จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ
    เธอเอาธรรมะที่ไหนมาโพสต์ มาเป็นธรรมาทาน
    เพราะไม่มีที่มาที่ไป เพราะคนรู้ทางโลกมากๆ เขามักหาสิ่งที่มาที่ไปกัน

    อย่าบอกนะ เธอพูดเอง จิตพูดเอง ออกมาจากก้นบึ่งส่วนลึกข้างในสุด
    (จิตในจิต หรือสิ่งที่อยู่เหนือคำว่า จิต)
    แม้นกระทั่ง คำว่า จิต ก็มิใช่เรา ไม่ใช่ของๆเราอีกต่อไปแล้วอย่างนั้นหรือ
    อารมณ์นี้ โดยเฉพาะคำว่า อนัตตา คนธรรมดามักจะไม่พูดถึงกันหรอก
    อยากพูดนะ แต่ก็ไม่กล้าพูด เพราะกำลังใจไปไม่ถึง
    หากพูดไปก็สักแต่พูดไปงั้นๆแหล่ะ เหมือนนกแก้ว นกขุนทอง
    หากค้นหาหรือพบเจอ พี่ภูก็ขอมหาอนุโมทนาบุญด้วย..สาธุ

    เราฆราวาส มิใช่พระ หากพูดที่สาธารณะ ธรรมอันละเอียดมาก
    ปัจจัตตังมากๆ ก็ไม่ดีนัก เพราะจิตผู้อ่านมีหลายระดับ
    รู้ว่าเราไม่ได้คิดอะไร เราไม่เอาเวรกรรมกับใครแล้ว
    คือสามารถปิดประตูกรรมของตนได้เองแล้ว
    แต่ระวัง ผู้อื่นปรามาส จักเป็นการเพิ่มเวรเพิ่มกรรมให้กับคนจิตหยาบได้
    หากจิตตนละเอียดจริง ย่อมพบเห็นสิ่งที่ละเอียดก่อนผู้อื่นใดจะเห็น
    เพราะจิตละเอียดนั้น ย่อมไม่ล่วงเกินจิตผู้ใด แม้นแค่คิดก็ยังไม่คิด
    หากพูดถึงหรือลงมือกระทำก็คงไม่มีแล้ว
    หากเธอเห็นธรรมอนัตตาแล้ว จิตย่อมไม่ไหลย่อมไม่คิดล่วงเกินจิตผู้อื่นแน่
    แต่จะคิดสวนทางกลับไปหาคนอื่นซะมากกว่า เกรงใจคนอื่น เกรงคนอื่นจะมาล่วงเกินจิตตน
    หากเป็นจิตคนธรรมดา ก็จะไม่คิดจุดตรงนี้กันหรอก
    หากคิด วันนี้ไม่มีคนเห็นต่างกันมาก ไม่เบียนกายใจกันหรอก
    คิดแต่จะล่วงเกินกรรมกันในที่สุด ไม่คิดกลับหัวแบบนี้หรอก
    แค่คิดชั้นเดียวก็พอใจแล้ว คือไม่คิดจะไปเบียดเบียนหรือล่วงเกินผู้ใด
    แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ใช่ไหม
    หากจิตละเอียดขึ้นไปอีก ดันกลับไปคิดตรงข้ามกับคนธรรมดาเขาคิดกัน
    เช่น คิดจะให้ลูกเดียว แต่คนทางโลกสุดๆก็จะคิดเอาลูกเดียว กอบโกยลูกเดียว
    มาต่างกันมากนะ...ยิ่งยุคสมัยนี้ด้วยแล้ว หายากมาก
    เพราะทุกวันนี้ พวกเราก็เห็นสังคมโลก สังคมไทยเป็นยังไง
    ที่คนพูดมานี้ เมื่อก่อนเราก็ไม่ดีไปจากคนอื่นๆเขาหรอก ศีลก็ไม่รักษา บุญก็ไม่ทำ
    ทำแต่ไม่ได้คิดจะทำเอง หรือตั้งใจไปทำบุญเอง มีแต่คนชวนไปทำจึงไป
    ก็เหมือนคนทางโลกทั่วๆไป เขาทำกันเราก็ทำตามทุกอย่าง มีดีปนชั่วไป
    แต่ตอนนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ก็คือ ข้ า ง ใ น ข อ ง เ ร า เ อ ง

    ปล. ขอฝากจิตบุญท่านล่าสุด จิตคลื่นลูกใหม่ไฟแรงดีจริงๆ
    ดีแล้วๆ พระชอบ พระพุทธเจ้าก็ชอบ
    จะได้มีกำลังช่วยหนุนกำลังใจของผู้คนที่ยังอ่อนอยู่
    พากันปฎิบัติเพื่อ ม ร ร ค ผ ล นิ พ พ า น ต่อไปฯ
    เพราะคนทางโลกนั้น เหมือนผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็น ว่ายไม่แข็ง
    คือยังว่ายทวนกระแสกิเลสแห่งตนไม่ได้
    เพราะด้วยสติปัญญา หรือกำลังใจยังมีไม่มาก นั่นเอง
    อนาคตกาล เธอผู้นี้ จักเป็นตัวแทนบบ.
    จะช่วยขนดวงจิตออกจากกาย ออกจากทุกข์ ออกจากวัฎฎะได้
    เพราะเธอได้เชือกดึงจิตผู้อื่นแล้ว
    ดูสิว่า กำลังหรือแรงดึงของเธอนั้น มากน้อยเพียงใด
    ก็อยู่ที่บุญหรือบารมีของเธอคนนี้แล้ว
    ขอให้พวกเราจดจำชื่อนี้ไว้ให้ดี Nooboonsawan
    เดี๋ยวจะมีคนชื่อ boonnippan อีกท่านนึง
    ตอนนี้บุญบารมีของท่านใกล้แล้วๆ
    คอยติดตามกันดูนะว่า ท่านจะมาช่วยอะไรบ้าง
    อย่าเพิ่งติดว่ามาช่วยเป็นครูสอนจิตเกาะพระ
    แต่ให้คิดว่าช่วยเพื่อพระพุทธศาสนา
    หรือเป็นตัวแทนพระพุทธองค์อย่างไร
    โปรดติดตามตอนต่อไปฯ สาธุ

     
  2. degba4567

    degba4567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +348
    อยากฝึกจิตเกาะพระครับ ทำไง
     
  3. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    อ้อ กำลังฝึกอยู่เหรอคะ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ ข้อกังขาของน้องมีคำตอบแล้วค่ะ อยู่ด้านล่างข้อความของน้องค่ะ
     
  4. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ยินดีต้อนรับและขออนุโมทนาด้วยค่ะ บุญบารมีที่น้องสั่งสมมาส่งเสริมแล้วค่ะ โปรดรอสักพักเล็กๆนะคะ เดี๋ยวคุณครูเกษจะมาทักทายรับตัวค่ะ(kiss)
     
  5. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    อนุโมทนา กับหนู Nooboonsawan
    และหนู boonnippan ค่ะ แล้วติดตามตอนต่อไปนี่ ตอนต่อไปจะออกอากาศเมื่อไหร่เหรอคะคุณภู :z1
     
  6. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    คุณพี่ลินดาขา...สำหรับน้องนางเอง ก็ใช่ว่าจะรับได้ง่ายๆ กว่าจะรับได้ ต้องเพียรมากเหมือนกันค่ะ แต่ก็ต้องรับให้ได้ต่อเนื่องด้วยน่ะค่ะ ฉะนั้น ถ้าน้องทำได้ คุณพี่ลินดาที่เป็นจิตบุญแล้ว ก็ย่อมรับได้เช่นกันค่ะ สู้ สู้ สู้ สู้โว้ย...:cool:
     
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีและยินดีต้อนรับเช่นกันค่ะ คุณdegba4567 ถ้าอยากฝึกก็ลองติดต่อเข้ามาที่เมล์ Jaideejang_55@hotmail.com ค่ะ...แล้วเรามาดูกันค่ะว่า กำลังใจของคุณจะผ่านแบบสอบถามเบื้องต้นมั้ย จิตเกาะพระนิพพาน ไม่ใช่ใครๆ จะอยากลองของกันได้ง่ายๆ น่ะ (ไม่ได้ขู่น่ะ เพราะเห็นหายไปหลายรายล่ะ) ใครเข้ามาเรารับไว้หมดแร๊ะ...แต่จะฝึกได้ไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับกำลังใจของผู้ฝึกเองน่ะ อีกอย่าง...ถ้าเป็นสายบุญเดียวกันก็คงพอจะเกื้อกูลกันได้ตลอดรอดฝั่งน่ะ

    โมทนาสาธุ
    ครูเกษ
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    โมทนาสาธุกับคุณพี่พอใจค่ะ ต่อไปคงจะได้เจอคุณพี่พอใจในกระทู้บ่อยขึ้นน่ะค่ะ ^_^

    คุณพี่ลินดา ได้เป็นย่าเล็กแล้ว
    คุณพี่พอใจ ได้เป็นคุณยาย(ย่า)แล้ว
    ส่วนเราก็....ได้เป็นคุณป้าแล้วเหมือนกัน

    มันยุ่งจริงๆ หน๋อ...สมมุติทางโลกนี้หน๋อ...ไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น...ไม่อยากมีก็ต้องมี เหอะๆๆ...เจ้าหลานชายตัวน้อยๆ นี้ ตั้งแต่เกิดมา ทำให้คุณป้ายิ่งเห็นธรรมมะความจริงจากของจริง(ไม่ได้มโน)เยอะมากๆ อยากจะเขียนก็ยังไม่มีเวลาได้เขียน...เดี๋ยวคุณพี่ลินดาจะมาทวงอ่านอีกมั้ยเนี่ย อิๆๆ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 เมษายน 2014
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ถ้าเปรียบน่ะ ตอนนี้คุณก็เหมือนทำงานอาชีพขับรถมอร์ไซด์รับจ้าง ที่อยากจะได้บ้านหลังราคา 10 ล้าน ถ้าเป้าหมายคุณไม่เปลี่ยน คุณก็ต้องเปลี่ยนอาชีพ หรือหาอาชีพเสริม หรือ ทำยังไงก็ได้ ที่จะทำให้คุณมีรายได้เพิ่มขึ้นมามากพอที่จะสามารถซื้อบ้านหลังราคา 10 ล้านบาทได้ ภายในกี่ปี คุณก็ไปลองคำนวณดูเอาเองก็แล้วกัน....

