จำเป็นมัยเวลานั่งสมาธิต้องเห็นแสงสว่างเจิดจ้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nite, 4 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    อ่อประมาณนี้เลย กำหนดรับรู้ลมหายใจว่าผ่านถึงไหน ปลายจมูกกระบังลม ท้อง ไปเรื่อยๆก็จะเกิดอาการ เหวี่ยงๆหมุนๆในสมอง แล้วก็เห็นภาพวูบวาบๆ เหมือนเราคิดไปเอง เลยชักไม่แน่ใจว่ามาถูกทางมัย เพราะไม่เคยเห็นแสงสว่างแบบที่คนอื่นว่าจริงๆนะ ^^
     
  2. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    สงสัยเป็น ความคิดชนิดหนึ่ง เป็นอ่หารของจิต

    ในพระพุทธศาสนา การภาวนาต้องเอาลังเลสงสัยออก
    โดยพิจารณาว่าการให้จิตรับประทานลังเลสงสัยมากๆ
    จิตจะร้อยรัด

    เหมือนสาริกาบิ้นทอง พูดๆๆๆ เพื้อป้อนอาหารจิต
    ฟังๆๆๆ เพื่อทานอาหาร
    ถ้ามันร้อนรัดจะขวางการภาวนาในพระพุทธศาสนา
    ถึงกับคล้ายกับอาหารโดนไสยะ หรือทำไสยะใส่คนอื่น
     
  3. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    เช่นผมทักคนที่มักสงสัยในอารมณ์ภาวนาของตนว่า
    นี่คุณสงสัย มักจะได้รับคำถามว่าสงสัยไม่ได้เหรอ
    มันคือลังเลสงสัย คุณจะเห็นว่ามันจะสันตะติ
    นักภาวนาดูสงสัย จะจำได้หมดว่าสงสัยอะไรมาบ้าง
    และกำลังสงสัยอะไรอยู่

    สิธีการทำใหสงสัยดับในพระพุทธสาสนามีอยู่

    แต่ที่เห็นพยายามจะทำ
    เหมือนสาริกาบิ้นทอง ม๊าก มาก
     
  4. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    ไม่ค่อยเข้าใจ ^^ ช่วยอธิบายใหม่ได้มัยแฮ่ๆ บอกตามตรงเลยว่าพึ่งหัดนั่งไม่กี่เดือน แล้วก็อาศัยอ่านในเว็บว่าเวลาหลับตา ให้ กำหนดลมหายใจ เข้า ออก พุทโธๆ ไม่ก็ ยุบพองๆ ที่ท้อง ทำนองนี้ไปเรื่อยๆ...เลยไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2014
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สมาชิกที่ชื่อ บุญยง นี่เป็นคนสติไม่ดี นะครับ อย่าไปฟังเขาเลยครับ จะหลงทางในการปฏิบัติ
     
  6. ความตาย-1

    ความตาย-1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +44
    แสงสว่างไม่จำเป็นสำหรับสมาธิ มีหรือไม่มีช่างมันอย่าไปสนใจ ถ้านั่งเกินชั่วโมงโดยไม่เมื่อย นั่นแสดงว่าสมาธินิ่งดีแล้ว แต่แต่สมาธิยังไม่ลึกเท่านั้น ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆๆๆทำทุกวันแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงเอง อย่ารีบร้อน ทุกอย่างต้องอาศัยความตั้งใจเป็นหลักเสมอ
     
  7. nataphat

    nataphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2009
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +246
    อารมอุปจารสมาธิเป็นแบบนี้คุณอย่าพึ่งสนใจภาพ มันจริงมั่งปลอมมั่ง เอาสมาธิให้ถึงที่สุดก่อนแล้วจะเอาทิพย์จักษุญานค่อยว่ากัน น่ะถามว่าถูกไหม ถูกทางน่ะแค่ขอให้สนใจแค่ลมหายใจก่อนไม่งั้นพอสนใจในภาพ ภาพมันก็หายอยู่ดีสมาธิมันเคลื่ิอนน่ะคุณ น่ะ เห็นภาพก็สักแต่ว่าเห็นอย่าพึ่งสนใจไม่งั้นสมาธิไม่ไปต่อหยุดแถวนี้และ ทิพย์จักษุจริงๆนี้เค้ากำหนดว่าเวลานี้อยากเห็น นรกอยากคุยกะ้ทวดาองค์นั้นองค์นี้มันต้องได้เลย ไอ้อุปจารสมาธินี้ทำไม่ได้
     
  8. nataphat

    nataphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2009
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +246
    ภาพที่เห็นนี้มันเป็นภาพความฟุ้งซ่านนี้หว่าแมร่งตีกันให้มั่วหมดใช่ม่ะ หรือภาพทิพย์ แต่ผมเดาว่าภาพความฟุ้งซ่าน คุณถ้ากลับมาดูลมหายใจไม่ไหวตามดูภาพไปเลยพอจิตมันเหนื่อยมันจะหยุด หยุดแล้วจับลมหายใจเลย ตานี้จะข้ามไปได้ ไอ้ที่ผมเจอมันมีสองกรณี แต่จะเจอตัวแรกมากกว่าจิตมันคลายสิ่งที่สะสมมา
     
  9. chatyamn

    chatyamn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +4,057
    จำเป็นไหม แสงสว่าง มันมาก็ช่างไม่มาก็แล้วไป....ยิ่งสนใจมัน มันก็ไม่มา ถ้าทำท่าไม่สนใจดันมา...มาแล้วก็หายไปเหลือไว้แต่ความสุข.

    ส่วนตัว มันมาก็ดีไม่มาก็ดี แล้วแต่มันเลย พุทโธกับลมหายใจอย่างเดียว.
     
  10. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    แล้วอาการหมุนเหวี่ยงแล้วเราเห็นภาพนั้นนี้ เราต้องสนใจมันด้วยมัยอ่ะ?? หรือแค่ตามดูเฉยๆพอ?
     
  11. chatyamn

    chatyamn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +4,057
    ผมว่านะ อะไรมันมา เราไม่ต้องสนใจมัน...จิตจดจ่อ กับคำภาวนา พุทโธ แล้วรู็ลมหายใจเข้าออกพอ.
    แสงสว่าง ส่วนใหญ่มันแสงสีขาว แต่บางทีมีหลายสี สีทอง สีเขียว 6-7 สีเลย..
    อะไรจะผ่านเข้ามา ไม่ควรสนใจมันนะ ผมว่างั้นนะ...ทำไปเรื่อย ๆเดี๋ยวลมหายใจก็เบาลง เบาลงทุกที...จนเหมือนไม่หายใจ แต่ไม่ต้องตกใจกลัวตายนะ...ตายเวลานั้นก็สบายไปสวรรค์...ทำต่อไปจนลมหายใจเหมือนหายไปเลย...เสียงรอบข้างก็เบาจนเราไม่ได้ยินเสียงอะไร.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กุมภาพันธ์ 2014
  12. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ระดับฌานที่ ๓ อารมณ์จะมีสุขกายสบายใจเป็นหลัก
     
  13. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    ตอนหัดนั่งแรกๆก็กลัวเหมือนกัน เพราะอยู่ดีๆลมหายใจแผ่วลงๆ ตัวจากหนักๆเริ่ม เบาขึ้นเหงื่อเริ่มไหลทั้งอากาศเย็น ความรู้สึกตอนนั้นกลัวมากเลยออกจากสมาธิเลย หลังจากนั้นก็ไม่เคยเป็นอีกเลย...ยิ่งนั่งนานพอลืมตามาก็เหมือนพึ่งตื่นไม่เมื่อยเหมือนแต่ก่อน แต่ไม่เห็นแสงสว่างจริงๆนะเลยคิดว่าตัวเองน่าจะเข้าไม่ถึงสมาธิ
     
