ทำอย่างไรให้สัตว์เลี้ยงไปสู่ภพภูมิที่ดีต่อไป?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อาศรม, 4 พฤศจิกายน 2014.

  1. อาศรม

    อาศรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +31
    เลี้ยงกระต่าย2ตัวค่ะ เลี้ยงอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็อดสงสารมันไม่ได้ เพราะมันเป็นสัตว์ที่ต้องโดนขัง (จริงๆก็ปล่อยมันวิ่งบ้างค่ะ) สัตว์ที่มันช่วยเหลือตัวเองยาก รออาหารจากคนเลี้ยง
    เลยอยากทราบว่า (1) พวกสัตว์ต่างๆมันจะรู้จักบุญบาปได้ไหมคะ เพราะถ้ามันตายก็อยากให้มันไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้
    (2)มีวิธีสร้างบุญสำหรับสัตว์ไร้เดียงสาอย่างกระต่ายไหมคะ
    (3) จะเปิดธรรมะให้มันฟัง มันจะพอได้บุญบ้างไหมคะ

    หรือมีวิธีอะไรบ้างที่ทำให้สัตว์มันมีจิตใจที่สูงขึ้นบ้าง ขอบคุณค่ะ
     
  2. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ...สัตว์ต่างๆทุกชนิดก็มีชีวิตจิตใจเหมือนอย่างคนเรานี้แหละครับ ผมยกตัวอย่างที่ผมเคยฟังมา ครับมีช่วงหนึ่งแม้นแต่เป็นสุนัขก็สามารถเกิดเป็นเทวดาได้ ผมคิดว่ากระต่ายก็เช่นเดียวกัน ลองฟังนะครับหลวงพ่อท่านเทศน์สอนดีมากครับ
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ สำนักพระยายม1 - YouTube
     
  3. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ตอบข้อ 3
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระพุทธกัสสป ในคราวหนึ่ง พระพุทธเจ้า ทรงสอนอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ คือ ปกรณ์ 7 ประการ ที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่าเป็นปิฎกที่ 3 และเป็นปิฎกที่มีความสำคัญที่สุด ถ้าเทวดาและมนุษย์ปฏิบัติในด้านอภิธรรมทั้ง 7 ประการนี้ได้ครบถ้วน ท่านผู้นั้นก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้เร็วที่สุด
    ในคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา ก็ได้เลือกความรู้ที่พระองค์ได้ทรงบรรลุมา เห็นว่าอภิธรรมมีความสำคัญเท่าความดีของพระมารดา ควรแก่ก้อนข้าวและน้ำนมที่พระมารดาทรงเลี้ยง คือให้ชีวิตมา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ทรงนำพระอภิธรรมไปแสดง เทศน์จบเดียว ปรากฎว่าพระพุทธมารดาได้พระโสดาปัตติผล และมีเทวดาและพรหมมากท่าน ได้ถึงซึ่งพระอมตะมหาปรินิพพาน คือเป็นพระอรหันต์
    เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนพระอภิธรรมแก่บรรดาพระสาวกแล้ว คณะสาวกก็มีความประสงค์จะท่องจำให้ขึ้นใจ จึงพากันไปซ้อมพระอภิธรรมในถ้ำใหญ่

    การซ้อมแบบนั้นเป็นการซ้อมให้คล่อง ไม่ใช่ว่าจะซ้อมอภิธรรมให้เกิดความชำนาญแล้วนำไปสวดศพเพื่อหวังจะได้ปัจจัยมาหล่อเลี้ยงชีวิต พระสมัยนั้นท่านไม่ได้คิดแบบนั้น ท่านคิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรหนอเราจะเป็นอรหันต์เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ นี่เป็นอารมณ์ใจส่วนใหญ่ และมีปริมาณสูงสุด ในขณะที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่
    เมื่อพระทั้งหลายเหล่านั้นเรียนอภิธรรม จากสำนักของสมเด็จพระบรมครูแล้ว จึงได้นำเอาพระอภิธรรม ไปสาธยายให้ขึ้นใจ เพื่อจะได้จำข้อธรรมไว้ประพฤติปฏิบัติ
    ฉะนั้น ในขณะที่ท่านทั้งหลายเข้าไปซ้อมอภิธรรมในถ้ำหลังนั้น ได้สวดเป็นทำนอง ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ค้างคาว 500 ตัว ได้ฟังก็รู้สึกชอบ แต่ว่าค้างคาวพวกนี้ไม่ได้ชอบธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมครู ท่านชอบฟังเสียงทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่าเสียงนั้นว่าอย่างไร พระทั้งหลายไปซ้อมกันก็ซ้อมแบบเสียงพร้อม ๆ กัน ทำเสียงให้สม่ำเสมอกันเพื่อความคล่องและความมีระเบียบ ค้างคาวทั้งหมดชอบใจเสียงทั้งหมด เพราะว่าฟังเรียบ ๆ เสนาะดี จะรู้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงธรรมก็หาไม่ ฟังมาฟังไป ฟังไปฟังมา เผลอหลับ เท้าก็หลุดหล่นลงมา ศีรษะกระทบหินตายหมดทั้ง 500 ตัว
    เมื่อตายแล้วเพราะฟังเสียงในธรรม พอใจในธรรม ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกทั้งหมด มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า 500 เป็นบริวาร
    ค้างคาวเป็นสัตว์เดรฉาน ไม่เข้าใจความหมาย แต่ผลบุญจากการฟังเสียงธรรม ยังส่งผลมากมายขนาดนี้ แล้วมนุษย์ผู้สามารถจะเข้าใจความหมายของเสียงธรรมเหล่านั้นได้ จะมีผลมากขนาดไหน

