วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    โมทนากับการให้ธรรมทานจากการปฏิบัติของน้องXorce ด้วยครับผม สาธุ
     
  2. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    หุหุ ช่วงนี้ก็ได้ปฏิบัติเต็มที่เลย ได้มาบวชที่วัดแถวๆ พิจิตร หวังว่าจะก้าวหน้า
    กับชาวบ้านเขาบ้าง
     
  3. aonlin

    aonlin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2006
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +1,608
    ขอบคุณค่ะ
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post894837 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>aonlin<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_894837", true); </SCRIPT>
    ทีม เสียงพระธรรมเทศนา

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:34 AM
    วันที่สมัคร: Sep 2006
    ข้อความ: 135 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 742 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 1,122 ครั้ง ใน 132 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 142 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    </TD><TD class=alt1 id=td_post_894837 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->[​IMG]
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ขอรบกวนขอคำแนะนำนิดนึงนะคะ เมื่อก่อนเวลานั่งสมาธิ แทบจะไม่เคยเห็นภาพหรือนิมิตใดเลยค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เวลานั่ง แปบเดียวก็จะมีภาพต่างๆ เข้ามาในหัวด้วยความเร็วมาก
    คล้ายเราพุ่งเข้าไป หรือไม่ก็ภาพพุ่งเข้ามาในหัวเต็มไปหมด

    บางครั้งเราตั้งใจจะจับภาพพระ เวลาเจอแบบนี้
    พยายามดึงสติกลับมาที่ภาพพระ แต่ไม่สามารถทำได้
    หรือทำได้ระยะสั้นๆเท่านั้น (แต่ต้องใช้แรงฝืนอย่่างมาก)
    อย่างนี้ควรทำอย่างไรดีคะ
    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย aonlin : เมื่อวานนี้ เมื่อ 11:11 PM.
    <!-- / edit note --></TD></TR></TBODY></TABLE>


    ที่ปรากฏภาพต่างๆในจิตที่เห็นนี้ เป็นนิมิตรจรที่เข้ามาครับ วิธีการปฏิบัติก็คือ ไม่ต้องไปฝืน (ไม่ให้เกิด) ไม่ต้องไปตาม(ยึด) แต่ให้เราเฝ้ามองดูด้วยใจที่เป็นอุเบกขาครับ อุเบกขาในนิมิตร อุเบกขาในญาณทัศนะที่ปรากฏ ไม่ต้องไปปรุงแต่งใดๆ

    เฝ้าดูเหมือนเราจับลมหายใจโดยใช้ตัวรู้ กำหนดดูภาพต่างๆที่ปรากฏด้วยอารมณ์ใจเฉยๆ และกำหนดรู้(เท่าทัน)ว่าเป็นนิมิตรที่จรเข้ามาในจิต

    พอภาพหมดไป เราก็กำหนดให้เห็นความไม่เที่ยงในภาพต่างๆที่ผ่านเข้ามาเป็นวิปัสนาญาณ เอาไว้ เห็นเป็นธรรมดา

    พอผ่านขั้นนี้ไปได้ ต่อไปก็จะเริ่มทรงภาพนิมิตรกสิณได้ตั้งมั่นขึ้น ทรงได้เป็นปกติ

    นิมิตรที่จรมานี้เกิดขึ้นได้จาก

    -จิตที่ถูกเปิดออกจากสมาธิและข้อมูลต่างๆกระจัดกระจายหลั่งไหลออกมาจากจิตเป็นภาพต่างๆแวบมามากมาย

    -เจ้ากรรมนายเวรขวางไม่ให้ปฏิบัติ ในขั้นสูงๆต่อไป วิธีแก้ก็คือแผ่เมตตา อุทิศบุญให้กับท่านเจ้ากรรมนายเวรท่านส่วนหนึ่ง ให้ท่านโมทนาบุญของเราในการปฏิบัติ

    ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไปครับ มีกำลังใจในการสร้างความดีกันทุกๆคนนะครับ
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วันเสาร์ที่ 5 มกราคมนี้ จะจัดฝึกติวเข้มสมาธิกันครับ โดยเนื้อหา ขอขยับ ไปที่เรื่องกสิณไปจนถึงมโนมยิทธิครับ นัดหมายกันที่ เกาะลอยสวนลุมพินี กรุงเทพ เวลา 10.00 น.ช่วงเช้า ไปถึงบ่ายๆ

    ท่านที่ต้องการฝึกตั้งแต่เริ่มต้น ขอให้มาเช้าหน่อยและช่วยแจ้งมาให้ทราบในกระทู้นี้ด้วยครับผม จะได้ปูพื้นฐานให้ครับ
     
