จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หยั่งรู้อนาคต...?

    เราไม่รู้หรอกว่า เราเคยทำกรรมอะไรบ้างในอดีต...

    แต่หากว่าวันนี้ใครกำลังทุข์ ก็คิดเสียว่า...นี่เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะทุกข์...

    ...เพราะต่อจากนี้ไป...เราจะสร้างแต่คุณงามความดีไว้เป็นทุน...

    เผื่อวันข้างหน้า...เราจะได้รับผลของความดี ที่เราทำมา...

    ...อย่าน้อยใจกับโชคชะตา...ใคร...จะใหญ่เกินกรรม ...การที่จะเป็น

    ผู้หยั่งรู้อนาคตตนเองนั้น ให้เราเร่งสร้างปัจจุบันเข้าไว้...หากเราต้องการอนาคตที่ดีงาม

    ...เราก็ต้องสร้างแต่สิ่งที่ดีงามอย่างต่อเนื่อง...ค่อย ๆเก็บเล็กผสมน้อยไป...

    ปัจจุบันที่เป็นทุกข์ก็เป็นผลพวงจากอดีต ซึ่งเราอาจจะลืมเลือนหรือผ่านมาหลายภพ

    หลายชาติแล้ว...เมื่อใดที่เกิดทุกข์ให้ใช้โอกาสนั้นรวบรวมกำลังใจ อธิษฐานแก้ไข

    เพราะเป็นจุดที่จะรวบรวมกำลังใจได้อย่างเข้มข้น.....

    ...ตามรอยครู คติธรรม หลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)

    ...น้อมกราบพระธรรมของหลวงตาม้า และน้อมกราบหลวงตาม้าด้วยเศียรเก้ลากราบๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2014
  2. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]


    การทำใจให้ผ่องใส ทำอย่างไร
    ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง


    " จงจำไว้ว่า จริยาที่เราจะต้องทรงใจให้ผ่องใสมีดังนี้ ...

    1. ยามปกติ เราจะไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น
    ใครเขาจะดี ใครเขาจะเลวมันเรื่องของเขา อย่าโอ้อวด
    อย่ายกตนข่มท่าน อย่าถือตัวเกินไป

    2. ไม่มีกังวล

    3. ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง และไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

    4. ระงับนิวรณ์ได้โดยฉับพลัน เมื่อเราต้องการความเป็นทิพย์
    ของจิต ขณะใดที่จิตต้องการสมาธิ ไอ้ความเป็นทิพย์นี่มาจากสมาธิมีความตั้งใจจิตสะอาด ถ้าต้องการจิตเป็นสุขหรือต้องการ
    สมาธิ ต้องระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด

    5. จิตทรงพรหมวิหาร 4 ตลอดเวลา คือเป็นปกติตลอดวัน

    6. และขอแถมอีกนิดหนึ่งคือ ใจยอมรับนับถือความดี
    ของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม ความดีของพระสงฆ์
    มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพาน
    เมื่อนั้น

    ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้อย่างนี้ฌานสมาบัติจะทรงตัว คำว่าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กำลังใจไม่เสมอกัน
    สว่างบ้างมืดบ้างจะไม่มี จะมีแต่คำว่าผ่องใสเรื่อยขึ้นไปตามลำดับ ขึ้นชื่อว่าการเกิดในอบายภูมิต่อไป ไม่มีแน่
    จะเป็นการเกิดเป็นสัตว์นรกเป็นเปรตเป็นอสุรกาย
    เป็นสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ ไม่มีต่อไปอีก
    มีอย่างเดียวคือมุ่งหน้าไปนิพพาน "


    ที่มา FB : https://www.facebook.com/BuddhaSattha
     
  3. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    ขอให้นักภาวนา อดทน !!

    โดยเฉพาะ อดทนต่อสิ่งยั่วยุภายใน
    สิ่งยั่วยุภายนอกยังอดทนกันไม่ค่อยจะได้
    นับประสาอะไรกับสิ่งยั่วยุภายใน

    นี่เป็นสิ่งยั่วยุภายในจิตของตน

    สิ่งที่กำลังจะเตือนนักภาวนาด้วยกัน นั่นก็คือ
    นิมิตต่างๆ อภิญญาต่างๆ
    จะเกิดเฉพาะ นักภาวนาระดับกลางขึ้นไป จนถึงปลายมรรคผล
    หรือจิตเป็นสมาธิสูง หรือระดับฌานขึ้นไป
    สิ่งเหล่านี้ ยากที่จะสอบผ่าน
    นอกจาก สติปัญญาของผู้นั้น เข้มแข็ง จริงๆ
    สิ่งเหล่านี้ เสมือนเป็นทางสามแพร่ง ก่อนจะเข้าสู่ดินแดนนิพพาน

    นักภาวนา ติดกันมา นับตั้งแต่นิวรณ์๕ คือตัวกีดขวางมิให้เข้าถึงความดี
    หรือความสงบสงัด ความปิติสุข
    พอผ่านจุดนี้ไปได้ ผ่านนิวรณ์ ผ่านปิติสุข คือผ่านอุปจารสมาธิ และเข้าสู่สมาธิระดับสูง
    ก็คือ อัปปนาสมาธิ หรือลำดับฌานเป็นต้นไป
    พอจิตถึงฌาน นักภาวนาส่วนใหญ่มักจะติดสุขจากฌานกันอีกรอบนึงก่อน
    เมื่อจิตติดสุขจากฌาน จิตก็ไม่ยอมทำวิปัสสนา เมื่อไม่ทำวิปัสสนาญาณก็ไม่เกิดสักที

    เมื่อหลุดจากฌานกันไปได้แล้ว ยังๆ ไม่พอแค่นี้ ยังจะไปติดนิมิตต่างๆกันอีก
    บางรายมีของเก่า มีของเดิม รู้กันคราวนี้แร๊ะ ใครมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้
    ยิ่งจิตละเอียดมากเท่าใด กิเลสก็ยิ่งละเอียดมากเท่านั้น นักภาวนา อย่าประมาท
    ระวังเรื่องสติให้ดี ตามใดจิตปัญญายังไม่กลายเป็นฌาน หรือวิมุตติ
    หรือเรายังไม่สามารถอยู่เหนือรูปนามหรือขันธ์๕ของตน ก็ต้องอาศัยสติเป็นหลักก่อน
    จนกว่าสติเป็นสัมปชัญญะ เป็นมหาสติ คือสติเกิดอัตโนมัติแล้ว
    พอสติเกิดอัตโนมัติ สมาธิและปัญญาก็จะเกิดอัตโนมัติได้ เมื่อนั้น

    พอนักภาวนาได้จิตปัญญาเป็นของตนเองแล้ว คราวนี้แร๊ะ สิ่งที่จะต้องพึงสังวรณ์
    พึงระมัดระวังกันให้ดี ก็คือ อัตตาละเอียดยิ๊บๆ กูรู้จะเกิดกับผู้นั้น กูรู้แล้ว
    คราวนี้ ใครสั่งสอนไม่ได้แล้ว อาการนี้เป็นแทบทุกคนเลย แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี
    นี่เป็นกิเลสอันละเอียดของตนเอง