    (1) พวกสัตว์ต่างๆมันจะรู้จักบุญบาปได้ไหมคะ เพราะถ้ามันตายก็อยากให้มันไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้
    รู้แน่นอน ถ้าเป็นสัตว์ที่ใกล้ชดใช้กรรมหมด
    ตอบ ข้อ 1

    หลวงพ่อของเรา
    โดย ศาสตราจารย์ ดร. ปริญญา นุตาลัย
    จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๑

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อลงมาสอนกรรมฐานที่กรุงเทพฯ พอกลับไปถึงกุฎิที่วัด คนเลี้ยงแมวก็มารายงานว่า “พอหลวงพ่อไปกรุงเทพฯ
    แมวก็ไม่กินข้าว” หลวงพ่อก็ย้อนทันทีว่า “แกเรียกมันว่าอีใช่ไหมล่ะ” คนเลี้ยงแมวก็ถามว่า “หลวงพ่อรู้ได้ยังไง” ท่านตอบว่า
    ก็มันฟ้องข้าอยู่นี่ไง

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยเทศน์ไว้ว่า"หมาวัดบางตัวเป็นเทวดาหมดบุญแล้วขอเลือกมาเฝ้าวัด มาใกล้ชิดพระ มาฟังสวดมนต์ มากกว่าอยากมาเวียนว่ายวุ่นวายเป็นมนุษย์ อย่าไปดูถูกว่าเค้าเป็นหมาวัด บุญเก่าเค้าอาจมากกว่าบางคนก้อเป็นได้" เมตตาพวกเค้านะคะ ไปวัดติดอาหารไปบ้าง ทำบุญแล้วสุนทานต่อให้สมบูรณ์ สาธุ!!!

    (2)มีวิธีสร้างบุญสำหรับสัตว์ไร้เดียงสาอย่างกระต่ายไหมคะ

    ตอบข้อ 2

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ลพ. ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)
    คัดลอกบางตอนจาก หนังสือ "หลวงพ่อเล่าให้ฟังเล่ม ๒" หน้า ๕๙-๖๒
    อย่าคิดว่าเราดีกว่าหมา
    --------------------------
    ----------------
    ...แต่ ความจริงพวกสัตว์ประเภทนี้นะ เวลาตายจริงๆ มันก็ได้เปรียบเราเหมือนกัน โยม! ถ้าเป็นสุนัขที่คนเลี้ยงแล้ว คนสงเคราะห์นี่ บาปเก่ามันเริ่มหมด พวกนี้ตายปุ๊บลงไปมี ๒ ทาง ถ้าไม่ไปเป็นเทวดาหรือพรหม ก็เป็นมนุษย์ มันไม่ลงล่าง ได้เปรียบมากกว่าเรา เรามาถึงขั้นเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่ดีตีตั๋วลงนรกใช่ไหม ใช่ไหม

    พวกนี้ชำระหนี้มาเพื่อหมด นี่เราเสียท่ามันอีกนะ ถ้าไม่ปฏิบัติดียิ่งเสียท่าหนัก หมาดันไปสวรรค์เป็นเทวดา เรากลับไปเป็นสัตว์นรกอีก แหม ..(หัวเราะ)

    อ้าว นี่พูดตามความเป็นจริงนะ คือว่า คนเหยียดหยามสุนัข บางทีก็รู้สึกสลดใจนะโยม คนนี่มันไม่แน่ ตายแล้วอาจจะลงนรกได้ พวกหมานี่ไม่ลงแน่ ถ้าเขาใช้หนี้กรรมของเขายังไม่หมด เกิดเป็นหมาชาตินี้ ชาติหน้าเป็นหมาใหม่ก็ได้ ใช่ไหม

    แต่ว่าหมาตัวไหนที่ชาวบ้านเลี้ยง เลี้ยงก็แบบเราเลี้ยงธรรมดานี่แหละ มีการให้กินข้าวใช่ไหมล่ะ

    ถ้าคนสงเคราะห์แสดงว่ากรรมเก่าเริ่มหมด


    ถ้าไอ้ตัวไหนยังต้องเดินอดเดินอยากอยู่ อันนี้ก็ต้องเกิดอีกต่อไปอีก
    เขา อยู่กับคนจนหรือคนรวยไม่สำคัญ คือว่าเจ้าของมีโอกาสให้ข้าวกิน นั่นแสดงว่า ทานบารมี เดิมกับ เมตตาบารมี เดิมของเขาเริ่มให้ผลใช่ไหม

    ฉันสังเกตุดูหลายตัว ถ้าหมาในวัดตายทีไร ไม่เป็นเทวดาก็พรหม เพราะมันชอบใจในพระ
    พระสงเคราะห์ พระให้อาหารหมา อาหารแค่ไหนไม่สำคัญ ให้มันผูกจิตใจกับพระ

    อย่าง โฆษกเทพบุตร ท่านไม่ได้ทำอะไรมาก ท่านรักพระปัจเจกพุทธเจ้า ตายแล้วก็เป็นเทวดา
    เป็นโฆษกเทพบุตร ตอนนั้นเป็นหมาใช่ไหม นี่หมาอยู่กับวัดได้เปรียบ

    แต่ ว่าตัวไหนถ้าอยู่ที่บ้าน ชาวบ้านเขาสงเคราะห์ ก็สงเคราะห์อย่างเราให้กินน้ำข้าวบ้าง กินข้าวบ้าง อาหารเหลือบ้าง อันนี้น่ะ เมตตาบารมี กับ ทานบารมี เดิมของเขาเริ่มสนองแล้ว

