วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    bnbk <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_876670", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 10:27 AM
    วันที่สมัคร: Aug 2006
    ข้อความ: 488 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 3,367 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 9,833 ครั้ง ใน 493 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1043 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    <!-- message --> เมื่อหลวงปู่มั่น มาเตือนหลวงปู่ขาวในเวลาทำสมาธิภาวนา

    ท่านเล่าว่า เพียงนอนตื่นผิดเวลาบ้างเล็กน้อย ท่านพระอาจารย์มั่นยังมาเตือนว่า

    อย่าเชื่อตัวเองยิ่งกว่าธรรม ตัวเองคือวัฏฎะ ธาตุขันธ์เป็นผลของวัฏฏะมาดั้งเดิม ควรอนุโลมให้เขาเท่าที่อนุโลมได้ อย่าปล่อยตามขันธ์จนเกินไป ผิดวิสัยของพระที่เป็นเพศไม่นิ่งนอนใจ การหลับนอนของนักปราชญ์ ท่านเพียงเพื่อบรรเทาธาตุขันธ์ไปชั่วระยะเท่านั้น ไม่ได้หวังความสุขความสำราญอะไร จากการระงับความอ่อนเพลียทางธาตุขันธ์นั้นเลย พระนอนตามแบบพระจริง ๆ ต้องระวังตัวเพื่อจะตื่นเหมือนแม่เนื้อนอน ซึ่งมีสติระวังตัวดีกว่าปกติเวลาเที่ยวหากิน

    คำว่าจำวัด ก็คือความระวังตั้งสติหมายใจจะลุกตามเวลาที่กำหนดไว้ตอนก่อนนอน มิได้สอนแบบขายทอดตลาด ดังสินค้าที่หมดราคาแล้ว ตามแต่ลูกค้าจะให้ในราคาเท่าไร ตามความชอบใจของตน พระที่นอนปล่อยตัวตามใจชอบ มิใช่พระศากยบุตรพุทธบริษัท ผู้รักษาศาสนาให้เจริญในตนและผู้อื่น แต่เป็นพระประเภทขายทอดตลาด ตามยถากรรม จะตีราคาเอาเอง

    การจำวัดของพระที่มีศีลวัตร ธรรมวัตร ต้องมีกำหนดกฎเกณฑ์บังคับตัว ในเวลาก่อนหลับ และระวังตัวอยู่ตามวิสัยของพระผู้กำลังจำวัดคือหลับนอน พอรู้สึกตัวต้องรีบลุกขึ้นทันที ไม่ซ้ำซาก อันเป็นลักษณะคนขี้เกียจนอนตื่นสาย และตายจมอยู่ในความประมาทไม่มีวันรู้สึกตัว การนอนแบบนี้ เป็นลัทธิของสัตว์ตัวไม่มีความหมายในชีวิตของตัว และเป็นนิสัยของคนเกียจคร้านผลาญสมบัติ ไม่มีงอกเงยขึ้นมาได้ ไม่ใช่ทางของศาสนา จึงไม่ควรส่งเสริม จะกลายเป็นกาฝากขึ้นมาในวงศาสนาและพระธุดงค์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเรื่องทำลายตัวเอง ดังกาฝากทำลายต้นไม้ที่มันอาศัยนั่นแล

    ท่านควรขบคิดคำว่า จำวัด กับคำว่า นอน ซึ่งเป็นคำทั่ว ๆ ไปเทียบกันดู จะเห็นว่าผิดกันและมีความหมายต่างกันอยู่มาก ระหว่างคำว่า จำวัด ของพระศากยบุตร กับคำว่านอน ของคนและสัตว์ทั่วไป ดังนั้นความรู้สึกของพระศากยบุตรที่จะปลงใจจำวัดแต่ละครั้งจึงควรมีความสำคัญติดตัวในขณะนั้นและเวลาอื่น ๆ จะสมชื่อว่าผู้ประคองสติ ผู้มีปัญญาคิดอ่านไตร่ตรองในทุกกรณี ไม่สักว่าคิด สักว่าพูด สักว่าทำ สักว่านอน สักว่าตื่น สักว่าฉัน สักว่าอิ่ม สักว่ายืน สักว่าเดิน สักว่านั่ง สักเป็นอาการปล่อยตัวเกินเพศเกินภูมิของพระศากยบุตรที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

