารมณ์มันชินนะคุณ
    </dd><dd>อย่าลืมนะ บางครั้ง เราอาจเห็นว่าร่างกายของเราไม่เป็นเรื่อง มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลาง มีการสลายตัวในที่สุด มีชีวิตอยู่ก็ประกอบกิจการงาน มีความลำบาก ในที่สุดก็ต้องตาย ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิด มันก็ต้องเกิดแบบนี้ต่อไป จิตใจเกิดวางเฉยในร่างกายขึ้นมาว่า ร่างกายอย่างนี้ ถ้ามันจะตายเมื่อไรก็เชิญตาย ฉันจะไปนิพพานอย่างนี้เคยมีไหม”
    </dd><dd> (ตอบในใจว่ามี เคยคิดอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน เหมือนที่หลวงพ่อเทศน์เลย) หลวงพ่อเห็นว่าไม่ตอบออกเสียง ท่านหยุดเทศน์นิดหนึ่ง กำหนดดูคำตอบจากวาระจิตของข้าพเจ้าแล้วค่อยเทศน์ต่อ การรู้วาระจิตของหลวงพ่อ รู้รูปธรรม นามธรรมของผู้อื่นในปัจจุบัน จนถึงในอดีต กี่ภพ กี่ชาติ หรืออสงไขยกัป ท่านก็สามารถรู้ได้

    </dd><dd>ยิ่งกว่านั้นอนาคตของผู้ใดจะเป็นอย่างไร ท่านก็สามารถรู้ได้ อย่างการปฏิบัติธรรมผลจะเกิดอย่างไร ท่านพยากรณ์ล่วงหน้าไว้ให้ได้เลย และยังสอนธรรมล่วงหน้าไว้ให้เกิดอารมณ์ธรรมในวันข้างหน้าได้อีกด้วย เมื่อถึงวันเวลานั้นเรานำไปปฏิบัติ (ท่านมีวิธีลีลาในการสอนลูกศิษย์แต่ละท่านที่ไม่เหมือนกัน แล้วแต่โอกาสและอนุสัย วาสนา บุญบารมีของแต่ละท่านที่แตกต่างกัน)
    </dd><dd>นี่แหละจิตใจแบบนี้ มันเป็นอรหันต์บางครั้ง อรหันต์ชั่วคราว แต่ในขณะที่เป็นอรหันต์ชั่วคราว ใครจะมาด่าที่หลังบ้านไมได้นะ เดี๋ยวอรหันต์ลากลับ หนักเลยมาแทน ก็ไม่แน่นะ จิตใจมันมีอารมณ์หนักกว่า คำว่าหนักในที่นี้คือบุญมากกว่า ฯลฯ หลังจากเลิกกรรมฐานแล้ว จิตใจข้าพเจ้าก็พองฟู ร่าเริง เหมือนกับมีความรู้สึกโอ้อวด หลวงพ่อกำลังรับสังฆทานอยู่
    </dd><dd>เสียงดังออกมาทางเครื่องขยายเสียงว่า อย่าโอ้อวด อย่าเหลิงหลงระเริงว่าเราดีแล้ว ใจข้าพเจ้าแฟบเหมือนลูกโป่งหมดลม แฟบติดดินปานนั้น ท่านเคยสอนไว้ว่า ถ้าเรายังไม่เข้านิพพานเพียงใด อย่าคิดว่าเราดี พระอรหันต์ท่านไม่เคยคิดว่าท่านดี ช่วงก่อนเวลานั้นข้าพเจ้าป่วย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ทุกวัน ร่างกายทรุดโทรม
    </dd><dd>กลางเดือนเมษายน เวลาเที่ยงวัน ออกไปนอกบ้านกลางแจ้ง โดนแดดร้อนยังต้องใส่เสื้อกันหนาวไหมพรมออกไป ชาวบ้านเห็นแล้วก็งง ต้องให้แพทย์ฉีดยาแก้ไข้ทุกวัน และกินยาทุกวัน ตลอดมาเป็นเวลาหลายปี และจำเป็นต้องทำงานขับรถสิบล้อไปเอาถ่านไม้ไผ่มาขายเป็นอาชีพ ที่ จ.อุทัยธานี แถวๆ หลังวัดท่าซุง ใช้เส้นทางกรุงเทพ – นนทบุรี – สุพรรณบุรี ขับรถอยู่ระหว่างทาง
    </dd><dd>ร่างกายก็ป่วย ป่วยมากๆ แรงๆ เข้า ร่างกายก็มีอาการทุกข์หนักมาถึงใจ ทำท่าว่าจะขับรถไปไม่ไหว (หลวงพ่อบอกว่า ทุกข์เสียจนชิน เลยไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์) ก็จำเป็นต้องหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพ เป็นภาระในโลกมนุษย์ที่จะต้องทำ (ก็เพราะความเสือกของเรา เสือกมันทุกอย่าง ถ้าเราไม่เสือกก็ไม่ต้องทำใช่ไหม ไปนิพพานได้โดยง่าย ไม่ต้องเสียเวลามาทนทุกข์ดิ้นรนอย่างนี้)
    </dd><dd>เป็นอันว่าก็ทนทุกข์สู้ขับรถและทำต่อไป ถ้าร่างกายเอ็งจะตายเมื่อไร ข้าขอจอดรถไว้ข้างทางแล้วให้เอ็งตาย ข้าจะได้ไปนิพพาน จะได้หมดทุกข์ หมดภาระที่จะต้องอยู่ทรมานในโลกมนุษย์ ส่วนซากศพของตัวเอ็ง ตายแล้วก็ช่างมัน ญาติหรือภรรยาทางบ้านจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่าง เราไปนิพพานแล้วสบาย ไปห่วงร่างกายมันทำไม ส่วนรถจะเป็นอย่างไร ทางบ้านรู้หรือไม่รู้ก็ช่าง

