ที่มาของพระพุทธรูป ในห้องพระอาจารย์ยาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย happyokay, 13 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ที่มาของพระพุทธรูปปางนี้
    อาจารย์ยายมีความตั้งใจ ว่าจะพักการก่อสร้างและงานในภวันตุเตซักห้าเดือน เพื่อปวารณาตนเพื่อการภาวนาสมาธิ เพื่อพิจารณาธรรมให้ต่อเนื่อง ก่อนจะปวารณาตนนั้น ในคืนหนึี่งขณะที่นั่งสมาธิ อาจารย์ยายได้นิมิตเห็นพระพุทธรูปสีดำองค์ใหญ่ปรางยกมือทั้งสองข้างมา ปรากฎให้เห็น การแต่งตัวก็แปลกไม่เคยเห็น แล้วภาพก็หายไป ตอนเช้าท่านได้เล่าให้พี่เปิ้ลฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งท่านก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรคิดว่าเป็นสิริมงคล ช่วงปีใหม่คุณตาได้ไปเยี่ยมพี่ชายที่บางนา พี่ชายท่านเลยให้พระพุทธรูปองค์นี้มาไว้ที่ภวันตุเต เมื่ออาจารย์ยายเห็นก็แปลกใจ เพราะตรงกับที่เห็นในนิมิตมาก่อนหน้า เมื่อปวารณาตนจะเข้าภาวนาท่านได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นประดิษฐานในห้องพระ ทุกๆเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์ยายบังเอิญแบบมีเหตุ และผลที่ไปที่มา อาจารย์ยายบอกว่าท่านเกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งที่ท่านเห็นพระพักต์ของพระพุทธองค์ยืนประทับอยู่เบื้องหน้าก่อนที่ดวงตาสองข้างจะปิดลง ภาพพระพุทธองค์เป็นสิ่งสุดท้ายที่มองเห็น แล่วตามด้วยคำบริกรรมว่า "พุทโธ"
    อาจารย์ยายได้บอกกับผมว่า "จะมีอะไรประเสริฐ และยิ่งใหญ่ไปกว่าการเห็นพระพุทธเจ้าเป็นภาพสุดท้ายอีกหรือลูก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีจริง ดังเช่นพระพุทธรูปองค์นี้ของอาจารย์ยาย และเพื่ออาจารย์ยายโดยเฉพาะ พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คำบูชาง่ายๆสั้นๆของอาจารย์ก่อนนั่งสมาธิมีเพียงเท่านี้"
    ขออนุโมทนาสาธุ กับอาจารย์ยายครับ แฮปปี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      2,946
  2. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ธรรมะจากน้ำตาอาจารย์ยาย
    หลังจากผมโพส ข้อความเรื่อง “ธรรมไม่มี อกาลิโกไปแล้ว” พอถึงช่วงเวลากลางคืนของวันเดียวกันนั้น ผมได้มีโอกาสคุยธรรมะก่อนนอนกับอาจารย์ยาย จากที่ผมได้อ่านหนังสือพระอรหันต์นาคเสน ตอบปัญหาธรรมกับพระเจ้ามิลินท์ ในตอนแรกเรื่องน้ำตาที่อาจารย์ยายสอนผม และได้ตอบคำถามผมที่ร้านขายกระเบื้องบุญถาวร สาขาพระราม 2 แล้วน้ำตาท่านไหลออกมา ผมสงสัยจึงได้ถามท่านตอนนั้นว่า ทำไมร้องไห้เพราะท่านสอนว่า น้ำตามีค่าดั่งเพชรเอาไว้ร้องไห้ เพื่อพ่อกับแม่ เท่านั้น อย่าให้มันไหลออกมาให้ใครเห็นตอนนี้ผมเข้าใจที่ท่านบอกแล้วว่าน้ำตาของท่านที่ไหลออกมานั้นเป็นน้ำตา แห่งความปิติในธรรม ผมก็ยังมีข้อสงสัยเกิดขึ้นอีกว่า อาการปิติ ในธรรมนี้แท้ที่จริงเป็นอย่างไร แล้วเรื่องก็ผ่านไป แต่เรื่องมหัศจรรย์ยังไม่จบ เมื่อผมกลับมาถึง ภวันตุเตในช่วงประมาณสองทุ่ม ผมได้หยิบหนังสือของพระเจ้ามิลินท์ตอบปัญหาธรรมกับพระอรหันต์นาคเสน เป็นการเปิดโดยไม่ได้ตั้งใจ เจอบทความเรื่องน้ำตามีสองชนิด เมื่อผมได้อ่านก็ขนลุกเพราะว่ามันช่างบังเอิญที่ มือพาไปเจอเรื่องนี้ต่อเนื่องกับเรื่องน้ำตาของอาจารย์ยายที่ผมโพสไปเมื่อวันก่อน เมื่ออยู่ตามลำพังผมจึงขออนุญาติอาจารย์ยายถามคำถามนี้ว่า “น้ำตามีสองชนิด จริงหรือเปล่าครับ แล้วทำไมต้องแยกออกเป็นสองชนิด” ท่านตอบทันที โดยไม่รู้ว่าผมอ่านเจอในหนังสือมา ท่านคิดว่าผมยังสงสัยในเรื่องของน้ำตาของท่านที่ไหลออกมา ที่ร้านบุญถาวรอยู่
    ท่านจึงอธิบายให้ฟังว่า “น้ำตามีสองชนิดดังนี้ลูก”
    1. น้ำตาที่เจือปนไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง คือ โทสะ โมหะ โลภะ มันหลั่งไหลออกมาเมื่อมีเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มากระทบจิต ทำให้ เศร้า เสียใจ ดีใจ สมหวัง ไม่สมหวัง พลัดพรากจากของหรือ บุคคลอันเป็นที่รัก เป็นน้ำตาแห่งกิเลสทั้งมวล
    2. น้ำตาที่ปราศจากกิเลสทั้งหลาย เป็นน้ำตาที่ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง คือ โทสะ โมหะ โลภะ เป็นน้ำตาแห่งปิติ ในธรรม จะหลั่งออกมาเมื่อค้นพบธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วกระจ่างแจ้งในภาวะธรรม “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต”
    “เมื่อใดที่เข้าใจธรรมของพระพุทธองค์อย่างแจ่มแจ้ง ก็เปรียบเสมือนเห็นตัวตน ของพระองค์ผ่านธรรม และคำสอนนั่นเอง เมื่อนั้นจิตจะสะอาดผ่องใส และนอบน้อมกราบไหว้ระลึกในพระคุณอันยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด ที่ท่านทรงสั่งสอน บอกทางให้ ผ่านธรรมทั้งหลายแบบสิ้นสงสัย ไม่ค้างคาในใจ เมื่อนั้น ปิติซาบซ่านก็เกิดขึ้นในจิต แผ่กระจาย ไปทั่วขุมขน ต่อมน้ำตาที่เป็นตัวผลิตน้ำตาออกมา ตามลักษณะอารมณ์ต่างๆทางกาย ไมว่าจะเป็น ดีใจ เสียใจ ในเรื่องสมมติก็จะขับน้ำตาออกมาเอง โดยแยกออกจากใจ น้ำตาส่วนน้ำตา ใจส่วนใจ คือใจที่ว่างวางจากกิเลสเจือปนในขณะนั้นทันทีที่เกิดปิติ อาการหลั่งน้ำตาชนิดนี้คือ น้ำตาที่ปราศจากกิเลสปรุง เราเรียกน้ำตาชนิดนี้ว่า น้ำตาไม่มีกิเลส จะหลั่ง และเป็นไปเมื่อพบธรรมอย่างแท้จริง เท่านั้นเอง ไม่สามารถแกล้งทำ หรือปรุงแต่งได้ นี่คือคำตอบ”

    ซึ่งคำตอบที่ผมได้จากอาจารย์ยายในครั้งนี้ ก็ตรงกับคำตอบ ของพระอรหันต์นาคเสน ที่ตอบคำถามของ พระเจ้ามิลินท์ทุกประการ
    ผมนับว่าโชคดีอย่างมาก ที่ได้ยิน ได้ฟัง แบบใกล้ชิด ด้วยตนเองโดยไม่คาดฝัน จึงเอาเรื่องดีๆ มีคุณค่าแบบนี้ที่หาได้ยากเหลือเกินในปัจจุบัน ในเรื่องของธรรมะ อันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ จากอาจารย์ยายผู้คอยสอน และคอยเตือนสติในทางธรรมที่เดินอยู่ให้ผม และลูกศิษย์ทุกคนใน ภวันตุเต ไม่ให้เดินหลงทาง อนุโมทนาสาธุครับ (แฮปปี้)
     
  3. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ความเมตตาของอาจารย์ยาย ที่มีต่อสัตว์เดรัจฉาน
    ขึ้นชื่อว่า “ความเมตตา” สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์ยายพยายามสอนลูกหลานภวันตุเตอยู่เสมอ ว่า “เมตตา” คำๆนี้ไม่สามารถที่จะแสแสร้งแกล้งทำได้ เพราะเมตตาที่แท้จริงต้องออกมาจากใจ ถ้าหากเมตตาไม่ออกมาจากใจจริง สิ่งนั้นไม่เรียกว่าเมตตา พลังแห่งเมตตามีพลานุภาพมหาศาล ในอดีตกาลผู้บำเพ็ญธรรมที่เจริญเมตตาเป็นอารมณ์แล้ว ด้วยพลังแห่งเมตตานี่เองสามารถทำให้ท่านผู้บำเพ็ญนั้นสามารถตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพลังแห่งเมตตาที่เกิดจากแก่นแท้ของจิต หรือที่เรียกว่า จากจิตดวงบริสุทธิ์นี้ ย่อมมีพลานุภาพเหลือคณาเลยทีเดียว
    ความเมตตาที่บังเกิดขึ้นกับจิตของผู้ปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน อาจารย์ยายบอกเสมอว่าไม่สามารถเอาอะไรมาเป็นพยานหลักฐาน แสดงให้เห็นถึงภาวะเมตตาในจิตนั้นได้ เพราะละเอียดและมหัศจรรย์มาก ซึ่งพลังแห่งเมตตาจะหล่อเลี้ยงดวงจิตผู้ปฏิบัติธรรมให้สว่างไสวอยู่เสมอ แต่สิ่งที่จะเป็นพยานหลักฐานให้ก็มีเพียงแต่ ทำให้ดู ทำให้เห็นถึงความเมตตาที่ออกจากจิตจากใจ ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสัตว์ที่เรียกว่าเดรัจฉาน อาจารย์ยายต่างเมตตาทั้งสิ้น ท่านบอกเสมอว่าพลังแห่งเมตตาจะสว่างไสว ไปรอบทิศในดวงจิตของผู้ที่เจริญเมตตา จึงไม่ยากเลยที่สรรพสัตว์ทั้งหลายจะสามารถสัมผัสถึงพลังที่เรียกว่า เมตตานี้
    หลายๆครั้งที่แฮปปี้ได้พยายามยกตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ที่อาจารย์ยายทำให้ดูแล้วเอามาเล่าให้พี่น้องในภวันตุเตฟัง ไม่ว่าจะเป็นการเมตตาต่อญาติธรรมที่เข้ามาในรั้วภวันตุเต ต่อสัตว์ต่างๆ อาทิ วัว นก ปลา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริงมีพยานมีหลักฐาน มีรูปถ่าย และเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่แฮปปี้จะเล่าให้พี่ๆน้องๆได้ฟังเพื่อให้ทุกๆท่านได้มีกำลังใจในการเดินทางในเส้นทางธรรมอันบริสุทธิ์นี้
    ในวันหนึ่งขณะที่อาจารย์ยายได้นั่งรถออกไปข้างนอกพร้อมกับพี่เปิ้ลเพื่อทำธุระ พอเสร็จธุระก็เดินทางกลับเข้ามาเป็นเวลาประมาณเที่ยง ระหว่างที่จะถึงภวันตุเตมีนกอยู่ตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างถนน อาจารย์ยายเลยบอกให้พี่เปิ้ลรีบจอดรถ เพื่อไปดูนกตัวนั้นว่ามันเป็นอะไรหรือเปล่า สิ่งที่อาจารย์พูดกับนกมีเพียงคำว่า “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน เรารักกันนะ เดี๋ยวก็หาย” เท่านั้นล่ะครับ นกก็ชูหัวมองดูอาจายร์ยายแบบตาไม่กระพริบเลย แถมยังคงมองอาจารย์อยู่แบบนั้น ตานกตัวนี้สวยมากดังรูปที่จะโพสให้ดูอีกทีครับ หลังจากที่อาจารย์ยายสำรวจดูนกแล้วว่าไม่มีบาดแผลอะไรเลยพอถึงภวันตุเต อาจารย์ยายก็เลยยกตัวนกขึ้นแล้วให้มันบินไป ตอนแรกๆนกก็ไม่ยอมบิน แต่อีกซักพักนกก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า เรื่องนี้เป็นที่น่าแปลกมากเพราะนกไม่มีบาดแผล หรือบาดเจ็บอะไรเลย เพียงแต่นอนอยู่ข้างๆถนน พออาจารย์ท่านเห็นก็สามารถจับนกตัวนั้นได้อย่างสบายเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกมากอีกเรื่องหนึ่ง พอพี่เปิ้ลได้ถามเรื่องนี้กับอาจารย์ยายว่า “ทำไมนกถึงไม่ยอมบินหนีเลย ทำไมให้อาจารย์จับได้สบายขนาดนี้ทั้งๆที่นกไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย” ท่านก็ตอบว่า “สงสัยนกอยากมาอยู่ภวันตุเต มาไม่ถูกเลย ขอขึ้นรถตามมาด้วย” พี่เปิ้ลก็สาธุไปอีกหนึ่งรอบ
    เมื่อเข้ามาถึงภวันตุเตในวันเดียวกันนี้ อาจารย์ยายก็มุ่งหน้าตรงไปยังต้นลีลาวดี เพื่อทำการถอนหญ้าที่ถอนยังไม่เสร็จ และแล้วเรื่องที่น่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คือในระหว่างที่ท่านนั่งถอนหญ้าอยู่นั้น ก็มีเต่าตัวหนึ่งคลานเข้ามาหาท่าน พอเดินมาอยู่เบื่องหน้าที่อาจารย์ยายถอนอยู่ มันก็หดหัวเข้าไปในกระดองนั่งอยู่ข้างหน้าท่าน อาจารย์ยายเลยเรียกพี่เปิ้ลมาดู ว่าเต่ามาเล่นด้วย พี่เปิ้ลก็ถามอาจารย์ยายอีกครั้งหนึ่งว่า “เต่ามันมาทำอะไรหรอค่ะอาจารย์” ท่านเลยตอบว่า “ สงสัยเต่ามันร้อน อยากอาบน้ำ เลยเดินมาหา” พอพูดเสร็จอาจารย์ยายก็จับเต่าเดินไปที่ก๊อกน้ำ พร้อมจับแปลง และสบู่ เพื่อจัดการอาบน้ำ ทำความสะอาด ขัดตะไคร่น้ำให้เต่าตัวนี้ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว อาจารย์ยายก็ปล่อยเต่าไป
    ทุกสิ่งที่เล่ามานี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ที่อาจารย์ยายพยายามทำให้เห็นถึงพลังแห่งความเมตตา ว่าผู้ปฏับัติธรรม ควรมี และทำให้เกิดขึ้นในจิตใจ เสียดายที่เรื่องมหัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งคือ ปลาดุกที่อยู่ในบ่อภวันตุเต มีตัวหนึ่งที่มีลำตัวใหญ่มาก และดุมากด้วย ลูกหลานภวันตุเตหลายๆคน ก็เห็นเหตุการณ์นี้คือ เห็นอาจารย์ยายคุยกับปลาดุก โดยปกติสัตว์ที่เราไม่ได้เลี้ยงให้ความคุ้นเคยตั้งแต่เด็กมันก็จะกลัวภัย โดยเฉพาะจากมนุษย์ ซึ่งสัตว์ส่วนมากจะไม่ยอมมาเข้าใกล้มนุษย์ หรือยอมให้มนุษย์เข้าใกล้เพราะกลัวอันตราย แต่ปลาดุกตัวโตตัวนี้ อยู่ที่บ่อน้ำภวันตุเตมานานมาก คนอื่นๆจะเอาขนมปังมาล่อ หรือเอาอาหารมาให้ ปลาดุกตัวนี้ก็ไม่ยอมออกมาเสียเทีย แล้วมีอยู่วันหนึ่งอาจารย์ยายเดินไปที่บ่อน้ำนี้ แลวท่านก็เอามือตีน้ำดัง แป่ะ แป่ะ เท่านั้นล่ะ ปลาดุกตัวโตตัวนั้นก็ว่ายเอาหัวโตๆมาให้อาจารย์ยายลูบเล่นอย่างครื้นแครง เรื่องนี้สร้างความมหัศจรรย์ให้แก่เหล่าลูกศิษย์เป็นอย่างมาก โดยเหตุการณ์นี้มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งถ่ายรูปเก็บไว้ แต่บังเอิญคอมพิวเตอร์ที่บันทึกรูปนี้พัง เลยไม่สามารถเอาภาพเหตุการณ์นี้มาให้ญาติธรรมดูได้ ซึ่งน่าเสียดายมากๆครับ
    ผมเองถือว่าตนเองโชคดีมาก ซึ่งหลายครั้งที่ได้เห็นเหตุมหัศจรรย์ด้วยตาตนเอง โดยที่อาจารย์ยายทำให้ดู สิ่งเหล่านี้อาจารย์ยายเพียงแค่พยายาม ทำให้ลูกหลานภวันตุเตทุกๆคน ได้เห็นถึงพลานุภาพแห่งคำว่า “เมตตา” ที่ออกจากจิต จากใจจริงๆ แบบไม่แสแสร้งแกล้งทำ ล้วนมีพลังมหาศาล ที่สรรพสัตว์ใหญ่น้อยทั้งหลาย ต่างอยากเข้าใกล้ และอยากสัมผัสกับพลังแห่งเมตตาอันบริสุทธิ์นี้ ....เพื่อพิจารณา ไตร่ตรองในธรรมร่วมกันครับ สาธุ(แฮปปี้)
     
