เหตุที่ทำให้สนใจในการปฏิบัติธรรม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย degba4567, 12 เมษายน 2014.

  1. degba4567

    degba4567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +348
    ผมไม่มีที่พักของใจครับ ตลอดชีวิตจนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างรอบตัวมีแต่ทุกข์ ไม่มีใครและที่ไหนที่ทำให้ใจเป็นสุขได้เลย ตั้งแต่เรียนประถม มัธยม มหาลัย และทำงานผมไม่รู้ว่าเวลาจะเล่น จะไปเที่ยว เวลาเหงา เวลาเศร้า ทุกข์ เหนื่อย มองไม่เห้นใครเลยครับ เวลาว่างจากการทำงาน จะรู้สึกเคว้งคว้าง ไม่รู้จะไปไหน ไปหาใคร เวลาดีใจ เสียใจทุกความรู้สึกผมจะเล่าให้พระท่านฟังเพราะไม่รู้จะคุยกับใคร เวลาพูดก็ไม่มีใครสนใจ

    อย่าบอกนะครับว่าที่ผมเป้นแบบนี้เพราะผมไม่คุยกับคนอื่น ไม่รู้จักแบ่งปัน ไม่มีน้ำใจกับคนอื่น เพราะทุกอย่างผมทำหมดแล้ว แทบจะเรียกว่าทำมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ช่วยคนอื่นจนตัวเองเดือดร้อน มาตลอดชีวิต จนบางทีก็เผลอคิดไปว่าโลกนี้ไม่มีที่ให้คนดี(จริงๆ) อยู่เชียวหรือ

    และตั้งแต่ปีใหม่มา ไม่ใช่สิ ตั้งแต่ประมาณปลายปี 56 จนถึงปัจจุบัน มีแต่เรื่องทุกข์ใจเข้ามา ทั้งเรื่องเงิน งาน เรื่องสุขภาพ เรื่องญาติ ผมมีเงินเดือนนะครับมากพอสมควรแต่ไม่พอใช้ทั้งที่ผมเป้นคนประหยัด งานที่ทำก็ไม่มีเวลาพักเพราะมักประจวบเหมาะกับว่ามีอะไรเข้ามาตลอดไม่มีแม้แต่วันเดียว จน งง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนักหนา สุขภาพก็ไม่ดีป่วยโน่นนี่ตลอดแต่ก็ต้องฝืนทำงาน ญาติพี่น้องก้มาเสียแบกระทันหันจนเรียกว่าช๊อกเพราะมันเร็วจนไม่น่าเชื่อทั้งที่ไม่มีวี่แวว ต่อกันสามคนสี่คน
    สรุปว่าตอนนี้ชีวิตผมหนักอึ้งกับชีวิตที่ไม่มีที่พึ่ง การแบกรับเรื่องเงินทอง รายจ่ายทั้งครอบครัว พ่อแม่น้อง สุขภาพที่ไม่ดี หนัก แต่ก็ไม่มีเวลาพักเพราะการงานที่ถี่ยิบจนไม่มีเวลาหายใจเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ หลายคนก็บอกให้ทำใจยอมรับครับ ซึ่งผมทำใจยอมรับนะได้ครับ แต่กลัวว่าร่างกายจะรับไม่ไหวสักวัน เร็วนี้

    ถ้าเกิดผมตายไปผมก้ตั้งใจว่าไม่อยากมาเกิดอีกเลย ทุกเหลือเกิน พยายามนึกถึงพระนึกถึง พุทโธ ไว้ทุกอิริยาบถ เผื่อน็อคไปวันไหนไม่รู้สึกตัว จะได้มีพระอยู่ในใจเสมอ

    ขอโทษทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ ที่มีแต่ความทุกข์ใจ ขอโทษจริงๆครับ แต่ผมไม่รู้จะระบายที่ไหนแล้ว หวังว่าที่นี่จะไม่แล้งน้ำใจนะครับ
     
  2. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    ก็เป็นเหมือนกันค่ะ เมื่อก่อนก็ถามว่า เรามีกรรมอะไร
    แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่า เป็นเพราะ อธิษฐานมากกว่า
    แล้วมันจะไม่หยุดจนกว่า "ทุกข์ กับ สุข จะ เท่ากัน"
    บางทีมันเหมือนกับว่า เขาต้องการให้เราเรียนรู้ทุกข์
    ไม่ให้หนีทุกข์ ซึ่งมันก็ยากอยู่ดีเพราะร่างกายไม่ได้
    พักผ่อน บางทีเหนื่อยเจ็บทางกายมากล้มไปนอน
    กับพื้น แต่ก็ดีถือว่าซ้อมตาย ขอให้คุณมีกำลังใจ
    ที่ดี อดทนต่อไป ให้ถือว่าเป็นกระบวนการที่ต้องผ่าน
     
  3. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941

    เห็น ใจมากกับทุกข์ที่ประดังกันเข้ามานะครับ ...ท่านจขกท. หาใช่คนแรก หรือคนเดียวในโลกไม่..ที่ต้องประสบภาวะทุกข์เช่นนี้ มีบางคนในโลก จำนวนมากนับไม่ถ้วนที่พบเรื่องทุกข์ยิ่งกว่าท่านจขกท. ..แต่เขาเหล่านั้น...ไม่มีโอกาส ไม่มีบุญอย่างที่จขกท.มี คือการได้เข้ามาระบายความทุกข์อัดอั้นในเว็บธารณะแห่งนี้..