    </dd><dd>ร่างกายมันป่วยจะหมดแรง ทรมานมันทุกข์ และภาระต่างๆ ในโลกมนุษย์ก็มาก ตายแล้วเราไปนิพพาน ไม่ห่วงใครอะไรทั้งนั้น อารมณ์ก็วางเฉยขึ้นมา (ที่หลวงพ่อบอกว่า เป็นอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ที่หลวงพ่อเทศน์แล้วถามว่า อย่างนี้เคยมีไหม) อารมณ์อย่างนี้มีเป็นประจำ คิดอย่างนี้อารมณ์ปีติ และนิพพิทาญาณต้องทรงตลอดจึงจะมีผล ทำให้เกิดปัญญา ความรู้สึก และอารมณ์

    </dd><dd>เข้าถึงสภาวธรรม เห็นสัจธรรมอันแท้จริงได้ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี – พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฎ์ แห่งวัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย ท่านบอกว่า ถ้ายังไม่ได้ก็ร้องไห้อยู่นั่นแหละ นั่งสมาธิ มารก็มาชวนให้เลิกนั่ง ก็ใจเรานั่นแหละชวนให้เลิก ขันธมารก็บอกว่า ปวดเมื่อย เลิกก่อนเถอะ มันก็ไม่สำเร็จสักที เมื่อได้แล้วก็เลิกร้องไห้) ขับรถไป ภาวนาบ้าง พิจารณาอริยสัจ

    </dd><dd>และวิปัสสนาญาณบ้าง ขับรถไปคนเดียวแหละ จะพิจารณาได้ผลดี มาพบหลวงพ่อที่บ้านสายลม ท่านก็สอนและเคี่ยวอารมณ์ต่อให้อีกเป็นประจำ บางครั้งท่านสอนเราก็ได้ผลตามที่สอนเดี๋ยวนั้น ต่อหน้าท่าน (ได้อารมณ์ธรรม) บางครั้งไปได้เอาวันหน้า ได้พบพระอาจารย์สอนธรรมเก่งแลยอดเยี่ยมอย่างนี้ เราก็สุดยอดแห่งความโชคดีและสบายไป

    </dd><dd>อันที่จริง หลวงพ่อท่านเทศน์ย้ำการคิดพิจารณาวิปัสสนาญาณ และอารมณ์ธรรมที่เราได้ เพื่อยืนยันให้เราทราบว่าเป็นผลของความถูกต้อง และให้คิดพิจารณาต่อไป ให้รักษาและทรงอารมณ์ให้ได้ต่อไป คือจะได้คล่องและชินต่ออารมณ์นี้ เมื่ออารมณ์แก่กล้าแล้ว บารมีเต็มก็จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ต่อไป
    </dd><dd>เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ได้อารมณ์แล้วใหม่ๆ ยังมีอารมณ์สงสัยไม่แน่ใจอยู่ว่าใช่หรือไม่ใช่ หลวงพ่อบอกว่า ทุกคนที่ได้อารมณ์ธรรมใหม่ๆ ก็สงสัยกันทั้งนั้น ท่านบอกว่า ตัดเล็กตัดน้อย ตัดๆ ให้มันขาดหมดไปเสีย ไปได้ไปเลย อยู่ทำไม มันทรมาน ช่วงนั้นมาพบหลวงพ่อใหม่ๆ ไม่นานนัก คิดว่าหลวงพ่อจะให้เราไปไหน ให้ไปบวชเป็นพระหรือให้เราไปนิพพาน ให้ไปบวชก็ยังมีภาระต้องห่วง (ก็เรามันเสือกห่วงเอง)
    </dd><dd>ให้ไปนิพพานอารมณ์ก็ยังอ่อนไปหน่อย ไปไม่ได้ เลยต้องอยู่ทรมานต่อจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อสอนว่า ต้องทรงอารมณ์ให้เข้มแข็ง เข้มข้น เคี่ยวอารมณ์วิปัสสนาญาณให้อารมณ์นิพพิทาญาณแก่กล้า ทรงฌานสมาบัติให้แก่กล้า จึงจะตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ง่ายขึ้น และการจะตัดขันธ์ห้าร่างกายให้ขาดได้ ต้องประกอบด้วยมีจิตใจแกล้วกล้า ร่าเริง องอาจ กล้าหาญ

    </dd><dd>ถึงจะตัดขันธ์ห้าให้ขาดว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายมันไม่มีในเรา มันคือมัน เราคือเรา ร่างกายมันเป็นเพียงธาตุ ๔ ประชุมกันขึ้นมาเป็นร่างกาย ไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องตาย มันตายเมื่อไร เราขอไปนิพพาน แล้วก็ตัดอวิชชาในสังโยชน์ ๑๐ ต่อว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เราไม่ต้องการ จะสวยงามเพลิดเพลินเพียงใด เราไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

