พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นิทานเต๋าเผชิญรับปีม้า'57 ชายชรา กับ 'อาชาที่เตลิดหนีไป!
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 มกราคม 2557 14:59 น.

    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000000503-


    [​IMG]
    ภาพเขียน 'ชาย กับ ม้า' ผลงานเอกของ 'จ้าว เมิ่งฝู่ (赵孟頫, ค.ศ. 1254–1322)จิตรกรผู้มีชื่อเสียงในยุคราชวงศ์หยวน คาดว่าเขียนขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1296 โดยเป็นส่วนหนึ่งของภาพที่วาดลงบนผืนม้วนกระดาษด้วยสีและน้ำหมึก มีขนาดกว้าง 30.2 ซม. ยาว 178.1 ซม.)

    'ชีวิตที่เป็นสุข ไร้ทุกข์' นั้นเป็นสิ่งปรารถนาของผู้คน แต่ในความเป็นจริงแต่ละวัน จิตใจต่างถูกกระทบด้วยเรื่องราวมากมาย ในโอกาสปีม้า 2557 นี้ มุมจีน ขอนำนิทานเต๋า เกี่ยวกับการวางความรู้สึกนึกคิดเผชิญชีวิต - ผ่านเคราะห์กรรมต่างๆ ของ ชายชรา กับ 'อาชาที่เตลิดหนีไป! ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในนิทานเต๋า ที่ถูกบอกเล่ากันอย่างแพร่หลายมาเสนออีกครั้ง โดยเรื่องเล่าต่อๆ กันมานั้น มีดังนี้

    ในชนบทจีนแห่งหนึ่ง มีชายเฒ่านามว่า 'เซ่ย์ เหวง ผู้ซึ่งทำงานหนักมาตลอดทั้งชีวิต เขามีลูกชายที่กตัญญู และมีม้าชั้นเลิศอยู่ 1 ตัว ซึ่งม้าเพศเมียตัวนี้ สวยงามและมีความสามารถอันหลากหลาย ด้วยเป็นม้าที่ฝึกมาดีแล้ว ช่วยงานเขาทั้งในการเดินทางไกล และทำไร่ไถนา ขนาดที่เพื่อนบ้านยังต่างชื่นชม และว่า เขาช่างเป็นคนที่โชคดีที่สุดในหมู่บ้าน

    ชายชราได้ยิน กลับบอกสั้นๆ เพียงว่า โชคดี น่ะหรือ? ใครเล่าจะบอกได้?

    อยู่มาจนเช้าวันหนึ่ง เมื่อเขาตื่นขึ้นมาได้พบว่า ม้าสารพัดนึกของเขาตัวนี้ เตลิดหายไปไร้วี่แวว เขาจึงต้องเดินเท้าไปไหนมาไหนแทน โดยไม่มีม้าตัวนั้นอีกต่อไป

    เมื่อเพื่อนบ้านเห็นความโชคร้ายที่เกิดขึ้นกับชายเฒ่า ต่างก็เวทนาและกล่าวแสดงความเห็นใจในความอาภัพอับโชค ช่างตีเหล็กบอกว่า ชายชราคงช้ำตรมแต่ต้องฝืนยิ้มรับโชคร้ายที่เกิดขึ้น

    "โชคร้ายน่ะหรือ? ใครเล่าจะบอกได้?" ผู้เฒ่าตอบ

    เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ม้าหายไป ชายเฒ่าก็ตื่นขึ้นมาพบว่า ม้าตัวเดิมนั้นได้กลับมาที่บ้านพร้อมกับนำม้าป่าหนุ่มอีก 1 ตัว ตามมาอยู่ด้วย เมื่อเป็นดังนั้น เขาจึงกลายเป็นผู้ที่ครอบครองม้าชั้นเลิศ แถมม้าป่าหนุ่มสูงสง่ามากอีกตัว

    ทันทีที่ข่าวการได้ม้ากลับคืน พร้อมกับม้าป่า แพร่อออกไป ชาวบ้านต่างมาร่วมยินดีกับชายชรา พร้อมกล่าวว่า เขาช่างเป็นชายเฒ่าผู้โชคดีเหลือเกิน

    เช่นเคย เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขากลับบอกสั้นๆ เพียงว่า โชคดีน่ะหรือ? ใครเล่าจะบอกได้?

    ชายชรา แม้จะได้ม้าป่าตัวใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ยินดี ด้วยพิจารณาตนเอง กับสิ่งที่ได้มานั้น เป็นเรื่องเกินกำลัง เขาแก่เกินกว่าจะฝึกม้าตัวนี้ ขณะที่ลูกชายของเขาปรารถนาจะครอบครอง แต่กลับกลายเป็นต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาหัก พิการตลอดชีวิตมานับแต่วันนั้น เพราะพยายามจะบังคับควบขึ่ จนถูกดีดตกจากหลังของมัน

    เพื่อนบ้าน ต่างมาแสดงความเสียใจกับเคราะห์กรรมบุตร และภาระฯ ที่เพิ่มขึ้นของชายชรา

    "เคราะห์กรรม น่ะหรือ? ใครเล่าจะบอกได้?" ชายเฒ่ากล่าว

    เวลาผ่านไป 1 ปี กองทัพในแว่นแคว้น ได้ประกาศระดมเกณฑ์กำลังพลคนหนุ่มไปรบกับข้าศึก ชายหนุ่มต่างถูกเกณฑ์ไปจนหมดหมู่บ้านฯ ทิ้งบิดา มารดาแก่ชรา เด็ก และผู้หญิง อยู่กันเพียงลำพัง คงเหลือเพียงลูกชายขาพิการของผู้เฒ่าม้าเคยหายคนนี้เอง ที่ไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปในสงครามซึ่งรบอย่างยืดเยื้อยาวนาน และปราชัยพ่ายแพ้ เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มของหมู่บ้านซึ่งถูกเกณฑ์ไปต่างเสียชีวิตหมดสิ้น ไม่มีใครได้กลับบ้านมาหาครอบครัวอีกเลย

    ในความเป็นเต๋านั้น สรรพสิ่งหรือทุกคู่ตรงข้ามล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น เมื่อละทิ้งชีวิตภายในได้ ก็ย่อมเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติภายนอกอีกต่อไป... 'การตามลิขิตกรรม' ของชายเฒ่า นับเป็นหนึ่งในหนทางสู่ความสงบ รอดพ้นจากเคราะห์กรรมที่ขึ้น-ลงของชีวิต


    [​IMG]

     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556

    -http://money.kapook.com/view79058.html-


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 อัตราภาษีใหม่ ต้องจ่ายหรือได้คืน อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 เท่าไหร่ เรามี โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 อัตราภาษีใหม่ มาฝาก

    ใกล้จะสิ้นปีแบบนี้ คนทำงานหลายคนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 อาจจะกำลังงง ๆ กับอัตราภาษีใหม่ ที่เพิ่งปรับใช้ จนต้องมองหา โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 กันยกใหญ่ เพราะนอกจากจะต้องคำนวณรายได้แล้ว ยังต้องหักส่วนลดหย่อนประจำปีด้วย

    ดังนั้นเพื่อให้การคํานวณภาษี 2556 ของคุณเป็นเรื่องง่ายขึ้น กระปุกดอทคอมก็ขอนำ โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 พร้อมอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 มาฝากให้คุณได้สะดวกสบายมากขึ้นกันจ้า

    อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556

    ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 มีการปรับลดฐานภาษีลงจากปีก่อน ทำให้อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีการปรับลดลง ดังนี้


    [​IMG]


    โปรแกรมคํานวณภาษี 2556

    - เครื่องมือคำนวณอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556
    -https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Tax-
    https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Tax

    - ดาวน์โหลดโปรแกรมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556
    -http://www.scbam.com/brochure/funds-tax56.xls?n=14032013-
    http://www.scbam.com/brochure/funds-tax56.xls?n=14032013

    การคำนวณภาษี

    สำหรับปีภาษี 2556

    (1) การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมิน มีสิทธิคำนวณภาษีโดยใช้อัตราภาษีใหม่ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2556 สำหรับการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายของ เดือนธันวาคม 2556 ผู้จ่ายเงินได้มีสิทธิคำนวณภาษีตามอัตราภาษีใหม่ เช่น การจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ให้นำเงินได้ที่จ่ายให้ผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงทั้งปี หักค่าใช้จ่ายในอัตราร้อยละ 40 ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 60,000 บาท แล้วนำไปหักลดหย่อน ตามที่ผู้มีเงินได้แจ้งไว้ เหลือเงินได้สุทธิเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีใหม่

    จากนั้นให้นำภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่หักไว้แล้ว ถึงเดือนพฤศจิกายน 2556 มาหักออก ถ้ามีภาษีที่ต้องเสียเพิ่มเติมเท่าใด ก็ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งไว้เท่านั้น ถ้าไม่มีภาษีที่ต้องเสียเพิ่มเติม (เนื่องจากจำนวนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่หักไว้แล้ว ถึงเดือนพฤศจิกายน 2556 มีจำนวนมากกว่าภาษีที่คำนวณได้) ผู้จ่ายเงินได้ ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายแต่อย่างใด

    ตัวอย่างการคำนวณภาษี

    นาย ก. สถานะโสด ได้เงินเดือน 30,000 บาท (360,000 บาทต่อปี) มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ตั้งแต่ เดือนมกราคม - เดือนพฤศจิกายน 2556 เดือนละ 1,000 บาท (รวมเป็น 11,000 บาท) แต่ในเดือนธันวาคม 2556 ต้องคำนวณภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราภาษีใหม่ ดังนี้

    รายได้ทั้งปี = 360,000 บาท

    หักค่าใช้จ่าย (ร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000 บาท

    หักลดหย่อน = 30,000 บาท

    เหลือเงินสุทธิ = 270,000 บาท

    รวมภาษีที่ต้องจ่าย คิดตามอัตราภาษีใหม่ (รายได้ 150,001-300,000 บาทต่อปี ต้องเสียภาษี 5%) = 6,000 บาท

    นำมาลบกับภาษี ณ ที่จ่ายที่หักไว้แล้วตามอัตราเดิม = 11,000 บาท

    จะสามารถขอคืนภาษีได้ = 5,000 บาท

    (2) การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91) ซึ่งคำนวณภาษี โดยนำเงินได้พึงประเมิน หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเหลือเท่าใดเป็นเงินได้สุทธิ ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีใหม่

    ได้รู้จักกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 พร้อมโปรแกรมคำนวณภาษีอัตราใหม่แล้ว ก็อย่าลืมใส่ข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการชำระภาษีนะคะ


    โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ชมเปาะ ด.ต.สุเทพ วารีหลั่ง เก็บขวดน้ำขาย ดีกว่าตั้งด่านรีดไถ

    -http://hilight.kapook.com/view/95710-

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก กองทัพนิรนาม

    ด.ต.สุเทพ วารีหลั่ง เก็บขวดน้ำพลาสติกไปขายหารายได้พิเศษ ชาวเน็ตชื่นชมทำดี ไม่ต้องไปตั้งด่านรีดไถเงินชาวบ้าน

    เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2557 ชาวไซเบอร์ได้แชร์ภาพตำรวจนายหนึ่งกำลังตระเวนรวบรวมขวดน้ำพลาสติกที่อยู่ข้างถนนมาใส่ถุง แล้วผูกไว้กับรถจักรยานยนต์จนทั่วคัน เพื่อนำไปขายหารายได้เสริม โดยมีการระบุข้อความว่า ตำรวจนายนี้คือ ด.ต.สุเทพ วารีหลั่ง ผบ.หมู่ ป. สน.สำเหร่ กองพันราชวิถี บก.น.8

    ทั้งนี้ ในแฟนเพจ "กองทัพนิรนาม" ซึ่งเป็นผู้นำภาพมาเผยแพร่ ได้เขียนข้อความชื่นชม ด.ต.สุเทพ ว่า เป็นตำรวจดี หารายได้พิเศษด้วยการเก็บขวดน้ำไปขาย ไม่จำเป็นต้องไปตั้งด่านรีดไถเงินจากประชาชน

