วิธีรักษาคนที่ต้องแรงสินบน ต้องเสนียด และต้องคุณไสยของหลวงพ่อปาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahamettayai, 2 กุมภาพันธ์ 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    วิธีช่วยชีวิตคนที่ต้องแรงสินบน ต้องเสนียด และต้องคุณไสยของหลวงพ่อปาน
    <O:p</O:p
    ในเรื่องการรักษาโรคช่วยชีวิตคนของหลวงพ่อปาน เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น ผู้คนต่างแห่กันมาที่วัดจนแน่นขนัด จนไม่มีที่รับรองแขกเพียงพอ​

    <O:p</O:pวิชาการรักษาโรคและวิชาการบางอย่างที่หลวงพ่อปานสำเร็จและนำมาช่วยเหลือผู้ได้รับทุกข์ เท่าที่เกิดปาฏิหาริย์และได้รับการบันทึกไว้มีมากมาย ตัวอย่างเช่น รักษาโรคด้วยน้ำมนต์ โรคที่ท่านรักษาด้วยน้ำมนต์ เรียกว่าโรคภายใน เช่น บางคนถูกของ ถูกคุณ ถูกเขากระทำมา โรคที่เกิดจากกรรมเวร ถูกผีสิง เป็นต้น บางครั้งก็ต้องแป้งเสกควบคู่ด้วย​

    <O:p</O:pในตอนเพล ขณะที่ท่านพักผ่อนท่านจะทำการเสกน้ำมนต์เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเวลาอาบจะได้สะดวก และท่านได้ใช้เวลาในการอาบนั้นบริกรรมเสกเป่าเฉพาะรายอีกด้วย​

    <O:p</O:pน้ำมนต์ของท่านนี้ศักดิ์สิทธิ์นักและกรรมวิธีในการรักษาโรคด้วยน้ำมนต์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะ คือ
    <O:p</O:p
    ช่วงแรก ท่านจะเรียกคนไข้มาหาแล้วถามชื่อเสียงเรียงนาม ถามอาการแล้วยื่นหมากให้คำหนึ่ง คาถาที่ใช้เสกหมากนี้ท่านบอกผู้ใกล้ชิดว่า ใช้ดังนี้จะขลังหรือไม่อยู่ที่จิตของผู้ทำ<O:p</O:p

    "ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วว่า โสทาย นะโม พุทธายะ ลัมอิทังโล นันโทเทติ ยาทาโลเทตีติ"

    <O:p</O:pเมื่อคนไข้ได้รับหมากเสกแล้วให้เคี้ยวให้แหลก บ้วนน้ำหมากทิ้งเสียสามที กลืนลงคอไป ให้คนไข้สังเกตดูว่าหมากนั้นมีรสอะไร แล้วบอกหลวงพ่อปาน จากนั้นก็จะทำการรักษาตามวิธีของท่าน <O:p</O:pหลวงพ่อปานท่านบอกว่า รสหมากนั้นบอกโรคได้ดังนี้​

