นิมิตรที่ค้างคาใจ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ณัฏฐนิต, 1 มิถุนายน 2014.

  1. ณัฏฐนิต

    ณัฏฐนิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +253
    หลังจากที่ผม เคยเล่าถึงนิมิตรเห็นพระพุทธเจ้าในครั้งนั้น ผมก้ปิติไปหลายวันน จนวันนึงแม่ผมพาไปทำบุญกับ หลวงปู่องค์หนึ่งที่วัดแห่งหนึ่ง ของจังหวัด นครศรีธรรมราช วัดนี้อยู่ต่างอำเภอไกลมากเป็นวัดเล็กๆตั้งอยู่บนเขา หลวงปู่ท่านชื่อว่าหลวงปู่พุ่มเป็นเจ้าอาวาสและ ท่านก็เป็นพระเกจิของจังหวัดนครด้วยท่านแก่มากแ้ล้วครับ อายุ 104 ปีแล้วแต่คนไปหาท่านเยอะ พอผมกับแม่ไปถึงก้เข้าไปกราบและ เอาของมาถวายท่านผมเพิ่งเจอท่านครั้งแรก แต่พอผมมองท่าน ก้รุ้สึกว่าท่านมองผมอยู่ก่อนแล้ว ท่านมองแ้้ล้วท่านก้ยิ้มขำนิด ยิ้มทั้งตา ทั้งปากท่านเรียกผมเข้าไปหาแล้วก้ผูกข้อมือให้ ระหว่างนั้นแม่ก้ออกไปข้างนอกพอดี ผมก้เลยถามท่านถึงเรื่องนิมิตรที่ผมเห็นท่านก้บอกรับรองว่าเป็นเรื่องจริงผมก้เลยถามต่อว่าแล้วอีกนานไหมกว่าบารมีจะเต็ม ท่านก้มองผมเหมือนผมเป็นเด็กๆอ่ะครับมองแล้วก้ยิ้มอีก ท่านบอกว่า มึงยังเด็กอยู่เลยย ลูกเอ้ยย ท่านบอกแค่นี้ ซึ่งผมก้ค้างคาใจกับคำตอบแต่ก้พอสรุปได้ว่าคงยังอีกนานแน่ๆ

    หลังจากนั้น สักเดือนผมก้ได้ไปทำบุญกับป้าที่จังหวัดสุราษฎร์ ป้าพาผมไปทำบุญกับหลวงปู่ที่แกรู้จัก แกบอกว่าหลวงปู่องค์นี้ศักดิ์สิทธิ์มาก เมื่อผมไปถึงท่านก้มองผมแบบเดียวกับหลวงปู่พุ่ม แต่ครั้งนี้ผมไม่ถามอะไรเพราะคิดว่า ถ้าท่านรุ้ก้คงจะบอกเราเอง ผมก้เลยเข้าไปกราบท่านจุ๋ๆท่านก้พูดขึ้นมาว่า ที่เห็นอยู่นี้ก้เรียงคิวกันเต็มไปหมดแต่ ที่มึงหวังนะ่สำเร็จแน่นอนแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของมึงเดี่ยวมึงก้จะรู้เอง ส่วนเรื่องที่มึงสงสัย อาจารย์ของมึงท่านบอกว่าไม่ต้องบอกเพราะบอกไปเดี่ยวมึงจะหลง ผมงี้อึ้งเลย เพราะสิ่งที่สงสัยมาหายร่วมเดือนกระจ่างหมด ผมน้ำตาแทบไหลเลยแต่ต้องกลั้นไว้เพราะคนอยู่เยอะ หลังจากกลับมาผมก้นั่งสมาธิได้ดีขึ้นเพราะ ไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลเหมือนเมื่อก่อนตัดนิวรณ์ได้ดีขึ้นจนมานิมิตรแปลกๆที่เก่าเวลาเดิมก้ืคือ ในนิมิตรนั้นเป็นเวลาเดียวกับครั้งก่อนคือตอนใกล้เช้า ผมแต่งตัวเหมือนพวกหนุ่มอินเดียโบราณ คือไม่สวมเสื้อแต่มีผ้าสีแดงพาดบ่าสองข้างผมกำลังเดินตามหลัง พระพุทธองค์องค์เดิมที่เคยเห็น ระหว่างทางมีตาลุงแก่เครายาวพุงพลุ้ยเดินผ่านสวนกันแต่ที่แปลกคือแกไม่ไหว้พระพุทธองค์ แกมองด้วยสายตาเหยียดๆแล้วแกก้เดินผ่านไปแต่ ทั้งๆที่แกไม่ได้พูดอะไรผมกลับได้ยินคำพูดของแกก้องอยู่ในหัว เป็นคำด่าหยาบคายที่ผมไม่กล้าพิมพ์ลงไป เพราะแกด่าพระพุทธองค์ผมโกรธมากแต่ก้ไม่ได้พูดอะไรคิดว่านี่เราคิดไปเองหรือเปล่า จู่ๆพระพุทธองค์ก้ตรัสขึ้นโดยที่ไม่หันมามองว่า บุคคลที่ทำแบบนี้กับเรามีที่ไปคืออเวจีมหานรก ผมจากที่โกรธอยู่กลายเป็นสงสารลุงแกขึ้นมาทันทีแกทำไปเพราะอวิชชาแท้ๆผมเดินตามท่านมาเรื่อยๆ จนถึงสถานที่แห่งหนึงผมไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่รุ้สึกคุ้นเคยมากกที่แห่งนี้มีคนอยู่เยอะมาก เดินสวนกันไปมาแต่ไม่มีใครกราบหรือ แสดงความเครรพพระพุทธเจ้าเลย บางคนมองด้วยสายตาดูหมิ่น บางคนเดินเชิดผ่าน ไปก้มีแต่ส่วนใหญ่จะมองผมด้วยสายตารังเกียจแล้วพูดกันว่า เด็กคนนี้ช่างโง่เสียจริง