    </dd><dd>แล้วท่อง นิพพานัง ปรมัง สุขัง พร้อมกันนี้ต้องทรงอารมณ์ปีติในโพชฌงค์เจ็ด และอารมณ์นิพพิทาญาณ ในวิปัสสนาญาณเก้า และฌานสมาบัติ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปมาก่อน จึงจะตัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้สิ้นไปจากอนุสัยสันดานได้
    </dd><dd>สัมโพชฌงค์เจ็ด คือองค์แห่งการตรัสรู้ หรือธรรมเป็นเครื่องประกอบการตรัสรู้ (ผู้เขียน: อารมณ์ (สัมโพชฌงค) เป็นเครื่องประกอบการตรัสรู้ ถ้าผู้เขียนเข้าใจผิด กราบขอขมาโทษต่อองค์พระรัตนตรัย และขออภัยต่อท่านผู้อ่านทุกท่าน)
    </dd><dd> สัมโพชฌงค์ คือองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ประการเหล่านี้คือ
    </dd><dd>๑. สติสัมโพชฌงค์ ตามระลึกรู้ ในการพิจารนา ใคร่ครวญในธรรม (ตามระลึกรู้ในสติปัฏฐาน ๔)
    </dd><dd>๒. ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ความใคร่ครวญในธรรม (ใช้ปัญญาคิด วิจัยธรรม) ปัญญาที่รู้ตามความเป็นจริงรู้อริยสัจสี่
    </dd><dd>๓. วิริยสัมโพชฌงค์ ความเพียรในการคิดใคร่ครวญในธรรม เพียรในการปฏิบัติธรรม วิปัสสนาสติปัฏฐาน เพียรเพื่อไม่ให้อกุศลจิตเกิดขึ้น เกิดขึ้นให้ดับเสีย เพียรให้กุศลจิตเกิดขึ้นเจริญบริบูรณ์ (ปธาน ๔)

    </dd><dd>๔. ปีติสัมโพชฌงค์ ความอิ่มใจ (ปีติในนิพพิทาญาณ) ไม่ใช่ปีติในอุปจารฌาน หรือ ปฐมฌาน
    </dd><dd>๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบ (หลังจากอารมณ์และอาการของปีติและนิพพิทาญาณสงบลง)
    </dd><dd>๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ ความตั้งใจมั่น (ในไตรลักษณญาณ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา)
    </dd><dd>๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ความวางเฉย (ในไตรลักษณญาณ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ว่าเป็นธรรมดาของสัจธรรม จนเป็นอารมณ์ สังขารุเปกขาญาณ)

    </dd><dd>สติ ตามระลึกได้ ในวิริยะ ความเพียร ในธรรมวิจยะ คิดใคร่ครวญในธรรมทั้งหลาย มีวิปัสสนาญาณเก้า อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ และข้อธรรมอื่นๆ จนเกิดอารมณ์นิพพิทาญาณ และปีติ เมื่ออารมณ์และอาการของปีติ และนิพพิทาญาณหยุดลง จะเกิดผลเป็นปัสสัทธิมีความรู้สึกในอารมณ์ มีความรู้สึกว่า อารมณ์ จิตใจ สมอง ว่างเบาสบาย มีความสุข แล้วทรงสมาธิ

    </dd><dd>ตั้งใจมั่นไว้ในไตรลักษณญาณ ว่าธรรมทั้งหลายมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อุเบกขา อารมณ์วางเฉยในสัจธรรมทั้งหลายว่า เป็นธรรมดา มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนเป็นอารมณ์ สังขารุเบกขาญาณ เห็นว่าความเกิด ความแก่ ความป่วย ความตาย เป็นธรรมดา มันจะเกิด จะแก่ จะป่วย จะตาย ก็ช่างมัน เราก็บริหารรักษาร่างกายให้มันเป็นไปตามธรรมดา
    </dd><dd>มันจะตายก็ตาย จะอยู่ก็อยู่ ตายเมื่อไรเราก็ไปนิพพาน การนินทา สรรเสริญ กระทบกระทั่ง ความไม่พอใจ ก็ช่างมัน คือไม่สนใจในโลกธรรมแปดประการ เราไม่สนใจ มีอารมณ์ความรู้สึกเห็นว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่วัตถุ สัตว์ บุคคล ตัวตนเรา เขา ไม่มีชื่อ (สมมติ) เป็นเพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาติที่มีมา

    </dd><dd>(มีมาเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครรู้ หรืออาจจะมีผู้รู้ก็ได้ มันเป็นของแปลกมากที่มีมาได้อย่างไร) หลวงพ่อบอกว่า ในเมื่อมันมีมาแล้ว สิ่งที่สำคัญคือ ทำจิตวิญญาณที่ (สมมติ) ว่าเป็นของเรา ชำระให้มันสะอาดสมควรอย่างยิ่ง (ท่านทั้งหลายมีใครบ้างที่ยังมิได้เริ่มทำ เริ่มทำวันนี้ จะถึงจุดหมายคือนิพพานในวันหน้า)
    </dd><dd>สัมโพชฌงค์ องค์แห่งตรัสรู้ ๗ ประการนี้ เป็นธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นผู้เห็นธรรมทั้งปวงได้ตรัสไว้ชอบแล้ว ซึ่งตัวบุคคลเจริญให้มากแล้ว จนบารมีแก่กล้า อารมณ์สัมโพชฌงค์เสมอกันทั้ง ๗ ประการตามสมควร จะขาดธรรม ๗ ประการนี้ข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ ต้องอาศัยธรรม ๗ ประการนี้ ให้อารมณ์เสมอพร้อมกัน จึงจะตรัสรู้ได้