    กลับมาพูดเรื่องนิมิตกันใหม่ นิมิตถือเป็นสิ่งกระทบจิต ซึ่งเกิดมาจากภายในจิตเอง
    นิมิตเกิดจากจิตละเอียด เห็นด้วยตาใน จิตเที่ยวไปเห็น ไปรับรู้นู้นนี่เอง
    ทีนี้ละ ถ้าสติใครไม่แน่น จะตามจิตตนไม่ทัน ปัญญาบางทีก็อาศัยไม่ได้
    มาถึงตอนทดสอบสติปัญญาของตนกันแล้ว ที่ทำกันมามาก ดูสิว่าจะสอบผ่านกันไหม
    ฌานก็ได้แล้ว ดูสิ จะรอดไหม
    นักภาวนามักติดนิมิตกันมาก บางรายมีของเก่า เช่น หูทิพย์ ตามทิพย์ เป็นต้น
    เมื่อจิตมีปัญญาเป็นองตนเองแล้ว ยังๆไม่พ้นซะทีเดียวนะ ขอบอก
    อย่าเพิ่งอวดเก่ง อย่าเพิ่งว่า กูแน่ กูเก่งแล้ว อย่าเพิ่งว่าตนดีแล้ว
    แต่ถ้าคิดเมื่อไหร่ เตรียมตัวได้เลย โดนแน่ ข้อหา เ ล ว แน่

    ขอให้นักภาวนาอดทน อดทนสิ่งที่จิตไปรู้ ไปเห็น ขอให้วางชั่วคราวก่อน
    แล้วตั้งใจปฎิบัติต่อไป คือตามดูจิต ตามรู้จิต ด้วยใจเป็นกลาง
    โดยเฉพาะ ด้วยใจเป็นกลาง นักภาวนาส่วนใหญ่ ตกกันโล๊ด

    นักภาวนา ลืมคำอธิฐานจิต ก่อนปฎิบัติธรรม คือลืมไปว่า ตนปฎิบัติเพื่อหลุดพ้น
    ป ฎิ บั ติ เ พื่ อ นิ พ พ า น หรือ ปรารถนาพระนิพพานกันใช่ไหม
    แล้วตอนนี้ กำลังเล่นอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่ กว่าจะรู้ว่า ขี้ อีกนาน
    พอรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ คือขี้ หรือ สิ่งไร้สาระ เมื่อไหร่ เราก็ไปนิพพานได้ เมื่อนั้น

    แต่กว่าจะผ่าน คำว่า นิมิต หรือ อภิญญากันมาได้ นอกจากจะอาศัย สติปัญญาตนเป็นหลักแล้ว
    หรือทำจิตละเอียดจนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าหรือครูบาจารย์มาสอนในจิต
    แต่ถ้าปฎิบัติกันยังไม่ได้ ก็เหลืออย่างเดียวก็คือ สติปัญญาของตนเองแล้ว
    นักภาวนาหลายท่าน ตกแล้วตกอีก ไม่มี คำว่า เข็ด ไม่มี คำว่า เจ็บ
    เพราะพระท่านบอกว่า เราขาดสติกรองนอก ปัญญากรองในกันเอง
    แล้วเราจะไปโทษใครเขา ก็เพราะว่า สติปัญญาของเรามันอ่อนเกินไป

    เพราะฉะนั้น นักภาวนา อย่าประมาท ถ้าจิตตนกลายเป็นปัญญาแล้ว
    กูรู้ ไม่เอานะ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งต้องวางให้เป็น วางด้วยปัญญา
    เมื่อนักภาวนาได้จิตปัญญาแล้ว ต่อไป ให้จิตปัญญาเข้าถึงพระรัตนตรัยให้จงได้
    ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว จิตหลุดพ้นยาก ยากมากจริงๆ ที่เราจะออกมาจาก คำว่า รูปนามของตนเอง
    ถ้าจิตปัญญาเข้าถึง คำว่า พระรัตนตรัยแล้ว จิตจะมีกำลังใจ มีพลังพุทธมหาศาล
    กำลังใจตรงนี้ พลังพุทธตรงนี้ จะช่วยให้จิตหลุดพ้นง่าย แทบไม่ต้องออกแรงมาก
    เพราะผู้ปฎิบัติธรรมส่วนใหญ่มักเอาแต่พระธรรมหรือคำสอนอย่างเดียวไม่ได้
    ในระหว่างเดินมรรคเหนือยนักก็พักจิตที่สมาธิหรือฌาน ดีที่สุด ค่อยพิจารณาธรรมใหม่ ต่อไป
    จิตธรรม เจริญในธรรม ก็จะเกิดไวกับผู้นั้น เพราะในระหว่างเดินทางสายกลางนี้
    จะมีสิ่งมาคอยดักตีหัวเราข้างทางแห่งมรรค คือจะคอยมีสิ่งทดสอบจิตเรา นั่นเอง

    โมทนาสาธุ ขอให้สอบผ่านกันไวๆนะ แต่ละด่น แต่ละจุดนั้น มีความหมายมาก
    ขอให้ทุกๆท่าน เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุ

    ทำไม ถึงชื่อ ภูทยานฌาน เพราะตอนนั้น ปฎิบัติธรรมใหม่ จิตทรงฌานก่อนแล้ว
    พอมาตอนนี้ ฌานก็แค่ยานพาหะชนิดนึง บันไดชนิดนึง เท่านั้นเอง
    ถามว่าจำเป็นไหม สมาธิหรือฌาน จำเป็นนะ สำหรับสายเจโตวิมุตติ
    เพราะศีลชำระล้างจิตเบื้องต้น สมาธิหรือฌานชำระล้างจิตตอนกลาง
    ส่วนปัญญาชำระล้างจิตเบื้องปลาย

    แต่สายปัญญาวิมุตติ เหนื่อยหน่อย เพราะอาจต้องออกแรงมาก ต้องมีความอดทนเป็นเลิศ
    สายนี้น่าเห็นใจมาก ยิ่งผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน โดนจนน่วมเลย ยอมเน๊อะ ตายเป็นตาย
    กายมิใช่เรา มิใช่ของเรานิ ท่องกันเล่นๆ ไม่ได้อะไรนะ
    เมื่อเราเลิกสนใจกายหยาบได้ ต่อไป ถึงจะมาสนใจเรื่องจิตตนเอง
    เพราะต่อไป จิตก็ไม่ใช่ตนอีก เพราะถ้าเรารู้สึกว่าเรายังติด ยังมีอะไรอยู่ก็ตาม
    แสดงว่า จิตจะยังไปพระนิพพานไม่ได้แน่ เพราะเราจะต้องเป็นผู้ที่ไม่มีอะไรเลย
    หรือดับไม่เหลือ คือการดับอารมณ์จิตได้ระดับนึง
    จริงๆแล้วเรามิได้เป็นผู้ดับในสิ่งที่กำลังเกิด กำลังดับอยู่ตามธรรมชาติ ไม่มีใครดับได้
    เห็นมีแต่ไม่ไปสนใจในธรรมารมณ์หรืออารมณ์จิตของตน
    นี่คือ การอยู่เหนือตัวสังขารขันธ์ตน (คิดปรุงแต่ง)
    พอเราไม่สนใจตรงนั้น เพราะเราเข้าใจแล้ว
    เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนัตตา ไม่มีสิ่งใดจะพ้นกฎไตรลักษณ์เลย

    เพราะฉะนั้น จิตปุถุชนกับจิตอรหันต์ จึงเห็นเกิดดับไม่พร้อมกัน
    จิตอรหันต์เห็นเกิดดับพร้อมกับ จึงดับไม่เหลือ คือการอยู่เหนืออารมณ์ตนได้
    ส่วนจิตปุถุชน เกิดดับเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับสติตัวเดียวเลย
    เช่น ภรรยาโกรธสามีข้ามวัน ข้ามคืน หนักกว่านี้ก็มีคือโกรธข้ามเดือน ข้ามปีก็มี
    เพราะว่าอะไร พอสติมาที ลืมความโกรธของตนซะงั้น พอมีความสุขทางโลก ลืมสติตนซะงั้น

