ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เห็น "ตาน้ำวน" ได้ ถือว่า โอเค มาก ๆ

    +++ ให้ "ตัวดู" สร้าง "หมาดำ" ขึ้นมาสักตัวหนึ่ง แล้ว "เรา" ขึ่หมาดำตัวนั้น "ขึ้นสวรรค์" ไปเจอ "เทวดาแยะ ๆ"

    +++ ในระหว่างนั้น "ให้รู้ตัวดู" และการสร้างภาพของ "ตัวดู" เหมือนเรา "อยู่ตรงกลาง" ระหว่าง "ผู้สร้าง กับ ภาพที่ปรากฏ"

    +++ แล้ว "จะรู้ได้เอง" ว่าอะไรเป็นอะไร ตรงนี้ "นักศีกษาระดับ 9" จะได้ "คำเฉลยทาง กรรม-ฐาน" เป็นพิเศษ หุหุ มันส์...
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จิง ๆ แล้วโพสท์ข้างบนนั้น "หากนักศีกษาระดับ 9" ใช้การเดินจิต "อยู่-ย้าย" ไปตาม "ขันธ์ประธาน-บริวาร" โดยใช้ "จุดอิง" เป็น "ขันธ์ประธาน" ก็จะเห็นได้ไม่ยากอะไรเลย "ตรงนี้เป็น ของเล่น ของมหาปัฏฐาน" (เหตุปัจจัยโย) โดยใช้ "สภาวะรู้" เป็นแกน จิง ๆ แล้วยังมีอีกคือ "ในบริเวณหัวโค้งของ peak" นั้น "ภพภูมิมนุษย์" จะอยู่ในระดับที่ "ไม่มีฝุ่นละออง" เลยแม้แต่นิดเดียว และ มนุษย์กับสัตว์ จะพูดกันรู้เรื่อง อีกด้วยซี แฮะ ๆๆๆ หุหุๆๆๆ ค่อย ๆ เดินจิตเอาเด้อ หุหุ บอกเป็นนัย ๆ แค่นี้แหละ "อจินไตย"
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ แสดงว่าเป็น กปปส ที่เป็น "สันติอหิงสา" ยังไม่สำเร็จเป็น "สันติอหิงสวน" นะดิ

    ++ ตงนี้ ไม่ตอบก็แล้วกัน ตุ๊บๆ ไปก่อนเน้อ...

    +++ ไปดู ถานีรดไฟดี ๆ มันมี "หลักหก" ด้วยแหละ ยังไม่ถึงรังสิตเหมือนกันเลย... อิอิ

    +++ ไม่เป็นไร ลอง "เดินจิตในโพสท์ที่ 782" ตามวิธีของโพสท์ข้างบนดู ทำ "ปัฏฐาน" ให้ละเอียด แล้วจะเห็น การ "แปรเปลี่ยน" ของภพภูมิ "ทั้งภพภูมิ" จนกระทั่งเป็น "ภูมิซ้อนภูมิ" โดยที่ "สัตว์ในภูมิ อยู่ร่วมกันได้แบบ สันติอหิงสา" ไร้การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ที่ฝรั่งเรียกว่า paradise อะไรทำนองนั้น "พื้นดินราบเรียบเสมอกัน" การเคลื่อนตัวที่ "planet core" มีการเรียงตัวที่แน่นอน และ "ภัยพิบัติ" ไม่ปรากฏ ก่อนที่ "พระศรีอารย์" จะมา ลองทำ "มหาปัฏฐาน" ดูก็จะรู้ได้ไม่ยาก ตรงนี้เป็นการบ้านของ นักศึกษาระดับที่ 9 นะครับ
     
  4. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022

    การบ้านยากจัง สร้างได้แต่หย่อมอากาศ แต่ว่าไม่ชอบหมาดำค่ะ สร้างอย่างอื่นได้ไหม แต่จุดประสงค์แบบฝีกหัดนี้คือ "สร้าง"ใช่ไหม
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การ "สร้าง" ตรงนี้เพื่อให้ "เห็น" สิ่งที่เรียกว่า "มโนกรรม" และ "ผู้สร้าง มโนกรรม" แล้วจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ ชัดเจน ในเรื่อง "มโนไปเอง" ทั้งหมด รวมทั้งกระบวนการของการ "สมมุติ" ว่าไปมาอย่างไร แล้วผู้ที่ติดหลง หรือ ยึดตรงนี้เป็นตุเป็นตะ ก็เรียกว่า "บัญญัติ"

    +++ จริง ๆ ตรงนี้เป็นของ ผู้ที่อยู่ในระดับ 9 ที่จะได้ "แยกแยะ" ได้ว่า ตรงนี้คือ "จินไตย" อยู่ภายใต้ความคิด ซึ่งแตกต่างไปจาก "การใช้ขันธ์" ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ "อจินไตย" เพื่อการเรียนรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ "ความคิด" ไปไม่ถึง นั่นเอง

    +++ ให้รู้ไว้ว่า สิ่งที่เรียกว่า "เหนือธรรมชาติ" นั้น "ไม่มี" หากจะมีก็เพียงแต่ "ธรรมชาติที่อยู่เหนือความคิด" ที่เรียกว่า "อจินไตย" เท่านั้น การเรียนรู้ตรงนี้ต้อง "ไม่มีความคิด" เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงพอจะรู้ได้

    +++ สำหรับผู้ที่ทำ "กายเวทนา" ได้แล้ว ก็ให้ทำให้คล่อง แล้วก็ "อยู่กับมันไปเรื่อย ๆ" จนกว่าจะเป็นเหมือน "เราเป็นกายหนึ่ง ที่อยู่ซ้อนกันกับ อีกกายหนึ่ง" เมื่อถึงตรงนี้แล้วก็จะค่อย ๆ ต่อยอดให้เป็นช่วง ๆ ไป

    +++ สำหรับผู้ที่ยังอยู่ในการฝึก "มหาสติปัฏฐาน 4" (ภาคขาไป) ก็ให้ฝึก "มหาสติ" ไปก่อน อย่าเพิ่งโดดไปฝึก "มหาปัฏฐาน (ภาคของการใช้ขันธ์ ซึ่งเป็นภาคขากลับ)" ก็แล้วกัน ไม่งั้น จะสับสนไปหมด ว่าอะไรเป็นอะไร นะครับ
     
  6. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ดูเหมือนว่า ภาคขาไป ยังมีที่สิ้นสุด นะคะ แต่ ภาคขากลับ นี่สิ หาที่สิ้นสุดไม่ได้



    ปล. ย้อนไปโพสท์ที่ 624 ที่คุณธรรม-ชาติ เคยเอ่ยไว้ว่า

    +++ แปลกดี ร้านนวดแผนโบราณ แต่ ไม่มีใครนวดจับเส้นเป็น

    ตอนนั้นอ่านแล้วก็ เออ นั่นน่ะสิ แปลกเหมือนกัน และเมื่อเดือนที่แล้ว ไปตามล่าหาความจริงมาแล้วค่ะ แถมได้ประสบการณ์เพิ่มมาด้วย เป็นอะไรที่ตลกน่ะค่ะ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ถูกแล้ว มหาสติปัฏฐาน 4 คือภาคขาไป "ออกไปจากขันธ์" เมื่อ "ออกได้ก็จบได้ เท่านั้นเอง" แต่ภาคขากลับคือ "มหาปัฏฐาน" เป็นภาค "กลับมาใช้ขันธ์" และ "ขันธ์ คือสิ่งที่ไม่สิ้นสุด แตกขันธ์บริวารได้แบบ ไม่มีจบ เป็น อนันตนัย หากไม่ทำ มหาปัฏฐาน ก็ไม่มีวันรู้เรื่องได้เลย"