    <O:p</O:pรสเปรี้ยว แสดงว่าต้องเสนียดที่อยู่อาศัย เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมีของต้องห้ามอยู่กับบ้าน เช่น มีไม้ไผ่ผูกส่วนต้นส่วนปลายอยู่ในบ้าน มีตออยู่ใต้ถุนบ้าน ที่เรียกว่า ปลูกเรือนคร่อมตอ หรืออย่างอื่น ต้องจัดการเรื่องนี้เสียก่อนแล้วจึงรักษาหาย ส่วนมากแล้วหลวงพ่อปานจะใช้ญาณดูแล้วบอกว่ามีอย่างไหนบ้าง ให้แก้เสียก่อน
    <O:p</O:p
    รสหวาน แสดงว่าต้องแรงสินบนอย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้หรือคนในบ้านบนไว้ ต้องนึกให้ออกว่า ตนเคยบนบานศาลกล่าวอะไรบ้าง ถ้านึกได้ ผู้ป่วยไข้จะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบูชากลางแจ้ง ขอทำการแก้บนให้ถูกต้องในภายหน้าต่อไป
    <O:p</O:p
    เมื่อกลับมาหาท่าน ท่านจะรดน้ำมนต์ให้ รดแล้วจะต้องให้กินหมากเสกอีกว่า หมดสิ้นหรือยัง ถ้าไม่มีรสหวานก็หมดแล้ว ถ้ายังหวานอยู่ก็ต้องนึกดู ก็ต้องแก้บนอีก แล้วจึงรักษาหาย
    <O:p</O:p
    รสขม แสดงว่าต้องคุณคน คือถูกของที่มีผู้ใช้เดียรัจฉานวิชานำมาไว้ในตัว เช่น ในท้องมีตะปูบ้าง มีเข็มเย็บผ้าบ้าง ไม้กลัดผูกกากบาทบ้าง ด้ายตราสังข์มัดศพ เปลวหมูบ้าง หนังสัตว์บ้าง
    <O:p</O:p
    ของเหล่านี้จะทำให้คนไข้เจ็บปวดเสียดแทงในร่างกายเป็นที่ทรมานนัก คนไข้ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิง ที่เป็นชายมีน้อย โดยมากพวกนี้มักจะรับจ้างทำร้ายผู้อื่น หรือไม่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ถูกใครก็เจ็บไป ทำร้ายใครไม่ได้ก็กลับมาเข้าตัวเอง เคยมีแขกผู้หนึ่งถูกของของตัวเอง หลวงพ่อปานท่านแก้ให้แล้วขอสัญญา ให้เลิกอาชีพนี้เสีย
    <O:p</O:p
    คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อท่านจะเสกน้ำมนต์พิเศษใส่กระป๋องน้ำ เพื่อให้คนที่แช่เท้าทั้งสองข้างไว้ เพื่อเวลารดน้ำมนต์ ของที่อยู่ในตัวจะได้หลุดออกมาทางเท้าอยู่ในกระป๋องน้ำมนต์ <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กุมภาพันธ์ 2014
  2. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    ถ้ามีอาการยันหมาก มึนงงศีรษะ เวียนศีรษะ หลวงพ่อท่านว่าถูกคุณผี คือมีอาการใช้ผีมาเข้าสิง คนไข้จะสำแดงอาการกิริยาผิดปกติ ถ้าผียังสิงอยู่ จะไม่ยอมกินหมากเสกหลวงพ่อต้องใช้อำนาจจิตบังคับให้กิน ถ้าผีแกล้งออกไปชั่วระยะ คนไข้จะยอมกินหมากแล้วมีอาการยันหมาก ผีประเภทนี้ เป็นผีตายโหง ที่มีผู้มีวิชานำวิญญาณมาใช้ทำอันตรายคนทำให้เสียสติเพ้อคลั่ง เสียคน เป็นต้น

    <O:p</O:pคนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อปานท่านจะทำน้ำมนต์พิเศษจากพระดินเผาของท่านเอง ซึ่งท่านมักจะใส่ในกระเป๋าอังสะของท่านอยู่เสมอ เพื่อทำน้ำมนต์ให้คนไข้อาบ และใช้มีดหมอของท่านกดกลางศีรษะ และรดน้ำมนต์ให้เรื่อยไปจนกว่าผีจะออก

    ถ้าดิ้นรนก็ต้องมีคนมาช่วยจับและรดน้ำมนต์ในระหว่างที่ท่านกดมีดหมอและบริกรรมอยู่ <O:p</O:pเมื่อหายแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย และท่านมักจะให้สายสิญจน์มงคล ไว้คล้องคอเพื่อกันถูกกระทำซ้ำอีกทุกราย

    ถ้ามีอาการร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่าร้ายแรงมาก ถึงขนาดที่ถูกน้ำมันผีพราย ประเภทนี้จะอาการป้ำๆ เป๋อๆ ๆ คุ้มดีคุ้มร้าย ชาวบ้านเรียกว่า ลมเพลมพัด ขาดสติ ปวดศีรษะบ่อยๆ คนไข้ชนิดนี้ท่านจะให้แช่เท้าในกระป๋องด้วย เหมือนกับที่ถูกคุณคน เมื่อเวลารดน้ำมนต์นั้น น้ำมันพรายจะซึมออกมา เป็นฝ้าน้ำมันลอยอยู่ในน้ำให้เห็น
    <O:p</O:p
    หลวงพ่อบอกว่า คนไข้ประเภทนี้หายยาก เพราะว่าน้ำมันซึมอยู่ในร่างกาย ต้องมารักษาบ่อยๆ เป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จนกว่าจะหมดน้ำมันพรายและท่านมักจะสั่งห้ามกินน้ำมันสัตว์ เพราะจะไปเพิ่มน้ำมันให้กับน้ำมันพราย

    <O:p</O:pหมากเสกของท่านนี้ ถ้ากินแล้วร้อนลึกเข้าไปในทรวงอก ท่านว่าเป็นโรคฝีในท้อง วัณโรค นอกจากรดน้ำมนต์แล้ว ยังต้องกินยาคุณพระควบไปด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นการขับถ่ายพิษร้ายออกจากร่างกาย