  6. avatan

    avatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +365
    ผมสนใจอยากจะไปฝึกครับ..แต่ไม่มีพื้นฐานเลยคับแม้แต่ณาญ1ก็ยังไม่ได้เลย
    เกาะลอยสวนลุมพินี อยุ่ตรงไหนเหรอคับ ผมอยุ่ที่สมุทรปราการ.-*-
    กลัวจะไปไม่ทัน 10โมง อ่าคับ T_T
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>มนุษย์ สมาธิ และพลังงาน:</td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="3"> </td> </tr> <tr> <td colspan="3">[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]</td> </tr> <tr> <td width="73%"> </td> <td width="5%"> </td> <td width="22%"> </td> </tr> <tr> <td colspan="3"> การเกิด และการพัฒนาจิตของมนุษย์</td> </tr> <tr> <td colspan="3">โดย Dr.G.G. Junior</td> </tr> <tr> <td colspan="3">www.universal-signal.com</td> </tr> <tr> <td colspan="3"> </td> </tr> <tr> <td colspan="3">การควบแน่นของพลังงานที่มีอยู่ทั่วไปในจักรวาล ทำให้เกิดธาตุรู้เล็กๆ กระพริบขึ้นในอณูแห่งพลังงานนั้นๆ รวมตัวกันใหญ่ขึ้นเรียกว่า จิต เมื่อธาตุรู้มีมวลมากขึ้น ต้องการที่อยู่ จึงเกิดการรวมเข้ากับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่สมดุล ทำให้บังเกิดความมีชีวิตของสรรพชีวิตทั้งหลายขึ้น การรวมกันของจิตและธาตุทั้ง 4 ที่มีความสมดุล การเกิดขึ้นของสิ่งที่มีชีวิตมีองค์ประกอบ 2 ประการคือ 1. มีจิต 2. มีมวลที่ธาตุดิน น้ำ ลม และไฟที่สมดุล และมีการกำหนดสัญชาตญาณแห่งการมีชีวิตตามธรรมชาติ ด้วยการดำรงเผ่าพันธุ์ ส่วนกรรมที่สร้างขึ้นชักนำให้เกิดภพชาติ เป็นพันเป็นหมื่นภพ กรรมเป็นตัวบ่งบอกถึงความเป็นไปของภพชาติ สัญชาตญาณของมนุษย์ทำให้เกิดอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่น ความเป็นตัวตนในแต่ละภพชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เว้นแต่มนุษย์ที่มีปัญญาด้วยจิตที่มีสติ จึงสามารถสร้างเส้นทางของกรรมให้มีแนวทางใหม่ เพื่อลดกรรมที่อยู่บนเส้นทางเดิม ที่ลิขิตตนเองจากกรรมในภพก่อนๆ นั้นของมนุษย์ มนุษย์ผู้ไม่มีปัญญาจะไม่สามารถสร้างเส้นทางของกรรมใหม่ได้เลย มีแต่อารมณ์และสมองพิจารณาความเป็นตัวตนอยู่เช่นนั้น จึงทำให้กรรมเดิมทวีความรุนแรงขึ้นตามภพชาติแห่งตน เปรียบเสมือนกรรมในภพก่อนๆ นั้น ได้ขุดสร้างคลองแห่งกิเลสให้มนุษย์ในภพนี้ ดำเนินชีวิตไปเพื่อการชดใช้กรรม หรือการเดินทางร่วมของจิตทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกัน มนุษย์ผู้มีปัญญาพิจารณากิเลสทั้งหลาย เพื่อความสว่างของจิตที่มีสติอยู่อย่างต่อเนื่องแล้ว จึงเสมือนขุดคลองเส้นใหม่ ให้ดำเนินไปตามกรรมและชีวิตแห่งตน เพื่อการลดละกรรมทั้งหลาย ดังนั้นคลองเส้นใหม่เป็นเส้นทางที่ดีกว่าคลองเส้นเดิม
    การหมุนเวียนของจิตในวัฏสงสารนั้น มนุษย์สามารถมองเห็นความเป็นจริงของตนด้วยความเป็นมนุษย์เท่านั้น มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจว่า แต่ละภพชาติ มีการเปลี่ยนแปลงธาตุทั้งสี่ที่ประกอบขึ้นเป็นกายหยาบนั้น ไม่แน่นอนแม้แต่สักภพชาติเดียว มนุษย์ผู้เกิดมาเป็นพัน เป็นหมื่นภพ แล้วจะเลือกได้อย่างไรว่า ตนมีชื่อใด ตนมีสถานะเป็นใคร และตนนั้นมีความสัมพันธ์กับใคร ความจริงข้อนี้ก็คือ ความไม่แน่นอนทั้งปวงแห่งกายหยาบมนุษย์นั่นเอง เปรียบเสมือนดั่งการสวมเสื้อผ้าของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาเสมือนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ไม่นาน