    "ตำรวจดี เราก็ชื่นชมนะ ... นี่ต่างหากศักดิ์ศรีคน ไม่ยอมทำตัวต่ำให้ใครดูถูกว่าทุจริต ศักดิ์ศรีอยู่ที่เราทำตัว เค้าก็ต้องเลี้ยงครอบครัวเหมือนกันน่ะ..###

    เพื่อน ๆ ตำรวจแดงครับ ดูพี่คนนี้บ้างสิครับ หากินสุจริต ไม่ต้องเก็บส่วยแบบคุณ ไม่ต้องทำนาบนหลังคนแบบคุณ"

    สำหรับภาพนี้ได้ถูกส่งต่อกันไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ตเลยทีเดียว
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เที่ยวกรุงส่งท้ายปี
    โดย ลลิล สรรทราย

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1388468700&grpid=&catid=09&subcatid=0901-

    [​IMG]

    เทศกาลส่งความสุข... ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่หลายคนตั้งตารอคอย เพราะจะได้หยุดยาว นอนอยู่บ้านหลายวันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกดุ

    ส่วนอีกหลายคน ยังต้องใช้ชีวิตในเมืองกรุงเพื่อทำงานแทนคนที่หยุดไป เวลาของการเที่ยวท่อง พักผ่อนให้หายเครียดจึงมีน้อยกว่าคนอื่นๆ

    ... แต่การเที่ยวกรุงช่วงปีใหม่นี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ รถราที่น้อยว่าปกติ (นิดหนึ่ง)

    เริ่มต้นวันส่งท้ายปีเก่าด้วยกิจกรรม "นบพระนวรัฐพระปฏิมา 9 แผ่นดิน"

    เป็นกิจกรรมพิเศษที่กรมศิลปากรจัดขึ้นเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลในช่วงปีใหม่ อัญเชิญพระพุทธรูปวังหน้ามาให้ประชาชนได้สักการะตั้งแต่วันคริสต์มาสที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 26 มกราคม 2557 ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

    พระพุทธรูปทั้ง 9 องค์ ประกอบด้วย "พระพุทธรูปแสดงธรรม" ศิลปะลังกาสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 เหมือนได้ขอพรพระเจ้า, "พระพุทธรูปประทานธรรม" นำความเจริญรุ่งเรืองสและสิริมงคลแก่ชีวิต, "พระธยานิพุทธไวโรจนพุทธ" ศิลปะศรีวิชัย เกิดปัญญาและทางสว่างแก่ชีวิต, "พระไภษัชยคุรุ" กำจัดและพ้นโรคภัยทั้งทางกายและทางใจ, "พระหายโศก" หมดทุกข์หมดโศก, "พระพุทธสิหิงค์" ปกป้องสิ่งไม่ดีทั้งปวง, "พระชัยเมืองนครราชสีมา" ขจัดอุปสรรคและอำนวยให้ประสบความสำเร็จ, "พระพุทธรูปมารวิชัย" ผู้บูชาจะมีชัยชนะด้วยพระบารมี และ "พระหยกรัสเซีย" ทำให้มีโชคลาภ



    ใครที่ไม่คุ้นชินกับเส้นทาง แนะให้นั่งรถเมล์มาลงป้าย "สนามหลวง" เดินข้ามมาฝั่ง มธ.ท่าพระจันทร์ แล้วเดินต่อไปไม่ถึง 100 เมตรก็ถึง

    อ่อ ลืมบอก ที่นี่เขาปิดวันที่ 3 และ 11 ม.ค. ส่วนวันที่ 7 ม.ค. 2557 นั้นเปิดครึ่งวัน

    ใครกลัวจะหิวแนะให้หาอะไรรองท้องย่านท่าพระจันทร์ เพราะร้านอาหารแถวนี้หาอร่อยๆ ง่าย เคยคิดเอาเอง ว่าถ้าไม่อร่อยคงอยู่ไม่ได้เป็นแน่

    หรือจะไป "ตลาดน้ำตลิ่งชัน" ตลาดน้ำที่ยังคงวิถีชีวิตริมคลอง ตั้งอยู่ริมคลองละแวกสำนักงานเขตตลิ่งชัน

    บรรดาพ่อค้าแม่ขายจะพายเรือออกจากบ้าน นำผลิตผลจากเรือกสวนไร่นามาขายแก่บรรดานักท่องเที่ยว บางส่วนตั้งร้านขายในโป๊ะในคลองบางกอกน้อย นอกจากนี้ยังมีร้านขายไม้ดอกไม้ประดับ ของตกแต่งบ้านและสวน

    โดยจะเปิดช่วงวันหยุดราชการและเสาร์อาทิตย์ตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น

    ใครอยากลิ้มรสของอร่อย เคล้าลมเย็นๆ ท่ามกลางบรรยากาศแสนจะเป็นกันเอง เชิญมา

    [​IMG]

    ริมคลองสายเดียวกัน ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปะ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี" ซึ่งจัดแสดงเรือพระราชพิธี 8 ลำที่ใช้ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค

    ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือครุฑเหินเห็จ เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรืออสุรวายุภักษ์ และเรือเอกไชยเหินหาว

    นอกจากนี้ยังมีเครื่องใช้และเครื่องประกอบที่ใช้ในพระราชพิธีจัดแสดงอยู่ด้วย ทั้งเรือพายชนิดต่างๆ เครื่องแต่งกายของฝีพาย รวมถึงบัลลังก์บุษบก บัลลังก์กัญญา

    ใครที่นำรถส่วนตัวมาเองคงจะลำบากสักหน่อย แนะให้นั่งเรือไปลงที่ท่าปิ่นเกล้า จากนั้นเดินลัดเลาะไปในย่านชุมชนโดยไม่ต้องกลัวหลง เพราะมีป้ายบอกทาง หรือจะถามชาวบ้านแถวนั้นก็ได้ เพราะเขาเป็นมิตรสุดสุด

    หากมองว่าพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวไร้ชีวิตชีวา แนะให้ไป "มิวเซียมสยาม" พิพิธภัณฑ์มีชีวิตภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ

    จุดขายของที่นี่ คือการสร้างประสบการณ์สดใหม่ในการชมพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ต้องการให้ลูกหลานเกิดจิตสำนึกในการรู้จักตนเอง เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมโลก ผ่านนิทรรศการถาวร "เรียงความประเทศไทย", นิทรรศการหมุนเวียน และกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์

    ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ "มิวเซียมสยาม" เปิดให้บริการตามปกติ และในวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ถึง วันที่ 1 มกราคม 2557 มิวเซียมสยามเปิดให้ "เข้าชมฟรี" เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แด่ทุกท่าน (ปิดวันจันทร์ตามปกติ)

    ถือเป็น "ของขวัญ" ที่เรามอบให้กับตัวเองได้ง่ายๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตี่จู้เอี๊ยะ เทพอารักษ์ประจำบ้าน ตามความเชื่อของชาวจีน

    -http://hilight.kapook.com/view/96000-

    [​IMG]



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ตี่จู้เอี๊ยะ เทพประจำบ้านผู้ปกปักอารักษ์คนในบ้าน ชาวจีนนิยมตั้งตี่จู้เอี๊ยะไว้ในบ้านเพื่อคุ้มครองและเสริมความสมบูรณ์พูนสุขแก่ผู้อาศัย การตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ทำได้อย่างไร และควรไหว้ตี่จู้เอี๊ยะอย่างไร มาติดตามกันเลย

    ชาวจีนและเหล่าลูกหลานไทยเชื้อสายจีนมักจะมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชะตาชีวิต รวมทั้งเทพเจ้าผู้มีหน้าที่อารักษ์พิทักษ์มนุษย์กันมาเนิ่นนานตั้งแต่อดีต ดังที่เราจะเห็นได้จากสิ่งที่สะท้อนความเชื่อเหล่านี้ของชาวจีน ผ่านสิ่งของหรือเทศกาลต่าง ๆ ที่ชาวจีนนิยมทำ เช่น การไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล และสิ่งหนึ่งที่เรามักจะพบเห็นโดยทั่วไปในบ้านเรือนของลูกหลานชาวจีน ก็คือ ตี่จู้เอี๊ยะ หรือที่สถิตย์ของเทพอารักษ์ผู้ปกปักรักษาคนในบ้านเรือนนั้น ๆ นั่นเอง

    ตามความเชื่อของจีน ตี่จู้เอี๊ยะ คือเทพที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด ผู้ทำหน้าที่ดูแลปกปักรักษาผู้อยู่อาศัยในบ้าน ดังนั้นการที่เจ้าของบ้านจัดสถานที่อยู่อาศัยให้แก่เทพที่คุ้มครองเรา จึงนำมาซึ่งความสมบูรณ์พูนสุขของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อด้วยว่าหากมีการวางตำแหน่งตี่จู้เอี๊ยะได้อย่างถูกต้อง เทพตี่จู้เอี๊ยะจะช่วยเสริมชะตาของเจ้าของบ้าน ทั้งในเรื่องโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจบารมี สุขภาพร่างกาย รวมถึงความผาสุขของผู้อาศัยในบ้านด้วย

    การตั้งตี่จู้เอี๊ยะ

    สำหรับการตั้งตี่จู้เอี๊ยะนั้น มีหลักการเดียวกับการตั้งศาลพระภูมิของคนไทย คือตั้งได้เฉพาะชั้นล่าง เพื่อให้ได้โชคลาภมาก และยิ่งตั้งได้ติดพื้นจะยิ่งดีเพราะจะได้รับพลังจากธาตุดินได้ดีกว่า โดยตี่จู้เอี๊ยะนั้นสามารถตั้งไว้ในบริเวณใดของบ้านก็ได้ โดยมีหลักการตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ดังนี้

    ทิศด้านหลังตี่จู้เอี๊ยะ ไม่ควรอยู่ชิดประตู รวมถึงบันได ห้องน้ำ และห้องครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรตรงกับเตาไฟ ควรวางตี่จู้เอี๊ยะพิงด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ควรเคลื่อนย้าย

    ทิศด้านหน้าตี่จู้เอี๊ยะ ควรเป็นพื้นที่โล่ง เพื่อรองรับโชคลาภบารมีที่จะเข้ามา และมีแสงสว่างที่เพียงพอ

    ทิศด้านบนตี่จู้เอี๊ยะ ไม่ควรอยู่ใต้ขื่อคานหรือมีสิ่งใดวางทับ เพราะจะเป็นการลดพลังของตี่จู้ได้

    ทิศด้านใต้ตี่จู้เอี๊ยะ ควรวางตี่จู้เอี๊ยะตั้งติดดิน และสามารถนำแผ่นเงิน แผ่นทอง หรือเพชรนิลจินดา มาใส่ไว้ด้านใต้ได้ เพราะเป็นวัตถุธาตุดินช่วยเสริมพลังของเทพตี่จู้เอี๊ยะได้


    ของไหว้ตี่จู้เอี๊ยะ

    1. กระถางธูป หากเป็นกระถางธูปใหม่ จะใช้ โหง่วเจ่งจี้ หรือธัญพืช 5 อย่างปนลงไปในผงธูป ที่ด้านข้างกระถางควรแปะผ้าแดงที่เรียกว่า อั่งติ้ว เอาไว้ด้วย และมีผงขี้เถ้าสำหรับกระถางธูป เพื่อเสริมการค้าขาย เจริญรุ่งเรือง

    สำหรับ โหง่วเจ่งจี้ ประกอบด้วย

    - ข้าวเปลือก ช่วยเสริมความเจริญงอกงาม หรือ ข้าวสาร ช่วยเสริมความร่ำรวย มั่งคั่ง
    - ข้าวเหนียวแดง ช่วยเสริมความโชคดี
    - เมล็ดถั่วเขียว ช่วยให้มีลูกหลานมากมาย อุดมสมบูรณ์
    - เมล็ดถั่วแดง เสริมความเป็นสิริมงคล ลาภยศ
    - เม็ดสาคู ช่วยเสริมความสุข