    <O:p</O:pนอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านยังมียาคุณพระพุทธคุณให้กินอีกด้วย ยานี้มีสรรพคุณแก้โรคได้ทุกชนิด แล้วแต่ชนิดของโรค คือยานี้เป็นยาอธิษฐานของหลวงพ่อปาน

    นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังเป็นยาที่หลวงพ่อปานให้กินเวลาท่านรดน้ำมนต์แก้ถูกกระทำไปแล้ว ยาของท่าน ท่านจะบอกกับผู้ใกล้ชิดว่า ตำรับยานี้เป็นของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ องค์อุปัชฌาย์ของท่านมอบให้ท่านเป็นทายาทแทนเมื่อหลวงพ่อสุ่นล่วงลับไปแล้ว (คัดมาจากหนังสืออนุสรณ์ 100 ปี หลวงพ่อปาน)
    <O:p</O:p
    พระคาถา<O:p</O:p
    (ว่า "นะโม ฯลฯ " ๓ จบ ) <O:p</O:pพระคาถาบทนำ ว่าครั้งเดียว <O:p</O:p" พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ "<O:p</O:p

    พระคาถาพระปัจเจกะโพธิ์ <O:p</O:p
    ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ จึงจะเกิดผล<O:p</O:p
    " วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มาณี มามะ พุทธัสสะ สวาโหม "

    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-parn/lp-parn-wat-bang-nom-kho<O:p</O:p</O:p
     
  3. กุศโลบาย

    กุศโลบาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    323
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,608
    ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา

    แต่ถ้าสงเคราะห์เขาล่ะ คุณโลโปว่าสมควรทำไหมครับ เช่น ทำน้ำมนต์รักษาคุณไสย์มนต์ดำให้เขาหาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2014
  4. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,332
    คุณโลโป-
    จะอย่างไรก็แล้วแต่ดิฉันมองว่า ครูบาอาจารย์หลายๆท่านทั้งที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้วที่ท่านทำไปเจตนาไม่ได้ทำเพื่อเลี้ยงชีพตามที่ท่านอ้างมา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายทำไปก็เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้คน (มีเมตตา) ช่วยบรรเทาทุกข์ภัยให้แก่คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแต่ประการใด แต่กลับเป็นการอุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ถ้าคนนั้นๆบางทีเมื่อเขาพ้นทุกข์ จากที่ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาก็จะเปลี่ยนมาเลื่อมใส แล้วก็จะมีส่วนช่วยในการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนต่อไป
     
  5. เจษฎา เยี่ยมคำน

    เจษฎา เยี่ยมคำน เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,332
    ค่าพลัง:
    +5,413
    กรรม มีเจตนาเป็นสำคัญ
     
  6. วรรณนรี05

    วรรณนรี05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +903
    เถรใบลานเปล่ายังมีทุกยุคสมัย
     
  7. กุศโลบาย

    กุศโลบาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    323
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,608
    คุณโลโปครับ ถ้าหากว่ามีชาวบ้านที่โดนกระทำคุณไสย์มนต์ดำอย่างหนักจนไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ แม้แต่นั่งสมาธิ ภาวนาก็ทำไม่ได้ แม้แต่จะทรงสติสัมปะชัญญะก็ทำไม่ได้ และมีญาติๆไปขอความช่วยเหลือจากพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะว่าแม้แต่หมอแผนปัจจุบันก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเขาได้เลย วินิจฉัยโรคก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร

    คุณโลโปคิดว่าพระท่านควรทำอย่างไรครับ? คือทำให้คนเหล่านั้นหายจากการโดนกระทำคุณไสย์มนต์ดำน่ะครับ?????

    คุณไสย์ก็มีหลายอย่าง น้ำมันพราย , เสกหนังควายเข้าท้อง , เสกตะปูเข้าท้อง , ยาสั่ง , ยาเบื่อ , ฝังรูปฝังรอย หุ่นรูปรอย , เสน่ห์ยาแฝด , ใช้ผีไปทำร้าย , ทำให้ป่วย , ทำให้พินาศ , ทำให้หย่าร้าง , ทำอาภรรพ์ต่างๆแก่ครอบครัวและตัวเขา คุณโลโปคิดว่าอะไรที่พระสงฆ์ท่านสมควรทำ เมื่อมีบุคคลที่โดนคุณไสย์เหล่านี้มาขอความช่วยเหลือจากพระสงฆ์ท่านครับ??