  14. nataphat

    nataphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2009
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +246
    ปิติ อะมีหลายตัวน่ะไปหาศึกษาดูวิธีจะผ่านไปคือคุณต้องสนใจลมหายใจเท่านั้น อย่าไปสนอย่างอื่นมันมีของล่อใจสารพัดและครับ ร่างกายนี้อย่าไปสนมากแต่ก็รู้ไว้เป็นเครื่องเทียบอารมจิตก็จะดี แต่แรกๆยังไม่ต้องหัดทรงฌานนี้ก็พยายามเข้าถึงอารมสุดก่อน พอความรู้มากเข้าๆความสงสัยจะมีมากจิตจะเริ่มเข้าสมาธิยากเพราะความสงสัย แต่สักพักจะชินก็เข้าได้ทุกเวลาและครับ ทำไปเถอะครับผมยืนยันว่าถูกทางแล้ว แต่คุณทำอานาปานสติ มันคือเอาสติไปดูลมหายใจน่ะนี้คือคีเวิร์ด แต่มันทำผสมกันหลายกองได้แล้วแต่คน บางคนทำกสินบวกอานาปานสติธรรมดาฌานในกสินเข้ายากถ้าใช้อย่างเดียว แต่พอใช้อานาปานสติช่วยผสมถ้าจิตมันตีกันยุ่งก็ไม่ได้ ต้องจิตมันไปด้วยกันได้ถึงจะโอเค มันก็เข้าสมาธิเร็วดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2014
  15. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    .....
    ปฏิบัติอย่างที่จขกท. ก้ดีอยู่แล้วครับ ทำสะสมหน่วยกิตทุกๆวันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แสงที่ว่า เปนเพียงนิมิตรที่เปนทางผ่านว่า เราปฏิบัติได้สมาธิในระดับระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มั่นคงพอ ต้องทำต่อ ให้เกิดความเคยชินคับ:boo:
    เด่วปฏิบัิติดีอย่แล้ว มาเลิกกลางคันปั๊บ เลยจะอดได้ของดีที่รอเราอยู่ข้างหน้า
    สิ่งที่เกิดขึ้นหรืออารมณ์ ณ ตอนนั้น หากเกิดแล้วก้ตามดูด้วยใจที่เปนกลางและใจเย็นๆ เท่านี้พอแล้ว อย่าไปหวั่นตื่นเต้น หรือสงสัยอะไรมาก ถ้าจะเปลี่ยนแปลงก้คงแล้วแต่มันเปนธรรมชาติของจิตเอง :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2014
  16. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    ขอคุณทุกท่านเลยที่ให้คำแนะนำ
    เพราะชอบสงสัยตัวเองเสมอว่าสรุปเราเข้าถึงสมาธิยังเพราะมัวแต่ไปคิดว่าถ้าเห็นแสงสว่างแล้วเราตามแสงนั้นไปจะเกิดสมาธิ....อะไรทำนองนั้นตามคนอื่นๆเล่ามา ส่วนเห็นนั้นก็เห็นบ่อยแต่ไม่ค่อยชัดมันมาแว๊บๆก็ไป เห็นปราสาทบ้าง ยอดปราสาทมีแสงบ้าง เห็นพระพุทธรูปใสดังแก้วบ้าง แล้วแต่มันจะมาแต่ไม่ค่อยชัดจ้องนานก็มีเกิดอาการเหวี่ยๆงหมุนๆเหมือนโดดดูดเข้าไปบ้าง สักพักก็หยุด.... บางครั้งก็สงสัยว่าอาการแบบนี้มันคืออะไรทำไมไม่เห็นเหมือนคนอื่นเล่าก็อดคิดไม่ได้...T T
    เพื่อนเคยแนะลองให้ฝึกกสิณไฟดูปรากฏว่าทำดูแล้วมันร้อน เลยไม่ค่อยชอบ แล้วอีกอย่างเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบความร้อนเท่าไหร่เพราะ เป็นคนตัวร้อนตลอดเวลาเหมือนคนไม่สบาย เลยไม่ชอบ บางครั้งร้อนมากๆ เลือดกำเดาไหลประจำ จนคนอื่นตกใจเพราะมันไหลเยอะมากเลยคิดว่าตัวเองน่าจะไม่เหมาะกับกสิณไฟ เลยทำแค่ 2 วันเลยเลิกเหมือนไม่ถูกจริต อยู่กับพุทโธสนุกกว่า อ่อลืมบอกไปว่าบางครั้งหลับตาชอบเห็นสายน้ำตลอดพอจ้องนานๆก็เกิดอาการเหวี่ยงๆๆเหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2014
  17. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อยากทราบว่าทุกคนที่นั่งสมาธิจะต้องเห็นแสงสว่างเจิดจ้าทุกครั้งที่นั่งหรือภาวนา

    +++ แสงสว่าง ไม่ใช่เครื่องวัดหรือเครื่องแสดงของ สมาธิ เครื่องวัดจริง ๆ ของสมาธิคือ ฌาน (วิตกวิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคตารมณ์ ทั้งหมดเป็น นาม ทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับแสงสว่าง (รูป) ใด ๆ)

    ถ้าคนที่นั่งภาวนาอยู่กับ พุทโธ ไปเรื่อยๆจนผ่านไป 1-2 ชั่วโมงโดยไม่เมื่อยไม่เหนื่อย พอลืมตาขึ้นมาก็รู้สดชื่นเหมือนพึ่งตื่นนอน แต่ไม่เห็นแสงสว่างหรืออะไรใดๆทั้งสิ้นแบบนี้เขาเรียกว่าสมาธิได้มัย แล้วถ้าใช่สมาธิอยู่ประมาณไหน เริ่มต้น??

    +++ การอยู่ได้ 1-2 ชั่วโมง ถ้า "รู้ตัว" หรือ "รู้สึกตัว" ต่อเนื่องตลอดเวลา ก็เป็นสมาธิในระดับ อัปปนา แต่ถ้า หายไปเฉย ๆ แล้วตื่นขึ้นมา แสดงว่า "หลับ"

    เคยมีนั่งไปสักพักแล้วในจิตหมุนเหวี่ยงๆแรกก็ตกใจหลังเริ่มหาสาเหตุ แล้วบอกกับตัวเองว่าอย่าคิดไปเองตั้งสติสักพักมันก็นิ่งแล้วก็ ท่องพุทโธๆต่อไปเรื่อยๆจนลืมตามา ปาไปเกือบ สองชั่วโมง รู้สึกอิ่มเหมือนได้นอน แบบนี้เขาเรียกว่าสมาธิได้มัย?? แต่ไม่เห็นแสงสว่างที่ว่านะ?

    +++ จิตหมุนเหวี่ยงในขณะนั้น ๆ เป็น "มันหมุน" หรือเป็น "เราหมุน" ตรงนี้ "คิดไปเองไม่ได้" เพราะมันเกิดขึ้นจริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" อาการที่เรียกว่า "จิตหมุน" นี้ คือ ส่วนหนึ่งของ "ธรรมเฉพาะหน้า" ที่ปรากฏขึ้น แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ไปนึกเอาเองว่าอาการนั้นเป็นการ "คิดไปเอง" แล้วไปแทรกแซงมัน จึง "อดรู้ธรรมเฉพาะหน้า" ตรงนั้นไป หากไม่ไปแทรกแซงมัน ตรงนั้นจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับสิ่งที่เรียกว่า "การถอดกาย"

    +++ เป็นสมาธิหรือไม่ ให้อ่านทวนข้างบนอีกที

    ก็ถ้าว่าง ตอนเย็นก็จะนั่งบ่อยๆ บางคนบอกว่าอย่านั่งบ่อยเด่วติดสมาธิเพราะกลัวจะติดความสบายในสมาธิ ก็เลยไม่ได้นั่งทุกวันเหมือนแต่ก่อน

    +++ ที่สำคัญที่สุดคือ "ตัวผู้พูด" เป็นนักปฏิบัติหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ นักเล่า เฉย ๆ จากอาการที่คุณฝึกมาจัดว่าอยู่ในอาการของ "ความรู้สึกตัว" ซึ่งสามารถฝ่าด่านของการ "ติดหลงในสมาธิ" ออกมาได้ด้วยตนเอง

    ส่วนมากชอบฟังคนอื่นพูด แล้วก็ชอบปฏิบัติให้รู้เองมากกว่า ขอบคุณทุกๆคนเลยที่ให้คำแนะนำจะลองเอาไปทำดู ^^

    +++ เมื่อมีประสพการณ์จริง ๆ ไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ก็จะเริ่มแยก ผู้พูด ออกได้เป็นส่วน ๆ เอง ว่า ส่วนไหนมาจากประสพการณ์จริง และส่วนไหนคิดเอาเอง