    จงระวังให้ดี โดยเฉพาะติดสุข วิ่งหนีทุกข์ จิตพร้อม?
    พอทุกข์เข้ามาเยือน(ทีเผลอ) เพราะเมื่อมีสุข อีกไม่นานเดี๋ยวก็จะทุกข์อีก
    พอทุกข์อีก คนที่ไม่ฝึกจิต ทำเป็นไม่มีความอดทน เพราะเดี๋ยวทุกข์กำลังจะเคลื่อนออกจากจิตแล้ว
    พอเบื่อทุกข์มาก ก็จะหนีไปนิพพาน ผู้ที่ไปนิพพานได้ ง่ายนิดเดียว
    คืออยู่เหนือธรรมารมณ์ อารมณ์หรือความรู้สึกตนสิ ไปเอาทำไมแค่ความรู้สึก
    พูดง่าย เข้าใจง่ายยนะ พอถึงเวลา ทำไม่ได้หรอก
    เพราะฉะนั้น พระธรรมคำสอนฯ ใครๆก็เข้าใจได้ แต่ แต่
    ปล่อยวางทันที ทันใด เหมือนพระอรหันต์ไม่ได้
    เพราะเหตุใด จงถามตนเองให้ดี

    ภูทยานฌาน


    ที่มา FB : https://www.facebook.com/phu.bodin.3?fref=ts
     
  4. swansomtao

    swansomtao สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +12
    แรกเกิดมาเราก็ยังร้องไห้เองได้ ไม่ต้องเรียนร้องไห้จากใคร แต่ก่อนตายร้องไห้จนหยุดไม่ได้ ก็ทำไมไม่เรียนการหยุดร้องไห้ จากใครๆที่รู้ใจรู้จริงสักคน
    จากหนึ่งก้าวหกสิบ ...น้าหมู
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    วิหารเทพวิทยาคม

    โครงการอุทยานธรรมวัดบ้านไร่
    ภายใต้หัวข้อที่ว่า...

    "อุทยานธรรมกลางน้ำ พุทธสถานศักดิ์สิทธิ์ งามวิจิตรสถาปัตย์ ศูนย์กลางปฏิบัติจาริกแสวงบุญ หลวงพ่อคูณประทีปธรรมแห่งแดนอีสาน"

    อันเปรียบเสมือนของขวัญชิ้นพิเศษที่คณะศิษย์ได้จัดสร้างถวาย
    "พระเทพวิทยาคม"หรือ "หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ"
    วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
    ฉลองอายุวัฒนมงคล 90 ปี ตามเจตนารมณ์
    ด้วยหลวงพ่อคูณมีความตั้งใจพัฒนาวัดบ้านไร่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวด้านพระพุทธศาสนาที่สำคัญ สำหรับพุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ

    อุทยานธรรมกลางน้ำแห่งนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างสูง 3 ชั้น กลางบึงน้ำวัดบ้านไร่ มีความกว้าง 60 เมตร ยาว 60 เมตร เป็นปริมณฑล อาคารสิ่งก่อสร้างองค์กลาง มีขนาดกว้าง 30 เมตร ยาว 30 เมตรโดยประมาณ ความสูง 42 เมตร นับถึงสิ่งก่อสร้างซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อโลหะองค์หลวงพ่อคูณ

    (จิตเกาะพระ..ขอโมทนาสาธุและภูมิใจแทนคนโคราชด้วยครับ)


    [​IMG]

    Credit: Muangthai.Com Fanpage
    https://www.facebook.com/MuangthaiCom
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ แหม๊ ช่างพูด ช่างเจรจา ช่างเปรียบเปรย
    สวัสดีและยินดีที่มาเยี่ยมชมกระทู้
    แต่จะทำยังไงได้ คนเหมือนกัน แต่ภายในต่างกัน โดยเฉพาะสติและปัญญา
    แต่ก็ต้องเห็นใจกัน เมตตากันไป

    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงยิ่ง ที่มาโพสต์ ช่วยเตือนสติและจิตกัน..สาธุ
    วันหน้ามาให้ธรรมะอีกนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มีนาคม 2014
  7. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    --การทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา--


    [​IMG]

    ทุกวันนี้ เรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะฉะนั้น บรรดาญาติธรรม กัลยาณมิตรหลายท่าน จึงต้องดิ้นรน หาเลี้ยงชีพจนบางครั้งแทบจะไม่มีเวลาสร้างบุญกุศลกันเลย เอาล่ะครับแต่ไม่เป็นไร

    วันนี้ผมมีเคล็ดลับ เล็กๆ ที่่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับหลายๆท่านที่ไม่ค่อยมีเวลาในการ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มาฝากกันครับ

    -----การทำทาน----

    การทำทาน สามารถทำได้ง่ายมากๆ อย่าลืมว่า แม้ในขณะที่ใจคิดจะให้ก็ถือว่าเป็นกุศลแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราไม่ค่อยมีโอกาสไปวัด เราก็สามารถทำกุศลได้ เช่น หลังจากไหว้พระสวดมนต์เสร็จ ให้นำเงินใส่กระป๋อง หรือกระปุก ตั้งไว้หน้าหิ้งพระ วันละเท่าไรก็ได้ตามตามกำลังศรัทธาของเรา ๕ บาท ๑๐ บาท ใส่ไปเรื่อยๆ แต่ต้องใส่ทุกวันนะครับ ระหว่างที่ใส่ก็ให้ อธิฐานจิตว่า เงินส่วนที่หยอดทุกวันนี้จะนำไปทำบุญที่วัด เป็นสังฆทาน วิหารทาน หรือ งานพระศาสนา อย่างใดอย่างหนึ่ง หากมีเวลาที่เป็นวันหยุด หรือมีโอกาสไปวัด ก็นำเงินเหล่านี้ ไปหยอดตู้ หรือไปซื้อสังฆทานถวาย เท่านี้ก็เป็นการทำทานที่ทำได้ง่ายๆ ซึ่งเราก็สามารถทำได้ง่ายๆที่บ้านแต่ก็มีอานิสงส์เทียบเท่ากับทำที่วัดเลยนะครับ

    -----การรักษาศีล------

    ศีลแปลว่าปรกติ กล่าวง่ายๆคือ การรักษาศีล เป็นไปเพื่อความปรกติสุข เป็นการไม่เบียดเบียน ตนเอง และผู้อื่นนั่นเอง เพราะฉะนั้น ง่ายมากครับ เอาง่ายๆ ถ้าไม่มีเวลาไปรักษาศีลอุบสถที่วัด หรือแม้แต่ว่า ตอนที่เราอยู่บ้านถ้าวันไหนที่เรายุ่งจริงๆและง่วงมากๆ จนแทบไม่มีเวลา จะสวดมนต์ไหว้พระเลย ก่อนนอน ให้สมาทานศีลก่อนนอนทุกวัน ให้ตั้งนะโมก่อนสามจบ หลังจากนั้น พูดเป็นภาษาไทยนี่ล่ะ ง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยาก ว่า จะไม่ ฆ่าสัตว์ จะไม่ลักทรัพย์ จะไม่ประพฤติผิดในกาม จะไม่พูดจา เพ้อเจ้อ ส่อเสียด โกหก จะไม่ดื่มสุราและของมึนเมา(อันนี้ เราทำได้แน่ เพราะขณะนอนหลับ คงไม่มีใครผิดศีลเป็นแน่แท้) แล้วก็ก่อนหลับก็จับลมหายใจ หรือ นึกถึงภาพพระไปด้วย จนหลับไปนั่นแหล่ะครับ อันนี้ถือมีกุศลมากเพราะหลับไปพร้อมกุศล