    ท่าน จขกท. เมื่อไม่มีที่ระบาย เพราะไม่มีใครคุยด้วย ก็พึงเข้ามาระบายในที่นี้ เพราะชนที่นี่ล้วนมีเมตตา เขาทั้งหลายย่อมยินดีรับฟังและให้คำแนะนำหรือกำลังใจแก่ท่านได้ การที่ท่านจขกท. คุยกับพระก็เป็นวิธีที่ดีเพื่อคลายความเครียดลงได้บ้าง นับว่าไม่เสียหายเลย..ส่วนการคาดหวังว่าจะมีใครๆคอยรับฟังทุกข์อัดอั้นของ ท่านนั้น พึงบรรเทาลงบ้าง เพราะเอาเข้าจริงทุกคนในโลกต่างล้วนมีทุกข์บีบคั้นกันหนักหนาโดยเท่าเทียม กัน เขาต่างประสงค์จะหา"คนฟัง"เรื่องทุกข์ของตนๆ ไม่อยากรับรู้ทุกข์ของใครอื่นๆมาเพิ่มความเครียดให้ตนอีก...ดังนั้นพึง พยายามทำตนให้แข็งแรงเพื่อเป็นที่พึ่งของตนให้ได้เถิด ...พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า...อัตตาหิ อัตตโนนาโถ...คือการมีตนเป็นที่พึ่ง คนที่พึ่งตนเองได้ย่อมไม่ทุกข์เพราะการดิ้นรนหาที่พึ่งภายนอก....ซึ่งเป็น เรื่องที่ไม่แน่นอน คาดหวังอะไรได้ลำบาก การพึ่งตนได้จึงเป็นเรื่องที่ประเสริฐแต่ถ่ายเดียว..


    ความ น้อยใจที่มีขึ้นนี้พึงละเสีย เพราะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ตน มีแต่บั่นทอนกำลังสติ ปัญญาให้เสียหายไปเสีย ดีไม่ดีกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้ตกไปจากสัมมาทิฏฐิเอาง่ายๆ น่าอันตรายนัก เพราะตนอาจคิดเองว่าทำดีแล้วไม่ได้ดีมีแต่ได้สิ่งเลวร้ายเป็นรางวัล จึงหมดศรัทธาในเรื่องกรรมว่ามีผล..เเล้วเลยเห็นตรงข้ามว่า ทำชั่วได้ดีมีถมไป อย่างนี้ก็วิบัติเสียหายน่าใจหายแล้ว...


    ท่าน จขกท. พึงทราบกฏเกณฑ์ความจริงในธรรมชาติที่มีอยู่ว่า สิ่งทั้งปวงย่อมไหลมาแต่เหตุเสมอ ไม่มีอะไรเกิดเองลอยๆโดยปราศจากเหตุ..หรือเกิดเพราะฟลุค เพราะซวยหรือเพราะเทพเจ้าที่ใหนมาบันดาลให้เลย ..ดังนั้นแม้สิ่งเลวร้ายที่ตนต้องประสบพบเจอนั้นก็ย่อมมีมาจากเหตุเช่นกัน ซึ่งก็ได้แก่บาปเก่าบ้าง การกระทำของตนในปัจจุบันบ้างเช่นคบมิตรชั่วเป็นต้น..พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน ไว้ว่า บุคคลที่สมควรถูกเราตำหนิว่าเป็นเหตุให้เราเข้าถึงทุกข์นั้น ไม่มีเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร?..เพราะเราเองเคยล่วงศีล มีเจตนาบาปมาในกาลก่อน เหตุเหล่านั้นจึงนำผลที่สอดคล้องมาปรากฏให้ ตนได้เสวย ........ หาไม่แล้ว สิ่งเลวร้ายทั้งหลายจะไม่อาจมาแสดงให้เราได้รับรู้ได้เลยโดยประการทั้ง ปวง..เราเองต่างหาก เป็นผู้ตั้งโปรแกรมชีวิตตนให้ต้องมาผจญเรื่องเหล่านี้ จะโทษใครที่ใหนย่อมไม่ควร...


    ...การที่ตนต้องเข้าถึงความวิบัติในทรัพย์ หรือต้องทำงานหารายได้อย่างหนักเพื่อจุนเจือครอบครัวนั้น ส่วนหนึ่งมาจากเหตุที่ตนเคยล่วงศีลข้อ๒มานอดีต จึงแม้หาทรัพย์ได้ก็ต้องให้บริวารไปเสียมาก..ในขณะเดียวกัน การให้ทรัพย์เขาเหล่านั้นก็เป็น"บุญใหม่"ที่จะมีผลตามไปเกื้อกูลท่านในภาย หน้า ไม่เสียเปล่าไปใหน....


    .ส่วนเรื่องเจ็บป่วยก็อาจมีจากเหตุใกล้คือตนเองไม่ดูแลสุขภาพให้ดี หรือโหมงาน เครียดจนสุขภาพแย่..หรือมาจากเหตุไกลคือการที่ตนเคยเบียดเบียนสัตว์อื่นมาในอดีต ทำนองล่วงศีลข้อ๑จึงเข้าถึงความเป็นผู้มากด้วยโรคาพาธ...



    การ ได้สดับพระธรรมย่อมยังสติปัญญาให้แล่นไป เข้าใจและยอมรับกับสิ่งที่เกิดได้ด้วยความแยบคายความหลงคิดผิดประดามีต่างๆ ย่อมลดหรือบรรเทาลงไปบ้าง แม้ไม่หมดทีเดียวแต่ทุกข์จะน้อยลงตามกำลังของปัญญาที่ปรากฏ..เลิกระส่ำระสาย หวั่นไหวกับปรากฏการณ์ทั้งดีและเลวได้เพราะเข้าใจสภาพธรรมชาติของสิ่งเหล่า นั้น ตัดอุปนิสสัยในการเหลียวหาที่พึ่งข้างนอก แต่ไม่มองหาตนเองเป็นที่พึ่งได้ สามารถเพียรทำเหตุใหม่ เพื่อผลที่ตนต้องการในอนาคตได้ อยู่กับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์เพราะทราบวิถีทางที่จะแก้ไขไปตามกำลัง ตามลำดับสำคัญ ที่ตนแยกแยะได้และเป็นในที่สุดเพราะปัญญานั้น...