    ที นี้ถ้าตายแล้วไปสวรรค์หมด ถ้าไม่ไปสวรรค์ก็ไปเป็นคน ถามว่าไปสรรค์ชั้นไหน อันนี้ก็ต้องบอกแล้วแต่บุญเดิม บุญเดิมที่ทำไว้ของเขาทำอะไรไว้ใช่ไหม

    นั่นก็หมายความว่า ก่อนที่เขาตายจากความเป็นคน บาปทำให้เขาไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต
    เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าที่ที่สุดแล้วชำระหนี้บาปหมด ก็เหลือแต่บุญ ซึ่งตรงข้ามกับคน

    คน สร้างบาปอกุศลไว้ในตอนต้น แล้วมาตอนหลังสร้างบุญบารมีดี ตายจากความเป็นคน เป็นเทวดาหรือพรหม ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี พุ่งหลาวเลย ลงนรกไปเลย มันก็ต้องสนองกันแบบนี ไม่ใช่ว่าเราเกิดเป็นคนแล้วต้องเกิดเป็นคนตลอดไป มันหวังอยากเหมือนกัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2014
  4. mam7734

    mam7734 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +349
    โมทนาบุญนะค่ะ

    กำลังสงสัยอยู่เลย เพราะเพิ่งไปทำบุญให้น้องหมาที่ตาย ว่าจะเข้ามาถามว่าน้องจะรับรู้หรือไม่ อ่านกระทู้บนแล้วค่อยสบายใจ หลังจากน้องตายเราฝันถึงหลุมฝั่งศพเขา แล้วทันใดนั้นเราเห็นชายแต่งชุดขาว เหมือนพราหมณ์ขึ้นมาจากหลุมศพ ในใจคิดว่าน้องได้เกิดเป็นคนแล้ว ขอบคุณมากๆนะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2014
  5. deity

    deity เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,139
    ค่าพลัง:
    +1,645
    น่าจะเกิดเป็นเทพนะครับ เพราะว่าเป็นคนก็ต้องเป็นทารกก่อนเป็นพราหมณ์
     
  6. noum77

    noum77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +620
    - ไม่รู้ว่าพวกมันได้จริงหรือเปล่า เเต่ สำหรับ เเมวที่มันมาอยู่บ้านผมเอง ผมเลี้ยงมันอย่างดี ใหนมกินวันละ 2 มื้อเช้าเย็น เพราะมันโรคลำไส้ไม่ดี ต้องกินนมเคลือบ อาหารเเมวอย่างดี ถุงละ 150 บาท เเล้วก็ปลา ไก่ หมู ที่บ้านทำกินกันก็เเบ่งให้มันกิน เเบบว่าอ้วนเลย ถ้าไม่สบายพาไปหาหมอ เราคิดว่า ถ้าเรากิดเป็นหมาเเมว พวกนี้ ก็คงได้อยู่ดีเหมือนมัน

    - ผมใส่บาตรปล่อยปลา ให้เงินขอทาน อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ทำเสร็จผมมักจะไปจับหัวมันเเล้วเเผ่เมตตาเเบ่งบุญให้มัน เวลา มีกฐิน หรือ หล่อพระ เค้าให้เเผ่นทอง มาผมก็เขียนชื่อมันลงไป เเละเกือบทุกวันถ้ามันมานอนในบ้าน เเบบว่ามันนอนไปทั่วเป็นเเมว 3 บ้าน นอนบ้านนั้น บ้านนี้ที เเต่มันมาอยู่บ้านผมนานที่สุด คือ ทั้งวัน ตอนกลางคืนก็ออกไปหากินเเล้ว ไปกินมั่วไปหมดเลยต้องให้นมกินเช้าเย็นไง ถ้านอนในบ้าน ผมมันจะเอาคาถา ธารนปริตเปิดให้มันฟัง วันหลายรอบ มันก็ฟังเวลาเปิดใส่มือถือให้มันฟัง มันก็จะหลับตา ชูหัวขึ้น เดาว่าคงรู้เรื่องหละนะ ก็ไม่ขออะไรมาก ถ้ามันตายไป อยากให้มันไปเป็นเทวดาเลย ไปดีกว่าผมไปภพภูมิ ดีกว่าผมได้ยิ่งดี อันนี้ผมด้วยความตั้งใจจริงๆ
     
  7. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ดีมาก ๆ เลยครับ
    ท่านพูดได้เห็นภาพ และเข้าใจง่าย
    แต่ผมขอเสริมอีกนิดนะครับ

    ไม่ใช่หมาทุกตัว ที่ตายแล้วจะได้ไปภูมิที่ดีขึ้น หรืออยู่ภูมิเดิม
    แต่ไปภูมิที่แย่กว่าเดิม หรือลงนรกก็มีเหมือนกัน

    คือถึงเป็นหมาใช้กรรมเก่าอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอำนาจเหนือไปกว่ากฏแห่งกรรมนะครับ
    หมายความว่าไง?