    เห็นมั้ยครับ อย่างน้อยๆ ในแต่ละวัน เราก็ยังได้รักษาศีลขณะหลับ และที่สำคัญ การสมาทานศีลก็เป็น สีลานุสติกรรมฐานด้วย อานิสงส์อย่างน้อยๆ ก็สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นอย่างต่ำ ส่วนหลังจากตื่นนอนแล้ว เราก็สมาทาน ทับไปอีก เหมือนเดิมว่า เราจะไม่ล่วงละเมิดศีลเป็นอันขาด พยายามทำให้เป็นปรกติทุกวัน แล้วเวลาที่เราจะทำความชั่ว จิตมันจะนึกของมันเลยว่า เฮ้ย..! ไม่ได้ๆ เราสมาทานศีลแล้ว เราจะผิดศีลไม่ได้ ..!! อันนี้มันก็ช่วยยับยั้งได้ในระดับหนึ่ง ไม่มากก็น้อย จริงมั้ยครับ ถ้าเราทำได้ทุกวัน จากที่เราเคยรักษาศีล ต่อมา ศีลก็จะรักษาเราโดยอัตโนมัติ พูดง่ายๆคือเรารักษาจนเคยชินและไม่รู้สึกเ็ป็นเรื่องหนักอะไร และเราก็จะไม่ทำผิดศีล โดยเจตนา เพราะเราได้รักษาศีลเป็นปรกติแล้ว สิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง โดยจะค่อยเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย จนคนรอบข้างรู้สึกแปลกใจเลยล่ะครับ

    ----------การ ภาวนา ------

    การภาวนา แปลว่า การทำให้มี ขึ้น การทำให้เกิดขึ้น ซึ่งความสำเร็จ แบ่งได้เป็นสองแบบคือ สมถะภาวนา กับวิปัสนาภาวนา ในที่นี้ผมจะกล่าวถึงสมถะก็แล้วกันนะครับ

    สมถะภาวนาหมายถึง การกระทำให้เกิดขึ้นซึ่งความสงบของจิตใจ คือการเพิ่มพลังของจิต ให้จิตมีกำลัง ในการตัดสินใจในกิจการงานต่างๆนั่นเอง ยิ่งจิตกระเพื่อมไหวน้อยเท่าไร ยิ่งเกิดดีผลในการทำงานมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับคนวัยทำงานอย่างเราๆ ท่านๆ

    สมถะ มีหลากหลายรูปแบบ แบ่งได้แยกย่อยถึง ๔๐ กอง และอีก ๑ กอง ในมหาสติปัฏฐานสูตร แต่ในที่นี้ ผมจะกล่าวถึงการภาวนา แบบใช้คาถา คาถาแปลตามตัวอักษรว่า มีวาจาเป็นเครื่องกล่าว กล่าวคือ ใช้วิธีท่องบ่นนั่นเอง พูดง่ายๆคือ การสวดมนต์นั่นแหละครับ

    สำหรับบรรดาลูกหลานหลวงพ่อ ที่ฝืดเคืองเรื่องเงินๆทองๆ ผมแนะนำ คาถาที่ช่วยให้เกิดลาภ เงินทองไม่ติดขัดคือ พระคาถาเงินล้าน ซึ่งผม และบรรดากัลยาณมิตรหลายท่านได้ประสบพบเจอด้วยเองแล้วว่า สุดยอดมากๆ ตัวคาถา มีดังนี้ครับ

    สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
    พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ(คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม(คาถาเงินแสน)
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม(คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตพาหุหะติ(คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
    วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
    มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม(คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ(คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ


    ในแต่ละวันที่มีเวลาว่าง เช่นพักเที่ยง ก่อนนอน จะว่ากี่จบก็ได้ แต่แนะนำ ให้ว่าอย่างน้อย วันละ ๙ จบ ก่อนนอน หรือก่อนออกจากบ้าน ยิ่งดีครับ คาถานี้ ยิ่งถ้ากล่าวในขณะที่ออกจากสมาธิที่ละเอียด(ฌาน๔ อรูปฌาน๔) จะมีอนิสงส์มากๆ เพราะตัวคาถาจะมีอานิสงส์เท่าไร ขึ้นอยู่กำลังใจของผู้ท่องนะครับ

    ลองทำดูนะครับ ทำทุกวัน ทำอย่างเคร่งครัด ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ทำอย่างมีระเบียบ การทำความดี มันต้องฝืนกันบ้าง แต่มันจะฝืนแค่แรกๆเท่านั้น ต่อไป มันก็จะง่ายสำหรับเรา ลองทำดูครับ แล้ว ในระยะหนึ่งเดือน ทำแล้วได้ผลยังไง ลองมาคุยกัน แต่ผมรับรองครับ ถ้าทำอย่างตั้งใจแล้วละก็ ผลลัพธ์ที่ออกมา คาดไม่ถึงเลยล่ะ

    ด้วยความปรารถนาดี

    โมกขทรัพย์ ลูกหลวงพ่อฯ


    ที่มา : https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=252737838239034&id=100005084584992
     
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    "จงถึงพร้อมซึ่งความไม่ประมาท"...
    พุทธโอวาทสุดท้ายก่อนปรินิพพาน


    คำตรัสนี้ของพระพุทธองค์ยังคงดังก้องอยู่ในจิตของพวกเราหรือไม่?
    ตระหนักในมรณาที่กำลังเดินเข้ามาหาเรามากน้อยเพียงใด?
    เรายังตั้งตนอยู่ในความประมาทอยู่หรือเปล่า...?
    ใคร่ครวญคิดพิจารณาในกรรมฐานกองนี้มากน้อยแค่ไหน?

    มาย้ำเตือนกัน เพราะความตายนั้นไม่มีนิมิตเครื่องหมายบอกล่วงหน้าแต่อย่างใด
    ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านได้อ่านผ่านตา ได้ยินผ่านหูจากเสียงธรรมเสียงเทศน์ มามากต่อมาก
    แล้วได้เคยคิดย้อนกลับมาหาตนเองบ้างมั้ย ว่าความตายนั้นจะเกิดขึ้นกับเรา เวลาใดก็ได้
    เห็นแต่ผู้อื่นตาย...แต่ไม่เคยคิดว่าตนเองจะตาย อะไรหรือที่ตาย กาย หรือ จิต? ...
    ทุกท่านตอบได้หมด ...ว่ากายตาย ไม่ใช่ จิต ...

    จิตของผู้ที่ฝึกปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ยอมรับกฏของธรรมดา เข้าถึงในสัทธรรมอย่างดีแล้ว ย่อมได้เปรียบเมื่อมีเหตุการณ์จริงเกิดขึ้น

    การปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นมุ่งพระนิพพาน จิตเป็นผู้เดินมรรค จิตเป็นผู้ไปนิพพาน
    ในระหว่างการปฏิบัติย่อมต้องเจอ บททดสอบของจริงอยู่ตลอดเวลา ...
    ของจริงต้องวัดกัน ที่เมื่อโดนกระทบแล้ว จิต นิ่งสงบ ไม่หวั่นไหว ...
    เพราะนี่คือการวัดผลของการปฏิบัติ ว่าจิตของผู้นั้นเข้าถึงผลได้มากน้อยเพียงใด...