    บัด นี้ ท่านจขกท พึงเพียรละความวิตกกังวลต่างๆ อันเป็นบาปทางใจคือฟุ้งซ่าน หรือพยาบาทวิตกลงเสีย ใส่ใจในการประพฤติศีล สมาทานบ่อยๆ มีพระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นสรณะสวดมนตร์เจริญภาวนาบ่อยๆ บุญที่มีกำลังย่อมตั้งขึ้นได้ และอาจสามารถปัดเป่าเอาสิ่งเลวร้ายรวมทั้งโรคให้พ้นไปได้ ..

    เป็นกำลังใจให้ท่านจขกท พ้นทุกข์โดยราบรื่นรวดเร็วพลันครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2014
  4. Malaiteva

    Malaiteva เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +192
    .ปัญหาภายนอกก็ค่อยๆแก้ไขไปนะ
    .ส่วนใจภายในนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนให้
    รู้จักวิธีทำให้ใจนั้นไม่หมุนไปตามสิ่งภายนอก
    .โลกหมุนไป แต่ใจไม่หมุน
    .ท่านควรศึกษาดูนะ
     
  5. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    รู้ว่าทุกข์..อยู่กับทุกข์ เรียนรู้ทุกข์ รับมือกับทุกข์ เข้าใจในทุกข์ ยอมรับในทุกข์นั้น..เมื่อยังอยู่ในวังวนของทุกข์ ก็ยังไม่รู้จักทุกข์..ออกจากทุกข์เมื่อไร ก็จะเข้าใจในทุกข์นั้นค่
     
  6. jinso

    jinso เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +659
    อย่ายอมแผ้ครับ.......พระท่านว่าสุขไม่มี...มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
    ผมก็พยายาม...ปฏิบัติในลักษณะคล้ายคุณครับ
     
  7. Mentaldeep

    Mentaldeep สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2014
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +11
    สู้ๆค่ะ ลองมองย้อนอดีตเรายังผ่านทุกข์มาได้ตั้งหลายทุกข์ สู้ๆค่ะ
     
  8. ภูขวัญฟ้า

    ภูขวัญฟ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +60
    คุณกำลังเจอบททดสอบค่ะ เรียกอีกอย่างว่าวิกฤตชีวิต อยู่ที่คุณแล้วว่าจะใช้สติและปัญญาผ่านมันไปได้อย่างไร ถ้าผ่านไม่ได้ก็ต้องทุกข์หนัก แต่ถ้าผ่านไปได้ก็จะเจอบทต่อไปให้ได้เรียนรู้ เรียนรู้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะ...พ้นทุกข์
     
  9. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    เคยสังเกตุไหมคับ ทำไมบางคนเกิดมารวย บางคนเกิดมาสบาย ชีวิตมีแต่ท่องเที่ยว ใช้เงิน
    มีแต่ความสุข ความทุกข์มีน้อย ได้ทำงานสบาย ไม่พอยังได้เงินเยอะอีกตั้งหาก
    มีคนรักคนเคารพ มีคนรับใช้ มีคนปรนนิบัต ฯลฯ

    ถ้าเราเกิดมาไม่ได้สักข้อนี้ แสดงว่า ให้ระลึกไว้เลยว่า บุญเราน้อยยิ่งนัก
    เพราะถ้าบุญเราเยอะ เราก็เกิดมาสบายแล้ว ไม่ต้องตรากตรำ มีชีวิตลำบาก
    ดังนั้น ให้เร่งทำบุญ ให้มากกว่าชาวบ้าน (เพราะมันน้อย ต้องทำเยอะกว่าคนอื่น)

    1. เวลาว่างจากการทำงาน จะรู้สึกเคว้งคว้าง ไม่รู้จะไปไหน ไปหาใคร เวลาดีใจ เสียใจทุกความรู้สึกผมจะเล่าให้พระท่านฟังเพราะไม่รู้จะคุยกับใคร เวลาพูดก็ไม่มีใครสนใจ
    >>> ดีแล้วคับ แต่จะดีกว่า ถ้าคุณใช้เวลาทีีพอจะมีบ้างศึกษาธรรมะ เปิดอ่านไตรปิฎก
    เปิดดูพุทธพจน์ ที่เป็นที่พระพุทธเจ้าพูดโดยตรงบ้าง ที่เป็นพระอริยะพูดบ้าง ที่เป็นประสบการณ์คนนั้น คนนี้บ้าง จะมีประโยชน์มากกว่าที่ไประบายชีวิตเราให้พระท่านฟังคับ
    เพราะระบายไปก็จบ เดี๋ยวมีเรื่องใหม่มาก็ต้องมาระบายอีก
    แต่ถ้าวันนี้คุณศึกษาธรรมะ+ปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนจิตใจคุณมันยกระดับ
    คุณจะสามารถมีความสุขได้ แม้รู้ทั้งรู้ว่า มีความทุกข์อันยิ่งใหญ่ อยู่ข้างหน้า
    คุณก็ยังพอสามารถใช้เวลาอันน้อยนิด ให้มันสัมผัสความสุขบ้าง ให้จิตได้พักบ้าง
    ไม่เครียดจนเกินไป ถึงจะกดดัน แต่ก็ยังพอจะหาที่พักทางใจเจอ

    แบบนี้เขาเรียกว่า อุเบกขา คือปล่อยวางบางอย่าง (ถึงจะทำได้ไม่หมด)
    ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำง่ายๆ แต่ต้องอาศัยความหมั่นเพียร ในการฟังธรรม (ก็คือการศึกษาไตรปิฎก อ่านหนังสือ ฟังจากพระ ฯลฯ) จนมันเกิดปัญญาขึ้นมา แล้วมันจะทำใจให้อุเบกขาได้เอง อยู่ดีๆ ไปฝืนทำใจ มันทำไม่ได้หรอก แบบนั้นเขาเรียกว่าเฟค แต่ถ้าฟังธรรมมาเยอะ มันจะทำได้เอง ที่เขาเรียกว่า ให้เข้าไปสดับฟังธรรมเยอะๆ ขอเน้นว่าให้อ่านไตรปิฎกเป็นหลัก แล้วอย่างอื่นค่อยตามทีหลัง (คำพูดของพระพุทธเจ้าชัวรสุด)