    หมายความว่าวันนี้ ถ้าหมายังไม่ละการทำกรรมกิเลส 4
    อันเช่น ปานา คือการฆ่า อทินนา คือการลักขโมย
    ก็ยังไม่พ้นจากการไปสู่อบายภูมิอยู่ดี

    ในขณะที่ ทำไมหมาถึงดูเหมือนจะโชคดี กว่ามนุษย์ ในความหมายที่พระท่านยกตัวอย่างมา
    ก็คือ หมามันทำกรรมแบบมนุษย์ค่อนข้างยาก เช่น
    หมาจะโกหก? หมามันจะพูดปด?? หมาจะกินเหล้า?? หมาจะผิดภรรยาผู้อื่น??
    หมามันทำพวกนี้ไม่ได้

    อย่างมาก ที่มันทำได้ คือการฆ่า สัตว์เล็กสัตว์น้อยเท่านั้น
    ส่วนการที่หมามันจะไปขโมยเงิน นี้คงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
    และหมาจะขโมยอาหารของมนุษย์ ก็คงเป็นเรื่องยาก
    เพราะมนุษย์มีมือ มีเท้า

    ดังนั้น ข้อได้เปรียบหมา ที่พระท่านกล่าวมา ก็คงเป็นในลักษณะแบบนี้

    เพราะฉะนั้น หมาเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด
    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหมาจะทำบาปไม่ได้นะครับ

    เพราะยังเหลืออีกข้อหนึ่งคือ ข้อปาณาติบาต คือ การฆ่า
    ซึ่งหมายังทำข้อนี้ได้อยู่
    (ตามความเห็นผมนะครับ)

    พูดดังนี้แล้ว ถ้าหมาตัวนั้น มีจิตในการฆ่าสูง คือวัน ๆ เอาแต่ฆ่านก ฆ่างู
    สัตว์เล็กสัตว์น้อย จนกระทั่งใหญ่ เช่น หมาด้วยกัน หรือแม้กระทั่งมนุษย์...
    หมาตัวนั้น ก็ยังไม่พ้นอบายภูมิอยู่ดี

    ยกตัวอย่างเช่น สุนัขพันธุ์ พิบูล สายกัด
    ที่ลงข่าวอยู่บ่อย ๆ
    ถ้าหมานั้นฆ่า หมา ฆ่าคน ก็ไปนรกชัวร์

    ดังนั้นสรุปแล้ว
    หมามีโอกาสทำบาปได้น้อยกว่ามนุษย์ ก็จริง
    ก็คือในลักษณะ บาป 5 ข้อ
    มนุษย์ มีโอกาสทำบาปได้อีกตั้ง 4 ข้อ...
    แต่หมาทำได้แค่ข้อเดียว

    แต่อย่างไรก็ตาม หมาก็มีโอกาสทำบุปน้อยกว่ามนุษย์
    ก็คือมนุษย์ ทำบุญได้อนันต์ ตามที่ใจต้องการ
    แต่หมาไม่สามารถจะใส่บาตรพระได้

    อีกหนึ่งอย่างที่คำพูดนี้ที่มันจะหักล้างกันเอง คือ
    หมามีโอกาสทำบาปน้อยกว่ามนุษย์ จริง ๆ หรือเปล่า??

    จริงๆ ผมคิดว่าไม่
    เพราะมนุษย์ มีสังคม มีสติปัญญา และถูกควบคุมด้วยกฏหมาย
    และมีระบบการสอน การสั่ง จารีต ฯลฯ สะสมมา มีวัฒนธรรม
    ดังนั้น มนุษย์ทั่วไป ไม่ว่าจะดีจะเลว ยังมีพื้นฐานอยู่บนศีล บนธรรม"ในระดับหนึ่ง"
    จึงมีความกลัวที่จะทำบาปมากกว่า สัตว์เดรัจฉาน โดยทั่วไป

    เพราะฉะนั้น มนุษย์ จะฆ่าสัตว์ใหญ่นั้น เป็นเรื่องที่ยังยาก
    แต่หมาจะฆ่าสัตว์ใหญ่ (เมื่อเทียบกับขนาดของมันแล้ว) ยังเป็นเรื่องง่ายอยู่
    ยกตัวอย่าง มนุษย์จะฆ่าหมา ฆ่าแมว (ซึ่งถือว่าใหญ่นิดหนึ่ง ถ้าเทียบกับขนาดตัวของมนุษย์
    ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความยาก และความพยาพยาม และการชั่งใจอยู่เยอะ)
    ในขณะที่หมา จะฆ่าไก่สักตัว (ซึ่งเมื่อเทียบกับขนาด ก็ใหญ่สำหรับมัน ก็เหมือน คนจะฆ่าหมา ฆ่าแมว นั้นแหละ) ก็แทบไม่ต้องลังเล มันสามารถคาบไปกินได้เลย

    เพราะฉะนั้น เกิดเป็นคนนั้นแหละ โชคดีแล้ว
    เกิดเป็นสัตว์ นั้นน่าสงสารกว่าเยอะ

    ผมยังไม่ได้พูดถึงเรื่อง ความทรมานทางกายภาพ นะ
    เช่นหมา ต้องมาลำบากกับเรื่อง ขน เรื่องเห็บ หมัด ยุง ฯลฯ
    นี้คือความทรมานทางกายภาพ
    แต่มนุษย์เรา มีเรื่องพวกนี้น้อย.