    ผมรุ้ว่าพวกนี้เป็นพวกเดียร์ถีแน่ๆผมได้แต่ยืนนิ่งๆหลังพระองค์ที่ยืนดูคนเห่ลานั้น แล้วตรัสกับผมว่าบุคคลเหล่านี้มีที่ไปคืออบาย ยิ่งเห็นผมเคารพพระพุทธองค์มากเท่าไหร่ เขาก้ยิ่งรังเกียจผมและพระพุทธองค์มากขึ้นแต่ท่านก้ยังยืนเฉย เหมือนรอว่าผมจะทำอะไรต่อ ซึ่งขณะนั้นผมรุ้สึกเหมือนกันว่าผมต้องไปแล้วผมมองตัวเองว่าไม่มีอะไรจะถวายพระองค์เลย นอกจากผ้าที่คล้องคออยู่ ก้เลยพับถวายพระพุทธองค์ตั้งใจจะอธิษฐานให้สำเร็จพระโพธิญาณแต่กำลังคุกเข่าอยู่นั้น ผมหันไปเห็นคนเหล่านั้นแสดงอาการดูหมิ่นพระพุทธองค์มากขึ้นบางคนถึงกับสบถออกมาเลยผมก้เลยนึกถึงตาลุงคนนั้น แค่แกด่าในใจแกยังโดนกรรมหนักขนาดนั้นแล้วคนพวกนี้จะโดนขนาดไหน จากที่จะอธิษฐานโพธิญาณผมก้เลยเปล่งวาจาขอให้ผลบุญนี้จงช่วยบรรเทาผลกรรมที่คนพวกนี้จะได้รับ แม้จะช่วยไม่ได้ทั้งหมดแต่หากเขาพ้นจากอบาย แล้วขอให้มีผ้าแพรพรรณอย่างดีเป็นเครื่องนุ่งห่มอย่าได้ขาดด้วยเถิด พระองค์ทรงรับไว้แล้วยิ้มบางๆ แล้วท่านก้ตรัสว่า การกระทำปรมัถบารมีโดยถวายชีวิตแก่พระพุทธเจ้านั้นใช่ว่าผู้กระทำต้องตายเสมอไปแต่หมายถึง เจ้าได้อุทิศทั้งชีวิตและจิตใจเพื่อพระพุทธเจ้าโดยไม่ห่วงอะไรไว้เบื้องหลัง ความจริงแล้วท่านพูดด้วยคำโบราณและหรูแลกว่านี้แต่ใจความสำคัญก้ประมาณนี้แหละครับ

    นิมิตรครั้งนี้ถ้าถามว่าผมปิติไหม ผมปิติครับแต่ก้มีความ สงสัยมากกว่าว่าทำไมถึงนิมิตรเรื่องนี้ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดสงสัยหรืออยากรู้เรื่องเดียร์ถีเลย และทำไมตอนนั้นผมถึงไม่อธิษฐานโพธิญานแต่กลับไปอธิษฐานช่วยคนเหล่านั้นแทนทั้งๆที่โอกาสเจอพระพุทธองค์อาจจะเป็นครั้งเดียวก้ได้ ส่วนสองเรื่อง ที่เล่ามา ผมเล่าถึงเหตุการ์ก่อนที่จะเกิด นิมิตรนี้นะครับ ก้เลยอยากจะถาม พี่ๆ เพื่อนๆในบอร์ด ว่าเป็นเพราะอะไรเพราะเพื่อนๆพี่เหล่าพุทธภูมิคงจะเจอเรื่องพวกนี้มามากกว่าผม ต้องขอโทษถ้าเรื่องยาวไป แต่ผมอยากเล่าให้ละเอียดน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2014
  2. tharathan

    tharathan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +7,128
    อนุโมทนาด้วยค่ะ
    ขอให้สำเร็จสมดั่งความปรารถนาที่ตั้งใจไว้นะคะ

    แต่เนื้อเรื่องค่อนข้างยาวมากและเขียนติดกัน ทำให้อ่านค่อนข้างยากค่ะ
    และบางทีก็อาจอ่านสลับบรรทัดกันได้ ยังไงลองแบ่งวรรคเนื้อเรื่อง ให้เป็นช่วงเป็นตอน
    น่าจะทำให้อ่านได้ง่ายกว่านี้ และจะทำให้พี่ๆ ในบอร์ดที่เข้ามาอ่าน
    สะดวกในการตอบคำถามมากขึ้นนะคะ
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +70,436
    ถ้านิมิตรที่คุณเคยเล่า เป็นความจริง