    ท่านนี้น่ะ มีครบเกือบหมดทุกอย่างที่เป็นพื้นฐานการปฏิบัติ แต่ขาดอย่างเดียว((ดั๊นมาขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดซะด้วยซิ)) คือ กำลังใจแห่งตน

    เอ...รึว่าจะเอามาเรียนบนหน้ากระทู้ดีค่ะเนี่ย จะได้ให้คุณครูท่านอื่นๆ ช่วยยำ เอ๊ย..ช่วยสอน และให้กำลังใจกันได้ด้วยอีกแรง อิๆๆ

    กรรมของหนูเองค่ะ...ก็ในเมื่อท่านพี่ภู พูดจนปากจะฉีกถึงหูกับหนูเท่าไร...ก็ทำให้หนูพูดจนปากจะฉีกถึงใบหูเหมือนกัน เมื่อพูดกับลูกศิษย์อีกหลายๆ คน...5555

    อ้อ...แล้วอีกอย่างน่ะ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบการปฏิบัติกับใครเค้าหรอก เพราะต่างคนต่างที่มา ต่างกรรม ต่างวาระ ที่เราเห็นบางคนเค้าทำได้ง่ายๆ นั้นน่ะ เราไม่รู้หรอกว่า ภพชาติก่อนๆ ที่ผ่านๆมา เค้าอาจจะปฏิบัติมามาก ทำสะสมมาได้มากแล้วก็ได้ ถึงส่งผลมาให้ชาตินี้ เค้าถึงปฏิบัติได้ง่าย เร็วและไว ที่เรายังต้องทำให้มากอยู่นั้น แสดงว่า เรายังเลวอยู่มาก เรายังไม่ดีพอ เราทำดีแต่ยังไม่ถึงดีต่างหากเล่า

    และอีกอย่างที่สำคัญมากคือ บุญเกิดขึ้นที่จิตน่ะอย่าลืม บุญไม่ได้เกิดขึ้นที่กาย ไม่ใช่พากายทำมากๆ แต่จิตไม่เป็นบุญเลย เพราะถึงจะทำมากก็ไร้ประโยชน์น่ะจ๊ะ


    โมทนาสาธุ

    ครูเกษ

    ลูกขอน้อมจิตก้มลงกราบแทบฝ่าพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านปู่สมเด็จองค์ปฐม
    ท่านพ่อพระสมณโคตม พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกๆ องค์
    กราบ กราบ กราบ _/l\__/l\__/l\_ สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 เมษายน 2014
  10. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    ..
    ..ผมนั่งดูการ์ตูน ประวัติพระพุทธเจ้า..
    ..มีหลายช่วงหลายตอน ที่ผมนั่งร้องไห้ไปกับการปฏิบัติของพระองค์.
    ..ไม่ว่าจะดูกี่ครั้ง ผมก็ยังร้องไห้ตาม
    ..บอกไม่ถูกรู้แต่ว่า ผมรักพระพุทธเจ้า แค่นั้น..
    ..
    ..
    ..ขอบคุณครูเกษมากๆครับ..
    ..สาธุๆๆๆ พูดถึงความดีของพระพุทธเจ้าแล้วผม ชอบน้ำตาไหล..
    ..เหมือนเวลาที่พูดถึงในหลวงเหมือนกัน ผมชอบน้ำตาคลอ
    .
    ..รู้แต่ว่า รักท่านเหลือเกิน ท่านเหมือนพ่อที่แท้จริงอีกองค์
    ..ขอไปเช็ดน้ำตาก่อนนะครับ+5555
    .
    ..พรุ่งนี้มาเจอกันใหม่
    ..ขอบคุณทุกๆท่านที่มาแนะนำ มาสอน..
    ..ลูกศิษย์คนนนี้จะพยายามฝึกครับ..
    ..อิอิ..ผ่านมาหลายเดือนแระ ยังไม่ได้ไรกับเค้าเยย อึอึ..
    หนีไปกลับบ้านก่ินดีกว่า..+555
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะ พุทธะ -ความสุขสองประการ - YouTube

    ฟังให้ได้นะ
    ความสุขแบบไหน ที่เราอยากได้ อยากมี
    สำหรับผู้ที่อยากพ้นคำว่า สุขหรือทุกข์นั้น ต้องลงมือปฎิบัติธรรม
    เราจะได้มีสติมีปัญญาในการละปล่อยวาง
    ปฎิบัติเพื่อหลุดพ้น มิใช่ ปฎิบัติเพื่อละหยาบ แต่จะไปเอาอัตตาละเอียดกันเข้ามาอีก
    โมทนาสาธุ

     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะ พุทธะ - แก่นธรรมในพระพุทธศาสนา - YouTube

    ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น
    ไม่สามารถรู้และเข­้าใจจาก

    สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา หรือการ คิด ฟัง อ่านและจินตนาการเอาเอง

    แต่ต้องรู้และเข้าใจจากภาวนามยปัญญาเท่านั­้น

    คือต้องเกิดจากการลงมือปฏิบัติภาวนา
    ดังนั้นในแก่นธรรมจริงๆนั้นท่านสอนให้เราอ­อกจากสังสารวัฏให้ได้
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713




     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เพราะสมาธิเป็นคุณในทางหนึ่ง ปัญญาเป็นคุณในทางหนึ่ง ถ้าจะปล่อยให้ดำ

    เนินในทางปัญญา โดยถ่ายเดียวก็ผิดเพราะไม่มีสมาธิเป็นเครื่องหนุน ยิ่งถ้าให้ปล่อยให้

    ดำเนินไปในทางสมาธิถ่ายเดียวแล้ว ยิ่งเป็นการผิดมากกว่าทางด้านปัญญา เมื่อสรุปความ

    ลงแล้ว คุณธรรมทั้งสองประเภทนี้เทียบกันได้กับแขนซ้ายแขนขวา เท้าซ้ายเท้าขวาของ

    คน...คนคนหนึ่งเดินเหินไปไหนมาไหน และทำกิจการอะไรเท้าและแขนทั้สองเป็นสิ่งที่จำ

    เป็นสำหรับคนคนนั้น เรื่องของสมาธิกับเรื่องของปัญญาก็มีความจำเป็นเช่นเดียวกัน ถ้าเรา

    จะเห็นเสียว่าสมาธิดีกว่าปัญญา หรือปัญญาดีกว่าสมาธิแล้ว คนคนนั้นควรจะมีเพียงขา

    เดียว แขนเดียว ไม่มีสองแขนเหมือนอย่างคนอื่น ๆ ก็เรียกว่าเป็นคนแปลกจากโลกเขา

    ...คนที่ทำตัวให้แปลกจากธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน

    คือตำหนิปัญญาชมเชยสมาธิบ้างตำหนิสมาธิชมเชยปัญญาบ้างอย่างนี้ที่ถูกขณะที่เราจะ

    ทำสมาธิก็ต้องเป็นหน้าที่ของสมาธิ และเป็นประโยชน์ในสมาธิจริง ๆ เวลาจะพิจารณาทาง

    ปัญญาและเห็นประโยชน์ในด้านปํญญาจริง ๆ ต่างพักไว้ในการอันควรไม่ให้สับสนระคนกัน

    เช่นเดียวกับเท้าทั้งสอง...เมื่อเท้าขวาก้าวไป เท้าซ้ายต้องหยุด เมื่อท้าวซ้ายก้าวไปท้าว

    ขวาต้องหยุดไม่ใช่จะก้าวไปพร้อม ๆ กัน เพราะเหตุนั้น สมาธกับปัญญาต่างก็มีกำลังเพียง

    พอ เพราะการฝึกฝนเป็นคู่เคียงกันมาสมาธกับปัญญาจึงก้าวไปพร้อม ๆ กันไม่ใช่จะ

    เปลี่ยนกันรบและเปลี่ยนกันรับอย่างนั้นเสมอไป...เช่นเดียวกับแขนซ้ายแขนขวาทำงาน

    ร่วมกันฉนั้น เมื่อมีสมาธิจึงจะเกิดปัญญา เมื่อแขนขวา แขนซ้าย เท้าขวาเท้าซ้ายทำงาน

    ร่วมกันสิ่งเหล่านั้นจึงจะสำเร็จ..พระธรรมคำสั่งสองขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    ...น้อมกราบพระธรรมขององค์หลวงตามหาบัว เพื่อนำมาปฏิบัติตามเจ้าค่ะสาธุๆๆๆ
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับธรรมของแม่นีด้วยครับ
    ผมอ่านดูแล้ว จิตสัมผัสรู้สึกจิตแม่นีทันทีเลย
    กายหยาบมันจะเป็นอะไร เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน นำซึ่งไปสู่เสื่อมหรือดับสลายไปในที่สุด
    ธรรมตรงนั้น ไม่สำคัญเท่ากับจิตของเราเอง
    แต่จิตของเราเอง ตอนนี้ หรือปัจจุบันได้ เป็นเช่นไร
    คอยดูอารมณ์ใจตนเข้าไว้ อย่าให้มีอารมณ์ใดๆเข้ามาทำร้ายจิต เช่น ความเศร้าหมอง หดหู่ใจ เป็นต้น
    มิใช่ให้เราไปห้ามอารมณ์ที่จะเข้ามาในจิตตน แต่ให้เรามีสติปัญญา รู้เท่าทันกับสิ่งมากระทบจิตตน
    จิตใจของเราภายในปรกติไหม หมายถึง จิตใจของเรามันยอมรับกฎธรรมดาไหม๊
    หากยอมรับกฎธรรมดาได้ แสดงว่า จิตเรารอดแล้ว
    เมื่อรอดแล้ว อย่าสนใจอารมณ์ต่างๆ แต่อยากให้เราทำตรงข้ามกับสิ่งที่กำลังรับรู้นี้
    นั่นก็คือ ทรงเอกัคคตารมณ์ หรือทำจิตให้เป็นหนึ่งเดียว เท่านั้น
    กำหนดรู้หรือ พยายามเป็นผู้ดู ผู้รู้ ผู้วาง ผู้เฉย(สังขารุเบกขาญาณ)
    แล้วให้จิตจำอารมณ์นิพพาน คือ ไม่มีอารมณ์ใดๆ ไม่เอาอารมณ์ใดๆ
    สุขทุกข์ หรือ พอใจไม่พอใจ เป็นต้น
    คอยดูอารมณ์ต่างๆเหล่านี้ มันยังมี มันยังเกิดที่จิตของเราไหม๊
    หากอารมณ์ใดๆไม่มีผลต่อจิตแล้ว ยอมรับกฎธรรมดาได้หมดแล้ว
    ต่อไปให้จดจำหรือเราคือ อารมณ์นิพพาน เป็นต้น
    ที่เหลือ อย่าลืม นำจิตไปเกาะ ไปยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งสูงสุดของจิตใจของเรา
    ไปจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน ไปจนกว่าจะดับขันธ์
    มันจะดับตอนไหนก็ช่างมัน เพราะเรารู้อยู่แก่ใจของเราดีอยู่แล้วว่า..
    มันดับแน่ และทุกขันธ์หรือทุกคนก็เป็นเช่นนี้ เหมือนกันทั้งหมด
    กายดับ แต่จิตไม่ดับ และผู้ที่จะไปต่อ นั่นก็คือ จิตเราเอง
    แต่ก่อนขันธ์๕จะดับลง ขออย่างนึงจะได้ไหม คือ
    ดับไม่เหลือ คๆำนี้ แม่นีพอจะเข้าใจไหม
    คือการดับอารมณ์ในจิตของตนให้จงได้
    หากดับอารมณ์ตรงนี้ได้ ก่อนขันธ์มันจะดับลงไป
    คุณแม่มานี ไปดั่งพระตถาคตเจ้า พระอรหันตเจ้า อย่างแน่นอน

    ปล.ดับไม่เหลือ คือดับภพ ดับชาติ ไม่ต้องกลับมาเกิดหรือมีขันธ์๕อีก ต่อไป
    การดับนี้ ไม่เหมือนการดับไฟ คือการเอาน้ำไปดับไฟ
    แต่การดับนี้ จะหมายถึง การอยู่เหนือรูป-นาม
    โดยเฉพาะ อยู่เหนือคำว่า สังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์
    ดังที่เคยกล่าวมานานแล้ว แต่ไม่รู้ใครจะสนใจบ้าง..สาธุ

    คำแนะนำเฉยๆ มิได้มีเจตนาสอนสั่งแต่อย่างใด
    เพราะเห็นว่ามีประโยชน์มากที่สุด ในขณะนี้ นอกนั้น ไม่มีเลย ว่างเปล่า
    เพราะเราเป็นผู้ที่ ไม่มีอะไร จริงๆ ก่อนเกิดมาเราก็มาแต่ผู้เดียว
    แต่พอจะไปก็จะไปแต่เพียงผู้เดียวอีก จงพิจารณาธรรมนี้กันให้ดีๆ