เสื้อผ้านั้นก็เก่า กายหยาบก็เช่นกัน เมื่อกายหยาบคือ ร่างกาย เสื่อมลงก็ต้องละทิ้งสังขารไปหากายหยาบใหม่ ก็เหมือนการเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ละครั้งนั่นเอง ระยะเวลาแต่ละภพของมนุษย์เสมือนดั่งละครหนึ่งเรื่อง เริ่มเปิดฉากขึ้น ต่างก็แสดงบทบาทไปตามที่ตัวละครตัวนั้นๆ ต้องเล่นไป จนปิดฉากลง นั่นคือ การจากโลกนี้ไปในแต่ละครั้ง เมื่อเริ่มต้นภพใหม ่ก็ต้องเปลี่ยนเรื่องใหม่ แสดงเป็นตัวละครตัวอื่นใหม่ต่อไป ไม่สามารถเชื่อได้ยึดได้ว่า ตัวเราเป็นตัวละครตัวนั้นตลอดไปทุกภพทุกชาติ
    จิตมนุษย์เป็นสิ่งที่สามารถรวมกันเป็นหนึ่ง เพราะเป็นพลังงานละเอียด คือ การมีธาตุรู้ที่กระพริบให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า สติ สติเป็นตัวที่ทำให้เห็นความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ โดยแท้ด้วยปัญญา เมื่อพิจารณาได้ครบถ้วนแล้ว จะพบความเป็น "อนิจจัง" (ความไม่เที่ยง) ในขณะที่มนุษย์ทั้งหลาย ผู้ใช้สมองประมวลผลกลั่นกรอง พิจารณาภายใต้การควบคุมของสัญชาตญาณ ที่เป็นจิตสำนึก ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า อารมณ์ จึงไม่พบความจริงแท้ในธรรมชาติ มีแต่สภาวะที่ยึดมั่นถือมั่นในตน ในทรัพย์ในสถานะทางสังคมแห่งตน ทำให้พบแต่รากเหง้าของอวิชชา ตัณหา และอุปาทานเท่านั้น ที่เป็นมูลเหตุแห่งกิเลสทั้งหลาย โดยมนุษย์ใช้ความรู้เดิม ที่เป็นสภาวะมนุษย์จากสัญชาตญาณที่ไม่จริงตามธรรมชาติจากสมอง โดยจิตสำนึกเป็นเครื่องตัดสิน เพื่อยังประโยชน์แก่ตนในการเอาชีวิตรอด ในการรักษาทรัพย์ที่เชื่อว่าเป็นของตน และสถานะทางสังคมที่ดำรงอยู่เชื่อว่าเป็นของตน จึงพบแต่สภาวะที่เรียกว่า “อัตตา” มนุษย์รับข้อมูลด้วยอายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ทั้งหก ซึ่งมีขีดจำกัดในการรับรู้คือ รับส่งข่าวสารได้เพียงของหยาบเท่านั้น เมื่อทำงานเชื่อมส่งข้อมูลไปเก็บที่สมอง โดยมีสัญชาตญาณเป็นตัวควบคุมความเป็นมนุษย์นั้นอยู่ มนุษย์จึงไม่สามารถบรรลุถึงความเป็นจริงแห่งธรรมชาติได้ ซึ่งในขณะนั้น มนุษย์เพียงแต่ถูกสัญชาตญาณกำหนดให้พาตนไปให้มีชีวิตรอด รักษาทรัพย์แห่งตน และสถานะทางสังคมของมนุษย์ ด้วยความเชื่อแห่งความยึดมั่นถือมั่น มนุษย์สรุปส่งข้อมูลเหล่านี้ไปเก็บที่สมองเราเรียกว่า ความรู้เดิม และเมื่อรับรู้สัมผัสจากอายตนะครั้งต่อไป ก็ใช้ความรู้ที่เก็บในสมองนี้พิจารณาตัดสินทุกครั้งไป สุดท้ายความรู้เดิมแห่งความเป็นอัตตาเกาะยึดแน่นเพิ่มพูนทวี ให้จิตนั้นตกอยู่ในความมืดลงทุกขณะจิต
    มนุษย์ยึดติดกับกฎเกณฑ์ที่ตนเองสร้างขึ้น ไปพิพากษาผู้อื่นโดยไม่มีมาตรฐานเดียวกัน เช่น มนุษย์ผู้หนึ่งถือศีลตั้ง 227 ข้อ ในมือถือภาชนะใส่อาหาร มีจิตใจเบิกบานสว่าง ได้ให้โอกาสแก่มนุษย์ผู้อื่น ด้วยการเดินไปโปรดสัตว์ให้ได้สร้างกุศลแห่งการให้ทั้งปวง มนุษย์ผู้นี้ เดินเหยียบย่ำสัตว์ขนาดเล็กเสียชีวิตจำนวนมากทุกๆ วันที่ออกไปโปรดสัตว์ ปฏิบัติเช่นนี้จนสิ้นอายุขัย ผลแห่งกุศลจิตนำไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูง ฉะนั้นการทำปาณาติบาตทุกวัน เหตุใดจึงไม่มีบาปไปตัดทอนการเป็นเทวดาชั้นสูง เหตุผลก็คือ เนื่องจากไม่มีเจตนาแม้แต่น้อย ที่จะหมายปองชีวิตของสัตว์ขนาดเล็กเหล่านั้น ดังนั้นจิตจึงไม่เกิดการรับรู้ต่อการกระทำนั้น และการได้เป็นผู้ให้ทำให้จิตมีความสว่างและเบิกบานเป็นการขยายจิตให้ใหญ่ขึ้น (การปฏิบัติเช่นนี้ เป็นการพัฒนาจิตให้ยกระดับขึ้น ขนาดของจิตใหญ่ขึ้น เนื้อจิตละเอียดขึ้น