    </dd><dd>ธรรม ๗ ประการนี้ย่อมทำให้ผู้ปฏิบัติได้เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อพระนิพพาน และเพื่อตรัสรู้ในการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ผู้ปฏิบัติควรต้องศึกษาให้รู้จักสัมโพชฌงค์ ๗ นี้เสียก่อน เพราะการปฏิบัติธรรม วิปัสสนา และได้บรรลุถึงขั้นมรรคผลนั้น ต้องอาศัยสัมโพชฌงค์ทั้งเจ็ดเป็นเครื่องเจริญมรรค พึงเป็นผู้ทำให้สัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์ขึ้นเสมอกัน
    <center>อ่านหนังสือธรรมะ เข้าใจไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์

    </center> </dd><dd>ข้าพเจ้าหลังจากอ่านหนังสือพรสวรรค์แล้ว พบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ท่านบอกว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าทำยังไม่ถึงอารมณ์ธรรมเพียงใด อ่านหนังสือธรรมจะเข้าใจไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์ เปรียบเหมือนคนเดินผ่านบ้านหลังใหญ่ สวยงาม เห็นแต่ภาพนอกบ้าน ไม่มีโอกาสที่จะเห็นส่วนที่อยู่ภายในบ้าน

    </dd><dd>เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมถึงอารมณ์อยู่ในระดับหนึ่ง พอดีได้อ่านหนังสือพรสวรรค์ฉบับรวมเล่ม หน้า ๓๐๘ (ปีที่อ่านเป็นฉบับแยกเป็น ๓ เล่ม) อ่านแล้วอารมณ์ความรู้สึก ปัญญา เห็นชัดเจนตามธรรมเหล่านั้น อารมณ์ทรงอยู่ระดับเดียวกันกับหนังสือที่อ่าน (เวลาที่อ่านปีนั้นนะ ไม่ใช่เวลาที่เขียนนี้)
    </dd><dd>ท่านเทศน์สอนไว้เมื่อ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๓ ไม่ได้บอกพระนาม (เป็นการทรงกระดานในการสอนธรรม)
    </dd><dd> “๒ กรกฎาคม ๒๕๒๓
    ตั้งใจไว้เสมอนะ เวลาพิจารณาหรือใคร่ครวญในทุกอารมณ์จิต ข้อธรรมต่างๆ ก็รู้ซึ้งกัน จะมีก็การทรงอารมณ์ของจิตอยู่ในทุกวันนี้ จงเห็นทุกข์ รู้ทุกข์ แต่อย่าไปติดในทุกข์ บางคนรู้ เบื่อนำไว้ในจิตและใคร่ครวญจนทุกข์กินใจ จิตจะหมกอยู่ในความเศร้าหมอง มองอะไรดูน่าชัง น่าเบื่อ น่าขยะแขยงไปหมด

    </dd><dd>นั่นไม่ถูก ประการเช่นนี้จะทำให้จิตขุ่นอยู่ตลอดเวลา อาการเครียดทางสมองจะทำลายจิต พวกหนึ่งจะเห็นโลกนี้มีความสุข จะทำให้จิตหลง จะมีความโลภ ละโมบในสุขนั้น สิ่งที่ดีที่ควร คือตั้งจิตไว้ให้อยู่ตรงกลาง คือรู้ในสภาวะของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามสิ่งนี้จะข่มใจไม่ให้ฟุ้ง จงรู้ว่าเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้นกับตัวเรานั้น มันเป็นของธรรมดาโลก

    </dd><dd>ปกติโลก อย่าให้ทุกข์ส่วนหนึ่ง สุขส่วนหนึ่งมากินใจ ทำให้ใจไม่เสมอด้วยธรรม เช่นนี้แล้วเธอจะหาสุขทางคติได้ รู้ไว้เถอะ ความวุ่นวายเป็นนิสัยของปุถุชน จงอย่าใส่ใจ พิจารณานำมาแค่สาระในปัญหาที่ผจญเท่านั้น เราอยู่กับโลก ต้องมีกลุ่มชนในขณะที่ดำรงฆราวาสอยู่ จงทำใจในสิ่งที่สะอาด ความสะอาดของจิตจะเกิดขึ้นได้ โดยจิตปราศจากความเศร้าหมอง จิตไม่หลงละโมบ กิเลส ตัณหา

    </dd><dd>นั่นคือจิตจะต้องทรงอารมณ์กลางสบายๆ นี่แหละคือ อุเบกขาของจิต ที่จะบังคับอารมณ์ให้รู้สภาพของกาย ของขันธ์ จึงเป็นญาณที่เรียกว่า “สังขารุเบกขาญาณ” รู้จุดเล็กๆ น้อยๆ ไว้หลายทางแล้ว ก็ควรจะหาจุดที่ตรงอุปนิสัยของแต่ละคนกันได้แล้วนะ ที่ยังไม่เจอะเพราะทิฐิและมานะ สองตัวนี้ปิดกั้นตนเองให้ผิด ให้ถือ “ตัวฉัน ของฉัน” อยู่ “ฉันดีแล้ว ฉันไม่ผิด ฉันรู้แล้ว”