    นาทีทองนี้ ไม่มีธรรมอันใดสำคัญเลย นอกจาก จิตตนเอง
    คืออยู่เหนือคำว่ารูป-นามตนเอง เฝ้าดูอารมณ์ใจเป็นหนึ่งเดียวหรือไม่
    แม่นีปฎิบัติมาถึงตรงนี้ได้ ไม่ธรรมดาแล้ว ขนาดจิตของเราก็ไม่ใช่ ทิ้งให้หมด
    เพราะจิตนี้แล เป็นตัวก่อภพ ก่อชาติ
    จิตของคนเรานี้ เปรียบเสมือนเมมเมอรี่
    เป็นตัวฝังกรรมดีหรือกรรมไม่ดีทุกอย่าง ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่

    ขอให้แม่นีสุขกายสบายใจ เจริญในธรรมมรรคผล มีนิพพานเป็นที่สุด
    ตามที่ท่านปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ..สาธุ

    ขอจิตบุญทุกท่าน ส่งกำลังใจให้แม่นีด้วยเถิด..สาธุ

    ยังรักเมตตา ระลึกถึงและห่วงใยเสมอ
    ภูทยานฌาน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 เมษายน 2014
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    *** หลวงปู่มั่นสอนชาวเขา ตามหาดวงพุทโธ ***

    หลวงปู่มั่น กับ ชาวเขา

    (เกร็ด ประวัติตอนนี้เป็นช่วงที่หลวงปู่มั่นได้ธุดงค์ไปในแถบจังหวัดเชียงใหม่ และได้พบกับชาวเขากลุ่มหนึ่ง)

    ทั้งนี้ท่านเคยเล่าให้ฟังเวลาท่านไป พักอยู่กับพวกชาวเขา ซึ่งไม่เคยเห็นพระสงฆ์เป็นส่วนมาก นอกจากผู้มีโอกาสได้ลงมาเมืองหรือหมู่บ้านที่มีพระสงฆ์ถึง
    จะมีโอกาสได้เห็นบ้าง ขณะท่านไปถึงทีแรกสององค์ด้วยกัน ก็พากันพักอยู่ชายภูเขา ห่างจากหมู่บ้านชาวเขาราวสองกิโลเมตร พักอยู่ร่มไม้ธรรมดาตอนเช้าพากัน เข้าไปบิณฑบาต คนชาวเขาเห็นท่านเข้าไปบิณฑบาต

    เขาก็ถามท่านว่า "ตุ๊เจ้ามาธุระอะไร"
    ท่านก็บอกว่ามา "บิณฑบาต"
    เขาถามว่า "มาบิณฑบาตอย่างไร?" เพราะพวกเขาไม่เข้าใจ
    ท่านบอกว่า "บิณฑบาตข้าว"
    เขาถามว่า "ข้าวสุกหรือข้าวสาร"
    ท่านบอกว่า "ข้าวสุก"

    เขาก็บอกกันให้หา ข้าวสุกมาใส่บาตรท่าน ได้แล้วก็กลับมาที่พัก และฉันแต่ข้าวเปล่าๆ อยู่นานขณะไปพักอยู่ที่นั้น ทีแรกชาวบ้านเขาไม่มีความเลื่อมใสและไว้วางใจท่านเลย ตกกลางคืนหัวหน้าบ้านตีเกราะนัดให้ชาวบ้านมาประชุมรวมกัน และประกาศว่าขณะนี้มีเสือเย็นสองตัว (หมายถึงท่านอาจารย์กับพระที่อยู่ด้วยกันสององค์) มาพักอยู่ในป่าแห่งนั้นจะเป็นเสือเย็นประเภทใดก็ยังทราบไม่ได้ พวกเราไม่ไว้ใจเสือเย็นสองตัวนั้น จึงห้ามไม่ให้เด็กและผู้หญิงเข้าไปในป่านั้น แม้ผู้ชายจะไปก็ควรมีพวกมีเพื่อน และมีเครื่องมือติดตัวไปด้วย ไม่ควรไปคนเดียวและไปแต่ตัวเปล่าๆ เดี๋ยวเสือเย็นสองตัวนั้นเอาไปกินจะว่าไม่บอก

    ขณะที่เขากำลังประชุม ประกาศเรื่องเสือเย็นให้ชาวบ้านทราบ ก็เป็นเวลาที่ท่านอาจารย์กำลังเข้าที่ภาวนาอยู่พอดี เรื่องที่เขาประกาศให้ชาวบ้านทราบทั้งหมด จึงเป็นเหมือนประกาศ ให้ท่านซึ่งกำลังตกอยู่ในคำกล่าวหาว่าเป็นเสือเย็นทราบด้วยโดยตลอด

    ท่านเกิดความสลดสังเวชใจอย่างยิ่งที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่า ตนจะเป็นพระประเภทเสือเย็นดังคำกล่าวหา ขณะนั้นแทนที่ท่านจะโกรธและเสียใจในคำกล่าวหาของเขา แต่กลับเกิดความเมตตาสงสารเขาอย่างบอกไม่ถูก กลัวเขาผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็มีจำนวนมากจะพลอยเชื่อตามคำเหลวไหลนั้น และพลอยเป็นบาปกรรมไปตามๆกัน เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้ว เขาจะไปเกิดเป็นเสือกันทั้งบ้าน


    พอตื่นเช้าท่านก็รีบบอกกับพระที่อยู่ด้วยว่า คืนนี้พวกชาวบ้านเขาประชุมประกาศกันว่า เราทั้งสององค์เป็นเสือเย็นที่ปลอมแปลงตัวเป็นพระมาหลอกลวงอย่างแยบยลลึกลับ เพื่อให้เขาตายใจเชื่อ แล้วกลับทำลายชีวิตและทรัพย์สินเขาด้วยวิธีต่างๆ ฉะนั้น เขาจึงไม่เลื่อมใสและไว้ใจพวกเราทั้งสองเลย

    เวลานี้หากว่าเราทั้งสองหนีไปจากที่นี่เสียในเวลาที่เขากำลังคิดไม่ดีอยู่ขณะนี้ เวลาเขาตายไปจะพากันไปเกิดเป็นสัตว์เป็นเสือกันทั้งบ้าน ซึ่งนับว่าเป็นกรรมแก่เขาไม่เบาเลย เพื่อความอนุเคราะห์เขาซึ่งควรแก่สมณะกิจพอทำได้จึงควรอดทนอยู่ที่นี่ไปก่อน แม้จะทุกข์ลำบากก็พยายามอดทน ไปจนกว่าเขาจะพากันกลับใจได้ แล้วจะไปที่ไหนค่อยไปกัน

    ดังนี้นอกจากเขา ไม่ไว้ใจและเลื่อมใสแล้ว พวกผู้ชายยังพากันมาคอยสังเกตการณ์ตามสถานที่ที่ท่านพักอยู่บ่อยๆ ครั้งละ ๓-๔ คน โดยมีเครื่องมือติดตัวมาด้วย มายืนลอบๆมองๆ อยู่แถวบริเวณใกล้ๆบ้าง มายืนอยู่ข้างทางจงกรมบ้าง มายืนอยู่ที่หัวจงกรมบ้าง มายืนอยู่กลางทางจงกรมบ้าง ในเวลาท่านกำลังเดินจงกรมทำความเพียรอยู่ ต่างคนต่างจ้องและสอดส่ายสายตามองมายังท่านและเหลือบมองไปรอบๆบริเวณ

    เขาใช้เวลาสังเกตการณ์ด้วยความไม่ไว้ใจอยู่ทำนองนั้น นานประมาณครั้งละ ๑๐ นาทีบ้าง ๑๕ นาทีบ้าง แทบทุกวัน และไม่พูดจาไต่ถามอะไรกับท่านในระยะเริ่มแรก แล้วก็พากันกลับไป วันหลังได้โอกาสก็พากันมาใหม่ เขาใช้เวลาสังเกตท่านอยู่นานวันพอสมควร ส่วนอาหารปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นอยู่หลับนอนของพระเสือเย็นทั้งสองตัวจะขาด ตกบกพร่องหรือจะเป็นจะตายอย่างไรบ้างนั้น เขามิได้พากันสนใจคิดและขวนขวายกันเลย

    ฉะนั้นการเป็นอยู่ของท่านทั้งสองที่เขาให้นามว่า เสือเย็น จึงลำบากอัตคัดมาก อาหารบิณฑบาตอย่างมากก็ได้ข้าวเปล่า ๆ มาฉัน บางวันรวมทั้งฉันน้ำด้วยก็อิ่มพอเบาะ ๆ บางวันรวมทั้งฉันน้ำก็ไม่พอ ที่อยู่หลับนอนก็อาศัยโคนไม้เป็นประจำ ทั้งแดด ทั้งฝนก็ทนเอา เพราะที่นั้นไม่มีถ้ำ หรือเงื้อมผาพอได้อาศัยถ้าฝนตกชุกมาก

    ในบางวันตกทั้งวัน พอฝนเบาลงบ้างก็พยายามเที่ยวเก็บใบไม้แห้ง หญ้าแห้งมาทำเป็นจากมุงพอบังแดดบังฝนไปพลาง พอประทังชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยความทุกข์ลำบากมากมายขณะฝนตกก็เข้าหลบซ่อนอยู่ในกลดในมุ้ง พอบรรเทาความหนาว เวลาลมพัดจากภูเขามาอย่างแรงฝนก็สาด กลดก็จะปลิวหลุดมือ องค์ท่านและบริขารก็เปียกตัวสั่น เหมือนลูกนกลูกกา ถ้าเป็นตอนกลางวันก็พอทำเนา มองเห็นที่ไปที่หลบซ่อนและที่เก็บบริขารต่าง ๆ บ้าง

    แต่ฝนตกเอาตอนกลางคืนรู้สึกลำบากมาก ตาก็มองไม่เห็นอะไรทั้งฝนกระหน่ำลง ลงกระหน่ำมาประดังกัน กิ่งไม้ที่ถูกลมพัดอย่างแรงต่างก็ขาดตกลงข้างหน้า ข้างหลังตูมตาม ๆ ไม่แน่ใจว่าชีวิตจะต้านทานฝน ต้านทานลม ต้านทานความเหน็บหนาว หรือจะต้านทานกิ่งไม้น้อยใหญ่ที่หักตกลงและโหมกันมาจากทิศต่างๆ ในขณะนั้น เมื่อชีวิตยังอยู่ก็ทนกันไป ร้อนก็ทนไป หนาวก็ทนไป หิวก็ทนไปกระหายก็ทนไป อดบ้างอิ่มบ้างก็ทนไป จนกว่าจะหมดกลิ่นแห่งความระแวงสงสัยของชาวบ้าน ที่หวาดระแวงต่อท่านว่าเป็น เสือเย็นคอยหลอกลวงกินเนื้อกินหนังเขา

    การขบฉันแม้เพียงข้าวเปล่า ๆ ก็อดมื้อ อิ่มมื้อ สิ่งอื่นนั้นไม่จำต้องพูดถึงว่าเขาจะมีความสนใจไยดีให้ท่าน ที่พักที่อยู่ก็แบบคนอนาถาหา ที่เกาะที่พึ่งไม่ได้เราดี ๆ นี่เอง น้ำก็หิ้วกาน้ำลงไปในคลองซึ่งอยู่ตีนเขา กรองให้เต็มกาแล้วก็หิ้วขึ้นมาฉันมาใช้ หลังจากสรงเสร็จแล้ว แต่ทำความเพียรสะดวกดีมากหมดกังวลทุกด้านไม่มีอะไรเกาะเกี่ยว ตอนกลางคืนยามดึกสงัดทำภาวนาฟังเสียงเสือกระหึ่มไปมาทีละหลายๆ ตัว ใกล้ๆ บริเวณที่ท่านพักใต้ร่มไม้ แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งที่เสือไม่เข้ามาหาท่านเลย ล้วนเป็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนทั้งนั้น