    อย่าบอกนะครับ ว่าคุณไสย์มนต์ดำไม่มีจริง??
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2014
  8. manymoons123

    manymoons123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +416
    น่าเห็นใจทั้งท่านเจ้าของกระทู้ และท่านที่แสดงความคิดเห็นครับ
     
  9. Yurichan

    Yurichan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +97
    หลวงพ่อปานสมเป็นพระสุปฏิปันโน ลูกขออาศัยบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมตตาให้พ้นวัฏฏะสงสารต่อไป
     
  10. Yoolim

    Yoolim Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2014
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +45
    เลิกสร้างวัดใหญ่ ไม่สร้างพระใหญ่ แล้วจะทำให้คนมีศีลธรรมมากกว่าเืมื่อสร้างวัดสร้างพระไหม ?

    สอนงมงามไสยศาสตร์ตรงไหน องค์ไหน ท่านไหน ?

    เรื่องนักบวชที่เข้ามาห่มเหลืองเพื่อหวังหาเงินเลี้ยงชีพมันมีอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะเหมารวมพระสุปฏิปันโนเข้าไปด้วยทั้งหมดทุกองค์ เขียนแบบที่คิดมันเป็นมุมมองแคบๆมองแต่ด้านๆเดียวที่เป็นด้านลบ

    ความคิดการมองโลกมองคนสะท้อนนิสัยและทัศนคติของคนคิดคนเขียนออกมาด้วยว่าเป็นคนเช่นไร
     
  11. ขวัญพิภพ

    ขวัญพิภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +93,514
    ---------------------------------------------------------------
    ---------------เห็นด้วยครับ
    ---------------ทุกข์ในระดับชาวบ้าน ถ้าพระภิกษุแก้ไม่ได้
    ---------------ไม่มีสุนัขตัวไหน-------------------------------------------เข้าวัดหรอกครับ นี้คือความจริง
    ----------------ไปพูดเรื่องพระนิพพาน ดับทุกข์ถาวร ใครจะไปเชื่อครับ
    ----------------พระพุทธศาสนามีหลายมิติ
    ----------------พระปรมาจาร์ย ที่ทรงอธิคุณ คุณพ่อเดิม ครูบาศรีวิชัย
    ----------------แม้แต่สมเด็จลุน นครจำปาสัก
    ----------------ยังมีหลายวิธี สงเคาระห์ คนหลายแบบ หลายทุกข์ หลายปัญยาหลายบารมี
    ----------------คนหลายคน ไม่เจอเจอโจทย์ตาย ก็ปากดี
    ----------------พอคราวเคราะห์ถึงตัวก็จะรู้สึก
    ----------------ถ้าอ้างว่าพระไตร ปฏิก แล้วใช่ นัยยะหนี่ง คือเรากำลังเอา พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธองค์
    ---------------มาสมอ้างยัดใส่หัวเราแล้วไป กัดชาวบ้านครับ
    ---------------การสอนธรรมมะ ใคร แก่ปัญญา ก็เรียนด้านปัญญา
    ---------------ใครกล้าทางสมาธิ ให้เรียนทางสมาธิ
    ----------------ผมขอถามกลับว่า
    ----------------แล้วในบทพาหุง
    ----------------ชัยชนะของพรพุทธเจ้า ต่อ พกาพหรม ต่อพญามาร ต่อพญาช้างนาคาคีรี ทำไมจึงใช้วิธีต่างกัน
    ----------------ทำไมีทั้งใช้ฤทธิ์และปัญญา
    ----------------ทั้งเมตตาและแสดงธรรม
    ----------------พระอาจาร์ยมั่นเอง ทำตระกรุดครับ
    -----------------ทุกข์คนเราไม่เหมือนกันครับ
    ------------------จะให้เราใช้วิธีแก้เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้
    ------------------พระดี พระแท้ ก็ไม่ใช่แค่สายอาจาร์ยมั่น
    ------------------มีหลายท่าน กำลัง วิชชา บารมี ภูมิธรรม จะสูงกว่าด้วยก็มีเพราะคนเก่งไม่ได้มีท่านเดี่ยว
    -------------------ลองทำใจกว้างกว้างครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2014
  12. กุศโลบาย

    กุศโลบาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    323
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,608