    อ่อประมาณนี้เลย กำหนดรับรู้ลมหายใจว่าผ่านถึงไหน ปลายจมูกกระบังลม ท้อง ไปเรื่อยๆก็จะเกิดอาการ เหวี่ยงๆหมุนๆในสมอง แล้วก็เห็นภาพวูบวาบๆ เหมือนเราคิดไปเอง เลยชักไม่แน่ใจว่ามาถูกทางมัย เพราะไม่เคยเห็นแสงสว่างแบบที่คนอื่นว่าจริงๆนะ ^^

    +++ การตามกองลมไปเรื่อย ๆ เมื่อถึงอาการ "เหวี่ยงๆหมุนๆในสมอง แล้วก็เห็นภาพวูบวาบๆ" หากต้องการไปให้ถึงที่สุดแห่งกองลมจริง ก็ให้ "อยู่" กับ อาการ "เหวี่ยงๆหมุนๆ" นั้น (อย่าไปอยู่กับ ภาพวูบวาบๆ) หากสามารถอยู่ได้ อาการเหวี่ยงๆหมุนๆ จะเริ่มสงบลง เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะเริ่มรู้ว่า "มีการหายใจทางรูขุมขน และ ทางผิวหนังเกิดขึ้น" (หากไม่เกิดการถอดกายเสียก่อน) ให้ "อยู่ต่อไป" จน "กองลม" เปลี่ยนมาเป็น "หมุนควงอยู่ภายใน" เมื่อกองลมทั้งมวล "หยุด" เมื่อไร ก็จะเป็นปรากฏการณ์ "ตัวเรา ถอด ออกมาจากตัวเรา แบบเดียวกับ ถอดดาบออกจากฝัก" อย่างไรอย่างนั้น

    แล้วอาการหมุนเหวี่ยงแล้วเราเห็นภาพนั้นนี้ เราต้องสนใจมันด้วยมัยอ่ะ?? หรือแค่ตามดูเฉยๆพอ?

    +++ "หากต้องการความก้าวหน้า" ก็ให้อยู่กับอาการ "หมุนเหวี่ยง" แต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องไปสนใจภาพ หากไปสนใจภาพในขณะนี้ "จะหลงทางไปไกลมาก"

    ตอนหัดนั่งแรกๆก็กลัวเหมือนกัน เพราะอยู่ดีๆลมหายใจแผ่วลงๆ ตัวจากหนักๆเริ่ม เบาขึ้นเหงื่อเริ่มไหลทั้งอากาศเย็น ความรู้สึกตอนนั้นกลัวมากเลยออกจากสมาธิเลย หลังจากนั้นก็ไม่เคยเป็นอีกเลย...ยิ่งนั่งนานพอลืมตามาก็เหมือนพึ่งตื่นไม่เมื่อยเหมือนแต่ก่อน แต่ไม่เห็นแสงสว่างจริงๆนะเลยคิดว่าตัวเองน่าจะเข้าไม่ถึงสมาธิ

    +++ ตอนที่ "ตัวหนัก ๆ" นั้นเป็นตอนที่สำคัญมาก หากอยู่กับ "ตัวหนัก ๆ" ได้ ก็จะเกิดปรากฏการณ์แห่ง "สัมปชัญญะทั่วทั้งกาย" ส่วนไอ้เรื่อง "แสงสว่าง" นั้น "ให้ตัดทิ้งไปจากใจ" เลยจะดีที่สุด หากยังมี "ความจำหลอนในเรื่องแสงสว่าง" นี้อยู่ หากฝึกต่อไปก็จะ "หลง" ไปได้ง่าย ๆ

    ขอคุณทุกท่านเลยที่ให้คำแนะนำ
    เพราะชอบสงสัยตัวเองเสมอว่าสรุปเราเข้าถึงสมาธิยังเพราะมัวแต่ไปคิดว่าถ้าเห็นแสงสว่างแล้วเราตามแสงนั้นไปจะเกิดสมาธิ....อะไรทำนองนั้นตามคนอื่นๆเล่ามา ส่วนเห็นนั้นก็เห็นบ่อยแต่ไม่ค่อยชัดมันมาแว๊บๆก็ไป เห็นปราสาทบ้าง ยอดปราสาทมีแสงบ้าง เห็นพระพุทธรูปใสดังแก้วบ้าง แล้วแต่มันจะมาแต่ไม่ค่อยชัดจ้องนานก็มีเกิดอาการเหวี่ยๆงหมุนๆเหมือนโดดดูดเข้าไปบ้าง สักพักก็หยุด.... บางครั้งก็สงสัยว่าอาการแบบนี้มันคืออะไรทำไมไม่เห็นเหมือนคนอื่นเล่าก็อดคิดไม่ได้...T T

    +++ แสดงว่าเรื่มเกิด "ความจำหลอนในเรื่องแสงสว่าง" เพราะ "มัวแต่ไปคิดว่าถ้าเห็นแสงสว่างแล้วเราตามแสงนั้นไปจะเกิดสมาธิ....อะไรทำนองนั้นตามคนอื่นๆเล่ามา" ตรงนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่า "กำลังจะเป็นเรื่องของ ความจำหลอน" ในไม่ช้า ถ้าตัดเรื่อง แสงสว่าง ออกไปจากใจไม่ได้

    +++ ลองอ่านทบทวนดูอีกสักรอบ ก็จะทำให้เข้าใจได้ดีมากยิ่งขึ้น นะครับ
     
  19. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    ว่าจะแสดงความคิดเห็นเล็กน้อยแต่อดไม่ได้ มีแต่คนเอาทฤษีแบบตัดต่อมาบอกกล่าวหนอ ขอสรุปพอเข้าใจง่ายๆนะครับว่า
    ภวัง คือจิตรวมในขณะเดียวกันแล้วก็ถอนออกมา ก่อนจิตจะรวมหรือไม่คิดว่าจิตจะรวมหรือไม่ เมื่อจิตรวมแล้วถอนออกมาแล้วจึงรู้ ถ้ารู้ว่าจิตรวมอยู่ เรียกว่า สมาธิครับ น่าจะพอเข้าใจนะครับ ส่วนฌานก็คือขั้นต่อไปของสมาธิครับ
     
  20. จิตนิพพาน

    จิตนิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +414
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xpb9n4GrQSeG9VhY" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/06e/jJy19a.jpg" /></a>​

    ฐานการภาวนา..

    สมาธิเป็นสัจธรรม มีหนึ่งเดียวจะแตกต่างกันไม่ได้ แต่วิธีการนั้นเราอาจจะใช้อุบายวิธีต่างกัน แต่ผลลัพธ์ก็คือ “สมาธิเดียวกันนั้นเอง”

    โอกาสต่อไปขอเชิญนั่งสมาธิ หันหน้าไปทางพระประธาน บัดนี้เรามาปฏิบัติสมาธิในท่านั่ง ขอให้ทุกท่านกำหนดสติรู้จิตของตนเอง ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่ตรงนั้น ให้กำหนดสติรู้ที่ตรงนั้น

    เราได้ปฏิญาณตนถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึง ที่ระลึก พระพุทธเจ้า ตามความรู้สึกโดยทั่วไป หมายถึงองค์ชายสิทธัตถะ ที่เสด็จออกบรรพชา ทรงบำเพ็ญสมาธิภาวนาได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่อว่าโดยรูปธรรม ก็ได้แก่สกนธ์กายของพระพุทธองค์ ว่าโดยคุณธรรม คือความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีที่มีอยู่ในจิตของเรา ซึ่งทุกคนก็มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี แม้แต่วันนี้เรามาประชุมนั่งสมาธิกัน ก็อาศัยพุทธธรรมคือความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนใจ ดังนั้น ท่านผู้ใดมีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีในใจตลอดเวลา ผู้นั้นได้ชื่อว่ามีคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ

    บางครั้งเราภาวนา พุทโธ พุทโธ คำว่า พุทโธ เป็นคำพูด เป็นภาษา แต่เมื่อคุณธรรมที่เกิดขึ้นกับจิต ก็หมายถึง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี นั้นเอง อันนั้นคือคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ อันนี้คนเรามีกันอยู่ทุกคนตั้งแต่เกิดมา แต่ว่าจิตพุทธะ ลำพังแต่ความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ยังมั่นคงไม่เพียงพอ เราจึงมาตั้งใจที่จะปฏิบัติสมาธิภาวนา ให้จิตของเราเปลี่ยนสภาพ จากความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี เป็นหยุด นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน เมื่อทำได้เช่นนั้น พระพุทธเจ้าได้ปรากฏขึ้นในจิตของเราอย่างเด่นชัด เพราะฉะนั้น เราจะค้นหาพระพุทธเจ้า ต้องค้นในจิตของเราเอง

    เมื่อเรามาอาศัยหลักและวิธีการปฏิบัติสมาธิภาวนา เมื่อจิตสงบนิ่งลง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน บางทีมีปีติ มีความสุข กายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ ความรู้สึกรู้ตื่น เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เมื่อเราเกิดกายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบแล้ว ก็เกิดมีปีติ บางครั้งขนหัวลุกชูชัน บางครั้งก็รู้สึกซาบซ่านไปทั่วร่างกาย บางทีก็ทำให้รู้สึกตัวสั่น ตัวโยก ตัวโคลง ถ้าผู้มีปีติแรง อาจจะ ล้มนอนลงไปอย่างสบาย ก็ได้ อันนั้นเป็นอิทธิพลของพุทธะที่บังเกิดขึ้นในจิต แล้วแสดงออกมาทางกาย เพราะปีติและความสุขเกิดที่กาย ถ้าไม่มีกายเราก็ไม่รู้สึกว่าเรามีสุข มีทุกข์ อันนี้คือพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นในจิตของผู้ปฏิบัติธรรม

    เมื่อเราปฏิบัติได้อย่างนี้ เริ่มต้นแต่มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี จิตหยุด นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำให้จิตเป็นพุทธะ เมื่อท่านผู้ใดสามารถทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอันนี้ แม้ชั่วขณะจิตหนึ่ง หรือนานๆ ก็ตาม ก็ได้ชื่อว่าทรงไว้ซึ่งพระธรรม คือทรงไว้ซึ่งพระธรรม ที่ทำจิต ให้เป็นพุทธะนั้นเอง ทีนี้ตามธรรมชาติของผู้ที่มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี จิตนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ท่านผู้นั้นจะต้องมีเจตนาตั้งมั่นว่า เราจะละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เสมอ อันนี้เป็นกิริยาที่มีคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพระสงฆ์เกิดขึ้นในจิตของเรา

    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี คือคุณธรรม ทีนี้เมื่อเราได้บรรลุถึงจุดที่เรียกว่าทำจิตให้เป็นพุทธะ เมื่อเราจะปฏิบัติจิตของเราให้เป็นไปตามทำนองคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจึงมาสมาทานศีล ๕ ข้อ การปฏิบัติธรรมสำคัญอยู่ที่ความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อย่างต่ำคือศีล ๕ ผู้ที่ปฏิบัติอยู่ในระดับความเป็นคฤหัสถ์ ตั้งใจปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของศีล ๕ ข้อ สะดวกสบายดีกว่านักบวช เพราะว่าภาระกังวลที่จะต้องสังวรระวังมันน้อยกว่ากัน เพียงแต่เรายึดหลักว่า พระพุทธเจ้าฆ่าไม่เป็น เราไม่ฆ่า พระพุทธเจ้าลักขโมยไม่เป็น เราไม่ลักขโมย พระพุทธเจ้าฉ้อโกงไม่เป็น เราไม่ฉ้อไม่โกง พระพุทธเจ้าไม่ละเมิดสิทธิประเวณีของใครต่อใคร เราก็ไม่ละเมิดประเวณีของท่านผู้อื่น พระพุทธเจ้าไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดยุยงให้แตกสามัคคี ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล และไม่โกหก เราก็ปฏิบัติตามอย่างท่าน พระพุทธเจ้า ไม่ดื่มน้ำดองของเมา หรือวัตถุที่เป็นที่ตั้งแห่งความเมา หรือความมัวเมาอันเป็นทางแห่งความประมาท เมื่อพระพุทธเจ้าไม่ทำเช่นนั้น เราก็ไม่ทำ เรายึดหลักศีล ๕ เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อขจัดสิ่งที่เราจะพึงทำตามอำนาจของกิเลส

    ในขึ้นต้น เราจะต้องอาศัยความอดทนและสัจจะความจริงใน เมื่อเราอาศัยความอดทน สัจจะความจริงใจ อดทนต่อสิ่งที่จะเป็นเหตุ ให้เราละเมิดล่วงเกินศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง ตั้งใจให้แน่วแน่ว่าเราจะละเว้นโทษ ตามกฎเกณฑ์ของศีล ๕ ด้วยความจริงใจ เราอาศัยหลัก ๒ ประการนี้ แล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติไปจนกระทั่งเรารู้สึกคล่องตัวชำนิชำนาญต่อการงดเว้น เมื่อเรามีการงดเว้นไม่ทำอะไรตามคำบงการ ตามอำนาจบงการของกิเลส โลภ โกรธ หลง ก็ได้ชื่อว่าตัดกรรมตัดเวร ตัดผลเพิ่ม ของบาป แม้โลภ โกรธ หลง จะมีอยู่ในใจของเรา เราก็พยายามใช้ให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม คือเอาศีล ๕ มาเป็นขอบเขต เป็นเส้นขนานของการใช้กิเลสให้ถูกต้อง เมื่อเราใช้กิเลสทำประโยชน์ในทางที่ถูกที่ควร โดยเอาหลักศีล ๕ เป็นหลักประกันความปลอดภัย เมื่อเราปฏิบัติจนคล่องตัวชำนิชำนาญ เราจะรู้สึกว่าเบาสบาย จะรู้สึกว่าเราไม่ได้ต้องตั้งใจจะงดเว้นสิ่งใด ๆ แต่เพราะอาศัยความคล่องตัวอันนั้น จิตของเราจะงดเว้นสิ่งใด ๆ แต่เพราะอาศัยความคล่องตัวอันนั้น จิตของเราจะงดเว้นสิ่งใด ๆ แต่เพราะอาศัยความคล่องตัวอันนั้น จิตของเราจะงดเว้นเองโดยอัตโนมัติ

    เมื่อเรามีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์ แม้เราจะทำสมาธิภาวนายังไม่เป็น ก็ได้ชื่อว่าตัดบาปตัดกรรมให้หมดสิ้นไปแล้ว เมื่อเรามีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์ กายของเราก็สงบคือสงบจากการทำบาป วาจาของเราก็สงบ คือสงบในการพูดในทางที่เป็นบาป แม้จิตของเรา ยังคิดที่จะทำบาป แต่เราไม่ละเมิดล่วงเกินศีล ๕ บาปกรรมอะไรก็ไม่เกิดขึ้น เมื่อเรามีคุณงามความดีพอกพูนมากขึ้น ๆ กำลังของศีล มีพลังแก่กล้าขึ้น กายเป็นปกติ วาจาเป็นปกติ ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ส่งหนุนให้จิตใจของเราเกิดความเป็นปกติ เมื่อความปกติเริ่มเกิดขึ้น ที่ใจของเรา ความคิดจะฆ่าเบียดเบียนข่มเหงหรือรังแก มันก็น้อยลงหรือหมดไปไม่มีเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ประกันความปลอดภัยของเรา ได้ว่า เราจะไม่ต้องตกนรก