    </dd><dd>นี่แหละที่จะทำให้เธอไม่สามารถหาจุดอ่อนของจิตเจอ จะไม่เจอเพราะคิดว่าตนเองทำแล้ว ทั้งๆ ที่ยังมิได้ลงมือทำ ขอติงกันไว้เท่านี้” สำหรับหลวงพ่อของเรา จะทำหรือคิดอะไร ที่ไหน เวลาใด ท่านจะรู้หมดทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ถ้าเป็นประโยชน์ท่านก็จะบอก จะสอน แนะนำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลก หรือทางธรรมก็ตาม หรือเรื่องประกอบสัมมาอาชีพ
    </dd><dd>เพื่อความคล่อง ความราบรื่นของอารมณ์จิตในการปฏิบัติธรรม แต่การปฏิบัติของทุกท่านย่อมมีอุปสรรค และมารผจญทุกประการ และเจ้าหนี้นายเวรคอยจองล้าง และคอยขัดขวาง มารสำคัญคือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมของตนเอง มารหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือ กิเลสมาร ขันธมาร สังขารมาร เทวบุตรมาร และมัจจุมาร
    </dd><dd>การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ยาก แต่จะต่อสู้กับมารผจญและอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้ยากกว่า ต้องใช้วิริยะ ความเพียร ขันติ ความอดทนของจิตใจที่มีความเข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยว เข้าต่อสู้จนกว่าจะชนะ หลวงพ่อท่านมีญาณหยั่งรู้ได้ชัดเจนและกว้างขวาง ยาวไกลมาก หลายครั้งข้าพเจ้าอ่านหนังสือธรรมที่บ้าน พบท่านที่บ้านสายลม ท่านจะอธิบายเรื่องธรรมในหนังสือที่เราอ่าน
    </dd><dd>ส่วนที่เรายังไม่เข้าใจ หรือเพิ่มเติมให้ โดยที่เราไม่ต้องเรียนถามท่าน หลายครั้ง อ่านหนังสือยังไม่ถึงช่วงนั้น ท่านอธิบายเรื่องราวธรรมไว้ล่วงหน้าก่อนที่เราจะอ่านถึง พบหลวงพ่อใหม่ๆ ที่บ้านสายลม กลับมาบ้านนั่งสมาธิ คิดแปลตามหนังสือที่เราอ่านว่า กิเลสคือพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา คือความอยากมี อยากเป็น อยากปฏิเสธ ฯลฯ
    </dd><dd>พอพบหลวงพ่อที่บ้านสายลม ท่านดุเอาว่า ไปแปลทีละคำอย่างนั้นไม่ได้กินหรอก แล้วท่านก็ได้อธิบายให้ว่าต้องคิดพิจารณาธรรมอย่างไร ขนาดเราคิดปฏิบัติอยู่ที่บ้าน ไม่ได้บอกท่านๆ ก็รู้ หลบท่านไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการกระทำหรือความคิดของเรา แล้วจะให้เราพิจารณาธรรมอย่างไร เราก็ยังไม่รู้เรื่อง ก็เลยใช้วิธีปฏิบัติมั่วไปมั่วมา บังเอิญไปตรงเป้าหมาย
    </dd><dd>เส้นทางวิถีอารมณ์กระแสพระนิพพานพอดี ตามวิธีการสอนของหลวงพ่อท่าน ทั้งเฉียบ – คม และโลดโผนในการสอนของท่าน เวลาท่านสอนเราทำได้ ก็มีความสุข และสนุกดี ถ้าไม่พบหลวงพ่อท่าน เราคงหมดสิทธิ์เหมือนกัน เพราะความดื้อรั้น มานะ ทิฐิ ถือดี ฉันไม่ผิด ความโง่และความเลวระยำอันใหญ่หลวง ไม่ยอมแพ้ใครเหมือนกัน
    </dd><dd>สรุปว่าเรายกสุดยอดของคุณความดี ความเก่ง อันยอดเยี่ยมแห่งยุคนี้ ที่หาที่สุดมิได้ ให้กับหลวงพ่อ พระอาจารย์ของเรา ด้วยการกราบนมัสการ ด้วยเคารพรักอย่างสูงสุดที่หาประมาณมิได้ มา ณ โอกาสนี้ หลวงพ่อบอกว่า ปกติให้คิดถึงพระนิพพาน แบบเล่นๆ คิดเล่นๆ นั่นแหละคือคิดจริงๆ (ระลึกนึกถึงพระนิพพานบ่อยๆ แล้ว นานเข้าอารมณ์ก็จะชินไปเอง แล้วจะเกิดศรัทธาเข้าไปสู่กรรมฐานกอง อื่นๆ จนเกิดเป็นวิถีอารมณ์ของกระแสพระนิพพาน)
    </dd><dd>
    </dd><dd>พ.ศ.๒๕๒๕ ไปบ้านสายลมใหม่ๆ หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้มาฟังอย่างนี้บ่อยๆ แล้วจะสำเร็จพระอรหันต์ได้ ข้าพเจ้าหาโอกาสไปฟังหลวงพ่อพูดธรรมะทุกวันที่ท่านมาบ้านสายลม ทั้งกลางวันและกลางคืน หวังจะให้บรรลุธรรม (แต่จนเวลานี้ยังไปไม่ถึงไหน)
    </dd><dd>เวลานั้นเราก็โง่บริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าท่านเทศนาธรรมให้พุทธบริษัทฟัง ก็มีผู้บรรลุธรรมบ้าง ไม่บรรลุบ้าง การจะบรรลุธรรมนั้น ต้องมีบารมีเต็มมาในอดีตชาติ จึงจะบรรลุธรรมได้ง่าย อย่างเช่น ท่านพระพาหิยะ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านพระยส และอีกหลายๆ ท่าน ท่านฟังเทศน์ครั้งเดียว ท่านสามารถบรรลุธรรมได้
    </dd><dd>หลายปีต่อมา ข้าพเจ้าเล่าให้ทหารที่ติดตามหลวงพ่อฟัง เวลาที่หลวงพ่อพักผ่อนเวลาเย็นว่า มาฟังอย่างนี้บ่อยๆ จะสำเร็จพระอรหันต์ได้ จนถึงเวลานี้ยังไม่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พอหัวค่ำท่านลงมาจากชั้นบนลงมาสอนกรรมฐาน พอนั่งลงท่านมองหน้าแล้วบอกว่า สำเร็จพระอรหันต์ ไม่ใช่สำเร็จต่อหน้าพระ </dd>