    +++ ขาหนึ่งเป็น "อนุโลม" อีกขาหนึ่งเป็น "ปฏิโลม" พระพุทธเจ้าท่าน "เดินจิตทั้งสองทาง" ดังนั้น "นักศึกษาในกระทู้นี้ จึงควรเดินตามแบบของ พระพุทธองค์ ไว้ก่อน" (ถ้าทำได้)

    +++ แต่ถ้าผู้ใด "ยังไม่จบขาออก" ก็อย่าเพิ่ง "ขับรถย้อนเส้นทางจราจร" สวนกลับเข้ามาเพราะ "อาจติดแหงกได้ทุกเมื่อ" เพราะยังไม่สามารถ "ทำสภาวะรู้ ให้เป็นใส้เทียน" ได้นั่นเอง

    +++ ทั้งหมด "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" ตามตำรา "เป๊ะ ๆ" เลย เพียงแต่ว่า "ผลทั้งหมดย่อมมาแต่เหตุ" แต่ เอ.... เหตุหยู่ตงไหนหว่า ..... (ตงนี้คุณ Apinya17 ชอบแน่ ๆ) นี่แหละ "เหตุปัจจะโย" ภาคขากลับ

    +++ เหตุที่ทำให้ "เกิดขึ้น" โดยเฉพาะ "ปฐมเหตุ" หากไม่มีปฐมเหตุนี้แล้ว "จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย" ตัวนี้แหละ "อณู ในสภาวะ รู้" และมันเป็นการเกิดของ "ตัวกู" นี่แล .....

    +++ ส่วนเหตุที่ทำให้ "ตั้งอยู่" ก็คือ "ตัวกู" นี่แหละที่ "ย้ายเข้าไปอยู่" และตรงที่ "เข้าไปอยู่" ตรงนี้แหละที่เรียกกันว่า "กาย" (กายเนื้อ กายเวทนา กายจิต กายธรรมารมณ์ ตาม มหาสติปัฏฐาน 4 เป๊ะ ๆ) ถ้าไม่รู้ตรงนี้ก็อย่าฝันถึง สักกายะทิฐิเลย มันเสียเวลา หุหุ

    +++ ส่วนเหตุที่ทำให้ "ดับไป" ก็คือ "ตัวกู" นี่แหละที่ "ย้ายออกมา" แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ตรงนี้ ก็เลย "ย้ายเข้าไปอยู่ใหม่" ที่เรียกกันว่า "จุติใหม่" นั่นแล ...... (อุ๊แว๊ ๆ ๆ)

    +++ ดังนั้น มหาสติปัฏฐาน 4 รวมทั้ง อยู่-ย้าย ไปตามกายต่าง ๆ จนรู้จักว่า "ตัวกู" คือ "ตัวอะไรกันแน่หว่า..." อิอิ

    +++ เมื่อรู้ชัดแล้วว่า "ตัวกู ก็คือ ตัวดู" ก็แค่ "ย้ายออกมา จากตัวดู" ก็สิ้นเรื่อง ก็กลายเป็น "อยู่กับรู้" ไปโดยปริยาย ก็ "ออกมาได้เอง" แล..

    +++ โพสท์นี้ "ย้อนรอยขาออก" ให้พอเป็นน้ำจิ้มก็พอเน้อ...

    +++ อือนั่นนะซิ คงต้องมี อะไรบางอย่างที่แปลกออกไปแน่ ๆ เลย ถ้าเล่าสู่กันฟังได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ควรเล่า ก็ไม่เป็นไร นะครับ
     
  8. jadeprawit

    jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    เข้ามาอ่านอยู่เรื่อยๆค่ะ คิดว่ายังอยู่ตรงว่างๆทำสติทั่วทั้งตัวได้แค่เป็นช่วงๆ เองค่ะ
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จริง ๆ ต้องอยู่แบบ แน่น ๆ "มีมวล มีสภาพ" ของร่างกายตนเอง ที่เรียกว่า "ความรู้สึก" ที่เป็นแบบ "ทั้งร่าง" และตรงนี้เท่านั้นที่เรียกว่า "กายเวทนา" แปลว่า "กายแห่งความรู้สึก" โดยเฉพาะ "จิตอยู่ที่ไหน กายย่อมอยู่ที่นั่น" ดังนั้น "กายแห่งความรู้สึก" ก็คือ "อยู่กับ ความรู้สึก ของกายทั้งตัว" นั่นเอง

    +++ หากทำได้เมื่อไร ก็ให้ซ้อม "เข้า-ออก" ความรู้สึกทั้งกายนี้ให้ชำนาญ รวมทั้ง "เร่ง-ลด-ตรึง-แช่-อยู่" กับกายแห่งความรู้สึกนี้ จะทำแบบ "เล่น ๆ" ก็ได้ไม่ต้องซีเรียส ใช้แบบ เพิ่ม-ลด เป็นเปอร์เซ็นต์ทีละ 10 ก็ได้

    +++ แต่ถ้าหากอยากรู้ว่า สิ่งที่เรียกว่า "สัมปชัญญะ" คืออะไร ก็ให้เร่งแบบทีเดียวถึง 100% ในทีเดียว แล้ว "ตรึง-แช่-อยู่" ที่ตรงนั้นก็จะได้อาการที่เกิดขึ้นมา 4 ประการที่เรียกว่า "สัมปชัญญะ 4" คือ

    1 สาตกสัมปชัญญะ คือ รู้ปัจจุบันขณะ "แห่งตน ว่า "เป็น" สภาวะธรรมแบบไหน" (รู้ว่า "เป็น" กายเวทนา) (เป็นสติ)
    2 สัมปปายสัมปชัญญะ คือ รู้ชัดเจนว่า "ไม่ทุกข์อะไร อยู่อย่างนี้ก็อยู่ได้" (รู้ว่า กายเวทนา ไม่ต้องมีลมหายใจ ก็อยู่ได้)(เป็นสมาธิ)
    3 โคจรสัมปชัญญะ คือ รู้ชัดเจนว่า "ลักษณะของการอยู่แบบนี้" ไม่ได้มาจาก "ความคิดหรือความปรุงแต่ง" (ตัดนิวรณ์ 4 ตัว)
    4 อสัมโมหสัมปชัญญะ คือ รู้ตนเอง "ชัดเจน" 100% (ตัดนิวรณ์ ตัวสุดท้าย)(เป็นฌาน หรือ สติทรงฌาน)

    +++ หาก "การเร่งที่เดียวถึง 100%" นั้น มีอาการ "แผ่ซ่าน" ปรากฏอยู่ด้วย ก็ให้รู้ไว้เลยว่า "การเร่งนั้น" ผ่าน วงจรของ ฌาน 2 ไปในขณะเดียวกัน ในการเร่งเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นะครับ
     
  10. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    เล่าได้ค่ะ เดี๋ยวยังไงจะเข้ามาเล่าให้ฟังค่ะ !