    พอคุณเริ่มทำใจอุเบกขาได้ ในบางอย่างแล้ว คุณจะเริ่มไม่เครียดมากละ ถึงจะเครียดบ้าง แต่จะไม่กดดันเหมือนแต่ก่อน แล้วความเครียดมันจะค่อย ๆ ลดลง เพราะใจจะเริ่มปล่อยวางได้เยอะขึ้น นี้คือสิ่งแรกที่คุณต้องไปทำ ก็คือ อ่านไตรปิฎก
     
  10. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    2. สรุปว่าตอนนี้ชีวิตผมหนักอึ้งกับชีวิตที่ไม่มีที่พึ่ง การแบกรับเรื่องเงินทอง รายจ่ายทั้งครอบครัว พ่อแม่น้อง สุขภาพที่ไม่ดี หนัก แต่ก็ไม่มีเวลาพักเพราะการงานที่ถี่ยิบจนไม่มีเวลาหายใจเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ หลายคนก็บอกให้ทำใจยอมรับครับ ซึ่งผมทำใจยอมรับนะได้ครับ แต่กลัวว่าร่างกายจะรับไม่ไหวสักวัน เร็วนี้
    >>>>> เรื่องนี้เป็นเรื่องซับซ้อน แต่อันนี้มันอยู่ที่คุณเลือกรับภาระ คุณต้องแบกรับเองทั้งหมดเลยหรือเปล่า คนอื่นไปไหนหมด พอจะแบ่งเบาภาระให้คนอื่นได้ไหม แล้วงานที่ทำมันเป็นงานที่ดีไหม งานก็มีผลเหมือนกัน บางทีงานก็ทำให้เราไม่มีเวลาเลย แบบนั้นต้องมานั่งวางแผนอนาคตว่า เราพอจะมีหนทางอื่นไหม หรือเราต้องมุ่งทางนี้ทางเดียว เพราะการเลือกงานก็มีผลกับชีวิตเยอะ

    3. ถ้าเกิดผมตายไปผมก้ตั้งใจว่าไม่อยากมาเกิดอีกเลย ทุกเหลือเกิน พยายามนึกถึงพระนึกถึง พุทโธ ไว้ทุกอิริยาบถ เผื่อน็อคไปวันไหนไม่รู้สึกตัว จะได้มีพระอยู่ในใจเสมอ
    >>>>> เราไม่สามารถจะบอกว่า โอ๊ย ชีวิตทุกข์เหลือเกิน ชาติหน้าไม่ขอเกิด แบบนี้เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
    เหมือนไม่อ่านหนังสือ แล้วจะเอาเกรด 4
    คุณจะไม่เกิดก็ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ คือตัดกิเลส ได้หมด ตัดสังโยชน์ได้ครบ 10 ตัว
    ซึ่งไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ในประเทศนี้ จะมีถึง 100 หรือเปล่ายังไม่รู้เลย
    ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นแรงบัรดาลใจให้คุณนึกพุทโธตลอดเวลาแบบนั้น ก็เป็นเรื่องดีที่คุณมีพระอยู่ในใจ

    แต่ผมอยากจะแนะนำว่าให้คุณ อารธนาศีล 5 เข้าตัวก่อน คือก่อนจะพุทโธเอาศีลให้ได้ก่อน (ทำง่ายๆ คือ บอกกับตัวเองว่า ต่อไปนี้ฉันจะถือศีล 5 ตลอดชีวิต ไม่จำเป็นต้องไปวัดก็ได้) การที่เราบอกกับตัวเองแบบนี้ เหมือนเป็นการตั้งปฏิญาณกับตัวเอง ซึ่งในอนาคตกาล วันที่จะมีเหตุให้คุณผิดศีล คุณก็จะระลึกได้ว่าคุณเคยปฏิญาณไว้แล้ว ถึงเวลานั้นก็จะเกิดการชั่งใจขึ้นมา ตอนแรกๆ ที่คุณทำ อาจจะทำได้ไม่หมด หรือกระท่อนกระแท่น แต่มันจะค่อยได้เอง จนมันครบบริบูรณ์ สิ่งที่ต้องตัด อันดับแรก คือ การดื่มสุรา เหล้า ของมืนเมา

    เหตุที่ต้องถือศีลเพราะคุณบอกว่า เผื่อวันไหนคุณน๊อคไปโดยไม่รู้สึกตัว ตอนนั้นคุณก็มีเสบียงเตรียมเรียบร้อยแล้ว เพราะศีล 5 ปิดอบายภูมิ นำคุณสู่สุคติภูมิ คุณอาจจะได้เกิดเป็นเทวดา ก็ได้

    เรื่องเคยมีมาแล้ว พ่อค้ากลุ่มหนึ่งนั่งเรือไปจะค้าขาย เกิดพายุกบางทาง รู้ว่าตายแน่ ทุกคนเลยมาร่วมกันอารธนาศีล 5 (แบบว่าตั้งใจจริง) สุดท้ายเรือจม ก็ตายหมด แต่ไปเกิดในสวรรค์ (เรื่องแบบนี้ถ้าไม่อ่านไตรปิฎก ก็ไม่รู้หรอก แต่มันก็เป็นตัวอย่างให้เราเห็นภาพ เห็นไหมว่าไตรปิฎกสำคัญ)