    และคุณมีพื้นฐานทางสมาธิจิตที่ครูอาจารย์แนะนำมาดี

    ผมลองแนะให้ไปหาท่านที่สืบทอดวิชชาธรรมกายของแท้ สายตรงจากหลวงปู่สด
    อยู่สองท่านคือ หลวงปู่วีระ รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ( แต่ท่านอายุมากแล้ว 94แล้วกระมังจะพบหรือไม่ ก็แล้วแต่วาสนา อธิษฐานบารมีเอานะครับ) กับหลวงป๋า พระเทพญาณมงคล วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

    สององค์นี้ ท่านเมตตาสูงมาก ญาณรัตนะแจ่มชัด เปิดวิชชาเต็มที่ รับได้รับไป

    ถ้านิมิตรที่เห็นเป็นจริง บารมีคุณก็ไม่ยากที่จะเข้าถึงธรรมภายใน

    เข้าถึง18กายแล้วได้วิชชาขั้นละเอียด ไปพิสูจน์เอง ภายใต้การควบคุมของท่าน


    ...คราวนี้ ไปต้องรอความฝันและคำทำนายของใคร

    ไปถามพระท่านเอง และพิสูจน์เองเลย วิธีมีอยู่


    ครูบาอาจารย์อายุมากแล้ว รีบหน่อย



    ...สาธุุ เพื่อประโยชน์สูงสุดของคุณเอง พระศาสนา และ สรรพชีวิตทั้งมวล
    ทีควรจะเป็นไป........




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2 - Copy.jpg
      2 - Copy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.2 KB
      เปิดดู:
      505
  4. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ อนุโมทนาบุญแห่งการปรารถนาพระโพธิญาณด้วยนะคะ

    เห็นด้วยกับคุณ tharathan ค่ะ ถ้ายังไงคุณลองช่วยแบ่งวรรค และแบ่งเป็นตอนๆให้ด้วยนะคะ เพราะว่าเนื้อเรื่องยาวเลยอ่านยากไปนิดส์ค่ะ :)
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ผมลาพุทธภูมิ ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องการพบเจอพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ที่อัฐิเป็นพระธาตุนั้น ผมพบเจอเป็นประจำ และ ที่สำคัญที่สุดคือ รู้ว่าวิธีที่ท่านเหล่านั้น "ใช้" ในการติดต่อกลับมา คือ "การสร้างขันธ์" ผู้ที่มีขีดความสามารถในเรื่องของการ "รู้แจ้งในกองขันธ์" ย่อมสามารถ "วาง และ สร้าง" ขันธ์ได้ (ขันธ์เกิด หรือ ทำให้เกิดขึ้น เหตุที่ขันธ์ตั้งอยู่ และ เหตุที่ขันธ์ดับไป) ผู้ใดที่ฝึกกรรมฐานจนเข้าใจใน "มหาปัฏฐานสูตร" (เหตุปัจจัยโย) ได้ ก็ย่อมมีขีดความสามารถนี้ทุกท่าน แต่ท่านทั้งหลายที่ยังเดินทางอยู่ในเส้นทางของ พุทธภูมิ นี้ คงต้องหาทางศึกษากันเอาเอง และตรงนี้เป็น นิสัยของพุทธภูมิ

    +++ ผู้ที่เป็น "นิยตโพธิสัตว์" แล้วนั้น อย่างต่ำที่สุด ก็ต้องใช้เวลา 4 Big Bang ขึ้นไป ตามประเภทและจริต รวมทั้งข้อผูกพันธ์ที่ได้ "อฐิษฐาน" เอาไว้ สำหรับ "กัปป" นี้ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว 4 องค์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ให้รู้ไว้ว่า "กาลเวลาแห่งพระพุทธศาสนานั้น เป็น กาลเวลาของ กาลอวกาศ" ไม่ใช่ "กาลเวลาแห่งการคำนวน" ให้ใช้หลักดังนี้

    +++ 1. อสงไขย = 1 วงจรของการเริ่ม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป ของ Big Bang
    +++ 2. มหากัปป = 1 วัน ของ Big Bang ที่โคจรรอบตัวเอง

    +++ สรุป อสงไขย และ มหากัปป เป็นกาลเวลาของ Universe ซึ่งเป็น Big Bang ในขณะที่ยัง "ตั้งอยู่" (เกิดขึ้น ดับไป)
    +++ เรื่องที่เป็นส่วนปลีกย่อยลงมา คือ เรื่องของ "โลกธาตุ" หรือ เรื่องของ Galaxy นั่นเอง
    +++ เรื่องของ ศาสนาพุทธ จะแบ่ง Galaxy ออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ทิศเหนือ (อุตระกุรุทวีป) ใต้ (ชมพูทวีป) ออก (บุรพวิเทหทวีป) ตก (อมรโคยานทวีป) ดังนั้นให้เข้าใจไว้ว่า คำว่า "ทวีป" ในศาสนาพุทธนั้น หมายถึง Galaxy Secters ไม่ใช่อย่างอื่น

    +++ 3. กัปป = 1 วัน ของ Galaxy ที่โคจรรอบตัวเอง

    +++ ดังนั้น คำว่า " มึงยังเด็กอยู่เลยย ลูกเอ้ยย" ของ หลวงปู่พุ่ม นั้นย่อมหมายความว่า เพิ่งเริ่มต้น "หัดคลาน" ใน กัปป นี้เท่านั้น ยังไม่ต้องไปนับ มหากัปป ให้วุ่นวายอะไร และ Big Bang ในอสงไขยนี้ ยังอยู่ใน "ภาคขยาย ในอัตราเร่ง" ซึ่งหมายถึง อสงไขยนี้ ยังเยาว์วัยมากอยู่ ยังไปไม่ถึงความหนืดของภาคขยาย ก่อนที่จะหยุดแล้วเป็น Half Life ก่อนที่จะเริ่ม หดกลับ อันเป็นลักษณะที่ผ่าน Half Life ไปแล้ว