    2. ธูป 5 ดอก

    3. เหรียญสิบใหม่ ๆ 5 เหรียญ วางใส่ในกระถางธูปหรือใต้กระถางธูปก็ได้ เพื่อช่วยเสริมเงินทองให้ไหลมาเทมา

    4. แจกันพร้อมดอกไม้สด 1 คู่

    5. น้ำชา 5 ถ้วย

    6. เหล้า 5 ถ้วย

    7. ผลไม้ 5 อย่าง

    8. ฮวกก้วย 1 ชิ้น

    9. ขนมอี้ หรือสาคูแดง 5 ถ้วย

    10. ขนมจันอับ

    11. ข้าวสวย 5 ถ้วย

    12. เจฉ่าย

    13. ซาแซ หรือ โหง่วแซ

    ซาแซ คือของไหว้ชุดเล็ก ประกอบด้วย ของคาว 3 อย่าง โดยมี ซาเปี้ย และ ซาก้วย หรือของหวาน 3 อย่างกับผลไม้ 3 อย่าง ไหว้พร้อมกัน

    โหง่วแซ คือของไหว้ชุดใหญ่ เป็นของคาว 5 อย่าง ประกอบด้วย หมู ไก่ ตับ ปลา และกุ้งมังกร แต่เนื่องจากกุ้งมังกรมีราคาแพงและหาซื้อยาก จึงนิยมไหว้เป็ดหรือปลาหมึกแห้งแทน

    [​IMG]



    การประกอบพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะ

    ผู้ที่จะทำพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะนั้น จะต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด และแต่งกายให้เรียบร้อย โดยผู้ที่สามารถทำพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะเข้าบ้านได้ คือเจ้าของบ้านหรือผู้อาวุโสในบ้าน หรือเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าของบ้านให้เป็นผู้ทำการแทน โดยการแต่งตั้งนั้นทำได้โดย ให้เจ้าของบ้านกล่าวว่า "ข้าพเจ้า ขอมอบให้ (ชื่อผู้ทำการแทน) เป็นผู้ทำการเชิญตี่จู้เอี๊ยะเพื่อมาสถิตย์อยู่ในบ้านนี้แทนข้าพเจ้า"

    สำหรับขั้นตอนในการประกอบพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะนั้น เริ่มจากให้ผู้อัญเชิญ จุดเทียนและธูป 5 ดอก แล้วคุกเข่าที่โต๊ะบูชาเทพยาดาฟ้าดินที่อยู่หน้าบ้าน พร้อมกับกล่าวเปล่งเสียงว่า

    "วันนี้ เป็นวันที่... ซึ่งเป็นวันมงคลของข้าพเจ้า .... เป็นเจ้าของบ้าน/ผู้อาวุโสของบ้าน/ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ทำการเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะ บ้านเลขที่.... ขออัญเชิญองค์เทพยาดาฟ้าดินมาเป็นสักขีและเป็นประธานในการทำพิธีตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ในวันนี้ ขอให้องค์เทพยาดาฟ้าดินช่วยนำองค์ตี่จู้เอี๊ยะที่ศักดิ์สิทธิ์และมีบารมีสูงส่งเพื่อมาสถิตย์อยู่ ณ เคหสถานที่ได้ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อมาปกปักรักษาคุ้มครองเจ้าของบ้านและสมาชิกทุกคนที่อยู่ในบ้าน ให้มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์พูนสุข มั่งคั่ง ร่ำรวย และโชคดีตลอดไป"

    เมื่อกล่าวจบ ให้ผู้อัญเชิญปักธูปทั้ง 5 ดอกลงในกระถางธูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ รอกระทั่งธูปเหลือครึ่งดอก จึงเข้ามาในบ้านเพื่อจุดเทียนแดงและธูป 5 ดอกที่ตี่จู้เอี๊ยะ แล้วถือธูปเดินออกมาคุกเขาต่อหน้าโต๊ะบูชาเทพยดาฟ้าดินหน้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง บอกกล่าวด้วยการเปล่งเสียงอีกครั้งว่า

    "บัดนี้ได้ถึงเวลาอันเป็นมงคลแล้ว ขออัญเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะเข้าสู่เคหะสถานที่ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อปกปักรักษาคุ้มครองทุกคนในบ้านให้มีความสุขตลอดไป"

    จากนั้นผู้อัญเชิญนำธูปทั้ง 5 ดอก มาปักที่กระถางธูปของตี่จู้เอี๊ยะ และแนะนำสมาชิกทุกคนในบ้าน ด้วยการบอกชื่อและนามสกุล อายุ อาชีพ ฯลฯ ก่อนเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะมารับเครื่องสักการะบูชา โดยเอ่ยชื่อเครื่องสักการะบูชาทั้งหมด แล้วกลับออกมาคุกเข่า กราบของคุณเทพยดาฟ้าดิน เป็นอันเสร็จพิธี


    [​IMG]การไหว้ ตี่จู้เอี๊ยะ

    การไหว้ตี่จู้เอี๊ยะหลังจากได้เชิญตี่จู้เอี๊ยะเข้ามาสถิตย์ในบ้านแล้ว มี 2 แบบด้วยกัน คือการไหว้ทุกวัน กับการไหว้ตามวันพระจีน ซึ่งจะนิยมไหว้ด้วยของไหว้ชุดเล็ก ขณะที่การไหว้ในโอกาสเทศกกาลอื่น ๆ อย่างช่วง ตรุษจีน สารทจีน และการไหว้รับเทพ จะนิยมไหว้ด้วยของไหว้ชุดใหญ่

    1. การไหว้ทุกวัน มีของไหว้ประกอบด้วย

    น้ำชา 5 ถ้วย
    น้ำเปล่า 3 ถ้วย
    กระดาษไหว้ 1 ชุด

    วิธีการไหว้ให้จุดธูป 7 ดอก ไหว้เจ้าที่ภายในบ้านก่อน เมื่ออธิษฐานเสร็จให้ปักธูปที่กระถาง 5 ดอก ส่วนอีก 2 ดอกนำมาปักที่ประตูหน้าบ้านทั้งด้านซ้ายและขวา เมื่อเสร็จแล้วให้ลากระดาษไหว้ไปเผาหน้าบ้าน โดยห้ามเขี่ยขี้เถ้าระหว่างเผา ต้องปล่อยให้มอดไปเอง

    2. การไหว้ตามวันพระจีน (ชิวอิก 1 ค่ำ และ จับโหง่ว 15 ค่ำ) มีของไหว้ประกอบด้วย

    น้ำชา 5 ถ้วย
    น้ำเปล่า 3 ถ้วย
    ขนมกูไซ่ สีแดง (ถ่อก้วย หรืออั่งก้วย)
    ส้ม 5 ลูก
    กระดาษไหว้ 1 ชุด

    วิธีการไหว้ให้ไหว้เหมือนการไว้ประจำวัน แต่หลังจากไหว้หน้าบ้านเสร็จให้รอสักครู่ จึงค่อยลาของไหว้และลากระดาษมาเผาหน้าบ้าน


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    bjmarble.com
    -http://www.bjmarble.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539420644-
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    春节祝福话 : คำมงคลวันตรุษจีน

    -http://www.jiewfudao.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99.html-


    วันพุธที่ 18 มกราคม 2555
    -http://www.jiewfudao.com-


    "วันตรุษจีน" เป็นเทศกาลมหามงคลที่สำคัญที่สุดของชาวจีน มีชื่อเรียกถึงความหมายของคำว่า "ตรุษจีน" ไว้หลายแบบ ส่วนใหญ่แล้วในประเทศจีนจะเรียกวันตรุษจีนว่า ชุนเจี๋ย(春节) หมายถึง เทศกาลแห่งฤดูใบไม้ผลิ เพราะเป็นการบ่งบอกสัญญาณว่า เมื่อตรุษจีนเวียนมาถึง แสดงว่า "ฤดูใบไม้ผลิ" หรือชุนเทียน(春天) ที่มีอากาศอันแสนอบอุ่นกำลังจะมาถึงแล้ว

    การนับวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน หรือ "วันตรุษจีน" นั้น จะนับวันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติจีนเป็นวันแรกของปี ในสมัยโบราณนั้น นอกจากคำว่า "ชุนเจี๋ย" แล้ว ยังมีคำเรียกอื่น ๆ อีก อาทิ เอวี๋ยวต้าน(元旦) (ปัจจุบันจะหมายถึง วันขึ้นปีใหม่สากล วันที่ 1 มกราคม) , เอวี๋ยนเฉิน (元辰) และ เอวี๋ยนเจิ้ง(元正) เป็นต้น ในวันนี้จะเป็นวันที่ชาวจีนให้ความสำคัญมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของบรรดาเทศกาลต่าง ๆ เพราะเชื่อกันว่า วันแรกซึ่งเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ จะทำให้ชีวิตของคนเราได้พบกับสิ่งใหม่ ๆ สิ่งดี ๆ และนำโชคนำลาภมาสู่ตนเอง

    ดังนั้น จึงทำให้เกิดเป็นคติความเชื่อที่ว่า ในวันตรุษจีนนี้ จะต้องสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส พูดจาไพเราะอ่อนหวาน และเมื่อไปเยี่ยมเยือนญาติผู้ใหญ่หรือพบปะเพื่อนสนิทมิตรสหาย จะนิยมอวยพรในสิ่งดี ๆ ให้แก่กันและกัน ถ้อยคำเหล่านั้นจึงล้วนเป็นคำมงคลที่มีความหมายอันดีงาม และนี่เองที่เป็นที่มาของ "คำมงคลวันตรุษจีน"(春节祝福福语) ที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจีนที่พิเศษกว่าชนชาติใด ๆ

    คำมงคลวันตรุษจีนนั้นมีอยู่มากมายนับร้อยนับพันคำ ในที่นี้จึงขอยกเพียงตัวอย่างคำมงคลวันตรุษจีนยอดนิยมที่มักเป็นอักษรมงคล ที่คุ้นหูและสามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ ในช่วงเทศกาลวันตรุษจีน ดังนี้

    [​IMG]

    [​IMG]

    ภาษาจีน



    PINYIN


    คำอ่านไทย


    คำแปล

    恭喜发财


    gōng xǐ fā cái


    กง สี่ ฟา ไฉ


    ขอให้ร่ำรวยมั่งคั่งยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    恭贺新禧