    อย่าไปดูถูกศีลเชียว เห็นศีลมีแค่นี้ หลายคนคิดว่าศีล 5 ไม่ต้องไปเคร่งมัน ไม่ต้องไปถือ เด่วเราได้ครบเอง
    พูดแบบลอยๆ แล้วคิดว่าเราจะทำได้ เหมือนวันนี้ คนหนึ่งบอกว่าอยากได้ เกียรตินิยม กับอีกคนตั้งใจจะเอา เกียรนิยม คุณว่าผลมันจะต่างกันไหมละ ก็ถ้าเราไม่ตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ มันจะครบได้ยังไง มันก็จะเป็นศีลแบบหลวมๆ เวลาเราลำบาก เราจะอธิฐานขอบุญที่เราทำมาก็ดี ศีลที่เราถือไว้ก็ดี ให้ช่วยเราหน่อย
    มันก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปช่วย ไปดูแล้วมันหาไม่เจอ บุญอยู่อยู่ตรงไหน ศีลอยู่ตรงไหน หาไม่เจอสักอย่าง
    อะหาเจอละ เจอแบบหลวมๆ งั้นก็เอาไปแบบหลวมๆ ละกัน

    ขนาดผมตั้งเป้าไว้แล้ว ขนาดนี้ มันยังมีเหตุให้มีโอกาสผิดได้เลย เช่นเรื่องมุสา เนี่ย
    บางสถานการณ์ถ้าไม่มีสติดีๆ เนี้ย มีโอกาสผิดได้สูง (มุสามีหลายระดับ) คนที่จะพูดความจริงได้หมดทุกเรื่อง (แบบว่าทุกเรื่องจริงๆ ) ก็ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ นะ บางทีคำถามบางอย่างเราจำเป็นต้องตอบ แต่เราไม่ตอบเราเลี่ยงไป แบบนี้ก็เท่ากับเราไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองแล้ว

    อีกอย่างไปดูเรื่องของนรก ที่พระพุทธเจ้าบรรยายายไว้ แล้วคุณจะไม่อยากไปเกิด หลายคนยังคิดว่านรกเป็นเรื่องไม่น่ากลัว เป็นของชิวๆ เหมือนเด็กสอบตกก็ซ่อมได้อะไรแบบนัั้น จิงๆ มันไม่ใช่
    ถ้าวันนี้ เราถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ ทั้งแขน ขา แล้วเช้ามา ก็มีคนเดินมา เอาหอกเสียบทะลุร่างเรา (ขอเน้นว่าทะลุร่าง) แล้วก็ทำอีกซ้ำๆ จนครบ 100 เล่ม (โดนหอกเสียบร่าง 100 เล่ม) พอตอนกลางวัน คนเดิมก็เดินมาอีก เอาหอกเสียบร่างเราอีก 100 เล่ม ตกเย็นก็เดินมาอีกเอาหอกเสียบอีก 100 เล่ม
    ถามว่าคนโดนหอกเสียบ เช้าเย็น เยอะ ขนาดนี้ จะถึงความทุกข์ขนาดไหน? ไม่ต้องพูดถึงใช่ไหม
    ขนาดไปทำฟัน หมอฟันเอาอุปกรณ์เล็กๆ มาจี่ที่ฟันเราก็เสียวสะท้านแล้ว อันนี้เอาหอกเสียบ มันคนละเรื่องกันเลย
    พระพุทธเจ้าก็หยิบก้อนหินมาก้อนหนึ่ง ถามว่า ก้อนหินในมือเรานี้ เทียบกับภูเขาสุเมรุลูกใหญ่นั้นได้หรือไม่ พระอริยะสาวก ก็บอกว่าเทียบไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ความเจ็บปวดทีี่โดนหอกเสียบของคนนั้นถ้าเทียบกับในนรกแล้ว ก็เหมือนหินก้อนนี้นั้นเอง แท้จริงแล้วความทุกข์ในนรก เหมือนภูเขาลูกนั้น มันเทียบกันไม่ได้ เห็นหรือยังว่า นรกน่ากลัวแค่ไหน

    สวรรค์ก็เหมือนกัน ไปคนละเรื่องกับโลกมนุษย์ ถ้าอยากรู้ไว้วันหลังมาเล่าต่อ เด่วจะเยอะเกิน

    วันนี้คุณท่องพุทโธ แต่ถ้าคุณยังดื่มเหล้า ดื่มเบียร โกหก ผิดนู้นนั้นนี้
    กับวันนี้คุณถือศีล 5 ดีแล้ว ไม่ต้องพุทโธตลอดเวลาขนาดนั้นก็ได้
    ถามว่า ตายมา อย่างไหน ได้ไปสุคติชัวรกว่ากัน?
    ถือศีล 5 คุณไม่ต้องกลัวผี กลัวนรก กลัวภัยพิบัติ กลัวอะไรทั้งนั้น
    เพราะว่าทิศอันเป็นอบายภูมิ คุณปกปิดไว้ดีแล้ว
    คุณตาย คุณก็ไม่ต้องกลัวจะไปเกิดที่ไม่ดี
    เอาเป็นว่า 2 ที่ต้องไปทำคือ ถือศีล 5

    ลองไปอ่านสิงคลกสูตรเพิ่มนะคับ
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=11&A=3923&Z=4206

    และอันสุดท้ายคือ หมั่นทำบุญ
    ตื่นเช้ามาเอาข้าว เอาน้ำ อะไรก็ได้ ไม่ต้องเยอะ ให้พระท่าน แบบไม่ต้องเจาะจงเฉพาะบุคคล จะเรียกว่าสังฆทาน มีอานิสงส์มาก ทำไปเลย ทุกวันได้ยิ่งดี ไม่ต้องสวย ไม่ต้องเยอะ เน้นถี่ๆ วันไหนมีเวลาเยอะก็ทำเยอะ ทำประณีต วันไหนไม่สะดวกก็ทำอย่างอื่น คิดดูละกัน ต่อจากนี้ไป ทำบุญมันทุกวัน มันจะมีบุญเยอะขนาดไหน