    +++ "จุ๋ๆท่านก้พูดขึ้นมาว่า ที่เห็นอยู่นี้ก้เรียงคิวกันเต็มไปหมด แต่ที่มึงหวังนะ สำเร็จแน่นอน แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของมึงเดี่ยวมึงก้จะรู้เอง ส่วนเรื่องที่มึงสงสัย อาจารย์ของมึงท่านบอกว่าไม่ต้องบอกเพราะบอกไปเดี่ยวมึงจะหลง" จากคำอธิบายของผมข้างบน ท่อนนี้คงไม่ต้องอธิบายซ้ำแล้วนะ แล้วคำว่า "แต่ที่มึงหวังนะ สำเร็จแน่นอน" ก็คงชัดเจนแล้วนะ จากที่ผมพูดไว้ใน กระทู้เก่า ส่วนคำว่า "เดี่ยวมึงก้จะรู้เอง" นั้น ตอนนี้ก็ปรากฏแล้วนะ ว่าอะไรเป็นอะไร หากยังไม่เข้าใจ ก็ให้ "อ่านทวนโพสท์นี้ ใหม่อีกครั้ง"

    +++ ส่วนพวกที่ "มองด้วยสายตาเหยียดๆ" ตลอดเส้นทางเดินของคุณนั้น หมายถึง เส้นทางนี้จะโดน "ปรามาส" ไปตลอดเส้นทาง (เพราะเดินสวนทางกับ "โลกธรรม" ซี่งเป็นเรื่องธรรมดา)

    +++ และ "จากที่จะอธิษฐานโพธิญาณ ผมก้เลยเปล่งวาจาขอให้ผลบุญนี้จงช่วยบรรเทาผลกรรมที่คนพวกนี้จะได้รับ แม้จะช่วยไม่ได้ทั้งหมดแต่หากเขาพ้นจากอบายแล้วขอให้มีผ้าแพรพรรณอย่างดีเป็นเครื่องนุ่งห่มอย่าได้ขาดด้วยเถิด" พระองค์ทรงรับไว้แล้วยิ้มบางๆ (ท่อนนี้ยืนยันว่า "ยังไม่ไปโพธิญาณ" ในระยะนี้ (อสงไขยนี้) อย่างแน่นอน)

    +++ แล้วท่านก้ตรัสว่า "การกระทำปรมัถบารมีโดยถวายชีวิตแก่พระพุทธเจ้านั้นใช่ว่าผู้กระทำต้องตายเสมอไปแต่หมายถึง เจ้าได้อุทิศทั้งชีวิตและจิตใจเพื่อพระพุทธเจ้าโดยไม่ห่วงอะไรไว้เบื้องหลัง" ท่อนนี้ ยืนยันกับ โพสท์ของผมในกระทู้ที่แล้ว เพราะจริง ๆ แล้ว "การถวายชีวิต" ในนิมิตรนั้น หมายถึง "เป็น ตาย ไม่ต้องไปกำหนด" เพียงแต่ มุ่ีงหน้าไปลูกเดียว เท่านั้น

    +++ หากคุณจะโพสท์ครั้งต่อไป ก็ให้ช่วยจัดการกับเรื่อง "เว้นวรรค และ ย่อหน้า" ให้เรียบร้อยด้วย เพราะจะทำให้ "อ่านง่ายขึ้น" นะครับ

    +++ อีกประการหนึ่ง "กาลเวลา" ในโพสท์นี้ ผมให้ไว้กับคุณ "เป็นการส่วนตัว" เท่านั้น ดังนั้น ใครรู้ได้ ก็เป็นการดี ส่วนใคร รู้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาหาข้ออ้างอะไรมาถกเถียงให้วุ่นวาย รู้ใครรู้มันกันเอาเองก็แล้วกัน นะครับ
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +70,436
    กระทู้เดิม
    http://palungjit.org/threads/ฝันเห็นพระพุทธเจ้าครับ.523900/




    คนที่มีพื้นระดับบารมีแค่กลางๆ คือเป็นพระสาวกก็ได้ หรือสร้างสุงกว่านั้นก็ได้

    สามารถเปิดให้เข้าถึงดวงธรรมเบื้องต้นจนถึง18กายได้ไม่ยาก(ขอยืนยัน)

    การฝัน คือ กายมนุษย์ละเอียดได้ไปเห็น(กรณีเรื่องจริง)

    และยิ่งการเห็น เป็นการเห็นถึงระดับพุทธะ

    จะต้องเป็นการเชื่อมกายตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด( ศีลห้า )
    กายทิพย์(หิริ โอตตัปปะ)
    กายพรหม( ฌาณ& พรหมวิหาร)
    กายอรูปพรหม(อรูปฌาณ& พรหมวิหาร)
    และกายธรรม ระดับโคตรภู ( กุศลกรรมบถสิบ เบื้องต้นแห่งวิปัสสนาญาณ และ วิสัยปกติของผู้บำเพ็ญบารมีมามากแล้ว)