    ɡōnɡ hè xīn xǐ


    กง เฮ้อ ซิน สี่


    ขอให้มีแต่เรื่องมงคลน่า

    ยินดีปรีดา

    新年快乐


    xīn nián kuài lè


    ซินเหนียน ไคว้เล่อ


    สุขสันต์วันปีใหม่

    新年进步


    xīnnián jìnbù


    ซินเหนียน จิ้นปู้


    ขอให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปในปีใหม่นี้

    新春大吉


    xīn chūn dà jí


    ซิน ชุน ต้า จี๋


    ขอให้ปีใหม่นี้ประสบ

    พบมหามงคล

    心想事成


    xīn xiǎng shì chéng


    ซิน เสี่ยง ซื่อ เฉิง


    ขอให้คิดในสิ่งใด สำเร็จในสิ่งนั้น

    大吉大利


    dà jí dà lì


    ต้า จี๋ ต้า ลี่


    ขอให้มีมหามงคล กำไรมีแต่เพิมพูน

    万事如意


    wàn shì rú yì


    ว่าน ซื่อ หยู อี้


    ขอให้เรื่องราวมากมาย สำเร็จสมดั่งใจหมาย

    一帆风顺


    yī fán fēng shùn


    อี้ ฝาน เฟิง ซุ่น


    ขอให้ประสบพบแต่

    ความราบรื่น

    一本万利


    yī běn wàn lì


    อี้ เปิ่น ว่าน ลี่


    ขอให้ลงทุนสิ่งใด กำไรมากมหาศาล

    四季平安


    sì jì píng ān


    ซื่อ จี้ ผิง อัน


    ขอให้แคล้วคลาด

    ตลอดปี

    五福临门


    wǔ fú lín mén


    อู่ ฝู หลิน เหมิน


    ขอให้ความสุขทั้งมวลมา

    เยือนถึงที่

    身体健康


    shēn tǐ jiàn kāng


    เซิน ถี่ เจี้ยน คัง


    ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ร่างกายสมบูรณ์

    富贵吉祥


    fùguì jí xiánɡ


    ฟู่ กุ้ย จี๋ เสียง


    ขอให้มีแต่สวัสดิมงคล โชคดี ร่ำรวย

    财源广进


    cáiyuán guǎng jìn


    ไฉ เอวี๋ยน กว่างจิ้น


    ขอให้มีทุนทรัพย์กว้าง

    ใหญ่ไพศาล

    金玉满堂


    jīn yù mǎn tánɡ


    จิน อวี้ หม่านถัง


    ขอให้มีทรัพย์สมบัติ

    เต็มบ้านเต็มเรือน

    开张骏发


    kāi zhāng jùn fā


    คาย จาง จวิ้น ฟา


    ขอให้เริ่มงานใหม่

    มีแต่รุ่งเรือง

    开门大吉


    kāi mén dà jí


    คาย เหมิน ต้า จี๋


    ขอให้เปิดประตูรับแต่

    สิ่งมหามงคล

    货如轮转


    huò rú lún zhuàn


    ฮั่ว หยู หลุน จ้วน


    ขอให้ค้าขายคล่องดั่งล้อ

    หมุนไปข้างหน้า

    岁岁平安


    suì suì píng ān


    ซุ่ย ซุ่ย ผิง อัน


    ขอให้ตลอดชีวิตมีแต่

    สุขสันต์ร่มเย็น

    生活美满


    shēng huó měimǎn


    เซิง หัว เหมย หม่าน


    ขอให้ชีวิตเต็มไปด้วย

    สิ่งสวยหรู

    年年有余


    nián nián yǒu yú


    เหนียน เหนียน โหย่ว อวี๋


    ขอให้ทุก ๆ ปีเหลือกินเหลือใช้

    生意兴隆


    shēng yi xīng lóng


    เซิง อี้ ซิง หลง


    ขอให้การค้ามีแต่

    เจริญรุ่งเรือง

    花开富贵


    huā kāi fù guì


    ฮวา คาย ฟู่ กุ้ย


    ขอให้มั่งคั่งร่ำรวยวาสนา

    ดังดอกไม้ผลิบาน

    迎春接福


    yíng chūn jiē fú


    อิ๋ง ชุน เจีย ฝู


    ขอให้รับปีใหม่รับ

    ความสุขสม

    上落平安


    shàng luò pínɡ ān


    ซ่าง ลั่ว ผิง อัน


    ขอให้ขึ้นเหนือล่องใต้

    มีแต่สวัสดิภาพ

    出入平安


    chū rù píng ān


    ชู ยู่ ผิง อัน


    ขอให้เดินทางไปกลับ

    โดยปลอดภัย

    工作顺利


    gōngzuò shùnlì


    กงจั้ว ซุ่น ลี่


    ขอให้ทำงานโดยราบรื่น

    事事如意


    shì shì rú yì


    ซื่อ ซื่อ หยู อี้


    ขอให้ทุก ๆ เรื่อง สมหวังดั่งใจหมาย

    步步高隆


    bù bù gāo lóng


    ปู้ ปู้ เกาหลง


    ขอให้ทุกก้าวย่างมีแต่รุ่งเรือง

    合家平安


    hé jiā píng ān


    เหอ เจียะ ผิง อัน


    ขอให้ทุก ๆ คนมีแต่ความสงบร่มเย็น





    อ้างอิงจาก



    - หนังสือ 108 สิ่งมิ่งมงคลจีน – ปิยะแสง จันทรวงศไพศาล

    - -http://www.enet.com.cn/life/xiuxian/cultrue/201101/20110131455885_1.shtml-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • new year1.png
      new year1.png
      ขนาดไฟล์:
      584.6 KB
      เปิดดู:
      3,218
    • new year2.png
      new year2.png
      ขนาดไฟล์:
      453.2 KB
      เปิดดู:
      2,756
    • new year3.png
      new year3.png
      ขนาดไฟล์:
      282.3 KB
      เปิดดู:
      1,414
    • new year4.png
      new year4.png
      ขนาดไฟล์:
      577.5 KB
      เปิดดู:
      1,514
    • new year5.png
      new year5.png
      ขนาดไฟล์:
      338 KB
      เปิดดู:
      1,425
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต้อนรับตรุษจีน ด้วย 8 ซุปมงคลรสเลิศ
    ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มกราคม 2557 23:49 น.

    -http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008258-

    [​IMG]

    ตรุษจีนนับเป็นวันสำคัญของชาวเชื้อชาติจีนทั้งหลาย เนื่องด้วยเป็นวันขึ้นปีใหม่ที่เป็นจุดเริ่มต้นสิ่งดีๆ ของชีวิตไปตลอดทั้งปี ดังนั้นในวันนี้จึงมีเคล็ดความเชื่อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งการ ความประพฤติ กิริยามารยาท ไปจนถึงอาหารการกิน ที่ต่างต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษแตกต่างไปจากทุกวัน

    โดยอาจารย์วิศิษฎ์ เตชะเกษม กูรูด้านโชคลาง ฮวงจุ้ย ซินแสชื่อดัง ได้เล่าว่า “คนจีนถือว่า ปีใหม่ หมายถึงการเริ่มชีวิตใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ และมีปรารถนามงคลชีวิต 5 ประการ คือ 1. ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรง 2. ขอให้บุตรหลานเป็นคนดี 3. ขอให้มีกิจการงานที่มั่นคง 4. ได้สร้างคุณความดีให้กับชีวิต 5.จากไปอย่างสงบสุข ดังนั้นการจะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ ต้องเริ่มจากปีเก่าด้วยการทำความสะอาดบ้านเรือนที่พักอาศัย และเริ่มต้นปีใหม่ด้วย

    [​IMG]

    การรับประทานอาหารดีๆ ที่เป็นมงคลอุดมสมบูรณ์มีคุณค่า พูดจาเป็นมงคล ยิ้มแย้มกับชีวิตใหม่ คนจีนบอกว่า เมื่อทำชีวิตให้ดีแล้วจะร่ำรวย ซึ่งความร่ำรวยที่ยิ่งใหญ่เหนืออื่นใดก็คือการมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งเริ่มต้นจากการรับประทานอาหารที่ดีเป็นมงคล หากสังเกตจะรู้ว่า โต๊ะเซ่นไหว้ รวมทั้งโต๊ะอาหาร มักมีซุปหรืออาหารชามน้ำเข้ามาเสริมอยู่เสมอ เพราะซุปหมายถึงความราบรื่นเป็นสุข นั่นเอง”

    ดังนั้นตรุษจีนปีนี้ ทางคนอร์จึงได้จับมือกับอาจารย์วิศิษฎ์ และกูรูด้านอาหาร เชฟตั๊ก นภัสกร มิตรเอม นำความชำนาญของทั้ง 2 ท่านมารวมกันสร้างรรค์ 8 เมนูซุปมงคลที่คัดสรรเอาความอร่อยมาผสมผสานกับวัตถุดิบความหมายดี ออกมาเป็นเมนูชั้นเลิศ อย่าง

    [​IMG]
    ซุปมั่งมี - ขาหมูตุ๋นยาจีนเห็ดหอม
    1.ซุปมั่งมี - ขาหมูตุ๋นเห็ดหอมยาจีน

    ความมั่งมีนั้นมาจากส่วนประกอบของ หมู หมายถึงความอุดมสมบูรณ์เหลือกินเหลือใช้ ผสานด้วยคุณค่า ขาหมูกับมัน บำรุงกล้ามเนื้อ บำรุงเส้นเอ็น เมื่อต้มให้สุกและตุ๋นต่อนาน คอเลสเตอรอลจะลดลง เก๋ากี้ช่วยบำรุงสายตา บำรุงไต เพิ่มวิตามินเอ เห็ดหอม มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคมะเร็ง และเห็ดหอมยังหมายถึงชื่อเสียงขจรไกลอีกด้วย

    วิธีปรุง: นำขาหมูย่างไฟหรือทอดสุกใส่ลงหม้อเติมน้ำให้ท่วมขาหมูแล้ว ใส่เครื่องยาจีน ใสน้ำตาลกรวด น้ำตาลปีบ ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ซอสปรุงรส รากผักชี กระเทียม พริกไทย เห็ดหอมแห้งแช่น้ำ และเม็ดเก๋ากี้ จากนั้นเคี่ยวขาหมูไฟแรงปล่อยให้เดือดประมาณ 15 นาที แล้หรี่ไฟเหลือปานกลางค่อนข้างอ่อน ใส่คนอร์ซุปหมูก้อน เคี่ยวต่อประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วเคี่ยวไฟอ่อนอีก 2 ชั่วโมง

    [​IMG]
    ซุปอายุยืน - ต้มจืดวุ่นเส้นเห็ดหอมดอกไม้จีน
    2.ซุปอายุยืน - วุ้นเส้นเห็ดหอมดอกไม้จีน

    อายุยืนจากความหมายของ วุ้นเส้น หมายถึง อายุยืนยาว ความยั่งยืน วุ้นเส้นทำจากถั่วเขียว ให้พลังงานและโปรตีนสูงมาก จั๊มฉ่าย หรือดอกไม้จีนมีกลิ่นหอม มีคุณสมบัติบำรุงสมองบำรุงประสาท เห็ดหอม หมายถึงความเฟื่องฟู มีสารต้านอนุมูลอิสระ เคล็ดลับการปรุงและรับประทานวุ้นเส้นทั้งเส้น ไม่ให้หั่นหรือตัด เพื่อต่ออายุให้ยืนยาว

    วิธีปรุง: ผสมหมูสับกับคนอร์อร่อยชัวร์แล้วพักไว้ ต้มน้ำในหม้อให้เดือดแล้วใส่เห็ดหอม เก๋ากี้ และดอกไม้จีนแล้วใส่คนอร์ซุปหมูก้อนคนให้ละลาย ปั้นหมูที่หมักไว้ใส่ลงในหม้อน้ำซุป ช้อนฟองทิ้งเพื่อให้น้ำซุปใส ต้มจนหมูสุกเร่งไฟแรงขึ้น ใส่วุ้นเส้นลงไป พอสุกปิดไฟ ตักใส่ถ้วยโรยหน้าด้วยผักชีและต้นหอม

    [​IMG]
    ซุปสุขสันต์ - ต้มจับฉ่ายเต้าหู้
    3.ซุปสุขสันต์ - ต้มจับฉ่ายเต้าหู้

    คนจีนถือว่า การกินผักเป็นการล้างพิษในร่างกาย คำว่า “ฉ่าย” หมายถึง โชคลาภ เต้าหู้ หมายถึงความเฟื่องฟูร่ำรวยมีความสุข และยังให้โปรตีนที่สมบูรณ์ ต้มจับฉ่ายเต้าหู้ มักเป็นอาหารขึ้นโต๊ะของคนจีน และนิยมทำเป็นอาหารเจ เนื่องจากทำง่าย อร่อยมีคุณค่าเพื่อสุขภาพ และเป็นมงคล

    วิธีปรุง: ล้างผักให้สะอาด ตั้งหม้อต้มน้ำ นำรากผักชีและพริกไทยเม็ดที่ตำให้เข้ากันมาผัดกับน้ำมันให้หอม เมื่อน้ำเดือดนำส่วนผสมที่ผัดลงไปต้ม ลดไฟเหลือไฟปานกลาง ใส่ผัก เห็ดหอม และเต้าหู้ลงไปต้ม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เกลือ น้ำตาล และคนอร์ซุปเห็ดหอมก้อน เคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 30 นาที หรือต้มจนผักสุกนุ่ม