    ท่านว่าท่านเพลิดเพลินไปกับเสียงสัตว์ชนิดต่างๆ แต่บางทีเสือก็เข้ามาหาท่านและลูกศิษย์ท่านเหมือนกัน เขาคงสงสัยว่าเป็นสัตว์ซึ่งควรจะเป็นอาหารได้บ้าง แล้วแอบเข้ามาดู พอคนกระดุกกระดิกขึ้น เขาร้องโก้ก พร้อมกับกระโดดเข้าป่าไป วันหลังไม่เห็นเขามาหาอีกเลย พอตกบ่ายๆ ก็มีชาวบ้านราว ๓-๔ คน ออกมาสังเกตการณ์แทบทุกวัน แต่เขาไม่พูดจาอะไรกับท่าน ท่านก็มิได้สนใจกับเขา เฉพาะพวกเขาเอง บางครั้งมีการพูดกระซิบกระซาบกัน

    ขณะที่พวกเขามาที่นั่น ท่านกำหนดจิตดูจิตใจเขาที่คิดปรุงอยู่ทุกขณะ และทุกเวลาที่เขามา ส่วนพวกเขาเองก็คงไม่สนใจคิดว่า ท่านจะรู้เรื่องความคิดปรุงทางใจตลอดคำพูดเขาที่ระบายออกจากใจผู้บงการอะไรเลย คงเข้าใจว่าตนมีความลับที่ไม่มีใครสามารถสอดรู้อยู่ภายใน จึงสนุกคิดเรื่องต่าง ๆ อย่างเพลินใจ ซึ่งโดยมากก็เป็นความคิดคอยจับผิดท่านอยู่ภายใน

    ท่านกำหนดดูใจของใครของใครที่มาด้วยกันกี่คน ก็มีความรู้สึกนึกคิดที่คอยจับผิดอยู่ภายในเช่นเดียวกันหมด สมกับเขาประกาศสั่งพวกเขาให้มาสังเกตุการณ์จริง ๆ ท่านเองแทนที่จะคิดระวังตัวกลัวเขาจะจับผิด แต่กลับคิดสงสารเขาเป็นกำลัง ว่าคนในบ้านนั้นมีไม่กี่คนที่เป็นผู้ชักนำชาวบ้าน ซึ่งมีหลายคนให้เห็นผิดไปด้วย ท่านพักอยู่ที่นั้นเป็นเดือนๆ ยังไม่เห็นเขาลดละความพยายามคอยจับพิรุธความผิดพลาดท่าน พวกใดมาหาล้วนมีความจ้องมองหาแต่ความผิดกับท่านเช่นเดียวกัน

    ท่านว่าเขาช่างพยายามเอาเสียจริง ๆ แต่ยังดีอยู่อย่างหนึ่งที่เขาไม่พร้อมใจ กันมาขับไล่ท่านให้หนีจากที่นั้น เป็นเพียงจัดวาระกันมาควบคุมโดยทางลับเท่านั้น เมื่อท่านอยู่นานไป ทั้งพวกเขาก็มาสังเกตดูอยู่หลายครั้ง เฉพาะพวกหนึ่ง ๆ ยังไม่อาจจับความเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดท่านได้ เขาคงแปลกใจอยู่มาก ในเวลาต่อมา คืนวันหนึ่งท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ ได้ยินหรือทราบขึ้นในใจว่า หัวหน้าบ้านประชุมสอบถามผลของการสังเกตการณ์ ว่าได้ผลคืบหน้าไปเพียงใดบ้าง

    ชาวบ้านบรรดาที่มาสังเกตุให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีผลอะไรตามความคิดเห็นของพวกเราที่คิดกันไป ทำอย่างนั้นดีไม่ดีน่ากลัวจะเป็นโทษมากกว่าผลที่คาดกันผู้สงสัยซักขึ้นทำไมว่าอย่างนั้น เขาตอบกันว่าก็เท่าที่สังเกตดูแล้ว ตุ๊เจ้าสองตนนั้น ไม่เห็นมีกริยาท่าทางใดๆ ที่เป็นไปดังที่พวกเราคาดกัน ไปสังเกตดูทีไรก็เห็นแต่ท่านนั่งหลับตานิ่งอยู่บ้าง ท่านเดินกลับไปกลับมาในท่าสำรวม ไม่มองโน้นมองนี้อย่างคนทั่วๆไปบ้าง คนที่จะเป็นเสือเย็น ตั้งท่าคอยฉีกสัตว์กัดคนคงไม่ทำอย่างนั้น ต้องมีอาการแสดงออก ให้พอจับได้บ้าง แต่ตุ๊เจ้าสองตนนี้ไม่มีกริยาเช่นนั้นแฝงอยู่บ้างเลย

    ถ้าขืนไปทำอย่างที่พากันทำอยู่ทุกวันนี้ จึงน่ากลัวเป็นบาป ทางที่ถูกควรไปศึกษาไต่ถามท่านดูให้รู้เหตุผลต้นปลายก่อน อยู่ๆ ก็ไปเหมาว่าท่านไม่ดี เอาเลยตามความคิดเห็นเฉย ๆ อย่างนี้น่ากลัวเป็นบาปบรรดา พวกที่ไปสังเกตท่านมาแล้ว พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านเป็นตุ๊เจ้าดียากจะหาได้ พวกเราก็เคยเห็นตุ๊เจ้ามาบ้างพอจะรู้ของดี ของไม่ดี บางรายก็ว่าเคารพเลื่อมใสท่านมากกว่าจะคิดแส่หาโทษท่าน ถ้าอยากทราบรายละเอียดก็ควร ไปศึกษาไต่ถามท่านดูบ้างว่า การนั่งหลับตานิ่งๆ ก็ดี การเดินกลับไปกลับมาก็ดี ท่านนั่งเพื่ออะไร และท่านเดินหาอะไร

    ท่านว่าสุดท้ายแห่งการประชุมของชาวป่าได้ความว่า ให้คนไปไต่ถามท่านดูตามที่ ตกลงกัน ตื่นเช้ามาท่านก็พูดกับพระที่อยู่ด้วยว่า เขาเริ่มกลับใจมาทางดีแล้ว คืนนี้เขาประชุมกันเกี่ยวกับการมาสังเกตดูพวกเรา ตกลงกันว่าจะจัดให้คนมาไต่ถามข้อข้องใจกับพวกเรา พอวันหลังตอนบ่าย ๆ เขาพากันมาจริงๆ ดังที่รู้ไว้ ในจำนวนที่มามีคนหนึ่ง

    ถามขึ้นว่า "ตุ๊เจ้านั่งหลับตานิ่ง ๆ และเดินกลับไปกลับมานั้น ตุ๊เจ้านั่งและเดินหาอะไร"

    ท่านตอบเขาว่า "พุทโธเราหาย" เรานั่งและเดินหา "พุทโธ"

    เขาถามท่านว่า "พุทโธเป็นตัวอย่างไร พวกเราจะช่วยตุ๊เจ้าหาได้ไหม ?

    ท่านตอบว่า "พุทโธเป็นดวงแก้วอันประเสริฐเลิศโลกในไตรภพ เป็นดวง
    ฉลาดรอบรู้ทั่วไตรโลกธาตุ ถ้าสูจะช่วยเราหาก็ยิ่งดีมาก จะได้เห็นพุทโธเร็ว ๆ ง่าย ๆ ด้วย (สูเป็นคำที่ชาวเขานับถือกันว่าดีมากสนิทกันมาก)"

    เขาถามว่า "พุทโธตุ๊เจ้าหายมานานแล้วหรือ?"

    ท่านตอบว่า "ไม่นาน ถ้าสูช่วยหาให้ยิ่งจะพบเร็วกว่าเราหาเพียงคนเดียว"

    เขาถามว่า "พุทโธเป็นดวงแก้วใหญ่ไหม?"

    ท่านตอบว่า "ไม่ใหญ่ไม่เล็ก พอดีกับเราและกับพวกสูดีๆ นี่เองใครหาพุทโธพบ คนนั้นประเสริฐ มองเห็นอะไรได้ตามใจหวัง"

    เขาถาม "มองเห็นนรกสวรรค์ได้ไหมตุ๊เจ้า ?"

    ท่านตอบว่า "มองเห็นซิ ไม่เห็นจะว่าประเสริฐได้อย่างไร"

    เขาถามว่า "ลูกเมียผัวตายมองเห็น ได้ไหมตุ๊เจ้า?"

    ท่านตอบว่า "เห็นหมด ถ้าต้องการอยากเห็น เมื่อได้พุทโธแล้ว"

    เขาถาม "สว่างมากไหม?"

    ท่านตอบว่า "สว่างมาก ยิ่งกว่าพระอาทิตย์ตั้งร้อยดวงพันดวง เพราะ
    พระอาทิตย์ไม่สามารถส่องเห็นนรกสวรรค์ได้ แต่ดวงพุทโธสามารถส่องเห็นหมด"

    เขาถาม "ผู้หญิงช่วยหาได้ไหม? เด็ก ๆ ช่วยหาได้ไหม ?"

    ท่านตอบ "ได้ทั้งนั้น ไม่นิยมว่าหญิงว่าชาย ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ใครหาก็ได้ทั้งนั้น"

    เขาถามท่านว่า "พุทโธนั้นประเสริฐใน ทางใดบ้าง กันผีได้ไหม ?"

    ท่านตอบว่า "พุทโธประเสริฐ และใช้ได้หลายทางจนนับไม่ถ้วน ในโลกทั้งสาม คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก โลกทั้งสามต้องยอมกราบพุทโธทั้งนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าพุทโธ ผีก็กลัวพุทโธมาก ต้องกราบพุทโธ ใครหาพุทโธแม้ยังไม่พบ ผีเริ่มกลัวผู้นั้นแล้ว"

    เขาถามท่าน "พุทโธเป็นแก้วสีอะไรตุ๊เจ้า?"