    แต่เพื่อที่จะให้จิตของเรามีความมั่นคงต่อการที่จะละบาปกรรมตามกฎของศีล ๕ เราจึงจำเป็นจะต้องปฏิบัติสมาธิ เพื่อสร้างพลังจิต ให้มีความมั่นคงต่อการที่จะละความบาปนั้น ๆ การทำสมาธิ ถ้าท่านจะนึกถามในใจว่า การทำสมาธิ ทำอย่างไร ก็จะได้คำตอบว่า การทำสมาธิ คือการทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จะเป็นอะไรก็ได้ ถ้าหากว่าท่านผู้ใดยังภาวนาไม่เป็น หรือไม่เคยภาวนาเลย ถ้าจะตั้งใจปฏิบัติสมาธิด้วยความจริงใจ แม้แต่เพียงท่องพุทโธเอาไว้ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ แม้ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ เราท่องพุทโธไว้ได้ตลอดเวลา การท่องพุทโธนี้ ท่องเหมือนกับเราท่องเล่น ๆ ไม่ต้องการผลตอบแทนใด ๆ แต่เราท่องไม่หยุด และเราก็ไม่บังคับจิตให้เกิดมีสมาธิ เป็นแต่เพียงตั้งสติ กำหนดสติ ท่องพุทโธ พุทโธ พุทโธ เอาไว้ตลอดเวลา ท่องอย่างนกแก้วนกขุนทองไปก่อน แม้ว่าเราท่องต่อเนื่องกันทุกขณะจิต ทุกลมหายใจที่เราตื่นอยู่ เมื่อเราท่องไม่หยุด สมาธิคือจิตสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน จะบังเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติผู้ท่องพุทโธ อย่างคาดไม่ถึง

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่เราปฏิบัติ นอกจากการท่อง พุทโธ ก็ยังมีสัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ เมื่อใครจะท่องบทใด ก็ให้ตั้งใจท่องต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ เราสามารถที่จะท่องได้ตลอดเวลา แต่ในขณะใดที่เราจะต้องพูด เมื่อพูดก็ให้มีสติรู้อยู่ที่ความคิด การทำ การพูด การคิด ให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา

    ถ้าหากว่าเราไม่ถนัดในการที่จะมาท่องบริกรรมภาวนาดังที่กล่าวแล้ว เราสามารถที่จะกำหนดสติรู้จิตของเราเฉยอยู่ ถ้าจิตของเรานิ่งเฉยเป็นชั่วโมง เราปล่อยให้เฉย แต่ถ้าหากว่าจิตเกิดความคิดขึ้นมา เราปล่อยให้คิด แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ ความคิดเรื่อยไป ถ้าจิตของเรายังไม่มีพลังเพียงพอ เมื่อคิดขึ้นมาแล้วเรากำหนดรู้ จิตจะหยุดคิดทันที เมื่อจิตหยุดนิ่งก็ปล่อยให้นิ่ง ถ้าคิดปล่อยให้คิด เราเอาสติตัวเดียวเท่านั้น เป็นเครื่องกำหนดรู้ ความนิ่ง และความคิด ถ้าหากว่าท่านผู้ใด ทำความรู้สึกให้รู้อยู่ในที เหมือน ๆ กับเราไม่ได้ตั้งใจจะดู จะรู้ แต่เอาความรู้อยู่โดยธรรมชาติของจิตนั้น รู้เรื่อยไป ถ้าทำได้อย่างนี้ เผื่อว่าสมาธิกำลังจะเริ่มแล้ว สมาธิจะไม่ถอน แต่ถ้าจิตแสดงอาการสงบลงไปบ้าง เราเอาความตั้งใจของเราเข้าไปแทรก สมาธิจะถอนทันที อันนี้เป็นวิธีการปฏิบัติสมาธิ โดยที่ไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวาง เราสามารถที่จะปฏิบัติได้ทุกโอกาส แม้เวลาเราทำงานทำการ เวลาเราสอนนักเรียน เราก็เอาสติตัวเดียวเท่านั้นกำหนดรู้สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันตลอดเวลา

    อาตมะขอยืนยันกับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายที่เรียนจบสูง ๆ มาแล้ว เคยปฏิบัติสมาธิอยู่ในวงแคบเกินไป แต่ความจริงนั้น เราทำ เราพูด เราคิดด้วยความมีสติสัมปชัญญะรอบคอบอยู่ในขณะที่ทำ ที่พูด ที่คิด นั่นคือการปฏิบัติสมาธิ ที่ยืนยันว่า ท่านทั้งหลายได้ ปฏิบัติสมาธิมาแล้ว เพราะเวลาท่านวิจัยงานของท่าน ใช้ความคิดวกไปเวียนมา ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ ในขณะนั้น ท่านกำลังเริ่มปฏิบัติสมาธิ พอคิดไปคิดมาเรารู้สึกเคลิ้ม ๆ หรือเผลอ ๆ ไปนิดหนึ่ง จิตว่างลง สิ่งที่เราต้องการรู้มันผุดโผล่ขึ้นมา นั่นคือปัญญาในสมาธิ

    เพราะฉะนั้น การปฏิบัติสมาธิอย่าไปยึดหลักและวิธีการมากเกินไป แบบและวิธีการที่ท่านบัญญัติเอาไว้ ในหมวดกรรมฐาน ๔๐ ก็ดี หรือการเจริญวิปัสสนา พิจารณารูปนาม ธาตุขันธ์ อายตนะก็ดี อันนั้นเป็นแต่เพียงวิธีการ เป็นวิธีที่ท่านเขียนเป็นแบบอย่างเอาไว้เท่านั้นเอง แต่เมื่อใครจะตั้งใจปฏิบัติสมาธิอย่างเอาจริงเอาจัง เราอาจจะไม่ ไปยึดหลักในคัมภีร์ก็ได้ เราอาจจะบริกรรมภาวนาอย่างอื่นก็ได้ เช่น อย่างเราจะค้นคิดพิจารณา ตามตำราท่านให้พิจารณาธาตุขันธ์อายตนะ แต่เราจะเอาวิชาการที่เราเรียนจบมาทางโลก มาเป็นอารมณ์พิจารณาก็ได้ เพราะการทำสมาธิคือทำจิตให้มีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก เมื่อจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก ธรรมชาติของจิต จะต้องเพิ่มพลังงานมากขึ้นทุกที พลังงานตัวที่สำคัญก็คือ จะทำให้เรามีสติดีขึ้นและว่องไวขึ้น แม้ว่าจิตจะยังไม่สงบเป็นสมาธิ ได้ฌานได้ฌานใด ๆ ก็ดี แล้วจะทำให้เกิดสมาธิเมื่อภายหลัง จิตของเราจะมั่นคงต่อการประพฤติปฏิบัติอย่างไม่ลดละ

    สมาธิอันใดที่เราปฏิบัติแล้วมันรู้สึกว่าเบื่องานเบื่อการอยากจะโกนหัวไปบวช อย่าเพิ่มไปเชื่อมัน ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิได้ดีแล้วนี้ จะต้องมีความรักความเคารพบูชาในบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ตลอดทั้งครูบาอาจารย์ ถ้าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ จะเกิดมีจิตเมตตาปรานี ต่อผู้น้อยเป็นอย่างดี สามีภรรยาอยู่ร่วมกัน เมื่อก่อนอาจจะเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อย ๆ แต่เมื่อมาปฏิบัติสมาธิได้ดีแล้ว การทะเลาะเบาะแว้งเหล่านั้น ก็จะหายไปเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชีวิตของคนเรานี่เป็นอยู่ด้วยพลังของสมาธิ ผู้ที่ทำอะไรจับจด จับโน่นวางนี่ ไม่เอาจริงเอาจัง คือคนขาดสมาธิ แต่ว่าท่านผู้ใดทำอะไรอาศัยสัจจะ ความจริงใจ ประพฤติสิ่งใดให้ได้สิ่งนั้น ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสมาธิที่มั่นคง แม้จะยังไม่ถึงสมาธินานได้ญาณได้ฌานอะไรก็ตาม

    ก่อนที่จะจบนี้ จะขอนำเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามาเล่าสู่กันฟังพอเป็นคติเตือนใจ

    ท่านเคยคิดไหมว่าพระพุทธเจ้าเจริญกรรมฐานปฏิบัติสมาธิภาวนา เอาอะไรเป็นอารมณ์จิตในการภาวนาสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่เกิด คำว่าพุทโธก็ไม่มี สัมมาอรหังก็ไม่มี ยุบหนอพองหนอก็ไม่มี ถ้าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านเอาอะไรเป็นหลักเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติสมาธิ

    เราจะได้คำตอบว่า พระพุทธเจ้าอาศัยอารมณ์ ๒ อย่าง

    ๑. อารมณ์ทางกาย ได้แก่ ลมหายใจเข้าหายใจออก

    ๒. อารมณ์ทางจิต คือความคิดซึ่งมันเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