    [​IMG]
    ซุปเฮงเฮง - ต้มจับฉ่ายเป็ดพะโล้
    4.ซุปเฮงเฮง - จับฉ่ายเป็ดพะโล้

    เสริมความเฮงสองเท่าด้วย เป็ด คือ ความสามารถอันหลากหลาย ความรักอันบริสุทธิ์ ความจริงใจต่อกัน เป็ดบำรุงเลือด ป้องกันท้องผูกได้ดี คำว่า “ฉ่าย” ในภาษาจีน หมายถึง โชคลาภ จั๊บ แปลว่า มากมาย

    วิธีปรุง: ล้างผักให้สะอาด ต้มน้ำให้เดือด นำรากผักชีและพริกไทยเม็ดที่ตำให้เข้ากันมาผัดให้หอม จากนั้นใส่เป็ดพะโล้ที่หั่นไว้ผัดให้เข้ากัน พอน้ำเดือดนำส่วนผสมที่ผัดลงไปต้ม ลดไฟเหลือไฟปานกลาง ใส่ผักลงไปต้ม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เกลือ น้ำตาล และคนอร์ซุปไก่ก้อน จากนั้นเคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 30 นาที หรือจนผักสุกนุ่ม

    [​IMG]
    ซุปเฟื่องฟู - ต้มจืดกวางตุ้งลูกชิ้นกุ้งทอด
    5.ซุปเฟื่องฟู - ต้มจืดกวางตุ้งลูกชิ้นกุ้งทอด

    ผักกวางตุ้ง หมายถึงความรุ่งเรืองเฟื่องฟูจากโชคลาภช่วยบำรุงเส้นประสาท ป้องกันการเป็นลมชัก กุ้ง หมายถึงบารมี เนื้อกุ้งมีโปรตีนและไอโอดีน ป้องกันคอหอยพอก

    วิธีปรุง: ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลาง พอร้อนใส่ลูกชิ้นกุ้งลงไปทอดจนสุกเหลือง ตักพักไว้ จากนั้นต้มน้ำไฟกลางให้เดือด ใส่คนอร์ซุปหมูก้อนลงไป คนให้ละลาย ใส่แครอทและเห็ดหอมลงต้มประมาณ 10 นาที ด้วยไฟอ่อน ช้อนฟองออกให้น้ำซุปใส

    [​IMG]
    ซุปมั่นคง - กะหล่ำปลีตุ๋นแบบเจ
    6.ซุปมั่นคง - กะหล่ำปลีตุ๋น

    ด้วยลักษณะของ กะหล่ำปลี ที่เป็นปึกเป็นก้อน จึงหมายได้ถึง ความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เป็นผักที่ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายเพราะมีกากใยเยอะ และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนฟองเต้าหู้ทอด เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี

    วิธีปรุง: ล้างกะหล่ำปลีแล้วผ่า หากเป็นหัวใหญ่ผ่า 4 ซีก หรือหัวเล็กผ่าครึ่ง นำเม็ดเก๋ากี้ล้างให้สะอาดแล้วพักไว้ ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟปานกลาง ใส่กะหล่ำปลีลงทอดจนเหลืองเล็กน้อย ตักพักไว้ ตักน้ำมันออกให้เหลือ 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใส่เห็ดหอมลงไปผัด เติมน้ำและใส่คนอร์ซุปเห็ดหอมก้อนลงไปคนให้ละลาย ใส่กะหล่ำปลีที่ทอดไว้ ใส่เม็ดเก๋ากี้ ฟองเต้าหู้และซีอิ๊วขาว ใช้ไฟอ่อนเคี่ยว 30 นาทีหรือจนกะหล่ำปลีสุกนุ่มและน้ำซุปงวดลง

    [​IMG]
    ซุปก้าวหน้า - ซุปไก่ตุ๋นเกาลัดเม็ดบัว
    7.ซุปก้าวหน้า - ไก่ตุ๋นเกาลัดเม็ดบัว

    ไก่ โดยรูปลักษณ์สื่อถึงยศถาบรรดาศักดิ์ความสง่างาม ซุปไก่จึงสื่อถึง ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไก่ตัวผู้ บำรุงพลังหยาง ไก่ตัวเมีย บำรุงพลังหยิน อาจารย์วิศิษฎ์แนะนำว่า ผู้ชายควรกินไก่ตัวเมียเพื่อรักษาสมดุล หรือกินไก่ตัวผู้เพื่อให้พลังงาน ส่วนผู้หญิงควรกินไก่ตัวผู้เสริมสมดุล และกินไก่ตัวเมียเพื่อบำรุงเลือด เกาลัด ช่วยบำรุงเส้นประสาท แก้ไอ ส่วน เม็ดบัว ช่วยบำรุงประสาท บำรุงสมอง ลูกบัว ความหมายของคนจีนคือ ความมั่งคั่ง ความมั่งมี ลูกหลานมากมาย นอกจากนี้ ยังมี พริกไท เป็นตัวที่จะทำให้ร่างกายขับเหงื่อและความร้อน และขับกลิ่นหอมของส่วนผสมต่างๆ ในชามซุป ให้หอม ซึ่งเป็นเทคนิคการปรุงอาหารของจีน โดยสามส่วนประกอบหลักจึงหมายรวมถึงความก้าวหน้าในธุรกิจ หน้าที่การงานนั่นเอง

    วิธีปรุง: นำน้ำใส่หม้อตั้งไฟพอเดือด ใส่ไก่ รากผักชี กระเทียม พริกไทยเม็ดเก๋ากี้ ฮ่วยซัว ลำไยแห้ง และเกาลัด จากนั้นใส่คนอร์ซุปไก่ก้อน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ ซอสปรุงรสตามชอบ ตั้งไฟอ่อนๆ คนให้ส่วนผสมเข้ากัน หมั่นเปิดดูช้อนฟองออก จนกระทั่งไก่สุกนุ่มประมาณ 30-40 นาที จากนั้นชิมรสอีกครั้ง เมื่อได้รสชาติที่ต้องการแล้วตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยพริกไทยป่นและใบผักชี

    [​IMG]
    ซุปเลื่องชื่อ - ต้มจืดกระดูกหมูแปะก๊วยเห็ดหอม
    8.ซุปเลื่องชื่อ - กระดูกหมูแปะก๊วยเห็ดหอม

    เห็ดหอม หมายถึง ความมีชื่อเสียง แปะก๊วย ช่วยบำรุงสมองบำรุงประสาท ช่วยด้านการจำ คนจีนถือว่า แปะก๊วย เป็นยาอายุวัฒนะ ผักในชามคือ แปะฉ่าย หรือ บ๊อกฉ่อย เรียกว่า โชคลาภร้อยประการ กระดูกหมูบำรุงกล้ามเนื้อ เวลาต้มกระดูกหมู ไขจากกระดูกหมูจะช่วยบำรุงเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ

    วิธีปรุง: ตั้งหม้อต้มน้ำบนไฟกลาง พอเดือดใส่คนอร์ซุปหมูก้อน คนให้ละลายแล้วใส่กระดูกหมูที่เตรียมไว้ใส่ลงในหม้อ หมั่นช้อนฟองออกให้น้ำซุปใส ต้มประมาณ 15 นาทีแล้วจึงใช้ไฟอ่อน จากนั้นให้ใส่เห็ดหอม แปะก๊วยที่เอาไส้ใสออกแล้วต้มสักครู่โดยใช้ไฟแรง ใส่บ๊อกฉ่อยลงไป ต้มจนสุกปิดไฟ ตักใส่ชาม โรยพริกไทย กระเทียมเจียว


    [​IMG]

    ตรุษจีนปีนี้ นอกจากคุณจะมีเมนูมงคลไว้สำหรับไหว้เจ้าไหว้บรรพบุรุษแล้ว มื้ออาหารสำหรับครอบครัวรวมกันพร้อมหน้าพร้อมตากันรับประทานหลังการไหว้ ทุกคนยังจะได้รับประทานซุปอร่อยๆ ที่ทั้งรสชาติดี และยังเสริมสิริมงคลให้ปี 2557 นี้กลายเป็นปีดีๆ แสนเฮงไปตลอดทั้งปีอีกด้วย



     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “นางเงือก” เรื่องเล่าที่ไม่มีวันจางหาย จากท้องทะเล
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 มกราคม 2557 15:12 น.

    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000009608-


    [​IMG]
    “รูปปั้นนางเงือกทอง” แหลมสมิหลา จังหวัดสงขลา

    ตำนานและเรื่องเล่าจากท้องทะเลนั้น มีมากมายหลายเรื่องมาตั้งแต่ครั้งอดีต แต่เรื่องเล่าที่คลาสสิคที่สุด และถูกกล่าวถึงมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ก็คงจะเป็นเรื่องราวของ หญิงสาวครึ่งคนครึ่งปลา ที่ถูกเรียกว่า “นางเงือก” นั้นเอง อีกทั้งเรื่องเล่าของนางเงือกนั้น ยังได้มีการกล่าวถึงไว้อย่างมากมาย ในหลายประเทศทั่วโลกโลก แม้แต่ประเทศไทยก็ได้มีการกล่าวถึงนางเงือก ไว้ในบทประพันธ์ต่างๆ อีกด้วย

    “นางเงือก” เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อในนิยายปรัมปราและเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ซึ่งในตำนานและเรื่องเล่าโดยมากจะกล่าวกันว่า เงือกนั้นเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์ มีรูปร่างลักษณะในส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน และส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งมีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งเรื่องเล่าในส่วนมากจะกล่าวถึงนางเงือกซึ่งเป็นเพศหญิงมากกว่า ส่วนเงือกเพศชายนั้นจะเรียกว่าเงือกเฉยๆ และมักไม่ค่อยได้ถูกกล่าวถึงมากนัก


    [​IMG]
    “รูปปั้นนางเงือกและพระอภัยมณี” หาดนางรำ จังหวัดชลบุรี

    มีเรื่องเล่ามากมายที่กล่าวถึงหญิงสาวครึ่งคนครึ่งปลาแห่งท้องทะเลอยู่ทั่วทุกมุมโลก ว่ามีจุดกำเนิดมาจากใด มีทั้งด้านดีและด้านร้าย แต่ทุกเรื่องราวนั้นมักจะกล่าวคล้ายๆ กันว่า นางเงือกมักจะปรากฎให้เห็นในยามค่ำคืนตามโขดหินเหนือผิวน้ำหรือชายหาด ซึ่งมักจะมานั่งหวีสางผมและส่องกระจก ร้องบรรเลงเพลงในยามค่ำคืน ซึ่งจะเป็นเสียงที่ไพเราะมาก

    ซึ่งเรื่องราวในด้านร้ายนั้นจะถูกกล่าวว่า นางเงือกมักจะขึ้นมาร้องเพลงและล่อลวงเหล่าผู้ชายด้วยเสียงเพลงและจะนำไปสู่ความตาย หรือในท้องทะเลก็จะล่อลวงให้เหล่ากะลาสีเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงจนแล่นเรือหลงทางไปชนโขดหินจนเรือล่ม แต่ก็ยังมีเรื่องราวในความดีที่ถูกกล่าวถึงด้วย ซึ่งบางครั้งนางเงือกก็ให้คุณต่อมนุษย์ มนุษย์ที่ช่วยเหลือนางเงือกมักได้รับความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรค หรือนางเงือกจะมาช่วยเตือนให้ระวังพายุ และช่วยมนุษย์ขึ้นฝั่งในยามที่เรือล่ม


    [​IMG]
    รูปปั้นนางเงือก เมืองโคเปนเฮเกน (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)