    ขอถามต่อครับ เพราะว่าคนในยุคปัจจุบันไม่มีใครมีศีลทุกคน ไม่มีใครภาวนาทุกคน และไม่มีใครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทุกคน ไม่สนใจจะเหยียบเข้าไปในวัดแม้แต่ก้าวเดียว เนื่องจากบารมีต่ำ และน้อยนิด ในเมื่อเขาเป็นอย่างนี้ เขาจึงโดนอำนาจคุณไสย์มนต์ดำเล่นงานเข้าอย่างหนักจนไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ และได้ยินข่าวว่าองค์หลวงพ่อผู้ปฏิบัติดีสามารถที่จะช่วยให้คนพ้นจากการโดนกระทำคุณไสย์ได้ เขาก็เดินทางไปหา

    เมื่อมาหาหลวงพ่อและหลวงพ่อองค์นั้นต้องทำอย่างไรครับ ตามที่คุณโลโปคิดเพื่อช่วยเขา ณ ตอนนั้น ขณะนั้น

    คนที่โดนคุณไสย์เจ็บปวดทุกขเวทนาแทบขาดใจ จะให้ภาวนา ? ถือศีล ? สวดมนต์? ให้ทาน? และเขาก็ยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ? หรือปล่อยให้เขาตายด้วยอำนาจคุณไสย์มนต์ดำ ? จะต้องทำอย่างไรครับ? ชี้แนะทีครับ

    คุณโลโปคิดเหมือนผมไหมครับ ว่า ถ้าพระท่านช่วยคนให้คุณไสย์หายไม่ว่าจะด้วยน้ำมนต์หรือของขลังที่เป็นรูปแทนพระพุทธเจ้า และ สอนให้คนให้ทาน ถือศีลและภาวนาด้วย เขาคงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ช่วยเขาผมคิดว่าเขาอาจจะตำหนิพระพุทธศาสนาได้ เพราะว่า ศาสนาพุทธสอนให้เรามีเมตตาต่อสรรพสัตว์ หรือคุณโลโปคิดว่ายังไงครับ?

    ป.ล. ถ้าตามที่คุณโลโปบอก " ถ้าจะช่วยชาวบ้าน ก็ต้องสอนให้รักษาศีล ทำสมาธิ " และ หลวงปู่ปาน,หลวงพ่อฤาษีลิงดำ,หลวงพี่เล็ก ท่านไม่สอนให้รักษาศีล ทำสมาธิตรงไหนครับ????
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2014
  13. กุศโลบาย

    กุศโลบาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    323
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,608
    พวกเขาเหล่านั้น ปฏิบัติตามคำสอนหลวงพ่อทุกอย่างครับ ทาน ศีล ภาวนา ไม่ขาด และพิจารณาตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านนำมาสอนว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับผม
    และบูชาของขลังคือรูปแทนพระพุทธเจ้า เพื่อระลึกนึกถึงท่าน อาราธนาท่านทุกวันเพื่อระลึกไว้เป็นสรณะไม่ลืมครับผม ถ้าระลึกถึงพระรัตนตรัยทุกๆวันเป็นบุญทุกๆวัน ยังไงสักวันมันก็ต้องเต็มครับ เหมือนหยาดน้ำหยดลงในตุ่มถึงแม้หยาดแค่ 1 หยด แต่ถ้าหยดบ่อยๆทุกๆวัน ยังไงสักวันมันก็ต้องเต็มครับผม


    คุณโลโปคิดแบบผมไหมครับ ว่า พระพุทธรูปองค์พระประธานที่อยู่ภายในโบสถ์วัด นั้น มีไว้ให้คนและพระภิกษุสงฆ์ สามเณรผู้เจริญได้กราบไว้ บูชาและระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า และ ของขลังนั้นก็เหมือนกันครับ หลวงพ่อท่านสร้างเป็นรูปพระพุทธเจ้า ก็เพื่อให้คนกราบไว้ บูชาและระลึกนึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าครับ หรือคุณโลโปคิดว่ายังไงครับ คิดแบบผมหรือเปล่าครับ? หรือผมเข้าใจผิด ถ้าผมเข้าใจผิดอธิบายมาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2014
  14. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    ผมว่าแล้วว่าคุณโลโปต้องหยิบยกพระไตรปิฎกหรือพระสูตรมาฟาดงวงฟาดงาในที่นี้