    ท่านตอบ "พุทโธเป็นแก้วดวง สว่างไสวและมีหลายสีจนนับไม่ได้ พุทโธนี้เป็นสมบัติอันวิเศษของพระ พุทธเจ้าพุทโธนั้นเป็นองค์แห่งความรู้ความสว่างไสวไม่เป็นวัตถุ พระพุทธเจ้าท่านมอบให้พวกเราไว้หลายปีแล้ว แต่เราเองยังหาพุทโธที่ท่านมอบให้ยังไม่เจอ ไม่ทราบว่าอยู่ที่ตรงไหน แต่จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญนัก ที่สำคัญก็คือถ้าสูจะพากันช่วยเราหาพุทโธจริงๆ ให้พากันนั่ง หรือเดินนึกในใจว่าพุทโธ ๆ อยู่ภายในโดยเฉพาะ ไม่ให้จิตส่งออกไปนอกกาย ให้รู้อยู่กับคำว่าพุทโธๆ เท่านั้น ถ้าทำอย่างนี้พวกสูอาจเจอ พุทโธก่อนเราก็ได้"

    เขาถามท่านว่า "การนั่งหรือเดินหาพุทโธจะให้นั่งหรือเดินนานเท่าไร ถึงจะพบพุทโธแล้วหยุดได้"

    ท่านตอบ "ให้นั่งหรือเดินเพียง ๑๕ หรือ ๒๐ นาทีก่อน สำหรับผู้ตามหาพุทโธทีแรก พุทโธท่านยังไม่อยากให้พวกเราตามหาท่านนานนัก กลัวจะเหนื่อยแล้วตามพุทโธไม่ทัน เดี๋ยวจะขี้เกียจเสียก่อน ทีหลังจะไม่อยากตามหาท่านแล้วเลยจะไม่พบท่าน เอาเพียงเท่านี้ก่อน ถ้าอธิบายมากกว่านี้ จะจำวิธีไม่ได้ แล้วตามหาพุทโธไม่พบ"


    เสร็จแล้วเขาพากันกลับบ้าน การลาท่านสำหรับเขาแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะเขาไม่เคยลาใคร ว่าจะไปเขาลุกขึ้นแล้วก็ไปทันทีทันใดไม่สนใจคำลาใครทั้งนั้น พอไปถึงบ้านแล้วชาวบ้านต่างมารุมถามเป็นการใหญ่ เขาอธิบายให้ฟังตามที่ท่านสั่งสอนเขาแต่โดยย่อไว้ก่อนนั้น นอกจากนั้นเขายังอธิบาย เรื่องท่านพระอาจารย์ให้ชาวบ้านฟังว่าที่สงสัยการนั่งหลับตานิ่ง ๆ และการเดินกลับไปกลับมานั้น ท่านนั่งและเดินหาพุทโธดวงเลิศต่างหาก มิได้นั่งและเดินแบบเสือเย็นดังที่พวกเราเข้าใจกัน

    พอชาวบ้านทราบวิธีตามที่พวกมาถามท่านนำไปเล่าให้ฟังแล้ว ต่างคนต่างสนใจฝึกหัดนึก พุทโธภายในใจโดยทั่วกัน นับแต่หัวหน้าบ้านลงมาถึงผู้หญิง และเด็กๆ ที่พอรู้วิธีนึกพุทโธได้ เป็นที่อัศจรรย์ไม่คาดฝันว่า จะมีผู้รู้เห็นธรรมของพระพุทธเจ้าภายในใจอย่างประจักษ์โดยไม่เนิ่นนานนัก คือผู้ชายคนหนึ่งซึ่งตามหาพุทโธ แล้วประสบธรรม คือความสงบสุขทางใจจากการนึกบริกรรมพุทโธ ตามวิธีที่ท่านบอกเขา

    ท่านเล่าว่าก่อนหน้า ๓-๔ วัน ที่เขาจะประสบผลจากพุทโธ เขานอนหลับฝันถึงท่านพระอาจารย์ว่า ท่านเอาเทียนใหญ่ที่จุดไฟอย่างสว่างไสวไป ติดไว้บนศีรษะเขา พอท่านติดเทียนเสร็จ แล้วนับแต่ศีรษะลงมาถึงตัวเขาปรากฎว่าสว่างไสวไปโดยตลอด เขาดีใจมากว่าตนได้ของดีมีความสว่างแผ่ออกไปนอกกายตั้งหลาย ๆ วา พอจิตเขาเป็นขึ้นมาก็รีบมาหาท่านพระอาจารย์ และเล่าเรื่องความเป็นและความฝันให้ท่านอาจารย์ฟังอย่างน่าอัศจรรย์

    จากนั้นท่านก็ได้อธิบายเพิ่มเติมให้เขาไปทำต่อ ปรากฏว่าได้ผลอย่างรวดเร็วและยังสามารถรู้ใจของผู้อื่นได้อีกด้วย ว่าใจของใครยังมีเศร้าหมองและผ่องใสเพียงใด เขาพูดกับท่านอย่างไม่มีการสะทกสะท้านเลย ซึ่งตรงกับจริตคนป่าที่มีนิสัยพูดตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ในเวลาต่อมา เขาออกมาเล่าธรรมให้ท่านฟังว่า เขาได้พิจารณารู้เห็นจิตท่านอาจารย์และพระที่อยู่กับท่านได้อย่างชัดเจน

    ท่านเองก็ถามเขาบ้างเป็นเชิงเล่น ๆ "ว่าจิตของท่านเป็นอย่างไร มีบาปมากไหม?"

    เขาตอบท่านทันทีเลยว่า "จิตของตุ๊เจ้าไม่มีจุดมีดวงเหลืออยู่แล้ว มีแต่ความสว่างไสว อันเป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่งอยู่ภายในเท่านั้น ตุ๊เจ้าเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลกไม่มีใครเสมอเหมือน เฮาไม่เคยเห็น ตุ๊เจ้ามาพักอยู่ที่นี่ตั้งนานร่วมปีแล้ว ทำไมไม่สอนเฮาบ้างก๊าแต่แรกมาอยู่"

    ท่านตอบว่า "จะให้เราสอนอย่างไร ก็ไม่เคยเห็นพวกสูมาศึกษาไต่ถามเรานี่นา"

    เขาตอบท่านว่า "ก็เฮาบ่ฮู้ก๊า ว่าตุ๊เจ้าเป็นผู้วิเศษ ถ้าฮู้จะทนอยู่ได้อย่างไร ต้องมาแน่ ๆ ทีนี้พวกเฮาฮู้แล้วก๊า ว่าตุ๊เจ้าเป็นผู้ฉลาดมาก เวลาพวกเฮามาถามว่าตุ๊เจ้านั่งหลับตานิ่งๆ และเดินกลับไปกลับมานั้น ทำทำไม หรือหาอะไร ตุ๊เจ้าก็บอกพวกเฮาว่าพุทโธหาย ให้พวกเฮาช่วยหา เมื่อถามถึงพุทโธเป็นลักษณะอย่างไร ก็บอกไปว่า เป็นแก้วดวงสว่างไสว ความจริงจิตตุ๊เจ้าเป็นพุทโธอยู่แล้ว มิได้สูญหายไปไหน แต่เป็นอุบายฉลาดของตุ๊เจ้าที่เมตตาสงสารพวกเฮา ให้ภาวนาพุทโธเพื่อให้จิตพวกเฮาสว่างไสว เหมือนจิตตุ๊เจ้าต่างหาก เฮาฮู้แล้วว่าตุ๊เจ้าเป็นผู้ประเสริฐและเฉลียวฉลาด ปรารถนาให้พวกเฮาได้บุญ มีความสุข และพบพุทโธดวงประเสริฐที่ใจตัวเอง มิใช่หาพุทโธให้ตุ๊เจ้านับ"


    แต่เขาคนนั้นได้เห็นธรรมกายในใจเพียงคนเดียวเท่านั้น เรื่องก็กระจายไปทั่วบ้านในไม่ช้า คนในบ้านต่างก็เกิดความสนใจและ พากันภาวนาพุทโธไปตาม ๆ กัน ตลอดเด็กเล็ก ๆ และเกิดความเชื่อถือและเลื่อมใสท่านพระอาจารย์มั่นมาก เรื่องเสือเย็นเลยหายซากไป ไม่มีใครกล่าวถึงเลย นับแต่นั้นมา เวลาท่านกลับจากบิณฑบาตคนที่ภาวนาเป็นนั้นต้องตามส่งบาตร และศึกษาธรรม
    กับท่านทุกวัน

    ถ้าวันไหนเขามีธุระไม่ได้ตามส่งบาตรท่าน ก็สั่งกับคนไว้ในหมู่บ้านนั้นทราบว่ามีคนภาวนาเป็นอยู่หลายคน มีทั้งชายและหญิง ที่เก่งกว่าเพื่อนก็คือเขาคนเป็นก่อนนั่นเอง คนเราเมื่อความพอใจมีแล้ว สิ่งอื่นๆ ก็ค่อยเป็นไปเอง เช่นคนพวกนี้แต่ก่อนเขาไม่เคยสนใจกับท่านเลยว่า ท่านได้อยู่ได้นอนได้ขบฉันอย่างไรบ้าง แม้จะเป็นหรือจะตายเขาไม่สนใจทั้งนั้น

    พอเขาเกิดความเชื่อถือและเลื่อมใสแล้ว ทุกสิ่งที่เคยขาดแคลนก็กลับกลายเป็นความสมบูรณ์ขึ้นมาเป็นลำดับทางจงกรม กุฏิที่พัก ที่ฉัน เขาพร้อมกันมา ทำถวายท่านเองจนเรียบไปหมดโดยมิได้บอกกล่าวเลย มิหนำซ้ำเขายังมาตำหนิท่านเป็นเชิงชมเชยอยู่อย่างลึกลับด้วยว่า ทางจงกรมอย่างนั้นตุ๊เจ้าก็เดินได้ ดูแล้วมีแต่ต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์เต็มไปหมด ตุ๊เจ้ามิใช่หมู พอจะเดินบุกป่าฝ่าดงไปอย่างนั้น แต่ทำไมยังอุตส่าห์เดินบุกไปได้

    เมื่อเฮาถามว่า "นี่ทางอะไร"

    ท่านก็บอกว่า "ทางเดินหาพุทโธ พุทโธเราหาย"

    เมื่อเฮาถามว่า "นั่งหลับตาอยู่นิ่งๆ นั้นนั่งทำไม"

    ท่านก็บอกว่า "นั่งหาธรรมบ้าง นั่งหาพุทโธบ้างพูดอย่างนั้นก็ได้"

    ตุ๊เจ้านี้แปลกกว่าคนทั้งหลาย ตุ๊เจ้าวิเศษเลิศโลกเท่าไรก็มิได้บอกว่าวิเศษ ตุ๊เจ้าคนนี้แปลกมาก เฮาชอบนิสัยตุ๊เจ้าตนนี้มาก ทีหลับทีนอนก็มีแต่ใบไม้ปูเต็มพื้นดินจนจะเหม็นเน่าอยู่แล้ว ท่านทนนอนมาตั้งหลายเดือนทำไมทนได้ เฮาดูที่นอนตุ๊เจ้าแล้วเหมือนที่นอนหมู เห็นแล้วเฮาสงสารตุ๊เจ้ามากจนเกือบร้องไห้ พวกเฮาเองก็โง่จริงๆ โง่กันทั้งบ้าน ไม่รู้จักของดี มิหนำซ้ำบางคนยัง
    หาว่าตุ๊เจ้ามาอยู่เพื่อหลอกลวงชาวบ้านแล้วเขาก็พากันรังเกียจ ระแวง

    แต่เวลานี้พวกเขา พากันเชื่อถือและเลื่อมใสตุ๊เจ้ากันทั้งบ้านแล้ว เพราะเขาทราบเรื่องของตุ๊เจ้าจากเฮาก๊า ดังนี้ ท่านว่าคนพวกนี้ถ้าลงเขาได้เชื่อและเคารพนับถือแล้วต้องนับถือแบบถึงใจจริง ๆ และถึงไหนถึงกัน เป็นก็เป็นด้วยกันตายก็ตายด้วยกัน แม้ชีวิตก็ยอมสละได้ เราพูดอะไร เขาเชื่อฟังและเคารพนับถือมาก การบริกรรมภาวนาหาพุทโธของเขา ท่านก็สอนให้เขยิบเวลาขึ้นไปตามความเคยชิน และผู้ชำนาญเป็นลำดับ