  4. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    คุณย่า กับ มหานรก
    ขอย้อนเวลาลงไปอีกสิบแปดปี ตอนนั้นผมน่าจะอยู่ซักประมาณ ป.หนึ่งได้ บ้านของผมอยู่ต่างจังหวัด และในบ้านก็มีคุณย่า ซึ่งเป็นผู้มีอายุมากที่สุดเกือบจะร้อยปี เป็นที่เคารพของลูกๆหลานๆทุกๆคนใน ละแวก นั้น คุณย่าเป็นคนที่ชอบเข้าวัดทำบุญเสมอ ถึงแม้จะไม่มีเวลานั่งสมาธินานๆ แต่ทุกๆเช้าคุณย่าจะปลุกผมให้ตื่นแต่เช้าแล้วไปวัดทุกวันเพื่อจะเอาข้าวไปถวายให้พระฉัน ที่วัด พอถึงตอนเย็นก็จะให้ผมไปเก็บดอกไม้ มาไว้ให้คุณย่าสำหรับไหว้พระ คุณย่าพาทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน เลยทำให้ผมชอบไปวัด ไปฟังพระเทศน์ ตั้งแต่ยังเด็กๆ และทุกๆครั้งที่ไปฟังพระเทศน์ในตอนเย็นวันพระคุณย่าจะบอกเสมอว่า ให้พนมมือฟังพระท่านเทศน์ ห้ามเอามือลง แต่ด้วยประสาเด็กตอนแรกๆก็นั่งพนมมือได้ แต่พอนานขึ้นผมก็ง่วง แอบพิงเสาที่ศาลาวัดหลับเป็นประจำ คุณย่าจะบอกเสมอว่าถ้าหากไปฟังพระเทศน์แล้วแอบหลับผู้นั้นจะตกนรกหมกไหม้ ทำให้ผมกลัวมาก หลังจากที่ได้ยินคำที่แม่บอก ตั้งแต่นั้นมาผมไปวัดก็ไม่เคยนั่งหลับอีกเลย เพราะกลัวจะตลกนรก ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่านรกหน้าตาเป็นยังไง
    ชีวิตที่ชนบทก็ดำเนินไปอย่างนี้ทุกๆวัน ผมมีความสุขมากเมื่ออยู่กับคุณย่าเพราะคุณย่าชอบพาทำนู้น ทำนี่อยู่เสมอ ตอนนั้นผมเป็นเด็กอาจจะไม่รู้สึกเหนื่อยหรือกลัวอะไรมาก คุณย่าจับอะไรก็จับตามไปหมด แบบประมาณว่าบอกให้หยุดก็ไม่ฟังจะทำด้วยตลอด จนท่านก็ขี้เกียจพูดปล่อยให้ทำตามซะทุกอย่างจะได้จบๆ
    จนอยู่มาวันหนึ่งคุณย่าเกิดปวดท้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน คุณย่าปวดท้องอย่างรุนแรงมากเพราะปกติถ้าคุณย่าไม่ปวดจริงๆจะไม่บอกให้ลูกหลานพาไปหาหมอเลยแม้แต่น้อย เพราะคนแก่สมัยก่อนพ่อบอกว่าจะไม่ชอบไปหาหมอพอเกิดเจ็บป่วย เล็กๆ น้อยๆ ก็จะหาสมุนไพรกินกันเองก็หาย ไม่เหมือนทุกวันนี้ ที่ แอะอะ อะไรก็หาหมอ หาหมอ พร้อมกับคุณย่าเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดสูงมาก แต่ครั้งนี้อาการปวดท้องคุณย่าไม่ได้ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่คุณย่าก็กินสมุนไพรที่คุณย่ารู้ว่ามีสรรพคุณแก้ปวดท้อง แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น พ่อจึงพาคุณย่าไปหาหมอที่โรงพยาบาล พอไปถึงที่โรงพยาบาลคุณย่าได้ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อให้คุณหมอตรวจดูอาการว่าเป็นอะไร ทำไมถึงปวดท้องรุนแรงขนาดนี้ พอตรวจเช็คดูอาการแล้ว คุณหมอได้บอกกับคุณพ่อด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไรนักว่า คุณย่าต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วนเนื่องจากว่าตอนนี้ ไส้ติ่งคุณย่าแตกแล้ว ต้องรีบผ่าตัดด่วน พ่อตกใจมาก อาการที่คุณย่าเป็นคืออาการของไส้ติ่งแตก หลังจากนั้นคุณย่าก็ได้เข้าทำการผ่าตัดโดยการวางยาสลบก่อน เนื่องจากว่าคุณย่าปล่อยให้อาการอักเสบของไส้ติ่งนานจนเกินไป นานจนไส้ติ่งแตก หมอบอกว่าโอกาสรอดมีน้อย เนื่องจากว่าส่วนใหญ่แล้วคนจะทนพิษความเจ็บปวดไม่ไหว น้อยคนนักที่จะทนเจ็บจนไส้ติ่งแตกขนาดนี้ พ่อรวมถึงลูกหลานทุกคนต่างก็พากันตกใจมาก ได้แต่ภาวนาให้คุณย่าหายเป็นปกติ



    และแล้วการผ่าตัดไส้ติ่งของคุณย่าก็ เสร็จสิ้นไป ที่เหลือคือรอวันรอคืนให้คุณย่าฟื้น สามารถลุกขึ้นมาจากเตียงคนป่วยได้เจอหน้าลูกหลานอีกครั้ง เวลาผ่านล่วงเลยไปถึงอาทิตย์หนึ่งคุณย่าก็ได้ตื่นขึ้น เหล่าลูกๆหลานๆทุกคนต่างพากันดีใจมาก กอดคุณย่าร้องไห้ดีใจ พอคุณย่าฟื้นแล้วคุณหมอบอกว่าพักอีกซักคืนก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว คุณหมอบอกว่า “นี่เป็นปาฏิหาริย์เลยก็ว่าได้ คนป่วยอายุเกือบร้อยปีสามารถทนพิษบาดแผลจากไส้ติ่งแตกมาได้ ผมดีใจกับพวกคุณด้วย “ พอคุณหมอพูดจบแล้วเดินออกไปนอกห้อง คุณย่าก็ยิ้มให้ลูกหลานว่าย่าไม่เป็นอะไรแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้กลับบ้านกันแล้ว ยังมีงานอีกมากมายรอย่าอยู่ จะต้องรีบกลับ (คุณพ่อบอกผมเสมอว่าคนสมัยก่อนนะ ยิ่งแก่ยิ่งขยัน อันนี้เห็นจะจริง อิอิ) พอเช้ารุ่งขึ้นคุณย่าก็ได้กลับบ้านลูกหลานทุกคนดีใจมาก ต่างมาเยี่ยมคุณย่าเต็มบ้านเลย อาจจะเนื่องจากคุณย่าอายุเยอะมาก มากแบบว่าจำปี พ.ศ.เกิดตัวเองไม่ได้ (แต่ก่อนทางการเค้าเลยถามคนใกล้ตัวว่าคุณย่าเกิดรุ่นใคร ถ้าถามย่าก็ได้แค่ตอบว่า ยายเกิด เดือนห้าแฮมห้า(ภาษาอีสาน หมายถึง เดือนห้า แรมห้าค่ำ) เพราะพ่อกับแม่ของคุณย่าได้บอกไว้แบบนี้) ดังนั้นจะหาเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณย่าคงไม่มีแล้ว เพราะถือว่าคุณย่าแก่ที่สุด เลยมีแต่ลูกๆหลานๆมาเยี่ยม และในคืนวันแรกที่คุณย่าได้กลับมานอนที่บ้าน ในขณะที่ลูกหลานอ้อมล้อมรอบๆคุณย่าคุยกันอย่างสนุกสาน คุณย่าเลยบอกว่า ฟัง ฟัง ลูกหลานเอ๋ย อยากรู้ไหมว่าตอนที่ย่าสลบไป ย่าไปไหนมา ลูกหลานทุกคนต่างเงียบ บรรยากาศเงียบลงทันที คุณย่าบอก จำไว้นะ ย่าจะเล่าให้ฟังถือว่าเป็นประสบการณ์ก่อนที่ย่าจะตาย ทุกคนหันมองมาที่ย่า แล้วย่าก็ได้เริ่มเล่าว่า
    ตอนที่ย่ารู้สึกปวดท้องมากปวดจนจะทนไม่ไหวซักพักหนึ่งก็รู้สึกถึงอาการปวดนั้น มันหายไปอย่างปิดทิ้ง แต่คุณย่าก็ แปลกใจเพราะว่า คุณย่ามายืนอยู่ที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่คุณย่าไม่คุ้นตา และจำไม่ได้เลย ขณะนั้นมีชายหนุ่มสองคน นุ่งชุดโจงกระเบนสีแดง เดินมาหาคุณย่าบอกว่าเดี๋ยวจะพาคุณย่าไปเองไม่ต้องกลัวหลงทาง แล้วชายสองคนก็เดินประกบคุณย่าซ้าย - ขวา พาเดินไป คุณย่าบอกว่าทางเดินไปมีแสงสว่างมีลักษณะคล้ายเป็นลำแสง ชายหนุ่มในชุดประหลาดทั้งสองได้พาคุณย่าเดินไป ไม่นานนัก ก็ไปโผล่ที่แห่งหนึ่ง คุณย่าบอกว่าที่แห่งนั้น มีลักษณะเป็นสีออกแดงๆ แต่คุณย่ายังไม่สังเกตอะไรมากนัก ชายหนุ่มทั้งสองที่พาคุณย่ามาก็บอกว่า ถึงแล้ว ซักครู่ก็ปรากฏร่างชายอีกคนตัวใหญ่มาก อยู่เบื้องหน้าคุณย่า ไม่นานนัก ชายคนนั้นได้เอ่ยคำพูดเป็นเสียงอันดังว่า “เอาคุณย่าท่านนี้มาทำไม ตอนนี้คุณย่ายังไม่หมดอายุขัยเลย”(จริงๆแล้วคุณย่าพูดเป็นภาษาอีสานออกมา ผมได้เขียนเป็นภาษากลางให้ผู้อ่านเขาใจง่าย และการสนทนาทุกอย่างต่างเป็นภาษาอีสานทั้งหมด) คำกล่าวของชายผู้นั้นยังสั่งให้ชายสองคนที่พาคุณย่ามาบอกว่า “ เอาคุณย่าไปส่งนะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” จากนั้นชายหนุ่มทั้งสองขานรับว่า”ครับ” แล้วก็พาคุณย่าเดินหันหลังออกมา ในระหว่างที่เดินออกมาคุณย่าได้พยายามสังเกตว่าที่ที่ตนมานี่มันที่ไหน พอคุณย่าได้หันซ้าย – ขวา สังเกตเท่านั้นเอง คุณย่าตกใจมาก คุณย่าอุทานในใจว่า” นรกมีจริงหรือนี่” ภาพที่คุณย่าเห็นคือ บ่อน้ำลาวาสีแดงฉาน เดือด เป็นฟองอากาศพ่นเอาไอน้ำ ออกมา เสียงดัง บลุก บลุก เป็นระลอกๆ เหมือนเสียงน้ำต้มในการ้อนๆไม่มีผิด จะต่างกันก็ตรงที่บ่อน้ำลาวาสีแดงฉานที่เดือดอย่างรุนแรงนี้ใหญ่มหาศาล หาที่สิ้นสุดของบ่อน้ำนี้ไม่ได้เลย เสียงคนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เบียดเสียดกันเต็มไปทั่วท้องน้ำอันแดงฉานนี้ พอซักพักคุณย่าก็เดินผ่านออกมาจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณย่าบอกว่าทางเดินตอนแรกถนนกว้างขวางเดินอย่างสบายๆ มีแสงสว่างเป็นระเรื่อๆ ซักพักถนนก็
    แคบลง แคบลง และแคบลงเรื่อยๆ แคบจนชายหนุ่มทั้งสองคนบอกว่ามาส่งคุณย่าได้เท่านี้แหล่ะครับ ให้คุณย่าเดินตรงไปทางนี้ ชายคนหนึ่งพูดพร้อมกับชี้นิ้วบอกทางคุณย่า จากนั้นคุณย่าก็เดินตรงตามที่ชายหนุ่มบอก ได้ไม่นาน คุณย่าก็ฟื้น ลืมตาขึ้นมาก็รู้ว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงคนป่วยที่โรงพยาบาล ตอนแรกคุณย่าก็ครุ่นคิดอยู่ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นความฝันหรือเป็นความจริง แต่ยังไงก็แล้วแต่ คุณย่าบอกว่าจะเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ลูกหลานฟัง พอลูกหลานฟังจบ บางคนก็หัวเราะ บางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ แต่ส่วนมากน่าจะไม่เชื่อซะส่วนใหญ่ ส่วนผมเองที่ฟังอยู่ก็หัวเราะ ชอบใจ รู้สึกตื่นเต้นตามประสาเด็ก แล้วยังถามคุณย่าอีกว่า คุณย่าตื่นเต้นไหมตอนเห็นนรก ....คุณย่าก็ได้แต่ยิ้มตอบ
    เรื่องนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับนรกจากที่คุณย่าได้เล่าให้ฟังตอนสมัยเป็นเด็กๆ และปัจจุบันนี้คุณย่าก็ได้สิ้นอายุขัยไป เมื่อประมาณซัก เจ็ดปีได้แล้ว เรื่องราวนี้ยังจำฝังใจผมเสมอ จนกระทั่งวันนี้ได้มาเจออาจารย์ยาย ซึ่งเป็นผู้ชี้ทางสว่างในเรื่องทางธรรมให้แก่ผม และให้ผมได้ตระหนักถึงผลของการกระทำเสมอ ว่าทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กระแสบุญ กระแสบาป ยังคงเป็นผู้นำทางให้กับดวงจิต ที่ยังไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสารเสมอ พร้อมกับอาจารย์ยายยังมีประสบการ เกี่ยวกับนรก –สวรรค์ ดังที่ทุกท่านคงได้อ่านในมิติซ้อนมิติไปแล้ว
    เรื่องนรก – สวรรค์ ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือ ผลของการกระทำ ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีการกระทำไหนที่ไม่ส่งผล มีเหตุ ย่อมมีผลเสมอ สวัสดีครับ...Happy Okay...
     
  5. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    การอนุโมทนาบุญ
    สำหรับดวงจิตที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร กระแสบุญกระแสบาปยังเป็นตัวนำทางในการดำเนินไปในแต่ละภพภูมิ แต่สำหรับดวงจิตที่ได้มาเกิดมนุษย์ อาจารย์ยายสอนเสมอว่า มนุษย์ทุกคนต่างมีบุญวาสนาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จึงได้มาเกิดเป็นคน ดังนั้นคนที่คิดว่าตัวเองเกิดมาต่ำต้อย ด้อยวาสนา จงภูมิใจเทิดที่ได้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ ได้มีโอกาสได้สร้างบุญ สร้างทานบารมี และตลอดจนสามารถน้อมจิตพิจารณาในธรรมให้แตกฉานเพื่อตัดขาดจากอาสวะกิเลสทั้งหลายได้
    ทุกครั้งที่มีการทำบุญ หรือมีการสอนธรรม อาจารย์ยายจะกล่าวคำว่า”อนุโมทนาสาธุ” ให้เหล่าลูกศิษย์ดูอยู่เสมอ ผมสงสัยจึงได้ถามท่านว่า การอนุโมทนาบุญนี่ หมายถึงอะไรแล้วทำไปเพื่ออะไรครับ อาจารย์ตอบว่า การอนุโมทนาบุญเป็นการแสดงเจตนาจิต ยินดีในบุญที่ผู้อื่นได้กระทำไป ผู้ที่อนุโมทนาก็จะถือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ร่วมทำบุญด้วย ถือว่าเป็นการเสริมพลังบุญของผู้กระทำนั้น ทำให้กระแสบุญได้เพิ่มยิ่งๆขึ้นไป
    สาธุครับ^__^
     
  6. vcc2aaa

    vcc2aaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยครับ อ่านแล้วรู้สึกยินดี ที่ท่านได้พบเจออาจารย์ที่สามารถชี้แนะ แนะนำแนวทางให้ท่านได้ ผมเองกำลังพยายามหาอยู่แต่ยังไม่เจอเลย
     
  7. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ถึงคุณ Vcc2aaa อนุโมทนาในกุศลจิตของคุณครับ อาจารย์ยายตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าหากใครที่เคยเป็นลูกเป็นหลานกันมาก่อน ขอให้ได้พบ ขอให้ได้เจอ เมื่อได้พบได้เจอแล้ว ขอให้มีความรักความเมตตาเอ็นดูต่อกัน แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ ขอเพียงได้ยินเสียง เพียงได้เห็นหน้าก็ขอให้เกลียดให้เดินผ่านออกไป แบบผ่านแล้วผ่านเลย นี่คือคำอธิษฐานจิตของอาจารย์ยายครับ
    ผมมั่นใจครับหากเรามีวาสนาต่อกันคงได้พบเจอกัน ได้พบอาจารย์ยายเพื่อชี้แนะแนวทางการเดินในเส้นทางธรรมต่อไปครับ เดี๋ยวผมจะโพสสิ่งที่อาจารย์ยายสอน สิ่งที่อาจารย์เล่าให้ฟังมาให้คุณได้อ่านเรื่อยๆครับ
    อนุโมทนาสาธุครับ ^__^
     
  8. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    คำตอบของอาจารย์ยาย จากปริศนาธรรมที่รอคำตอบมากว่าสามสิบปี

