อยากซ้อมตายอ่ะครับ แต่ไม่รู้วิธีต้องทำไงบ้าง แนะนำทีนะครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Sir-Pai, 17 สิงหาคม 2014.

  1. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    คือผมเคยได้ยินว่าการซ้อมตายจะช่วยให้จิตสุดท้ายคิดดีและไปสู่สุคติ ผมเลยอยากทำบ้างครับ

    ซึ่งผมก็ลองทำดูนะแต่ทำแบบว่ากั้นหายใจจะหมดลมก็นึกภาพถึงบุญที่ทำไว้ แต่คิดว่าไม่น่าใช่แบบนี้ใครเคยซ้อมตาย แนะนำทีนะครับ


    ขอบคุณมากนะครับ
     
  2. Greenpleace

    Greenpleace เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2012
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +8,768
    พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตรัสสอนอะไรแบบนี้ครับ ไม่ต้องซ้อมครับ แต่ท่านตรัสให้เราทำความพร้อม ดังนี้ครับ

    หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด


    ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี ด้วยใจ จากวันนี้ไป คือ พร้อมด้วย ศีล ทาน และ ภาวนา หรือ มรรคมีองค์แปด

    จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา เมื่อจิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป

    เราจะมีคติที่แน่นอนครับ คือ มีที่ไปที่ดีแน่นอนครับ จิตที่ผ่องใสนั้นคือ คิดดี ทำดี พูดดี จากหัวใจเราน่ะครับ

    ขอโมทนา สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2014
  3. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    การซ้อมตายที่ดีที่สุดคือการพิจารณาความตายบ่อย ๆ ไม่ใช่ไปซ้อมตายด้วยวิธีกลั้นลมหายใจ..เดี๋ยวตายจริงขึ้นมามันจะแย่...เรายังไม่ตายร่างมันจะทรมานเมื่อเราบังคับหรือพยายามจะทำให้มันตาย ยกตัวอย่างตอนทำทุกรกิริยาของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งเหมือนพิณที่ตั้งสายไว้ตึงเกินไป ใช้ชีวิตไปวันๆโดยรู้ว่าสักวันเราก็จะต้องตายนี้ก็ประมาทเกินไป..เหมือนพิณที่ตั้งสายไว่หย่อนเกินไป.....ส่วนถ้าเราพิจารณาอยู่บ่อย ๆ ระลึกถึงความตายอยู่บ่อย ๆ มันไม่ทรมานร่างกายของตน และ ไม่เว้นว่างจนเป็นกลายเป็นการประมาทเกินไป..แถมยังทำให้เรามีสติไม่ประมาทในความตาย รู้เท่าทันความตาย...ผมว่าซ้อมอย่างนี้ดีกว่าซ้อมแบบที่คุณว่านะ.....สวัสดี....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2014
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    การซ้อมตาย ก่อนที่จะตายจริง ๆ นั้นเป็นมิจฉาทิฐิ

    เจ้าตั้งใจว่าจะลองตายดู แต่จิตมันยังฝังอยู่ว่าตายไม่จริง วาระนี้ยังไม่ถึงคราวเป็นการลองซ้อมตาย เจ้าก็เลยประมาทยังตายไม่จริง


    .
    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2014
  5. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    คุณศรีไพล ลองพิจารณากรรมฐานในหมวดอนุสติ 10 คือ มรณานุสติกรรมฐาน (กรรมฐาน 1 ในกรรมฐาน 40 กอง ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้) ดูนะครับ สำหรับวิธีการของกรรมฐานกองนี้ จะต้องทำอย่างไร ?ในเว็บไซด์แห่งนี้ มีวิธีที่ครูบาอาจารย์สอนไว้อยู่แล้ว ลองหาศึกษาดู และลองปฏิบัติตามได้ทันทีครับ