    ทำบุญ เพื่อจะได้ไม่ต้องลำบากแบบนี้อีก บุญมันมีเยอะๆ จะได้สบายหน่อย คนที่มันมีบุญเยอะ ชีวิตมันสบาย
    เราก็เห็น ๆ อยู่ เราอยากได้แบบนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเราต้องทำบุญเยอะๆ เอาชนิดที่ว่า นางวิสาขายังอาย อะไรแบบนี้ ถ้าทำเยอะ แล้วถือศีลด้วยนะ ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก เดี๋ยวก็เห็นผลแล้ว รอกรรมหมดปุ๊บ บุญส่งทันที
    delivery ยิ่งกว่า บางคนพอกรรมหมดปุ๊บ แต่มันไม่มีบุญหนุนต่อ ชีวิตก็เหมือนเดิม บางคนชีวิตมันพลิก เพราะมีบุญส่ง คุณทำไปเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำไปเยอะ ๆ เดี๋ยว เสนียดวิ่งหนีออกไปเอง

    เพราะฉะนั้นคุณทำ
    1. ศึกษาธรรม (อ่านไตรปิฎก ฯลฯ)
    2. ถือศีล (ศีล 5 ฯลฯ)
    3. ทำบุญ (ตักบาตรทุกวัน)

    ความชั่วเราก็ไม่ทำแล้ว บุญเราก็ทำแล้ว ธรรมเราก็ศึกษาแล้ว โอ้ย! คุณ ได้ขนาดนี้ ต้องการอะไรอีก
    คุณไปทำเถอะ แค่ 3 อย่างนี้ เดี๋ยวชีวิตคุณดีเอง แล้วจะเจอความมหัศจรรย์
    จากประสบการณ์จริง

    ขออนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2014
  11. ทิพย์ดารา

    ทิพย์ดารา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +264
    ชีวิตคนเราโชคดีที่สุดที่ได้เกิดเป็นคนค่ะ เพียงแค่ว่าไม่เหมือนกัน คือ ความจนและความรวย สุขทุกข์อยู่ที่เราเป็นคนเลือกค่ะ ปล่อยวางแล้วจะสบบาย(f) เอาใจช่วยนะค่ะ สู้ สู้ค่ะ
     
  12. twentynine

    twentynine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +992
    รักษาศีลให้มั่นคง การตั้งใจรักษาศีลเป็นการทำบุญที่ง่ายที่สุดไม่ต้องลงทุนแถมได้บุญมากกว่าทานใดๆ ก่อนตายจิตใจก็จะผ่องใสไม่เศร้าหมอง มีจิตอยู่กับพุทโธดีแล้วเป็นการไม่ประมาทในความตาย ตั้งใจไปนิพพานถูกแล้วเรื่องของบุญบารมีไม่มีใครบอกได้หรอกว่าใครมีมากเท่าไร พระบวชทั้งชีวิตไม่ได้ความดีอะไรเลยก่อนตายเบื่อร่างกายเกิดสังขารุเบกขาญาณตายไปนิพพานก็มีมาแล้ว เราอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ มองความทุกข์ให้เป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ความทุกข์จึงทำให้คนอยากไปนิพพาน ส่วนความสุขมีแต่ทำคนติดอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ http://palungjit.org/threads/สมเด็จพระพุทธกัสสป-ทรงเตือนพุทธบริษัท.512097/ ลองไปฟังคลิปนี้ดูเผื่อจะช่วยแก้ปัญหาชีวิตอะไรได้บ้างhttps://www.youtube.com/watch?v=BM30CeszqDk&list=PL7IAzw-HSOQC78cwoXyHv0MfFTibC1als
     
  13. degba4567

    degba4567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +348
    ขอบคุณทุกคำตอบ ทุกๆกำลังใจนะครับ และตลอดถึงคำแนะนำดีๆที่มอบให้ ผมถือศีล 5 มาเป้นสิบปีแล้วครับ ทาน ศีล ภาวนา ผมว่าก็พอมีบ้างนะครับ ก่อนนอนผมมักจะสวดมนต์นั่งสมาธิเป้นประจำ สิ่งนี้เองทำให้ผมไม่หลงทางไปทางที่ชั่ว ถ้าท่านได้อ่านดีๆอาจจะเห้นว่า ผมเขียนว่าปัญหาที่เกิดกับชีวิตผมแบ่งเป้นสองอย่างครับ

    อย่างแรกคือ ปัญหาที่คาใจผมมาตลอดตั้งแต่เด้กที่ยังแก้ปมไม่ได้เลยคือ ผมไม่มีเพื่อน ผมไม่มีใคร ทั้งที่ผมพยายามแทบตาย พุดดี คิดดี ทำดี แบ่งปัน ทำทุกอย่าง ถ้าในห้องให้จับคู่ จับสลากหรืออะไรทำนองนี้ผมจะเป็นคนเดียวที่เศษหนึ่ง เป็นคนเดียวที่ไม่เหมือนเพื่อน

    อย่างที่สองคือ ผมมักจะโชคไม่ดี ไม่ได้คิดไปเองนะครับ ทุกอย่างจะประจวบเหมาะกันพอดี ยิ่งกว่านิยายน้ำเน่า เหมือนมีใครมาเขียนบทละครชีวิตแกล้งเราให้เล่นไปตามมัน

    ึ่ซึ่งสองปัญหานี้ ผมพยายามแก้ด้วยธรรมะจึงทำให้ผมอยู่ได้ แต่ครั้งนี้มันหนักหนาสาหัสจริงๆ จึงได้มาระบายออก