    วันหนึ่ง มีญาติธรรมที่เยอรมัน มีความสนใจในการสนทนาธรรมอย่างมาก และญาติธรรมท่านนี้ มีปริศนาธรรมมากมาย ที่เก็บไว้ในสมุดเล่มหนึ่ง ซึ่งเค้าใช้เวลาในการขบคิดปริศนาธรรมมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ซึ่งตีความยังไงก็ตีไม่แตกเสียที วันนี้เป็นวันดีที่เค้าได้เข้ามาสนทนาธรรมกับแฮปปี้ และสิ่งที่ดีกว่าคือวันนี้แฮปปี้ได้อยู่กับอาจารย์ยาย และแล้วปริศนาธรรมที่เก็บคำตอบไว้มาสิบกว่าปี ก็ถูกเปิดออกในวันนี้ ต้องขอขอบคุณ ญาติธรรมผู้นี้ คือ คุณอนุรักษ์ จันทร์เทพา ที่อนุญาตินำ บทสนทนานี้มาเผยแพร่ และขอบคุณอาจารย์ยายที่เมตตาลับปัญญาให้พวกเราทุกๆคนในวันนี้ครับ รายละเอียดดังนี้ครับ
    ถาม: อยู่ใกล้แค่เอื้อม อยู่ไกลพันลี้ ท่านบำเพ็ญพเนจรอยู่ เราไม่มีชื่อ อดีตเคยเป็นจอมมาร ...เราจะอยู่ในท่านที่ดีตลอดไป
    ตอบ :จะใกล้ก้ถือว่าใกล้ จะไกลก้ถือว่าไกล คืออยู่ที่จิตตัวเราเอง ทุกสิ่งเป็นอนัตตาสมมติทั้งหลาย จอมมารก็คือกิเลส ...เราจะอยู่ในท่านที่ดีตลอดไป คือ เราจะอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ตลอดไป
    ถาม: ความกลัวเป็นกิเลสทั้งปวง เมื่อก่อนเราก้เป็นคนขี้ขลาด ความกล้าเป็นสิ่งชนะมาร กล้าในทางที่ดีที่ถูกที่ควร แล้วท่านจะบรรลุ เรามีนามว่าเทพสุบรร
    ตอบ : คือ ความกลัวทั้งหลายเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น เมื่อเรารู้สมมติ เราก็วางในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนปลุงจากกิเลส ให้กลัวให้กล้า เมื่อเราค้นหาเจอ เราก็จะรู้ว่าทุกสิ่งทั้งหลาย คือกิเลสที่ปรุงใจให้ป็นนั่นเอง เมื่อเรารุ้ชัดแจ้ง ความกลัวในสิ่งสมมติทั้งหลายก็จบ ก้ดับ จิตเราจึงยึดอยุ่กับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศีล สมาธิ สติ ปัญญา กาย. เวทนา จิต ธรรม เมื่อตรวจตราจนรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งหลาย ก็จะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก้จะแจ่มแจ้งในจิต พระนิพพานก้จะบังเกิดขึ้น สาธุ
    ถาม : เราคือทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ธรรมของเราคือทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่สามารถปรากฏตัวให้ทุกท่านเห็นได้ เพราะยังไม่ถึงเวลา เราไม่สามารถบอกท่านได้ อดีตเราเคยเป็นกษัตริย์
    ตอบ : ข้อนี้อาจารย์รู้คำตอบ แต่ไม่สามารถตอบธรรมข้อนี้ได้ เพราะธรรมข้อนี้คือทุกๆสิ่งทุกๆอย่างในธรรมคำสอนทั้งหมด ซึ่งสูงเกินกว่าจะเอามาอธิบาย ขอให้เป็นปริศนาธรรมทิ้งไว้ก้แล้วกัน
    ถาม : เราคือปาฏิหารย์ เราอยู่ใกล้มนุษย์ แต่เหตุใฉนมนุษย์จึงอยู่ใกลเรา
    ตอบ : มนุษย์ผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส มาหลายภพ หลายชาติ ดวงจิตเดิมก้คือ อากาศธาตุไม่มีที่สิ้นสุด ว่างเปล่าโดยไม่มีประมาณ เดชะแห่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ ทรงธรรม อยู่ใกล้จิต มนุษย์ทุกคน บัวนั้นมีสี่เหล่าฉันใด เปรียบเสมือนคนบางเหล่าโปรดได้ บางเหล่าก็โปรดไม่ได้ เพราะจิตของเค้า เข้าใกล้ แต่เข้าไม่ถึงนั่นเอง พุทธัง สะระนังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ ธรรมทั้งหลายเป็น อกาลิโก เกิดได้กับจิต ของผู้มีปัญญาเท่านั้น ที่จะเห็นคุณค่าของธรรมแห่งอกาลิโก สาธุ
    ถาม :ลึกเหมือนหุบเหว ตื้นเหมือนพื้นดิน หนาเหมือนกำแพง บางเหมือนผืนผ้า อันความดีนี้หนายากที่ใครจะเสาะหา
    ตอบ : พระพุทธเจ้าตรัจว่า คนเราตายแล้วเกิด กองกระดูกที่ตายแล้วเกิด แผ่นดินยังไม่พอรองรับ คนเราเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จึงประมาณเทียบกับความลึกของหุบเหว เมื่อเทียบการตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิดไม่ได้เลย ความบางเหมือนผืนผ้า ชีวิตที่ยังมีภพชาติ เกิดวนเวียน บางยิ่งกว่าเส้นด้ายเสียอีก ผืนผ้านั้นยังหนาไป เหรียญมีสองด้านฉันใด คนดีคนชั่ว คนใฝ่ธรรม คนไม่ใฝ่ธรรม คนชอบหา คนไม่ชอบหา มีอยู่เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่พระพุทธเจ้า บอกทางให้แล้ว แต่ก้ไม่สามารถโปรดได้ทั้งหมด ผู้ใดเชื่อพระพุทธเจ้า ย่อมรีบเดินไปหาพระองค์ ไม่อยากชักช้าเสียเวลา เดี๋ยวมืดค่ำเสียก่อนจะไปถึง คือตายเสียก่อน เพราะธรรมบทนี้ อุปมาอุปไมย ชีวิตมนุษย์บางยิ่งกว่าผืนผ้าเสียอีก สุดท้ายก็ต้องลงที่ ใครชอบอย่างไร แบบไหน เลือกกันเอาเอง
    ถาม : เราคือแผ่นฟ้า เราคือแผ่นดิน เราคือมหาสมุทร สูงดั่งแผ่นฟ้า ลึกดั่งมหาสมุทร ความดีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
    ตอบ :เราคือผ่นฟ้าคือสมมติ เป็น ลมหายใจ เราคือแผ่นดิน คือ กายสังขาร เราคือมหาสมุทรสูงดั่งแผ่นฟ้า คือ มากมายไปด้วยกิเลสทั้งปวง ลึกดั่งมหาสมุทร คือ กิเลสมากมายประมาณไม่ได้แม้แต่มหาสมุทร ความดีอยู่ทุกหน ทุกแห่ง คือ สัจธรรมเกิดที่ตรงไหน อายตนะทั้งหกสัมผัสได้ที่ไหน สติรู้ตามทัน น้อมเข้าหาหลักธรรม พิจารณาให้เห็นใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผู้ใดระวังจิตได้ หิริโอตปะเกิดขึ้น ความชั่วร้ายต่างๆเข้ามาในจิต หิริโอปตะทำหน้าที่ดับสิ่งเหล่านั้นทันที จิตเหล่านั้น ก้จะรักษาศีลต่างๆได้ทุกข้อ ย่อมละอายและเกรงกลัวต่อบาปทั้งในที่ลับ และที่แจ้ง ความดีก้จะปรากฏอยู่ ทุกหนทุกแห่ง ที่ดวงจิตยังเกิด หิริโอตปะ
    อนุรักษ์ จันเทพา :โอ้ ชัดเจนแจ่มแจ้งมากครับ หนังสือที่ผมจดใว้มาสิบปี ไม่เคยเข้าใจความหมายเลย
    อนุรักษ์ จันเทพา : วันนี้เป็บบุญจริงๆครับอาจารย์
    หนังสือเล่มนี้อยู่กับผมมานานมาก แต่ไม่เคยรู้ลึกซึ้งถึงความหมาย คำตอบของอาจารย์ทำให้ผมขนลุกทุกคำตอบเลย ฝากขอบคุณอาจารย์แม่มากๆนะครับ ที่ให้ความกระจ่างในวันนี้ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2014
  9. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ความเมตตาจากอาจารย์ยาย
    ขอย้อนเวลากลับไปอีก 9 เดือน ในครั้งแรกที่แฮปปี้ได้เจออาจารย์ยาย สิ่งแรกที่ทำให้นึกถึงคือ อ้อมแขนอันอบอุ่นที่เปรี่ยมล้นไปด้วยความรัก ความเมตตา บวกกับรอยยิ้ม และแววตาที่ส่งมากระทบจิตดวงนี้ให้ได้รับความสุขอันแสนอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ความรู้สึกที่ได้พบอาจารย์ยายครั้งแรกติดตรึงใจ หากครั้งใด เมื่อได้ย้อนหวนนึกถึงทีไร ทำให้มีความสุขขึ้นมาในจิตใจทันทีทุกๆครั้ง
    ครั้งแรกที่พบท่านหลังจากท่านได้สอนธรรมะให้แฮปปี้แล้ว ท่านได้มอบเงินให้เพื่อเป็นค่ารถกลับบ้าน ตอนแรกก็ปฏิเสธท่านไป ท่านจึงได้บอกกับแฮปปี้ว่า “ยายไม่ได้มีเงินมากมายหรอกลูก แต่ยายอยู่ได้เพราะเทวดาเลี้ยง โดยท่านส่งเทวดาในร่างมนุษย์ที่ไม่ลำบากยากไร้เข้ามาจุนเจือยาย เมือได้มาก็เจือจานคนอื่น แบ่งปันกันไป” แบบเด็กอย่างแฮปปี้ก็ได้รับทั้งที่มีงานทำ ท่านบอกว่า “เงินเดือนเอาไปเลี้ยงดูพ่อแม่ ที่ยายให้เอาไว้ไปวัดหรือมาหายาย ในวันหนึ่งถึงเวลาถ้าไม่ใช้จ่าย เงินนี้จะเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน” ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ที่ได้เข้ามาคลุกคลีกับท่านเป็นเวลาเก้าเดือน เท่าที่ผมได้เห็น แทบทุกๆครั้ง อาจารย์ยายมีแต่ แบ่งปัน ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ คนดี หรือคนบ้า ถ้าท่านมี ท่านเจือจานแบ่งปั้นให้ตลอดเวลา เช่นออกไปข้างนอกเจอ รปภ. อยู่หน้าห้าง ท่านก็เมตตาช่วย แล้วก็ผู้คนอีกหลากหลาย ที่ผมได้มีโอกาสเห็นถึง การช่วยเหลือ และการแบ่งปันเจือจานของอาจารย์ยายที่ท่านมีต่อผู้คน ซึ่งทุกๆคนที่ได้รับความเมตตาจากอาจารย์ยายในเรื่องนี้ ต่างดูปิติตื้นตัน น้ำตาคลอก่อนกลับบ้านกันแทบทุกๆราย ใครเห็นก็คิดว่าท่านมีปัจจัยเยอะ แต่น้อยคนที่จะรู้ความจริงในเรื่องนี้ เช่นล่าสุดนี้(เมื่อวาน)ท่านไม่มีเงินสักบาท แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ท่านบอกกับแฮปปี้ว่า “วันนี้ยายไม่มีเงินจะให้ค่ารถนะ” แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้รับเงินจากอาจารย์ยาย ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดอยากได้เงินของท่านเลย
    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อดคิคถึงคำพูดของอาจารย์ยายไม่ได้เลย ที่ท่านเคยสอนว่า “ถ้าจะรู้จักใครให้ดีสักคนต้องเข้าให้ถึงก้นครัว จึงจะรู้จักคนๆนั้นดีด้วยตนเอง” เมื่อท่านไม่มีท่านก็ไม่ขอใคร และจะไม่ให้ใครลำบากเดือดร้อน ท่านจะพูดเสมอเมื่อผมเป็นห่วงเรื่องนี้ ท่านบอกว่า “กับข้าว กับปลา อาหารเรามีเต็มครัว ไม่มีเงินก็อยู่ได้ เรากินน้อยอยู่แล้ว” นี้แหล่ะคือสิ่งที่ท่านสอน ทำให้แฮปปี้เก็บเงินที่ท่านให้ทุกๆครั้งตลอดระยะเวลาเก้าเดือน ที่ผ่านมา แล้วในวันหนึ่งเรื่องที่ท่านเคยบอกว่าให้เก็บเงินไว้เพื่อจะได้เป็นค่าตั๋วเครื่องบินไปไหว้พระพุทธเจ้าที่อินเดียกับท่าน แล้วเมื่อวานนี้ก็พึ่งได้รู้ว่าท่านจะไปอินเดีย ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่จะกำลังจะถึงนี้ ผมเลยตัดสินใจไปด้วย และเมื่อเอาเงินที่เก็บไว้ในย่ามที่ท่านเคยให้มานับดู ปรากฏว่ามีจำนวนเงินครบเท่ากับค่าตั๋วเครื่องบินพอดี ทำให้แฮปปี้ได้มีโอกาสเดินทางไปกราบพระพุทธเจ้าที่ประเทศอินเดียพร้อมกับท่านในครั้งนี้ด้วย
    ทุกๆครั้งที่ได้เงินจากอาจารย์ยายเมื่อกราบขอบคุณท่าน ท่านจะสอนผมเสมอว่า “ให้อนุโมทนาสาธุกับเจ้าของปัจจัยที่เขาให้ยาย ยายจึงมีเงินทำบุญทำทานกับคนอื่นๆได้ เพราะเจ้าของเงินเหล่านั้น สาธุ สาธุ สาธุ”
    สุดท้ายแล้ว คติของท่านที่สอนผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ “เป็นผู้ให้ ย่อมปิติมากกว่า เป็นผู้รับ หลวงพ่อพุทธทาส เคยบอกกับท่านผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีเชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั้งประเทศ โดยท่านได้บอกกับบุคลนั้นว่าเมตตาต้องเดินสายกลาง บุคลนั้นจึงถามท่านว่า “แล้วทำไมท่านไม่เดินสายกลาง” ท่านจึงตอบว่า ถ้าไม่มีให้ ก็ต้องปลงวาง แล้วเดินสายกลาง แต่ถ้ามี ทำไมไม่ให้ละในเมื่อมีที่จะให้” แล้วเมื่อวานผมก็ได้เห็นสายกลางของอาจารย์ยายแล้วเช่นกัน คือทุกๆครั้งท่านจะให้ค่ารถผมกลับบ้าน แต่ครั้งนี้ท่านไม่มีจริงๆ ท่านจึงต้องปลงวางเดินสายกลางนั่นเอง ...เพื่อพิจารณา และอนุโมทนาสาธุกับเมตตาของอาจารย์ยายร่วมกันครับ สาธุ สาธุ สาธุ (แฮปปี้)
     
  10. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ธรรมะจากอาจารย์ยายเรื่อง"วิปัสสนูกิเลส"
    เรื่องวิปัสสนูกิเลสนี้ อาจารย์ยายได้บอกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปฎิบัติทั้งหลายควรรู้ และควรพินิจพิจารณา เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่นักปฏิบัติจะต้องเจอในการฝึกสมาธิภาวนา ซึ่งการไม่เข้าใจหรือขาดสติพิจารณาในภาวะที่เกิดขึ้นจากการภาวนา หรือการวิปัสสนานี้เอง จึงทำให้วิปัสนูกิเลสเกิดขึ้น
    วิปัสสนูกิเลส หมายถึง ความเศร้าหมองของวิปัสสนา เมื่อวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นวิปัสสนาก็ชะงักวกวนอยู่ ไม่อาจเจริญถึงที่สุดได้ ซึ่งถ้าหากไม่รู้หลักวิปัสสนาก่อนอย่างถูกต้อง มัวหลงเพลิดเพลินนึกคิดไปในอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่ประคองสมาธิไว้ให้ดี วัตถุแห่งวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งอาจเกิดขึ้น โดยในพระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ว่า วัตถุแห่งวิปัสสนูกิเลสทั้ง ๑๐ อย่างได้แก่
    ๑ โอภาส แสงสว่าง
    ๒ ความรู้ที่เกิดขึ้น
    ๓ ปีติ ความอิ่มใจ
    ๔ ปัสสัทธิ ความสงบ
    ๕ ความสุข
    ๖ อธิโมกข์ ความน้อมใจเชื่อว่าตนได้บรรลุมรรคผลแล้ว
    ๗ ปัคคาหะ ความเพียร
    ๘ อุปัฏฐาน คือสติเข้าไปตั่งมั่นอยู่ในกาย
    ๙ อุเบกขา ความวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งปวง
    ๑๐ นิกันติ ความพอใจ
    กล่าวคือหากสิ่งใดสิ่งหนึ่งใน ๑๐ อย่างนั้นเกิดขึ้น ถ้าไม่สำคัญผิด คิดว่าตนได้บรรลุมรรคผลแล้ว และ กำหนดเพ่งจ้องสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้นอยู่ เมื่อสิ่งนั้นถูกเพ่งอยู่ ก็จะค่อยเปลี่ยนแปรไป และดับไปในที่สุด แต่ถ้าหากสำคัญผิดคิดว่าเป็นของตนแล้ว ตนได้แล้ว หรือตนมีแล้ว หรือคิดว่าบรรลุมรรคผลแล้ว เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส เกิดขึ้น
    อาจารย์ยายได้กำชับกับเหล่าลูกศิษย์เสมอว่า ภาวะใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิภาวนา ทุกๆอย่างขอให้พินิจพิจารณา ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาให้หมด อย่าได้เก็บเอามายึดถือเป็นสารณะ หรือเป็นของตน เพราะไม่มีสาระแก่นสารอะไร แม้กระทั่งจะนิมิตเห็นพระพุทธเจ้า พระอินทร์ หรือเทพ เทวา มาคุย มาสนทนาธรรมด้วยก็ตามให้วางให้หมด การเริ่มทำสมาธิควรเริ่มนับศูณย์ใหม่ทุกครั้ง ให้วางความปารถนาเสียให้หมด เพราะวิปัสนูกิเลสมันแนบเนียนมาก ถ้าหากขาดสติพิจารณาไตร่ตรองเพียงนิดเดียวเท่านั้น กิเลสที่ยังครอบครองจิตอยู่จะทำให้ผู้ปฎิบัติธรรมเดินผิดทางธรรม และเป็นบ้าไปในที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
    "วิปัสนูกิเลสถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมากของผู้ปฎิบัติธรรม ขอให้ลูกหลานทุกๆคนโปรดระวัง และโปรดใช้สติพิจารณาให้มากก่อนจะน้อมใจเชื่อสิ่งใด เพราะครูบาอาจารย์ที่สอนหากไม่ใช่พระอรหันต์ ก็กลายเป็นผีเป็นเปตรได้ แม้แต่อาจารย์ยายเองก็เถอะ เพราะถ้าหากกิเลสครอบครองจิตตอนนี้ ก็กลายเป็นผี เป็นเปตรได้เช่นกัน"
    ขออนุโมทนา สาธุ กับคำสอนของอาจารย์ยาย ที่เมตตา และชี้แจงเรื่องวิปัสนูกิเลสให้เข้าใจ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเดินทางโลก หรือทางธรรม ครูบาอาจารย์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ลูกศิษย์จะขาดไม่ได้เลยจริงๆ สาธุครับ (แฮปปี้)
     