    นอกจาก อิทธิบาท4 ต้องมีประจำใจของนักปฏิบัติแล้ว ...
    กำลังใจหรือ บารมี10 ต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่าบกพร่องในข้อใด
    การอดทนต่อ ขันธมาร กิเลสมาร ที่มาทดสอบกำลังใจมีอยู่ตลอดเวลา
    ของเส้นทางการเดินมรรค ของผู้ปฏิบัติ จิตเกาะพระ...

    วันนี้ก็จะขอนำ การบ้านของจิตบำเพ็ญ คุณบุญสวรรค์ (น้องเป้)
    มาเป็นตัวอย่างให้ทุกท่านโมทนากับเธอ ...



    ส่งการบ้าน 10 /3/57‏

    สวัสดีค่ะพี่แนท

    รายงานการบ้าน สดๆร้อนๆ ค่ะพี่แนท เหตุเกิดเมื่อกี้ ขณะลงลิฟท์มา กับผู้หญิงอีก 2 คน ลิฟท์เกิดสั่นอย่างแรง และตกวิ้วววว ลงมาจากชั้น 13 ตัวเลขในลิฟท์ ถอยหลังอย่างรวดเร็ว จนเรารู้สึกว่าตัวลอย จิตนึกไปก่อนเลย ถึงเลข 1 เมื่อไหร่ เราก็ตาย วันนี้แหละ ผู้หญิง 2 คนในลิฟท์ โผเข้ากอดกัน กรี๊ดๆๆ หน้าตาตื่น... แต่ๆๆๆ หนูไม่รู้จะเกาะใครอ่ะค่ะ ไม่มีใครให้เกาะ นอกจากพระ ... เห็นกายตัวเองยืนเฉย จิตกลับไม่รู้สึกอะไรเลย... แม้แต่จะตกใจซักกะนิด ก็ไม่มี จิตขณะนั้นมันเฉยเมย กับความตาย มันไม่นึกถึงอะไรเลย มันนิ่ง นิ่ง แล้วก็นิ่ง...ไม่คิดถึงใครเลยด้วย ไม่มีความห่วงหาใครเลยจริงๆ มันมีความมั่นใจลึกๆว่า ถ้าตายวันนี้เราไปนิพพานแน่.. เราไม่ไปที่อื่น..สิ่งที่เกิด ณ จุดลอยละลิ่วนั้น คือสติมาเร็ว วิ่งไปดูจิตทันที กลัวมั๊ย สั่นไหวมั๊ย คำตอบคือ ไม่ เรียกว่าไม่สนใจความตายตรงหน้าเลยดีกว่า พร้อมตาย... เพราะจิตเรามั่นใจในสิ่งที่เราทำอยู่ ตายเมื่อไหร่ก็ได้ เราจะไปนิพพานทันที ...ลิฟท์มาหยุดนิ่งที่ชั้น 8 .. จิตเราก็ยังนิ่งอยู่ ไม่มีอาการโล่งอก ไม่มีอาการไม่ดีใจ นิ่งได้อี๊ก...
    แทนที่จะกดเปิดออกมาเปลี่ยนลิฟท์ใหม่ ดั๊น กดต่อลงมา อี๊ก จน 2 สาวมองหน้า อิอิ แถมทานข้าวเสร็จ เลือกขึ้นตัวเดิม กลับขึ้นไปทำงานอีก อะไรจะไม่กลัวตายปานนั้นเนี๊ย
    ....เอ๊าวันนี้ไม่ตาย ก็แล้วไป ... ปลอดภัยทั้งกายทั้งจิต..
    แต่เห็นแล้วนะคะว่า ความตายไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ถ้าเราเตรียมพร้อม ซ้อมตาย ไว้เสมอ..
    และที่สำคัญ ตายคราวนี้เราจะไม่ยอมกลับมาเกิดอีก เราจะไปนิพพาน...

    ขอบคุณค่ะพี่แนท
    น้องเป้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2014
  9. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    "..ขันธ์๕ ของกิเลสมันเกิดเป็นทุกข์
    ตายเป็นทุกข์อยู่แล้ว
    เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว

    คนไทยนี่อะไรๆ ไม่เสียดายหรอก
    ในโลกนี้ให้หมดนะอามิสน่ะ ..แต่
    ..แต่มีข้อแม้ว่า ผัวดิฉันนะ
    ใครแตะไม่ได้นะ เอาตายเชียวนะ

    จะไปนิพพานจะเอาผัวไปด้วย..ปัดโธ่
    เขาไปนิพพานจะเอาผัวเมียไปที่ไหนกัน
    เขาเอาธรรมะไปต่างหากล่ะ.."

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร

    Cr...FB Motanaboon.com
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    หลวงพ่อสอนลูกทุกๆคน ...​


    จงอย่าลืมว่าเราฝึกฝนกันที่ใจ เรื่องกายนี้ไม่มีความหมาย กายมันเป็นที่อาศัยของใจ
    ความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีขึ้นมาได้ หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ
    ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว ปากก็พูดดี กายก็ทำดี ถ้าใจเลว ปากก็พูดเลว กายก็ทำเลว

    ฉะนั้นเวลาที่ฝึกจะต้องใช้มัชฌิมาปฏิปทา คือทำปานกลาง หมายถึงว่าทำแบบสบาย ๆ
    อารมณ์ฝืนทางกายอย่าให้มี ปล่อยกายมันไปตามปกติ มันอยากจะนอนก็ให้มันนอน
    มันอยากจะนั่งก็ให้มันนั่ง มันอยากจะเดินก็ให้มันเดิน มันอยากจะยืนก็ให้มันยืน

    ฉะนั้นเราจะทำลายทุกข์ให้พ้นไป และก็จะไม่มีกายขึ้นมาได้ก็ต้องทำลายตัวเหตุ
    ที่สร้างกายมารับความทุกข์ ตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ นั่นก็คือ สมุทัย
    คำว่าสมุทัยตัวเหตุให้เกิดทุกข์ก็ได้แก่ตัณหา ๓ ประการ คือ

    ๑. อารมณ์ความอยากได้ในสิ่งที่ไม่มี อยากจะให้มีขึ้น
    ๒. สิ่งที่มันมีขึ้นแล้ว ก็ตะเกียกตะกายป้องกันไม่ให้มันทรุดโทรม
    ๓. พอทรุดโทรม จะพัง ก็ป้องกันไม่ให้มันพัง ในที่สุดก็ป้องกันไม่ได้ มันก็ทุกข์

    ฉะนั้นเราต้องตัดจุดนี้ การตัดก็ตัดด้วยอริยมรรค คือสัมมาทิฏฐิ ตัวปัญญาความเห็นชอบ
    และก็สัมมาสมาธิเป็นตัวสุดท้าย ตั้งใจไว้ชอบ


    การตั้งใจทรงอารมณ์เป็นของสำคัญ ถ้าอารมณ์มีความมั่นของจิต การทรงอารมณ์
    จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ร่างกายสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ถ้าร่างกายดี ประสาทดี
    จิตก็มีกำลังดี กำลังกายไม่ดี จิตก็มีกำลังไม่ดี