    ******

    มาแล้วค่ะ ถือว่าเล่าสู่กันฟังเพื่อความบันเทิง สนุกๆค่ะ เอาเป็นแบบบทสนทนาผสมภาษาอีสานนะคะ อิอิ

    เมื่อวันที่23เดือนที่แล้วน่ะค่ะ แวะไปทักทายคนบ้านเดียวกันที่ร้านนวด ก็คุยกันจิ่ปาถะน่ะค่ะ ในห้องนวดเวลานั้น จะมีหมอนวดอีกคนอยู่ด้วย ทีนี้ เราเห็นหมอนวดคนนั้นนั่งซึม ก็เลยถามเล่นๆว่า

    เรา : เป็นอิหยัง หน้าตาคึเศร้าแท้ พากันทุกข์ใจอิหยัง
    หมอ : หนูมีเรื่องกับคนที่ทำงานด้วยกันในร้านนี่แหล่ะ มันว่าหนูเสียๆหายๆแล้วบอกว่าไม่ได้พูด นี่กะว่าจะตีหัวมันแล้วไปจ่ายค่าปรับที่สถานีตำรวจ

    เรา : เอ๊ย อย่าไปทำกันอย่างนั้น ไม่ดีหรอก ใจเย็นๆ
    หมอ : เมื่อคืนก็มีเรื่องอีก หนูโดนผีปล้ำจะข่มขืน

    เรา : อ๋าว คึเป็นจังซั้นน้อ
    หมอ : เมื่อคืนปิดร้านเกือบตี1 ตอนเข้านอน ก็นอนเรียงกัน 3 คนอยู่ชั้น3 พอหนูกำลังเคลิ้มหลับ รู้สึกมีผู้ชายตัวใหญ่ๆดำๆมาทับร่างหนู จะข่มขืนหนู หนูก็สู้ ดิ้นสุดๆเลย จนหลุด พอลุกขึ้นมาได้ก็เลยรู้ว่าไม่ใช่ฝัน

    เรา: เอ๊า บ่แม่นบักเทิ่ก(ผีตัวผู้)ตัวนี้บ่ ที่มันมาลูบขาข่อย มันนำข่อยไปตั๊ว
    ( คือว่า มีอยู่ช่วงหนึ่ง มีอาการ เหมือนมีใครมาลูบขาด้านขวาน่ะค่ะ เป็นบ่อย ลูบจากใต้เข่าลงมาถึงน่อง และบริเวณที่โดนลูบ จะเย็น ขนลุกซู่ ไปตามทางที่ถูกลูบ ตอนนั้นก็เอ๊ะ มันมาได้ไง มาจากไหน เราก็ไม่ได้ไปไหน นอกจากร้านนวด )

    หมอ : ไอ้คนที่มีเรื่องกัน กลางคืนดึกๆมันไม่นอน มันท่องคาถาอะไรของมันก็ไม่รู้ ท่องไปร้องไห้คร่ำครวญไป บางทีก็ร้องกรี๊ดๆ เหมือนคนโดนของ เวลามันดีมันก็พูดกับหนูดีนะพี่ แต่เวลามันไม่ดี มันเป็นคนละคนเลย เหมือนไม่ใช่ตัวมันน่ะ ตอนนี้ยิ่งเพี้ยนหนัก เห็นมันเอามีดมาซ่อนไว้ใต้หมอนด้วย

    เรา: เป็นมานานแล้วบ่
    หมอ : เพิ่งเป็นไม่กี่วันเนี่ยพี่

    เรา : เอาจังซี้ ตอนนอน ให้เจ้านอนอยู่กับความรู้สึกทั้งตัว เอ็ดเป็นอยู่บ่ เอ็ดแบบนี้ หายใจเข้าลึกๆ กลั้นสักพัก แล้วค่อยๆปล่อยลมหายใจออกช้าๆ ตอนเฮากลั้น มันสิรู้สึกชายุบยิบทั้งตั๋ว นั่นแหล่ะ ความรู้สึกทั้งตัว เอ็ดเป็นไหม
    หมอ : เอ็ดเป็นพี่ หนูไม่กลัวมันหรอก กลัวแต่ตอนหนูนอนหลับ แล้วมันเอามีดมาแทงหนูนี่สิ

    เรา: นู้นๆ มาแล้ว มาแล้ว ยืนเบิ่งเฮาอยู่หน้าห้องน้ำ นุ้น ใช่คนนี้แม่นบ่
    หมอ : นี่แหล่ะ นี่แหล่ะ คนนี้แหล่ะ

    เรา : เออ เพิ่นคึสิบ่พอใจน้อว่าเฮามาสอนอิหยังกัน เบิ่งเพิ่นยืนตาขวางใส่เฮาแม๊ะ มันบ่แม่นโต๋เพิ่นตั๊วหนั่น เพิ่นคึสิบ่รู้ตัว อย่าไปเอ็ดให้เพิ่นเด้อ อิโตนเพิ่น ( อย่าไปทำร้ายเธอนะ สงสารเธอ )
    หมอ : หนูก็ว่างั้นแหล่ะ มันไม่ใช่ตัวมัน ดูมันยืนมองพวกเรา มันบ่กล้าเดินผ่านประตูเข้ามา

    เรา : เอ่อ สังเกตุเห็น เข้า-ออก ห้องน้ำหลายรอบแล้ว ออกมาจากห้องน้ำก็มายืนมองพวกเรา แล้วก็เข้าไปห้องน้ำอีก คนนี้เคยนั่งอยู่ด้วยกันตอนโน้นหนิ่ เพิ่นสวัสดีข่อย นึกว่าข่อยเป็นเจ้าของร้าน
    หมอ : ใช่ๆ คนเดียวนี่แหล่ะ ตอนมันนวดลูกค้านะ หนูเห็นลูกค้า(ผู้ชาย)ของขึ้นทุกคนเลย ลูกค้าคราง อื้อ อื้อ หนูว่าสิบอกแฟนหนูมานอนให้มันนวดยุ

    เรา : เอ๊า แม่นบ่ล่ะ บ่แม่นเพิ่นใช้คาถาเล่นของติ่
    หมอ : จั๊กถืกของหรือเล่นของ แต่ก่อนเคยไปแย่งผัวคนอื่น ไผเว้ากะบ่ฟัง

    เรา : โอ่ย ข่อยฮู้แล้ว ตอนลาวนวดลูกค้า ลาวสิท่องคาถาเอิ้นบักเทิ่ก(น่าจะเป็นผีพราย ฮ่าๆๆ ) ตัวนี้มาช่วย ลูกค้าที่ถืกนวด นวดไป ของขึ้นไป เลยคราง เออ อิ๊ เออ เอิ๊ก เอิ๊ก ไปนำ .. เฮ่อๆๆ

    พูดเสร็จเราก็หันไปถามคนบ้านเดียวกัน

    เรา : แล้วเจ้าล่ะ บ่ถืกมันปล้ำมันข่มขืนเอาติ่
    คนบ้านเดียวกัน : บ่ มันบ่กล้ามาปล้ำข่อยดอก ข่อยมีปู่พยานาคดูแลข่อยอยู่
    หมอ : หนูก็มีปู่่ชีวก

    เรา : อ่าว คึบ่เอิ้นปู่ชีวกเพิ่นมาช่วย
    หมอ : บ่ได้เอิ้นแหล่ะ ปู่มาช่วยแต่ตอนนวด ถ้ามีใครเจ็บปวดตรงไหน รักษาที่ไหนไม่หาย ถ้ามาให้หนูนวดให้ อาการเจ็บปวดหายหมด

    เรา : อ่าว ถ้างั้นก็นวดจับเส้นให้ข่อยได้ตั๊วล่ะ
    หมอ : หนูนวดจับเส้นไม่เป็น

    เรา : แล้วเพิ่นนี่ล่ะ นวดอะไรเป็นมั่ง ( ถามคนบ้านเดียวกัน )
    คนบ้านเดียวกัน : นวดน้ำมัน นวดฝ่าเท้า

    เรา : ไปเรียนมาติ่ นวดฝ่าเท้า
    คนบ้านเดียวกัน : ไปเรียนนวดฝ่าเท้า+อบรม 3 เดือน ได้ใบประกาศด้วย

    เรา : นวดแบบได๋ นวดแบบใช้ไม้เล็กๆจิ้มตามจุดต่างๆ ด้วยบ่
    คนบ้านเดียวกัน : ใช่ๆ แบบนั้นแหล่ะ

    เรา : ถ้างั้นก็ใช้ไม้เล็กๆนวดกดจุดตามฝ่าเท้าได้ด้วยน่ะสิ
    คนบ้านเดียวกัน : ได้