สว่างขึ้น มีอานุภาพมากขึ้น มนุษย์เรียกว่า “จิตวิวัฒน์” แต่ในความเป็นมนุษย์ทั้งหลายที่ยึดมั่นถือมั่น จึงใช้วิธีเข้าสมาธิสร้างจิตให้ใหญ่ ใช้อวิชชาจากความรู้เดิมที่สมองประมวลไว้ ยกตนให้มีจิตใหญ่เหนือมนุษย์อื่นด้วยฤทธิ์ อาคม มีความรู้ที่หลงผิดนึกเอาเองว่า จิตตนเองใหญ่ ดังนี้เป็นความเข้าใจที่ไม่จริงตามธรรมชาติ ความไม่เห็นจริงตามธรรมชาติ) จึงเห็นได้ชัดเจนว่า มนุษย์ตั้งกฎเกณฑ์ของตนเพื่อความประสงค์ในความเป็นอยู่แห่งมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากความเห็นจริงตามธรรมชาติเช่นนั้นแล้ว สังเกตได้จากมนุษย์ตั้งกฎเกณฑ์ใดก็ตาม จะมีข้อยกเว้นเสมอ เพราะไม่เป็นสัจจะธรรมไม่อยู่บนพื้นฐานแห่งข้อเท็จจริง สรุปว่ากฎเกณฑ์ของมนุษย์วัดอะไรไม่ได้เลย แต่การวัดที่เห็นจริงตามธรรมชาติ เกิดได้แต่จิต เรียกว่า เจตนา การเกิดกรรมที่สมบูรณ์จะต้องมีองค์ประกอบที่ครบถ้วน คือ
    • คิดไตร่ตรองและมีความตั้งใจที่จะกระทำกริยานั้นๆ
    • วางแผนที่จะกระทำตามที่คิดและตั้งใจไว้
    • ลงมือกระทำให้บรรลุตามแผนการที่ตั้งใจไว้
    • การกระทำนั้นเป็นผลสำเร็จตามที่ไตร่ตรองไว้
    กรรมะที่สมบูรณ์เป็นกรรมที่มีทั้งโจทก์และจำเลย เป็นกรรมที่ต้องโทษด้วยบาปในการกระทำ นอกจากบาปที่จะได้รับจากการที่เจ้ากรรมนายเวรทวงถามแล้ว ยังต้องบาปเสมอเหมือนด้วยมนุษย์ต้องคดีอาญาด้วยอีก เป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งใดที่เป็นเครื่องส่องทางสว่างสำหรับมนุษย์ เพื่อการหลุดพ้นจากสัญชาตญาณเข้าสู่โมกษะ ในที่นี้จะกล่าวถึงอุปกรณ์เหล่านี้แบบย่อก่อนพอสังเขป สามารถค้นหาความละเอียดได้ในบริบทที่ว่าด้วยสมาธิ
    สมาธิ ฌาน สติ ญาณ ปัญญา สามารถใช้เป็นอุปกรณ์สร้างเส้นทางสู่โมกษะ คือ การหลุดพ้น หรืออมตะในศาสนาทั้งหลายได้
    สมาธิ คือ สภาวะของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นหนึ่งพิจารณาสิ่งเดียวเท่านั้น มีระดับของความสงบนิ่งต่างๆกันไปตามสภาวะของจิตนั้น
    ฌาน คือ สภาวะอารมณ์ของสมาธิ ที่มีความต่อเนื่อง แต่เพื่อความเข้าใจถึงการทำงานของฌาน จึงแบ่งฌานออกเป็นระดับต่างๆ ประมาณ 5 ระดับ
    1. สมาธิเบื้องต้นเพ่งอยู่กับสิ่งเดียวมีระยะสั้นยาวต่างกัน
    2. สมาธิขั้นกลางเริ่มอยู่กับจิตมีความนิ่งไม่สนใจภายนอกแม้แต่กายหยาบของตน
    3. เริ่มแสดงอาการของสมาธิในรูปที่มีปิติมีอาการต่างๆ เช่นน้ำตาไหล ขนลุก มีนิมิต
    4. เป็นสมาธิขั้นสูง ปิติจางหายไปรู้สึกได้ถึงความสงบเป็นสุข
    5. ถึงสภาวะเอกัคตาคือทิ้งทั้งหมดเหลือจิตนิ่งอย่างเดียวไม่มีปิติไม่มีสุขไม่มีอารมณ์ สภาวะนี้เทียบเคียงกับสภาวะพรหมันสมบูรณ์แบบแต่ไม่สามารถทำงานได้ หากต้องทำงานให้ย้อนไประดับที่สี่ เมื่อเทียบกับพรหมันในขั้นนี้พลังงานจิตก็เพิ่มขึ้นได้ถึงสิบสองเท่าเช่นกัน
    การอยู่ในสภาวะอารมณ์ฌาน 1 ถึง 4 นั้นจะเป็นพิจารณาความนิ่งเพื่อตัดกิเลสให้เสื่อมถอยไป เมื่อการเข้าสมาธิจากฌาน 1 ถึง 4 อีกซ้ำๆ จะสามารถตัดเอากิเลสที่อยู่ลึกลงไปเรื่อยๆ ให้หมดสิ้นไปในที่สุดและเข้าสู่สุญฺญตาต่อไป
    สติ คือ ตัวรู้แห่งจิต ทำให้เกิดปัญญาแห่งการหลุดพ้น
    ญาณ คือ ปัญญาที่เกิดจากการเพ่งดูความจริงโดยตัวรู้แห่งจิต เป็นสิ่งที่ใช้ระงับอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดกิเลส ดังนั้นญาณจึงเป็นตัวตัดกิเลสนั่นเอง</td></tr></tbody></table>
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ออกจากสมาธิ...อย่าลืม "การกระทำด้วยสัจจะ" !!!!
     