    และพระองค์จะเริ่มต้นด้วยการกำหนดรู้ลมหายใจ การกำหนดรู้ลมหายใจของพระองค์ เพียงแต่ว่ามีพระสติกำหนดรู้ ลมหายใจเข้าหายใจออกเฉยอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้นึกว่าลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด แล้วก็ไม่ได้บังคับจิตให้เกิดมีความสงบ แล้วก็ไม่ได้แต่งลมหายใจ ให้หยาบ ให้ละเอียด เพียงแต่มีพระสติ กำหนดรู้ลมหายใจ อยู่อย่างเดียวเท่านั้น

    ทีนี้ในช่วงใดจิตของพระองค์เกิดว่างลง พระองค์ปล่อยให้ว่าง ช่วงใดจิตของพระองค์เกิดความคิด พระองค์ปล่อยให้คิด พระองค์ให้จิตของพระองค์เดินอยู่ที่ลมหายใจ ความคิด ความว่าง ลมหายใจ ความคิด ความว่าง ให้เดินอยู่ใน ๓ จังหวะ ธรรมชาติของจิตนี้ ถ้าเวลาอยู่ว่าง ๆ จิตกับกายยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ ต้องรู้ลมหายใจเองโดยอัตโนมัติ ทีนี้ในเมื่อว่างอยู่สักพักหนึ่งก็จะเกิดความคิดขึ้นมา คือคิดขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้ตั้งใจพระองค์ปฏิบัติโดยอาศัยหลังดังที่กล่าว ทีแรกจิตของพระองค์ก็เดินอยู่ที่ลมหายใจ ความคิด ความว่าง ลมหายใจ ความคิด ความว่าง อยู่ใน ๓ จังหวะนี้ แล้วในที่สุดจิตของพระองค์ก็มาจับลมหายใจอย่างเหนียวแน่นยึดลมหายใจเป็นอารมณ์ ลมหายใจกับสติและความรู้สึกทางจิตไม่ได้พรากจากกัน จนกระทั้งลมหายใจละเอียด ๆ ลงไปตามขั้นตอนแห่งความสงบของจิต

    ในระยะต้นๆ ถ้าพระองค์กลัวว่าจิตของพระองค์จะเลยเถิด พอลมหายใจแผ่วเบาลงไป ๆ ๆ พระองค์ก็มานึกว่าลมหายใจยังอยู่ จิตก็หยาบขึ้นมานิดหน่อยแล้วก็ปรากฏเห็นลมหายใจอย่างชัดแจ้ง ในที่สุดจิตของพระองค์สงบละเอียด วิ่งตามลมหายใจเข้าไปข้างในกาย ไปสงบนิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย แต่ว่าเปล่งรัศมีออกมารอบกาย ทำให้พระองค์มองเห็นร่างกายเหมือนแก้วโปร่ง มองเห็นอวัยวะภายในกายทั่วหมดในขณะจิตเดียวทั้งอวัยวะภายนอกด้วยในขณะจิตเดียว จะมองเห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ปอด ผังพืด ครบอาการ ๓๒ ซึ่งในขณะนั้น จิตของพระองค์สงบ นิ่ง แล้วรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง สักแต่ว่ารู้ ร่างกายหายไป ลมหายใจก็หายขาดไป ในที่สุดยังเหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสวอยู่ในท่ามกลางแห่งจักรวาลอันกว้างใหญ่ ในขณะนั้น พระองค์จะรู้สึกมีแต่จิตของพระองค์ดวงเดียวเท่านั้น ไม่มีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นตอนนี้จิตของพระองค์อยู่ในจตุตถฌาน เป็นจิตพุทธะซึ่งบังเกิดขึ้นกับพระองค์ ถ้าจะว่าโดยจิตก็อัปปนาจิต ว่าโดยสมาธิก็อัปปนาสมาธิ ว่าโดยฌานก็จตุตถฌาน

    ทีนี้เมื่อจิตของพระองค์ไปถึงขั้นจตุตฌาน พอจะขยับก้าวหน้าไปสู่อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายนะ ตามลำดับไม่ไปเช่นนั้น พอขยับจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จิตพระองค์วกเข้าไปสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ เรียกว่าเข้านิโรธสมาบัติ นิโรธสมาบัติเป็นฐานสร้างพลังจิตเพื่อกระโดดก้าวขึ้นไปสู่ภูมิธรรมขั้นโลกุตตระ พอจิตของพระองค์ไปสร้างพลังงานอยู่ที่ตรงนี้พร้อม จิตของพระองค์จึงเบ่งบานออกมาอีกครั้งหนึ่ง ในตอนที่อยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น เป็นสมาธิที่ละเอียดสุขุมที่สุด ถ้าไม่ใช่วิสัยปัญญาอย่างพระพุทธเจ้า ก็อาจจะเข้าใจว่า สำเร็จพระนิพพานในขั้นนี้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันดับหมด แม้แต่จิตวิญญาณก็ทำท่าจะดับหมดสิ้นไป จะยังเหลือปรากฏอยู่จิตที่ละเอียดที่สุด

    เมื่อเข้ามาถึงตอนนี้ได้พลังพร้อม จิตเบ่งบานออกมาอีกครั้งหนึ่ง แผ่รัศมีครอบคลุมจักรวาลทั้งหมด ทำให้พระองค์ตรัสรู้เป็น โลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก คือรู้ยมโลก ได้แก่ภพภูมิของภูตผีปีศาจ เปรตอสุรกาย ทั้งสัตว์นรก พระองค์รู้ในขณะจิตเดียว แล้วรู้ภพภูมิของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่าโลกมนุษย์ รู้ภพ ของเทวดาตั้งแต่เทวดาชั้นจาตุม จนกระทั่งถึงพรหมโลกชั้นอกนิฏฐานพรหม พระองค์รู้ในขณะจิตเดียว นอกจากจะรู้ความเป็นไปของโลกทั้ง ๓ ยังรู้อดีตชาติของพระองค์ว่าเคยเกิดมากี่ภพกี่ชาติ นอกจากจะรู้เรื่องของพระองค์แล้ว ยังรู้เรื่องของคนอื่นและสัตว์อื่นด้วย ว่าสัตว์ในจักรวาลนี้แต่ละตนแต่ละตัวเกิดมาแล้วกี่ภพกี่ชาติ

    อันนี้เรียกว่า รู้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ในเมื่อรู้ความแตกต่างของภพภูมิของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็มารู้กฎเกณฑ์แบ่งชั้นวรรณะ แบ่งความเป็นไปของสัตว์ทั้งหลาย คือรู้เรื่องการจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปตามกฎของกรรม ซึ่งเรียกว่า จุตูปปาตญาณ แล้วก็รู้ อาสวักขยญาณ คือ อวิชชโมหะอันเป็นต้นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายทำกรรมไปตามที่ตนเข้าใจ เพราะความรู้ไม่จริงย่อมทำสิ่งที่เป็นบาปบ้าง สิ่งที่เป็นบุญบ้าง เมื่อทำขึ้นมาแล้วก็ได้รับผลของกรรม ได้รับผลของกรรมก็แล้วแต่กฎของกรรมจะซัดให้ไปเกิดในภพใดภูมิใด ให้ไปตกนรกก็มี ให้ไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย เป็นเทวดา อินทร์พรหมยมยักษ์ซึ่งอำนาจของกิเลสเป็นผู้บันดาลให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรม

    ปุพเพนิวาสานุสติญาณก็ดี จุตูปปาตญาณก็ดี อาสวักขยญาณก็ดี พระองค์ตรัสรู้ในขณะจิตเดียวตั้งแต่ปฐมยาม การตรัสรู้ อยู่ในขณะที่จิตทรงสมาธิขั้นสมถกรรมฐาน แต่เป็นสมถกรรมฐานขั้นโลกุตตรภูมิ จิตไม่มีร่างกายตัวตน แต่สามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ รู้เห็นอย่างนิ่ง ๆ ไม่มีภาษาสมมุติบัญญัติจะเรียกอะไรว่าเป็นอะไร แต่จิตดวงนี้สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้พร้อมหมด ทั้งปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณอาสวักขยญาณ ทำไมจิตในขณะนั้นจึงคิดไม่เป็น เพราะไม่มีร่างกายตัวตน จิตของคนเรา จะแสดงอาการคิดนึกขึ้นมาได้ ต้องอาศัยประสาททางสมอง คืออาศัยกายนี้เอง จึงจะคิดเป็น