    ผมเข้าใจในความปรารถนาดีของท่านนะครับว่าท่านต้องการที่จะให้คนได้ตื่นรู้ถึงพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง แต่อีกนัยหนึ่งท่านก็คงจะลืมไปมั้งว่าพระพุทธศาสนาเกี่ยวโยงกับสังคมไทยมาช้านาน พระสงฆ์กับชาวบ้านเกื้อกูลอาศัยซึ่งกันและกัน แหล่งสรรพวิชาในสมัยแต่ก่อนส่วนใหญ่ก็อยู่ในวัดแทบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นพระท่านรักษาโรคบ้าง หรือ ทำน้ำมนต์บ้าง แต่ถ้ามองดูเจตนาของพระสงฆ์ในสมัยนั้น ท่านทำไปเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ญาติโยมที่มีความเจ็บป่วยไข้ไม่สบาย เหตุว่าการแพทย์ยังไม่เจริญเหมือนในสมัยปัจจุบัน หรือท่านจะให้ชาวบ้านในสมัยนั้นไปหารักษาที่ไหน ในเมื่อแหล่งสุดท้ายที่ญาติโยมในสมัยนั้นคิดถึงนั้นคือวัด จะให้พระท่านเมินเฉยเหรอ แบบนี้วัดกับบ้านก็ไปด้วยกันไม่ได้น่ะสิครับ

    ผมรู้ว่าท่านเก่งในพระไตรปิฎก แต่อย่าลืมว่าในพระไตรปิฎก มีคำว่าเมตตา ที่พระท่านทำเพราะท่านเมตตาต่อเหล่าเพื่อนมนุษย์สัตว์ร่วมสังคม กรุณา ท่านมีความสงสารที่เห็นชาวบ้านตกทุกข์ได้ยากแล้วท่านมีใจอยากช่วยเหลือ จะให้พระไล่กลับบ้านแล้วพูดว่า ทำไมไม่รักษาศีลห้า จะไม่โดนคุณไสย จะให้พระท่านทำแบบนี้เหรอ

    ในเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นว่านั้น ไม่ว่าจะการเจ็บป่วยไข้ไม่สบายอันเกิดจากสุขภาพของตัวเองก็ดี เกิดจากคุณคน คุณผี คุณไสยก็ดี ขั้นแรกต้องทำการรักษา ให้เขาหายจากทุกขเวทนาก่อนแล้วจากนั้นค่อยสอนเขาให้รักษาศีล ให้เขารู้ คนเราบางจำพวกไม่ทุกข์ไม่คิดถึงวัดคิดถึงพระหรอกครับ ท่านอย่าพูดแบบขวานผ่าซาก

    ดังนั้นการที่ท่านยกพระสูตรมาเสียดสีพระองค์นั้น หลวงพ่อองค์นี้มันเป็นการยกตนข่มท่านเสียมากกว่า แบบนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญว่าเป็นผู้แจ้งในอรรถในธรรมของพระองค์นะครับ รู้พระสูตรแล้วเอามาฟาดหัวคนนั้นทีคนนี้ที แบบนี้มันน่าอนาถใจนะครับ


    ปัญญาคนไม่เท่ากัน การเข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่เท่ากัน และความสามารถในการแจกแจงพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเหล่าพระสาวกก็ไม่เท่ากัน ท่านอย่าลืมข้อนี้ด้วยนะครับ บางคนมีอินทรีย์เหมาะแค่จะรับธรรมเล็กๆน้อยๆ บางคนมีอินทรีย์เหมาะในการที่จะรับข้ออรรถข้อธรรมอย่างอื่น เหมือนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูเหล่าเวไนยสัตว์ในยามใกล้รุ่งของทุกวันนั่นแหละครับ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ สาวกบางรูปที่มีความสามารถในการดับทุกข์ต้องปรับอินทรีย์ด้วยการเทศน์เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภพชาติ เรื่องราวต่างๆ เช่นเดียวกันกับกรณีนี้ การที่จะทำให้เขายึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสูงสุด การที่จะทำให้ชาวบ้านเชื่อในคุณของศีล สมาธิ ปัญญา ก็ต้องปรับอินทรีย์กันก่อนด้วยการรักษา รักษาโรคกายของเขา แล้วค่อยรักษาโรคใจ ถ้าโรคกายไม่หายกระวนกระวายในทุกขเวทนา แล้วจะสามารถรักษาโรคใจอันเกิดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองได้อย่างไร ขนาดปวดหัวบางคนกินยายี่ห้อนี้หาย บางคนกินยายี่ห้อนี่ไม่หาย พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน บางคนอาจจะถูกจริตกับปฏิปทาของหลวงพ่อองค์นี้ บางคนก็ถูกจริตกับปฏิปทาของหลวงพ่อองค์นั้น บางคนแจ่มแจ้งในพระสูตรเรื่องนี้ บางคนก็แจ่มแจ้งในพระสูตรเรื่องนั้น อย่าเอาบรรทัดฐานปัญญาของคุณไปดูถูกเหยียดหยามยกตนข่มท่านกับปัญญาของคนอื่นสิครับคุณ