    สุดท้ายที่ผมเขียนไปคือ ผมบอกว่า "หลายคนก็บอกให้ทำใจยอมรับครับ ซึ่งผมทำใจยอมรับนะได้ครับ แต่กลัวว่าร่างกายจะรับไม่ไหวสักวัน เร็วนี้ " หมายถึงเรื่องทั้งหมดผมพอรับได้ด้วยธรรมะปฏิบัติที่ผมปฏิบัติมานานพอสมควร แต่ร่างกายตอนนี้มันเหมือนจะรับไม่ไหว หนักทั้งสองอย่างทั้งกาย(ปัญหาข้อสอง) และใจ(ปัญหาข้อหนึ่ง) ใครมีวิธีการ คำแนะนำให้ผมบ้างครับ
     
  14. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ท่านจขกท หากได้"ศึกษา" ธรรมะ"ของพระพุทธเจ้า"ให้มากขึ้น ท่านจะได้ปัจจัยเพื่อ"ปัญญา"ที่จะตอบปัญหาทุกสิ่งประดามีที่เกิดกับชีวิตตนเองตั้งแต่เกิดจนตายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านจะหมดสงสัยในสิ่งที่เกิดกับตนไม่ว่าจะแปลกประหลาดมหัศจรรย์พันลึกสักเพียงใด เพราะทั้งสิ้นทั้งหลายนั้นไม่เกินความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้เป็นแนวทางเลย...

    ท่านพึงสร้างศรัทธาในพระธรรมของพระพุทธเจ้าว่า มีอานุภาพเพื่อความพ้นทุกข์โดยส่วนเดียว ทั้งในปัจจุบันแลสัมปรายภพได้แน่แท้ จะได้ไม่นึกรังเกียจ"การสดับศึกษา"ธรรมะหรือปริยัติ เพราะปุถุชน แม้จะเพียรปฏิบัติ อะไรที่ตนเข้าใจว่าดีหรือถูกต้องแล้ว แต่กลับยังระส่ำระสายด้วยความทุกข์หรือมีข้อสงสัยกังขาติดค้างในใจอยู่ ก็พึงใคร่ครวญว่าสิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็นการปฏิบัตินั้น..เป็นสิ่งที่ถูกควรหรือไม่อย่างไร ทำเพื่ออะไรและมีผลอะไร...ผู้ที่"ปฏิบัติตามคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าย่อมได้ความเบิกบาน แม้มีปัญหาหรือข่อสงสัยก็แก้ไขและวินิจฉัยได้ด้วยอรรถแห่งธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ได้ ..การสดับศึกษาพระธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในเบื้องต้น เพราะเว้นจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแลเหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ธรรมะได้ด้วยพระองค์แล้ว ไม่ใช่วิสัยของผู้อื่นนอกนั้นจะตรัสรู้เองได้เลย ต้อง"ฟัง"ธรรมของพระพุทธเจ้าก่อนเท่านั้นจึงจะปฏิบัติและพ้นทุกข์ได้...

    เรื่องความสงสัยในชีวิตที่ขาดแคลนเพื่อนนั้น ท่านพึงทราบว่าไม่ได้เกิดเพราะบังเอิญอะไร ผลที่นำความทุกข์คับแค้นทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุคือบาปที่ตนเคยทำมาก่อน ประมาณว่าเคยยุยงใครๆให้แตกแยกหรือเคยทำกิจแกล้งใครให้ถูกรังเกียจหรือโดดเดี่ยวมาก่อน หรือเจตนาที่มีในการทำให้ใครๆเข้าถึงความไม่มีเพื่อนด้วยความอิจฉาริษยา...เพราะผลที่มาปรากฏในเวลานี้ย่อมสอดคล้องกับเหตุเก่าที่ตนเคยทำไว้ตามหลักหรือกฏเกณฑ์แห่งกรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติเป็นธรรมดา หาได้มีใครมาบัญญัติขึ้นเองตามชอบใจไม่ เพราะนี้เป็นความจริงขั้นปรมัตถ์ที่ไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือไม่เชื่อของใครๆ..

    ดังนั้น พึงระงับความหวั่นไหวลงเสีย พึงเข้าใจว่า หากแม้ท่านไม่สามารถมีเพื่อนที่เป็นคนมีศีลธรรม การอยู่คนเดียวย่อมประเสริฐกว่าการคบคนพาลจำนวนมาก บุคคลโดยลำพังแม้จะคิดทำบาปก็ยังไม่อาจทำได้วิจิตรหรือทำได้กว้างขวางเท่ากับเมื่อคบพาลเลย....หากการอยู่ร่วมกับหมู่กลุ่มหรือมีเพื่อนมากๆเป็นเรื่องดีแล้วไซร้ พระพุทธเจ้าคงไม่ทรงตรัสสรรเสริญการ"ปลีกตนออกจากหมู่ แสวงหาความวิเวกโดดเดี่ยว"เลย ทรงตรัสสอนพระภิกษุว่า การคลุกคลีด้วยหมู่เหล่านั้น "ย่อมปรากฏมากแล้วในเหล่าเดรัจฉาน หรืออเวจีมหานรก"..ที่ไม่มีที่ว่างเว้นจากสัตว์นรก..

    การมีเพื่อนไม่ใช่เครื่องรับรองความสุขหรือความสำเร็จในชีวิต แต่เพราะเราต่างหากเข้าใจผิดคิดว่าความสุขสำเร็จจะมีได้เพราะมีเพื่อน จึงตั้งค่าให้ตนเอาความสุขไปขึ้นอยู่กับสิ่งหรือบุคคลภายนอกตลอดเวลา..ก็เมื่อมั่นหมายไว้เช่นนั้นแล้ว ที่ใหนจะได้ความสงบใจเล่า เพราะคอยแต่ชะเง้อหาว่าเมื่อไรจะได้ใครๆมาเป็นเพื่อน ..ไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนที่ดีที่สุดคือตนเองนั่นแหละ...