    ไม่ทราบว่าตอนนี้ การฝึกมโนมยิทธิของคุณ เป็นอย่างไรบ้างครับ? หากมีข้อติดขัดในตรงไหน ยังไง ก็สอบถามเพิ่มเติมมาได้นะครับ จะได้เสนอแนะวิธีการแก้ทาง ให้กับทางคุณศรีไพล ต่อไปครับ
     
  6. โลโป

    โลโป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +1,714
    มีครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าถามภิกษุว่าระลึกถึงความตายกันอย่างไร ภิกษุต่างตอบกันไปหลายๆ อย่าง พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อย่าประมาท ให้ระลึกถึงความตายเพื่อจะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดไม่ต้องกลับมาตายอีก" ดังนั้นการซ้อมตายสำคัญมาก(ภาวนา) จิตสุดท้ายก่อนตายสำคัญมาก ตายแล้วไปไหนอยู่ที่จิตสุดท้ายก่อนตาย ดังนั้นก่อนตายต้องดับอวิชาทำวิชาให้เกิดขึ้น ไม่ประมาทมีสติสัมปชัญญะระลึกถึงความตาย ภาวนาตัดภพชาติให้ได้ก่อนตาย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเกิดมาตายกันอีก ที่มีอาจารย์สอนว่า "ก่อนตายให้นึกถึงบุญ" เป็นคำสอนที่ไม่ได้สอนให้สิ้นอาสวะ เป็นคำสอนให้คนทำบุญหลงบุญ
     
  7. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    วิธีที่ใช้อยู่ก่อนนอน :boo: ก็มี
    1. หลับตา
    2. หยุดคิด
    3. หยุดกิริยาจิต / ดับตัวดู
    4. อยู่กับรู้
    5. หลับไปเลย
     
  8. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    การเจริญสัญญา 10 ประการ
    พระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เล่ม ๑๖
    ทสก-เอกาทสกนิบาต อาพาธสูตร

    [๖๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดอนุเคราะห์เสด็จเยี่ยมท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่เถิด พระเจ้าข้า ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหา แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการ แก่คิริมานันทภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานันทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ สัญญา ๑๐ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑ อนัตตสัญญา ๑ อสุภสัญญา ๑ อาทีนวสัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสัญญา ๑ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ๑ อานาปานัสสติ ๑ ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็อนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง (ดูเรื่องขันธ์ 5 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบ - ธัมมโชติ) ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอนิจจสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็อนัตตสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า จักษุเป็นอนัตตา รูปเป็นอนัตตา หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา (ดูเรื่องอายตนะ 12 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบ - ธัมมโชติ) ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา ในอายตนะทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ๖ ประการเหล่านี้ ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอนัตตสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็อสุภสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้นั่นแล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่า ในกายนี้มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม เนื้อหัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร (ดูเรื่องดอกไม้อริยะ ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ - ธัมมโชติ) ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่งามในกายนี้ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอสุภสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็อาทีนวสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้น อาพาธต่างๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคคุดทะราด หูด โรคละอองบวม โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้สันนิบาต อาพาธอันเกิดแต่ฤดูแปรปรวน อาพาธอันเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธอันเกิดแต่ความเพียรเกินกำลัง อาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายนี้ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอาทีนวสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็ปหานสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งกามวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งพยาบาทวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมให้ถึงความไม่มี ซึ่งวิหิงสาวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมให้ถึงความไม่มี ซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันชั่วช้า อันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นแล้ว ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าปหานสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็วิราคสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง (อุปธิ = ที่ตั้งแห่งทุกข์ - ธัมมโชติ) ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอกกิเลส ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ (ซึ่งก็คือสภาวะของพระนิพพานที่สัมผัสได้ในขณะที่มีชีวิตอยู่นั่นเอง - ธัมมโชติ) ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าวิราคสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ นิโรธสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ (วิราคะ และนิโรธ ล้วนเป็นชื่อหนึ่งของพระนิพพาน โดยวิราคะเน้นที่ความสำรอกกิเลส ส่วนนิโรธเน้นที่ความดับไม่เหลือของกิเลส - ธัมมโชติ) ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่านิโรธสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ สัพพโลเกอนภิรตสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละอุบายและอุปาทานในโลก (อุปาทาน = ความยึดมั่นถือมั่น - ธัมมโชติ) อันเป็นเหตุตั้งมั่น ถือมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิต (อนุสัย = กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน - ธัมมโชติ) ย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่น (สัพพโลเกอนภิรตสัญญา = การกำหนดหมายในความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง - ธัมมโชติ) ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าสัพพโลเกอนภิรตสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชังแต่สังขารทั้งปวง (สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา = การกำหนดหมายในความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง - ธัมมโชติ) ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าสัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ อานาปานัสสติเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอเป็นผู้มีสติหายใจออก เป็นผู้มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น ..... (ดูรายละเอียดในเรื่องอานาปานสติสูตร หมวดวิปัสสนา (ปัญญา) - ธัมมโชติ) .....
    ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอานาปานัสสติ ฯ

    ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหา แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการนี้ แก่คิริมานนทภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานนทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการ นี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ

    ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวสัญญา ๑๐ ประการ แก่ท่านพระคิริมานนท์ ครั้งนั้นแล อาพาธนั้นของท่านพระคิริมานนท์สงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้ ท่านพระคิริมานนท์หายจากอาพาธนั้น ก็แลอาพาธนั้นเป็นโรคอันท่านพระคิริมานนท์ละได้แล้ว ด้วยประการนั้นแล ฯ
     
  9. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    จขกท. ครับไม่ต้องซ้อมตายก็ได้ครับ เอาเป็นเจริญสติบ่อยๆ พอรู้ว่า เกิดอกุศลจิตเมื่อไหร่ก็รีบละซะ เจริญบ่อยๆเดี๋ยวละอารมณ์ได้เร็วเองครับ ไม่ต้องกลัวจิตดวงสุดท้ายเลย หรือจะให้ดีเจริญอานาปานสติเลยครับ ในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ หมั่นระลึกถึงลมบ่อยๆ พอถึงวันจะตาย ตอนจิตมันจะทิ้งร่าง จิตตอนนั้นตั้งมั่นเป็นพิเศษ พอเห็นความไม่เที่ยงของกาย บรรลุธรรมตอนนั้นเลยก็มี หรือบางทีสลัดอุปปาทาน นิพพานได้เลยนะครับ
     
  10. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ซ้อมที่ใจ
    ทำกำลังใจ ให้ยอมรับตามเป็นจริง ชีวิต ไม่เที่ยง ความตายเที่ยง
    โดยใช้ สติปัญญาประกอบ แยกแยะหาเหต หาผล จนใจยอมรับ
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,065
    อาจแยกได้สองประเภท แยกตามกำลังใจที่ฝึกมาครับ

    1. สำหรับคนที่ยังรวมจิต รวมใจ ให้เป็นหนึ่ง แยกออกจากร่างกายไม่ได้

    ก็พิจารณา ไปตามที่ครูบาอาจารย์แต่ละสำนักสอนก็ได้

    ขอเพียงจากการฝึกฝน ทบทวน


    ..... มีความรู้สึกว่า ชีวิตเป็นของมีค่ามาก เวลาที่ล่วงผ่านเป็นสิ่งมีค่ามาก
    แล้ว จะมีกำลังใจ ดำรงสติ-สัมปชัญญะ ไว้กับกาย กับใจ ของตนเองได้มากขึ้น ไม่แส่ส่ายไปยุ่งกิจที่ไม่ใช่เรื่องมากเกินเหตุ