    คำพูดของผมมีส่วนที่จะส่วนผิดหรือทำให้ขัดข้องหมองใจ ก็ต้องขออภัย ผมเองก็ยังมีปัญญาน้อย พร้อมน้อมรับคำตักเตือนจากผู้รู้ทั้งหลายด้วยใจที่มีแต่ความเมตตากับคนรู้น้อยคนนี้
     
  15. กุศโลบาย

    กุศโลบาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    323
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,608
    หลวงพ่อผู้เจริญ ก็ไม่ได้สอนให้กราบเฉยๆนี่ครับ ก็สอนให้ระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน ธรรมานุสติกรรมฐานและสังฆานุสติกรรมฐาน ครับ
    และหลวงพ่อท่านก็ไม่ได้สอนให้กราบอย่างเดียวไม่รักษาศีล ไม่ทำสมาธิ ภาวนา ท่านสอนหมดทุกอย่างตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเมตตาสอน
     
  16. พระอาจารย์ณัฐนนท์ สิรินันโท

    พระอาจารย์ณัฐนนท์ สิรินันโท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    649
    ค่าพลัง:
    +1,323
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า " เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาคือกรรม

    ถ้า....( รู้จำ )....ใคร ๆ ก็อาจสามารถ...( รู้จำ)...ตาม ๆ กันได้อยู่บ้างถ้า..( ทองจำกันจริง ๆๆ )..???

    แต่...( รู้จริง)...ไม่ใช้รู้จำ...จะมีนักปฏิบัติสักกี่คน..กี่ท่านที่รู้จริง ๆ...โดยที่ไม่ได้ทองจำ..แล้วปฏิบัติเองได้โดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้จริง...ก็เพราะมั่วแต่มาทองจำ...แต่ไม่เคยปฏิบัติตามให้รู้จริง ๆ...ก็เลยต้องมานั้งอ้างอิง...โดยที่ตัวเองก็...( รู้ไม่จริง )...ได้แต่( รู้จำ )...???

    ถ้ายังไม่รู้จริงก็อย่ามาพึ่งมาพูด...ไอ้ที่มาพูดอยู่นี้..รู้จำหรือว่ารู้จริง ...???

    พระพุทธเจ้าสยบโรคห่ากินเมือง

    พระไตรปิฎก

    พระปริตรบทว่าด้วยรัตนสูตรที่พระสงฆ์สวดทำน้ำมนต์ครั้งนี้ คือมนต์บทสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์ พระพุทธอนุชาเพื่อสยบโรคห่าในครั้งพุทธกาล

    สมัยนั้นนครไพศาลีเมืองหลวงของแคว้นวัชชีบังเกิดโรคห่ากินเมือง ภูตผีปีศาจก็เข้าแทรกซ้ำเติม คนตายศพกลาดเกลื่อนทั้งเมืองเต็มถนนหนทาง แม่น้ำลำคลอง

    บังเกิดเป็นตรีภัยขึ้นในแคว้นวัชชี คือ ภัยความฝืดเคือง ๑ อหิวาต์ ๑ และภูตผีปีศาจเข้าแทรก ๑ ราษฎรกลับหลงผิดว่าเหตุเกิดจากพระเจ้าแผ่นดิน

    ราษฎรชุมนุมประท้วงหาว่ากษัตริย์วัชชีประพฤติผิดประเพณี ทรงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบว่าพระองค์ทำผิดอะไร ก็ไม่พบความผิดใด ๆ จึงทำพิธีบวงสรวงก็ไม่หาย

    มีอำมาตย์คนหนึ่งกราบทูลว่าพระพุทธเจ้าทรงคุณวิเศษ สยบโรคห่าได้ ทรงประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ ขอให้กราบทูลเชิญมาช่วย

    กษัตริย์ลิจฉวีจึงตั้งคณะราชฑูตไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิศาลกษัตริย์แห่งแคว้นมคธขอพระราชานุญาตให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปช่วย

    พระเจ้าพิมพิศาลทรงโปรดให้คณะฑูตไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า คณะฑูตไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลเชิญเสด็จ เมื่อทรงทราบว่าพระเจ้าพิมพิศาลทรงอนุญาตแล้วก็ทรงรับอาราธนา