  11. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ประสบการณ์การทำสมาธิของอาจารย์ยายซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจารย์ยายเป็นผู้เขียนเองกับมือครับ เรื่องราวมีดังนี้
    พอเริ่มเข้าวัดปฏิบัติธรรม ครูบาอาจารย์ก็บอก “ให้ดูธาตุ พิจารณาธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ” ความที่ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เลยนั่งนิ่งสงสัยว่า “เอ๊ะ มันเป็นยังไงกันนะ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ท่านพ่อให้พิจารณา" เลยนั่งนึกเรื่อยเปื่อยไปว่า “ดิน คงเป็นดินที่เราเดินอยู่ทุกวันที่ใช้ปลูกต้นไม้ น้ำคงเป็นน้ำที่เราใช้ดื่มกิน ลมคือลมที่มาปะทะเรา ไฟคือไฟที่เราใช้หุงข้าว หรือไฟที่เราใช้ทุกวัน วิญญาณธาตุเป็นแบบไหนหล่ะ อากาศธาตุคงเป็นอากาศที่เราหายใจ” ก็ได้แต่นั่งนึกอยู่อย่างนั้นพอถามท่านพ่อ ท่านได้อธิบายให้ฟังก็ไม่เข้าใจในความหมาย เวลาผ่านไปหนึ่งปี...สองปี ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความที่เป็นคนจริงจัง เมื่อจะทำอะไรก็จะทำให้ได้ เลยไม่คิดท้อ ถอย แล้วในวันหนึ่งก็เข้าใจว่าสิ่งที่ค้นหามาทั้งหมดนั้น..คืออะไร

    ในวันหนึ่งประมาณเที่ยงคืนเป็นช่วงที่สงบสงัด ในขณะที่นั่งสมาธิ รู้สึกวิเวกกายและจิต สมาธิจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว สติมีความระลึกรู้ สัมปชัญญะพร้อมสรรพ ทำให้จิตเกิดกำลังเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนเดินของจิต แล้วจิตเกิดการเปลี่ยนแปลง มีอาการขนลุกซู่ซ่าไทั่วจิตทั่วสรรพางค์กาย เกิดความสุขตามมารู้สึก อิ่มเอมใจเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็เกิดอาการลังเลสงสัย ฉงนสนเท่ห์จิตเกิดอาการคิดทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร อาการที่เกิดขึ้นทั้งที่ทรงอยู่ในสมาธิภาวะนี้ ทำไมจิตยังมีอาการตรึกตรองได้ ความรู้ตัวก็ชัดเจน ไม่ได้เคลื่อนหรือเบลอแบบไม่รู้สึกตัว ตรงกันข้ามกลับชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่ายามปกติที่ไม่ได้นั่งสมาธิเสียอีก ต่อมาก็ได้รู้ว่าเป็นอาการของ วิตก วิจารณ์ นั่นเอง. พอจิตทรงอยู่ในอาการเช่นนั้นสักระยะหนึ่ง สมาธิตั้งมั่นแข็งแกร่งมีพละกำลังแน่แน่วมากยิ่งขึ้น จากนั้นภาวะใหม่เกิดขึ้น

    ภาวะสติสัมปชัญญะเฝ้าติดตามคอยดูจิตภาวะนี้ จิตผ่องใสมาก ความลังเลสงสัยหมดไปจากจิตภายใน ความระลึกรู้ในธรรมเกิดขึ้นมาแทนที่ จะเรียกว่า “ธรรมะผุด” ก็ได้ ความซาบซ่านยังคงอยู่ ความสุขประณีตยิ่งกว่าเก่า รู้อารมณ์ที่เกิดกับจิตได้ด้วยภาวะธรรมที่ผุดขึ้นที่จิตว่า “สุขอันประณีตนี้ เป็นสุขอันเกิดจากสมาธิที่มีพละกำลังอันแก่กล้า และสามารถดับความลังเลสงสัย ที่ภาษาธรรมเรียกว่า วิตก วิจารณ์ ไม่ให้เหลือติดอยู่ในจิตแม้แต่น้อย จิตซาบช่านอิ่มเอมอยู่อย่างนั้น” แล้วก็เปลี่ยนภาวะเคลื่อนต่อไป

    ภาวะที่สอง ที่เห็นสภาพของจิตกับสติสัมปชัญญะได้ชัดเจนว่า มนุษย์เรานั้นสติสัมปชัญญะกับจิตเป็นของที่อยู่เคียงคู่กัน สมมุติว่าจิตเป็นขวด ฝาขวดเป็นสติ กำลังสมาธิของจิตในภาวะนี้ขับเคลื่อนให้สติกับจิตเคลื่อนเข้าหากัน เหมือนเราเอาฝาขวดปิดปากขวด พอทั้งสองสิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ภาษาธรรมเรียกว่า “จิตรวมกันเป็นหนึ่ง” ภาวะจิตขณะนั้นสว่างไสวเจิดจ้า เหมือนดังกับว่าจิตหลุดจากสิ่งยึดเหนี่ยว..รู้สึกเป็นอิสระ เป็นเอกเทศ ปัญญาความรู้เกิดขึ้นที่จิตโดยอัตโนมัติ รู้ได้ทันทีว่า “ภาวะที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ แม้แต่คำว่าสว่างไสวเจิดจ้า เมื่อสื่อสารให้บุลคลอื่นฟังให้มองเห็นภาพ ในความเป็นจริงภาวะจิตในขณะนั้นไม่สีสันใดๆ ทั้งสิ้น” เมื่อสติสัมปชัญญะกับจิตรวมเป็นหนึ่งแล้วอาการที่เฝ้าดูก็จบสิ้น เป็นหน้าที่ของปัญญาความรู้ที่เกิดขึ้นทำหน้าที่แทนโดยอัตโนมัติ เป็นสภาวะเต็มเปี่ยมด้วยสุขยิ่งกว่าสุขไหนๆ ที่เคยพบมา พอมีสิ่งใดเข้ามากระทบอารมณ์ ก็มีแต่ความรู้สึก..รับรู้.ว่าง.วาง เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีการปรุงแต่งไปตามอารมณ์ที่มากระทบจิต เรียกว่า “จิตหยุดปรุงแต่งชั่วขณะ” สุขอันประณีตเกิดสมาธิและทรงอยู่อย่างนั้นชั่วระยะหนึ่ง พลังของจิตเกิดกำลังเต็มที่ จิตก็เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ภาวะต่อไป

    ในภาวะนี้จิตดิ่งลงเต็มที่ ความสุขที่ดำเนินมาด้วยตลอดก็หายไป จิตทรงอยู่ในอาการวางเฉย เหมือนจิตหยุดทำงาน อะไรมากระทบก็ไม่หวั่นไหว เงียบๆ ปัญญาหยุดทำงานตามไปไม่ถึงสภาวะจิต ปล่อยวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับสภาวะใดๆ ที่มากระทบจิต เป็นภาวะที่จิตหลุดออกจากการปรุงแต่ง

    เมื่อบอกเล่าสภาวะจิตนี้ก็ต้องสมมติเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจจิต เหมือนหนูที่ลงไปอยู่ในรูลึก ปัญญาเปรียบเหมือนแมว เมื่อหนูลงรู แมวไม่อาจตามลงไปได้ จึงต้องนั่งเฝ้าคอยอยู่ปากรูไม่ต่างกับแมวนั่งหลับคอยหนู ภาวะนี้อยู่คงที่นาน พอจิตเริ่มถอน หนูคือตัวจิต เริ่มตื่นคลานออกจากรู แมวคือตัวปัญญา ก็เริ่มทำงานขยับตัวทำงานพร้อมกับจิต ปัญญาก็แจ้งที่จิต รู้ว่า “จะสุข สักแค่ไหนก็ไม่เที่ยง” ทำให้ได้รู้ว่าในฌานทั้งหลายไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญ ยังไม่พ้นทุกข์ มันเป็นของที่ยังไม่เที่ยง มันมีเกิดมีดับ การที่จิตติดอยู่กับสุขและอาการวางเฉย ทำให้ปัญญาไม่ทำงาน ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด นอกจากจิตได้หยุดพักหยุดฟุ้งซ่านไม่ปรุงไปข้างนอกให้วุ่นวาย จากนั้นจิตก็จะเริ่มถอยหลังกลับจากภาวะที่สี่ไปสาม จากสามไปสอง และจากสองไปหนี่ง แล้วก็เดินกลับไปหนึ่ง สอง สาม สี่ อีก เดินหน้า-ถอยหลังจนชำนาญ จนกระทั่งรวมกันเป็นอารมณ์เดียวหรืออันเดียวกัน แล้วก็ถอยกลับไปที่สี่ สาม สอง หนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ ยกภาวะจิตขึ้นพิจารณาไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ จิตก็จะเกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้น เคยสงสัยว่าทำไมจึงต้องย้อนออกไปใช้อารมณ์เป็นหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ ก็เกิดความรู้ที่จิตว่า ในองค์ฌานที่หนึ่งนั้นเดิมที จิตมี วิตก วิจารณ์ ความลังเลสงสัย เมื่อโอ้โลมปฏิโลมฌานกลับไปกลับมาแล้ว ความลังเลสงสัยดับไป ในองค์ฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกเป็นตัวตนของตนเองชัดเจน เมื่อตัดความลังเลสงสัยออก จึงเหมาะที่จะเป็นฌานที่เปลี่ยนอารมณ์ยกขึ้นเจริญเป็นฌานวิปัสสนา เมื่อพร้อมแล้วตามที่เคยสงสัยเรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ มาก่อน แต่ไม่มีความเข้าใจจึงไม่มีคำตอบ ความสงสัยจึงถูกจิตใต้สำนึกบันทึกไว้โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับข้อความที่สงสัยถูกเซฟไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่ไม่มีกุญแจไข จิตในภาวะนี้จึงเป็นกุญแจคอมพิวเตอร์เอาข้อมูลที่สงสัยและคำตอบออกมาดู ก็คือเรื่อง ปฏิสนธิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ และเรื่องทั้งหลาย จิตคือผู้รู้ ผู้ดู ปัญญาเป็นผู้รู้แจ้ง เป็นผู้อธิบายเรื่องราวที่ไปที่มา เริ่มด้วยการนั่งดู..สมมติว่า เรากำลังดูทีวี เรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ

    ภาพแรกก็คือ การแสดงการปฏิสนธิให้ดู มีน้ำเมือก สองเมือก มารวมตัวกัน แล้วก็ฝังตัวที่โพรงมดลูก จากนั้นก็ฟักตัวค่อยๆ เจริญเติบโต ปัญญาคือผู้บรรยายให้จิตได้รู้ว่า นี่แหละที่เรียกว่า “ปฏิสนธิ” จากนั้นก็เริ่มฝักตัวเป็นรูป เป็นร่าง จนกระทั่งสมบรูณ์ จากนั้นก็เคลื่อนตัวออกจากโพรงมดลูกของมารดา พอเคลื่อนตัวผ่านช่องคลอดก็ร้อง..แว้ ปัญญาอธิบายว่า “นี่แหละ การเกิด” จากนั้นก็เริ่มเติบโต เปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เป็นเด็กตัวแดงๆ แล้วก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆจากทารก..จนเป็นสาว แล้วก็เข้าสู่วัยกลางคน จนกระทั่งเป็นผู้เฒ่าฟันหัก ผมขาว ตาฝ้าฟาง ตัวสั่นงันงก หลังคุ้ม เวลายืนก็ต้องใช้ไม้เท้ายันกายไม่ให้ล้ม ในขณะที่จิตเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลง ก็เหมือนกับเราดูรูปเจ้าของร่าง คือ ตัวตนของเรานั่นเอง ที่เปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ พอถึงภาพแก่เฒ่าชราเต็มที่ยืนไม่ไหวแล้วก็ล้มลงกับพื้น จากนั้นก็แสดงอาการเจ็บป่วยใกล้ตายให้ดู จิตก็ป้อนคำถามขึ้นมาว่า.. “อาการตายเป็นแบบไหน” ตรงนี้ไม่อาจจะหยิบยกหรืออธิบายให้เห็นตามเป็นจริงขณะนั้นได้ ก็ต้องสมมุติให้ฟังว่า

    “อาการตายเป็นอย่างนี้ คือ ลมนั้นเปรียบเหมือนกับ Syringe (หลอดที่หมอใช้ใส่ยาฉีดให้คนไข้) เมื่อใส่ยาเต็มหลอด สมมุติว่ายาในหลอด คือ “ธาตุลม”
    ดวงเทียนที่มองเห็นเคียงข้างกับหลอดยา คือ “ธาตุไฟ” ซึ่งกำลังส่องสว่างโพลงนั้น พอฉีดยาหมดหลอด ธาตุลมดับ..ดวงเทียนธาตุไฟก็ดับตาม ปัญญาก็แจ้งกับจิตว่า “ลมดับไฟก็ดับพร้อมกัน” จากนั้นสังขารก็ค่อยๆ แสดงอาการขึ้นอืด ในขณะนั้นตัวก็เขียวคล้ำแล้วก็แตกออก น้ำเหลืองไหลเยิ้ม น่าสะอิดสะเอียน จนกระทั่งถึงความที่สุดของความน่าสะอิด สะเอียน ก็มีคนยกซากอันน่าเกลียดขึ้นไปเผา บนเชิงตะกอนแบบโบราณ แล้วก็จุดไฟเผา พอซากสังขารถูกไฟเผา ก็ยังแสดงความน่าสังเวชให้เห็นอีก เมื่อไฟเผาซากศพความร้อนทำให้เส้นเอ็นจากซากศพยึดรวมกันขึ้น ซากศพกระดกลุกขึ้นมานั่ง ทำให้น่าสังเวชหนักขึ้น” จิตที่เฝ้าดูอยู่ก็เกิดความสงสัยว่า “ปฏิสนธิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ธาตุลม ธาตุไฟ ก็เห็นแล้ว ธาตุน้ำหล่ะอยู่ไหน ทำไมมองไม่เห็น”

    พอนึกจบซากศพก็หายไป เหลือเพียงแต่ลำแขนเท่านั้นที่ยื่นออกมารนไฟที่กำลังลุกโชน แขนเมื่อถูกย่างด้วยเปลวไฟก็รีดน้ำหยดติ๊งๆ ออกจากลำแขนที่ถูกย่าง จากนั้นปัญญาก็แจ้งที่จิตว่านี่แหละคือ “ธาตุน้ำ” เป็นเช่นนี้ หากนึกภาพไม่ออกก็ลองนึกภาพหมูย่างหรือเนื้อย่าง ที่ทำหมูน้ำตก ก็เห็นภาพตามความเป็นจริง พอเห็นชัดเจนแล้วภาพทั้งหลายก็ดับหาย ไป เหลือเพียงขี้เถ้าสีเทาๆ กองหนึ่ง

    ขณะที่มองแล้วพิจารณาว่าเหลือแค่นี้เอง..สังขารของเรา อยู่ๆ ก็มีลมหอบใหญ่ ไม่รู้มาจากไหนพัดหอบเอาขี้เถ้ากองใหญ่ปลิวหายไปในอากาศ จิตที่กำลังพิจารณาก็คิดว่า “เออหนอ..มนุษย์เราก็เท่านี้ เมื่อคืนธาตุคืนสังขารไปก็ไม่เหลืออะไรเลย” ความรู้แจ้งที่จิตว่านี่แหละที่เขาเรียกว่า “อากาศธาตุ” คือ ความว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุด

    พอรำพึงจบก็สะดุ้งใจขึ้นมาว่า “เอ๊ะ..แล้วใครพูดอยู่อีกล่ะ” เมื่อก้มดูตัวตนเองก็เห็นว่า ยังมีสภาพครบถ้วนบริบรูณ์ ก็นึกต่อไปว่า “อ้าว..ที่ตายไปเห็นเผาจนไม่มีเหลือนั้นล่ะ..คืออะไร” ปัญญาแจ้งที่จิตว่า “มนุษย์เรา..เมื่อคืนธาตุคืนสังขารไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ขณะนี้คือ “วิญญาณธาตุ” ที่ยังรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่นั้น เพราะว่า ดวงจิตยังถอนสัญญาอุปาทานที่ติดอยู่กับจิตไม่ได้ แม้ไม่มีอะไรเหลือเพราะสังขารคืนสภาพความเป็นจริง ก็ยังติดว่ามีตัวตน มีสังขาร มีรูป มีนาม อยู่เช่นเดิม นี่แหละสิ่งที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของของเรา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาต่างหาก”

    พระพุทธองค์ทรงชี้แนะสั่งสอน ให้มนุษย์ทั้งหลายให้พยายามถอนสัญญาอุปาทานออกจากจิตให้ได้ ก่อนที่สังขารจะสลายไป หากถอนได้ก็เป็นอิสระ ภพชาติเป็นอันสิ้นสุด กิเลสที่ปรุงแต่งจิตมาทุกภพทุกชาติ ก็ไม่สามารถบงการจิตให้เกิดสัญญาอุปาทานได้อีกต่อไป นั่นหมายถึง..หลุดพ้นเป็นอิสระจากสิ่งร้อยรัดทั้งปวงโดยเด็ด ขาด ภพชาติสิ้นสุดแล้ว