    แต่ถ้าเป็นเพียงนิมิตลวง
    กายฝันและกายต้นๆดังกล่าว ก็แค่ถูกป้อนข้อมูลให้เห็นหรือสังขารปรุงเอง
    กายทุกกายยังไม่มีคุณธรรม(ในวงเล็บ)อย่างเต็มที่ เชื่อมกันไม่ติดก็ได้


    รักษาศีลห้า พบคนที่ชี้แนะ ปฐมมรรคเบื้องต้นให้คุณได้
    แค่ไม่กี่นาที ก็ฉลุยแล้วครับ


    (
    ถ้ามีคนที่หน่วยก้านใช้ได้ ผมให้ไปหาหลวงปู่ทั้งสองตามที่บอก ถ้าไม่มีสิ่งเป็นอกุศลซ่อนเร้น ท่านเปิดให้เต็มที่
    ยิ่งถ้าได้รับคำทำนายแล้วจริง อยากเรียนอะไร ที่ไม่มีในตำราที่พิมพ์ขายในโลก ก็ไปเรียนได้
    ผู้มีบารมีจริง เค้ามีอุปกรณ์ค่อนข้างพร้อม รอแค่เพียงเปิดสวิทย์ให้เครื่องเดินต่อ แค่นั้น )


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2014
  7. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    เรียน คุณดาบหัก

    จริงๆส่วนตัวเคยมีโอกาสไปฝึกอาโลกกสิณ ที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เหมือนกันค่ะ (ตอนเรียนอยู่ชั้น ม.5 ครูที่โรงเรียนจัดค่ายให้ไปปฏิบัติธรรม) ตอนนั้นหลวงป๋าท่านออกมาเทศน์ให้ฟังด้วย แต่สุดท้ายไม่ได้ฝึกต่อค่ะ

    พอเห็นพี่พิมพ์มาแล้วค่อนข้างสนใจ แต่ไม่ค่อยมีความรู้อ่ะค่ะ ยังไงอาจจะขอหลังไมค์สอบถามรายกาย 18 กายเพิ่มเติมนะคะ ^__^
     
  8. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    ขอบคุณค่ะ ยอมรับว่าฟังแล้วพอเข้าใจบ้าง และไม่เข้าใจบ้าง

    เท่าที่อ่านดูเข้าใจว่าใช้อารมณ์สมถะเพ่งอาโลกกสิณใช่ไหมคะ? แล้วถ้าเข้าสู่อารมณ์สมถะระดับต่างๆ ก็จะเข้าไปในกลางของกลางไปเรื่อยๆใช่ไหมคะ?

    ทีนี้เท่าที่เข้าใจ กาย 18 กาย น่าจะรวมเอาสภาวะของพระอริยเจ้าทั้ง 4 ลำดับเข้าไปด้วยใช่ไหมค่ะพี่?

    ดังนั้นถ้าเราเข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆด้วยอารมณ์สมถะ แล้วถ้าจะเข้ากายที่เป็นระดับโลกุตระเช่นนั้น เราจะทำอย่างไรค่ะ?

    อันนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวนะคะพี่ จากการอ่าน ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องนัก อย่างไรก็ขอบพระคุณพี่ล่วงหน้านะคะ :)
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +70,436
    ได้18กาย ไม่ได้หมายความว่าเป็นพระอริยะเจ้าครับ
    แค้เป็นการดับกิเลสชั่วคราวด้วยอำนาจสมถะนำ
    แล้วอาศัยตาหรือญาณพระธรรมกายในการชำระกิเลส
    จนกว่าจะตัดสังโยชน์ได้เป็นลำดับ กายธรรมจึงจะเบิกบานแบบ
    ไม่ถอยกลับเป็นพระอริยเจ้าจริง(ถึงบอกให้อยู่ใกล้ชิดหรือหมั่นไป
    ครูบาอาจารย์ เพื่อจะได้ไม่หลง มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก)

    ถ้าเทียบกับวิธีการสอนอันฉลาดของหลวงพ่อฤาษีฯคือ
    ท่านให้ทำความสงบก่อนแล้วอาศัยอารมณ์พิจารณาตัดสังโยชน์
    โดยการตัดกายเนื้อเป็นหลักใหญ่
    เมื่อถอดกายในหรืออทิศมานกายออกมาทั้งยวงแล้ว(ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียดถึงกายธรรม)
    อารมณ์ใจเป็นเทวดาอทิศมานกายก็เป็นเทวดา
    อารมณ์ใจเป็นพรหม อทิสมานกายก็เป็นพรหม
    อารมณฺ์ใจเป็นพระ อทิสมานกายก็เป็นพระ
    ก็นำกายที่ถอดออกมาทั้งยวงนั่นแหละช่วยพิสูจน์ความจริงและชำระกิเลสได้


    ไม่ต้องกลัวว่า ปรารถนาพุทธภูมิแล้วพอได้18กายแล้วจะไม่ได้บำเพ็ญต่อ

    แต่เราต้องแผ้วถางกิเลสหยาบๆ กลางๆและละเอียดในกายต่างๆของเราทุกกาย
    ทุกใจของกายอันมีนับไม่ถ้วนของเรา
    เพื่ออาศัยบารมีพระรัตนตรัยเข้ามาเกื้อกูลการสร้างบารมีให้สะดวกยิ่งๆขึ้นไป

    ผมเปิดระบบข้อความส่วนตัวแล้ว คุยกันทางนั้นได้ครับ ขออภัยเจ้าของกระทู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มิถุนายน 2014
  10. ณัฏฐนิต

    ณัฏฐนิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณ ทุกคำตอบมากๆนะครับ ครั้งหน้าหาก ผมจะ เว้นวรรค ให้ดี จะได้อ่านง่ายๆ ^_^ เดียวเปิดเทอมนี้ต้องขึ้นไปเรียนที่ กทม พอดี ว่าจะไปฝึกตามที่บอกครับ แต่ ก่อนที่ผมจะนิมิตรเห็นพระพุทธองค์ หรือ หลวงปู่ในแต่ละครั้ง ก่อนหน้านั้นประมาณ อาทิตย์ ผมจะรู้สึกว่ากิเลสในตัวบางลง ใคร่ ก้ไม่ค่อยมี หากมีก้บางมาก โกรธ ก้ไม่ค่อยมี ไม่ค่อยคิดอกุศลใดๆ หลับสนิท ไม่ฝันเลยตลอดคืน แต่ละวันจะสดชื่นและรู้สึกตัวเบาจนผมเองก้ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ผมสังเกตุมาทุกครั้ง จนรุ้ว่า ถ้าตัวเองเป็นแบบนี้เมื่อใหร่แปลว่าต้อง ได้พบใคร สักคืนแน่ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2014
  11. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    สาธุ ขอบคุณนะคะ ว่าแล้วว่าต้องเข้าใจผิดแน่นอน เพราะเดาๆไว้ว่าน่าจะเป็นสมถะภาวนา เลยไม่แน่ใจว่ามีอารมณ์วิปัสสนาญาณเข้ามาร่วมด้วยในช่วงใดของการเข้าถึงกายทั้ง 18 กาย ยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ แฮ่ๆ ยังไงจะขอพีเอ็มไปหลังไมค์นะคะพี่ :)


    สำหรับท่านจขกท.(คุณณัฏฐนิต) ต้องขออภัยด้วยนะคะ พอดีว่าเกิดความสนใจขึ้นมา กลายเป็นว่าใช้พื้นที่ตรงนี้สนทนาไป T^T


    ทั้งนี้ ได้ไปอ่านกระทู้ "ฝันเห็นพระพุทธเจ้า"แล้วค่ะ นิมิตที่ดีเช่นนี้ต้องขออนุโมทนาด้วยนะคะ ขอให้สำเร็จสมหวังดังเช่นที่ปรารถนาค่ะ เพราะส่วนตัวก็ปรารถนาเช่นนี้เหมือนกัน พอมาอ่านกระทู้นี้เลยรู้สึกถึงความเมตตาที่ผู้ใหญ่ท่านมีต่อเด็กๆ และหวนนึกถึงตอนที่ตัวเองอายุประมาณ 15-16 ก็เคยถามท่านอื่นเหมือนกันถึงการปรารถนาพุทธภูมิของตนเอง ดีที่ท่านนั้นไม่ได้ตอบมาว่า"ยังเด็กอยู่เลย ลูกเอ้ยยย" >_< (อ่านตรงนี้แล้วชอบมากค่ะ อมยิ้มเลย) :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2014
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +70,436

    กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตามแนววิชชาธรรมกาย

    ทำให้ทราบว่า กายหยาบและกายละเอียด มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน

    กายหยาบทำกรรมดี ก็ส่งผลให้กายละเอียดมีลักษณะดี
    กายหยาบทำกรรมชั่ว ก็ส่งผลให้กายละเอียดมีลักษณะไม่ดี

    กายละเอียดที่มีกำลังมากพอ(กำลังในการเป็นอิสระเหนือกิเลส) จะสามารถส่งผลมายังกายเนื้อได้ เป็นปฏิสัมพันธ์กัน

    เมื่อกายละเอียดสุดตั้งแต่กายธรรม ลงมากายอรูปพรหม กายพรหม กายทิพย์
    กายมนุษย์ละเอียด(กายฝัน) เป็นกายที่ปกติมีกิเลสประจำแต่ละกายน้อย
    จะสามารถส่งผ่านผลกรรมดี หรือ การสื่อสารใดๆ มายังกายมนุษย์ได้ง่าย

    จนบางครั้ง อาจเรียกได้ว่า ถูกปกครองด้วยธรรมภาคบุญกุศล ที่บังคับให้ทำแต่กรรมดี
    เช่น คิดจะทำสิ่งไม่ดี ก็จะมีเหตุมาเตือน มายับยั้งด้วยวิธีการต่างๆ แบบว่า
    ทำชั่วไม่ขึ้น แต่พอจะทำดี ก็มีเหตุมาสนับสนุนให้ทำได้ง่าย แบบไหลลื่น
    มีอุปสรรคน้อย ถึงมีอุปสรรคจากภายนอกที่มาต้านทาน ก็จะผ่านไปได้ง่ายด้วย
    กำลังใจ(บารมี)ที่มีมากทั้งจากภายในส่วนลึกและจากใจภายนอก(ใจกายมนุษย์)



    ส่วนสัตว์โลก ที่มีนิสัยตรงข้าม ก็เป็นทำนองเดียวกัน
    แต่ ผลที่จะถูกส่งมาหล่อเลี้ยงกายมนุษย์ กลับเป็นอำนาจอกุศล
    ถูกบังคับให้วนอยู่กับการทำกรรมไม่ดี....จนกว่า
    กายมนุษย์นั้นจะมีสติ-สัมปชัญญะ มีกำลังใจที่จะฝืนทำกรรมดีได้
    แต่อาจต้องรอรับผลนานกว่า สัตว์โลกที่ทำกรรมดีจนเป็นนิสัย
     