    เรา : อ่าว ถ้าอย่างนั้นก็นวดเท้าให้ข่อยได้ตั้วล่ะ ใช้ไม้เล็กๆกดจุดตามฝ่าเท้าให้ข่อยไปด้วย
    คนบ้านเดียวกัน : นวดบ่เป็น

    ถัดจากวันนั้น เราก็แวะเอาของไปฝากคนบ้านเดียวกันตามสัญญา ส่วนหมอนวดคนที่เคยคุยกัน เธอก็เข้ามาขอบคุณที่เตือนสติไม่ให้ทำร้ายกัน เราก็ถามว่าอาการคนนั้นเป็นไงมั่ง เธอตอบว่า เดี๋ยวนี้เหม่อๆ ไม่ค่อยพูดกับใคร บอกป้าเธอไปแล้ว ไม่รู้ป้าเธอจะมารับเธอพาไปรักษาหรือเปล่า

    ส่วนคนบ้านเดียวกัน เธอพูดว่า เธอโทรไปเล่าให้แม่เธอฟังว่าเธอมาเจอเราที่นี่ แม่เธอพูดว่า ถ้าเราบอกชื่อพ่อแม่ แม่เธออาจจะรู้จัก เราก็ยิ้มและตอบไปว่า พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ต่อไป เราจะไม่มาร้านนี้อีกแล้วนะ

    หลังจากนั้น ก็ขับรถผ่านบ่อยนะ แต่ไม่เคยแวะ

    เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ ( ที่นั่งพิมพ์ๆเล่าให้ฟังอยู่นี่ เหงื่อออก รู้สึกกลิ่นเหม็นเลยค่ะ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014
  11. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    บักเทิ่ก สิมาขอส่วนบุญ:boo:
     
  12. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ช่วงแรกๆก็ไม่ได้เอ่ะใจค่ะ ครั้งสุดท้ายมาลูบขาตอนยืนทำกับข้าวที่ห้องครัว เราก็สื่อสารกับเขานะ แต่เขาสื่อสารกับเราไม่ได้ เราก็อือ มาขอส่วนบุญเหรอ ก็กำหนดจิตส่งตอนนั้นเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีอาการนี้อีก ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า เขากลับไปเป็นเจ้ากรรมนายเวร ต่อคนที่บังคับใช้เขาทำงานเพื่อสนองกิเลสตัณหาตัวเอง ที่แหล่ะคือผลกรรมที่กระทำโดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ลำบากของจิตวิญญาณอื่น

    จำได้เมื่อครั้งเคยออกไปนั่งทานข้าวร้านใกล้ๆบ้าน นั่งๆอยู่แล้วเหมือนมีใครมาลูบที่ขา เราก็เลยถามแม่ค้าว่า สามีเสียไปกี่ปีแล้ว แม่ค้าบอก 4-5 ปีแล้ว เราก็ถามว่าทำบุญให้เขาบ้างไหม แม่ค้าบอกยังไม่ได้ทำบุญให้เลย เคยทำแต่พิธีทางฝ่ายเขาวันที่เขาตาย เราก็เลยเกริ่นๆไปว่า เขายังอยู่ที่นี่นะ ยังไม่มีที่ไป

    พูดแล้วเราก็นิ่ง กำหนดจิตแผ่เมตตา+ส่งบุญให้ตอนนั้นเลย ก็รู้สึกขนลุกวูบทั้งตัว วันถัดมา ก็ไปนั่งทานที่ร้านนั้นอีก แม่ค้าเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนฝันเห็นบัง ฝันเห็นแต่งตัวใส่เสื้อผ้าเหมือนใส่สูตรดูหล่อมาก ก็ไม่เคยฝันเห็นมาหลายปีแล้ว ลูกสาวคนเล็กของเธอก็ฝันเห็นพ่อมาหา

    คนที่นี่ ส่วนน้อยมากๆที่รู้จักบาปบุญ ห้าเปอร์เซ็นต์นี่จะถึงหรือเปล่าหรอก วัดที่เคร่งจริงๆที่เห็นด้วยตัวเองก็มีที่เดียว วัดที่ดังมากๆ ก็ดูกลายเป็นเชิงธุระกิจไปเสียแล้ว เมื่อหลายปีก่อน เราเคยจะไปบวชที่วัดดังแห่งหนึ่ง เดินเข้าไป เห็นแม่ชีร้องเพลง เดินถอยหลังเลยค่ะ แต่จะสังเกตุได้ว่า วัดที่คนพากันเข้าเยอะ มักจะเป็นวัดที่มีของดีของขลัง

    มีเรื่องเล่าต่อ..

    เคยมีน้องคนหนึ่งขายกาแฟร้านแถวนี้ เล่าให้ฟังว่า ตอนเกิดสึนามิ น้องคนนี้อยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งและอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ลูกสาวของคนงานช่วยชีวิตไว้ วันนั้นปิดร้านเลยพากันไปปิคนิคริมหาด หาดบริเวณนั้น มีนักท่องเที่ยวนอนอาบแดด เล่นน้ำ เต็มหาดเลย ทานโน้นทานนี่เสร็จ อยู่ๆ เด็กตัวเล็กๆลูกของคนงาน ร้องไห้ไม่หยุด ให้อะไรก็ไม่เอา ก็เลยตัดสินใจพากันเก็บข้าวของขึ้นห้องพัก พอเดินขึ้นชั้นสองของอาคาร เห็นคลื่นน้ำสูงมาก ไหลขึ้นมาถึงอาคารชั้นสองเลย กวาดนักท่องเที่ยวที่เล่นน้ำ+นอนอาบแดดเต็มหาด ลงทะเลหายเกลี้ยงหมดเลย

    ช่วงที่เรือหลวงส่งเรือเล็กไปช่วยเหลือ รับคนรอดชีวิตขึ้นฝั่ง น้องเขาต้องเหยียบศพคนตายที่นอนเกลือนเพื่อไปขึ้นเรือ เหยียบทีก็ยกมือไหว้ขอโทษที จะข้ามโดยไม่เหยีบ ก็ไม่มีที่ว่างให้ข้าม น้องคนนั้นบอกว่า เราเป็นคนแรกที่น้องสามารถเล่าเหตุการณ์นี้ให้ฟังได้ แต่ก่อนเล่าไม่ได้เลย จะพูดเรื่องนี้ไม่ออก มีแต่น้ำตาไหลแทนคำพูด และก็มีเด็กมาเกิดหลังสึนามิ อยู่ใกล้ๆกันนี่แหล่ะ เห็นน้ำทะเลไม่ได้ กอดคอแม่ร้องได้กรี๊ดๆ เด็กกลัวน้ำทะเล ไม่ยอมมองดูน้ำทะเล

    อันนี้เล่าให้ฟังเฉยๆนะคะ กระทู้ฝึก กรรม-ฐาน ฯ แต่เหตุการณ์ที่เล่า อาจมองเป็นส่วนในเรื่อง วงจรของ”กรรม” ก็น่าจะมองในลักษณะนี้ได้เหมือนกัน ทะเลกรรม เป็นอะไรน่ากลัวนะ ขอบอก
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เพิ่งได้เครื่องหลังส่งซ่อม 2 อาทิตย์ "ไฟช๊อดแผงบอร์ด" เลยต้องเปลี่ยนใหม่ทั้ง บอร์ด+cpu ต้องลง os ใหม่ทั้งหมด download driver ทุกอย่างทั้งคืน ตอนนี้ ok แล้ว