    ในความรู้สึกขณะนั้น รู้ว่าตนเองนั้นตายไปแล้ว และสัญญาอุปาทานต่างหากที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เหลียวมองดูรอบกาย เกิดความอ้างว้าง วังเวง เดียวดาย เหมือนยืนอยู่ในป่าช้ายามโพล้เพล้ สัญชาตญาณก็เลยนึกถึงสามีขึ้นมา ในขณะนั้นเองภาพของสามีได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าไกลลิบ ด้วยความดีใจจึงกวักมือพร้อมตะโกนเรียก อนิจจา!..สามีกำลังก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยว ไม่รู้สึกไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกเลยซักนิด ปัญญาแจ้งที่จิตว่า “มาคนเดียวก็ต้องไปคนเดียว จะเอาเขาไปเป็นเพื่อนไม่ได้ เพราะต่างคน ต่างเกิด ต่างตาย ต่างวาระกัน” ผู้เขียนเกิดความหวาดกลัวมากเลยยืนร้องไห้อยู่กับที่ ไม่รู้จะเดินไปทางไหน เบื้องหน้าก็มีเพียงปากถ้ำกว้างใหญ่สองถ้ำขวาง ทางอยู่ เป็นถ้ำสว่างและถ้ำมืด ไม่มีทางอื่นให้เลือกเดิน ธรรมชาติของมนุษย์เมื่อต้องเลือกไม่ว่าใคร ก็ต้องเลือกทางสว่างกันทั้งนั้น ผู้เขียนก็เช่นเดียวกัน ได้ตัดสินใจเดินเข้าไปในถ้ำสว่าง ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปในถ้ำก็ได้กลิ่นหอมรัญจวนใจ ได้ยินคล้ายเสียงดนตรีบรรเลงก้องกังวาลไพเราะไม่มีอะไรจะเปรียบปานได้ จิตปลอดโปร่งโล่งเบาราวกับปุยนุ่น รู้สึกมีความสุขความอิ่มเอมใจมาก ไม่สามารถบรรยายความสุขที่เกิดขึ้นออกมาเป็นตัวหนังสือได้เท่ากับความรู้สึก ที่ได้รับ ในใจก็คิดว่าเราโชดดีที่เดินเข้ามาถูกทาง พอนึกถึงตรงนี้ ฉับพลันทันทีก็ มีกระแสประหลาดดึงดูดร่างให้ล่องลอยออกจากถ้ำที่ยืนอยู่ ความรู้สึกตระหนกตกใจจึงเอามือสองข้างยึดกับผนังถ้ำไว้ ปัญญาแจ้งที่จิตว่า “มนุษย์เราเมื่อคืนธาตุคืนสังขารก็เหลือแต่วิญญาณธาตุ อย่าพยายามยื้อยุดขัดขืนเลย ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ เพราะไม่มีสังขารที่จะยึดผนังถ้ำไว้ได้ สิ่งที่คิดว่าคือสังขารอยู่นั้นมันเป็นเพียงอุปาทานที่ติดอยู่ที่จิตเท่า นั้นเอง ขณะที่รู้สึกว่าร่างล่องลอยออกจากปากถ้ำสว่างแล้ว ไหลเข้าสู่ถ้ำมืดผู้เขียนได้มองเห็นเงินทอง เพชรนิลจินดาสว่างไสวส่องประกายวูบวาบตระการตามากมายกองอยู่เต็มปากถ้ำมืด แต่ความกลัวในขณะ นั้นมีมากกว่า จึงไม่มีความต้องการที่อยากจะได้ มีแต่ความต้องการที่จะขัดขืนไม่ให้ร่างลอยเข้าไปในถ้ำมืดเพียงอย่างเดียว พอร่างไหลเข้าไปในถ้ำมืด ทันทีที่สัมผัส ความรู้สึกก็เกิดอาการสะดุ้งผวา เพราะเสียง ที่อึกทึกครึกโครมนั้น ช่างสยดสยองปานประหนึ่งใจกลางมหานรก ผู้เขียนไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบเทียบ ก็เลยเอาสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือ “มหานรกอเวจี” มาเป็นเชิงเปรียบเทียบให้ฟัง ในขณะ ที่เกิดความสยดสยองหวาดกลัว ไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว ในขณะนั้นมีสิ่งเดียวที่นึกถึงคือ “องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ขึ้นมาในวาระนั้น ก็เลยร่ำร้องขอขึ้นมาว่า “ข้าพเจ้ารู้แล้วว่านรกสวรรค์เป็นอย่างไรข้าพเจ้าขอบารมีองค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้า โปรดเมตตาขอให้ข้าพเจ้าได้มีชีวิตกลับมาบำเพ็ญบุญกุศล เพื่อภพภูมิเบื้องหน้าจะได้ไม่ต้องทุกข์เวทนาหวาดกลัว ดังที่ประสบอยู่ในขณะนี้ ดีหรือชั่วที่เคยได้กระทำมาเจตนาหรือไม่เจตนา ข้าพเจ้าขอสัญญาว่าจะละเว้นความชั่วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าหากมีวาสนาจะขอบำเพ็ญภาวนาประกอบแต่กรรมดี ละเว้นกรรมชั่วจนกว่าจะสิ้นลมในชาตินี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้กลับมาบำเพ็ญบุญกุศลต่อไป ได้เกิดปัญญาแจ้งที่จิตว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามเมื่อคืนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อตายจากโลกนี้ไปจะมีกระแสบุญ-กระแสบาปเป็นเครื่องนำทาง” จากนั้นจิตก็วูบกลับมา ความรู้สึกเกิดขึ้น ลมหายใจค่อยแรงขึ้น จากนั้นจิตก็ถอนออกจากสมาธิเหมือนตื่นจากการนอนหลับแล้วฝันไป แต่แตกต่างกันที่สติสัมปชัญญะเจิดจ้ามาก ความรู้สึกชัดเจน ในวันนั้นธรรมข้อที่ว่า “ปฏิสนธิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ ตายแล้วไปไหน ก็รู้แจ้งด้วยจิต และได้รู้ว่าปัญญา “วิปัสสนา” เป็นเช่นนี้เอง” ความลังเลสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้สิ้นสุดไปอีกบทหนึ่ง เป็นบทเรียนที่ต้องผ่านพบในทางธรรม และเรื่องนี้ก็กลายเป็นเบรคที่คอยห้าม เมื่อยามที่จิตใจถูกกิเลสความอยากในรูปแบบต่างๆ บงการให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะความโลภโมโทสันที่เกิดขึ้นในกมลสันดาน ทำให้เกิดความอยากได้ในสิ่งที่ผิดๆ ไม่ให้เผลอ กระทำผิดอีกต่อไป แล้วตั้งใจว่าชีวิตนี้ขอหนีนรกให้ไกลสุดขีดเท่าที่จะ ทำได้ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เวลาผ่านมาเกือบสี่สิบปี ธรรมข้อนี้ไม่เคย ลบเลือนไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป ทำให้ได้รู้ว่าธรรมใดที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นการรู้แล้วรู้เลย ไม่มีอะไรติดข้องสงสัยเป็นการรู้ที่จิต แจ้งที่จิต เรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ ที่เกิดขึ้นกับผู้เขียนนั้น เป็นการดำเนินจิตแบบเข้าองค์ฌานที่หนึ่งถึงองค์ฌานที่สี่ จากนั้นเปลี่ยนจิตออกจากองค์ฌานให้เป็นวิปัสสนา ซึ่งเป็นแนวทางของเจโตวิมุตติ ซึ่งเป็นความถนัด และเป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมที่ผู้เขียนใช้ “เจโตวิมุตติ” เป็นแนวทางการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ประณีตเป็นเลิศที่สุด”

    คุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้าถึงธรรมะตามแนวของ เจโตวิมุตติ ต้องทำฌานให้เกิดขึ้นก่อน แล้วออกจากฌาน คือ เปลี่ยนอารมณ์น้อมเข้าสู่วิปัสสนาให้เกิดปัญญา สิ่งที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญก่อนที่จะทำจิตให้เกิดกำลังพอที่จะเข้าถึง องค์ฌาน อันดับแรกคือ การสำรวม กาย กิริยา วาจา จิต ศีล สติ สัมปัญชญะ สมาธิ

    สติ ภาวะจิตตั้งมั่นเพื่อระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    สมาธิ ภาวะจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว
    สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม
    วิตก การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์
    วิจาร การต่อเนื่องของการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์
    เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ จิต สติ สมาธิ ก็เป็นตัวขับเคลื่อนจิตเข้าสู่ภาวะ “อุปจารสมาธิ” ที่ยังไม่แน่วแน่แข็งแรงพอ ที่จิตจะเข้าภาวะองค์ฌาน “อัปนาปาสมาธิ” เป็นสมาธิที่แข็งแรงมีกำลังแก่กล้าจิตพร้อมที่จะเข้าภาวะ องค์ฌานที่ หนึ่ง คือ ปฐมฌาน จากนั้นก็จะดำเนินเข้าภาวะ องค์ฌานที่สอง-สาม-สี่ จนกระทั่งเรียนรู้อารมณ์ฌานทั้งสี่ ได้ชัดเจนว่า ในแต่ละองค์ฌานมีอะไรเกิด..มีอะไรดับ ในภาวะขององค์ฌานแต่ละองค์ฌาน ต่อจากนั้นจิตก็จะโอ้โลมปฏิโลมองค์ฌานทั้งสี่..แบบกลับไปกลับมา จนกระทั่งชำนาญการเข้าออก จนกระทั่งองค์ฌานทั้งสี่เป็นหนึ่งเดียวกัน “ปัญญา” ความรู้ก็จะเกิดขึ้น การพิจารณาเป็นเรื่องของ “ปัญญา”

    ในธรรมะที่ พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่จะให้เข้าถึงทั้ง สี่อย่างแจ่มแจ้งแบบสิ้นอาสวะจากสิ่งร้อยรัดทั้งปวง ก็ต้องดำเนินองค์ฌานที่ห้า ถึงองค์ฌานที่แปด เมื่อรูปฌานดับ เกิดอรูปฌานขึ้นมาแทน เพราะองค์ฌานที่แปด มีความสำคัญมาก ถ้าไม่ผ่านองค์ฌานที่แปด อรูปฌานเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะอรูปฌานแปด เป็นภาวะที่เข้าถึง จะว่ามีก็ไม่มี จะว่าไม่มีก็มี ฌานที่แปด เป็นภาวะองค์ฌานที่สัญญาปรุงอารมณ์ให้เป็นไปต่างๆ นาๆ ไม่ได้ จากนั้น ภาวะนี้แหละที่ อรูปฌานเกิดขึ้น คำว่า “อรูปฌาน” แปลว่า ไม่มีรูป ซึ่งเป็นลักษณะของกายละเอียด พวกเทพชั้นพรหม ที่เรียกว่า “อรูปพรหม” ภาวะจิตนี้ในความรู้ความเข้าใจ คือ ไม่มีการแสดงของรูปเป็นองค์ประกอบ เป็นภาวะรู้ที่จิต..แจ้งที่จิต..ดับที่จิต” ฌานเป็นสมถะย่อมยึดหน่วง ทำให้อารมณ์เป็นหนึ่งเดียวโดยตลอด แต่ไม่สามารกทำให้จิตเกิดปัญญาที่จะทำให้จิตหลุดพ้นได้ เพราะจิตยังติดอยู่ในฌานหรือติดสมาบัติ ถ้าตายไปก็ต้องไปเกิดเป็นพรหมซึ่งยาวนานมาก ผู้เขียนเคยตั้งใจอธิษฐานจิตว่า “ถ้าหากตายไปยังต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ขอให้ได้ไปเกิดชั้นพรหม อย่าได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเลย ขอให้มีวาสนาได้ไปเกิดตามที่ตั้งใจ” จะอธิฐานทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ออกจากสมาธิ สาเหตุเพราะเบื่อหน่ายชีวิตการเกิด ด้วยพระพุทธองค์ทรงเมตตาเพราะไม่มีครูบาอาจารย์ที่คอยให้คำแนะนำสั่งสอน ในวันหนึ่งมีนายทหารท่านหนึ่งได้หนังสือพระไตรปิฎกฉบับชาวบ้านมาฝากเล่ม หนึ่ง และ เป็นเล่มแรกที่ตั้งใจจะลองศึกษาดูว่าการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาทั้งหมด มีตรงไหนบ้างที่ไม่ถูกต้องจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง ก่อนเปิดอ่านได้ก้มลงกราบพระพุทธองค์ “ขอพระพุทธองค์ทรงโปรดเมตตาชี้แนะทางสว่างให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด” จากนั้นก็เปิดหนังสือแบบไม่มีการกำหนดหน้าหนังสือ แล้วแต่มือจะพาไป ความมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ในหน้าที่เปิดข้อความมีอยู่ว่า “พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดมีความปรารถนาที่จะไปเกิดเป็นพรหม จงละความปรารถนานั้นเสียเถิด การไปเกิดเป็นพรหมยาวนานมากจนกว่าจิตจะเสื่อมจากฌาน ซึ่งไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ ถึงเวลาก็ต้องกลับมาเกิดอีก เพราะจิตยังติดอยู่ในวัฏสงสาร พออ่านจบ ปัญญาความรู้ก็ผุดขึ้นที่จิตว่า “ทำไมพระอริยะสงฆ์ทั้งหลายจึงลงมาบำเพ็ญจนสำเร็จมรรคผลในภพมนุษย์มากมาย อย่างที่เห็นๆ” คำตอบแจ้งที่จิตว่า “เพราะเวลาของมนุษย์นั้นสั้นกว่าพรหม เป็นหมื่นเป็นแสนกัป มนุษย์ถ้ามีความเพียรอย่างมาก ก็ประมาณแปดสิบหรือเก้าสิบปี ก็สำเร็จพระอรหันต์ บางรูปใช้เวลาน้อยปี ขึ้นอยู่กับบารมีของแต่ละองค์ เกิดเป็นมนุษย์สำเร็จเร็วกว่า” เมื่อพิจารณาเห็นจริงก็เลยอธิษฐานจิต “ขอยกเลิกละจากการปรารถนาพรหมตั้งแต่นั้นมา” ฌาน จึงไม่ใช่ธรรมะขัดเกลากิเลส ฌาน เป็นปัจจัยให้ผู้ที่สำเร็จฌาน หนึ่ง- แปด เรียกว่า สมาบัติแปด เกิดกิเลสอื่นๆ เช่น ความถือตัวเหนือผู้อื่น เป็นต้น ถ้าหากไม่ใช้ฌานเป็นบาทฐานเจริญวิปัสสนา คือ ออกจากฌานแล้วไม่พิจารณา สังขาร ธรรมะความรู้แห่งความ เกิด ดับ ความหลุดพ้นจากกิเลสย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น เรื่องของฌานจึงเป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติธรรมควรศึกษา เพื่อเป็นความรู้ บางท่านอาจ จะมีจริตนิสัยในการภาวนาแนวเจโตวิมุตติโดยไม่รู้ตัว เหมือนที่ผู้เขียนเคยเป็นมาก่อน แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจทำให้เสียเวลาติดอยู่ตรงนี้นานมาก
    ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์ยายได้เขียนเอาไว้เป็นหนังสือครับ อนุโมทนา สาธุ
     