    แต่ถ้าหากว่าจิตดวงนี้ แยกจากกาย ไปอยู่เอกเทศส่วนหนึ่งต่างหาก ไม่เกี่ยวพันกัน สามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่คิดไม่เป็น นี่คือธรรมชาติความเป็นจริงของจิต เป็นอย่างนี้ ทีนี้ในเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ เป็นโลกวิทูแล้ว เมื่อจิตของพระองค์ถอนจากสมาธิมา พอมารู้สึกว่ามีกายเท่านั้น จิตตัวนี้ จึงมาพิจารณาทบทวน ปุพเพนิวาสนุสติญาณคือการระลึกชาติหนหลังได้ ว่าเราเกิดมากี่ภพกี่ชาติ เคยเป็นอะไรมาบ้าง สัตว์ทั้งหลายเกิดมากี่ภพกี่ชาติ เคยเป็นอะไรมาบ้าง พระองค์พิจารณาเรื่องนี้จบลงในปฐมยาม

    เมื่อพิจารณาเรื่องปุพเพนิวาสนุสติญาณจบลงแล้ว พระองค์ก็พิจารณาต่อไป ซึ่งในช่วงนี้จิตของพระองค์ปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ ไปพิจารณาเรื่องกฎของกรรม ว่าทำไมสัตว์ทั้งหลายจึงไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ กันที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะกฎของกรรม ภาษิตที่ว่า กัมมัง สัตเต วิภชติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่าง ๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยนั้น

    เมื่อพระองค์พิจารณากฎของกรรมคือจุตูปปาตญาณจบลงในมัชฌิมยาม แล้วก็ไปพิจารณาเรื่องกิเลสอาสวะคืออวิชชาความรู้ไม่จริง ว่าสัตว์ทั้งหลายทำไมจึงต้องทำกรรม ทำกรรมดีบ้าง ทำกรรมชั่วบ้าง เพราะความรู้ไม่จริง แล้วก็ทำกรรมไปตามที่ตนคิดว่าถูกต้อง แต่ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นทั้งบุญเป็นทั้งบาป มีทั้งดีมีทั้งชั่ว เมื่อทำลงไปแล้วมันก็เกิดวิบากคือผล เมื่อได้รับผลของกรรม กฎของกรรมก็ส่งหนุน ให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎสงสาร ไม่รู้จักจบจักสิ้น เรื่องนี้พระองค์พิจารณาจบลงไปในปัจฉิมยาม คือจวนใกล้รุ่ง

    ในเมื่อพิจารณา ๓ อย่างนี้ตามลำดับยามทั้ง ๓ คือ ปฐมยาม พิจารณาเรื่องปุพเพนิวาสนุสติญาณ มัชฌิมยาม พิจารณาเรื่องจุตูปปาตญาณ ปัจฉิมยาม พิจารณาเรื่องอาสวักขยญาณ อาสวกิเลส ในเมื่อพิจารณาจบลงไปแล้ว จิตยอมรับสภาพความจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้เห็นมานั้นเกิดเป็นความจริงแท้ไม่แปรผัน อรหัตตมรรคญาณจึงบังเกิดขึ้นในขณะจิตนั้น แล้วก็ตัดกิเลสอาสวะขาดสะบั้นไป จึงทำให้พระองค์สิ้นภพสิ้นชาติ สิ้นอาสวกิเลส ถึงซึ่งความบริสุทธิ์สะอาดโดยสิ้นเชิง แม้กิเลสน้อยหนึ่งเท่าธุลี มิได้มีเหลือติดอยู่ในพระทัยของพระองค์อีกแล้ว แล้วกิเลสทั้งหลาย ก็ไม่สามารถที่จะมาประทุษร้ายดวงจิตของพระองค์ดวงนี้ ให้เศร้าหมองอีก ก็เป็นอันว่าบรรลุถึงแดนอมตะ จึงได้พระนามว่า อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ด้วยประการฉะนี้

    เพราะฉะนั้น สาธุชนทั้งหลายผู้ที่มุ่งหวังจะปฏิบัติสมาธิให้ผลอย่างแท้จริง อย่าไปข้องใจสงสัยในหลักและวิธีการ เราจะบริกรรมภาวนาคำไหนก็ได้ ถ้าใครนับถือศาสนาคริสต์ให้บริกรรมภาวนาเยซู ถ้าใครถือศาสนาอิสลามให้ภาวนาถึงพระเจ้าอัลเลาะห์ ถ้าใครถือศาสนาพุทธให้ภาวนาพุทโธ เมื่อท่านตั้งใจภาวนาจริง ๆ เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิ จิตหยุด นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน มีแนวโน้มเป็นอย่างเดียวกันหมด เพราะ สมาธิเป็นสัจจธรรมมีหนึ่งเดียว จะแตกต่างกันไม่ได้ แต่วิธีการนั้น เราอาจจะใช้อุบายวิธี ต่างกัน แต่ผลลัพธ์ก็คือสมาธิอันเดียวกันนั้นเอง

    บรรดาครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานในปัจจุบันแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท

    ประเภทที่ ๑. รู้หลักวิธีการตามตำรับตำรา แต่ทำสมาธิไม่เป็น ก็ไม่รู้เรื่องของสมาธิ

    ประการที่ ๒. รู้หลักวิธีการทำสมาธิเก่ง มีประสบการณ์มาก ย่อมเข้าใจในเรื่องสมาธิดี

    ความเข้าใจคำว่าสมาธิของคนในปัจจุบันนี้ก็มี ๒ อย่าง

    ๑. ผู้บริกรรมภาวนาน้อมจิตบังคับจิตให้หยุด นิ่ง เมื่ออาศัยความคล่องตัวชำนิชำนาญ เราต้องการจะให้จิตของเราหยุดเมื่อเรานิ่งอยู่ อันนี้มันเป็นแต่เพียงความสงบที่เราแต่งเอาได้ ไม่ใช่สมาธิ แต่สมาธิที่แท้จริงนั้น ในเมื่อจิตหยุดนิ่งได้ แล้วจิตแปรสภาพไปเป็นอย่างอื่น คือ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน หรือรู้สึกแจ่มๆ ภายในส่วนลึกของจิต มีความรู้พร้อมในขณะจิตนั้น ศีลสมาธิ ปัญญา ก็รวมลงไปสู่จุดนั้น คือความปกติของจิต เมื่อจิต วูบ ๆ ๆ ๆ ๆลงไป สัญญาเจตนาที่จะให้จิตเป็นอย่างไรนั้นมันหมดสิ้นไป ความตั้งใจจะให้จิตสงบก็ไม่มี ความตั้งใจจะให้จิตรู้เห็นก็ไม่มี จิตจะไปสู่สมาธิขั้นใดญาณขั้นใด หรือจะเกิดความรู้ใด ๆ ขึ้นมา จิตจะปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งเราไม่ได้ควบคุม เราไม่ได้มีสัญญาเจตนาใด ๆ ที่จะไปควบคุมจิต หรือเราไม่ได้ตั้งใจจะน้อมจิตไปรู้ไปเห็นอะไร แต่จิตจะปฏิวัติตัวไปรู้ไปเห็นเอง ซึ่งเรียกว่าเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ อันนี้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิอย่างแท้จริง