    ท่านพูดซ้ำๆ กันหลายครั้ง ท่านบอกว่า แล้วค่อยๆ ทำไป (ค่อยๆ ทำไปก็หมายความว่าต้องอีกนานนะซิ) มีเณรน้อยองค์หนึ่ง อายุประมาณ ๑๐ – ๑๒ ปี มากราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ท่านบอกเณรอย่าสึกนะ บวชให้เป็นอรหันต์เลย


    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 5 หน้า 17 - 24)

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1408#4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2014
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <center>

    ประสบการณ์เมื่ออยู่วัด

    </center>
    <center>จงกล ทัดทอง</center>

    <dd> เมื่อหลวงปู่ปานไปตามข้าพเจ้า</dd><dt>
    </dt><dd>เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๒๖ ข้าพเจ้าอยู่ที่จังหวัดหนองคายกับลูกสาว วันหนึ่งข้าพเจ้ายืมหนังสือสตรีสารจากเพื่อนของลูกมาอ่าน พออ่านถึงท้ายเล่ม พอเรื่องของคุณประยงค์ ตั้งตรงจิตต์ พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคาถาวิระทะโย และมีรูปหลวงปู่ พอเห็นเท่านั้น ในใจเกิดความรู้สึกรักและเคารพอย่างมาก ถึงกับขออนุญาตจากเจ้าของหนังสือ

    </dd><dd>ขอตัดเอารูปของท่านมาใส่กรอบไว้บูชา ที่หัวนอน หลังจากนั้นอีกประมาณ ๖ – ๗ เดือน ข้าพเจ้าลงมากรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมพี่ชาย กำลังนั่งคุยกันอยู่ อยู่ๆ พี่ชายก็เอ่ยชวนไปวัดท่าซุง ทั้งที่พี่ชายเองก็ไม่รู้จัก ได้ยินจากเพื่อน ข้าพเจ้าตอบตกลงทันทีโดยไม่ได้คิดอะไร พอมากราบหลวงปู่ที่วัด ได้ถามท่านถึงอานิสงส์ของการถวายเทียนพรรษา

    </dd><dd>ท่านตอบว่าอานิสงส์นี้ทำให้เกิดจิตรู้ จึงได้ความรู้ว่า สิ่งที่ได้พบนั้นเป็นเพราะบุญจากสิ่งนี้เอง ได้ฟังท่านคุยและสอนธรรมะในบางครั้ง รู้สึกสนุกและเข้าใจ มาค้างอยู่ ๓ คืนเพื่อฝึกมโนมยิทธิ พอได้แล้วก็ไม่ไปทัวร์กับใครอีกเลย

    </dd><dd> พระคุณอันวิเศษของหลวงพ่อ
    </dd><dd>ข้าพเจ้ามาทำงานประจำที่วัดนี้ ชนิดทำตั้งแต่เช้ามาจนงานเลิกงาน ก็แล้วแต่ที่ไหนมีก็ไปช่วย มาทำประจำที่ ๑๐๐ เมตร เมื่ออายุ ๗๔ ปลายปี ประจำที่แผนกขายธูปเทียนแพด้านใน และได้ช่วยทำนาครั้งละ ๒ – ๓ เดือน จนรู้สึกเมื่อยมาก ก็กลับบ้านเพื่อพัก พอหายเหนื่อยก็กลับมาทำใหม่ จนปีนี้อายุได้ ๗๙ ปีแล้ว (พ.ศ.๒๕๕๐) ในระหว่างทำงานมีอยู่วันหนึ่ง

    </dd><dd>รู้สึกอายุประมาณ ๗๗ ปี วันนั้นเป็นวันหยุดแขกมาเที่ยวมาก จนเย็นก็ยังมาก หลวงพี่ท่านจึงสั่งขยายเวลาออกไปจนถึง ๑๗.๓๐ น. จึงเลิก ข้าพเจ้าเก็บงานจนเรียบร้อยแล้ว ออกมาข้างนอกก็ไม่มีใครแล้ว เพื่อนที่ร่วมงานก็แยกย้ายกันกลับหมด ห้องพักก็อยู่ข้างโบสถ์ ทั้งเมื่อยทั้งเหนื่อย เดินมาจนถึงหน้าประตูจะออกถนนใหญ่ก็มีรถรางของวัดผ่านมา