    +++ 555 ร้านนวดกลายเป็นร้านเลี้ยงผีนี่เอง มิน่าว่ามันแปลก ๆ อยู่ หุหุ ถ้าเปลี่ยนเป็น "ร้านลงทรง" น่าจะเหมาะเพราะ หมอนวดแต่ละราย มีวิญญาณประจำทุกหมอเลย รายแรกมี "พรายดำรำพัน" มานวดแทนหมอ รายหลัง ๆ ก็มี "ปู่พยานาค" บ้าง "ปู่่ชีวก" บ้าง น่าจะเปลี่ยนเป็น "ร้านทรงนวด" น่าจะเหมาะที่สุด เพราะ "ทรงไปนวดไป" ส่วนหมอที่ได้ใบประกาศก็ "นวดบ่เป็น" ซะอีก น่าจะใช้ชื่อร้านว่า "ร้านทรงนวด หรือไม่ก็ ร่างทรงนวด" ก็น่าจะ เซ็งลี้ฮ้อ ๆ นะ ดีไม่ดีก็ "นวดไปใบ้หวยไป" ในตัวเสร็จ หุหุหุ

    +++ "เลี้ยงช้างกินขี้ฃ้าง เลี้ยงผีเป็นทาสผี" "ตอนเป็นคน ใช้งานผี พอทำไม่ดีหรือบารมีเสื่อม ผีใช้งานคน (ปอบ หรือเป็น ทาสผี)"


    +++ กระทู้นี้ "ฝึก กรรม-ฐาน" (แยกกรรม ออกจาก ฐาน) หลัก ๆ คือ "เรียนรู้ กรรม" โดย "อยู่กับ ฐาน" ไม่ได้ให้ "ฝึก ลงไปอยู่กับกรรม โดยไม่มีฐาน" ไม่เหมือนกับที่อื่นที่ "เห็นกรรมคนอื่น แต่ ไม่เห็นว่า ตัวเองนั่นแหละ ที่ยังว่ายอยู่ในทะเลกรรม ร่วมกับผู้ที่ตนเห็น" "เห็นทรากศพเกลื่อนกลาดลอยเต็มทะเล แต่ ตัวเองก็ยังต้องว่ายวนเวียนร่วมกับซากศพทั้งหลาย" แล้วก็คอยตำหนิ คนที่พ้นน้ำแล้วว่า ไม่ยอมกลับลงมาว่ายในทะเลกรรมอีก ส่วนตัวเองก็ยังนึกว่า ว่ายวนอยู่ในทะเลกรรมนั้นเก่งกว่าคนที่เดินขึ้นจากทะเลแล้ว ถ้าเจอบุคคลเหล่านี้อีก เราก็เดินขึ้นไปคุยกับผู้ที่ "ไม่ต้องตะโกนคุยกัน" ดีกว่า เพราะตะโกนยังงัย "ก็ไม่ได้ยินอยู่ดี" ดีไม่ดี "คลื่น (กรรม)" ก็ซัดออกห่างจากฝั่งไกลออกไปเรื่อย ๆ ก็ต้องปล่อย "เลยตามเลย" ก็แล้วกัน

    +++ "เด็กคนนั้น" (ที่อยู่ในวรรคข้างบน) ยังโชคดี "ที่ยังได้เกิดเป็นมนุษย์ ที่ยังทันพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย อีกรอบ" หาก หลุดไปเกิดเป็นอย่างอื่น ก็หลุดไปใน "ทะเลกรรม และ คลื่นซัดออกน้ำลึก แน่นอน" เด็กคนนั้น อาจยังมีวาสนาในพระพุทธศาสนาอยู่ก็ได้ แต่ต้องเจอ "วิบากที่เรียกว่า อุปฆาต" เสียก่อน เรื่อง "ทะเลกรรม ทะเลวิบาก" นี้ เดินขึ้นมายัง "ฝั่งของ ฐาน" เสียเลยจะดีกว่า ส่วนจะ "ขึ้นเขา หรือ นั่งพ้นน้ำอยู่ริมหาด" ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ "นั่งจิบชา ดูคนเล่นน้ำ" ไปพลาง ๆ ก่อนก็ได้ นะครับ เอวัง.....หุหุ
     
  14. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    อยู่เมืองไทยดีน่ะ ผียังกล้ามาหลอกคน แต่อยู่เมืองฝรั่ง ผีมารยาทดีไม่มีมาทักทายเลย
    หรือเป็นเพราะนิสัยฝรั่งด้วย เรื่องส่วนตัวไม่ยุ่งกัน
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สงสัยตอน Apinya17 อยู่เมืองฝรั่ง ไม่ยอมมีผีตัวไหนมาทักทาย เลยน้อยใจเหรอ

    +++ จริง ๆ แล้วก็มีทุกแห่งเหมือนกันแหละ หากเป็นผีชาวบ้านที่ยังต้อง "พึ่งพาอาศัย ภาษา" อยู่พวกนี้ก็จะไม่ชอบมาทักทายอะไรด้วย "เพราะมันพูดไม่รู้เรื่อง" ดีไม่ดี เจอคนไทยสวนกลับแบบ "ฮ่วยฟังบ่ฮู้เฮื้อง เจ้าจิมาเว่าอหยัง" หรือไม่ก็ "พูดไรว้า ม่ายร่อยเลย" "ฟางบ่ออกจ้าว..." อะไรพันนี้ ภาษาแบบนี้ คนไทยยังพอ "ฟัง ๆ มึน ๆ ได้" แต่ผีฟรั่งฟังแล้ว "มึนเต็ก ไม่ฟื้นแน่"

    +++ ตอนที่ยังเป็นพระไป เมกาที่ LA ก็มีพระเพื่อนกันที่ Florida นิมนต์ไปช่วยเฝ้าวัดในช่วงปีใหม่เพราะ พระที่นั่นถูกนิมนต์เกลี้ยงวัด และนิมนต์คนละแห่ง ผมก็เลยถือโอกาสไปเที่ยวต่างรัฐซะเลย ไปก่อนปีใหม่สัก 7-8 วันให้พอเป็นที่คุ้น ๆ กับญาติโยมแถวนั้นก่อน วัดที่พระมหาที่เป็นเพื่อนกันนั้น อบรมฝรั่งได้เก่งมาก ขนาดนายทหารฝรั่งยังปฏิบัติตัวได้ดีกว่า เด็กวัดในหลาย ๆ วัดในเมืองไทยซะอีก ตรงนี้เป็นความประทับใจแรกพบตั้งแต่ที่สนามบินเลย

    +++ หลังจากพระที่นั่นไปนิมนต์ต่างรัฐและต่างเมืองแล้ว ตอนกลางคืนหลังจากญาติโยมกลับบ้านแล้ว ก็เหลือผมผู้เดียว คืนที่สองขณะกำลัง "หลับแต่ตื่นอยู่" (หลับอยู่ส่วนหลับ ตื่นอยู่ส่วนตื่น) ก็มีเสียงเคาะประตู เป็นจังหวะ 3 คือ ก็อก ๆ ๆ แล้วก็เว้นจังหวะ ก็อก ๆ ๆ ก็อก ๆ ๆ ไอ้ส่วนที่ตื่นก็รู้ทันที่ว่า "ไม่ใช่มนุษย์" พอส่วนที่ตื่นรู้ปั๊บ ก็มีเสียงออกมาจากจุดที่เคาะว่า "Open open" เป็นเสียง "ตัวพูดมากของ ผีแหม่ม" ไอ้ส่วนที่ตื่นทั้้ง ๆ ที่รู้ว่า "เป็นผี" แต่มันไม่ได้พิจารณาว่า "ผี" มันกลับพิจารณาว่า "สตรีเพศกับพระ ยามวิกาล" ก็เลย "ตัวรู้เรื่อง วางตัวมันเองลง" แล้วก็ "ตัวรู้เรื่องก็ดับไปเลย"

    +++ หลังจากพระเพื่อนกัน กลับมาแล้ว ก็เลยถามว่า "ที่นีมี ผี ด้วยเหรอ" พระมหาเพื่อนกันก็ตอบว่า "มีผีผู้หญิง เป็นแหม่มฝรั่ง เคยเจออยู่เหมือนกัน" อือม์... มารยาทดีเน๊อะ อยู่กันหลาย ๆ คนไม่มา สงสัย "ขี้เกรงใจ" ต้องเลือกมา "ตอนอยู่คนเดียว" หุหุ จาด้าย.. ม่าย.. ต้อง... เกง...จาย... หือ...หือ...หือ...