    ปีนั้นท่านต้องจำพรรษากับพวกเขารวมแล้วเป็นเวลาปีกว่า ท่านไปอยู่กับพวกเขา ตั้งแต่ตันเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายน ปีหลังจึงได้จากเขาไป ก่อนจะจากเขาไปได้ก็ นับว่าทุลักทุเลด้วยความสงสารเขาเอาการอยู่เนื่องจากเขาไม่ยอมให้ท่านหนีไปไหนเอาเลย เขาบอกท่านว่า แม้ท่านตายลงไปในที่นั้น เขาทั้งบ้านจะรับรองเผาศพท่าน แม้เขาเองก็มอบชีวิตไว้กับท่านด้วย เพราะความรักและเคารพเลื่อมใสท่านมาก ผลดีก็เห็นประจักษ์ตาประจักษ์ใจ น่าชมเชยเขาที่มีความฉลาดระลึกในความผิดได้

    พอเห็นพระที่ปฏิบัติดีน่าเลื่อมใสจริงๆ แล้วก็กลับมาเห็นโทษความผิด ของตนที่คิดไม่ดีแต่ก่อน แล้วพร้อมกันมาขอขมาโทษท่าน ให้อโหสิกรรมให้ก่อนจากพวกเขาท่านได้พูดกับ พระที่อยู่ด้วยว่า ที่นี่เขาหมดโทษแล้วเราจะไป ที่ไหนก็ได้ไม่ขัดข้องแล้ว แต่สำคัญตอนลาเขาออกจากที่นั้น ท่านว่าน่าสงสารสังเวชกับความรักความนับถือ ความเคารพเลื่อมใสและคำวิงวอนเขาจนบอกไม่ถูก พอพวกเขาทราบว่า ท่านจะจากเขาไปเท่านั้น เขาพากันออกมาทั้งบ้าน มาร้องไห้วิงวอนกันอย่างชุลมุนยุ่นวายไปทั้งป่า เหมือนคนร้องไห้คิดถึงคนตายนั่นเอง

    ท่านก็พยายามแสดงเหตุผลที่จำต้องจากเขาไป และปลอบโยนพวกเขาไม่ให้เสียใจจนเลยขอบเขตแห่งธรรม คือความพอดี จนเขาเป็นที่โล่งใจแล้ว ก็ออกจากที่พักอันแสนสำราญนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้นอีก คือทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างคนต่างวิ่งออกไปรุมล้อมท่าน และเข้าแย่งเอาบริขาร กลด บาตร กาน้ำ กับผู้ตามส่งท่าน และฉุดชายสบงจีวรกอดแข้งกอดขาท่านดึงท่านกลับมาที่พักอีก เหมือนเด็กๆ โดยไม่ยอมให้ท่านไป

    ท่านต้องกลับมาแสดงเหตุผลและ ปลอบโยนใจให้สงบเย็นอีกพักหนึ่งแล้วค่อยพากันปล่อยให้ท่านไป พอท่านก้าวออกจากที่พักเดินไปได้ประมาณ ๔-๕ วาเท่านั้น ต่างก็ร้องไห้แล้วพากันตาม ฉุดเอาท่านกลับมาอีก ทำเอาท่านเสียเวลาไปหลายชั่วโมง ฟังเสียงร้องไห้ระเบ็งเซ็งแซ่ฉุกละหุกวุ่นวายไปทั่วทั้งป่า ซึ่งเป็นที่น่าสมเพชเวทนาเอานักหนา คำว่า เสือเย็น ที่เกิดขึ้นในตอนแรกๆ จึงหมดความหมายไปทั้งสองฝ่าย

    ที่ยังเหลืออยู่จึงมีแต่ความเคารพเลื่อมใส ความอาลัยอาวรณ์ในท่านผู้ทรงคุณ ธรรมอันสูงส่งที่สุดจะอดกลั้นไว้ได้ ขณะที่ท่านจากไปจึงมีแต่เสียงร้องไห้ระทมทุกข์ของพวกชาวเขาที่พิไรรำพันทั้งเสียงร้องไห้และสั่งเสียว่า เมื่อตุ๊เจ้าไปแล้วให้รีบกลับคืนมาหาพวกเฮาอีก อย่าอยู่นาน พวกเฮาคิดถึงตุ๊เจ้าแทบอกจะแตกตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้วก๊า จนไม่ทราบว่าเป็นเสียงเด็กหรือ เสียงผู้ใหญ่ทีต่างคนต่างร้องไห้ไว้ทุกข์ในคราวท่านจากไปเวลานั้น

    นับว่าท่านไปอยู่ในท่ามกลางแห่งความระแวงสงสัย ไม่พอใจของเขาในครั้งแรก แต่จากไปในท่ามกลางแห่งความอาลัยเสียดายของเขาในภายหลัง จึงนับว่าท่านเที่ยวชะล้างสิ่งสกปรกรกรุงรังให้กลายเป็นของสะอาดปราศจากมลทิน ควรแก่ความเป็นของมีคุณค่าขึ้นได้สมกับท่านบวชมา เป็นลูกศิษย์ของพระตถาคตผู้ไม่ถือโกรธถือโทษกับผู้ใดจริงๆ ใครรังเกียจ ท่านก็พยายามอนุเคราะห์ด้วยความเมตตาสงสาร ไม่ยึดเอาความผิดพลาดของเขามาเป็นอารมณ์เครื่องขุ่นข้องหมองใจให้เป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น มีใจที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตาอันเป็นที่เจริญศรัทธาของโลกผู้ร้อนด้วยกิเลส ตัณหา วิ่งเข้ามาอาศัยให้ได้รับความไว้วางใจ และเย็นฉ่ำทั่วหน้ากัน นับว่าเป็นผู้อัศจรรย์ด้วยคุณธรรมอันหาที่เปรียบได้ยาก………


    ที่มา วัดป่าโนนวิเวก.คอม​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 เมษายน 2014
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ธรรมทานวันนี้

    ขอนำเสนอ...

    การรายงานการปฏิบัติธรรมของ...

    จิตบำเพ็ญ คุณBoonnippan


    สวัสดีค่ะ อ้อ...

    กราบครูแนทที่เคารพ

    วันนี้เห็นโหมดของจิตที่รู้ว่าคนขับแท็กซีไม่มีจิตบริการ แต่ จิตไม่วิพากษ์ รับรู้แต่ทรงอารมณ์จิตกลางๆ ปล่อยผัสสะ (ต่างจากเมื่อก่อน ที่ใจจะวิพากษืในใจในความไม่ดีที่เห็นหรือรู้สึก )

    ...โมทนาสาธุจ้ะ... นี่ไงล่ะ ...โจทย์เดิม ...before & after มันต้อง แตกต่างกัน อย่างเห็นชัด มันต้องอย่างนี้ ...ปฏิบัติแล้ว จิตต้องมีการพัฒนา เดินมรรค ก็ต้อง ได้ผล ... ใช่มั้ยล่ะ? ... ปฏิบัติแล้ว จิตเรา ละ ปล่อย วาง อะไร ได้บ้าง เราเท่านั้น ย่อมต้องรู้ ...ปัจจัตตัง ...

    แผ่บุญให้สิ่งแวดล้อมรอบข้าง เห็นการเกิดดับของสภาวะ อารมณ์ เหตุการณ์ มีเกิด เสร็จแล้วดับ เห็นรูปเกิด รูปดับ เห็นความไม่เที่ยงของอาคารที่เปลี่ยนไป สิ่งที่มีอยู่คือจิตเพียงอย่างเดีบว เวทนาทางกายที่หลังปวดเกิดการดับ เห็นเวทนาเกิด เวทนาดับ เห็นความทุกข์ของคนบางกลุ่ม จิตอยู่กับฌาน พระ และความนิ่งเป็นส่วนใหญ่
    โดยรวมจิตไม่ทุกข์และไม่สุขค่ะ รับรู้อาการแบบนิ่งๆค่ะครู

    เอาล่ะ อ้อเดินมรรคมาเข้มข้น ต่อเนื่องมาระยะนึงแล้ว ที่นี้ ต้องมาถึง ช่วงที่ เรียกว่า ทบทวน ย้อน หน้า หลัง อุนโลม ปฏิโลม...
    คือว่า เวลาเจริญกรรมฐาน ตอนกลางคืน นะ อ้อ...ให้ไล่อารมณ์จิต การปฏิบัติ
    ตั้งแต่เริ่ม นั่งสมาธิ เลย ...ตามลำดับ ที่เคยแนะนำไปแล้ว ตั้งแต่ สมัยแรกๆ ที่เข้ามาเรียน คือ ..

    1. จับอานาปานุสสติ ควบ พุทธานุสสติ (จับลมหายใจ พร้อม ภาพพระ)
    2. จิตทรงพรหมวิหาร4 ( แผ่เมตตา ไปทั่ว4 ทิศ)
    3. จับกายคตานุสสติ (พิจารณาร่างกาย)
    4.จับมรณานุสสติ
    5.จับอุปสสมานุสติ
    6. จับอริยสัจ

    เมื่อไล่อารมณ์จิต คิดพิจารณาตามลำดับ เรื่อยมา 1-6 ด้วยการทรงสมาธิจิตตั้งมั่น ..ต่อไปให้ กำหนดจิตมาเพ่งดูที่สังโยชน์ 10 ประการ ว่า จิตเรานั้น ตัดสังโยชน์10 ข้อไหนได้บ้างแล้ว ตรงนี้ ต้องพิจารณาบ่อยๆ นะคะ ...เรียกว่า ทำกันตั้งแต่ ตื่นนอน เลยล่ะค่ะ ... จิตหลับในฌาน ตื่นมา จิตพิจารณาอารมณ์ตัดสังโยชน์ 10 ต่อเลย ... ไม่งง นะคะ
    ทำแบบนี้ คือ การทบทวนการปฏิบัติ และ ตรวจสอบ ไปในตัว ...เรียกว่า ทำไป วัดผล ไป ...จิตเรารุ้ดี ว่า เราละอะไรได้บ้าง... การถึงมรรคผล จะเร็วค่ะ ...

    ที่พี่แนท เห็นจากการรายงาน การบ้าน มา 2 ฉบับสุดท้าย คือ อ้อ สามารถเห็น การเกิด ดับ ของตัว เวทนา และ เจตสิก หรือ อารมณ์จิต ได้เร็วขึ้น แล้ว ... เป็นเพราะ สติ ทำงานได้เร็วขึ้นมาก จิตนิ่งขึ้นมาก เริ่มเห็น ธรรม ทุกตัว เกิด ดับ ชัดขึ้น

    ที่เราปฏิบัติกัน ก็เพื่อ จะให้ จิตละอุปทานขันธ์5 ให้ได้ ให้จิตเห็นให้ได้ว่า ...ร่างกายไม่ใช่เรา ร่างกายไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย นั่นเอง ...แค่เนี่ย ธรรมตัวสุดท้าย ที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ ไปนิพพาน ได้ ...