    ในส่วนของประเทศไทยนั้น ก็ยังมีการกล่าวถึงเรื่องเล่าของเหล่านางเงือกอยู่ด้วยเหมือนกัน โดยนางเงือกไทยนั้นก็จะมีลักษณะเหมือนกับนางเงือกทั่วไป โดยมีเรื่องเล่าที่กล่าวถึงนางเงือกไว้ในหลายๆเรื่อง แต่เรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายมากที่สุด คือเงือกในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ได้ ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า ครอบครัวเงือกเป็นผู้พาพระอภัยมณีหนีจากนางผีเสื้อสมุทรมาที่เกาะแก้วพิสดาร ซึ่งนางเงือกผู้เป็นลูกได้พบรักกับพระอภัยมณี และได้ให้กำเนินสุดสาครขึ้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครเอกของเรื่องราวดังกล่าว

    หลักฐานที่แน่ชัดว่าเรื่องเล่าของนางเงือกจะยังคงเป็นเรื่องเล่าที่จะยังคงไม่เสื่อมคลาย ก็คงจะเป็นรูปปั้นต่างๆที่ถูกสร้างไว้อยู่ทั่วทุกมุมโลก เช่น รูปปั้นนางเงือกเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก รูปปั้นนางเงือกเมืองมาแซตลาน ประเทศเม็กซิโก ซึ่งประเทศไทยนั้นก็ได้มีการสร้างรูปปั้นนางเงือกขึ้นไว้เช่นกัน อาทิ รูปปั้น“นางเงือกทอง” สัญลักษณ์อันโดดเด่นของแหลมสมิหลา จังหวัดสงขลา รูปปั้นนางเงือกกับพระอภัยมณี หาดนางรำ จังหวัดชลบุรี


    [​IMG]
    รูปปั้นนางเงือก เมืองมาแซตลาน (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)

    และรูปปั้นแต่ละแห่งนั้น ได้กลายมาเป็นจุดที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่จะมาถ่ายรูป และในบางแห่งรูปปั้นนางเงือกก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์เด่นให้กับแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ซึ่งรูปปั้นนางเงือกเหล่านี้ได้คอยย้ำเตือนให้เหล่าผู้คนนึกถึงเรื่องเล่าของหญิงสาวจากท้องทะเล ว่ามีอยู่จริงหรือไม่

    ซึ่งตำนานและเรื่องเล่าของเหล่านางเงือกนั้น ปัจจุบันก็ยังคงเป็นปริศนา ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แม้จะมีเรื่องเล่าหรือหลักฐานการค้นพบมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยความเชื่อในเรื่องดังกล่าว ก็มีข้อเสนอว่า บางทีอาจเป็นเพราะผู้คนในสมัยโบราณเข้าใจผิด คิดว่า "พะยูน" คือเงือกก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรแม้วันเวลาจะล่วงเลยผ่านไป เรื่องราวของเหล่านางเงือก ก็ยังจะคงเป็นเรื่องเล่าจากท้องทะเลที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ng01.png
      ng01.png
      ขนาดไฟล์:
      298.8 KB
      เปิดดู:
      1,162
    • ng02.png
      ng02.png
      ขนาดไฟล์:
      555.6 KB
      เปิดดู:
      1,799
    • ng03.png
      ng03.png
      ขนาดไฟล์:
      606.7 KB
      เปิดดู:
      1,139
    • ng04.png
      ng04.png
      ขนาดไฟล์:
      297.2 KB
      เปิดดู:
      1,089
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้จักประเพณีต่างๆ ในเทศกาลตรุษจีน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 มกราคม 2557 16:02 น.

    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000012128-

    [​IMG]

    astvผู้จัดการออนไลน์--เทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ที่เรียกว่า ชุนเจี๋ย (春节) หรือ ตรุษจีน ถือเป็นประเพณีเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของชนชาวฮั่น และยังถือเป็นการเริ่มต้นฤดูเพาะปลูกด้วย โดยกำหนดให้วันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ ในอดีตช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง จะเริ่มตั้งแต่พิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาไฟในวันที่ 23 หรือ 24 ของปีเก่า จนถึงเทศกาลหยวนเซียวหรือเทศกาลโคม (แรม 15 ค่ำเดือนอ้าย) โดยแต่ละช่วงจะมีพิธีกรรมธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกัน บางส่วนยังคงสืบทอดกันมาถึงยุคปัจจุบัน ขณะที่บางส่วนได้เลือนหายไป หรือแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

    [​IMG]
    ตัวอักษร ฝูกลับหัว (福倒) โชคความสุขได้มาถึงบ้านแล้ว

    ติด “ฝูกลับหัว” (福倒) โชคมงคลได้มาถึงบ้านแล้ว
    ระหว่างเทศกาลตรุษจีน ชาวจีนนอกจากนิยมตกแต่งบ้านเรือนด้วยกระดาษแดง ภาพวาด และภาพกระดาษตัดสีสันสดใส สร้างบรรยากาศของความสนุกสนานรื่นเริง และเพื่อเป็นการต้อนรับความสุขและขอโชคขอพร ก็ยังนำอักษรมงคล เช่นตัว ‘福’ (ฝู) หรือตัว 春 (ชุน) มาติดที่บานประตูหน้าบ้าน ตามกำแพง หรือบริเวณเหนือกรอบบนของประตู

    การติดอักษรมงคลที่แพร่หลายที่สุด คือ 福 เป็นประเพณีมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยซ่ง และมักติดกลับหัวซึ่งในภาาษจีนกลางเรียก 福倒 (ฝูเต้า)ที่มีความหมายว่า สิริมงคลหรือโชคดีได้มาถึงบ้านแล้ว

    เรื่องการกลับหัวตัวอักษรนี้มีเหตุที่มาเมื่อครั้งอดีตกาล ซึ่งเล่าสืบกันมาในหมู่สามัญชนว่า

    “สมัยจักรพรรดิหมิงไท่จู่จูหยวนจางแห่งราชวงศ์หมิง ได้ใช้อักษร ‘ฝู’ เป็นเครื่องหมายลับในการสังหารคน หม่าฮองเฮาทราบเรื่องจึงคิดอุบายเพื่อหลีกเลี่ยงภัยดังกล่าวไม่ให้เกิดแก่ราษฎร ด้วยมีพระราชเสาวนีย์ให้ทุกบ้านติดตัวฝูที่หน้าประตูเพื่อลวงให้ฮ่องเต้สับสน

    “รุ่งขึ้นชาวเมืองต่างนำตัวอักษรฝูมาติดที่หน้าประตูตามนั้น ทว่ามีบ้านหนึ่งไม่รู้หนังสือจึงติดตัวฝูกลับหัวด้วยความไม่ตั้งใจ เมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ทรงกริ้ว รับสั่งให้ประหารคนในบ้านทั้งหมด หม่าฮองเฮาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบทูลยับยั้งไว้ว่า ‘บ้านนี้ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา จึงตั้งใจติดตัวฝูกลับหัว ( 福倒-ฝูเต้า) เพื่อแสดงความปิติยินดีต่อการเสด็จเยือนของพระองค์ ราวกับว่าความสุขสวัสดีและโชคลาภได้มาถึงที่บ้าน’ ได้ยินดังนี้แล้วจูหยวนจางจึงไว้ชีวิตชาวบ้านผู้นั้น การติดตัวฝูกลับหัวสืบต่อมานอกจากเพื่อขอโชคสิริมงคลตามความหมายของตัวอักษรแล้ว ยังเป็นการระลึกถึงคุณความดีของหม่าฮองเฮาในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย”

    [​IMG]
    เชิญเทพผู้พิทักษ์ประตู

    ในวันส่งท้ายปีเก่าหรือที่เรียกว่า ฉูซี (除夕) ชาวจีนมีธรรมเนียมในการติด ‘เหมินเสิน (门神)’ หรือ ภาพเทพเจ้าผู้คุ้มครองประตู

    ‘เหมินเสิน’ มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างยาวนาน ในอดีตกาลจะถือตัวประตูเป็นเทพเจ้าโดยตรง จนกระทั่งหลังสมัยราชวงศ์ฮั่น (202 B.C.- ค.ศ.220) จึงได้ปรากฏการใช้ภาพคนมาเป็นตัวแทนเทพเจ้า แรกเริ่มเดิมทีใช้ภาพนักรบผู้กล้านามว่า ‘เฉิงชิ่ง (成庆)’ ต่อมาเปลี่ยนเป็นภาพวาดของ ‘จิงเคอ (荆轲)’ จอมยุทธ์ชื่อดังสมัยจ้านกั๋ว (475 - 221 B.C.)

    ‘เหมินเสิน’ ในราชวงศ์ใต้และเหนือ (ค.ศ.420 - 589) จะเป็นภาพคู่เทพเจ้าสองพี่น้อง ‘เสินถู (神荼)’ ‘ยูไล (郁垒)’ ตลอดจนสองขุนพลเอกในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618 - 907) ที่มีชื่อว่า ‘ฉินซูเป่า (秦叔宝) และอี้ว์ฉือจิ้งเต๋อ (尉迟敬德)’แต่ต่อมากษัตริย์ถังไท่จงหลี่ซื่อหมินรู้สึกเห็นใจว่าสองขุนพลจะลำบากเกินไป จึงได้สั่งให้จิตรกรหลวงวาดภาพสองขุนพลขึ้นมา แล้วใช้ติดไว้ที่ประตูทั้งสองข้างแทน จึงได้กลายเป็นภาพ ‘เหมินเสิน’ ในเวลาต่อมาเมื่อถึงยุค 5 ราชวงศ์ (ค.ศ.907-960) ได้เริ่มนำภาพของ จงขุย (钟馗) เทพผู้ปราบภูตผีปีศาจ มาติดเพื่อเป็นสิริมงคลด้วย

    หลังราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ.960 - 1127) ‘เหมินเสิน’ ยังมีรูปแบบเหมือนก่อนหน้านั้น แต่เพิ่มการประดับตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงามขึ้น ในห้องรับแขกและห้องนอนจะมีการติดภาพเทพเจ้า 3 องค์ (三星) ที่เราคุ้นหูกันดีว่า ‘ฮก ลก ซิ่ว (福 - 禄 - 寿)’ นอกจากนั้น ยังมีภาพชุมนุมเทพเจ้า (万神图) ตามอย่างลัทธิเต๋า และภาพพระพุทธเจ้า 3 ปาง ซันเป่าฝอ (三宝佛) ฯลฯ ด้วย

    ว่ากันว่า การติดภาพ ‘เหมินเสิน’ ก็เพื่อป้องกันขับไล่สิ่งชั่วร้าย หรือเป็นเสมือนเทพผู้คอยปกปักษ์รักษานั่นเอง

    [​IMG]
    สัตว์ประหลาดในคติปรัมปราจีน ที่มาทำร้ายผู้คนในคืนส่งท้ายปีเก่า

    คืนส่งท้ายปีเก่า
    ชาวจีนมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ “ฉูซีเยี่ย (除夕夜)” หรือ คืนส่งท้ายปีเก่าว่า ในยุคโบราณสมัยที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ มีสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายมากตัวหนึ่ง ชื่อว่า “เหนียน (年)” ทุกปีในคืนวันส่งท้ายปี จะขึ้นจากทะเลมาอาละวาดทำร้ายผู้คนและทำลายเรือกสวนไร่นา ในวันนั้นของทุกปีชาวบ้านจึงมักจะหลบกันอยู่แต่ในบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา และไม่หลับไม่นอนเพื่อเฝ้าระวัง รอจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นจึงเปิดประตูออกมา และกล่าวคำยินดีแก่เพื่อนบ้านที่โชคดีไม่ถูก “เหนียน” ทำร้าย

    ในคืนส่งท้ายปีของปีหนึ่ง “เหนียน” ได้เข้าไปอาละวาดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กินชาวบ้านจนเรียบ ยกเว้นคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงาน เนื่องจากสวมชุดสีแดงจึงปลอดภัย และเด็กคนหนึ่งที่กำลังเล่นประทัดอยู่กลางถนน ซึ่งเสียงดังจนทำให้ “เหนียน” ตกใจกลัวหนีไป ชาวบ้านจึงรู้จุดอ่อนของ “เหนียน”