    ในวงปฏิบัติโดยมากมักเข้าใจกันว่า พระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ทั้งหลายนิพพานไปแล้ว สาบสูญไปแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเกี่ยวกับท่านและตนเองเสียแล้ว ก็พระธรรมอันเป็นฝ่ายเหตุที่สอนกันให้ปฏิบัติอยู่เวลานี้ เป็นธรรมของท่านผู้ใดขุดค้นขึ้นมาให้โลกได้เห็น และได้ปฏิบัติตามเล่า? และพระธรรมตั้งตัวอยู่ได้อย่างไร ทำไมจึงไม่สาบสูญไปด้วยเล่า? ความจริง พุทธะ กับสังฆะก็คือ ใจดวงบริสุทธิ์ที่พ้นวิสัยแห่งความตายและความสาบสูญอยู่แล้วโดยธรรมชาติ จะให้ตายให้สาบสูญให้หมดความหมายไปได้อย่างไร เมื่อธรรมชาตินั้นมิได้เป็นไปกับสมมติ มิได้อยู่ใต้อำนาจแห่งความตาย

    มิได้อยู่ใต้อำนาจแห่งความสาบสูญ มิได้อยู่ใต้อำนาจแห่งการหมดความหมายใด ๆ พุทธะจึงคือพุทธะอยู่โดยดี ธัมมะจึงคือธัมมะอยู่โดยดี และสังฆะจึงคือสังฆะอยู่โดยดี มิได้สั่นสะเทือนไปกับความสำคัญใด ๆ แห่งสมมุติที่เสกสรรทำลายให้เป็นไปตามอำนาจของตนฉะนั้น การปฎิบัติด้วยธัมมานุธัมมะจึงเป็นเหมือนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ตลอดเวลาที่มีธัมมานุธัมมะภายในใจ เพราะการร้พุทธะ ธัมมะ สังฆะ โดยหลักธรรมชาติจำต้องรู้ขึ้นที่ใจ ซึ่งเป็นที่สถิตแห่งธรรมอย่างเหมาะสมสุดส่วนไม่มีภาชนะใดยิ่งไปกว่าดังนี้

    นี้เป็นโอวาทที่ท่านอาจารย์มั่นมาเตือนท่านในสมาธิภาวนา ในเวลาท่านเห็นว่าหลวงปู่ขาวอาจทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง เช่นการปฎิบัติธุดงควัตรไม่ถูกไม่สนิทกับธรรมเป็นบางข้อหรือบางประการ และการจำวัดตื่นผิดเวลา ความจริงท่านว่า ท่านอาจารย์มั่นมิได้เตือนด้วยความมั่นใจว่า ท่านทำผิดโดยถ่ายเดียว แต่ท่านเตือนโดยเห็นว่า หลวงปู่ขาวจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหมู่คณะ ทั้งพระเณรและประชาชนจำนวนมากในวาระต่อไป ท่านจึงเตือนไว้เพื่อหลวงปู่ขาวจะได้ตระหนักในข้อวัตรต่าง ๆ ต่อไปด้วยความเข้มแข็ง เพื่อถ่ายทอดแก่บรรดาประชาชนพระเณร ที่มาอาศัยพึ่งร่มเงา จะได้ของดีไปประดับตัว ดังองค์ท่านอาจารย์มั่นเคยพาหมู่คณะดำเนินมาแล้ว
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-hist-index-page.htm
     
  2. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    บัตรผ่านของผู้ที่รอด คือ เมตตาอัปปันนาณฌาน
    (พี่คณานันท์ ถึงสอนให้พวกเราแผ่เมตตาอัปปันนาณฌาน กันอยู่เสมอ)

    กระแสคลื่นของพลังแห่งเมตตาที่แผ่ออกไปรอบข้าง ไม่มีที่สุด ไม่มีที่ประมาณ
    บุคคลผู้ที่แผ่
    เมตตาอัปปันนาณฌาน อยู่เสมอ เวลาเข้าใกล้บุคคลใด ก็จะส่งคลื่นนี้ไปยังบุคคลเหล่านั้น
    กระแสจะเหนี่ยวนำ ทำให้บุคคลผู้นั้นใจเย็นลง อยากเข้าใกล้ และรู้สึกเป็นมิตรด้วย

    ดั่งสุภาสิตว่า "เมตตาค้ำจุนโลก"่
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ผมรู้สึกว่าหลายๆพื้นที่ในโลกเริ่มจะเดือดร้อนจากภัยพิบัติแล้วครับ ในระยะเวลาแค่4-5วันที่ผ่านมา มีทั้งพายุหิมะ แผ่นดินไหว และน้ำท่วม สงสัยคงต้องรีบเร่งความเพียรแล้วครับ http://www.universal-signal.com/html/worldnews/worldcriticalnews_dec07.html
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เร่งกันอยู่ครับผม ก้าวหน้ากันมากๆหลายท่านเลยครับ ขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
  5. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    อ่านเเล้วร้อนเลยพี่ๆเก่งกันทั้งนั้นอยู่นิ่งไม่ได้เเละ..ตอนนี้รู้สึกห่างพระพุทธเจ้า
    มากเลยเเผ่เมตตาก็เหมือนเเผ่ได้เบา...หลังจากบูชาพระศิวะ เหมือนเอาท่าน
    มาเป็นเทพที่เคารพมากๆอีกองค์ เวลาจะอธิษฐานก็เลือกไม่ถูกจะอธิษฐานกับ
    ใครดีเพราะพระศิวะเป็นปางประทานพรด้วย...
     