    ส่งผลให้ศีลเจริญจากที่ละเอียดตามธรรมชาติ เพราะใจสำรวมไว้ในกาย

    สมาธิก็จะเจริญ

    ปัญญาก็จะเจริญไปตามลำดับ



    2. สำหรับ นักปฏิบัติ ที่สามารถรวมจิตรวมใจ แยกความรู้สึกออกจากร่างกายได้แล้ว

    จะรู้ขั้นตอนที่จิตจะแยกออกจากกายตอนตายได้ ( นี่คือ ภาวนามัยปัญญา เป็นปัจจัตตัง) จะสามารถดำรงสติสัมปชัญญะตั้งมั่นได้ รู้ช่องทางที่จะตั้งรับกายเวทนา จิตเวทนา
    และนิมิตนำทางจิตสู่ภพใหม่หลังจากกายเนื้อแตกดับได้

    ...ที่สุดของการฝึกคือ จะตั้งจิต และ วางใจ อย่างไร จึงจะพ้นจากกองทุกข์ ขันธ์ห้านี้ได้ ตามกำลังแห่งการฝึกปรือ



    หมายเหตุ...ไว้มีโอกาส จะมาโพสวิธีการเพิ่มเติม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 สิงหาคม 2014
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,065
    [​IMG]
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,065
    “ทหรา จ หิ เย วุฑฺฒา เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา อทฺธา เจว ทลิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปราายนา”
    ( ขุททกนิกาย ทสรถชาดก )





    ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนโง่และคนฉลาด
    ทั้งคนจนและคนรวย ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้งสิ้น




    ครั้งหนึ่งพระบรมศาสดา ได้เทศนาโปรดชาวเมืองอาฬวี ให้เจริญมรณานุสสติว่า “ท่านทั้งหลายจงพิจารณาว่าชีวิตของเราไม่หยั่งยืนแต่ความ ตาย เป็นของแน่นอน ตัวเราก็จะต้องตายในที่สุด” ในจำนวนมหาชนที่ฟังธรรมอยู่นั้น มีธิดาของนายช่างหูกคนหนึ่ง ได้ตั้งใจปฏิบัติตาม พุทธโอวาท ด้วยการเจริญมรณานุสสติทุกวัน ไม่ว่านางจะทำภารกิจ หรือทำการงานอะไร ก็จะนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ทำอยู่อย่างนี้ถึง ๓ ปีทีเดียว
    วัน หนึ่งพระบรมศาสดา ทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ได้เห็นกุมาริกานั้นเข้ามา ในข่ายพระญาณ ทรงทาบว่ากุมาริกามีอินทรีแก่กล้า พอที่จะบรรลุธรรม แต่วันนี้นางจะไม่สามารถรอดพ้น จากความตาย เพราะการตายของปุถุชนย่อมมีคติไม่แน่นอน ถ้านางได้ฟังธรรมแล้ว จะได้บรรลุธรรม ละโลกแล้วจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
    ด้วย พระมหากรุณาธิคุณอันไม่มีประมาณ พระองค์จึงเสด็จไปโปรดนางที่เมืองอาฬวี ฝ่านกุมาริกาเอง เมื่อทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา ก็เกิดความปีติปราโมทย์ใจ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปฟังธรรม แต่เนื่องจากวันนั้น พ่อของนางได้สั่งให้ทอหูกให้เสร็จเสียก่อน นางจึงต้องรีบทอหูกให้เสร็จตามที่พ่อบอก เพื่อจะได้ไปฟังธรรม ชาวเมืองอาฬวีได้ถวายภัตตาหารแด่พระบรมศาดาแล้ว ยืนรอคอยการอนุโมทนาจากพระองค์อยู่ แต่พระองค์กลับประทับนิ่ง ไม่ตรัสอะไรเลย เพราะทรงดำริว่า “เราเสด็จมาไกลถึง ๓๐ โยชน์ เพื่อโปรดกุลธิดาช่างหูก แต่นางยังไม่มา เราจะรอจนกว่านางจะมา”
    ฝ่าย กุมาริกาทอหูกไป ก็นึกถึงแต่พระบรมศาดา อยากจะฟังธรรมเป็นอย่างยิ่ง หลังจากทอหูกเสร็จแล้ว ก็รีบเดินทางมายังที่ฟังธรรม ได้ยืนอยู่ด้านหลังของพุทธบริษัท แลดูพระพุทธองค์ด้วยจิตอันเลื่อมใส นางทราบว่าพระองค์กำลังรอนางอยู่ จึงรีบเดินเข้าไปในท่ามกลางพุทธบริษัท แล้วก้มลงกราบพระพุทธองค์