    +++ ตอนนี้ "ถอยคำศัพท์ใหม่" ออกมาอีกตัว คือ "ตัวรู้เรื่อง" เพื่อให้เข้าใจภาษาที่ตรงกับอาการได้ "ง่ายขึ้นกว่าเดิม" ตัวรู้เรื่อง คือ "ตัว ความเข้าใจ" "ตัว สังกัปโป" "ตัว ขณะจิต" "ตัว วาระจิต" "ตัว เจโต (ปะริยะญาณ)" "ตัว จิตสื่อสาร (คุยกันแบบ วาระ สู่ วาระ ของจิต)" "ตัว เจตนา"

    +++ แต่ห้ามนำเอา "ตัวขณะจิต" มาปนกับ "กิริยาจิต" เป็นอันขาด เพราะ "กิริยาจิต เป็น อเหตุจิต" (ไม่มีตน และ ผลผลิตของตน แฝงอยู่) "ส่วน ขณะจิต เป็น เจตนาจิต" (เป็น เจตจำนงค์แห่งตน มีความหมาย มีความเข้าใจ อยู่ ข้างใน เจตสิก นั้น)

    +++ ผีฟรั่ง หากเขาจะมา "Say hi" แล้ว เขาจะมา "Say hi" ในคืนแรกเลยโดยไม่ต้องมีการ "นึกคิดล่วงหน้า" มาก่อน (สังเกตุจาก การย้ายที่) หลัก ๆ จะเป็นคืนแรกทั้งนั้น เช่น วันแรกและคืนแรกที่ไปอยู่ เมกา ที่ซีแอตเติ้ล (ดินแดนของ ซายแยต) นอนที่บ้านน้า อยู่ ๆ ก็เห็น "เทพีสันติภาพ ปรากฏขึ้นมาต่อหน้า" ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สนใจอะไรมาก่อน ต่อจากนั้นก็เป็น "พระเยซูเปล่งรังสี มายืนยิ้ม ๆ ให้" ถัดจากพระเยซู ก็เป็น "ผู้หญิง แต่งตัวแบบ ชาวบ้านโบราณธรรมดา" แต่งามสง่ามาก มีราศีและ "เปล่งรังสี" ด้วย แต่แปลกตรงที่ "ประกายรังสีบนศีรษะ ออกมาเป็น รูปหัวใจ" (พระพุทธเจ้าเป็น เกศเปลวเพลิง)

    +++ ตอนนี้ "ลู้ยัง" ว่าผู้หญิงคนนั้น "เป็นใคร" หึหึ... นั่นแหละ "จิตของ พระแม่ มารี ตัวจริง" มา "Say hi" นั่นเอง หลังจากที่ "สองท่านนี้ เสร็จกิจ และกำลังจะเลือนหายไป" ก็มีเสียงชนิดที่เรียกกันว่า "สุรเสียง" ผนึกซึมเป็นเนื้อเดียวกันกับ บรรยากาศ มา "ปรารภ" แบบ "แจ้งข่าว" ให้ทราบล่วงหน้าว่า "หลังจากนี้ไป สตรีผู้นี้ จะเป็นที่รู้จักกัน อย่างกว้างขวางมากกว่าเดิม" เสียงที่ออกมาเป็นแบบ "สุรเสียง" ไม่ใช่ลักษณะของ "ตัวพูดมาก ที่ยังเป็น จุดหย่อมของผู้รู้เรื่อง" แต่เป็นลักษณะของ "ตัวดูเป็นใส้เทียน กายจิตทั้งกาย เป็นผู้ผนึกเสียง" นี่คือ "ลักษณะของ พรหม สื่อสาร" ที่แตกต่างกันอย่างมากมายกับชั้น "กามาวจรสื่อสาร" และ ธรรมารมณ์ ที่แฝงมากับเสียงเป็นแบบ "มุทิตา" (ยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น หรือ มาอนุโมทนาด้วย นั่นแหละ) ควบกันมากับ "อุเบกขา" ใน ธรรมารมณ์ นั้น ตรงนี้ "คงไม่ต้อง เดา" หรอกนะ ว่าเป็นใครมา "Say hi" กับผม

    +++ ท่านเหล่านั้นมา "Say hi" กับแบบ "ยกชุด" กันเลยทีเดียว ครบทั้ง "พระบุตร พระมารดา และ พระบิดา" ปกติเรื่องแบบนี้ "หากไม่มีเหตุ ผมก็จะไม่เล่าอะไรแบบ ฟุ่มเฟือยเกินเหตุ" (ผีเมืองฝรั่ง เล่าให้ Apinya17 ฟังเล่น ๆ พอแก้คัน) ดังนั้น บางคนก็เลย "ปรุงแต่ง" เอาเองว่า "ภพภูมิระดับสูง ๆ ไม่เอาผม" (ระหว่าง ตาทิพย์ กับ ตาถั่ว ก็ต้องเลือกกันเอาเอง ก็แล้วกัน) แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้ "ผูกพันอะไรกับ ภพภูมิ เหมือนคนเหล่านั้นอีกเลย" สำหรับผู้ที่มา "Say hi" กับผมแบบ "ยกชุด" นั้น แต่ละท่านล้วนเป็น "นิยตโพธิสัตว์ ตัวจริง" ที่อยู่ในระดับภพภูมิที่ไม่จำเป็นจะต้อง "เอาอะไรมาเทียบอีก" และ "บารมีของท่านเหล่านั้น" คงไม่ต้องมาบรรยายกันจน "น้ำลายไหลยืดยาด" อะไรอีก ในยุคนี้ปัจจุบันขณะนี้ ย่อมเป็นที่ "รู้กัน" อยู่แล้วว่า "ภพภูมิ และ บารมี" ของท่านเหล่านั้น อยู่ในระดับใด

    +++ ตรงนี้คือ "ธรรมเนียม และ มายาท" ของจิตระดับนั้น สำหรับ "นักศึกษาในกระทู้นี้" ก็ให้รู้ไว้แต่เพียงว่า "เราไม่ต้องไปแสวงหา จิต เหล่านั้นหรอก" แต่เป็นพวกเขาต่างหากที่จะมา "แสวงหาเรา และ อนุโมทนากับเรา" หากเราทำได้ "ตรงกับความเป็นจริง (อุชุปะฏิปันโน)" และทำได้จริง ๆ พวกเขาจะมาเอง หากยัง "ใฝ่ฝัน" ข้องเกี่ยวอยู่กับภพภูมิก็มีสิทธิ "มโนไปเอง" ทั้งนั้น แล้วก็จะโดน "ซึนามิแห่งกิเลส" กวาดออกไปยังทะเลลึก ชนิดที่ไม่ต้องกลับมายังฝั่งอีกใรนะดับ "มหากัปป" กันเลยทีเดียว

    +++ เรื่อง ผี (วิญญาณ) เมืองฝรั่ง เล่าให้ฟัง "พอแก้คันในใจ" แค่นี้ก่อน นะครับ
     
  16. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    เมิลเคยแต่โดนลูบเท้านะ ลูบขายังไม่เคยโดน
    กับอีกแบบจะรู้สึกว่ามีพลังงานอยู่แถว ๆ หัว ซ้ายบ้างขวาบ้าง
    บางทีก็สัมผัสได้ว่ามีพลังงานมายืนอยู่ข้าง ๆ
     