  12. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ประวัติบ้านสนทนาธรรมภวันตุเต
    สำหรับประวัติความเป็นมาของชื่อ บ้านสนทนาธรรมภวันตุเตนั้น เรื่องนี้อาจารย์ยายเคยเล่าให้ฟัง แต่สิ่งที่เล่าให้ฟังนั้น เมื่อทบทวนดูแล้วล้วนแต่เป็สิ่งมหัศจรรย์ทั้งนั้นเลย ก่อนที่ผมจะเขียนบันทึกเรื่องนี้ ผมได้ขออนุญาติอาจารย์ยาย ท่านเลยบอกว่า เรื่องนี้ ให้ชื่อเรื่องว่า “อาจารย์ยายโม้ให้ฟังก็แล้วกัน” ผมได้ถามอาจารย์ยายว่า”ทำไมต้องบอกว่าโม้ให้ฟังละครับ” ท่านตอบว่า”เพราะถ้าไม่โม้คนอ่านเค้าจะสนุกเรอะ” คำตอบก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้น เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่อาจารย์ยายโม้ให้ฟังก็แล้วกันนะครับ อิอิ^^
    ขอย้อนเวลานับถอยหลังไปอีกสิบกว่าปี ครั้งนั้นอาจารย์ยายยังคงไปทำสมาธิ ภาวนา ที่วัดท่านพ่ออยู่เป็นปกติ ซึ่งวัดท่านพ่อเป็นวัดป่า สถานที่แห่งนี้มีความสงบร่มเย็น โดยปกติแล้วนอกเหนือจากอาจารย์ยายก็จะมีฆาราวาสคนอื่นๆอีกหลายคนที่เป็นลูกศิษย์ท่านพ่อ ที่เข้ามาภาวนาอยู่อย่างนี้เป็นประจำ ซึ่งหลังจากที่ท่านพ่อได้มรณภาพไปแล้วนั้น เหล่าลูกศิษย์ก็แบ่งกันเป็นสองกลุ่มตามแนวความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งกลุ่มที่มีความคิดแตกต่างจากเดิม คือคิดที่จะสร้างโรงเจพระแม่กวนอิม และจะนำพระแม่กวนอิมมาประทับข้างๆกุฏิที่ภาวนานี้ ซึ่งตอนนั้นเองอาจารย์ยายบอกว่าอาจารย์ยายไม่เห็นด้วย เพราะว่าพระแม่กวนอิมปกติแล้วนั้น จะอยู่ที่ศาลเจ้าแบบจีน ซึ่งพระแม่กวนอิมจะมีการเซ่นไหว้ แต่พระพุทธเจ้าเราไม่มีพิธีอะไร ถ้าจะเอามาไว้วัดป่าที่พระท่านฝึกกรรมฐานเห็นทีจะไม่เหมาะสม และไม่สมควรเลย แต่กลุ่มนั้นเค้าก็ยังคิดว่ายังไงก็จะสร้างศาลเจ้า และโรงเจ ในวัดป่าแห่งนี้ อาจารย์ยายเองท่านก็บอกไปว่ายังไงก็ไม่สำเร็จหรอก เพราะมันไม่เหมาะสมที่จะเอาพระแม่มาไว้ในวัดป่าอะไรแบบนี้ อยู่มาวันหนึ่ง พี่คนหนึ่งที่เป็นที่เคารพนับถือกับอาจารย์ยาย พี่เค้าเป็นอีกคนที่มีส่วนในความคิดริเริ่มการทำโรงเจ เค้าได้ลาออกจากกรม(ที่ทำงานเก่า) และได้มาเปิดร้านขายสังฆทาน และในวันต่อมา เขาได้มาหาอาจารย์ยายแล้วบอกว่ามีคนอยากจะเช่ารูปปั้นพระแม่กวนอิม พร้อมทั้งขอร้องให้อาจารย์ยายไปเป็นเพื่อนเพื่อเลือกรูปปั้นพระแม่กวนอิ่มที่เสาชิงช้าด้วย อาจารย์ยายเห็นพี่เขาขอร้องเลยตกลงรับปากไปเป็นเพื่อน พอไปถึงเห็นรูปปั้นพระแม่กวนอิมนั่งบนหลังมังกรเลยบอกว่าองค์นี้สวยดี พี่เขาเลยเลือกพระแม่กวนอิมองค์นั้นไปไว้ที่ร้านเขา หลังจากนั้นเขาก็เอาไปไว้ที่กุฏิที่วัด พออาจารย์ยายไปวัดเข้าพักในกุฏิจึงเห็นรูปปั้น เมื่อถามจึงรู้ว่าเขาจะเอามาไว้ที่โรงเจที่เขาจะทำกัน อาจารย์ยายจึงบอกว่า “ไม่สำเร็จหรอกเพราะไม่ถูกต้องเลย เพราะที่นี้คือวัดป่าสำหรับพระที่จะภาวนาทำกรรมฐานไม่ควรมีโรงเจ เพราะว่ามันคนละเรื่องกันเลย” พวกเขาก็ไม่เชื่อ ต่อมาลูกศิษย์ทั้งสองกลุ่มเกิดขัดแย้งในความคิด ซึ่งมีความคิดเห็นไม่ตรงกันนั่นเอง จนในที่สุดก็ต้องหยุดเสร้าง พระแม่เลยต้องอยู่ในกุฏิถึงแปดปี ต่อมา อาจารย์ยายก็ไม่ได้สนใจอะไร ท่านก็มานั่งด้านหน้าพระแม่หลับตาทำสมาธิอยู่อย่างนี้เหมือนเดิมเป็นปกติ ซึ่งพี่ที่เอาพระแม่มาไว้ตรงกุฏิแห่งนี้ได้เกิดเหตุการณ์ไม่ดีมาตลอดเลย คือ เกิดอุบัติเหตุ ทำให้หลังหัก ขาหัก ข้อมือหัก กระดูกสะโพกหัก ตลอดระยะเวลามาแปดปี จนกระทั่งวันหนึ่งเป็นวันงานทอดกฐินของทางวัด โดยปกติแล้วอาจารย์ยายไม่เคยแต่งชุดขาวไปนั่งสมาธิเลย แต่วันนั้นเป็นวันแรกที่ท่านใส่ชุดขาวไปนั่งสมาธิ ซึ่งในวันนั้นคนเข้ามาเยอะมากอาจารย์ยายเองก็นั่งสมาธิแบบปกติ เมื่อถอนจิตลืมตาออกมาก็ปรากฏว่าถ้วยจาน ชามอาหารต่างๆวางเรียงรายรอบตัวเต็มไปหมดเลย ท่านก็เลยถามคนในนั้นว่าทำอะไรกัน เค้าบอกว่า”เค้ากำลังไหว้พระแม่” อาจารย์ยายเลยถามต่อไปว่า”พระแม่ท่านฉันเจไม่ใช่หรอ ท่านไม่กินเนื้อ แล้วทำไมมีใส้กรอก มีเนื้อล่ะ” เค้าก็ตอบว่า “อ๋อ ลืมๆ ลืมไป” อาจารย์ยายก็เลยนึกในใจว่า “ทำบ้าอะไรกันเนี่ย ทำอะไรกัน ทำไมทำกันอย่างนี้” พอนึกอย่างนั้นแล้วอาจารย์ยายก็เลยเข้าสมาธิต่อ พอจิตรวมลงก็ปรากฏนิมิตเห็นพระแม่กวนอิม ท่านบอกว่าให้พาท่านออกจากกุฏิได้แล้ว ท่านซ่อนพระพักตร์มานานแล้ว อาจารย์ยายก็ตอบพระแม่ไปว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี ค่าเงินบาทลอยตัว เงินดอลลาร์แข็งค่า ทำให้ธุรกิจค้าเพชรอาจารย์ไม่ค่อยดีนัก เลยมีปัญหาขัดข้องด้านการเงิน ถ้าหากท่านจะให้พาออกไปประทับที่อื่นละก็ ท่านต้องช่วยหาสถานที่ และช่วยเหลือด้านอื่นๆให้สามารถอัญเชิญท่านออกไปได้อย่างราบรื่นด้วย และเมื่อท่านตกลง อาจารย์ยายเลยรับปากพระแม่ หลังจากนั้นจึงได้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย อย่างไม่น่าเชื่อ จนเป็นภวันตุเตถึงทุกวันนี้ และก่อนที่จะอัญเชิญพระแม่มา พี่คนที่รับปากว่าจะยกพระแม่ให้อาจารย์ยาย ก็เกิดเสียดายพระแม่ขึ้นมา เลยบอกอาจารย์ยายว่าจะเอาพระแม่ไปไว้ที่ทาวน์เฮาส์ตนเอง อาจารย์ยายเลยบอกว่า” สัจจะนะ นี่คือสัจจะ ถ้าหากว่าคิดอย่างนั้นแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่เอาก็ได้ อยากจะบอกว่าพระแม่ไม่ใช่ของเล่น ถ้าอย่างนั้นก็เอาไปเลย เราจะไปเชิญมาใหม่ก็ได้ พอพูดจบอาจารย์ยายก็เดินออกมา แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นก็ตกลงมาจากที่สูงหลังหักเลยทันที พอตกลงมาหลังหัก อาจารย์ยายก็เมตตาไปดูแลรักษาเป็นเวลานานถึงหกเดือนเพราะเค้าไม่มีบุตรสาวดูแลเลย หลังจากนั้นพระแม่จึงได้มาประทับอยู่ที่ภวันตุเตให้พวกเราได้กราบไหว้ และเป็นที่พึ่งทางจิตใจตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โดยเหตุการณ์ความมหัศจรรย์ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ในวันที่จะอัญเชิญ และยกพระแม่มานั้น ปรากฏว่าองค์ท่านหนักมาก หนักจนไม่สามารถยกขึ้นได้ ตอนนั้นถนนหนทางเข้าภวันตุเตอนนั้นลำบากกว่าตอนนี้มากๆ อาจารย์ยายเลยเป็นห่วงเรื่องการเคลื่อนย้าย ท่านจึงกำหนดจิตอธิษฐานบอกพระแม่ว่า”ถ้าหากพระแม่อยากไปอยู่ในสถานที่ที่สร้างไว้จริงๆ ขอให้พระแม่ทำตัวให้เบา และยกได้ง่ายด้วย ก็ปรากฏว่าองค์พระแม่เบา และสามารถยกขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนคนที่รออยู่ที่ภวันตุเต ที่รอรับพระแม่ก็รอรับกันอยู่ ซึ่งเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เห็นกันทุกๆคนก็ปรากฏขึ้นคือพระอาทิตย์ทรงกรดเป็นรัศมีวงกลมวงใหญ่งดงามมาก อาจารย์ยายบอกว่านี่แหล่ะถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดี จากนั้นจึงได้ทำพิธีอัญเชิญพระแม่ขึ้นบนศาลาเสร็จสมบูรณ์จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลา 11 ปี แต่เหตุการณ์มหัศจรรย์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเท่านี้เพราะในระหว่างที่ก่อสร้างศาลาพระแม่นั้น มีเรื่องราวมหัศจรรย์อีกมากมายดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ
    หลังจากที่อาจารย์ยายรับปากพระแม่กวนอิมแล้วว่าจะอัญเชิญท่านออกมาจากกุฏิ และจะนำท่านมาประทับไว้ในสถานที่ที่สมควร และขอให้พระแม่ช่วยด้วย หลังจากนั้นก็มีปัจจัยเข้ามาอย่างไม่น่าเชื่อ จึงได้สถานที่แห่งนี้(ทุ่งนาที่เต็มไปด้วยป่าดอกโสน) และแล้วงานก่อสร้างศาลาพระแม่จึงเริ่มต้นขึ้น ในระหว่างงานก่อสร้างนั้น ขณะที่จะลงเสาเอก ในวันนั้นก็มีคนจีนที่มาจากตะกั่วป่าเข้ามาดู ค้าบอกว่าถ้าจะทำศาลาพระแม่ละก็ ต้องทำพิธีวางเสาเอก อาจารย์ยายเลยบอกว่าพิธีอะไรอาจารย์ยายทำไม่เป็นถ้าจะทำก็มาทำเองได้เลย หลังจากนั้นท่านก็ปล่อยให้คนจีนกลุ่มนั้นทำพิธีตามธรรมเนียมแบบจีนเกี่ยวกับการวางเสาเอกอะไรพวกนั้น ท่านเล่าว่าพวกคนจีนตื่นกันแต่ตีสามไปเยาวราช เก้าโมงเช้ายังไม่กลับมาเลย อาจารย์ยายรอยังไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยท่านลำพึงในใจว่า”ทำไมมันทำยากเย็นขนาดนี้เราจะสามารถอัญเชิญพระแม่ได้หรือเปล่านี่ เพราะว่าเราไม่รู้เรื่องราวพิธีการอะไรพวกนี้เลย แล้วพวกนี้เค้าจะทำได้ผลหรือเปล่า งั้นขอดูหน่อยเถอะ” พอกล่าวเสร็จอาจารย์ยายก็เข้าสมาธิเมื่อจิตรวมลงก็ปรากฏภาพนิมิตขึ้นมาว่า เห็นคนๆหนึ่งเป็นผู้ชาย ใบหน้าสีแดง ลอยลงมาจากข้างบนแล้วมายืนอยู่หน้าพิธี กล่าวคือผู่ชายคนนั้นกำลังมองดูการทำพิธีอยู่ มองไปมองมาอยู่อย่างนั้น อาจารย์ยายก็นึกอยู่ในใจว่า” เอะทำไมคนๆนี้หน้าแดงจังเลย ตลกดีพร้อมนึกขำในใจ” พอชายคนนั้นมองดูพิธีเสร็จแล้ว ก็ลอยขึ้นไปข้างบน อาจารย์ยายก็เล็งจิตมองตามไปเรื่อยๆ จนชายคนนั้นได้หยุด และยืนในที่แห่งหนึ่งที่มีบรรยากาศแปลกมาก ซึ่งที่แห่งนั้นมีหินแกรนิตเป็นแผ่นใหญ่ยาวประมาณสิบห้าเมตรได้ ซึ่งในที่ตรงนั้นมีบัลลังทองคำเป็นรุปมังกร แล้วในนั้นมีสมุดเล่มใหญ่มาก วางอยู่ ในสมุดนั้นพอเปิดออกมีแผ่นภาพสอดอยู่ข้างในเหมือนในอัลบั้มรูปบนโลกมนุษย์เลย จากนั้นมีคนๆหนึ่งแต่งตัวเหมือนงิ้ว ดวงตาสุกใส แบบสุกสกาว ไว้เล็บยาว มีเครายาว หน้าตาดูมีอำนาจมาก ดูอายุประมาณกลางๆคน ได้เดินออกมาจากบัลลังก์ พอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสมุด สมุดเล่มนั้นก็เปิดออกแบบว่าเปิดโดยอัตโนมัติ ซึ่งในขณะนั้นเองก็ปรากฏพู่กันในมือ ของชายคนที่แต่งชุดงิ้วนั้น แบบว่าไม่รู้ว่ามากจากใหน สมุดนั้นก็เปิดไปเรื่อยๆจนจะหมดเล่มอยู่แล้ว แบบว่ายังเหลืออีกไม่กี่แผ่นก็จะหมดแล้วก็หยุด ชายคนนั้นก็เขียนเป็นภาษาจีนตัวใหญ่ ซึ่งอาจารย์ยายจำได้ว่ามีลักษณะยังไงแต่ท่านบอกว่าเขียนไม่เป็น ตัวอักษรจีนนั้นเป็นตัวอักษรจีนสีทองตัวโตมาก พอเค้าเขียนเสร็จแล้ว เค้าก็ปาพู่กันนั้น ไปให้ผู้ชายคนที่มีใบหน้าสีแดง พร้อมกล่าวว่า”ให้ไปตามหาคนที่นับถือเทพเทวาทางสายจีน และนับถือพระโพธิสัตว์กวนอิมที่แท้จริงมา แล้วมาช่วยสร้างศาลาประดิษฐานพระโพธิสัตว์แห่งนี้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งปี” จากนั้นชายหน้าแดงก็รับคำปุ๊ป เค้าก็หายตัวไป ซึ่งก่อนจะหายตัวไปนั้น อาจารย์ยายอยากรูว่าเค้าคนนั้นคือใครอาจารย์ยายเลยถามว่า”นี่ใครนี่ คนหน้าแดงๆนี้ คือใคร ชื่อว่าอะไร เพราะไม่เคยเห็น และไม่รู้จักเลย” เค้าเลยตอบกลับมาว่า”เจ้าพ่อกวนอู” แล้วอาจารย์ยายเลยถามต่อไปว่า”แล้วคนที่แต่งชุดเหมือนงิ้วที่นั่งอยู่ล่ะใครหรอ” เค้าเลยตอบกลับมาว่า “เราคือเง็กเซียนฮ่องเต้” จากนั้นภาพทั้งหมดก็หายไป อาจารย์ยายเลยถอนจิตออกมาจากสมาธิ และลืมตาออกมา ซึ่งขณะนั้นคนจีนก็ทำพิธีวางเสาเอกเสร็จพอดี อาจารย์ยายเลยเรียกคนเหล่านั้นมาหาแล้วท่านก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ปรากฏในนิมิตให้ทุกๆคนฟัง สรุปคือเค้าบอกว่าวันนี้(วันทำพิธี)เป็นวันเกิดพระแม่กวนอิม ซึ่งตรงกับวันที่ 19กันยายน แล้ววันที่สิบเก้าเดือนกันยายน ปีหน้าจะต้องเสร็จ และจะต้องเป็นวันอัญเชิญพระแม่ขึ้นศาลา อาจารย์ยายพูดไปก็หัวเราะไปว่า แล้วเราจะไปเอาเงินมาจากใหนนี่ ให้สร้างเสร็จภายในปีเดียว เพราะตอนนี้ไม่มีเงินเลย ซึ่งอาจารย์ยายก็พิจารณาดู คิดดู ก็คิดว่าไม่น่าจะเสร็จภายในปีเดียวเป็นไปไม่ได้แน่นอน จากนั้นอาจารย์ยายก็ปล่อยวางไป แบบว่าไม่ได้สนใจอะไรกับนิมิต ซึ่งหลังจากวันนั้นงานก่อสร้างก็ดำเนินมาเรื่อยๆ จนเหลือเวลาเพียงเดือนเดียวก็จะถึงกำหนดวันอัญเชิญพระแม่แล้ว ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ กล่าวคือ ในระหว่างงานก่อสร้าง เงินอาจารย์ยายก็หมด อาจารย์ยายเลยคิดว่าข้างบนศาลาขอให้เสร็จก่อนก็แล้วกัน ข้างล่างไม่เสร็จก็ไม่เป็นไร อยู่ๆก็มีชาวจีนคนหนึ่งเข้ามา เค้าบอกว่าจะเข้ามาช่วยสร้างศาลาพระแม่ อาจารย์ยายเลยถามเค้าว่า”รู้ได้ไงว่าในนี้มีการก่อสร้างศาลาพระแม่กวนอิม” เค้าได้บอกอาจารย์ยายว่าเทพเจ้าทางจีนได้บอกให้เค้าเข้ามาช่วยสร้างศาลาพระแม่ให้เสร็จ เค้าก็เลยถามอาจารย์ยายว่า”ยังขาดอะไรอีกล่ะตอนนี้” อาจารย์ยายเลยตอบว่า”ขาดกระจกข้างบน” หลังจากนั้นเค้าก็ขึ้นไปดูการก่อสร้าง ว่าเราสร้างฐานการวางพระแม่ยังไง พอไปดูเค้าก็กล่าวออกมาเลยว่า “ นี่สร้างยังไง เหมอืนโรงศพคู่วางเคียงข้างกันเลย” อาจารย์เลยตอบกลับไปว่า “ก็เพราะเราไม่รู้ไง คิดว่าจะสร้างฐานพระพุทธเจ้าไว้สูงสุด จากนั้นก็สร้างฐานวางพระแม่ต่ำลงมา จะให้เราไหว้แต่พระแม่อย่างเดียวนั้นทำไม่ได้หรอก เพราะจิตใจเรายึดตรงต่อพระพุทธเจ้า เลยคิดแบบนี้ อีกอย่างก็จะรีบไปอินเดียด้วย” เค้าเลยตอบอาจารย์ไปว่า” ถ้าจะให้เราช่วยจะต้องทุบออกให้หมด แล้วจะสร้างใหม่ให้” อาจารย์ยายเลยตอบตกลง จากนั้นก็เลยทำตามที่เค้าบอกก จึงกลายเป็นฐานสำหรับวางพระแม่เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ดังที่พวกเราทุกคนได้เห็นกันอยู่ ณ ตอนนี้ หลังจากนั้นอาจารย์ยายก็เสร็จภารกิจงานก่อสร้าง และได้อัญเชิญพระแม่มาประทับที่ศาลา แต่สถานที่แห่งนี้ยังไม่มีชื่อเรียกเลย ลูกศิษย์หลายๆคน ต่างก็เสนอ ชื่อกันหลายๆชื่อเลยทีเดียว เช่น สำนักแม่วารุณี, สำนักเจ้าแม่วารุณี ,สถานธรรมวารุณี และอื่นๆอีกเพรียบ อาจารย์ยายบอกว่า “ไม่องไม่เอาหรอก จะให้ชื่อ สำนักเจ้ามงเจ้าแม่ได้ยังไง ถ้าจะให้มีชื่อละก็ ขอให้เทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกมาก็แล้วกัน ว่าจะเอาชื่ออะไร” หลังจากนั้นอาจารย์ยายจึงได้เดินทางไปประเทศอินเดียเพื่อกิจภาวนา
    สำหรับกระเบื้องสีแดงที่อยู่ด้านหลังพระแม่นั้น พระแม่ให้ทำขึ้น เพื่อเป็นคำอวยพรและเปรียบดั่งอังเปาจากท่านมอบให้กับคนที่มากราบไหว้ ซึ่งคนมาขออะไรส่วนมากจะสำเร็จเป็นส่วนมากถ้าหากมีความศรัทธา และเชื่อมั่นในองค์พระแม่ ท่านย่อมประทานพรให้ ดังคนมากมายเล่าไม่หมดจบจริงๆ สรุปแล้วเรื่องราวของพระแม่องค์แรกก็ได้ขึ้นมาประทับบนศาลา ตรงกับวันที่ 19 กันยายน 2545 จนถึงทุกวันนี้ และแล้ววันนี้ก็กำลังจะมีพระแม่อีกองค์ท่านเมตตา และสื่อผ่านอาจารย์ยายบอกว่าจะมาประทับอยู่ภวันตุเตด้วย ตอนแรกกำหนดการเป็นวันที่ 14 กุมพาพันธ์ แต่มีเหตุเสียก่อน สุดท้ายแล้วก็มีคนจีนเข้ามาอีก มาบอกอาจารย์ยายว่าควรจะอัญเชิญพระแม่มาวันที่ 19 เดือนมีนาคม 2557 ซึ่งก็ตรงกับเดือนหน้านี่เอง งานนี้ใครมีจิตเคารพในองค์พระแม่ พระองค์คงดลจิต ให้สามารถเข้ามาในงานพิธีเป็นแน่นอน ในวันงานอาจารย์ยายได้เมตตาบอกไว้ว่า "คนที่ได้เข้ามาอัญเชิญพระแม่ในวันนั้นอธิษฐานอะไรก็สำเร็จผล แต่ใครล่ะที่จะได้เข้ามาอัญเชิญ นี่คือประเด็นสำคัญ" ไว้รอลุ้นกันต่อไปนะครับ(เดี๋ยวเจอกันในงานครับ อิอิ)
    เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ นี่เป็นเพียงเรื่องราวของการก่อสร้าง และอัญเชิญพระแม่กวนอิมเท่านั้น เรื่องราวตอนต่อไปจะสนุกมากๆเลยครับ ตอนนี้เรายังไม่รู้กันเลยว่าชื่อ “ภวันตุเต” ใครเป็นคนตั้งให้ เดี๋ยวเสร็จจากงานแล้ว แฮปปี้จะรีบเขียนต่อมาให้ทุกๆท่านได้อ่านกันครับ อนุโมทนา สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กุมภาพันธ์ 2014
  13. yaipoo