  9. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    อยู่สมุทรปราการฝั่งไหนค่ะ ถ้ารถประจำทางสามารถแนะนำได้ค่ะ

    ถ้าอยู่ฝั่งพระสมุทรเจดีย์ หรือฝั่งพระประแดง ให้ไปขึ้นรถที่วัดสน ทางด่วนสาย ปอ.141 ค่ะ สายนี้จะไปจุฬา แต่บางทีไปแค่คลองเตยก็ให้ไปต่อที่คลองเตยได้อีกหลายสาย เช่นสาย4 และสายที่ผ่านหัวลำโพงค่ะ

    ถ้าอยู่ฝั่งเมืองสมุทรปราการ แถบปากน้ำก็ขึ้นที่ปากน้ำค่ะสายปอ.507 ไปสายใต้ใหม่ค่ะ แถบสำโรงมีตัวเลือกอีกคือสาย 45 และหากต้องการความเร็วก็ต้องดูว่าคันไหนไปทางด่วน ก็จะเร็วขึ้นค่ะ เพราะทั้ง 2 สายมีทั้งรถธรรมดา และทางด่วนค่ะ

    สำหรับเวลาเดินทางจากจุดที่แจ้งเผื่อสบายๆ ไว้สัก 2 ชั่วโมงกว่าก็แล้วกันค่ะ รับรองทันแน่ เพราะ ณ.ไปบริจาคเลือดบ่อยๆ ที่สภากาชาด ผ่านสวนลุมฯบ่อย แต่ไม่ได้เข้าไป ไม่รู้ว่าเกาะลอยอยู่ตรงไหนเหมือนกัน แต่คิดว่าพอไปถึงแล้วคงหาได้ไม่ยากแน่ๆ
     
  10. kanalove

    kanalove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +386
    สวนลุมมันกว้างเหลือ น่าจะมีเบอร์ของคุณพี่ธนานันท์นะคะ เผื่อหลงแล้วแย่เลยคะ เราไม่แน่ใจว่าจะไปฝึกด้วยอะเปล่านะคะ เอาเป็นว่า ถ้าไปได้จะขอไปด้วยคนนะคะ * *
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีที่ขอตั้งแต่พื้นฐานก็ไปเช้านิดหนึ่งครับ สัก 9-9.30 น. เกาะลอยสวนลุมนั้นคือเกาะที่อยู่กลางทะเลสาบของสวนลุมพินีครับ เรานัดกันที่ ศาลาหกเหลี่ยมสีขาว บนเกาะลอย