  6. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อย่าคิดมากครับ บูชาใครก็บูชาไป แต่สำคัญที่เรามากกว่า
    ผมก็ไม่ปิดรับนะครับ ฟังๆไว้ บูชาไว้ ไม่ได้ว่าไม่ดี เพียงแต่ท่านก็เป็นเทพ
    องค์หนึ่ง ผมก็เปิดรับฟังหมดแหละทั้ง ไทย จีน พราหม ฯลฯ ไม่ได้ดูถูกหรือ
    ไม่ชอบ เวลาแผ่บุญ บารมีไปก็พยายามนึกให้หมดทุกท่าน ไม่ให้ตกหล่น
    แต่ที่อยากจะเน้นไม่อยากให้ลืมคือ พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ
    ครับ เราเหยียบท่านทุกวัน สัมผัสท่านทุกวัน แต่เราไม่ค่อยจะนึกถึงท่านกันเลย
    และที่สำคัญคือ พระพุทธเจ้า ทุกๆ องค์
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    แต่ที่อยากจะเน้นไม่อยากให้ลืมคือ พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ
    ครับ เราเหยียบท่านทุกวัน สัมผัสท่านทุกวัน แต่เราไม่ค่อยจะนึกถึงท่านกันเลย
    และที่สำคัญคือ พระพุทธเจ้า ทุกๆ องค์



    -----------------------------------------------------------

    เห็นด้วยอย่างที่สุดครับ ผู้มีพระคุณทั้งหลายที่มีต่อเรามีมากมายมหาศาล ทั้งที่เรารู้ตัวและที่เราไม่รู้ตัวครับ ที่สำคัญที่สุดก็คือคุณพ่อคุณแม่ของทุกๆคน<!-- / message -->
     
  8. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อันนี้ก็ถูกอีก อิอิ แหมโดนใจผมเลยนะเนี่ย (||)
     
  9. เทพ

    เทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    275
    ค่าพลัง:
    +3,099
    เขียนได้ตรงใจครับ

    เมื่อสองวันก่อน ผมเพิ่งโทรคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติและประโยชน์ของข้าว เห็นพระคุณของพระแม่โพสพนั้นยิ่งใหญ่ที่เลี้ยงเหล่ามวลมนุษย์ เลยออกปากบอกรุ่นพี่ไปว่า ปีหน้าผมจะสร้างพระผงเป็นพระแม่โพสพให้ ( ส่วนพระแม่ธรณี ในปีนี้ผมได้จัดสร้างพระผงไปแล้ว )

    พระแม่คงคา ถ้ามีโอกาสในอนาคตก็อยากสร้างเช่นกัน

    การสร้างนั้นเพื่อให้บุคคลมีความระลึกถึง และเราก็สอนถึงพระคุณของแต่ละท่าน ตลอดจนการปฎิบัติ การแผ่เมตตา เวลาเราทำบุญส่วนใหญ่มักจะลืมนึกถึงท่านผู้มีพระคุณเหล่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2007
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันนี้มีบุญพระกรรมฐานมาฝากครับ ลุยมาเต็มที่เลย หวังว่าคงจะเกิดประโยชน์และความสุขกับท่านทั้งหลายนะครับ สาธุ
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ไม่มีประโยชน์อะไร ที่นำเรื่องไม่จริงมาพูดเล่น

    เชื่อ ไม่เชื่อ ...ก็อยู่กับตัวของเรา
    เตรียม ไม่เตรียม....ก็อยู่กับตัวของเรา
    พร้อม ไม่พร้อม...ก็อยู่กับตัวของเรา
    เรื่องจิตใจ....ก็เรื่องของตัวเรา
    เรื่องการกระทำ...ก็เป็นเรื่องของตัวเรา
    สุดท้าย....ก็ต้องพึ่งการกระทำที่ทำไปแล้วทั้งสิ้น

    *** ได้แค่เตือนและอ้อนวอนให้เชื่อ ****

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. whitenaga

    whitenaga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    796
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ขอบคุณสำหรับคำตักเตือนเรื่องสัจจะค่ะ เห็นจริงกับประโยชน์เรื่องของสัจจะนี้ หากไม่ตั้งสัจจะและ ตั้งใจกระทำตามสัจจะที่ตั้งใจไว้ จะกลายเป็นคนโลเล ทำอะไรไม่แน่นอน ทำอะไรสำเร็จยาก (เหมือนปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปแบบไม่มีทิศทาง)