    yaipoo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +98
    สงสัยเรืองเณรคำทีีเคยอ่านหนังสือว่านำเงินมาช่วยภวันตุเต ตกลงท่านเป็นพระแท้หรือเปล่าคะ
     
  14. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ถึงคุณYaipoo
    คำถามนี้ตอบเองไม่ชัดเจนเลยต้องถามเหตุและผลของอาจารย์ยายจึงจะได้คำตอบว่าอะไรยังงัย แต่เรื่องนี้มีคนได้ให้ความสนใจอย่างมาก และคำตอบที่ได้จากอาจารย์ยายก็คือ
    สำหรับพระท่านนี้ ตอนที่ท่านเข้ามาท่านยังไม่ดังหรือมีชื่อเสียงมาก ซึ่งท่านจะเป็นพระแท้ หรือไม่แท้นั้นอันนี้เราไม่รู้ แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์ยายได้บอกไว้คือมนุษย์ต้องรุ้จักบุญคุณคน เราต้องแยกให้ออกว่า ดีส่วนดี ชั่วส่านชั่ว ในครั้งหนึ่งท่านเข้ามาโปรดชื้อทุกข์ให้เรา เราควรจดจำในส่วนที่ดีเพราะเป็นเรื่องของความกตัญญูรุ้คุณผู้มีพระคุณอย่าได้ลืม แต่ถ้าท่านทำชั่วจริง เป็นเรื่องของผลกรรมที่ท่านจะต้องได้รับ แต่ท่านกับเราไม่มีกรรมต่อกัน มีแต่สิ่งดีๆ ถ้าสมตติว่าวันหนึ่งท่านกลายเป็นคนชั่วในความรุสึกของใครๆ แม้ว่าจะจริงเราต้องถ่มน้าลายรดท่านด้วยหรือ ตรงกันข้ามแม้ท่านจะถูกนำไปขุมขังหรือประหารชีวิต ถ้าท่านเดินผ่านเราอาจารย์ยายก็จะก้มลงกราบท่านโดยไม่เกรงกลัวคนอื่นพูดต่อว่า หรือดูถูก เพราะอาจารย์ยายเป็นคนกตัญญูรู้จักบุญคุณคนที่เคยเอื้อมมือมาช่วยเรายามทุกข์ยาก อาจารย์ยายจะไม่ลืมพระคุณเลยไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร ด้วยเหตุนี้เองอาจารย์ยายจึงได้บอกว่า "คนที่รู้จักกตัญญูต่อผู้มีพระคุณต่อเราน่ะเขาจึงเรียกว่าคน สำหรับธรรมของท่านที่เคยไปฟังที่บ้าน ดร.สุนันทาเราได้ฟังไปชั่วโมงกว่า เราขอกราบลากลับ เราย่อมรู้ด้วยตนเองว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ ก็แค่นั้น" นี่คือคำตอบต่อคำถามของคุณที่ผมนำไปถามอาจารย์ยาย แล้วท่านสอนผมกลับมาก็เป็นแบบนี้ครับ คุณต้องพิจารณาคำตอบที่ผมตอบเอาเองว่าจะยังงัย แต่สำหรับคำถามของคุณผมมีคำตอบแค่นี้ครับ
    อนุโมทนา และขอบคุณในคำถามครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กุมภาพันธ์ 2014
  15. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ประวัติภวันตุเต ตอนที่สอง
    หลังจากเชิญพระแม่กวนอิมองค์แรกมาประดิษฐานเสร็จแล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาแล้ว 11ปี ต่อมาตอนนี้ก็มีเรื่องพระแม่กวนอิมองค์ที่สองเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้ผมถือว่าโชคดีที่มีโอกาสอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพราะเมื่อประมาณปลายเดือน มกราคม ที่ผ่านมา อาจารย์ยายได้ปวารณาตน จะภาวนาเข้ม โดยการหยุดรับแขก แบบว่าภาวนาอย่างเดียวเป็นเวลาห้าเดือน ในวันนั้นผมอยู่ด้วย ได้นั่งกราบพระอยู่ใกล้ๆท่าน หลังจากกราบพระเสร็จ ท่านได้บอกผมกับพี่เปิ้ลว่า เพียงท่านจะกล่าวว่าคำว่า”จะไม่พบหรือพูดกับใครโดยไม่จำเป็น” ท่านก็บอกว่ามีคำว่า”ห้าม” ผุดขึ้นมาในจิต จากนั้นท่านเลยบอกเราสองคนว่า “จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่เลย จึงไม่สามารถกล่าวปวรณาให้จบได้ คงต้องคอยดูกันต่อไปว่าเพราะอะไร” และแล้วเรื่องราวเหตุผลก็ปรากฏขึ้นมาว่าเพราะอะไร ก็เพราะพระแม่กวนอิมจะเสด็จมาอยู่ภวันตุเตอีกองค์นั้นเอง ส่วนเรื่องราวที่มาที่ไปนั้นเป็นอย่างนี้ครับ
    ครึ่งเดือนต่อมาหลังจากที่อาจารย์ปวารณา และเริ่มเร่งความเพียร คุณป้าที่เป็นเจ้าของพระแม่องค์แรกซึ่งไม่ได้เจอกันมานานมากก็ได้โทรศัพท์เข้ามาหาคุณตา เขาบอกคุณตาว่า เขามีพระแม่อีกองค์จะเอามาให้เอาไหม ซึ่งคุณตาเองก็ไม่กล้ารับปากต้องถามอาจารย์ยายก่อนว่าจะเอาไหม คุณตาก็ถามคุณป้าท่านนั้นว่า “เอามาจากไหนล่ะ” จึงได้คำตอบจากคุณป้าคนนั้นว่า เค้ากับเพื่ิอนๆจะทำตำหนักพระแม่กวนอิมกัน จึงไปจ้างโรงหล่อให้ทำให้ ซึ่งหล่อมาสองปีแล้ว ตอนนี้เขามีปัญหากับทางวัดที่อยู่ คือ วัดท่านพ่อ ซึ่งเขาเองถูกเชิญให้ออกจากวัด ที่ชื้อไว้ก็มีปัญหา จึงไม่สามารถสร้างตำหนักพระแม่กวนอิมได้ เขาไม่รู้จะเอาพระแม่ไปไว้ที่ไหน เพราะโรงหล่อก็บอกว่าให้นำออกได้แล้ว เขาจึงนึกถึงอาจารย์ยาย และอยากเอามาประทับไว้ที่ภวันตุเตเหมือนองค์แรกที่เขาเคยเช่ามาจากเสาชิงช้า ดังที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ พอคุณตาวางหูก็เดินมาบอกอาจารย์ยาย และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เสร็จแล้วก็ถามอาจารย์ยายว่า ” จะเอาไหม จะได้บอกเขา” พออาจารย์ยายได้ฟังจบท่านก็พูดขึ้นมาเลยว่า “เอาอีกแล้วหรือนี่ นี่ยังไม่เข็ดหลาบอีกหรือ หรือลืมไปแล้วว่าองค์แรกที่เขาทำไปนะ มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง ยังกล้าทำอีกหรือนี่” ซึ่งอาจารย์ยายเองท่านก็ไม่ตอบตกลงอะไร เพราะท่านตอบไม่ได้ว่า ไม่เอา เพราะพระแม่เป็นของสูง ถ้าเกิดจะพูดว่า เอา หรือ ไม่เอาแล้ว ก็ไม่รู้จะยังไงดี เพราะในเมื่อท่านปารถนาจะมาหาเราทั้งทีแบบเราไม่คาดคิดมาก่อน สรุปแล้วอาจารย์ยายก็ไม่ได้ให้คำตอบคุณตา คุณตาจึงเดินกลับบ้านพักของท่าน จากนั้นอีกสามวันต่อมา คุณป้าเจ้าของพระแม่กวนอิมก็ได้โทรมาบอกอีกว่า วันมาฆะบูชาที่ใกล้จะถึงนี่ จะนำพระแม่เข้ามา ซึ่งเค้ายังไม่ได้ฟังคำตอบของอาจารย์ยายเลย ว่าเอา ไม่เอา อาจารย์ยายก็ไม่รู้จะทำยังไง พอตกกลางคืน ขณะท่านกำลังจะนั่งสมาธิ ก็ปรากฏภาพพระแม่กวนอิมขึ้น แบบองค์ใหญ่เต็มท้องฟ้า องค์พระแม่สีขาวยืนอยู่บนดอกบัว มีความงดงามมาก ในมือท่านถือแจกัน แล้วท่านก็หยดน้ำลงมาให้หนึ่งหยด น้ำหยดนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนลงมาแต่ไม่ตกถึงพื้นดิน พอถึงระดับหนึ่งที่ยังอยู่บนกลางอากาศ ก็เกิดการแตกกระจายของหยดน้ำนั้นแผ่รัศมีออกเป็นวงกว้าง แบบเกิดประกายสว่างจ้าควบคุมทั่วบริเวณบ้านสนทนาธรรมภวันตุเต จากนั้นท่านก็หายไป อาจารย์ยายจึงลืมตาขึ้นแล้วเรียกพี่เปิ้ล กับพี่แหม่ม มาฟังเรื่องราวนี้ แล้วท่านจึงอยากจะพิสูจน์ว่า จะจริงหรือป่าว เพราะท่านไม่รู้ว่าพระแม่ที่จะเอามาให้ปางอะไร ท่านเลยให้พี่เปิ้ลโทรถามคุณตา ซึ่งคุณตาเองก็ไม่รู้ จึงได้โทรถามคุณป้าเจ้าของรูปปั้นพระแม่ ชึ่งก็ได้ความว่า พระแม่ปางยืนอยู่บนดอกบัว ในมือถือแจกันในลักษณะตรงกับที่อาจารย์ยายเห็นในนิมิตทุกประการ พอทราบเรื่องราวนี้ อาจารย์ยายเลยตอบตกลงรับพระแม่องค์นี้ เพราะท่านมีความประสงค์จะมาอยู่ที่แห่งนี้อย่างแท้จริง ตอนแรกท่านคิดว่าจะไม่บอกใคร วันอัญเชิญพระแม่ จะให้ลูกศิษย์ที่รู้กัน ก็มีแค่พี่แหม่มกับพี่เปิ้ลสองคน แต่ก็เกิดเหตุให้มีคนรู้จนได้ เพราะมีเหตุจึงทำให้อาจารย์ยายต้องเลื่อนวันอัญเชิญพระแม่ออกไปโดยกระทันหัน คือไม่สามารถเชิญพระแม่ในวันมาฆบูชาได้ และในวันนั้นเองก็มีพระธาตุเสด็จมาภวันตุเตแทน หลังจากวันมาฆะผ่านไป ก็มีคนจีนนักธุรกิจสองผัวเมียได้เข้ามากราบพระแม่กวนอิมกับอาจารย์ยาย เขามีความรู้เรื่องพระแม่กวนอิม อาจารย์ยายเลยให้ช่วยหาวันอัญเชิญพระแม่ให้ เค้าเลยโทรไปมาเลเชียถามซินแส พร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เค้าฟัง ซินแสท่านนั้นตื่นเต้นมากต่อปรากฏการณ์ที่พระแม่มาปรากฏองค์ในนิมิตอาจารย์ยาย ชึ่งเขาบอกว่ายากมาก ซินแสจึงนำเรื่องไปปรึกษากับทางสมาคมเกียวกับพระแม่ เพื่อที่จะหาฤกษ์ดีอัญเชิญพระแม่มาประดิษฐานในศาลาพระแม่ในภวันตุเต จากนั้นซินแสก็โทรทางไกลจากมาเลเชีย มาบอกว่าวันที่ สิบเก้า เดือน สามเป็นวันเกิดของพระแม่กวนอิม ทางเราจึงตกลงเอาวันนี้ ทีแปลกก็คือพระแม่องค์แรก ก็มาวันที่19 เทพเจ้า(เง็กเซียนฮ่องเต้ ที่สั่งเทพกวนอู) ก็กำหนดให้สร้างศาลาพระแม่ให้แล้วเสร็จภายในวันที่19 ชึ่งตรงกับวันเกิดของพระแม่กวนอิม และก็ตรงกับวันที19 ซึ่งเป็นวันที่เชิญพระแม่เข้ามา เรื่ิองวันเวลาตรงกันทั้งหมด เพราะเหตุนี้ วันอัญเชิญพระแม่กวนอิมองค์ที่สองจึงเป็นวันที่19 มีนาคมอย่างแน่นอน อาจารย์ยายจึงต้องพูดกับใครแบบนิ่งเฉยไม่ได้ ถ้าปวารณาแล้วต้องพูด จะต้องเสียสัจจะอย่างแน่นอน ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถกล่าวคำพูดออกมาไม่ได้ว่า จะไม่พูดกับใคร หรือจะไม่พบใคร เพราะว่าท่านมีกิจต้องรับองค์พระแม่ให้เสร็จสิ้นก่อนนั้นเอง และท่านเชื่อว่าความเป็นสิริมงคลย่อมบังเกิดกับภวันตุเต และผู้ที่มาคอยต้อนรับพระแม่อย่างแน่นอน สุดท้ายเรื่ิงทั้งหมดของภวันตุเต ที่เกี่ยวข้องกับพระแม่กวนอิม ก็ด้วยเหตุและผลนี้นี่เองครับ
    ต้องขอขอบคุณอาจารย์ยายจริงๆที่เมตตาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง และอนุญาติให้ผมเขียนบันทึกเรื่องนี้มาเล่าต่อให้ญาติธรรมทุกๆท่านได้รับรู้ด้วยครับ
    เรื่องราวประวัติของภวันตุเตยังไม่หมดเพียงเท่านี้ครับ เดี๋ยวเสร็จจากงาน แฮปปี้จะรีบมาเขียนเรื่องราวความมหัศจรรย์ตอนต่อไป ที่ได้เกิดกับอาจารย์ยายที่ประเทศอินเดีย กับที่มาของชื่อ
    “ภวันตุเต ขอความสุขสวัสดี จงมีแด่ท่านทุกเมื่อเทอญ”
    อนุโมทนา สาธุ ครับ(แฮปปี้)
     
  16. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842

    จากกระทู้ที่ สิบเอ็ด

    ขอบคุณมากครับ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมนี้ เห็นภาพได้ดีจัง
    ใครเห็นแล้ว โปรดนำกลับไปย่อยให้ดีนะครับ นี่เป็นอาการแห่งฌาน ที่เข้าใจได้ง่าย
    มันน่าจะเป็นอย่างนี้แหละ เราผ่านมาแล้ว แต่ก็มาแบบเบลอๆ ด้วยระบบออโต้ 555