    พระองค์ทรงถามกุมาริกาว่า “กุมาริกา เธอมาจากไหน?”
    กุมาริกาตอบว่า “ไม่ทราบ พระเจ้าข้า”
    “เธอจักไป ณ ที่ไหน?” “ไม่ทราบพระเจ้าข้า”
    “เธอไม่ทราบหรือ?” “ทราบ พระเจ้าข้า”
    “เธอทราบหรือ?” “ไม่ทราบพระเจ้าข้า”

    เมื่อ มหาชนได้ยินธิดาช่างหูกพูดเช่นนี้ ก็นึกว่านางพูดเล่นลิ้นพระบรมศสาดา จึงเกิดเสียงฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์กัน พระบรมศาสดาทรงรู้ข้อกังขาของมหาชน จึงตรัสถามอีกครั้งว่า “กุมาริกา เมื่อเราถามว่าเธอมาจากไหน ทำไมจึงตอบว่า ไม่ทราบ” กุมาริกาจึงทูลว่า “พระองค์ ย่อมทรงทราบว่า หม่อมฉันมาจากเรือนช่างหูก แต่ที่พระองค์ตรัสถามนั้น ย่อมประสงค์ว่า ก่อนมาเกิดหม่อมฉันมาจากที่ไหน? แต่หม่อนฉันไม่ทราบว่า ตัวเองเกิดมาจากไหน จึงตอบว่าไม่ทราบ พระเจ้าข้า”
    พระบรมศาสดาได้ประทานสาธุการ แก่กุมาริกานั้นว่า “ดีละ ๆ เธอตอบได้ถูกแล้ว” จากนั้นจึงตรัสถามข้อต่อไป “เมื่อเราถามว่าเธอจะไปไหน แล้วทำไมจึงตอบว่าไม่ทราบ” “พระองค์ทรงทราบ หม่อมฉันผู้ถือกระเช้าด้ายหลอดเดินไปยังเรือนช่างหูก พระองค์ย่อมประสงค์ถามว่า หม่อมฉันจากโลกนี้ไปแล้ว จะเกิดในที่ใด?” ก็หม่อมฉันไม่ทราบว่า ตายแล้วจะไปเกิดในที่แห่งใด จึงตอบว่าไม่ทราบพระเจ้าข้า”
    พระบรมศาสดา ได้ประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่ ๒ อีก แล้วตรัสถามต่อไปว่า “ที่ เราถามเธอไม่ทราบหรือ เพราะเหตุไรจึงตอบว่า ทราบ” “หม่อมฉันทราบว่าตัวเองจะต้องตายแน่นอน ไม่สามารถรอดพ้นความตายไปได้ จึงกราบทูลอย่างนั้นพระเจ้าข้า”
    แม้ครั้งที่ ๓ พระบรมศาสดาก็ประทานสาธุการแก่นาง แล้วตรัสถามถึงข้อต่อไปว่า “ที่ เราถามว่า เธอทราบหรือ ทำไมจึงตอบว่า ไม่ทราบ” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันย่อมทราบว่าตัวเองต้องตายแน่นอน แต่ไม่ทราบจะตายในเวลาไหน เพราะเหตุนั้น จึงทูลอย่างนั้น พระเจ้าข้า”
    แม้ ครั้งที่ ๔ พระบรมศาสดาทรงให้สาธุการแก่นางว่า ตอบได้ถูกต้องแล้ว เธอแก้ปัญหาที่เราถามได้ถูกแล้ว จากนั้นได้ตรัสเตือนพุทธบริษัทให้หมั่นเจริญมรณานุสสติ นึกถึงความตายเนืองๆ จะได้ไม่ประมาทในวัยและชีวิต แล้วให้เร่งรีบสั่งสมความดี เพราะไม่มีใครรู้ว่าความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไร จึงตรัสเตือนให้หมั่นทำความเพียรว่า
    “อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ช?ฺ?า มรณํ สุเว
    น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา”
    พึงรีบทำความเพียรในนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในพรุ่ง
    เพราะว่าความผัดเพี้ยน ต่อมฤตยูผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย

    เมื่อ จบพระธรรมเทศนา มหาชนได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นจำนวนมาก ต่างก็ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ส่วนกุมาริกาได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน แล้วนางได้ถวายบังคมพระบรมศาสดา
    ฝ่าย บิดาของนางกำลังนั่งหลับอยู่ เมื่อนางกลับถึงบ้านแล้ง ก็ได้น้อมกระเช้าด้ายหลอดส่งให้บิดา กระเช้าด้ายหลอดกระทบที่ฟืม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องทอผ้า ทำให้เกิดเสียงดัง ส่งผลให้บิดาตกใจ เลยเผลอไปกระตุกฟืมอย่างแรง ปลายฟืมกระแทกหน้าอกของนาง ทำให้นางเสียชีวิตในทันที และได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
    ดัง นั้น การเจริญมรณานุสสติ หมั่นระลึกนึกถึงความตายบ่อยๆ จึงมีอานิสงส์มาก นึกถึงแล้วเราจะได้ไม่ประมาทในชีวิต จะได้ตั้งใจทำความดีสร้างบุญสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ถึงเวลาจะละโลก เราจะไม่เกิดความกลัว จะไม่หวาดหวั่นต่อมรณภัยที่กำลังเกิดขึ้น เหมือนบุคคลเห็นงูพิษขวางอยู่ข้างหน้าในที่ไกล ก็สามารถตั้งสติเอาไว้ได้ แล้วหาไม้เขี่ยให้พ้นออกจากทาง
     
  14. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ลองไปเฝ้าคนป่วยใกล้ตายบ่อยๆค่ะ..อาการของคนใกล้ตายแต่ละคนจะไม่เหมือนกันเลยบางคนก็มีสติ บางคนก็กลัวมากเพราะเขาไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน ลองไปดูหลายๆเคส แล้วคุณจะเข้าใจอารมณ์ของความตาย ไม่ใช่ทดลองความตายค่ะ
     
  15. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ต้องซ้อมอย่างนี้ครับถึงจะถุกเรียกว่าพุทธวิธีเตรียมตัวก่อนตาย มีประโยชน์มาก ตายเมือไร ไม่มีอบายภูมิเปนที่ไปอย่างแน่นอน ไม่ต้องไปซ้อมตายให้เหมือนว่าจะตายจริงๆหรอก ซ้อมแบบนั้นจะไม่ได้อะไรครับ เพราะก่อนตายจริงๆเราจะยึดอย่แค่2 อย่างคือบุญกับบาป
     
  16. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    บินไปต่างประเทศ ไปหาตาจอจ ขอเขาเล่นเป็นซอมบี้ เอาที่เละๆเน่าๆ
     
  17. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    ผมเคยเห็นเพื่อนนั่งสมาธิถึงขั้นนิ่งจนถึงขั้น ทุกอย่างนิ่งสงบ แม้กระทั่งลมหายใจ แต่การทำจะต้องมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำเพื่อให้เราสามรถ ดึงจิต ดึงสติกลับมาได้ ...
     