     
  8. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ไม่ใช่หมาทุกตัว ที่ตายแล้วจะได้ไปภูมิที่ดีขึ้น หรืออยู่ภูมิเดิม
    แต่ไปภูมิที่แย่กว่าเดิม หรือลงนรกก็มีเหมือนกัน

    ผมเห็นด้วยกับประโยคนี้น่ะครับ เพราะตัวอย่างนี้



    บุรพกรรมของกากเปรต
    พระมหาโมคคัลลานะเห็นแม้กากเปรต อันไฟไหม้อยู่ที่ยอดเขาคิชฌกูฏ
    เมื่อจะถามบุรพกรรมของเปรตนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
    ลิ้นของเจ้าประมาณ ๕ โยชน์, ศีรษะของเจ้าประมาณ
    ๙ โยชน์, กายของเจ้าสูงประมาณ ๒๕โยชน์, เจ้าทำ
    กรรมอะไรไว้จึงถึงทุกข์เช่นนี้.
    ครั้งนั้น เปรตเมื่อจะบอกแก่พระเถระนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
    พระโมคคัลลานะผู้เจริญ ข้าพเจ้ากลืนกินภัตที่เขานำมา
    เพื่อสงฆ์ ของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ผู้แสวงหา
    คุณอันใหญ่ ตามปรารถนา.
    ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป พวกภิกษุมากรูป เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. พวกมนุษย์เห็นพระเถระทั้งหลายแล้วรักใคร่ นิมนต์ให้นั่งที่โรงฉัน ล้างเท้าทาด้วยน้ำมัน ให้ดื่มข้าวยาคู ถวายของควรเคี้ยว รอคอยบิณฑบาตกาล นั่งฟังธรรมอยู่. ในกาลจบธรรมกถา พวกมนุษย์รับบาตรของพระเถระทั้งหลายแล้ว ให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ในเรือนของตนๆ แล้วนำมา.
    ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นกา จับอยู่ที่หลังคาแห่งโรงฉัน เห็นโภชนะนั้นแล้ว ได้คาบเอาคำข้าว ๓ คำเต็มปาก ๓ ครั้ง จากบาตรอันมนุษย์ผู้หนึ่งถือไว้, แต่ภัตนั้น ยังหาเป็นของสงฆ์ไม่, มิใช่เป็นภัตที่เขากำหนดถวายแก่สงฆ์, เป็นภัตอันเหลือจากที่ภิกษุทั้งหลายฉัน อันพวกมนุษย์พึงนำไปสู่เรือนของตนบริโภคก็ไม่ใช่, เป็นเพียงภัตที่เขานำมาเฉพาะสงฆ์อย่างเดียวเท่านั้น, ข้าพเจ้าคาบเอาคำข้าว ๓ คำจากบาตรนั้น,
    กรรมเพียงเท่านี้ เป็นบุรพกรรมของข้าพเจ้า ข้าพเจ้านั้นทำกาละแล้ว ไหม้ในอเวจี เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น ในบัดนี้ เกิดเป็นกากเปรต เสวยทุกข์นี้ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ด้วยผลกรรมที่เหลือในเพราะกรรมนั้น.
    เรื่องกากเปรต มีเท่านี้.

    เห็นด้วยครับ ในเชิงปริมาณ
    ดังนั้นสรุปแล้ว
    หมามีโอกาสทำบาปได้น้อยกว่ามนุษย์ ก็จริง
    ก็คือในลักษณะ บาป 5 ข้อ
    มนุษย์ มีโอกาสทำบาปได้อีกตั้ง 4 ข้อ...
    แต่หมาทำได้แค่ข้อเดียว

    เห็นด้วยแบบสุดๆ ในเชิงคุณภาพ
    แต่อย่างไรก็ตาม หมาก็มีโอกาสทำบุญน้อยกว่ามนุษย์
    ก็คือมนุษย์ ทำบุญได้อนันต์ ตามที่ใจต้องการ
    แต่หมาไม่สามารถจะใส่บาตรพระได้

    แต่ประโยคนี้ ไม่เห็นด้วยแล้วครับ
    อีกหนึ่งอย่างที่คำพูดนี้ที่มันจะหักล้างกันเอง คือ
    หมามีโอกาสทำบาปน้อยกว่ามนุษย์ จริง ๆ หรือเปล่า??
    จริงๆ ผมคิดว่าไม่
    เพราะมนุษย์ มีสังคม มีสติปัญญา และถูกควบคุมด้วยกฏหมาย
    และมีระบบการสอน การสั่ง จารีต ฯลฯ สะสมมา มีวัฒนธรรม
    ดังนั้น มนุษย์ทั่วไป ไม่ว่าจะดีจะเลว ยังมีพื้นฐานอยู่บนศีล บนธรรม"ในระดับหนึ่ง"
    จึงมีความกลัวที่จะทำบาปมากกว่า สัตว์เดรัจฉาน โดยทั่วไป
    ***************************************
    สืบประวัติ “นวน เจีย” อาชญากรสงครามเขมรแดงที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชากว่าสองล้านคนเป็นอดีตคนไทย อดีตศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง แต่เขาก้าวไปเป็นใหญ่ในกองกำลังที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายที่สุดแห่งศตวรรษได้อย่างไร

    อาริแบรท์ เฮม เจ้าของฉายา ด็อกเตอร์เดธ หรือหมอแห่งความตาย จากการเป็นแพทย์ประจำค่ายกักกันของนาซีเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และทดลองฉีดสารหลากหลายชนิดเข้าไปในหัวใจผู้ถูกกักกันชาวยิว เพื่อทดสอบว่าสารตัวใดทำให้ตายเร็วที่สุด ได้เสียชีวิตมาตั้งแต่ปี 2535 ที่กรุงไคโร ของอียิปต์

    อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเรื่องปัจเจกบุคคลน่ะครับ กลุ่มคนก็โหดเหี้ยม
    การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา คือเหตุการณ์ที่ชนพื้นเมืองชาวทุตซี (Tutsi) และชนพื้นเมืองชาวฮูตู (Hutu) ถูกสังหารหมู่ไปประมาณ 800,000-1,071,000 คนในประเทศรวันดา โดยกลุ่มผู้กระทำการสังหารหมู่คือกลุ่มทหารบ้านหัวรุนแรงชาวฮูตู ได้แก่กลุ่มอินเตราฮัมเว (Interahamwe เป็นภาษากินยาร์วันดาแปลว่า "ผู้ที่สู้ด้วยกัน") และกลุ่มอิมปูซูมูกัมบิ (Impuzamugambi แปลว่า "ผู้ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน") โดยจะมี 2 กลุ่มนี้เป็นผู้กระทำการสังหารหมู่เสียเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงเวลา 100 วันตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคมในปี พ.ศ. 2537 (1994)

    การสังหารหมู่นานกิง (อังกฤษ: Nanking Massacre หรือ Nanjing Massacre) หรือรู้จักกันในนามการข่มขืนนานกิง (อังกฤษ: Rape of Nanking) เป็นการสังหารหมู่และการข่มขืนยามสงคราม (war rape) ซึ่งเกิดขึ้นเป็นเวลาหกสัปดาห์หลังญี่ปุ่นยึดนครนานกิง อดีตเมืองหลวงของสาธารณรัฐจีน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 1937 ระหว่างสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ในช่วงนี้ พลเรือนและทหารจีนที่ถูกปลดอาวุธหลายแสนคนถูกทหารกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นฆ่า[1][2] ทั้งยังเกิดการข่มขืนและฉกชิงทรัพย์อย่างกว้างขวาง[3][4] นักประวัติศาสตร์และพยานประเมินว่ามีผู้ถูกฆ่าระหว่าง 250,000 ถึง 300,000 คน[5] ผู้ก่อการสังหารหมู่หลายคน ซึ่งขณะนั้นถูกตราว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม

    มีอีกเยอะขี้เกียจล่ะ

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยเทศน์ไว้ว่า"หมาวัดบางตัวเป็นเทวดาหมดบุญแล้วขอเลือกมาเฝ้าวัด มาใกล้ชิดพระ มาฟังสวดมนต์ มากกว่าอยากมาเวียนว่ายวุ่นวายเป็นมนุษย์ อย่าไปดูถูกว่าเค้าเป็นหมาวัด บุญเก่าเค้าอาจมากกว่าบางคนก้อเป็นได้" เมตตาพวกเค้านะคะ ไปวัดติดอาหารไปบ้าง ทำบุญแล้วสุนทานต่อให้สมบูรณ์ สาธุ!!!

    จากประโยคด้านบน ก็พอสรุปได้น่ะครับ
    มนุษย์มีโอกาสในการทำชั่วและทำดีมากกว่าสัตว์ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ (สุนัขพิตบูลที่ยกตัวอย่างมา ผมว่าแพ้ Joseph Kony)

    ดังนั้นเทวดาบางองค์ไม่ต้องการเกิดเป็นมนุษย์ เพราะกลัวว่าตัวเองจะทำผิดอย่างใหญ่หลวง จึงเลือกเกิดเป็นสุนัขที่วัดดีกว่า เพราะปลอดภัยกว่า ถ้าเกิดเป็นคนสามารถทำชั่วได้มากกว่า ผลกรรมน่ากลัวมากกว่า ถึงแม้จะสูญเสียโอกาสในการสร้างสมบารมี (สุนัขนั่งสมาธิไม่ได้ เจริญกรรมฐานก็ไม่ได้) แต่ความเสี่ยงมีน้อยกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2014
  9. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ดิรัจฉานเกิดมาด้วยแรงกรรม มาชดใช้มากกว่าแก้ไข
    อันคุณความดี ใครทำคนนั้นได้ ใครหิวต้องกินเองถึงอิ่ม
    เราไม่อาจสอนสั่งให้สัตว์เข้าใจในเรื่องของกุศลได้
    จึงเป็นการยากที่จะช่วย เพราะแม้แต่กับคนเราก็ทำได้เพียงแค่แนะนำสั่งสอนเช่นกัน
    เมื่อสัตว์นั้นตาย ต้องปล่อยไปตามกรรมเท่านั้น
    ใครกล่าวว่าเราช่วยได้ ทำให้ไปสุคติได้ ทำให้ไปเกิดเป็นคนได้ คนนั้นพูดปด ไม่มีทางที่คนอื่นจะกินอาหารแทนเรา และทำให้เราอิ่มได้
     
  10. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ถ้างั้น ถ้าผมเป็นเทวดาแล้วเลือกได้ ผมขอไปเกิดเป็นมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปดีกว่า
    ศีล 5 กันหมด ตายแล้วด้ยังไงก็ได้ไปสวรรค์ต่อ (มนุษย์โลกนี้ตายแล้วไปสวรรค์ทุกคน)
    1. ไม่มีทุกข์
    2. ไม่มีความห่วงแหน
    3. มีอายุแน่นอน

    เกิดเป็นมนุษย์ในเมืองที่วัฒนธรรมเจริญ ๆ มีศีล มีธรรมครบ น่าจะเป็นการเลือกที่ฉลาดกว่า
    ไปเกิดเป็น หมาขนยาว ๆ ขี้เรื้อนบ้าง เป็นโรคบ้าง ขากระเผลกบ้าง อดข้าว อดน้ำบ้าง
    อยู่กับฝุ่น กับโคลน ขี้ เหยี่ยว เรี่ยราด จะตายเมื่อไรไม่รู้ วันดีคืนดี วิ่งออกไปโดนรถชนตายก็มี
    แล้วที่สำคัญ แน่ใจได้ไงว่า เป็นหมาวัดแล้วจะได้ดี
    เป็นหมาวัด ก็ยังกัดกินนก กินงูแถวนั้น ได้อยู่ดี ไม่มีหลักประกันอะไรเลยจริง ๆ