    </dd><dd>ข้าพเจ้าโบกมือขอขึ้นด้วย เขาไม่รับบอกว่าจะเข้าอู่ ข้าพเจ้าเดินมาจนถึงศาลาริมทางหน้าโรงพยาบาล เดินต่อไปไม่ไหวจึงยกมือพนมอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ ขอให้ท่านช่วยให้มีรถผ่านมาสักคัน ชั่วไม่ถึง ๕ นาที รถรางคันเดิมแล่นออกมาจากข้างใน ข้าพเจ้าดีใจมากขอขึ้น พอขึ้นไปนั่งเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็พนมมือขอบพระคุณหลวงพ่อ

    </dd><dd>พร้อมทั้งหลับตาทันทีก็เห็นหลวงพ่อกลับหลังหันไปทางโรงพยาบาล และรอดผ่านกำแพงโรงพยาบาลบ่ายหน้าไปทางวิหารแก้ว ข้าพเจ้าน้ำตาไหลด้วยความเต็มตื้นในความเมตตาของท่าน และตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าอธิษฐานขอเป็นต้องได้ทุกครั้ง แต่ข้าพเจ้าก็ขอเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น บางครั้งคนขับรถจะบอกว่าจะกลับบ้าน แต่ใจนึกอยากมาทางนี้

    </dd><dd>และบางครั้งในการทำงาน เหนื่อยจนจะเป็นลม กำลังยืนหายใจยาวๆ อยู่ จะมีกลิ่นยานัตถุ์หอมฟุ้งอยู่ที่จมูก แลรอบตัว ที่ศีรษะจะรู้สึกเย็น ทำให้หายมึนและหายใจสะดวกขึ้น พระคุณของท่านเหลือล้น หาประมาณไม่ได้เลย ลูกขอกราบแทบเท้าด้วยความสำนึกในพระคุณอันยิ่งล้นนี้เป็นอย่างสูง

    </dd><dd> อานุภาพของน้ำมันชาตรี
    </dd><dd>ในปี ๒๕๔๐ นี้ ข้าพเจ้าได้มาช่วยงานที่วัดตามเคย แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยแข็งแรงนัก วันหนึ่งกลับจากทำงานหิวจัด จึงทานข้าวจนอิ่มเต็มที่ พอสัก ๓ ทุ่ม เริ่มปวดท้อง จึงเข้าห้องน้ำ ก็ทั้งถ่ายทั้งอาเจียน ถ่ายและอาเจียนอยู่ประมาณ ๗ – ๘ ครั้ง พรอ้มกับเสียดแน่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนปวดไปหมดทั้งข้างหน้าและข้างหลัง จนถึงบริเวณไหปลาร้า

    </dd><dd>ลมดันขึ้นอย่างเดียว เอากระเป๋าน้ำร้อนวางก็ไม่หาย กินยาลม กินยาแก้ท้องเสีย อาการก็ไม่เบาลงเลย จนตี ๒ (ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว) นึกได้ว่าลองกินน้ำมันชาตรีดู จึงลุกมาหยิบและว่าคาถาอธิษฐานขอให้หาย แล้วข้าพเจ้าก็กินและทาบริเวณที่ปวดจนทั่ว ทาเสร็จก็ไปถ่ายอีกครั้งๆ สุดท้ายนี้อาการปวดเสียดลดลงตามสิ่งที่ออกมาทั้ง ๒ ทาง

    </dd><dd>พอหมดก็หายเหมือนไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน ตัวเบานอนหลับได้จนเช้า นอกจากนั้นเวลาที่ปวดเมื่อยมากๆ ข้าพเจ้าทาทั่วบริเวณที่ปวดสักพักจะรู้สึกเย็นวาบและสบายเบา แต่จะสบายอยู่ได้ชั่ววันเท่านั้น พออาบน้ำแล้วรุ่งขึ้นก็จะเป็นอีก แต่อาการบางครั้งจะเบาลงบ้าง</dd><dt>
    </dt><dt>
    </dt>
    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 5 หน้า 190-191)

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1467#24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2014
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UEm0cHV2f9wdSV5zex2d97ccYVXWQYmF0Dav7m0yiEex.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2018
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UA7jpS8qmbTpTpkvA6bGI_3jY1whGnZ0hEKfR3705tOF.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2018
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UAfUfkztHqs_ixsN_z71yk9goEI91mnjtuQCidhl7AoE.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2018
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UBM1tVZvySl0-MA8glXBwhzQJyCdQlAcYaxly9dO2z8X.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2018
  9. win-sirawat

    win-sirawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +1,176
    สวัสดีช่วงบ่ายค่ะพี่วัน และพี่ๆ ทุกท่าน
    เข้ามากระทู้ก็สบายใจ เพราะมีบทความดีๆ ให้อ่าน สมบัติงามๆ ของหลวงพ่อที่ได้สร้างไว้
    จะค่อยๆ ติดตามเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ นะคะ
     