  18. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2014
  19. btme

    btme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +319
    เคยไปมาและ ไม่รู้เรียกว่าซ้อมได้รึเปล่า เอาเป็นว่าเป็นความฝันก็แล้วกัน แต่เป็นฝันที่เสมือนจริงมากๆ ขอเล่าแบบย่อๆแล้วกันครับ
    ก่อนไป วันนั้นป่วยปวดหัวขั้นรุนแรง มองอะไรไม่เห็นตามืดไปหมด ไม่ได้แค่พล่ามัวแต่มองอะไรแทบจะไม่เห็นเลย ปวดขนาดที่ว่าไม่รู้ว่ามันปวดตรงส่วนไหนตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน จนไปถึงประมาณเที่ยงคืน ซึ่งวันนั้นอยู่บ้านคนเดียว พอถึงตอนเย็นรู้สึกว่าร่างกายขยับแทบไม่ไหว พยายามพาตัวเองคลานไปหาที่นอน หายใจติดขัด ต้องบังคับตัวเองให้หายใจ ถ้าไม่บังคับมันหยุดหายใจไปเลย พอมาถึงที่นอนเมื่อนอนลงไปแล้วไม่มีเรียวแรงที่จะลุก รู้สึกว่าคอแห้งผาก ลมหายใจเบามากๆ รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจว่าช้ามาก หูอื้อไปหมด รู้สึกว่าหนาวมากแต่เหงื่ออกจนชุ่มเสื้อผ้า ก็คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆคืนนี้ ถ็เลยนึกในใจว่าถ้าจะตายก็ขอตายในสมาธิ ก็เลยนอนภาวนา พุท-โธ ไปเรื่อย จนเหมือนว่าเราหยุดหายใจ แล้วทุกอยากก็มืดลงเหมือนเราปิดสวิทช์ไฟ คือดับไปเลย ชัวระยะเวลาเหมือนว่าแป๊บเดี๋ยวก็เหมือนรู้สึกตัวขึ้นมา พร้อมกับอาการเสียวซู่ทั่วร่างกายเหมือนเราหลุดลอยไร้ทิศทางไปอยู่ในอาวกาศชั่วประเดียวปรากฏว่าเรามายืนอยู่บนถนนสีขาวล้อมรอบไปด้วยป่า มีผู้คนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเดินต่อแถวกันไป ต่างไม่พูดไม่จากัน เราก็เดินต่อไปกับเขา ก็สงสัยว่าพวกเขาจะไปไหนกัน แล้วทำไมไม่พูดไม่จากันพากันเดินเงียบ แต่ก็ไม่ได้ถามใคร มองดูทีแรก เห็นมุมที่เป็นคนเดินต่อแถวกันไป มองอีกทีเหมือนหัวไม้ขีีดเดินต่อๆกัน มองอีกทีเหมือนมดเดินเรียงแถวกัน(เหมือนเรามองจากมุมสูงแล้วภาพที่เห็นมันเล็กลงเท่าหัวไม้ขีดไปจนเห็นเท่ามด) เดินผ่านป่าผ่านเขาไปไกลมากๆ จนไปถึงกำแพงใหญ่ๆตัวเราเล็กมากเทียบกับกำแพง พอผ่านกำแพงไปรู้สึกจะมีศาลาหลังใหญ่ๆ 3 หลัง (เห็นไม่ชัด) พอมาถึงตรงนี้ตกใจ คิดว่าตัวเองมานรก พอมีความรู้สึกแบบนั้นก็มีเสียงตอบมาว่าที่นี่ไม่ใช่นรก แล้วก็เข้าไปศาลาหลังใหญ่เห็นแต่ละคนที่เดินต่อกันมาเหมือนโดนถูกสอบสวน เป็นเหมือนที่ตัดสินคดี แต่ผมเห็นหน้าคนที่ตัดสินไม่ชัดว่าท่านมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ได้ยินแต่เสียง (เหมือนเป็นการรับรู้ด้ววยใจมากกว่าไม่เชิงเป็นการได้ยิน) ซึ่งแต่ละคนจะถูกถามว่าทำความดีอะไรมาบ้างถามหลายครั้ง ไม่แน่ใจว่า 3 ครั้งหรือมากกว่า คนไหนที่ตอบไม่ได้วิญญาณก็จะถูกส่งตัวไปนรกเหมือนโดนดูดไปส่วนใหญ่ไปนรก มาถึงคิวผม ก็ได้ยินเสียงดังกังวาล