    หากเข้าสวนลุมทางประตูหลังพระรูป ร.หก ท่านเดินเข้ามาเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปอีกร้อยเมตรจะเจอสะพานข้ามน้ำทางขวามือ เดินตรงเข้าไป มองขึ้นไปบนเนิน จะเห็นศาลาหกเหลี่ยมครับ

    หากไปไม่ถูก ถามเจ้าหน้าที่หรือยามของสวน ส่วนเบอร์ผม 081-2099151 ครับ

    ยังไม่มีพื้นฐานสมาธิเลยก็เริ่มต้นได้ครับ ไม่ต้องห่วงขอแค่ตังใจจริง อยากเอาดี ต้องการยกระดับจิตของเราเองเป็นสำคัญครับ
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ปุจฉา-วิสัชนา <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">2 มกราคม 2551 10:43 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> อานิสงส์การนั่งสมาธิ
    ปุจฉา :
    กราบเรียนหลวงปู่พุทธะอิสระ ลูกมีข้อสงสัยที่อยากจะทราบว่า การนั่งสมาธิแบบหลับตา และการลืมตาเจริญสติ ทั้งสองอย่างนี้จะมีอานิสงส์เท่ากันหรือไม่เจ้าคะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ
    .......................................................................................................................อ.วิภา
    วิสัชนา
    : ถ้าคุณทำได้มันก็ได้ดีทั้งลืมตาและหลับตา แต่ถ้าคุณทำไม่ได้มันก็ไม่ดีทั้งลืมตาและหลับตา สำคัญมันอยู่ที่ว่าคุณทำได้หรือเปล่า ถ้าคุณทำได้อะไรมันก็ดี แล้วสติน่ะเขาไม่ได้ให้เราฝึกตอนนั่งหลับ เขาให้เราฝึกในขณะกิน ทำ พูด เรื่องทั้งหมดเราควบคุมมันได้ อย่างถูกต้อง ไม่บกพร่อง นั่นคือการฝึกสติ
    การเจริญสติไม่มีวิถีทาง แต่ทำได้ทุกวิถีทาง การเจริญสติไม่มีเวลา แต่ทำได้ทุกขณะที่คุณหายใจเข้าและออก แล้วคุณรู้สึกสงบ

    ขอวิธีแก้เครียด
    ปุจฉา :
    กราบนมัสการหลวงปู่ ดิฉันทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง วันๆต้องบริหารจัดการงานต่างๆวุ่นวายทั้งวัน ระยะหลังๆมานี่เศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าก็น้อยลง ดิฉันก็เลย รู้สึกเครียด กลัวว่าบริษัทจะปิด แล้วตัวเองต้อง ตกงานด้วย ดิฉันเครียดจนนอนไม่ค่อยหลับ ต้องไปซื้อยานอนหลับมากินจึงจะหลับ ขอความเมตตาหลวงปู่ช่วยแนะวิธีแก้เครียดและนอนไม่หลับให้ด้วยค่ะ...........................................วรัญญา
    วิสัชนา : ถ้ากลางวันคิดอะไรมากๆมาแล้ว กลางคืนก็รู้จักผ่อนคลาย ด้วยการ หายใจเข้าลึกๆผ่อนลมหายใจออกยาวๆก่อนนอน ทำอย่างนี้สักสิบยี่สิบครั้งเดี๋ยวก็หลับไปเอง การที่พระให้ทำสมาธิก่อนนอน ก็เพื่อสะกดจิตให้หลับนั่นเอง จะได้ ไม่ต้องอาศัยยานอนหลับ

    แผ่บุญกุศลตอนไหนดี
    ปุจฉา :
    นมัสการหลวงปู่ที่เคารพ ผมอยากทราบว่า การแผ่บุญกุศลให้ผู้อื่นนั้นสามารถทำได้บ่อยๆหรือไม่ เพราะมีบางคนบอกว่าจะต้องทำเฉพาะตอนกรวดน้ำ เท่านั้น ผมก็เลยไม่แน่ใจ ขอให้หลวงปู่ช่วยบอก ด้วยครับ..............................................................................................................ปิยโชติ
    วิสัชนา
    : การแผ่บุญคือการแผ่ส่วนดี เป็น 1 ในวิธีการทำบุญ 10 อย่าง ก็คือการ แผ่เมตตา เช่น วันนี้คุณไปปล่อยปลามา แล้วแม่นอนป่วยอยู่ คุณไปบอกแม่ แม่ รับรู้แล้วดีใจ อนุโมทนาด้วย แม่คุณก็ได้บุญ ทุกครั้งที่คุณทำความดี แล้วคุณคิดว่า ความดีนี้เป็นของได้มายาก แล้วก็คิดจะให้ ความดีที่ได้มายากนี้แก่คนทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายก็เป็นเรื่องดี พระพุทธเจ้าสอนให้เราเจริญเมตตา ทรงสอนว่าการเจริญเมตตาแค่ลัดนิ้วมือเดียวมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่
    เจริญเมตตาได้ทุกขณะจิต ภาวนาว่าขอสัตว์ทั้งปวงจนเป็นสุข ภาวนาไว้ในใจ ทุกวัน พลังบุญเราจะเพิ่มขึ้น และจิตใจของเราก็จะมากไปด้วยความเมตตาการุณ เราจะเป็นที่รักแก่เทพยดาและคนทั้งปวง