    แต่ผมไม่คิดว่า เทวดาจะเลือกเกิดได้จริง ๆ นะครับ
    นอกจากเป็นเทวดาที่ไม่ประมาท สั่งสมบุญมาเป็นอย่างดี



     
  11. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    555 อืมเข้าใจคิดน่ะท่าน love you ขอไปเกิดเป็นมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป :cool:

    แต่ถ้าผมมีบุญมากขนาดนั้น ผมขออยู่เป็นเทวดาต่อดีกว่า eiei

    ในส่วนสาเหตุที่เทวดาต้องมาเกิดนั้น เพราะเขาหมดบุญอ่ะครับ แล้วกรรมมันจะส่งผลแล้ว ไม่มีเทวดาองค์ไหนโรคจิต อยากเป็นแบบที่ท่านว่าหรอก

    หมาขนยาว ๆ ขี้เรื้อนบ้าง เป็นโรคบ้าง ขากระเผลกบ้าง อดข้าว อดน้ำบ้าง
    อยู่กับฝุ่น กับโคลน ขี้ เหยี่ยว เรี่ยราด จะตายเมื่อไรไม่รู้ วันดีคืนดี วิ่งออกไปโดนรถชนตายก็มี

    อาการที่ท่านว่ามานี้ ไม่ใช่เทวดาเขาชอบน่ะ แต่เขาชดใช้กรรมของเขา

    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    " ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังทุกอย่าง ต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ตลอดสมัย ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้อง จุติ คือ ตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย "

    (พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก เป็นอันว่า ทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มา เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้น ร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

    " ภิกขุเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่า ทุกท่าน มีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิด บนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่า ท่านจุติเมื่อไร โน่น...นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลาย จะต้องพุ่งหลาว ลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะ ได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า เป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพานเป็น อันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน
    (ท่านยกมือชี้ขึ้น ให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพาน ไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราว เป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหนมี ความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมดแล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)
    " ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ถ้าบุญวาสนาบารมี ของเรานี้ สิ้นสุดลงเราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์เรา จะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และ การไป นิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วง เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลิน ในความเป็นทิพย์ ยังมี ความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อนอันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะ ตายเมื่อไหร่ก็ ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง

    เป็นหมาอยู่กับพระอริยสงฆ์ ไม่ดีตรงไหน?