    ในวันหนึ่งประมาณเที่ยงคืนเป็นช่วงที่สงบสงัด ในขณะที่นั่งสมาธิ รู้สึกวิเวกกายและจิต สมาธิจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว สติมีความระลึกรู้ สัมปชัญญะพร้อมสรรพ ทำให้จิตเกิดกำลังเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนเดินของจิต แล้วจิตเกิดการเปลี่ยนแปลง มีอาการขนลุกซู่ซ่าไทั่วจิตทั่วสรรพางค์กาย เกิดความสุขตามมารู้สึก อิ่มเอมใจเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็เกิดอาการลังเลสงสัย ฉงนสนเท่ห์จิตเกิดอาการคิดทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร อาการที่เกิดขึ้นทั้งที่ทรงอยู่ในสมาธิภาวะนี้ ทำไมจิตยังมีอาการตรึกตรองได้ ความรู้ตัวก็ชัดเจน ไม่ได้เคลื่อนหรือเบลอแบบไม่รู้สึกตัว ตรงกันข้ามกลับชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่ายามปกติที่ไม่ได้นั่งสมาธิเสียอีก ต่อมาก็ได้รู้ว่าเป็นอาการของ วิตก วิจารณ์ นั่นเอง. พอจิตทรงอยู่ในอาการเช่นนั้นสักระยะหนึ่ง สมาธิตั้งมั่นแข็งแกร่งมีพละกำลังแน่แน่วมากยิ่งขึ้น จากนั้นภาวะใหม่เกิดขึ้น

    ภาวะสติสัมปชัญญะเฝ้าติดตามคอยดูจิตภาวะนี้ จิตผ่องใสมาก ความลังเลสงสัยหมดไปจากจิตภายใน ความระลึกรู้ในธรรมเกิดขึ้นมาแทนที่ จะเรียกว่า “ธรรมะผุด” ก็ได้ ความซาบซ่านยังคงอยู่ ความสุขประณีตยิ่งกว่าเก่า รู้อารมณ์ที่เกิดกับจิตได้ด้วยภาวะธรรมที่ผุดขึ้นที่จิตว่า “สุขอันประณีตนี้ เป็นสุขอันเกิดจากสมาธิที่มีพละกำลังอันแก่กล้า และสามารถดับความลังเลสงสัย ที่ภาษาธรรมเรียกว่า วิตก วิจารณ์ ไม่ให้เหลือติดอยู่ในจิตแม้แต่น้อย จิตซาบช่านอิ่มเอมอยู่อย่างนั้น” แล้วก็เปลี่ยนภาวะเคลื่อนต่อไป

    ภาวะที่สอง ที่เห็นสภาพของจิตกับสติสัมปชัญญะได้ชัดเจนว่า มนุษย์เรานั้นสติสัมปชัญญะกับจิตเป็นของที่อยู่เคียงคู่กัน สมมุติว่าจิตเป็นขวด ฝาขวดเป็นสติ กำลังสมาธิของจิตในภาวะนี้ขับเคลื่อนให้สติกับจิตเคลื่อนเข้าหากัน เหมือนเราเอาฝาขวดปิดปากขวด พอทั้งสองสิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ภาษาธรรมเรียกว่า “จิตรวมกันเป็นหนึ่ง” ภาวะจิตขณะนั้นสว่างไสวเจิดจ้า เหมือนดังกับว่าจิตหลุดจากสิ่งยึดเหนี่ยว..รู้สึกเป็นอิสระ เป็นเอกเทศ ปัญญาความรู้เกิดขึ้นที่จิตโดยอัตโนมัติ รู้ได้ทันทีว่า “ภาวะที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ แม้แต่คำว่าสว่างไสวเจิดจ้า เมื่อสื่อสารให้บุลคลอื่นฟังให้มองเห็นภาพ ในความเป็นจริงภาวะจิตในขณะนั้นไม่สีสันใดๆ ทั้งสิ้น” เมื่อสติสัมปชัญญะกับจิตรวมเป็นหนึ่งแล้วอาการที่เฝ้าดูก็จบสิ้น เป็นหน้าที่ของปัญญาความรู้ที่เกิดขึ้นทำหน้าที่แทนโดยอัตโนมัติ เป็นสภาวะเต็มเปี่ยมด้วยสุขยิ่งกว่าสุขไหนๆ ที่เคยพบมา พอมีสิ่งใดเข้ามากระทบอารมณ์ ก็มีแต่ความรู้สึก..รับรู้.ว่าง.วาง เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีการปรุงแต่งไปตามอารมณ์ที่มากระทบจิต เรียกว่า “จิตหยุดปรุงแต่งชั่วขณะ” สุขอันประณีตเกิดสมาธิและทรงอยู่อย่างนั้นชั่วระยะหนึ่ง พลังของจิตเกิดกำลังเต็มที่ จิตก็เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ภาวะต่อไป

    ในภาวะนี้จิตดิ่งลงเต็มที่ ความสุขที่ดำเนินมาด้วยตลอดก็หายไป จิตทรงอยู่ในอาการวางเฉย เหมือนจิตหยุดทำงาน อะไรมากระทบก็ไม่หวั่นไหว เงียบๆ ปัญญาหยุดทำงานตามไปไม่ถึงสภาวะจิต ปล่อยวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับสภาวะใดๆ ที่มากระทบจิต เป็นภาวะที่จิตหลุดออกจากการปรุงแต่ง

    เมื่อบอกเล่าสภาวะจิตนี้ก็ต้องสมมติเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจจิต เหมือนหนูที่ลงไปอยู่ในรูลึก ปัญญาเปรียบเหมือนแมว เมื่อหนูลงรู แมวไม่อาจตามลงไปได้ จึงต้องนั่งเฝ้าคอยอยู่ปากรูไม่ต่างกับแมวนั่งหลับคอยหนู ภาวะนี้อยู่คงที่นาน พอจิตเริ่มถอน หนูคือตัวจิต เริ่มตื่นคลานออกจากรู แมวคือตัวปัญญา ก็เริ่มทำงานขยับตัวทำงานพร้อมกับจิต ปัญญาก็แจ้งที่จิต รู้ว่า “จะสุข สักแค่ไหนก็ไม่เที่ยง” ทำให้ได้รู้ว่าในฌานทั้งหลายไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญ ยังไม่พ้นทุกข์ มันเป็นของที่ยังไม่เที่ยง มันมีเกิดมีดับ การที่จิตติดอยู่กับสุขและอาการวางเฉย ทำให้ปัญญาไม่ทำงาน ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด นอกจากจิตได้หยุดพักหยุดฟุ้งซ่านไม่ปรุงไปข้างนอกให้วุ่นวาย จากนั้นจิตก็จะเริ่มถอยหลังกลับจากภาวะที่สี่ไปสาม จากสามไปสอง และจากสองไปหนี่ง แล้วก็เดินกลับไปหนึ่ง สอง สาม สี่ อีก เดินหน้า-ถอยหลังจนชำนาญ จนกระทั่งรวมกันเป็นอารมณ์เดียวหรืออันเดียวกัน แล้วก็ถอยกลับไปที่สี่ สาม สอง หนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ ยกภาวะจิตขึ้นพิจารณาไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ จิตก็จะเกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้น เคยสงสัยว่าทำไมจึงต้องย้อนออกไปใช้อารมณ์เป็นหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ ก็เกิดความรู้ที่จิตว่า ในองค์ฌานที่หนึ่งนั้นเดิมที จิตมี วิตก วิจารณ์ ความลังเลสงสัย เมื่อโอ้โลมปฏิโลมฌานกลับไปกลับมาแล้ว ความลังเลสงสัยดับไป ในองค์ฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกเป็นตัวตนของตนเองชัดเจน เมื่อตัดความลังเลสงสัยออก จึงเหมาะที่จะเป็นฌานที่เปลี่ยนอารมณ์ยกขึ้นเจริญเป็นฌานวิปัสสนา เมื่อพร้อมแล้วตามที่เคยสงสัยเรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ มาก่อน แต่ไม่มีความเข้าใจจึงไม่มีคำตอบ ความสงสัยจึงถูกจิตใต้สำนึกบันทึกไว้โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับข้อความที่สงสัยถูกเซฟไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่ไม่มีกุญแจไข จิตในภาวะนี้จึงเป็นกุญแจคอมพิวเตอร์เอาข้อมูลที่สงสัยและคำตอบออกมาดู ก็คือเรื่อง ปฏิสนธิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ และเรื่องทั้งหลาย จิตคือผู้รู้ ผู้ดู ปัญญาเป็นผู้รู้แจ้ง เป็นผู้อธิบายเรื่องราวที่ไปที่มา เริ่มด้วยการนั่งดู..สมมติว่า เรากำลังดูทีวี เรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ




    กระต่ายป่า ข้างวัด / นักรบแสง

    .
     
  17. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ประวัติภวันตุเตตอนที่ สาม
    เมื่อพิธีอัญเชิญพระแม่ขึ้นบนศาลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกศิษย์หลายๆคนก็อยากให้อาจารย์ยายตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ ลูกศิษย์ทั้งหลายก็เสนอชื่อเข้ามาเช่น สำนักแม่วารุณี สำนักอาจารย์วารุณี สำนักวารุณี สำนักเจ้าแม่วารุณี และอื่นๆอีก อาจารย์ยายท่านก็บอกว่า”ไม่อง ไม่เอามันหรอก สำนง สำนัก เจ้าแม่วารุณีอะไรกัน ไม่เข้าท่าเลย ถ้าหากสถานที่แห่งนี้จะมีชื่อละก็ ก็ขอให้เทพเจ้าเป็นผู้ตั้งชื่อให้ก็แล้วกัน” หลังจากนั้น ก็ถึงกำหนดวันที่อาจารย์ยายจะต้องเดินทางไปประเทศอินเดีย
    เมื่ออาจารย์ยายเดินทางถึงประเทศอินเดีย ท่านก็เดินทางไปยังเมืองต่างๆของอินเดีย จนมาถึงเมืองๆหนึ่งชื่อ เมืองสาวัตถี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าได้มาจำพรรษา อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เป็นเวลา 19 พรรษา ซึ่งในระหว่างที่อาจารย์ยายพักอยู่เมืองนี้เพื่อบำเพ็ญกิจภาวนา ก็มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ตามไปด้วยเกิดป่วยขึ้นมา ลูกศิษย์ท่านนี้เลยให้อาจารย์ยายจับมือไว้ตลอด เพราะเค้าบอกว่าถ้าอาจารย์จับมือเค้าแล้วอาการเค้าดีขึ้นแบบว่าจับแล้วอบอุ่น แต่ถ้าปล่อยมือแล้วเค้าจะหนาวทันที และในระหว่างนั้นเอง จิตอาจารย์ยายก็รวมลงเข้าสู่สมาธิ อาจารย์ยายได้ยินเสียง”ภวันตุเต ภวันตุเต ภวันตุเต” ก้องอยู่ อาจารย์ยายเป็นคนไม่รู้ภาษาบาลี อาจารย์ยายจึงถอนจิตออกจากสมาธิ แล้วถามลูกศิษย์คนที่นั่งอยู่ข้างๆว่า “ภวันตุเตแปลว่าอะไร” ลูกศิษย์คนนั้นก็ตอบว่า “ภวันตุเต หมายถึง ขอความสุข สวัสดี จงมีแด่ท่านทุกเมื่อเทอญ” พอหลังจากฟังจบ อาจารย์ยายก็ปล่อยให้จิตรวมลงเป็นสมาธิอีกครั้ง ก็ปรากฏภาพ ท้องฟ้า มีรุ้ง เจ็ดสี เคลื่อนโค้งลงมา จากท้องฟ้า เคลื่อนลงมา แต่ยังไม่ถึงพื้นดิน จากนั้นก็มี ราชรถที่เป็นแก้วที่บรรทุก พระบุษบกแก้ว ที่บรรจุพระธาตุเขี้ยวแก้ว วิ่งลงมาตามสายรุ้งเจ็ดสีนั้น โดยท่านเล่าว่า ทุกๆอย่างเป็นแก้วหมดเลย ทั้งเกวียน ทั้ง ม้า ถัดจากราชรถแก้ว ก็มีราชรถอีกคันเคลื่อนตามกันมาอีกมากมาย ซึ่งราชรถคันที่สองนี้ บรรทุกพระไตรปิฏกทองคำ แล้วขบวนด้านหลังก็บรรทุก หีบทองคำ และสมบัติต่างๆมากมาย เคลื่อนเป็นขบวนตามสายรุ้งลงมา จากนั้น ก็ปรากฎพญานาคตัวหนึ่ง ลำตัวใหญ่มหึมามาก พญานาคตัวนี้ลำตัวมีเจ็ดสี ได้เคลื่อนตัวขึ้นมาจากเมืองบาดาล การเคลื่อนตัวก็เหมือนงูเลื้อย(ขอให้ผู้อ่านจินตนาการตามนะครับ ถ้าไม่เข้าใจ หากเจอแฮปปี้ที่ภวันตุเตก็บอกได้ครับ ผมจะวาดรูปให้ดูครับ เพราะอาจารย์ยายเคยวาดรูปให้ดูมันอลังการมากครับ อิอิ ) แต่การเลื้อยของพญานาค เป็นลักษณะการเคลื่อนตัวโค้งงอ ตามช่องว่างของราชรถแต่ละขบวน แบบลำตัวไม่ยอมแตะราชรถเลย จนถึงราชรถคันสุดท้าย พญานาคเลยเอาหัวเอียงโค้งอ้อมเพื่อรับราชรถนั้น ซึ่งข้างๆฐานที่วางพระธาตุเขี้ยวแก้วฝั่งขวา มีเทวดากายสีเขียวๆ ยืนอยู่ (พระอินทร์) ส่วนด้านซ้ายก็มีเทวดากายสีขาว กำลังดีดพินอยู่ อาจารย์ยายก็เลยกำหนดจิตถามไปว่านี่คืออะไรกัน ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า นี่คือพระธาตุเขี้ยวแก้ว ปกติแล้วในช่วงเข้าพรรษาเทวดาจะมาอัญเชิญพระธาตุเขี้ยวแก้วจากเมืองบาดาลที่มีพญานาคเฝ้าดูแลรักษาอยู่ แล้วนำขึ้นไปไว้บนสวรรค์ เพื่อให้เหล่าเทวดานางฟ้าได้ทำการสัการะบูชา และหลังจากออกพรรษาครบเจ็ดวัน คือในวันนี้ เวลา บ่ายสามโมงเย็น(วันที่อาจารย์ยายบำเพ็ญธรรมที่เมืองสาวัตถี) เทพเทวดาที่ได้อัญเชิญพระธาตุเขี้ยวแก้วขึ้นไปบนสวรรค์ จึงต้องมาส่งพระธาตุคืนให้แก่พญานาค แต่การนำมาส่งนั้น จะมาส่งเพียงกึ่งกลางระหว่าง สวรรค์ กับโลกมนุษย์ อาจารย์ยายถามต่อว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็ได้คำตอบมาว่า ก็เพราะพญานาคยังเป็นเดรัจฉานอยู่ จึงไม่สามารถที่จะขึ้นไปรับบนสวรรค์ได้ การนำพระธาตุเขี้ยวแก้วมาส่งจึงต้องอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกสวรรค์ กับ โลกมนุษย์นั่นเอง อาจารย์เลยถามต่ออีกว่า แล้วหีบสมบัติล่ะทำไมมันมากมายขนาดนี้ ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า ก็เพราะว่าเทวดามอบสมบัตินี้ เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่พระธาตุเขี้ยวแก้ว ให้พญานาคเก็บไว้ อาจารย์ยายจึงเข้าใจว่า อ๋อเพราะเหตุนี้นี่เองพญานาคจึงมีสมบัติที่เป็นแก้วแหวน เงินทอง เหล่านี้มากมาย จากนั้น ก็มีเสียง” ภวันตุเต ภวันตุเต ภวันตุเต “ดังกึกก้องไปทั่ว อาจารย์เลยแจ้งในจิตเลยว่า “ภวันตุเต นี่เอง คือชื่อสถานที่ ที่อาจารย์ยายได้อัญเชิญพระแม่กวนอิมมาประทับ และเป็นสถานที่ที่มีการจัดสรร ไว้แล้วว่า คือสถานที่ที่อาจารย์ยายต้องมาบำเพ็ญธรรม ณ ตรงนี้ “ นี่แหล่ะคือที่มาที่ไปของชื่อ ภวันตุเต อันเป็นบ้านสนทนาธรรม สถานที่ที่อาจารย์ยายคอยสอนธรรมะให้พวกเราซึ่งเป็นลูกหลานของบ้านให้รู้ให้เข้าใจในธรรม จากวันนั้น จนมาถึงทุกวันนี้ ก็ 11ปี แล้วครับ
    อาจารย์ยายท่านบอกว่า ประวัติภวันตุเตตอนนี้ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยานอะไร ขอให้ผู้อ่าน อ่านเป็นนิทานเท่านั้น แบบว่าอ่านแล้วใช้วิจารณญาณด้วย แต่เป้าหมายที่เขียนก็เพื่อให้รู้ถึง ที่มาที่ไปของชื่อ “บ้านสนทนาธรรมภวันตุเต” เท่าน้น เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดกับอาจารย์ยาย แล้วเล่าให้ลูกหลานฟัง อาจารย์ยายบอกว่าฟังแล้วก็ทิ้งไป อย่าเก็บเอามายึด เพราะไม่มีสาระแก่นสารอะไร ธรรมะของพระพุทธองค์ต่างหากที่ควรยึดถือ และปฏิบัติตาม
    ขอขอบคุณอาจารย์ยายที่เมตตาเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟัง และอนุญาติให้แฮปปี้ได้เขียนเรื่องราวมาเล่าเผยแพร่ให้ท่านผู้อ่านได้สนุกไปด้วยครับ อนุโมทนา สาธุ แฮปปี้^___^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มีนาคม 2014
  18. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    เรื่องต่อไปผมจะเขียนเรื่อง"เทวดามาฟังธรรม" เรื่องนี้มีพยานหลักฐานกันหลายคนเลยครับ เป็นเรื่องที่สนุกมากอีกเรื่องหนึ่ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่ผมเคร่งการภาวนาอย่างเข้มข้นกับอาจารย์ยายที่ภวันตุเตนี่เอง เดี๋ยวว่างๆจะเล่าให้ฟังครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...