    เป็นคนขี้โกรธ ทำอย่างไรดี
    ปุจฉา :
    นมัสการหลวงปู่ที่เคารพ ผมเขียนมาเรียนถามหลวงปู่ 2 ข้อ คือ 1.ทำอย่างไรจะเอาชนะความโกรธได้ เพราะผมเป็นคนขี้โกรธ ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้ แต่บางทีมันก็เป็นไปโดยไม่รู้ตัว และข้อ2.การสวดมนต์เป็นการเจริญสติหรือไม่ เพราะผมใช้วิธีการสวดมนต์ เนื่อง จากผมนั่งสมาธิไม่เป็น ขอขอบพระคุณมากครับที่ช่วยตอบให้ผม............................................................ตี๋เล็ก
    วิสัชนา : 1. เจริญเมตตา และทำให้เกิดความ รักเป็นประจำอยู่ในใจ รู้จักเสียสละแบ่งปันให้อภัย สิ่งเหล่านี้เป็นคุณธรรมระงับความโกรธ การที่เราจะเอาชนะอารมณ์ของตนนั้นมันก็ไม่ง่ายเกินไป แต่ก็ไม่ยากเกินไปด้วยถ้าเราจะทำอย่างจริงๆจังๆ
    2. ขึ้นอยู่กับว่าคุณสวดด้วยกายพร้อมใจหรือเปล่า แต่ถ้าสวดเพียงแค่ซาก ปาก ก็อ้าปาวๆๆแต่ใจคุณเลื่อนลอยออกไป ก็แสดงว่าคุณไม่ได้อะไร คุณไม่ได้เจริญสติ คุณเพียงแค่ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองเฉยๆ เหมือนที่นกแก้วพูดคำว่า พ่อ แม่ แต่มันไม่รู้ความหมายว่าแปลว่าอะไร
    คำว่าเจริญสติคือการทำให้สติเจริญ เราต้องรู้เข้าใจลึกซึ้ง สุดท้ายเมื่อจบการสวดนั้น จิตเราสงบ สันติสุขก็ปรากฏ นั่นคือการเจริญสติ แต่ถ้าสวดแล้วมันยังหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญโมโหโทโส พอสวดจบแล้วหันมาทะเลาะกันในครอบครัว อย่างนี้ถือว่าไม่ได้เจริญอะไร ถ้าอย่างนั้นอย่าสวดดีกว่า


    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 86 ม.ค. 51 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ทรงภาพพระ(พุทธเจ้า)

    จับลม(หายใจ)

    ทรงศีล(พรหมวิหารสี่)

    สิ้นนิวรณ์ห้า

    (พิจารณา)วิปัสนาญาณ

    มีนิพพานเป็นอารมณ์
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ขอเรียนถามพี่คณานันท์ครับ คือผมสงสัยว่าหากจิตของเราละเอียด แล้วดันไปเสพอารมณ์หยาบจิตจะรู้สึก เหมือนถูกบีบคั้น ร้อน และกดดัน ใช่รึเปล่าครับ เนื่องจากว่าผมเรียนหนังสือมา 17ปี พึ่งตอนนี้นีแหละที่รู้สึกว่ามันบีบคั้นตรงกลางอกมากๆเลย ขอบพระคุณครับ วันเสาร์นี้ผมไปแน่นอนครับ
     
  15. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สวัสดีค่ะชื่อดอกขจรเป็นสมาชิกใหม่ค่ะขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ วันเสาร์