    ที่บ้านหลังนั้น มีพระมาบิณฑบาตเป็นประจำรูปหนึ่ง เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง ที่ท่านตรัสรู้แล้วท่านไม่ได้สอนใคร ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อท่านตรัสรู้แล้วก็เทศนาโปรดสัตว์โลก)
    เจ้าของบ้านมีความเลื่อมใสท่านเป็นอย่างดี ใส่บาตรเป็นประจำ ส่วนหญิงนั้น ลูกก็ตาย สามีก็ตาย ครั้นเมื่อเผาศพสามีแล้ว ก็ไม่รู้จะไปไหน วันต่อมาได้ช่วยหุงข้าวให้เจ้าของบ้าน ตัวเองได้อาหารมาทาน ก็นำมาใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย เมื่อใส่บาตรแล้ว ก็กล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า ขอผลบุญนี้จงถึงแก่สามีของดิฉันด้วยเถิด” แล้วคิดว่า “เราอยู่ที่นี่ไปตลอดเสียเลยดีกว่า พระคุณเจ้าก็มาที่นี่ประจำ ของที่จะถวายจะมีหรือไม่มีก็ช่างเถิด เราขวนขวายช่วยเหลือเจ้าของบ้านเตรียมอาหารให้เขาทำบุญ ได้ไหว้พระคุณเจ้าด้วย เมื่อเราทำใจให้เลื่อมใสในพระคุณเจ้าอยู่ทุกวัน คงจะต้องได้บุญมาก” คิดดังนี้แล้ว นางจึงขออยู่รับจ้างในบ้านนั้นนั่นเอง
    ครั้นเวลาผ่านไปประมาณ ๖ – ๗ เดือน สุนัขตัวเมียตัวนั้นก็คลอดลูกออกมาตัวหนึ่ง เป็นตัวผู้ (ซึ่งก็คือสามีของหญิงนั้น) เจ้าของบ้านรักและเอ็นดูมันมาก เพราะมันฉลาด ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อท่านรับบิณฑบาตไปฉันแล้ว ท่านจะปั้นก้อนข้าวให้ลูกสุนัขก้อนหนึ่งเป็นประจำ เพราะเหตุนี้เอง ลูกสุนัขนั้น จึงมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก ส่วนเจ้าของบ้านก็มักไปอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ที่พักของท่านเสมอๆ แล้วเรียกเจ้าลูกสุนัขนี้ติดตามไปด้วย ระหว่างทาง เมื่อเจอพุ่มไม้ที่คาดว่าอาจจะมีงูหรือสัตว์ร้าย เขาก็จะเอาไม้ตีที่พุ่มไม้นั้น แล้วส่งเสียงไล่ว่า ซุ่ ซุ่ ซุ่ ๓ ครั้ง อยู่เป็นประจำ เพื่อให้งูหรือสัตว์ร้ายหนีไป เจ้าลูกสุนัขนั้นมันก็สังเกตจดจำเอาไว้
    วันหนึ่ง เมื่อไปกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว เจ้าของบ้านก็กล่าวกับท่านว่า “พระคุณเจ้าขอรับ วันไหนถ้าผมไม่ว่างมา ผมจะส่งไอ้เจ้าหมาน้อยตัวนี้มานิมนต์นะขอรับ” เวลาผ่านไปไม่นาน วันหนึ่ง เจ้าของบ้านไม่ว่าง จึงพูดกับเจ้าลูกสุนัขว่า “เจ้าหมาน้อยเอ๊ย ไป๊ ไปนิมนต์พระท่านมาที” ลูกสุนัขนั้นฉลาดมาก เขาพูดแค่คำเดียวเท่านั้น มันก็วิ่งดุ๊กๆ ๆ ไปทันที กระทั่งไปถึงกุฎิของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็เห่าขึ้น ๓ ครั้ง ให้ท่านรู้ว่ามันมาแล้ว จากนั้นก็นอนหมอบคอยเวลาที่ท่านออกมา เมื่อท่านออกมาแล้ว มันก็วิ่งเหยาะๆ นำหน้าท่านไป ครั้นถึงพุ่มไม้ที่เจ้านายของมันเอาไม้ตีไล่สัตว์ร้าย มันก็เห่าขึ้น ๓ ครั้ง พอรู้ว่าสัตว์ร้ายหนีไปแล้ว ก็วิ่งช้าๆ นำหน้าท่านต่อไป
    เมื่อเดินไปสักพัก พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ทดลองความฉลาดของลูกสุนัข โดยเดินไปทางอื่น ลูกสุนัขก็หันกลับ วิ่งไปยืนเห่าขวางหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ แล้วนำท่านเข้ามาในทางเดิม วันต่อๆ มา พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ทดลองลูกสุนัขนั้นอีก โดยเดินไปทางอื่น แม้ลูกสุนัขนั้นจะวิ่งกลับมายืนขวางห้ามอยู่ข้างหน้า ท่านก็ไม่กลับ ท่านเอาเท้ากระตุกลูกสุนัขให้หลบไป แล้วท่านก็เดินไปทางอื่น เจ้าลูกสุนัขรู้ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่กลับ จึงวิ่งไปคาบชายผ้านุ่งของท่านเบาๆ ฉุดพาท่านมาในทางเดิมจนได้ นี่คือความรักที่ลูกสุนัขนั้นมีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า
    วันหนึ่ง เจ้าของบ้านได้นำผ้าสำหรับทีจีวรมาถวายท่าน เพราะเห็นว่าจีวรที่ท่านห่มอยู่เก่ามากแล้ว ท่านกล่าวกับเจ้าของบ้านนั้นว่า “คุณโยม การทำจีวรนั้นอาตมารูปเดียวทำได้ยาก อาตมาจะไปหาเพื่อนพระด้วยกันเพื่อช่วยกันเย็บจีวร” เจ้าของบ้านกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่านอย่าไปนานนักนะขอรับ” เมื่อเจ้าของบ้านตามไปส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ลูกสุนัขนั้นก็ตามไปด้วย เมื่อไปสักระยะหนึ่ง เขาก็ลาท่านกลับ แต่เจ้าลูกสุนัขยังไม่ยอมกลับ มันยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ พระปัจเจกพุทธเจ้า และแล้ว ท่านได้เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าไป เจ้าลูกสุนัขก็เห่าหอนตามด้วยความรักความอาลัย มันเห่าหอนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพระปัจเจกพุทธเจ้าลับสายตาไป ในที่สุด มันก็หัวใจแตกตายด้วยความรักความอาลัยอย่างยิ่งในพระปัจเจกพุทธเจ้า
    (ธรรมดา สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย เป็นสัตว์มีธรรมชาติซื่อตรง ไม่คด แต่ในมนุษย์ส่วนมาก ใจคิดอย่างหนึ่งปากพูดอีกอย่างหนึ่ง ไม่ตรงกัน สัตว์เดียรัจฉานนั้น มันรักก็รักจริง เป็นความรักที่ซื่อๆ บริสุทธิ์)
    ลูกสุนัขนั้น เมื่อตายไปแล้ว ภาพในใจตอนนั้นผูกไว้กับผู้บริสุทธิ์มากๆ คือ พระปัจเจกพุทธเจ้า กุศลจิตดวงนั้นจึงนำดวงวิญญาณไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที เสวยทิพยสมบัติอันโอฬาร มีนางฟ้าเป็นบริวารถึงหนึ่งพัน ลักษณะพิเศษของเทพบุตรนั้น ก็คือ เมื่อกระซิบที่ใกล้หูของเทพองค์อื่นๆ เสียงนั้นจะดังไปไกลถึง ๑๖ โยชน์ (๑ โยชน์ มี ๑๖ กิโลเมตร) ส่วนเสียงพูดโดยปกตินั้น ดังกลบเทพนครทั้งสิ้น ซึ่งมีประมาณถึงหมื่นโยชน์ เทพบุตรนั้น จึงได้มีนามว่า “โฆสกะเทพบุตร)
    (แม้ก่อนจะตาย ลูกสุนัขนั้นร้องโหยหวนเพียงใด ซึ่งดูแล้วใจเป็นทุกข์น่าจะส่งผลให้ไปอบาย แต่เนื่องจากจิตที่ผูกไว้กับภาพในใจสำคัญกว่า นั่นก็คือ ภาพของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ จึงได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์)
    http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=4756
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...