  13. ณัฏฐนิต

    ณัฏฐนิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +253
    ไม่เป็นไรครับ คุณ White Sage เห็นพี่คุยกันแล้วได้ความรู้ดี 555555555555
     
  14. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    สาธุ ขอบคุณนะคะที่อธิบายให้ได้รับความรู้


    เท่าที่อ่านจากพีเอ็มและในกระทู้นี้ เกิดความสงสัยในรายละเอียด จึงได้ถามพี่ไปทางพีเอ็มแล้วนะคะ


    ทั้งนี้ขออนุญาตขยายความในส่วนที่ว่า"วิปัสสนาของแท้ ที่ไม่ใช่แค่การนึกคิด" นะคะ


    ตรงจุดนี้โดยธรรมชาติแล้ว การที่เราๆท่านๆจะได้วิปัสสนาญาณของแท้นั้น จะต้องค่อยๆสั่งสมกำลังใจ(บารมี)ผ่านการปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ โดยอาศัยการคิดพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงอยู่เสมอๆ(อันหมายถึงการฝึกวิปัสสนาญาณกรรมฐาน) จวบจนกระทั่งบารมีเต็มเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราก็จะมีปัญญาทรงตัวเห็นความเป็นจริงต่างๆโดยธรรมชาติอยู่เป็นปกติตลอดเวลานั่นเอง


    ทั้งนี้ขออนุญาตนำคำสอนบางส่วนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)มาฝากนะคะ


    วิปัสสนาญาณ

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)



    จงอย่าลืมว่า ก่อนพิจารณาทุกครั้ง ต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌาน มาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน แล้วพิจารณา

    วิปัสสนาญาณ จึงจะเห็นเหตุเห็นผลง่าย ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ว วิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2014
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +70,436

    ที่หลวงพ่อท่านสอนก็ถูกแล้ว ก็ไม่เห็นจะขัดแย้งอะไรกัน


    ตามแนววิชชาธรรมกาย การรวมใจ( เห็น จำ คิด รู้)ไว้ศุนย์กลางกายเป็นปกติ
    จะมีอารมณ์ของฌาณต่างๆ ตามแต่สภาวะการฝึกของแต่ละคน
    เมื่อใจหยุดใจนิ่ง ก็เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงได้ชัดเจนขึ้น

    เมื่อทำได้แล้ว ก็เป็นฌาณและเป็นญาณ ทั้งที่ลืมตาโพลงๆนี่เอง

    ช่วงขณะที่ใจหยุด และเห็นความจริง อาจเป็นได้แค่เสี้ยววินาที
    ด้วยความชำนาญตามวิถีของจิตที่ฝึกได้

    -------------------------------
    บางคน สิ่งที่เห็น กับ สภาวะที่ทรง
    อาจไม่เท่ากัน

    เห็นแค่ปฐมมรรค แต่ทรงสภาวะหรืออารมณ์ของฌาณต่างๆได้

    บางคนผ่านเข้าไปเห็นกายต่างๆได้แต่จะให้ทรงสภาวะหรืออารมณ์ฌาณไม่ได้
    ต้องให้เข้าถึงกายละเอียดลึกๆเช่นกายธรรมชั้นต่างๆก่อนแล้วย้อนมาทำให้กายต่างๆ
    ทรงอารมณ์ฌาณได้ อย่างนี้ก็มี

    บางคนเห็นแค่กายโลกียะทั้งแปด
    แต่สภาวะใจทรงอารมณ์วิปัสสนาตั้งแต่โคตรภูญาณขึ้นไปได้
    นั่นคือ เข้าถึงสภาวะกายธรรมเบื้องต้นแล้ว แต่ยังมองไม่เห็น
    ด้วยไม่สามารถหยุดนิ่งถูกส่วนที่ศูนย์กลางของกายเบื้องต้นได้
    หรือมีเหตุถูกปิดบังบางประการ(ชั้นนี้ ไม่ขอพูด ให้ไปรู้เห็นเอง)

    มีความละเอียดลึกซึ้งหลากหลายมาก

    ------------------------------




    ความจริงแล้ว คนที่ได้มโนมยิทธิ หรือได้สมาธิมาเป็นเบื้องต้น
    ถ้ามาฝึกวิชชาธรรมกาย ก็ไม่ยากเลย แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของ
    ครูอาจารย์ที่ชำนาญจริง และผู้ฝึกก็ต้องหมั่นสอบถามสภาวะที่เกิดขึ้นกับท่าน

    อย่าไปถามอะไรล่วงหน้าด้วยวิจิกิจฉาก่อนมากจนเกินไป


    การจะมองอะไรในความมืด ถ้าส่ายไฟฉายไปมา
    การมองเห็น ก็จะไม่ชัดเจน เท่ากับ การถือไฟฉายนิ่งๆ แล้ว
    เพิ่มกำลังแสงสว่างให้มากขึ้น