    ครูขา เมือ่คืนหนูนั่งสมาธิ ยิ่งสวดมนต์ ก็ยิ่งแปล๊บลึกๆที่แผ่นหลัง แต่หนูก็เฉยต่อการปวด ตอ่เนื่องสมาธิ แม้ไม่ลึกเท่าครั้งก่อนๆ แต่ก็ไม่ได้แพ้การปวด หนูแผ่ส่านกุศลรอบตัวโดยอาราธนาท่านเป็นประธาน แผ่ตรงจุดที่ปวด ทำกิจกุศลตามเดิมแม้เวทนาที่หลังสูงมาก ตอนเช้ามันหายไปเยอะ แต่พอจิตไม่สนใจมันทั้งวัน ดูเหมือนมันจะหายไป ขณะเขียนนี้ก็ไม่ปวดแล้ว แต่หนูได้ยินเสียงสวดมนต์ แต่จิตรับรู้แบบไม่มี reaction ค่ะ เรื่องเวทนาเป็นการทดสอบหรือกรรมที่หนูเคยทำไว้คะครู ดูมันผิดปกติที่ว่าบทจะปวด ก็ปวดแบบมากและไม่มีปี่ขลุ่ย บทจะหายก็ไปแบบเงียบๆ

    จุดนี้ อ้อ จะรู้ได้เองค่ะ ในสมาธิค่ะ พี่แนท ตอบให้ไม่ได้จ้ะ ได้แต่แนะนำ จะรู้ได้เองตอนที่ อ้อจิตนิ่งในสมาธิ อ้อจะเห็นกรรมที่ตัวเองทำมาเลยล่ะ ...แต่ถ้าไม่เห็นนะคะ ...แสดงว่า นั่นคือ ขันธมาร หรือ บททดสอบ นั่นเอง จะมาทันที เวลาปฏิบัติกรรมฐานทำสมาธิจิต หรือ ทำบุญทำทาน ไอ้ความป่วยไข้ไม่สบายมันจะเข้ามาขวางทันที อย่างนี้เรียกว่า ขันธมาร

    ถ้ามีอาการอีกหนูจะทำตามคำสอนของครูค่ะ


    บารมี 10


    1.ทานบารมี
    (การให้โดยไม่หวังผล) มีจิตปรารถนาจะสละด้วยการให้ทานอยู่เสมอ

    จิตสุขกับการให้ ทำบุญในพระศาสนา ให้ทานคน สัตว์ รูปนาม ให้ความช่วยเหลือวิชาความรู้แม้จะสร้างเวทนาให้กายหยาบมากขึ้นก็ตาม ยินดึกับการเปิดประตูชีวิตให้คนอื่นแม้จะยากลำบากเรื่องเวลามากขึ้น

    ***เช้าวันเสาร์ ขณะนั่งรถไปทำงาน หนูเห็นพระบิญฑบาตร จิตตั้งใจใส่บาตรโดยบอกว่าลูกขอใส่บาตรพระสงฆ์ด้วยบุญของลูกที่มีอยู่ ผิดธรรมเนียมหรือเปล่าคะครูแนท****

    อ้อ ให้เรา เน้นที่แก่น นะจ๊ะ ...คือ ส่งจิตไป ด้วยบุญของลูกใส่บาตร เนีย สุดยอดแล้ว อย่าไป เน้น ธรรมเนียม หรือ การสมมติ ทางโลกมากนัก ...จริงๆ แล้ว แค่เราเห็น คนใส่บาตร แล้วเรา น้อมจิต โมทนา นั่นน่ะ เราก็ได้บุญไปด้วยแล้ว จ้ะ

    2.ศีลบารมี(รักษาศีล 5 เป็นปกติ) มีความรักในศีลห้า มีความตั้งใจทรงศีลห้าให้บริสุทธิ์ครบถ้วนอยู่เสมอ

    เป็นปกติของชีวิตค่ะ จนบางครี้งไม่อยากอาราธนาศีลเพราะคู่กายมาตลอด แต่ตอนนี้หนูอาราธนาและสมาทานครบถ้วนค่ะ

    3.เนกขัมมะบารมี(การถือบวช) บวชด้วยใจ คือสำรวมกาย วาจา ใจ อยู่เสมอ

    สำรวมกายวาจามากขึ้น จิตนิ่ง กายนิ่ง มากจนเหมือนทรงชานอยู่ รู้สึกตัวเหมือนหุ่นทั้งๆที่รู้ตัวตนอยู่ตลอด จนปิติว่าดีจังเลย เราไม่ต้องรอไปบวชปีละครั้งที่วัด

    4.ปัญญาบารมี(ความรู้) ทรงปัญญาพิจารณาอยู่เสมอ ยอมรับว่าโลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว ยอมรับทุกอย่างตามความเป็นจริง

    มีมากขึ้น เห็นรูปจากผัสสะ เห็นจิตที่แยกออกมา ไม่ทุรนทุรายเวลามีอะไรไม่ได้ดั่งใจ ปล่อยวางกับความไม่เที่ยง เห็นภาวะต่างๆของกายแบบทุกข์ ไม่เที่ยงและอยากดับการเกิด

    5.วิริยะบารมี(ความเพียร) มีความพากเพียร ไม่ย่อท้อ ต่อสู้อุปสรรคด้วยประการทั้งปวง

    ก่อนหน้านี้ ความเพียรขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ถ้าเหนื่อยก็พักการปฏิบัติ แต่ตอนนี้ ยิ่งเจอทุกข์หรือเวทนา ยิ่งปฏิบัติมากขึ้น เข้าหาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ทำสมาธิบ่อยมากขึ้นเกือบทุกคืน ทุกที่

    6.ขันติบารมี(ความอดทนอดกลั้น) มีความอดทนอดกลั้น ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ต่าง ๆ

    หนูมี EQ มากขึ้น อดทนต่อสิ่งที่ไม่เคยทน เรียกว่ารู้แล้วปล่อยดีกว่าค่ะ เพราะแทบไม่ต้องใช้คำว่า ทน อีกแล้ว

    7.สัจจะบารมี(ความตั้งใจจริง เอาจริง จริงใจ) มีความจริงใจ ตั้งใจไว้อย่างไรจะทรงไว้อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
    เสมอมาค่ะ


    8.อธิษฐานบารมี
    (ความตั้งใจมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง) ตั้งกำลังใจไว้ว่า เราปฏิบัติความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน

    เข้มข้นมากขึ้นค่ะ

    9.เมตตาบารมี(ความรักด้วยความปรานี) คิดว่าเรารักคนและสัตว์ทั้งหมด ไม่ถือว่าใครเป็นศัตรูกับเรา

    มากขึ้นค่ะ หวังดีกับทุกผู้คนแม้คนที่เคยทำร้ายเรา มองสัตว์ด้วยความสงสาร อยากช่วย แผ่ส่วนกุศลให้ทุกครั้งที่พบเห็น

    10.อุเบกขาบารมี(ความวางเฉย) วางเฉยต่ออารมณ์ทุกอย่าง

    มีมากขึ้นค่ะ หนูพบว่าพรหมวิหาร 4 เป็นที่อยู่ที่วิเศษของจิตในแต่ละวัน วันไหนที่แผ่เมตตาบ่อย วันนั้นจะนิ่งเย็นและได้ยินเสียงสวดมนต์บ่อยๆ

    ด้วยความเคารพ
    อ้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2014
  18. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    อารมณ์ของคนนี้มันช่างร้ายจริงๆ ทะเลาะกันแค่เรื่องเหยือกน้ำแข็งของร้าน จนต้องทำให้พ่อตายโดยไม่ได้เจตนา เพียงเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบ...
    แล้วยังจะพากันคบกับพวกเจ้าอารมณ์เหล่านี้อยู่หรือ...รีบหาหนทางถอดถอนมันออกไปจากจิตซะโดยไว...เพราะไม่อย่างนั้นคุณจะเป็นทาสมันไปตลอดชีวิตชั่วกัปชั่วกัล..เลย..


    น้ำตานอง! พ่อลูกทะเลาะกัน พ่อล้มหัวฟาดโต๊ะดับอนาถ

    นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

    เมื่อวานนี้ (24 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แก่งคอย จ.สระบุรี ได้รับแจ้งเหตุคนทะเลาะวิวาทกันและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ บริเวณร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่ง พบเพียงร่องรอยการต่อสู้ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้และได้เสียชีวิตลงในเวลาต่อมา

    นายอานุเปรม (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ลูกชายของ นายวันชัย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่งดังกล่าว ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ก่อนหน้านี้เคยมีปากเสียงกับพ่อ ทะเลาะกันเรื่องเหยือกน้ำแข็งของร้าน ที่ตนนำเอาไปตักเล่นน้ำเมื่อช่วงวันสงกรานต์และได้ทะเลาะกันกับพ่อ ช่วงก่อนเกิดเหตุจึงตั้งใจจะเข้ามาขอโทษและปรับความเข้าใจกับพ่อ แต่ปรากฏว่าตนกับพ่อยิ่งทะเลาะกันหนักขึ้นกว่าเก่า

    ลูกชายของผู้เสียชีวิตยังเปิดเผยว่า ตนกับพ่อทำร้ายกันภายในร้าน จนเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงเข้ามาห้ามปราม แต่สักพักก็กลับมาทะเลาะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอีกรอบ จนเป็นเหตุทำให้ นายวันชัย เกิดเสียหลักล้มศีรษะฟาดกับโต๊ะในร้านอาหารตามสั่ง นอนหมดสติแน่นิ่งไปกับพื้น จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลแต่ก็สายเกินไป

    ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายอานุเปรม กับ ภรรยาของนายวันชัย ได้ทราบข่าวว่า นายวันชัย ได้เสียชีวิตลงแล้ว ทำให้ทั้งคู่รู้สึกตกใจช็อคและกอดคอกันร้องไห้อย่างอาลัย ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงบานปลาย จนทำให้ผู้เป็นพ่อเสียชีวิต เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัว นายอานุเปรม ไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของ นายวันชัย แพทย์โรงพยาบาลแก่งคอยระบุว่า เกิดจากอาการกระดูกต้นคอหัก​
     
  19. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    Date: Sat, 26 Apr 2014 08:20:38 -0700

    กราบครูแนทที่เคารพ

    วันนี้จิตหนูนิ่งเฉยท่ามกลางการทำงาน เฉยมากๆจนเห็นความไม่มีอะไรเลยในสรรพสิ่ง จากอาหารที่กินกลายเป็นไม่ใช่อาหาร จากชีวิตกลายเป็นไม่มีชีวิต ทุกอย่างแวดล้อมดูเหมือนไม่มีอะไรเลย ชัดเจนอยู่คือจิตที่นิ่ง จิตไม่รู้สึกสุขหรือไม่สุขจนดูน่าแปลกใจ ดูผิดปกติแต่หนูรู้สึกอย่างนี้พักนี้ มันเหมือนไม่มีอะไรที่มีอยู่จริง ทำหน้าที่ทางโลกกับความรู้สึกนิ่งๆอยู่คู่กัน เห็นกายหยาบเหนื่อย จิตรับรู้ จิตนิ่งไม่ทุกข์ไม่สุข มองเห็นการเกิดดับ ดับช้าดับเร็วแล้วแต่กรณี

    "มีแต่ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น....และมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกเหนือจากนั้น ไม่มี "

    มองเวทนาที่เกิดขึ้นกับ ร่างกาย นี้ให้เป็นธรรม ให้หมดนะ...

    เราลูกพระพุทธเจ้า ต้องคิด และเปลี่ยน visionตามแบบ พระองค์ท่าน ...

    หยุด เอาความคิดแบบเราๆ แบบเดิมๆ ที่เคยคิดมาก่อน เคยยึดมั่นมาก่อนว่า

    อาการเจ็บนั้น คือ เรา เป็นของเรา (จิต) ...บัดนี้ จิตเดินมรรคมาพอสมควร รู้ชัดแล้ว ว่า ไม่ไช่เรื่องของจิต
    ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ...
    เอาความรู้ ของพระพุทธเจ้า ป้อนข้อมูลลงไปใหม่ ใส่ในจิต ดวงนี้

    ว่า สิ่งใดที่มีเกิด มีดับ สิ่งนั้นไม่เที่ยง ถ้าไปยึดถือมันเอาเข้ามาขังไว้ในจิต ...
    จิตต้องทุกข์แน่ ดิ้นรนแน่นอน ตัณหาเกิดแน่นอน คือ อยากหายเจ็บปวด ...
    แต่ไม่สามารถ ก็เลย ทำได้แต่ ทุรนทุราย ...