    พระเจ้าพิมพิศาลตามส่งเสด็จจนสุดชายแดน ถึงฝั่งแม่น้ำคงคา

    พระพุทธองค์เสด็จประทับเรือพระที่นั่งที่พระเจ้าพิมพิศาลจัดถวายและพระเจ้าพิมพิศาลเสด็จลุยลงแม่น้ำคงคา ประคองเรือที่ประทับส่งเสด็จจนถึงน้ำลึกเพียงพระศอ จึงเสด็จกลับ

    พระพุทธองค์เสด็จโดยทางชลมารคระยะทาง ๑ โยช ถึงท่าเรือในเขตไพศาลี ได้เสด็จขึ้นและเสด็จพุทธดำเนินโดยทางบกอีก ๓ วันถึงนครไพศาลี กษัตริย์ลิจฉวีและเหล่าเสนาอำมาตย์เฝ้ารับเสด็จ

    พระพุทธองค์เสด็จถึงชานพระนครพร้อมด้วยพระสาวกแล้ว ทรงประทับยืนเจริญสมาธิและเพ่งทอดพระเนตรไปที่ท้องฟ้า

    ทรงกระทำสัตยาธิษฐาน พระไตรปิฎกระบุเหตุการณ์ตอนนี้ว่า

    "ทันใดนั้นมหาเมฆก็ตั้งขึ้นดังแผ่นศิลาสีครามยาวเหยียดตลอดทิศปัจจิม แผ่ปกคลุมนครไพศาลีฟ้าส่งเสียงคำราม คำรณดังเปรี้ยงปร้าง.. แล้วฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาท่วมบ่าชะล้างซากศพทั่วทุกแห่งกวาดลงแม่น้ำสู่ทะเล ความร้อนแห่งอากศก็หายไปด้วยพุทธานุภาพ

    พระตถาคตเจ้ารับสั่งเรียกพระอานนท์ แล้วตรัสสั่งว่า

    "อานนท์ เธอจงเรียนมนต์รัตนสูตรนี้ แล้วจาริกไปในกำแพงเมืองเพื่อความสวัสดีจากภัยอันใหญ่ของราษฎรเถิด"

    ราตรีนั้นพระอานนท์เรียนมนต์รัตนสูตรทรงจำไว้เป็นอันดีแล้วประคองบาตรน้ำมนต์ของพระผู้มีพระภาคเจ้านำพระสงฆ์จาริกไปตามแนวกำแพงเมืองเป็นขบวนใหญ่

    กษัตริย์ลิจฉวีและขุนนางผู้ใหญ่ตามพระอานนท์ซึ่งท่องมนต์รัตนสูตรและประพรมน้ำมนต์ไปทั่วพระนคร โรคห่า ความฝืดเคืองและปีศาจทั้งหลายก็หายไปด้วยพระพุทธมนต์

    เหตุนี้รัตนสูตรจึงเป็นมนต์ครั้งแรกและบทแรกที่พระพุทธองค์ทรงสอนด้วยพระองค์เองสำหรับสยบโรคห่า ความฝืดเคืองและภูตผีทั้งปวง ซึ่งถือเป็นปริตรบทสำคัญที่สุด

    นับแต่นั้นมาก็เป็นแบบการเรียนมนต์ในพุทธศาสนาและตั้งเป็นพิธีกรรม จนรวบรวมเป็นบทสวดพระปริตร ๗ บทหรือ ๑๒ บท ดังที่เรียกว่าบทสวดมนต์ ๗ ตำนาน หรือ ๑๒ ตำนาน สำหรับพระสวดในกาลต่าง ๆ จนบัดนี้

    มนต์รัตนสูตรมีเนื้อหาสรุปว่าเป็นการกระทำสัตยาธิษฐาน ในประการต่าง ๆ แห่งพระรัตนตรัย ขออำนาจความสัตย์นั้นบันดาลให้สรรพโรค สรรพภัย พินาศไป และให้ชนทั้งหลายถึงซึ่งความสวัสดี

    ถือเป็นวิธีการทำอธิษฐานฤทธิ์ชนิดหนึ่ง

    ประเทศไทยตอนนี้เหมือนห่ากินเมือง....???

    ประสบภัย ๒ อย่างคือความฝืดเคือง และปีศาจ (การเมือง) เข้าแทรก ควรขอรับพระราชทานพิธีอาเพศพินาศเพื่อความสวัสดี

    ขออานุภาพแห่งการประกาศพระธรรมนี้ได้ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายถึงซึ่งความสวัสดี ปราศจากภัยทั้งปวงเทอญ. ( คนรู้ธรรมะเอาชนะคนอื่น...คนมีธรรมะเอาชนะตัวเอง..??? )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2014
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...