    คงเข้าใจ

    ที่เหลือ ก็ทำ

    --------------------

    ถ้าคุณเคยไปที่วัดหลวงพ่อสด แล้วเคยเจอท่านแล้ว การไปครั้งต่อไปคงไม่ยาก
    ครูยังอยู่ คนที่เข้าถึงก็มากมาย ตัววิชชาแท้ก็ยังมี
    รีบไป อย่ามัวเสียเวลาใส่ใจกับก้อนขี้หมาทีติดรองเท้าอย่างผมเลย
    ครุอาจารย์ท่านยังอยู่ ให้ใส่ใจมากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2014
  16. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ขอบคุณค่ะพี่ ยอมรับว่ามีวิจิกิจฉาจริงๆค่ะ

    สำหรับคำตอบทางพีเอ็ม ขอบคุณมากๆนะคะ ;)
     
  17. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    บางที่นิมิตพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ได้รับ ตอนเพิ่งได้รับอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เวลาผ่านไปจะถึงบ้างอ้อ แล้วจะยิ่งรู้ว่าท่านรู้อนาคตจริงๆ นิมิตที่ได้รับ อาจจะเกิดประโยชน์อย่างมากในอนาคต เชื่อผมเถิดครับ

    ผมเองเคยฝันถึงพระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์มาคุยด้วยหลายเรื่องพูดด้วยหลายอย่าง บางเรื่องก็งงทำไมท่านพูดอย่างนั้น พอเวลาผ่านไปจึงเข้าใจในนิมิตครับ
     
  18. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    คุณเจ้าของกระทู้โปรดสงบใจในนิมิตแล้วสำรวมจิตคิดไตร่ตรองให้ดี...การที่ท่านมุ่งหวังพระโพธิญาณนั้นท่านมุ่งหวังเพื่ออะไร....นิมิตของท่านก็ให้ความกระจ่างแล้ว...ว่าทำไปเพื่อเปลื้องทุกข์ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย....และแสวงหาหนทางให้ได้พ้นไปจากทุกข์กัน..นี่แลคือสาเหตุที่พระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นในโลกธาตุนี้...อย่ามัวแต่หลงนิมิตคิดกังขาอยู่เลย...ควรจะตั้งใจกระทำตามแนวทางแห่งพระโพธิสัตว์จะบังเกิดผลมากกว่า...ทำแต่เหตุไว้ผลจะเป็นเช่นไรนั้นก็เรื่องของมัน....พุทธจริยาเป็นอย่างไรท่านควรเดินตามพุทธจริยานั้นเหมือนในนิมิต....อนึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า...บุคคลในโลกนี้ไม่ว่าจะได้พบหรือไม่ได้พบพระพุทธเจ้าเช่นเราแล้วก็มีทางอันดำเนินไปด้วยมรรคก็สำเร็จสมประสงค์ได้......บุคคลในโลกนี้ต้องได้เห็นได้พบพระพุทธเจ้าก่อนถึงจะเข้ามาดำเนินอยู่ในทางแห่งมรรค........บุคคคลในโลกนี้แม้จะได้พบได้เห็นพระพุทธเจ้าเขาเหล่านั้นก็ไม่สนใจที่จะเข้ามาสู่กระแสแห่งมรรค......ตถาคตเล็งประโยชน์ของบุคคลจำพวกแรกจึงแสดงธรรม....บุคคลจำพวกที่เหลือเลยได้ฟังธรรมไปด้วย....สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2014
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +70,436
    นิมิตที่เป็นของจริง จะมีเหตุการณ์ในโลกกายหยาบมาช่วยยืนยันเสมอ
    เพียงแต่บางอย่าง สติปัญญา และประสพการณ์ของเรา จะหยั่งถึงหรือไม่


    ตัวอย่าง ตอนผมยังหนุ่มๆ

    หลวงปู่สดท่านพาพระป่ารูปหนึ่งมาให้รู้จัก(ในอีกมิติ)

    อีกไม่นานประมาณหนึ่งเดือน ก็มีคหบดีท่านหนึ่งนิมนต์ท่านมาที่บ้าน
    แล้วเราก็ได้ไปกราบท่าน
    สิ่งที่ท่านเทศน์(ด่า ด้วยความหวังดี) คือสิ่งที่เราสงสัยเก็บไว้ในใจมานาน


    ทำให้เรามั่นใจว่า ไม่ว่าสายไหน ถ้าจิตถึงกัน ธรรมถึงกัน ก็พบกันได้ด้วยกระแสธรรม
    ไม่ใช่การเอากิเลสมาแบ่งแยกพรรคพวกเขตแดนกัน แบบสังคมส่วนหนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มิถุนายน 2014
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +70,436
    สิ่งที่พระสงฆ์สายพระป่า องค์นั้น ท่านได้เทศน์โปรด สรุปใจความได้ก็คือ
    "บารมีนั้น คือสิ่งที่ตนผู้ทำเองต้องรู้เองว่ากำลังใจตนเองถึงระดับไหนแล้ว " ไม่ต้องไปต่ระเวณถามใคร

    พระสงฆ์รูปนััน ท่านไม่เคยเรียนหนังสือทางโลกเลย
    แต่ท่านท่องพระปาติโมกข์ได้หมดภายในพรรษาเดียว ในการจำศีลในถ้ำ
    โดยอธิษฐานจิตขอบารมีพระรัตนตรัยอันมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุดให้ได้สวดพระปาติโมกข์ได้ ก็บังเกิดพุทธนิมิตหรือบารมีพระพุทธเจ้ามาสอนสวด
    ปัจจุบันนี้ท่านละกายสังขารไปแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...