    ครั้งพอตัวเราเองพยายามจะทำอย่างที่ตั้งใจเพื่อให้เกิด สัจจะนี้ก็มีอันมีเหตุการณ์ให้เราผิดสัจจะอยู่ร่ำไป คงต้องอาศัยกำลังใจและความมุ่งมั่นที่เข้มแข็งมากกว่าเดิม (อันนี้บอกตัว whitenaga เองค่ะ) ไม่ง่ายเลย แต่ก็คงไม่ยากหากเราพยายามอย่างเต็มที่จริงๆ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post880861 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Xorce<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_880861", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 12:08 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2007
    อายุ: 17 ปี
    ข้อความ: 22 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 383 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 392 ครั้ง ใน 23 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_880861 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->วันนี้มีบุญพระกรรมฐานมาฝากครับ ลุยมาเต็มที่เลย หวังว่าคงจะเกิดประโยชน์และความสุขกับท่านทั้งหลายนะครับ สาธุ
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>


    ให้เพื่อนๆโมทนา ก็ต้องเล่าให้เพื่อนๆฟังเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆท่านอื่นด้วยครับ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พีเอ็มจากคุณ chdhorn ครับ

    "ตอนนี้น้องชาย "เล่น" สลับกองกสิณสนุกไปเลยค่ะ... เห็นอะไรจับมาเล่นหมด... บางทีนึกสนุกยังเล่นกับเขาเลยค่ะ...

    ส่วนตัวเอง บางวันเห็นโครงกระดูก และอวัยวะภายในชัดเจนใสปิ๊งเป็นแก้วแวววาวเลย แต่บางวันก็มืดตื๊อเลย ทั้งๆ ที่อธิษฐานแล้วนะคะ... อ้อ! อาการนี้เป็นเฉพาะตอนนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นเรื่องเป็นราวค่ะ... แต่ถ้าลืมตาจะเห็น "ข้างใน" ชัดกว่าหลับตาหน่อยค่ะ... ตอนนี้เวลามองคนในครอบครัว ก็พยายามมองให้เห็นอวัยวะภายในของพวกเขาเป็นแก้วใสค่ะ... เผื่อมีโรคภัยไข้เจ็บ (โดยเฉพาะหลานชายคนโต) จะได้บรรเทาได้บ้าง... พอจะช่วยได้ไหมคะ

    แล้วตอนนี้พอจับร่างตัวเองให้เป็นแก้วใสแล้วก็จะเพิกออกให้เหลือแต่ความว่าง... แม้วัตถุต่างๆ และ จิตก็ไม่เหลือ มีแต่ความว่าง... การรับสัมผัสทางอายตนะ 6 ก็ไม่เหลือให้เหลือแต่ความว่าง... จนท้ายที่สุดสัญญาความจำทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตก็ไม่ควรยึดถือ เพราะยังจะทำให้ทุกข์อยู่ เมื่อไม่ยึดก็มีแต่ความว่าง... ชีวิตเป็นทุกข์ รูปพรหม อรูปพรหม ก็ไม่หมดทุกข์จริง ดังนั้นเราไม่ต้องการ ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น...

    ตอนนี้ทำแบบนี้อยู่ค่ะ... แต่ยังไม่คล่องเท่าไหร่ ถ้าทำได้คล่องทั้งลืมตาหลับตาแล้วจะรายงานเข้าไปให้ทราบเป็นเรื่องเป็นราวอีกทีค่ะ... ว่าแต่ทำถูกหรือเปล่าค่ะ...

    อ้อ! แล้วก็ตั้งใจว่าพอทำได้คล่องแล้ว จะเอากรรมฐานทั้ง 40 กอง มาจับเข้าฌาณ 1 - 8 ให้หมดเลยค่ะ... เพราะตอนนี้เท่าๆ ที่เอามาดูก็เกือบครบแล้วค่ะ... โลภมากไปหรือเปล่าค่ะ... บุญบารมี วาสนาจะมีพอที่จะทำได้หรือเปล่าค่ะ..."

    ----------------------------------------------------------------------

    พี่ๆน้องๆ ครับอยากให้ดูกำลังใจในการปฏิบัติกันครับ โดยเฉพาะหนุ่มๆ พุทธภูมิทั้งหลาย

    มีน้องสาว มาคว้ากรรมฐานสี่สิบกองไปกินก่อนนี่ ไม่ธรรมดาครับ

    ก็ขอให้โมทนาในการปฏิบัติของกันและกันเอาไว้ ยินดีในความดี ความเจริญในธรรมของผู้อื่นเป็นมุทิตาครับ เห็นเขาก้าวหน้าแล้วเราชื่นใจ ดีใจแทนครับ ทรงเอาไว้ให้ครบ ทั้งพรหมวิหารสี่ ทั้งสี่ประการ ไม่ใช่รู้จัก เมตตา ตัวเดียว

    ของทุกอย่างไม่เกินกำลังใจ ของทุกท่านที่ปรารถนาเพื่อความดีครับ
     
  15. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อ่านแล้วน่าสนุกจังเลยครับ ของผมยังไปไม่ถึงไหนเท่าไหร่เลย T_T
     
  16. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ให้เหลือแต่ความว่าง... จนท้ายที่สุดสัญญาความจำทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตก็ไม่ควรยึดถือ เพราะยังจะทำให้ทุกข์อยู่ เมื่อไม่ยึดก็มีแต่ความว่าง...ชีวิตเป็นทุกข์ รูปพรหม อรูปพรหม ก็ไม่หมดทุกข์จริง ดังนั้นเราไม่ต้องการ ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น...