    คิดอยากพาเพื่อนไปด้วยค่ะแต่ไม่รู้ว่าจะได้ไหมเพราะเพื่อนต้องฟอกไต วัน

    ศุกร์ถึงจะได้คำตอบ เมื่อวานเขาเล่าให้ฟังค่ะเขาเคยฝึกมโนยิทธิตอนเด็กๆ

    ที่บ้านสายลมแต่ตอนนี้ลืมหมดแล้วค่ะ เขาเลยถามว่ามีที่ไหนที่จะพอแนะนำ

    ให้ปฏิบัติได้บ้าง
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอเรียนถามพี่คณานันท์ครับ คือผมสงสัยว่าหากจิตของเราละเอียด แล้วดันไปเสพอารมณ์หยาบจิตจะรู้สึก เหมือนถูกบีบคั้น ร้อน และกดดัน ใช่รึเปล่าครับ เนื่องจากว่าผมเรียนหนังสือมา 17ปี พึ่งตอนนี้นีแหละที่รู้สึกว่ามันบีบคั้นตรงกลางอกมากๆเลย ขอบพระคุณครับ วันเสาร์นี้ผมไปแน่นอนครับ

    --------------------------------------------------------------------

    เป็นแบบนั้นจริงๆครับ แต่ก่อนจิตเราหยาบ อารมณ์ใจเราหยาบ ก็จะไม่รู้สึกอะไร

    เหมือนน้ำจากคลองมีสีขุ่น พอมี หมึกหยดลงไปหยดหนึ่งก็กลืนหายไป มองไม่เห็น

    แต่ครั้นใจเราเปลี่ยนเป็นน้ำกลั่น พอหมึกหยดลงไปไม่ถึงหยดก็ย่อมสังเกตเห็นได้ชัดเจนครับ

    อารมณ์ที่หยาบ มีภาวะบีบคั้นจิต จริงอย่างที่รู้สึกได้ครับ และผลที่บังเกิดขึ้น จริงๆทางกายก็คือ ก่อให้เกิด โรค เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง ภูมิคุ้มกันผิดปกติ พวกนี้สะสมช้าๆโดยไม่รู้ตัวครับ

    พอเราจับอารมณ์ได้ เราดับที่เหตุเอาไว้ทันที สะลายอารมณ์ ล้างอารมณ์หยาบ คลายด้วยพรหมวิหารสี่ อภัยทานและวิปัสนาญานครับผม


    วันเสาร์นี้ยินดีอย่างยิ่งสำหรับทุกๆท่านผู้ปรารถนาในการปฏิบัติเพื่อความดีครับ สาธุ

    <!-- / message -->
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะ...เอาชนะความโกรธ ****

    ฝึกขจัดความโกรธ ด้วย "สัจจะ"
    ถวายสัจจะ...ไม่โกรธ วันละ ๑ ชั่วโมง มีกำหนด ๓ เดือน

    ทำได้ ความโกรธก็หมดไป
    นิสัยขี้โกรธ ก็หมดไป
    การกระทำจากความโกรธ ลดน้อยลง และหมดไปได้ในที่สุด

    นี่คือ การปฏิบัติของพระสงฆ์ สมัยพระพุทธเจ้า
    ปฏิบัติตามโลกุตตระธรรม และ หลักสัจจธรรม

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ****

    ในการปฏิบัติธรรม...
    คือ การปฏิบัติเพื่อขจัดกิเลสนิสัยให้หมดสิ้นไป

    ปฏิบัติ....คือ การกระทำ ทั้ง ๓ กาย วาจา ใจ
    ธรรม...คือ สัจจธรรม ธรรมเที่ยง

    สัจจะ...ตามหัวข้อธรรม
    คือ เครื่องมือที่ต้องหยิบมาใช้ให้ถูกกับสถานการณ์ที่เผชิญ
    คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    หลังจากที่เพื่อนของผมประมาณ10กว่าคน ได้รับฟังเรื่องภัยพิบัติ ก็เกิดอาการตื่นตัวอยากปฏิบัติธรรมขึ้นมา วันเสาร์นี้ผมขอพาเพื่อนมาด้วยประมาณ 2 คนนะครับ คนนึงมีพื้นฐานบ้างนิดหน่อยครับ ส่วนอีกคนไม่มีพื้นฐานแต่อยากคุยกับสัตว์ได้ครับ ผมจะพาเพื่อนไปถึงประมาณ 9 โมงนะครับ จะได้วางพื้นฐานก่อนนะครับ ขอบพระคุณมากครับ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ได้ครับ ยินดีอย่างยิ่งครับ ฝึกได้ตั้งแต่อายุน้อยนี่นับว่าเป็นวาสนาทั้งต่อตนเอง ประเทศชาติและพระพุทธศาสนาครับ

    มีคนดีมีศีลธรรมเพิ่มในสังคมหนึ่งคน

    มีคนเป็นสัมมาทิษฐิ เข้าใจในพระพุทธศาสนาหนึ่งคน

    และผู้ที่เข้าใจในสังสารวัฏฏ์เอาตัวรอดจากเครื่องล่อเครื่องยั่วยุทางโลกและเอาตัวตัวรอดจากอบายภูมิได้อีกหนึ่งคน
     

แชร์หน้านี้

Loading...