  10. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,845
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดียามดึกครับพี่วรรณชัย,ท่านพี่วุฒิ,คุณsupatach,คุณtaoreedman,คุณfive304,คุณThis_old_man,คุณpalmcc38,คุณyommatood, คุณizeberry , คุณtossa ,คุณช่างชิต,คุณjj85,คุณ6ThSense,น้องแพน, พี่รุ่ง, พี่กฤต, คุณเพชร,คุณชาตรี ช้างน้อย ,คุณออกพราน,คุณrung847,พี่chopper,คุณระงับ,คุณsylvenus,คุณรัก_ในหลวง ,คุณramo , คุณCobraa ,คุณนิช,คุณpowergen, คุณKRITVEE ,คุณบารมี10 คุณเมฆดำ ,คุณหมาอ้วน และศิษย์วัดท่าซุงผู้มีจิตใจดีงามทุกๆท่าน.(^__^)
     
  11. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]


    [​IMG]



    น้อมกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี -/\-


    สวัสดีพี่วรรณ และลูกหลานหลวงพ่อทุกท่านครับ
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525

    [​IMG]
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DaTa/DSC07382.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DaTa/DSC07382.jpg" border="0" alt=" photo DSC07382.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DaTa/DSC07384.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DaTa/DSC07384.jpg" border="0" alt=" photo DSC07384.jpg"/></a>
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DaTa/12575_394322417311067_1775123666_n.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DaTa/12575_394322417311067_1775123666_n.jpg" border="0" alt=" photo 12575_394322417311067_1775123666_n.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DaTa/526312_227583377375441_1025593970_n.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DaTa/526312_227583377375441_1025593970_n.jpg" border="0" alt=" photo 526312_227583377375441_1025593970_n.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DaTa/600307_228814797252299_823967813_n.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DaTa/600307_228814797252299_823967813_n.jpg" border="0" alt=" photo 600307_228814797252299_823967813_n.jpg"/></a>
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DaTa/DSC05175.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DaTa/DSC05175.jpg" border="0" alt=" photo DSC05175.jpg"/></a>
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/14-2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/14-2.jpg" border="0" alt=" photo 14-2.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/9-1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/9-1.jpg" border="0" alt=" photo 9-1.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/13.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/13.jpg" border="0" alt=" photo 13.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/20.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/20.jpg" border="0" alt=" photo 20.jpg"/></a>
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/719_zps1201d42f.gif.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/719_zps1201d42f.gif" border="0" alt=" photo 719_zps1201d42f.gif"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/723_zps77a3f791.gif.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/723_zps77a3f791.gif" border="0" alt=" photo 723_zps77a3f791.gif"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/881_zpsa0c518f2.gif.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/881_zpsa0c518f2.gif" border="0" alt=" photo 881_zpsa0c518f2.gif"/></a>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2014
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    ก็คือพระปิดตาข้าวต้มมัด หรือ "พระปิดตาคลุกฝุ่น" หรือเรียกอีกอย่างว่า "พระปิดตานะปัดตลอด" ของหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค จ.นครสวรรค์ ถวายมาให้หลวงพ่อเนื่องจากท่านไม่สามารถมาร่วมงาน 100 ปีเกิดหลวงปู่ปานในปี 2518

    เข้าพิธีพุทธาภิเษกในงานทำบุญ 100 ปีเกิดหลวงปู่ปาน ท่านที่เช่าบูชาพระปิดตาข้าวต้มัดรุ่นนี้จากวัดท่าซุงโชคดีตรงที่ว่านอกจากหลวงปู่สีปลุกเสกมาก่อนแล้วในปี 2516 ยังมีหลวงพ่อและพระสุปฏิปันโนอีกหลายองค์ที่มาร่วมงาน 100 ปีเกิดหลวงปู่ปานร่วมปลุกเสกด้วยอีกครั้งนึง

    ปัจจุบันพระปิดตารุ่นนี้หมดจากวัดไปนานแล้วแต่ทางวัดยังคงเหลือพระปิดตานะมิเหลือที่วัดให้บูชาอยู่นะครับ เช่าจากวัดท่าวัดท่าซุงก็จะได้ชุดที่มีหลวงพ่อและพระสุปฏิปันโนร่วมปลุกเสกด้วยครับ

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/1454899286346.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/1454899286346.jpg" border="0" alt=" photo 1454899286346.jpg"/></a>

    ภาพพระปิดตานะมิจากเวบวัดท่าซุง

    http://www.thasungmedia.com/wat/vattumongkol/img_4/prapidtajewfullpage.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2016
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UIMoMPfMH_-aXcVZNMe2Yb7KyINqkvL5nRv9ukHaQ05A.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UCC4lvyrcP5i21VrrIcorf2h8XyKw51L_TzF-7L3abrf.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UFgAeziFOk2GNX8YyGoHQEuSgcFquo1Ru9ftPOklEpXm.jpg

    วิน ดีเซลและจาพนม กับพระหางหมาก เมื่อครั้งถ่ายภาพยนต์เรื่อง Fast And Furious 7 ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2018
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    [​IMG]

    เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณในการทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดครับ

    สุกรมัทวะเป็นที่ถกเถียงกันว่าคืออะไร บางท่านบอกเป็นหน่อไม้ไผ่ บางท่านก็ว่าเป็นเห็ด บางท่านก็ว่าเป็นแค่เครื่องดื่มชนิดหนึ่ง หลวงพ่อเล่าเอาไว้ครับว่าสุกรมัทวะคืออะไรกันแน่



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ พฤษภาคม 2537 หน้า 15 - 25)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...