    ฉะนั้นก็ควรจะใช้ทั้งสองอย่าง คือกำลังของจิต ในเมื่อร่างกายสมบูรณ์ ได้แก่สมาธิ
    เป็นต้นสนับสนุนสร้างกำลังให้มีอำนาจเหนือกว่าความต้องการที่เรียกกันว่า ฌานโลกีย์
    นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย
    ให้เห็นตามความเป็นจริงว่าร่างกายทั้งชายและหญิงมันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง
    มันเป็นทุกขัง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา พังไปในที่สุด
    เมื่อร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ปภังคุณัง เน่าเปื่อยไปในที่สุด
    ขณะเมื่อทรงตัวอยู่ ร่างกายก็มีแต่ความสกปรกโสมมหาอะไรดีไม่ได้

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ ทรงชี้เหตุว่า
    เหตุอันนี้แหละบรรดาเธอทั้งหลาย
    ถ้าเธอสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ ...กิจที่จะต้องทำของเธอก็ไม่มีอีกแล้ว


    พระราชพรหมยาน คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
    ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์


    ขอบคุณ... คุณเอ๋ กฤตธนกร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2014
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอน
    ปกิณกะธรรม เล่มที่ ๙​


    ๐ อุบายในการละ-ปล่อย-วางขันธ์ ๕ หรือ สักกายทิฎฐิ มีอยู่มาก แต่ทุกอุบายหนีไม่พ้น กายคตานุสสติ
    ซึ่งเป็นมหาสมุทรแห่งธรรม เพราะ ๘๔,๐๐๐ อุบาย ก็สอนอยู่แค่กายกับจิต

    ๐ การเอาจิตอยู่กับตัว เป็นการหาทางพ้นทุกข์ได้อย่างประเสริฐสุด
    การเอาจิตออกนอกตัว เป็นการหาทุกข์เพิ่มทุกข์ให้กับจิต

    ๐ ชีวิตที่อยู่ในโลกนี้มีแต่ทุกข์ สุขจริงๆ ไม่มี ให้พิจารณาไปตามนี้
    โดยเห็นเป็นปกติธรรม คิดให้ลงตัวธรรมดา จิตจักได้ไม่เศร้าหมอง
    อยู่กับโลกมีหน้าที่ก็สักแต่ว่าทำหน้าที่ในทางสายกลางเท่านั้น

    ๐ ในปัจจุบันชาวโลกชอบย้ำให้เห็นแต่ข่าวร้ายเป็นส่วนใหญ่ เช่น อุบัติเหตุ, ข่าวผิดศีลทั้ง ๕ ข้อ
    และพยายามย้ำข่าว - ตีข่าว - กวนข่าว ให้ละเอียดลงๆ จนผู้ดู - ผู้ฟังชิน
    กลายเป็นฌานในความชั่ว จิตชินกับความเลว ทำให้มีวิตกจริต ตีตนไปก่อนไข้
    เกิดมงคลตื่นข่าว ได้อาหารที่เป็นพิษ บริโภคทางตาและทางหู
    ล้วนเป็นอกุศลกรรมทั้งสิ้น หากตายในขณะนั้นจิตก็เศร้าหมองไปสู่ทุคติทั้งนั้น

    ๐ จำไว้ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่าไปคิดล่วงหน้า จิตจักเป็นทุกข์
    พึงพยายามปล่อยวางเข้าไว้อยู่ในปัจจุบัน ให้แก้ไขปัญหาในปัจจุบัน
    แล้วจิตจักไม่วุ่นวาย

    ๐ ไม่มีใครเกิดมาแล้วจักไม่มีปัญหาทุกคนมีปัญหาเหมือนกันหมด
    เพียงแต่ต่างกรรม ต่างวาระ เท่านั้นเอง

    ๐ คนเงียบได้กำไร คนพูดมากขาดทุน หรือพูดให้น้อยพิจารณาให้มาก
    สติ-สัมปชัญญะจักทรงตัว จุดนี้แหละจักทำให้เลิกสนใจในจริตนิสัยของผู้อื่น



    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ********************​
     
  13. ladylamb

    ladylamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +200
    [​IMG]

    "จงถึงพร้อมซึ่งความไม่ประมาท"...
    พุทธโอวาทสุดท้ายก่อนปรินิพพาน


    คำตรัสนี้ของพระพุทธองค์ยังคงดังก้องอยู่ในจิตของพวกเราหรือไม่?
    ตระหนักในมรณาที่กำลังเดินเข้ามาหาเรามากน้อยเพียงใด?
    เรายังตั้งตนอยู่ในความประมาทอยู่หรือเปล่า...?
    ใคร่ครวญคิดพิจารณาในกรรมฐานกองนี้มากน้อยแค่ไหน?

    มาย้ำเตือนกัน เพราะความตายนั้นไม่มีนิมิตเครื่องหมายบอกล่วงหน้าแต่อย่างใด
    ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านได้อ่านผ่านตา ได้ยินผ่านหูจากเสียงธรรมเสียงเทศน์ มามากต่อมาก
    แล้วได้เคยคิดย้อนกลับมาหาตนเองบ้างมั้ย ว่าความตายนั้นจะเกิดขึ้นกับเรา เวลาใดก็ได้
    เห็นแต่ผู้อื่นตาย...แต่ไม่เคยคิดว่าตนเองจะตาย อะไรหรือที่ตาย กาย หรือ จิต? ...
    ทุกท่านตอบได้หมด ...ว่ากายตาย ไม่ใช่ จิต ...

    จิตของผู้ที่ฝึกปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ยอมรับกฏของธรรมดา เข้าถึงในสัทธรรมอย่างดีแล้ว ย่อมได้เปรียบเมื่อมีเหตุการณ์จริงเกิดขึ้น

    การปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นมุ่งพระนิพพาน จิตเป็นผู้เดินมรรค จิตเป็นผู้ไปนิพพาน
    ในระหว่างการปฏิบัติย่อมต้องเจอ บททดสอบของจริงอยู่ตลอดเวลา ...
    ของจริงต้องวัดกัน ที่เมื่อโดนกระทบแล้ว จิต นิ่งสงบ ไม่หวั่นไหว ...
    เพราะนี่คือการวัดผลของการปฏิบัติ ว่าจิตของผู้นั้นเข้าถึงผลได้มากน้อยเพียงใด...

    นอกจาก อิทธิบาท4 ต้องมีประจำใจของนักปฏิบัติแล้ว ...
    กำลังใจหรือ บารมี10 ต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่าบกพร่องในข้อใด
    การอดทนต่อ ขันธมาร กิเลสมาร ที่มาทดสอบกำลังใจมีอยู่ตลอดเวลา
    ของเส้นทางการเดินมรรค ของผู้ปฏิบัติ จิตเกาะพระ...

    วันนี้ก็จะขอนำ การบ้านของจิตบำเพ็ญ คุณบุญสวรรค์ (น้องเป้)
    มาเป็นตัวอย่างให้ทุกท่านโมทนากับเธอ ...