  17. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    " อีกแบบจะรู้สึกว่ามีพลังงานอยู่แถว ๆ หัว ซ้ายบ้างขวาบ้าง "

    คุณเมิล ลองเข้าไปเล่นเป็นมันดูสิ ทำ"ปัฎฐาน" สภาวะรู้ เป็นใส้เทียนของตัวดู เราเคยเข้าไปเล่นเป็นมันแล้ว มันเป็นพลังของมิจฉาทิฐิ หรือจะเรียกพลังฝ่าย มาร ก็ได้ พลังพวกนี้ มันจะคอยขัดขวางการปฎิบัติเพื่อไม่ให้ก้าวหน้า เราเข้าใจอย่างนี้นะ ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกต้องไหม ยังไงคงต้องรบกวนครูบาอาจารย์ช่วยอธิบาย
     
  18. jadeprawit

    jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    มี 2 ครั้ง นันกับพี่สาวนั่งบ่นน้องชาย แล้วรู้สึกเหมือนที่แขนมีอะไรมาสัมผัส เลยเอียงตัวให้พี่สาวดูว่ามีตัวอะไรเกาะหรือเปล่า ความรู้สึกเบาๆ เหมือนตัวอะไรไต่ อีกหลายวันต่อมาพี่สาวมาบ่นน้องอีกก็ร่วมบ่นด้วยเป็นอีกค่ะ ไมรู้อุปปาทานอะไรหรือเปล่า

    ช่วง 2 เดือนนี้ เวลานอนเข้าสมาธิปรกติค่ะ แต่มันหลับลึกเกินไป พี่สาวเข้าออกบ้านหรือทำอะไร ไม่รู้สึก ไม่รู้เรื่องเลย แต่ก่อนอะไรนิดจะตื่น รู้ตัว ตลอด แต่นี่ไม่รู้สึก ไม่รู้อะไรเลย
    นอนแบบน่าอันตรายนะคะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็กังวลค่ะ

    แบบนี้จะแก้ไขอย่างไรดีคะ อาจาร์ย
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ให้ฝึก "การมองระดับ 3 แบบหลับตา" ก็จะรู้ได้ว่า "มันมองแบบ 360 องศา" และเป็นการ "แผ่เมตตาด้วยสติ" ไปในตัว เป็น "มหาสติ 4 ที่พร้อมจะเข้า ปัฏฐาน" ได้ทุกขณะจิต ให้ฝึกจน "ลืมตา หลับตา" มีค่าเท่ากัน

    +++ จากนั้น ให้ตรวจสอบดูก่อนว่า การมานั้น "ดี ร้าย หรือ เฉย ๆ" ให้อ่านที่ "ธรรมารมณ์" ที่แฝงมากับ พลังงาน นั้น ๆ ให้เรียบร้อยก่อน การอ่านตรงนี้จะทำให้รู้ "เจตนาที่แฝงมา" กับจิตนั้น ๆ

    +++ หากเจตนานั้น แฝง "การเพ่งมาที่เรา" ให้อ่านก่อนว่า "มีค่าของ ความมุ่งหวัง" แฝงมาด้วยหรือไม่ "หากมี" ให้ดูที่ การมุ่งนั้นว่า "ดี ร้าย หรือ ขอ"

    +++ หากกรณี "ไร้เจตนา" "ไม่มีการเพ่ง" "ไม่มีค่ามุ่งหวัง" ก็จะอยู่ในกรณี "หลงภพภูมิ" ที่เรียกว่า "สัมพเวสี" ที่บังเอิญมาอยู่ใกล้กับเราเท่านั้น

    +++ หากตรวจเจอ "การเพ่งโทษ" ที่มุ่งมาที่เราแบบ "เพ่งเฉพาะ" ก็ให้ทำการ "มองระดับ 3" ทันที เพื่อตรวจดู "ความเข้มข้น ของการเพ่ง" (การมองระดับ 3 เป็นการแผ่เมตตาอยู่ในตัว)

    +++ หากความเข้มข้น อยู่ในระดับที่ "พอมีสติอยู่บ้าง" ให้ใช้ "ตัวพูดมาก" ทำการสื่อสาร ก่อนตัดสินใจ (ยังมองระดับ 3 อยู่)(สื่อสารพร้อมแผ่เมตตา)

    +++ หากความเข้มข้น อยู่ในระดับที่ "ไร้สติ" ให้ใช้ "ตัวดู" ยิงเข้าใส่แบบ "แย๊บ ๆ ก่อน" เพื่อกระตุ้น "สติ" ตรงนี้เป็น เตือนระดับที่ 1 (มองระดับ 3)(เจโตประยะญาณ ว่าเป็นใคร มาจากไหน)

    +++ หากการกระตุ้นสติ "ไร้ผล" และค่าของ "การเพ่งโทษ" ไม่ลดลง ให้ใช้ "ตัวดู" กด-อัด-กระแทก แบบแรง ๆ ตรงนี้เป็น เตือนระดับที่ 2 (มองระดับ 3)(ให้สติแบบตรง ๆ)

    +++ หากความดื้อด้านยังไม่ลดละ ให้ถือว่าจิตนั้นมีความ "เพ่งโทษ จนถึงระดับ วิปลาส และ บ้าคลั่ง" อยู่ข้างใน ตรงนี้ให้เข้า "กายเวทนา" (ถอนการมองระดับ 3) แล้วเร่ง 100% แล้ว "แผ่พลังจากกายเวทนา" เข้าปะทะแบบ "หัก" ไปเลยไม่ต้องเกรงใจอะไรอีก

    +++ ให้รู้ไว้ว่า "จิตชั้นสูง" แม้จะมี "ความหลง" อยู่บ้าง แต่จะไม่มีอาการ "บ้าคลั่ง" อยู่ข้างใน อาการบ้าคลั่งนี้ จะมีอยู่ใน "จิตชั้นต่ำ" เท่านั้น "การเพ่งโทษ" แบบถอนตัวไม่ขึ้นนี้ จะเกิดกับจิต "มิจฉาทิฐิ" เท่านั้น และ "ไม่รับการแผ่ส่วนบุญ" รวมทั้ง "ไม่รับการแผ่เมตตา" ใด ๆ ทั้งสิ้น

    +++ ดังนั้น "อย่าเกรงใจ" กับจิตพวกนี้ เพราะถ้าหากเกรงใจก็เหมือนกับ "โจรกำลังจะเข้าบ้าน แล้ว เราดันไปเกรงใจมัน" ตรงนี้กลายเป็น "เชื่อว่าดี แต่ไม่มีปัญญารู้ว่า อะไรควรไม่ควร" และ "นักศึกษาในกระทู้นี้" ไม่ได้อยู่ในฐานะของ "ผู้งอมืองอเท้า" ที่จะต้อง "ร้องขอ" อะไรจากภพภูมิไหน ผมฝึกให้ "ทุกคน พึ่งตัวเองได้ ทางจิต" (คำสอนในทาง พระพุทธศาสนา และ ครูบาอาจารย์ในสาย พระป่า ทุกองค์ ไม่เคยถูกฝึกให้ "ร้องขอ" หรือต้อง "พึ่งพา" พวกภพภูมิ แต่ได้รับการฝึกแบบ "ตนเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งแห่งตนได้") ในทุกกรณี ตรงนี้ให้ "สังเกตุ" ให้ดีก็แล้วกัน

    +++ รายละเอียดของการใช้ "กายเวทนา" เร่ง 100 แล้วกระแทกออก มีรายละเอียดอยู่ในเรื่อง "สังฆาตนรก" ลองค้น ๆ กันดู