    สาธุจ้า..อนุโมทนาทั้งปัญญาและบุญคุณน้องด้วยใจจริงทีเดียว...
    ไม่ติดสามีหนึ่งลูกสามกับสรรพสัตว์ที่เป็นบริวารตามมาอีกกองจะหนีไปฝึกเข้มแข่งบุญกับคุณน้องทั้งสองบ้าง


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2007
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วันนี้เรามาฝึกกันต่อในเรื่องของ " เจโตปริยญาณ"ครับ

    เจโต แปลว่า จิต
    ปริยะ แปลว่า การเรียนรู้
    ญาณ แปลว่า เครื่องรู้

    ดังนั้นก็มีความหมายถึง ญาณเครื่องรู้เพื่อการศึกษาและการรู้ จิต รู้วาระจิต


    พอภาคปฏิบัติใน การที่ได้เจโตปริยญาณนั้น นอกเหนือจากการรู้เองเห็นเอง และการใช้มโนมยิทธิดังที่เคยได้กล่าวมาแล้วนั้น

    อยากขอเน้นหนักในเบื้องต้นในการดูจิตของตนเอง ก่อนเป็นหลัก เพราะหาก จิตเราเองเรายังไม่ดู ไม่รู้ ว่าขุ่นมัว ไปดูจิตชาวบ้านก็ถูกมารหลอกเสียหมด ดูไปก็ดูผิด เปล่าประโยชน์

    ดังนั้นเรามาดู จิตของตัวเราเองก่อนจะดีที่สุด เพราะอันที่จริง เรื่องการดูจิตนี้จะไปเชื่อมโยงกับ กายคตาสติปัฐฐาน ใน มหาสติปัฐฐานสี่ ซึ่งจะกล่าวในภายหลัง

    การดูจิตนั้น หากใช้มโนมยิทธิเราก็จับลมสบายทำกรรมฐานเจริญวิปัสนาญาณขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านแล้ว อธิฐานขอให้เห็นดวงจิตของตนเอง ในลักษณะของดวงแก้ว แทนดวงจิต

    หากต้องการเรียนเรื่องจิตให้ละเอียดก็เริ่มจาการเรียนรู้กิเลส ที่ปรากฏหรือที่จรมาในจิต

    พวกเราทุกคนรู้จักจิตประภัสสรอันเป็นจิตเดิมแท้กันแล้ว จิตอันเป็นเมตตาอัปปันนาณฌานแล้ว จิตอันทรงอารมณ์พระนิพพาน ทั้งเห็นนิมิตรของดวงจิตและจดจำอารมณ์ในสภาวะจิตนั้นด้วย


    คราวนี้เรามาเรียนรู้ในเรื่องของกิเลสที่มาพอกดวงจิตเดิมแท้อันประภัสสรของเรากันก่อนดีกว่า

    เรามาเริ่มศึกษากันว่า เมื่อกิเลสเข้ามากระทบใจ มีผลกับดวงจิตของเราอย่างไรบ้างทั้งทางด้านดวงจิตในนิมิตรและอารมณ์ใจ ไปจนถึงปฏิกิริยาในร่างกายเรา

    ให้เราเริ่มต้นที่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นแก้วประกายพรึกเป็นที่ตั้ง จากนั้นอารธนาบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ขอเรียนรู้เรื่องจิต ขอให้ได้รู้ได้เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการ

    จากนั้น ทำความรู้สึกว่า เรามีความโกรธก่อน เอาไม่ต้องมาก จากนั้นให้สังเกตุดูว่าสีของจิตเริ่มเปลี่ยนไป ลองดูว่าเป็นสีอะไร ลองดูว่าพอเราเร่งความรู้สึกโกรธ สีที่แผ่มาคลุม มีความทึบขึ้นเข้มขึ้นหรือไม่อย่างไร (บางคนจะเห็นภาพขาวดำ เห็นแค่ว่ามีสีดำมาปกคลุมจิตให้ทึบหมดประกาย) พอถึงจุดนี้ดู"อารมณ์ใจ"ของเรา ในขณะโกรธว่ามีสภาวะอะไร ให้เรียนรู้ด้วยตนเอง