    ส่งการบ้าน 10 /3/57‏

    สวัสดีค่ะพี่แนท

    รายงานการบ้าน สดๆร้อนๆ ค่ะพี่แนท เหตุเกิดเมื่อกี้ ขณะลงลิฟท์มา กับผู้หญิงอีก 2 คน ลิฟท์เกิดสั่นอย่างแรง และตกวิ้วววว ลงมาจากชั้น 13 ตัวเลขในลิฟท์ ถอยหลังอย่างรวดเร็ว จนเรารู้สึกว่าตัวลอย จิตนึกไปก่อนเลย ถึงเลข 1 เมื่อไหร่ เราก็ตาย วันนี้แหละ ผู้หญิง 2 คนในลิฟท์ โผเข้ากอดกัน กรี๊ดๆๆ หน้าตาตื่น... แต่ๆๆๆ หนูไม่รู้จะเกาะใครอ่ะค่ะ ไม่มีใครให้เกาะ นอกจากพระ ... เห็นกายตัวเองยืนเฉย จิตกลับไม่รู้สึกอะไรเลย... แม้แต่จะตกใจซักกะนิด ก็ไม่มี จิตขณะนั้นมันเฉยเมย กับความตาย มันไม่นึกถึงอะไรเลย มันนิ่ง นิ่ง แล้วก็นิ่ง...ไม่คิดถึงใครเลยด้วย ไม่มีความห่วงหาใครเลยจริงๆ มันมีความมั่นใจลึกๆว่า ถ้าตายวันนี้เราไปนิพพานแน่.. เราไม่ไปที่อื่น..สิ่งที่เกิด ณ จุดลอยละลิ่วนั้น คือสติมาเร็ว วิ่งไปดูจิตทันที กลัวมั๊ย สั่นไหวมั๊ย คำตอบคือ ไม่ เรียกว่าไม่สนใจความตายตรงหน้าเลยดีกว่า พร้อมตาย... เพราะจิตเรามั่นใจในสิ่งที่เราทำอยู่ ตายเมื่อไหร่ก็ได้ เราจะไปนิพพานทันที ...ลิฟท์มาหยุดนิ่งที่ชั้น 8 .. จิตเราก็ยังนิ่งอยู่ ไม่มีอาการโล่งอก ไม่มีอาการไม่ดีใจ นิ่งได้อี๊ก...
    แทนที่จะกดเปิดออกมาเปลี่ยนลิฟท์ใหม่ ดั๊น กดต่อลงมา อี๊ก จน 2 สาวมองหน้า อิอิ แถมทานข้าวเสร็จ เลือกขึ้นตัวเดิม กลับขึ้นไปทำงานอีก อะไรจะไม่กลัวตายปานนั้นเนี๊ย
    ....เอ๊าวันนี้ไม่ตาย ก็แล้วไป ... ปลอดภัยทั้งกายทั้งจิต..
    แต่เห็นแล้วนะคะว่า ความตายไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ถ้าเราเตรียมพร้อม ซ้อมตาย ไว้เสมอ..
    และที่สำคัญ ตายคราวนี้เราจะไม่ยอมกลับมาเกิดอีก เราจะไปนิพพาน...

    ขอบคุณค่ะพี่แนท
    น้องเป้


    โมทนา สาธุ กับน้องเป้
    และคุณครูพี่แนทค่ะที่นำมาถ่ายทอดเพื่อเป็นธรรมทาน
    ขอให้ท่านทั้งสองได้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
    อุ๋ย UK
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ธรรมะควันบุรี่ จากหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ. พร้าว จ.เชียงใหม่"

    (ท่าน ฝากถึง หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาทีโป)

    ไท่านผมว่าเวลาสูบบุหรี่...ผมไม่ได้กลืนควนเข้าไป ...ผมสูบเอาควนเข้าไปในปาก

    มาก ๆ แล้วผมก็พ่นควนออกไป...เมื่อพ่นควนออกไป แล้วผมก็ดูควนบุหรี่ ขณะที่ควน

    ควนบุหรี่ออกจากปาก มันจะม้วนตัวลองสูงขึ้นไป...อันนี้แสดงให้ถึงความทุกข์ ขณะที่

    ควนบุหรี่จางหายไป...อันนี้แสดงถึงความไม่เที่ยงเมื่อควนบุหรี่หายไปหมด แสดงถึง

    อนัตตา ผู้มีปัญญาเมื่อสูบบุหรี่จะพิจารณาตามที่เห็นจากควันบุหรี่...ท่านเคยดูควนบุหรี่

    ที่ผมจะพ่นให้ดู...ควนบุหรี่จะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา....

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ. พร้าว จ.เชียงใหม่

    .ลูกขอกราบน้อมรับพระธรรมของหลวงปู่แหวน และน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเก้ลากราบ กราบ กราบ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2014
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะคุณพี่มาลินี ขออนุโมทนาในธรรมทาน ที่ท่านได้นํามาลง หลวงปู่แหวน ท่านสูบบุหรี่ แต่ควันบุหรี่ก็เป็นธรรมทานได้ นี่เยี่ยมยอดจริงๆ เพราะถ้ามองอะไรเป็นธรรม ก็เป็นธรรม เพราะมันอยู่ที่คนมองเป็น เพราะแม้แต่ความคิดเรายังไม่แน่นอน..ท่านจึงให้รู้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปนั้นเอง..แต่ถ้าผู้มองยังไม่เห็นก็ต้องมองหรือ สังเกิดควันบุหรี่ตามธรรมะข้างต้นนี้ ก็จะเห็นได้ ว่าทุกๆอย่างมันเกิด แล้วดับไปนั้นเอง..สาธุค่ะ
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (เมื่อก่อนเคยมีคนถาม)?

    ...หลายปีมาแล้ว ๒๓ ปีที่แล้วพาสามีไปวัด รู้สึกว่าเขามีความสนใจในศาสนาพุทมาก

    วัดในอังกฤษมีที่ไหนก็พยยายามถามเพื่อน เพื่อที่จะได้พาเราไปวัด เพราะตอนเขาไป

    เที่ยวเมืองไทยเราก็พาเขาไปแต่วัด แต่ตอนนั้นเราไปวัดก็จริงเขาถามอะไรเราก็ตอบเขา

    ไม่ได้เพราะภาษา นี่แหล่ะ เขาถามว่า นะโม ตัสสะ แปลอะไร ทำไมต้องกล่าวถึงสาม

    ครั้ง...แล้ว พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ แปล

    ว่าอะไรเพราะเขาไปวัดบ่อยมากจนจำได้แต่เขาไม่ทราบความหมายเราก็อธิบายไม่ได้ เพราะภาษาคนละภาษา

    ตอนนั้นนึกไปตำหนิเขาว่าจะถามทำไมนะ แล้วเมื่อไม่นานมานี้เขาเห็นภาพของหลวงปู่

    แหวนสูบบุหรี่ เขาถามว่าพระทำไมสูบบุหรี่ได้ ทีนี้ เราจึงตอบปัญหาที่เขาถามทุกครั้ง ที่เขาถามเมื่อก่อน

    ตอบออกมาเป็นชุดๆเลย เพราะอยู่อังกฤษมายี่สิบสามปีแล้ว พอจะตอมคำถามเขาได้แล้วเลย

    ตอบให้เขาได้รู้ความหมาย ได้รู้ถึงความสำคัญเป็นชุดๆเลย...เลยเอาเรื่องหลวงปู่แหวนสูบบุหรี่มาตอบเขา