    แต่บัดนี้ ตอนนี้ รู้แล้วก็จัดการแยก จิต ออกมา ซะ มาเป็นผู้ นั่งดู เวทนา
    ความเจ็บปวด ซะเลย แล้วก็ย้ำเตือนไปเลย ว่าเวทนานี่ มันตายลงพร้อมร่างกายเน่านี้

    เพราะฉะนั้น มันเป็นเรื่องของขันธ์ 5 ชัดๆ ไม่ใช่เรื่องของจิต ไม่มีในจิต จิตไม่มีในมัน

    ตอกย้ำ บ่อยๆ จิตชอบ ไม้ยมก เยอะๆ...จิตมีสภาพจำ ...
    เวลาที่ความตาย มาถึง ...แล้วอาการเวทนา บีบคั้นเข้ามา ...
    จิตที่ชินกับการ แยกตัว ออกไป มันจะ ดีดตัวออกไปทันที ไม่รับรู้ ประสาทสัมผัส
    ทางกายที่เวทนา กำลังแสดง อยู่... ฝึกไว้ๆ


    หนูอยากร้องไห้กับคำสอนตรงนี้ของครู หนูจะมุ่งมั่นค่ะครู กายตายแต่จิตไปนิพพพาน รายงานที่หนูพิมพ์ข้างบนมันเป็นความรู้สึกที่วนเวียนอยู่กับหนูสองสามวันแล้ว หนูยังไม่ได้บอกครูครั้งก่อนเพราะมัวเฝ้าดูว่าจริงๆมันคือจิตนิ่งเฉย เบื่อหน่ายกับสิ่งสมมุติที่ไม่มีอะไร หรือมันเป็นความทุกข์ใจเรื่องงานไม่เสร็จที่แฝงอยู่กันแน่ แต่หนูก็รู้สึกว่ามันเป็นความเห็นของการไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่มีแต่สิ่งเกิด สิ่งดับ ความเปลี่ยนแปลง

    ระหว่างวันแม้ต้องมีการพูดคุยกับผู้ที่ทำงานด้วย แต่ก้อนิ่งแบบรู้สติว่าพูดอะไร ทำอะไร เหมือนมีตัวเฝ้าดูอยู่

    สาธุ สาธุ สาธุ... นี่แหละ ปฏิบัติ มา 2 เดือน ...พี่แนท รอ ไอ้ตัวเนี่ย ... ไอ้ตัวที่เฝ้า ดู อยู่ นี่แหละ ...

    เกิดขึ้นแล้ว สาธุ ดังๆ สาเหตุ เพราะ ... แยกกาย แยกจิต ชัด... ปฏิบัติไป ธรรมนี้ จะละเอียดขึ้น ตามจิตที่ละเอียด ตามสติที่ว่องไว ขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน คือ สติ ...และนี่เป็น สัมมาสติ ด้วยนะ

    สติ จะคอยกำกับ คอยดู คอยรุ้ทันสิ่งกระทบรอบข้าง สติ จะคอย แยกแยะ กุศล อกุศล ที่เกิดขึ้นในจิต

    .. เหมือนเป็น ยาม เป็นเรด้าร์ เลยล่ะ หรือ จะเรียกว่า ผู้รู้ ก็ไม่ผิด สติ ก็เรา จิต ก็เรา ...
    พี่แนท จะเปรียบอุปมา อุปไมย ...ให้ฟัง ว่า เหมือนเรา ซื้อ แตงโม มา หนึ่งลูก แล้วเอา มีดคมๆ ฟันฉับ ขาด สองซีก ทันที ซีก หนึ่ง คือ กาย อีกซีกหนึ่ง คือ จิต ...สติ อยุ่ตรงกลาง คือ ผู้รู้ ผู้ดู ...
    สติ วิ่งรอบไป มา ได้ ทั้งฝั่งกาย และ ฝั่ง จิต รู้ทันในทุกอย่างเพราะ สตินี้ แนบ กับ จิต ...
    จิตนี้ แนบกับ พระ หรือ พระพุทธคุณ ตลอดเวลา ...
    พุทธานุภาพ ยิ่งใหญ่ สามารถช่วยให้จิต เข้าสมาธิได้รวดเร็ว... สมาธิเกิด ต่อเนื่อง ..ปัญญา เกิดต่อเนื่อง
    ...สรุป ทั้ง เครื่องปรุง ทั้ง สามอย่าง คือ สติ สมาธิ และ ปัญญา ถูกตำรวมกัน เป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อไหร่ ปัญญาญานเกิดขึ้น ญานนี้จะพาเราหลุดพ้น เราก็จบกิจ เมือนั้น ... พระ อรหันต์เจ้า ทั้งหลาย ท่านมี มหาสติ มหาสมาธิ และ มหาปัญญา เกิดขึ้นพร้อมกัน ตลอดเวลา ... ดังนั้น จิตของพระอรหันต์ ท่าน จึง หลุดลอย อยู่เหนือ ขันธ์ 5 เหนือ โลก เหนือ กรรม เหนือ ธรรมทั้งปวง ...เพราะ นิวรณ์ ไม่เกิด กิเลส ใดๆ เกิดขึ้น ตามปกติ เพราะ ท่านยังมี ธาตุขันธ์ อยู่ แต่ กิเลส ไม่สามารถ เข้าถึง จิต ท่านทั้งหลายได้ เพราะ มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา หล่อหลอม ปกคลุม จิตของท่านแล้ว หรือ เรียกว่า
    พระอรหันต์ คือ ผุ้ทรงอธิปัญญา นั้นเอง ...ปัญหาใด เข้ามากระทบท่าน อธิปัญญาคลุมจิตหมด
    ทำอะไรจิต ท่าน ไม่ได้เลย ...

    ช่วงนี้หนูเห็นตัวเฝ้าดูบ่อยขึ้น วันนี้ไปสอนหนังสือก็มีเหตุให้เห็นความบางอย่างในคนอื่นที่ท้าทายให้จิตวิพากษ์ แต่จิตก็รับรู้อย่างเดียว ปล่อย และสู่โหมดนิ่งโดยไม่ต้องหาท่านพ่อ เหมือนจิตถูกทดสอบเลยค่ะครู

    วันนี้ ต่อมธรรมะ พี่แนท หลั่งไหล ...อ้อ รับไปนะ อ่านไป เข้าใจ บ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็ไม่เป็นไร ...
    สาธุค่ะครู หนูอ่านซ้ำไปซ้ำมา อ่านเข้าใจ แต่อ่านซ้ำเพราะจิตเห็นจริงทุกอย่าง อ่านแล้วจิตปิติ เกิดอาการทางกายหัวหนืด หูหนัก อุปทานหรือเปล่าไม่รู้ ได้กลิ่นธูปเบาๆ 1 แว๊บ จะรีบเขียนรายงานแล้วไปอาบน้ำเพื่อนั่งสมาธิค่ะ

    สาธุ จ้ะ ... กำลังใจ หรือ บารมี 10 ประการ อ้อ ผ่านหมด มีครบถ้วน ... อยากให้ สำรวจ จิตดู เรื่องสังโยชน์ 10 นะคะ ว่า จิตละ ข้อไหน ได้ เข้าใจ อย่างไร? เอาเป็นว่า สำรวจในใจ ตนก่อน อย่า ลืม ทรงเอกัคคตารมณ์ ด้วยอารมณ์จิต เบา สบาย เปี่ยมไปด้วย พรหมวิหาร 4 แล้ว อาราธนาพระรัตนตรัย ครอบจิต ไว้ในขณะที่จิต นิ่งมากที่สุด นะคะ ... หมั่นนึกถึง พระคุณของ ท่านพ่อ ไว้นะคะ อ้อ เป็นลูกสายตรง นึกถึงท่านบ่อยๆ ... จิตนิ่งมากๆ เข้าไปกอดท่าน ได้เลย ท่านเมตตา อ้อจ้ะ ดูอยู่ตลอด ...มีปัญหาอันใด พูดคุยกับท่านนะคะ ..พี่แนทฝาก อ้อ ไว้กับท่านแล้ว ขอประทานอนุญาตให้ท่านมาสงเคราะห์ รับรองดวงจิต ของ อ้อด้วยพระองค์เอง ... หรือ จะนึกถึงหลวงพ่อฯ ก็ได้ ...จิตนิ่งๆเมื่อไหร่ ก็อธิษฐานเลย ขอให้ลูกได้สัมผัส ดวงจิตของ ท่านพ่อ หรือ หลวงพ่อฯ ด้วยค่ะ ...ตรงนี้ อ้อ จะได้กำลังใจที่จะละขันธ์ 5 ยกจิต เหนือ ขันธ์5 อย่างมหัศจรรย์ ...

    กราบครูแนทค่ะ หนูวิ่งหาท่านพ่อและหลวงพ่อมานานแต่เป็นการวิ่งหาเรื่องโลกๆ หลังจากเรียนกับครู หนูพึ่งบารมีท่านทั้งสองเชิงธรรมะมาตลอด แต่ท่านคงต้องการให้หนูพยายามมากกว่านี้ค่ะ หนจะพียรต่อไปค่ะ หลังๆนี้หนูเหมือนเริ่มสัมผัสกลิ่นหอมในตอนที่ไม่ได้ทำสมาธิซักครั้งสองครั้ง (ถ้าจะได้กลิ่นธูปหรือดอกไม้ ปกติจะได้กลิ่นตอนทำสมาธิเท่านั้นค่ะ) หรือบางทีรู้สึกเหมือนมีแสงส่องมาบนหัวเวลานั่งสมาธิ (หัวจริงๆไม่ใช่ในนิมิตค่ะ) บางคืนก็เห็นอาการชาเบาๆที่ปากคอตอนนอนเกือบหลับ ทั้งๆที่อาการนี้จะเป็นตอนทำสมาธินิ่งมากๆ จริงๆหนูอยากบอกครูเรื่องนี้หลังความชัดเจนมากกว่านี้ค่ะ กลัวจะเป็นอุปทานของตัวเองค่ะ ขอเวลาหนูสำรวจสังโยชน์แป๊บนึงนะคะ

    ด้วยความเคารพรัก

    อ้อ







     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2014
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    กลับไป PaLungJit.org > พลังจิต > ภัยพิบัติและการเตรียมการ น้ำท่วม
    โหลดหน้านี้ใหม่ จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ
    ยินดีต้อนรับ คุณ ภูทยานฌาน2.
    คุณมาครั้งล่าสุดเมื่อ วันนี้ เวลา 11:59 AM
    ข้อความส่วนตัว(PM): ยังไม่ได้อ่าน: 27
    แผงควบคุมส่วนตัว กฎกติกา ทุกอัลบั้ม คู่มือการใช้ ชุมชน-กลุ่ม ปฏิทิน ข้อความใหม่ ค้นหา ลิงค์ที่ใช้บ่อย Log out
    เชิญร่วมบริจาคและบูชาวัตถุมงคล เพื่อค่าโฮ้สเว็บพลังจิต

    Like Tree8888Likes
    ตอบ
    หน้าที่ 772 จากทั้งหมด 772 หน้า « First < 272 672 722 758 759 760 761 762 763 764 765 766 767 768 769 770 771 772

    © 2014 Microsoft Terms Privacy & cookies Developers English (United States)
    Phu Bodin
    Twitter
    Twitter
    Sign up
    Already on Twitter​
     

แชร์หน้านี้

Loading...