ได้ยินแบบชัดเจน ถามว่าเจ้าทำความดีอะไรมาบ้าง ถามครังแรก ผมนึกไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ถ้ามครั้งที่สองผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนครั้งแรก ตอนนี้กลัวจับใจเลยว่าเราคงตกนรกเป็นแน่ ความดีแม้เพียงขี้เล็บก็คิดไม่ออก ก็เลยตัดสินใจตอนนี้เลยว่าถ้าหากว่าเราตายจริงๆ ก็ขอให้จบกันเพียงแค่ชาตินี้ ไม่อยากมาเกิดอีก ไม่อยากทุกข์อีก พอตัดสินใจอย่างนี้ อยู่ๆก็มีแสงสว่างจ้าจากด้านบนคล้ายลักษณะที่มาจากท้องฟ้า แล้วก็มีจีวรสีเหลืองอร่ามพันตัวแล้วฉุดขึ้นไป ปรากฏว่าไปอยู่บนสวรรค์ชั้นนึง พอมาถึงตรงนี้ก็ดีใจว่าเราไม่ได้ตกนรกแล้ว ระหว่างนั้นมองเห็นชายคนหนึ่งในลักษณะของชายขี้เมา เสื้อผ้าเปื้อนสกปรกไปด้วยฝุ่นแต่เขาไม่ได้เมา จึงเข้าไปถามว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เขาตอบว่า ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ วันๆเอาแต่กินเหล้าเมาหัวลาน้ำ บาป-บุญ อื่นไม่ค่อยทำ กินแต่เหล้าจนตาย กอนที่จะตายเขากินเหล้าหนัก แล้วมีอาการเจ็บปวดทุกทรมานเนื่องจากพิษสุราที่กินติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ในขณะที่เขาใกล้จะขาดใจ ด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่นั้นทำให้เขาคิดว่าเขาไม่อยากที่จะมาเกิดอีกแล้วเพราะมันทุกข์ทรมานมากแล้วเขาก็ขาดใจตาย ด้วยเหตุที่เขาคิดเพียงแค่นี้ก่อนที่จะขาดใจตายเขาเลยมาอยู่ที่สวรรค์ชั้นนนี้ ยังไม่ทันที่ผมจะสังเกตุอะไรต่อไป ก็รู้สึกวูบ และพบว่าตัวเองนอนอยู่บนที่นอนคอแห้งมาก อากการปวดหัวหายไปหมดแล้ว แต่ยังไม่มีแรงที่จะลุกขึ้น จึงทบทวนกับความฝันที่ผ่านมาครู่นึงจึงภาวนาต่อ หลังจากนั้นในคืนนั้น ก็มีพระสงฆ์มานั่งที่หน้าหิ้งพระ 3 รูป แล้วมีคนมาหา แต่ไม่รู้จักว่าเป็นใคร มาคุยด้วยเสียงที่เขาบอกฟังไม่ออกว่าพูดอะไรแต่เข้าใจประมาณว่ามาบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว เหมือนมีหลายๆเสียงในเสียงนั้น หลังจากนั้นมีชายชุดขาวมาแนะนำการฝึกสมาธิแล้วก็สิ่งที่ควรจะศึกษาเพื่อที่จะได้ใช้ในวันข้างหน้า คร่าวๆก็ดังที่เล่าไปแล้วครับ อันนี้ไม่ยืนยันว่าได้ประสพภพเจอมาจริงๆหรือไม่ ใครจะเห็นว่าจริงเท็จประการใดก็สุดแล้วแต่ละท่าน ในส่วนของผู้เล่าเอาเป็นว่า เป็นเรื่องของความฝันที่ฝันด้วยตัวเองจริงๆมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน
    ก่อนหน้านั้น ปกติผมนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ครับ เท่าที่จะนึกได้(มรณานุสติกรรมฐาน)
     
  20. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    ไปลองโดดบั้นจี้จั้มดูก่อนไหม ถ้ายังกลัวอยู่แปลว่า ยังกลัวตาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...