    ในเมื่อจิตของเราเป็นสมาธิแล้ว ทางไปของจิตมีอยู่ ๒ อย่าง

    ๑. จิตสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน แล้วก็สงบละเอียด ๆ จนกระทั่งร่างกายตัวตนหายไป อันนี้จิตสงบเป็นสมาธิในสายฌานสมาบัติ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นสมาธิในฌานสมาบัติ แต่เราก็จำเป็นจะต้องปฏิบัติ ซึ่งจิตจะปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ จะเป็นอย่างไรก็ตาม ทีนี้สมาธิอีกแบบหนึ่ง บางทีเราอาจจะภาวนาพุทโธ พุทโธ ๒-๓ คำ จิตวูบลงไปนิดหนึ่ง ความรู้ความคิดผุดขึ้นมายังกับน้ำพุ ในลักษณะอย่างนี้ท่านเรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน ในเมื่อเกิดมีสมาธิแล้ว เป็นสมาธิที่มีวิตก วิจาร วิตกก็คือ ความคิด วิจารก็คือสติรู้พร้อมอยู่ที่จิต ถ้าหากว่าจิตเกิดมีปีติ มีความสุข แล้วก็ไม่ได้วิ่งตามความคิดไปเพียงแต่กำหนดรู้จุดเกิดของความคิด ความคิดนั้นคืออะไรจิตไม่สนใจ ได้แต่รู้จิตอย่างเดียว อันนี้เรียกว่า สมาธิวิปัสสนา เป็นสมาธิที่เป็นไปตามแนวทางแห่งอริยมรรคอริยผล

    ในเมื่อท่านทั้งหลายทำจิตให้สงบนิ่ง เป็นสมาธิแล้วพอภาวนา จิตสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบานขึ้นมา แต่กายยังปรากฏ จิตยังสัมพันธ์กับกาย ยังรู้สึกว่ากายมีอยู่ในช่วงนี้ปีติและความสุขย่อมบังเกิดขึ้น

    แต่ถ้าหากว่าจิตของเราส่งกระแสออกไปนอก จะเกิดมโนภาพคือ นิมิต ในเมื่อจิตของท่านผู้ใดไปรู้เห็นนิมิตให้กำหนดรู้จิตอย่างเดียว อย่าไปเกิดความเอะใจ หรือไม่ต้องไปยึดมั่นในนิมิตนั้น ๆ เพียงแต่กำหนดรู้จิตของตนเอง เฉยอยู่เท่านั้น นิมิตนั้นจะนิ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่ไหวติงจนกระทั่งเกิดนิมิตติดตา เรียกว่า อุคคหนิมิต แต่ถ้าหากว่านิมิตนั้น มีอาการเปลี่ยนแปลง ยักย้ายไปมา หรือบางทีอาจจะเห็น เนื้อหนังพังลงไป ยังเหลือแต่กระดูก โครงกระดูกทรุดฮวบลงไป แหลกละเอียดหายจมลงไปผืนแผ่นดิน ในตอนนี้เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต ปฏิภาคนิมิตนี้เป็นจิตก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนากรรมฐาน

    ถ้าหากว่าจิตไปสำคัญมั่นหมาย ในความเปลี่ยนแปลง ก็รู้ความไม่เที่ยงคืออนิจจัง เมื่อรู้อนิจจัง ก็รู้ทุกขัง คือความทนอยู่ไม่ได้ ของสิ่งนั้น ในเมื่อรู้อนิจจัง ทุกขัง เราก็รู้อนัตตาคือความไม่เป็นตัวของตัว ของนิมิตหรือสิ่งรู้สิ่งนั้น เราก็ได้รู้ธรรม เห็นธรรม แต่ถ้าหากว่า จิตของเรา ไม่ไปอย่างนั้น พอสงบ สว่าง ร่างกายยังปรากฏจิตวิ่ง ตามลม เข้ามา มาสงบ นิ่ง สว่าง อยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ก็จะมองเห็นอวัยวะภายในกายนี้ทั่วหมดในขณะจิตเดียวครบอาการ ๓๒ แล้วจิตจะค่อยสงบละเอียด ๆ ไปสู่จุดที่เรียกว่าร่างกายหาย ยังเหลือแต่จิตดวงเดียว

    ทีนี้ถ้าหากว่าจิตผ่านการสำรวจภายในคือร่างกายรู้อาการ ๓๒ เมื่อร่างกายคืออาการ ๓๒ หายไป ยังเหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่าง ไสว ถ้าจิตมีภูมิพอที่จะรู้ธรรมเห็นธรรม จิตจะย้อนมองมาดูกาย จะเห็นร่างกายขึ้นอืด เน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไปจนไม่มีอะไรเหลือ เมื่อจิตถอนจากสมาธิมาแล้ว ก็จะบอกกับตัวเองว่า นี่แหละคือการตาย ตายแล้วก็ขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล เนื้อหนังพังไป เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก เหลือแต่โครงกระดูก กระดูกก็แหลกละเอียดลงไปหายจมลงไปในผืนแผ่นดินไหนเล่า สัตว์บุคคลตัวตนเราเขามีที่ไหน มันมีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันอยู่เท่านั้น ในเมื่อกายกับจิตยังสัมพันธ์กันอยู่ ก็ยังมีชีวิตอยู่ตลอดไป ถ้ากายกับจิตแยกจากกันเป็นคนละส่วน ส่วนกายก็เน่าเปื่อยผุพังไปตามธรรมชาติ ส่วนจิตก็ไปตามกฎของกรรม แล้วแต่กรรมจะหนุนส่งให้ไปเกิดที่ไหน อันนี้ทางหนึ่งที่จิตจะเป็นไป

    อีกทางหนึ่ง ถ้าจิตไม่เป็นไปตามแนวทางทั้ง ๒ ทางที่กล่าวมา พอจิตสงบแล้ว จิตก็กำหนดรู้อยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียว ในเมื่อจิตรู้อยู่ที่จิต ตอนนิ่ง ๆ จะรู้เห็นว่าจิตนิ่ง ๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าหากว่าจิตของเรามีกำลังพอที่จะเกิดภูมิความรู้ มันจะมีปรากฏการณ์วับแวบ ๆ อยู่ในจิต บางทีก็เป็นความคิดที่ละเอียด บางทีก็เป็นเหมือนเมฆหมอกไหลผ่านไป บางทีก็นิ่ง ๆ อยู่ว่าง ๆ ซึ่งแล้วแต่จิตมันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

    ทีนี้จิตไปรู้สิ่งที่เกิดดับอยู่ภายในจิต เรียกว่าจิตกำหนดรู้ความเกิดดับ ความเกิดดับที่ปรากฏภายในจิตนั่นแหละเป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ เมื่อสมาธิและสติปัญญาแก่กล้าขึ้น จะกำหนดหมายรู้สิ่งที่เกิดดับว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้าได้ความรู้ในทางธรรมะเป็นภาษาขึ้นมา ก็จะรู้ขึ้นมาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา อันนี้คือกฎของธรรมชาติ จิตก็รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาเอง

    เอาละ วันนี้ขอกกล่าวธรรมะพอเป็นแนวทางในการพิจารณาของบรรดาท่านทั้งหลาย ก่อนที่จะจากกัน ในฐานะที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ สอนลูกศิษย์ การสอนสมาธิของลูกศิษย์ในห้องเรียนเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าท่านไม่ถือว่ามันเป็นของแปลกใหม่เกินไป เวลาท่านไปยืนหน้าห้อง กำลังเตรียมสอนนักเรียน ท่านอาจารย์อาจจะกล่าวเตือนนักเรียนว่า นักเรียนทุกคนมองมาที่ตัวข้าพเจ้า ส่งจิตมารวมไว้ที่ตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดพลังจิตและวิชาความรู้ให้ พวกเธอทั้งหลายจงน้อมรับ พลังจิตและวิชาความรู้จากครู อย่างตรงไปตรงมา อย่าบิดพลิ้ว มีอะไรก็สอนไป แล้วเตือนไปเป็นระยะ ๆ ในทำนองนี้ ลูกศิษย์ของท่านจะได้สมาธิในห้องเรียนอย่างไม่รู้สึกตัว ขอฝากความคิดเห็นไว้เพียงแค่นี้

    ในท้ายสุดนี้ ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงดลบันดาลให้จิตใจของท่านทั้งหลาย ยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดมั่นในเจตนาแน่วแน่ที่จะละบาปความชั่วตามกฎของศีล ๕ แล้วก็ให้จิตของท่านสงบเป็นสมาธิ ได้อุบายวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง แม้จะปรารถนาสิ่งอื่นอันเป็นผลพลอยได้ ก็จงสำเร็จตามปณิธาน ความปรารถนาในที่ทุกสถาน ตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ….

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย..
    https://www.facebook.com/apichai553
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กุมภาพันธ์ 2014

แชร์หน้านี้

Loading...