    เพราะเขาสูบบุหรี่แล้วเป็นโรคประจำตัวถุงลมโปร่งพอง เขาว่าหลวงปู่สูบมวนใหญ่ทำไม

    ไม่เห็นเป็นไร? ก็เป็นเพราะหลวงปู่สูบแบบมีปัญญา หลวงปู่สูบเอาควนเข้าปากแล้วก็พ่น

    ออกแล้วมองควนด้วยปัญญา จนเป็นธรรมะมาสั่งสอนพวกเรา แม้กระทั่งหลวงปู่เอา

    แบ้คงใบ ๕๐๐ มาพันเป็นบุหรี่สูบคนที่ไม่มีปัญญาก็ว่าหลวงปู่ทำไมเอาเงินไปเผาแต่

    หารู้ไม่ว่า ไม่ว่าจะเป็นใบตองเอามามวนสูบ หรือเอาแบ้คงมาพันสูบมันก็เป็นควนเช่น

    เดียวกันอยูู่ที่ปัญญาความคิด ของผู้ที่จะคิดต่างหาก...เพราะฉนั้นใครๆ ที่เห็นพระที่

    ที่สูบบุหรี่ จงอย่าไปตำหนิ เพราะอย่างหลวงปู่แหวนท่านสูบบุหรี่ด้วยสติ แล้วเกิดปัญญา

    ไม่เหมือนกับผู้ที่สูบโดยความชอบและเพลิดเพลิน เลยเกิดเป็นโรคร้ายประจำตัวไปเลย อย่างเช่นผู้ถามนี่แหละ

    .....จึงนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ อ่านแล้วถ้ามีปัญญาก็จะได้ประโยชน์กับตนเอง...ก็เหมือนคำถาม

    ทุกๆคำถาม ...ถ้าเราตอบตนเองได้ก็แสดงว่าเราปฏิบัติมานั้นได้ผล ทุกๆคำถามนั้นมีคำตอบ

    ขึ้นอยู่ที่ว่าเราผู้ปฏิบัตินั้นจะให้ความเข้าใจและมีความศรัทธา เรียนรู้นำมาปฏิบัติ ได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นค่ะ

    ...น้อมกราบพระธรรมของพระพุทธองค์ และน้อมกราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยความศรัทธา

    และด้วยความเคารพเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2014
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ธรรมะสดๆ
    จาก..ผู้ปฎิบัติธรรม แนวจิตเกาะพระ


    ขอเป็นธรรมาทานนิดนึงนะ น้องเป้..ไทยแลนด์
    ขอพวกเราโมทนาบุญกับจิตของเธอผู้นี้ด้วยครับ..สาธุ
    โมทนาสาธุ ทั้งครูผู้สอนและศิษย์ด้วยครับ
    ภูทยานฌาน
    (ผู้ปรารถนาอยากเห็นทุกคน..หลุดพ้นฯ)

    สวัสดีค่ะพี่ภู
    เล่าเรื่องการปฎิบัติ ให้พี่ฟังบ้างนะคะ
    จิตเพิ่งเริมทรงฌานได้ทั้งวันทั้งคืน มาสักประมาณ 2 อาทิตย์
    ต่ำบ้าง สูงบ้าง พยายามให้คงที่ทรงตัวมากที่สุด แล้ว
    เห็นสิงใดก็พยายาม สอนจิตนำไปก่อน ตัดลงไตรลักษณ์
    ช่วงไหน ฌานสูงหน่อย ก็จะเห็นธรรมะผุด ขึ้นมาสอน บางครั้งไหล
    เหมือนมีคนมาพูดให้ฟัง ไม่มีเสียง มีแต่เพียงการรับรู้ และก็ความรู้สึก
    ว่ามันแจ่มแจ้งดีจัง รู้เองเห็นเอง มันคนละเรื่องจากการอ่าน
    นั่นมันปัญญาผู้อื่นไม่ใช่ของเรา อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

    ล่าสุด อ่านที่พี่แนทตอบการบ้านมา ขณะนั้นจิตเป็นฌาน
    แจ่มแจ้งกับคำว่า เราคือความว่าง
    ธรรมในจิตเค้าสอนมาทันที ว่าให้เราปักธงไว้ที่ ((ความว่าง))
    ขันธ์ 5 จะประกอบไปด้วยอะไรก็ช่าง เพราะเราจะไม่เอาเลยสักอย่าง
    เพราะถ้าเอาแล้วมันก็ไม่ใช่ความว่าง มันก็ไม่ ((จบ))

    ทูลถามท่านพ่อลูกขอธรรมะ สำหรับจิตลูก ท่านตอบมาคำเดียวว่า(((อนัตตา))) สาธุ

    ในขณะที่นั่งทำงาน จิตทรงฌานไปเรื่อย บางครั้งเผลอคิด นู่นนี่ หลุดฌานบ้าง
    เห็นกิเลส มันดึงลงต่ำทันที พอเห็นปุ๊บ ฌานต่อ ปัญญาก็มาทันทีเหมือนกัน ผลัดกัน รุก กันรับ เราเป็นคนดู...
    เห็นมั๊ยล่ะ ตกแว๊ปเดียวก็ดึงเราแร๊ะ
    เมื่อก่อนเราถูกฉุดกระชากลากถู ไปไม่รู้เท่าไหร่..ก็ไม่เคยเห็น..สอนจิตลงไปอีก

    ที่เห็นชัด ๆ ตอนนี้ จิตปฏิเสธ ไม่มีความยินดี กับการทำบุญภายนอกไปซะแล้ว
    ศีลก็ละเอียดขั้น ไม่ยอมหยิบของๆ คนอื่นมาใช้ ทั้งๆ ที่ก็เป็นของคนในบ้าน ก็ไม่ยอมทำ เป็นไปเอง

    ตอนนี้ เข้าใจ STEP การเดินมรรค จากการปฎิบัติที่ผ่านมาเรี่อยๆ
    ไม่งุนงง เหมือนเมื่อก่อน เพราะจิตค่อยๆเห็นของจริงไปเอง
    ความเฉียบคมของปัญญา ที่จะประหารกิเลส ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราเอง
    ในการสร้างสติ เข้าสู่ฌาน เข้าสู่ความว่าง เข้าสู่การเห็นจริง ตามธรรมชาติ และวาง จนว่างถาวรในที่สุด....

    ไม่ย่อท้อ ...และจะทำต่อเนื่อง โดยไม่หวังผลใด ๆ ...
    เพราะสุดท้ายผลก้อคือ ความว่าง ..

    น้อมกราบแทบพระบาทท่านพ่อ หลวงพ่อ ด้วยเศียรเกล้า
    ขอบพระคุณพี่ภู พี่แนท พ่อแม่ในทางธรรม
    น้องเป้ (Thailand)

    ปล. ภาพประกอบ
    (วิชาจิตเกาะพระ ไม่ได้ให้ผู้ปฎิบัติ มานั่งหลับปี๋อย่างเดียวนะ
    แต่ทำงานทางโลกไปพร้อมกับทางธรรม คือการจับภาพพระไปด้วย)
     
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG] [​IMG]


    ขออนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านทุกดวงจิต เหล่าบรรดา เทพ พรหม เทวดา และทุกท่านที่มาร่วมงานนี้
    และขออนุโมทนาสาธุบุญกับ คุณแม่มาลินีที่ท่านได้ไปร่วมงานนี้ และเป็นผู้ถ่ายภาพนี้มาให้เราร่วมโมทนากันค่ะ
    ขอมอบหน้าที่ให้ แม่มาลินี ขยายธรรมและเป็นผู้ให้รายละเอียดเกียวกับงานบุญนี้ด้วยค่่ะ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    หลวงปุ่ดู่ พรหมปัญโญ

    ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวนี่แหละดี
    เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย
    หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติ
    ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก
    มั น จ ะ ไ ม่ ทั น ก า ร ณ์


    Credit:
    https://www.facebook.com/watputtaprompanyo
     
  20. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980

แชร์หน้านี้

Loading...