    พอผ่านขั้นนี้ให้ลองใช้ตัวรู้พิจารณาในกายของเราดูปฏิกิริยาของร่างกายที่มีผลกระทบจาก จิตที่มีความโกรธ ให้ศึกษาและรู้ได้ด้วยตนเอง

    จากนั้นให้ใช้วิปัสนาญาณเข้ามาจับ มาพิจารณาให้เห็นโทษของความโกรธที่เกิดขึ้นในจิต

    พิจารณาให้เห็นว่าจิตใจของเราเศร้าหมองเร่าร้อน ไม่เปล่งประกาย

    พิจารณาให้เห็นว่าอารมณ์ใจนี้น่ารังเกียจ เป็นโทษมีอบายภูมิเป็นที่ไป

    พิจารณาให้เห็นว่า พิษต่อร่างกายที่เกิดจากความโกรธนี้เป็นโทษอย่างยิ่ง

    ดังนั้นขึ้นชื่อว่าความโกรธเราละเสียทิ้งเสียออกไปจากจิตของเรา จากนั้นเพิกดวงจิตของเราให้สะอาดแวววาวใสเป็นแก้วประกายพรึกอีกครั้ง


    จิตที่มีความโกรธ เรารู้เพื่อละ เพื่อเลิก เพื่อหลีกเลี่ยง เพื่อดับ

    จากนั้นพิจารณาในอารมณ์ใจ ที่แตกต่างกันออกไปทีละอารมณ์ เช่นอารมณ์หลง อารมณ์โลภ อารมณ์รัก เรียนรู้และพิจารณาไปด้วยจิตตัวรู้อันเป็นตัวเดียวกับที่เราใช้รู้อาการของลมหายใจ ในลมสบาย

    จบแต่ละอารมณ์ก็จงชำระล้างจิตให้ใสสะอาดทุกๆครั้ง อธิฐานจิตเพื่อละจากอารมณ์จิตอันเป็นโทษทั้งปวงเหล่านี้

    พอทำได้จนเข้าใจดีแล้ว ก็ใช้วิธีการดูจิตข้างต้นมาพิจารณาในสังโยชน์สิบอีกครั้งหนึ่ง ไล่ทีละข้อ ค่อยๆตัด ค่อยๆละไป


    การฝึกเจโตปริยญาณแบบนี้ขอให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ท่านมาสงเคราะห์ทุกครั้ง เพื่อเป็นกำลังในการพิจารณา


    ขอให้ความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตใจจงมีแด่ทุกๆท่านตอดไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ก็ใจมันคิดเอง ****

    บางที... ใจมันไม่ชอบ
    แต่ การกระทำ ไม่ได้แสดงออกมา
    เพราะ....จิตยังพอควบคุมได้บ้าง

    ลอง หยุดตั้งแต่ความคิด เรื่องนั้น
    สัจจะ ว่าไม่คิด.......๑ ชั่วโมง
    จะคุมตั้งแต่ ความคิด คือ ใจ...ปาก คือ วาจา....การกระทำ คือ กาย

    ก็ใจมันชอบคิดตามนิสัยตัวเอง
    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ต่อไปเป็นการใช้เจโตดูจิตฝึกจิตของตนเองอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการ "ลอก" โลกสมมติออกไปจากดวงจิต จนเห็นจิตอารมณ์ใจของตนเอง


    ก่อนอื่นให้จับ ลมหายใจสบาย ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ให้ท่านมาสงเคราะห์

    กำหนดให้เห็นตัวเรากายเราในปัจจุบันนี้

    จากนั้นเริ่มพิจารณา โลกสมมติทั้งปวง อันได้แก่

    -ชาติตระกูลและวรรณะ พิจารณาให้เห็นในสมมติของโลกว่า ชาตินี้เราถูกสมมติว่าเป็นคนในตระกูลเช่นนี้ วรรณะเช่นนี้ เราไปยึดไปติดจนจิตหลงว่าเป็นของดีของวิเศษ จนกลายเป็น มานะทิษฐิถือตัวถือตน
    พิจารณาว่า หากแม้เมื่อเราตายไป ชาติตระกูลก็ไม่มีผลอันใดในการไปเกิดยังสุขคติภูมิของเราแต่อย่างไรทั้งสิ้น กลายเป็นสิ้นสมมติไป เราไม่อาจไปบอกยมบาลอ้างได้ว่าเราเป็นคนตระกูลนี้ไม่ต้องตกนรก ก็หาได้ไม่

    ดังนั้นเราขอลอกเอาความถือตัวเรื่องชาติตระกูลออกไปจากจิตใจของเรา และใช้ชาติ วงศ์ตระกูลของเราในการรักษาความดี สั่งสอนลูกหลานให้เป็นสกุลสัมมาทิษฐิ สืบต่อความดีงาม

    -ยศ ศักดิ์ตำแหน่งการงาน ที่เราถือว่า เก่ง ว่ายศสูงตำแหน่งสูง จนจิตไปยึดไปถือ จนจิตน้อมไปในโลกธรรมแปด