    ดังนั้น เมื่อถึงคืนส่งท้ายปีเก่า ชาวบ้านจึงพากันสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง นำสิ่งของที่มีสีแดงมาประดับตกแต่งบ้านเรือน และจุดประทัด ทำให้ “เหนียน” สัตว์ประหลาดตัวร้ายไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ชาวบ้านจึงอยู่กันอย่างสงบสุข จากนั้นมาจึงมีธรรมเนียมปฏิบัติ ในคืนส่งท้ายปีจะไม่ยอมนอนเพื่อ “เฝ้าปี” หรือเรียกในภาษาจีนว่า โส่วซุ่ย(守岁) เฝ้าดูปีเก่าล่วงไปจนวันใหม่ย่างเข้ามา

    ในคืน “เฝ้าปี” สมาชิกในบ้านมีกิจกรรมร่วมกันมากมาย ทั้งด้านการกินและดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารทั่วไป เกี๊ยว เหนียนเกา (ขนมเข่ง) เหล้า เบียร์ เมล็ดแตง ของว่าง การเล่นเกม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เล่นกันในห้องรับแขก เช่นผู้ใหญ่ก็เล่นหมากล้อม หมากฮอร์ส ไพ่กระดาษ ไพ่นกกระจอก ส่วนเด็กๆ ก็มีเกมแบบเด็กๆ เช่น ขี่ม้าไม้ไผ่ วิ่งไล่จับ ซ่อนแอบ

    กระทั่งใกล้เวลาเที่ยงคืน ผู้อาวุโสในบ้านก็จะเริ่มตั้งโต๊ะเพื่อจัดเรียงธูปเทียนไหว้บรรพบุรุษ และต้อนรับเทพแห่งโชคลาภ นอกจากนั้นก็ยังมีการจุดประทัด จุดโคมไฟ ซึ่งเมื่อใกล้เวลาเที่ยงคืนเท่าไหร่ เสียงประทัดก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งรุ่งอรุณแรกของปี ก็จะสวัสดีปีใหม่กัน กินเกี๊ยว เพื่อความเป็นสิริมงคล

    [​IMG]
    เซ่นไหว้บรรพบุรุษ

    ประเพณีการเซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษในช่วงเทศกาลตรุษจีน ถือกำเนิดขึ้นจากรากฐานแห่งคุณธรรมความกตัญญูกตเวที ที่ชาวจีนยึดมั่นและให้ความสำคัญยิ่ง

    ตามประเพณีแบบดั้งเดิม แต่ละบ้านจะนำบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลหรือที่เรียกว่า ‘เจียพู่’ ( 家谱) หรือรูปภาพของบรรพบุรุษหรือแผ่นป้ายที่สลักชื่อบรรพบุรุษ เป็นต้น มาวางไว้ที่โต๊ะเซ่นไหว้ ที่มีกระถางธูปและอาหารเซ่นไหว้

    ในประเทศจีน บางแห่งจะทำพิธีสักการะเทพเจ้าแห่งโชคลาภหรือไฉเสิน (财神) หรือที่ไฉ่สิ่งเอี๊ย ในภาษาแต้จิ๋ว พร้อมๆกับเซ่นไหว้บรรพบุรุษ โดยอาหารที่นำมาใช้ถวายเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตามความนิยมของชาวจีนทางเหนือ โดยมากประกอบด้วย เนื้อแพะ อาหารคาว 5 อย่าง ของหวาน 5 อย่าง ข้าว 5 ชาม ขนมที่ทำจากแป้งสาลีไส้พุทรา 2 ลูก ( คล้ายกับขนมถ้วยฟูในบ้านเรา) และหมั่นโถวขนาดใหญ่ 1 ลูก

    แท้จริงแล้วการสักการะบูชาเทพเจ้าและไหว้บรรพบุรุษนั้น ก็คือการกล่าวอวยพรปีใหม่กับเทพและบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง ขณะเดียวกันก็เพื่อให้ลูกหลานได้รำลึกถึงบรรพชน หลังจากทำพิธีไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษแล้ว ลูกหลานจะช่วยกันเผากระดาษเงิน กระดาษทอง

    สำหรับช่วงเวลาในการประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษนั้น จะแตกต่างกันออกไป กล่าวคือบางบ้านจะเซ่นไหว้ก่อนการรับประทาน ‘เหนียนเย่ฟั่น’ หรืออาหารมื้อแรกของปีใหม่ ขณะที่บางบ้านนิยมเซ่นไหว้ก่อนหรือหลังคืนส่งท้ายปีเก่าหรือ ที่เรียกว่า ‘ฉุ่เย่’ บางบ้านก็นิยมประกอบพิธีในช่วงเช้าของในวันที่ 1 เดือน 1 หรือ ชูอี ( 初一)

    [​IMG]
    มื้อส่งท้ายปีเก่า

    ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน (年夜饭)’ หมายถึงอาหารค่ำของคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญก่อนขึ้นปีใหม่ ที่ชาวจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมักไหว้บรรพบุรุษ และจุดประทัดกันก่อนที่จะลงมือรับประทานอาหารมื้อพิเศษนี้

    ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ มีความพิเศษ ตรงที่เป็นมื้อใหญ่ที่สมาชิกในครอบครัวทุกรุ่นทุกวัยและทุกเพศจะพร้อมหน้าพร้อมตาล้อมวงร่วมรับประทานอาหารกัน สมาชิกที่แยกไปอยู่ที่อื่นจะพยายามกลับมาให้ทันวันส่งท้ายปี แต่หากกลับมาไม่ได้จริงๆ ครอบครัวจะเว้นที่ว่างพร้อมวางชามและตะเกียบไว้เสมือนหนึ่งว่ามากันครบ หลังจากทาน ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ เสร็จแล้ว ผู้ใหญ่จะให้ ‘ยาซุ่ยเฉียน (压岁钱)’ หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ‘อั่งเปา’ แก่เด็กๆ

    ความพิเศษของ ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ ยังอยู่ที่อาหารหลากหลาย ให้สมาชิกที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งปี ได้ผ่อนคลายร่วมทานอาหารอย่างมีความสุขอยู่กับครอบครัวในคืนสุดท้ายของปี

    ขณะที่ชื่อของอาหารที่นำมาตั้งโต๊ะยังแฝงไว้ด้วยความหมายที่เป็นสิริมงคล จานบังคับที่ทุกโต๊ะต้องมีคือ ‘จี’ (鸡 ไก่) และ ‘อี๋ว์’(鱼 ปลา) แทนความหมาย ‘จี๋เสียงหยูอี้ (吉祥如意 เป็นสิริมงคลสมดังปรารถนา)’ และ ‘เหนียนเหนียนโหยวอี๋ว์ (年年有余 มีเงินทองเหลือใช้ทุกปี)’

    [​IMG]
    กิน “เกี๊ยวข้ามปี” โชคดีตลอดไป

    ประเพณีการกินเจี่ยวจือ 饺子หรือเกี๊ยวต้มจีนในวันตรุษจีนเริ่มเป็นที่นิยมกันมาตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หมิง(ค.ศ.1368-1644) โดยคนในครอบครัวจะต้องห่อเจี่ยวจือให้เสร็จก่อนเที่ยงคืนของวันสิ้นปี รอจนยามที่เรียกว่า 子时 -จื่อสือ ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 23 - 1 นาฬิกาของวันถัดมาก็จะเริ่มรับประทานกัน และเป็นเวลาเริ่มต้นวันใหม่ของปีใหม่พอดี การทานเจี่ยวจือจึงมีความหมายว่า ‘เปลี่ยนปีเชื่อมเวลา更岁交子'เพราะคำเรียกอาหารชนิดนี้饺-เจี่ยวก็ออกเสียงคล้าย交-เจียวซึ่งมีความหมายว่าเชื่อมต่อกัน และ子-จื่อก็คือ子时 -จื่อสือนั่นเอง

    นอกจากนั้น การรับประทานอาหารชนิดนี้ยังมีความหมายสำคัญของการรวมตัวของคนในครอบครัวอีกด้วย เมื่อแป้งที่ห่อไส้เรียกว่า和面-เหอเมี่ยน คำว่า 和พ้องเสียงกับคำว่า 合 -เหอ ที่แปลว่าร่วมกัน และ饺 - เจี่ยวก็ออกเสียงคล้ายกับคำว่า 交 ที่มีอีกความหมายว่า มีความสัมพันธ์ต่อกันด้วย

    การที่เกี๊ยวเป็นอาหารสำคัญที่ไม่อาจขาดได้ในวันตรุษจีน ยังมีเหตุผลมาจากรูปลักษณ์ของเจี่ยวจือ ที่เป็นรูปทรงคล้ายเงินในสมัยโบราณ การรับประทานเจี่ยวจือ จึงเหมือนการนำเงินทองเข้ามาสู่ตัว

    นอกจากนั้น ไส้ในเจี่ยวจือก็ยังสะดวกต่อการบรรจุสิ่งที่เป็นมงคลลงไปให้เป็นความหวังต่อคนที่รับประทานด้วย เช่น ลูกกวาด ถั่วลิสง พุทราแดง เม็ดเกาลัด เหรียญเงิน โดยคนที่กัดเจอลูกกวาด ชีวิตในปีใหม่ก็จะยิ่งหอมหวาน ในขณะที่ถั่วลิสงมีความหมายว่าแข็งแรงและอายุยืนนาน ส่วนพุทราแดงและเกาลัด ก็จะมีบุตรภายในปีนั้น และหากกัดเจอเหรียญเงินก็จะยิ่งร่ำรวยเงินทอง

    [​IMG]
    อาหารรับขวัญวันปีใหม่

    การตระเตรียมอาหารการกินในเทศกาลตรุษจีน นับเป็นงานช้างแห่งปีทีเดียว โดยราวสิบวันก่อนวันปีใหม่ชาวจีนจะเริ่มสาละวนกับการซื้อหาข้าวของ อาทิ เป็ด ไก่ ปลา เนื้อ ชา เหล้า ซอส วัตถุดิบเครื่องปรุงสำหรับอาหารผัดทอด ขนมนานาชนิด และผลไม้

    อาหารการกินในวันตรุษจีน ยังโปรยประดับด้วยคำที่เป็นสิริมงคล ชาสำหรับคารวะแขก ในวันปีใหม่ของคนเจียงหนันยังใส่ลูกสมอ 2 ลูกไว้ในจานรองถ้วยชาหรือถาดชุดชา เพื่อสื่อความหมายว่า ‘ชาเงิน’ และในสำรับอาหารจะต้องมีผัดผักกาดรวมอยู่ด้วย เพื่อเป็นเคล็ดว่า กินแล้วจะบันดาล ‘ความสนิทสนมอบอุ่น’ เนื่องจาก ‘ผัดผักกาด’ ในภาษาจีนคือ เฉ่าชิงไช่ (炒青菜) ซึ่งมีเสียงใกล้เคียงกับ ชินชินเย่อเย่อ (亲亲热热) ที่แปลว่า ‘ความสนิทสนมอบอุ่น’ และอาหารสำคัญอีกอย่างคือ ผัดถั่วงอก เนื่องจากถั่วงอกเหลืองมีรูปร่างคล้ายกับ ‘หยกหยูอี้’ ซึ่งมีเสียงพ้องกับคำว่า หยูอี้ (如意) ที่แปลว่า สมปรารถนา