    อนึ่ง ท่านพึงสำรวจตนเองไปตามจริงว่าท่านมีข้อบกพร่องด้านร่างกายอย่างใดอันเป็นข้อที่คนอื่นรังเกียจหรือไม่ หรือท่านมีกิริยาอาการที่ดูน่ารังเกียจประการใดที่อาจทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้หรือไว้ใจบ้างใหม ก็เมื่อท่านตรวจดูตามจริงแล้วหาข้อควรตำหนิในตนไม่เจอก็พึงทราบว่า อำนาจกรรมนั้นมีอานุภาพอันพิศดารยิ่งนั้น สามารถบดบังความดีนานัปารที่ท่านเพียรทำเพื่อสมานไมตรีกับใครๆไปเสียสิ้น การที่จะเอาชนะกำลังของกรรมที่มาปรากฏแล้วย่อมเป็นของไม่ง่าย แต่ก็พอจะมีหนทางอยู่คือการเพียรเจริญกุศลทุกชนิดให้มากและบ่อย..และสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ระงับความเศร้าหมองที่เกิดแล้วในใจ อย่าปล่อยให้ลอยนวลอยู่นานๆเพราะนี่เป็นบาปใหม่ทางใจ(เรียกว่าฟุ้งซ่าน)มีโทษมาก...เพราะเป็นช่องทางที่อำนวยโอกาสให้บาปเก่าทั้งหลายสามารถมาส่งผลท่วมทับได้เพิ่มขึ้น..

    ส่วนความป่วยเจ็บหรือทำงานหนัก หากท่านทำไม่ไหวก็พึงลาพักบ้าง...หรือ....หาทางเปลี่ยนย้ายงานเพื่อลดภาระทางกายลงบ้าง. .. แม้อาจได้รายได้น้อยลงก็พึงเห็นว่ายังดีกว่ามีรายได้มากแต่ร่างกายอาจพังได้เร็วขึ้น จนต้องเลิกทำงานหมดรายได้ไปเลย ทั้งยังอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายรักษาตัวอีกมากมายนับว่าไม่คุ้มกัน....

    ก็เมื่อและหากท่านทรุดลงไปเสียแล้ว รายได้ที่จะจุนเจือบริวารย่อมไม่มี จึงควรหาทางรักษาสุขภาพของตนไม่ให้วิบัติไปโดยเร็วกว่าที่ควร หรือแม้หากท่านสู้งานทำจนเดี้ยงเพราะไม่อาจเปลี่ยนย้ายงานได้ ในยามนั้นข้อควรตำหนิไรๆจะเกิดแก่ท่านย่อมไม่มี โดยเฉพาะในเรื่องที่ท่านหมดสภาพไม่อาจหารายได้มาให้ครอบครัว...เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของเฉพาะตน เหล่าบริวารเมื่อต้องพบความขาดแคลนยากไร้หมดที่พึ่ง ก็ด้วยอำนาจแห่งบาปเก่าที่เขาเคยตระหนี่ไม่นิยมให้ทานใครๆมาก่อนนั่นเเลจัดสรรค์ให้เข้าถึงภาวะนั้น..ท่านจขกท จึงไม่ควรเพ่งโทษว่าตนบกพร่องไรๆเพราะไม่มีเหตุผลรองรับ

    คนพาลบางคนในๆโลก ไม่มีศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมไม่เห็นสาระไม่ยอมรับว่ากรรมเก่าทั้งหลายที่ตนเคยทำมาไว้ในสังสารวัฏอันยาวไกลนั้น มีผล พาลบางคนมีมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อว่ามีโลกนี้โลกหน้า คิดเองเออเองว่าเพิ่งเกิดมาชาตินี้ชาติแรก จึงพากันปฏิเสธเรื่องกรรมและผลเสีย..

    ท่านจขกท พึงทราบว่าแม้การที่ท่านได้อ่านข้อความนี้อยู่ ก็หาได้เกิดเพราะบังเอิญหรือปราศจาก"เหตุ"ไม่..แต่ด้วยบุญที่ท่านเคยแนะนำใครๆมาเพื่อแก้ปัญหาชีวิตในอดีตจะชาติใดก็ตามบัดนี้ผลนั้นมาส่งให้ท่านได้เห็นได้อ่านแล้ว...ส่วนท่านจะชอบใจหรือไม่ จะรับเอาหรือทิ้งไปก็เป็นกรรมใหม่ที่ท่านเลือกทำในปัจจุบัน....

    ขอให้ท่านจขกท มีสุขภาพกายใจที่ดีเยี่ยม เข้าถึงความเป็นผู้มีมิตรสหายดีแวดล้อม หมดความสงสัยและพ้นจากทุกข์บีบคั้นทั้งปวงโดยเร็วครับ..
     
  15. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    สวัสดีครับคุณ degba4567 ผมขอแนะนําให้คุณ degba4567 ลอง download หนังสือชีวิตเป็นอย่างนี้ และ หนังสือทําบ้านให้เป็นสุข ที่อยู่ใต้ comment ของผมไปลองอ่านดูครับ อยากให้ลองอ่านให้จบทั้ง 2 เล่มเลย แล้วคุณ degba4567 จะเข้าใจตัวเองดีขึ้น โดยเฉพาะหนังสือชีวิตเป็นอย่างนี้ ยังไงก็ลองอ่านดูให้จบก็แล้วกันครับ อ่านจบแ้ล้วจะรู้สึกดีขึ้น สว่างขึ้นแน่นอนครับ ยังไงก็ขอเป็นกําลังใจให้นะครับ ขอให้โชคดีครับ
     
  16. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    เคยถืออุโบสถ์ศีลหรือยังคับ?
     
  17. degba4567

    degba4567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +348
    เคยครับ คุณlovepyou
     
  18. ฟางฟืน

    ฟางฟืน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +48
    แค่คุณไม่เอาใจเข้าไปแตะทุกข์มัน ปล่อยมันไว้เฉยๆเดี๋ยวคุณก็จะลืมมันไปเอง
    แตะบ่อยทุกข์บ่อย ไม่แตะไม่ทุกข์
     

แชร์หน้านี้

Loading...