    +++ แต่ถ้าหาก "ต้องการศึกษา" ในทางด้าน "ปัฏฐาน" กับกรณีของจิตที่เป็น "มิจฉาทิฐิ" โดยสมบูรณ์ ให้ใช้ "สภาวะรู้ เท่านั้น" เป็นใส้เทียน "ห้ามใช้ ตัวดู เป็นใส้เทียน" เพื่อเป็นการ "แยกมิติภพภูมิ" ออกจากกัน ก่อนลงมือเข้าไป "แทรกแซง" จิตมิจฉาทิฐินั้น ตามที่คุณ จิตวิญญาณ กล่าวไว้ข้างล่างนี้

    +++ ถูกต้อง ทำให้มันเป็นแบบ "ขันธ์บริวาร" แล้วเรา "ย้ายเข้าไปอยู่" ในนั้นเลย (มารเข้าสิง VS เข้าสิงมาร) ดูสิว่า "ใครจะสิงใครกันแน่" อิอิ ตรงนี้ใช้ภาษาแบบ "ไสยศาสตร์" เล่น ๆ นะ

    +++ เมิลเคยฝึก "ปัฏฐานโดยสภาวะรู้" ในขณะ "ดูหนัง" มาแล้ว ตอนนี้หากต้องการ "ดูจิตมาร" แบบของจริง ก็ถือว่า "พร้อม" ที่จะทำได้เลย

    +++ ให้ "เป็น" สภาวะรู้ก่อน แล้วให้ "ตัวดูของเรา ที่คลุมอยู่ข้างนอก" ทำ teleport เข้าไปใน "ตัวดู" ของมัน จากนั้นให้ "ดับ หรือ หยุด" ตัวดูของเราทิ้งไป

    +++ ตรงนี้ "ตัวดูของมัน" จะถูก "หยุด" แบบ freeze ค้างแช่แข็งอยู่ตรงนั้น แต่ไม่สลายตัว (ตรงนี้สามารถ "หยุด" ภพภูมิ ได้ทั้งภูมิ เหมือนกัน ดูย้อนหลังในตอนที่ พระพุทธเจ้า "หยุด" องคุลีมาล หรือตอนที่ เมิล หยุดจักจั่นเรไร ก็ได้) จากนั้นก็ให้ใช้การ "แตกขันธ์บริวาร" ภายใน "จิตของมัน" นั่นแหละ

    +++ ตรงนี้ "ภาษาของแพทย์" เรียกว่า "การชันสูตรพลิกศพ" หรือทาง "นิติเวช" อาจเรียกว่า "หาสาเหตุความเป็นมาของมัน" หรือภาษาอะไรก็ได้ แล้วแต่สะดวก

    +++ ตรงนี้จะทำให้รู้ "วงจรกรรม และ วิบาก" ของมันไปในตัว ถ้าต้องการ รู้รายละเอียด ก็อาจเดินไปใน ขันธ์บริวาร "ของมัน" บางส่วนด้วยก็ได้

    +++ การทำตรงนี้ก็จะทำให้เรา "รู้" ได้ว่า "มัน" เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราหรือเปล่า หากใช่ ก็จะรู้ได้ว่า "เป็นมาแต่ครั้งไหน" จะได้สามารถพิจารณาให้ "สมควร" ต่อเหตุการณ์ได้

    +++ แต่ถ้าหาก "เป็นการจองเวรในชาติปัจจุบัน" แบบไร้สาเหตุ หรือ เกิดจาก "ความฟุ้งซ่าน เพ่งโทษรุนแรงระดับ ฌาณ" มาที่เราเฉย ๆ โดยที่เรา "ไม่ได้รู้เรื่องด้วย" ตรงนี้ให้ถือว่า "มันเป็นอันธพาล" และหากเห็นว่า "หมดโอกาสเยียวยา" และมันไม่ยอมถอน "มิจฉาทิฐิ" ออกไปอย่างแน่นอนแล้ว ก็ให้ใช้กายเวทนา "หัก" ปะทะแบบซึ่่ง ๆ หน้าไปเลย "อย่าเกรงใจมัน" โดยเด็ดขาด (ดูหลวงปู่ พระอุปคุต เป็นตัวอย่าง) ก็ได้ แต่ในกรณี "หักปะทะ" ให้พิจารณาว่า "เป็นกรณีสุดท้าย" ที่กรณีอื่น ๆ ไม่เวิร์คแน่นอนแล้ว

    +++ ส่วนใหญ่แล้ว มันก็มักจะลงตัวแบบหลัก ๆ คือเริ่มจาก มอง 3 ระดับ สู่ ตัวพูดมาก สู่ การแย๊ป สู่ การอัดของตัวดู และท้ายสุด สู่ "กายเวทนา" (90% จบที่ แย๊ปของเจโต มีไม่ถึง 1% ที่ไปถึง กายเวทนา) ซึ่งตรงนี้มักอยู่ในกรณีที่ "เลี่ยงไม่ได้แน่นอน"

    +++ สำหรับผู้อื่นที่ยังไม่พ้น "ความเป็นตน ความเป็นกาย" ก็ยังไม่ควรเข้ามายุ่งกับตรงนี้ เพราะตรงนี้ "ไม่ได้เป็นปัญหาของ นักศึกษาระดับ 9" ดังนั้น "ความรอบคอบ ก่อนตัดสินใจ" ว่า ตน อยู่ตรงไหนจึงเป็นประเด็นหลัก นะครับ
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    มี 2 ครั้ง นันกับพี่สาวนั่งบ่นน้องชาย แล้วรู้สึกเหมือนที่แขนมีอะไรมาสัมผัส เลยเอียงตัวให้พี่สาวดูว่ามีตัวอะไรเกาะหรือเปล่า ความรู้สึกเบาๆ เหมือนตัวอะไรไต่ อีกหลายวันต่อมาพี่สาวมาบ่นน้องอีกก็ร่วมบ่นด้วยเป็นอีกค่ะ ไมรู้อุปปาทานอะไรหรือเปล่า

    +++ ตรงนี้ "ให้ดูตรง ๆ" ไปตรงที่โดนสัมผัสก่อน หาก "ไม่มีอะไร" แล้วสติยังทำงานอยู่ "ตัวดู" มันจะสแกน "ผัสสะตรงนั้น" ด้วยตัวมันเอง หากผัสสะตรงนั้น "ไม่หนีหายไปไหนก่อน" ก็จะได้คำตอบในขณะนั้น

    ช่วง 2 เดือนนี้ เวลานอนเข้าสมาธิปรกติค่ะ แต่มันหลับลึกเกินไป พี่สาวเข้าออกบ้านหรือทำอะไร ไม่รู้สึก ไม่รู้เรื่องเลย แต่ก่อนอะไรนิดจะตื่น รู้ตัว ตลอด แต่นี่ไม่รู้สึก ไม่รู้อะไรเลย
    นอนแบบน่าอันตรายนะคะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็กังวลค่ะ

    +++ "หลับลึก" ตรงนี้ หากเป็นการ "นอนช่วงสั้น ๆ" แล้วตื่นมาเหมือน "นอนเต็มอิ่มเต็มที่" ถือว่า "เป็นการนอนในสมาธิ" ตรงนี้ "ห้ามแก้ไข" เพราะว่า ถูกต้องแล้ว และหากแก้เมื่อไร ก็จะ "ผิดเมื่อนั้น"

    แบบนี้จะแก้ไขอย่างไรดีคะ อาจาร์ย

    +++ ยังดีนะ หากโพสท์ ตรงนี้ "แบบนี้จะแก้ไขอย่างไรดีคะ" ลงไปในกระทู้อื่น รับประกันได้เลยว่า "ทุกคนจะมาช่วยรุมกัน แก้ไข 108-1009" แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไร คงไม่ต้องตอบ นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...