    พิจารณาว่า ตำแหน่ง ยศศักดิ์ ฐานันดร นั้น ครั้น ตายไปก็สลายตัวจากสมมติไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือแม้แค่ถึงวาระ ถึงกาลอายุเกษียณ ตำแหน่งนั้นก็หายไปตามไปด้วย

    จิตเราลอกเอาความยึดถือในตำแหน่งการงานยศ ศักดิ์ ฐานันดรออกไปจากจิตของเรา มองว่าเป็นเพียงภาพลวงตาพยับหมอก สิ่งเหล่านี้ไม่อาจนำพาเราไปยังสุขคติภูมิได้ ตายไป สิ่งสมมติเหล่านี้ก็สลายตัวไปหมด


    ดังนั้นเราขอลอกเอาความยึดถือในยศ ศักดิ์ ตำแหน่งออกไปจากจิตใจของเรา ใช้ประโยชน์จากยศศักดิ์ของเราเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

    -วิชาการความรู้ทางโลก ก็ดี ตำแหน่งทางวิชาการก็ดี ก่อให้เกิดความีทิษฐิมานะ วิชาทางโลกทั้งหลาย เมื่อตายไปก็สูญสลายตัวไปหมด เกิดใหม่ก็มานั่งเรียนกันใหม่ ไม่อาจนำติดตัวไปได้ดังวิชชาทางธรรม อันเป็นเครื่องทำให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์

    เราลอกความยึดมั่นถือมั่นในการยึดติดใน ตำรา วิชาการทางโลก ออกไปจากจิตใจของเรา กำหนดใช้วิชาการความรู้ความสามารถนี้เพื่อคุณประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์อันมีพรหมวิหารสี่เป็นที่ตั้ง

    -ทรัพย์สมบัติ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ก็ก่อให้เกิดมานะความถือดี คั้นพอตายไปจากอันตรภาพนี้เราก็ไม่อาจนำสิ่งใดไปด้วยได้เลยแม้แต่น้อยนิด มีเพียงความดี มีเพียงกุศลเท่านั้นที่นำติดตัวไปได้ทุกชาติภพ

    ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในความมั่งคั่งรำรวย ลอกความยึดติดนี้ออกไปจากจิตใจของเรา กำหนดที่จะใช้ความร่ำรวย มั่งคั่งในการสร้างบารมี สร้างความดี ด้วยปัญญาให้ได้อานิสงค์สูงสุด


    เมื่อลอกสิ่งสมมติทางโลกที่ก่อให้เกิด ความยึดมั่นถือมั่นและมานะทิษฐิ ออกไปจากจิตใจของเราแล้ว ก็มาพิจารณาที่จิตของเราซ้ำดูอีกครั้งหนึ่งว่ามีสภาวะก่อนและหลังการ ลอกล้าง โลกสมมติ ต่างกันอย่างไร แรงยึดเกาะในโลกลดลงออกไปหรือไม่ จิตเราเบาขึ้นไหม

    จากนั้นมา พิจารณากาย ต่อไปว่า กายของเราที่เข้าใจว่าสวย ว่าหล่อ มีความเสื่อม มีการแก่ มีการตายไปในที่สุด ความหลง ทะนงในความสวย ความหล่อ ความงดงามทางกายนั้นล้วนไม่เที่ยงมีแต่หมดไป เสื่อมไปในที่สุด วางจิตเราให้คลายตัวต่อความหลงในกายสังขารนี้


    จากนั้นเรามาพิจารณาดูจิตในสภาวะเป็นดวงจิต ขอศึกษาดูจิตของเราเองในขณะที่เป็นผู้มีศีลห้า(มนุษยธรรม) ว่ามีสภาวะของดวงจิตเป็นอย่างไร หากได้มโนมยิทธิขอดูอาทิสมานกายแบบมนุษย์ประกอบไปด้วย

    จากนั้นขอดูสภาวะจิต(กลางๆไม่จำเพาะว่าเป็นเราเองหรือผู้หนึ่งผู้ใดเพื่อเป็นการเรียนรู้)

    -ขอดูสภาวะจิตของผู้ที่มีแต่การละเมิดศีลเป็นปกติ ว่ามีสภาวะของดวงจิตเป็นอย่างไร อาทิสมานกายมีสภาวะเช่นไร

    -ขอดูสภาวะจิตของผู้ที่มีจิตที่เห็นแก่ตัว ว่ามีสภาวะดวงจิตเป็นอย่างไร อาทิสมานกายเป็นอย่างไร

    -ขอดูสภาวะจิตของผู้ที่ทารุณโหดร้าย ว่ามีสภาวะดวงจิตเป็นอย่างไร อาทิสมานกายเป้นอย่างไร

    พิจารณาดูแล้วมาพิจารณาร่วมกับ โลกสมมติว่า

    "หากคนเรานั้นจิตใจชั่วไม่ว่าจะประการใด แต่หากมียศศักดิ์ มีตำแหน่ง มีทรัพย์สิน เราจะยกย่องนับถือหรือ และเราเองจะเป็นเช่นนั้นหรือ

    เราจะให้คุณค่าที่จิตใจ หรือคุณค่าที่โลกธรรม สมมติทางโลกอันเป็นเปลือกลวงใจผู้คนอย่างในขณะนี้"

    หากท่านผู้ใดพรั่งพร้อมทั้งชาติสกุล ยศศักดิ์ ตำแหน่ง ธนทรัพย์ รวมทั้งสมบูรณ์ บริบูรณ์ไปด้วยความดี คุณธรรมด้วยก็ยิ่งเป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญ อีกทั้งยังยังประโยชน์ต่อส่วนรวมได้มากมาย

    เมื่อรู้จักดูวาระจิตแล้ว เราเองก็จะรักษาจิตให้ดีงามสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่ หน้าตาดีแต่งตัวสวย แต่จิตใจดูไม่ได้ รู้จักรักษาจิตใจให้สมบูรณ์พร้อม งดงามทั้ง ร่างกาย จริยา การกระทำ ตลอดไปจนถึงจิตใจ ให้งดงาม สมบูรณ์ไว้

    สร้างคุณค่าของจิตใจจากภายในออกมา ให้เปล่งประกายส่งเสริมกับคุณสมบัติภายนอกในโลกสมมติ ให้ก่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม โดยปราศจากมานะทิษฐิ เป็นไปเพื่ออรรถเพื่อธรรมเป็นที่ตั้ง


    ขอให้ทุกๆท่านได้เปล่งประกายจิตใจอันดีงามจากภายในของท่านจนแสดงศักยภาพทั้งภายในและภายนอก ออกมาอย่างเต็มกำลังเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมกันได้ทุกๆท่านด้วยเทอญ (good)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2007
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    สวัสดีครับ เนื่องจากกระผมให้เพื่อนๆโมทนากันโดยไม่ได้เล่าว่าไปทำอะไรมา หากโมทนาโดยไม่ทราบว่าไปทำอะไรมาก็คงจะไม่ดี ก็เลยขอโอกาสนี้มาเล่าให้ฟังครับ คือว่าผมไปนั่งสมาธิกันเป็นกลุ่มๆน่ะครับ กลุ่มใหญ่เหมือนกัน โดยจะฝึกกรรมฐานโดยใช้วิธีหลักคือ จะตั้งฐานพระพุทธรูป 5จุดครับ โดยตั้งเอาไว้เหนือศรีษะ1 กลางหน้าผาก 1 บ่าขวา 1 บ่าซ้าย 1 และ ตรงกลางระหว่างท้องอีก 1 ครับ บ่าขวานั้นท่านให้เสมือนการแบกพระคุณของบิดา และบ่าซ้ายคือพระคุณของมารดาครับ จากนั้นก็จับลมหายใจ และก่อนจะเลิกก็จะให้ใช้มโนยิทธิ กับแผ่เมตตาเป็นการเจริญพระกรรมฐานต้อนรับปีใหม่ครับ ก็ขอขอบพระคุณเพื่อนๆที่โมทนานะครับ ขอให้เจริญทั้งทางโลกทางธรรม ต้อนรับปีหน้านะครับ ขอขอบพระคุณพี่คณานันท์มากมากนะครับ ขอให้ทุกๆท่านกระทำสิ่งที่ได้อธิษฐานเอาไว้ ได้สำเร็จทุกประการนะครับ สาธุ
    ลองอ่านข่าวนี้ครับ เหมือนเคยได้ยินจากใครมาก่อนไหมครับ รู้สึกคุ้นๆอยู่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="92%">
    โดย สำนักข่าวไทย [ 22-12-2550 | 15:06:47 น. ]
    </TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top> </TD><TD vAlign=top colSpan=2><TABLE borderColor=#666666 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="2%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="93%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="7%"> </TD><TD width="93%">อินโดนีเซีย 22 ธ.ค. - เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.4 ริคเตอร์ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานความเสียหาย ผู้บาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต
    สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐ หรือ USGS รายงานว่าศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งดังกล่าว อยู่ลึกลงไปใต้ท้องทะเล 37 กิโลเมตร ห่างจากทางตะวันตก ของเมืองจายาปุระ 182 กิโลเมตร ซึ่งเมืองดังกล่าวอยู่ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย ในเบื้องต้นหน่วยงานดังกล่าวระบุว่า วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.6 ริคเตอร์ แต่ภายหลังได้ปรับลดเหลือ 6.4 ริคเตอร์ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานความเสียหาย ผู้บาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top colSpan=2></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...