    นอกจากนี้ ตามประเพณีการกินอาหารปีใหม่จะต้องกินหัวปลา แต่อย่าสวาปามจนเกลี้ยงจนแมวร้องไห้ ธรรมเนียมการกินปลาให้เหลือนี้เพื่อเป็นเคล็ดว่า ‘เหลือกินเหลือใช้’ ซึ่งในภาษาจีน มีคำว่า ชือเซิ่งโหย่วอี๋ว์ (吃剩有鱼) คำว่า ‘鱼-อี๋ว์’ ที่แปลว่าปลานั้น พ้องเสียงกับ ‘余 -อี๋ว์’ ที่แปลว่า เหลือ จึงเป็นเคล็ดว่า ขอให้ชีวิตมั่งมีเหลือกินเหลือใช้

    สำรับทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งดีงามของวันรุ่งอรุณแห่งปี

    หลังจากรับประทานอาหารมื้อแรกของวันตรุษแล้ว ชาวจีนนิยมไปศาลบรรพบุรุษบูชาบรรพบุรุษ และยังมีวิถีปฏิบัติเพื่อขอพรและขอความเป็นสิริมงคลในวันปีใหม่อื่นๆ ได้แก่ จุดโคมไฟ จุดประทัด ถวายเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้า ไปวัด ออกจากบ้านไปทัศนาจร รวมถึงการไปเก็บต้นงา เพราะเชื่อว่าชีวิตจะเจริญยิ่งๆขึ้นไปเหมือนต้นงาที่งอกขึ้นเป็นข้อๆ ชั้นๆ

    [​IMG]
    กินขนมเข่ง (年糕) อำนวยพรชีวิตเจริญยิ่งๆขึ้นทุกปีๆ

    อาหารที่ขาดไม่ได้ในวันตรุษจีนอีกอย่างคือ ขนมเข่ง ขนมที่ชาวจีนเรียก เหนียนเกา (年糕) นิยมทำกินในหมู่ชาวจีนทางใต้ ประเพณีกินเหนียนเกาในวันตรุษมีมา 7,000 กว่าปีแล้ว เดิมทีทำขึ้นเพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ ภายหลังกลายเป็นอาหารนิยมในช่วงตรุษจีน มีความหมายอำนวยพรให้ชีวิต ‘เจริญยิ่งๆขึ้นทุกปีๆ ’ (生活年年提高)

    [​IMG]
    จุดประทัดรับปีใหม่

    นอกจากคืนวันส่งท้ายปีเก่าและวันที่ 5 เดือน 1 ที่จะมีการจุดประทัดกันแล้ว ประเพณีการจุดประทัดในเช้าวันแรกของปีใหม่ก่อนออกจากบ้าน ก็เป็นความเชื่อของชาวจีนว่า จะเป็นการเริ่มต้นปีด้วยความคึกคักหรือที่เรียกว่า 开门炮 (ไคเหมินเพ่า) เพื่อต้อนรับวันแรกของปี

    ประทัดของจีนมีประวัติศาสตร์มายาวนาน เดิมทีใช้ปล้องไม้ไผ่ตั้งไฟเผาให้ระเบิดจนเกิดเสียงดัง ใช้ในการขับไล่ภูตผีป้องกันเสนียดจัญไร ต่อมาใช้ในพิธีไสยศาสตร์ของพ่อมดหมอผีและการเสี่ยงทาย จนในที่สุดกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการอธิษฐานขอความสงบร่มเย็น

    [​IMG]
    เดินสายอวยพรตรุษจีน

    กิจกรรมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ช่วงตรุษจีน คือ “ไป้เหนียน (拜年)” หรือ การอวยพรตรุษจีน หากกล่าวว่า “จี้จู่ (祭祖)” เป็นการเซ่นไหว้รำลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ “ไป้เหนียน” ก็จะเป็นการสังสรรค์กับญาติสนิทที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันขึ้นปีใหม่ กิจกรรมทั้ง 2 อย่างต่างเป็นการแสดงออกถึงการสื่อสัมพันธ์กับญาติที่ใกล้ชิด

    ในอดีตหากญาติสนิทมิตรสหายมีมาก แวะไปเยี่ยมเยียนได้ไม่ทั่วถึง พวกชนชั้นสูงมักจะส่งคนรับใช้นำบัตรอวยพร หรือ “ฝูเต้า (福倒)” (ความสุขมาถึงแล้ว) ไปให้แทน ฝ่ายที่รับการ “ไป้เหนียน” ที่เป็นผู้สูงอายุมักจะให้ “ยาซุ่ยเฉียน (压岁钱)” แก่เด็กๆ ที่มาไหว้เยี่ยมเยียน

    ส่วนการ “ไป้เหนียน” ของชาวบ้านทั่วไปก็มีอิทธิพลต่อชนชั้นสูงเช่นกัน ซึ่งราชสำนักในสมัยหมิงชิงนิยมจัดงาน “ถวนไป้ (团拜)” หรืองานที่ชุมนุมญาติๆ ไว้ด้วยกัน ให้ทำการ “ไป้เหนียน” ซึ่งกันและกันในคราเดียว มาถึงปัจจุบันยังนิยมจัดงานเช่นนี้อยู่ ซึ่งคล้ายกับเป็นงานฉลองปีใหม่กับหมู่ญาติสนิทมิตรสหายไปในตัว

    สำหรับการ “ไป้เหนียน” ในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคไฮเทค นอกจากการไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านแล้ว ยังนิยมส่งบัตรอวยพร โทรศัพท์ อีเมล์ หรือส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อส่งความสุขซึ่งกันและกัน

    [​IMG]
    กลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่

    กลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่
    หลังจากวันแรกของปีใหม่ผ่านพ้นไป บรรดาหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้วจะกลับไปอวยพรตรุษจีนพ่อแม่และญาติพี่น้อง พร้อมกับสามีและลูกๆ ที่ชาวจีนเรียกกันว่าการกลับบ้านแม่ หรือ ‘หุยเหนียงเจีย (回娘家)’ ซึ่งถือเป็นโอกาสพาเด็กๆ ไปเยี่ยมคารวะคุณตา คุณยาย คนเฒ่าคนแก่ และรับอั่งเปามาเป็นเงินก้นถุง

    ส่วนใหญ่จะไม่กลับบ้านแม่มือเปล่า แต่จะนำขนมคุกกี้ ลูกอม ไปฝากญาติพี่น้องและบ้านใกล้เรือนเคียง ตลอดจนพกอั่งเปาไปแจกหลานๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อแสดงออกซึ่งความห่วงหาอาทรต่อบ้านเกิดของหญิงที่ออกเรือนไปแล้ว แต่การกลับไปบ้านแม่นี้ จะแค่กินข้าวเที่ยง ไม่มีการนอนค้าง

    ตามธรรมเนียมเดิม ก่อนกลับคุณตาคุณยายจะแต้มสีแดงที่หน้าผากหลาน เพื่อให้เป็นสิริมงคล และป้องกันภูติผีปีศาจมารังควาญ ด้วยหวังให้เด็กๆ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง ปราศจากโรคภัย

    กิจกรรมที่สำคัญอีกอย่างในวันนั้นก็คือ การเชิญเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยแต่ละบ้านจะทำการติดภาพเชิญเทพเจ้าโชคลาภเข้ามายังบ้านของตน

    [​IMG]



    เรื่องต้องห้ามก่อนวันที่ 5 ‘พ่ออู่ (破五)’
    ตรุษจีนเป็นเทศกาลแห่งความสุขสนุกสนาน และยังเป็นเทศกาลที่คงธรรมเนียมประเพณีดั่งเดิมไว้ ซึ่งในช่วงนี้จะมี ‘คำพูดหรือการกระทำต้องห้าม’ เช่น ในวันชิวอิก หรือวันขึ้นปีใหม่ ผู้หญิงห้ามออกจากบ้านไปอวยพรปีใหม่และห้ามกลับไปบ้านแม่ เด็กน้อยห้ามร้องไห้กระจองอแง ทุกคนห้ามพูดเรื่องอัปมงคล เพื่อนบ้านห้ามทะเลาะเบาะแว้ง รวมทั้งห้ามทำอุปกรณ์เครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์แตกเสียหาย ตลอดจนห้ามเชิญหมอมาที่บ้าน

    ตั้งแต่ชิวอิก หรือ ชูอี (初一) จนถึงชูซื่อ (初四) หรือวันที่ 1-4 ของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ ห้ามคนในบ้านทำสิ่งที่ไม่เป็นสิริมงคลทั้งหลายตั้งแต่ใช้เข็มเย็บผ้า กรรไกร กวาดบ้าน และยังห้ามกินข้าวต้มในวันที่ 1 ด้วย เพราะข้าวต้มจัดเป็นอาหารของขอทานคนยากจน

    เมื่อเข้าวันที่ 5 หรือชูอู่ (初五) จึงจะเริ่มผ่อนคลายกฎต้องห้ามต่างๆ และเข้าสู่ภาวะปกติ ชาวบ้านจึงเรียกว่า ‘พ่ออู่ (破五)’ ซึ่งหมายถึง ทำให้แตก หรือยกเลิกข้อห้ามในวันที่ 5 โดยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ หุงหาอาหารได้ตามเดิม ส่วนอาหารยอดนิยมในวันนี้จะเป็นเกี๊ยวจีน (饺子) ที่ในสมัยก่อนเรียกว่า ‘เนียอู่ (捏五)’ โดยแทนการห่อเงินห่อทอง นำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวย

    นอกจากนั้น นับตั้งแต่วันที่ 5 ผู้คนจะสามารถนำขยะไปทิ้งข้างนอกได้ อย่างที่ชาวจีนเรียกว่า ‘เต้าฉานถู่ (倒残土)’ และยังถือวันที่ 5 นี้ เป็นวันเกิดของเทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทองที่ประจำทั้ง 5 ทิศ ซึ่งตามร้านค้าต่างๆ จะประกอบพิธีไหว้ เพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยเปิดกิจการรับปีใหม่ด้วย

    [​IMG]
    อั่งเปา

    การแจกอั่งเปา (红包ซองแดง) หรือ *แต๊ะเอีย (กด/ทับเอว) สำหรับเด็กสมัยใหม่ต่างคาดหวังหรือหลงระเริงไปกับตัวเงินในซอง แต่หารู้ไม่ว่า กุญแจสำคัญอยู่ที่ซองแดงต่างหาก

    ชาวจีนนิยมชมชอบ “สีแดง” เป็นที่สุด อย่างที่มีคนเคยพูดว่า “จะถูกจะแพง ก็ขอให้แดงไว้ก่อน” เพราะว่า ตามความเชื่ออย่างจีน สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวา ความสุข และโชคดี

    เรามอบอั่งเปาให้แก่บุตรหลาน หรือญาติผู้ใหญ่ เพื่อเป็นการมอบโชคลาภและพรอันประเสริฐต่างๆ ให้แก่พวกเขา เงินในซองแดงแค่เพียงต้องการให้เด็กๆ ดีใจ แต่ตัวเอกของประเพณีนี้อยู่ที่ซองแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโชคดี ดังนั้น การเปิดซองอั่งเปาต่อหน้าผู้ให้ถือเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพเช่นกัน

    อั่งเปาสามารถมอบให้ในระหว่างไหว้ตรุษจีนในหมู่ญาติพี่น้อง หรือวางไว้ข้างหมอนเวลาที่ลูกๆ หลับในคืนวันสิ้นปีก็ได้

    ประเพณีการให้แต๊ะเอียได้สืบทอดสู่ชาวจีนรุ่นต่อรุ่น ทั้งในประเทศจีนและจีนโพ้นทะเล ครอบครัวจีนส่วนใหญ่ถือว่า ลูกหลานที่ทำงานแล้ว จะไม่ได้แต๊ะเอีย แต่จะกลายเป็นผู้ให้แทน การให้อั่งเปา ว่าเป็นวิธีการกระชับสัมพันธ์ในหมู่ญาติอีกแบบหนึ่ง

    นอกจากนี้ ยังมีตำนานโบร่ำโบราณเกี่ยวกับเรื่องอั่งเปาอีกว่า เมื่อครั้งโบราณกาลมีปีศาจเขาเดียวนามว่า “ซุ่ย” (祟) อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก ทุกคืนวันส่งท้ายปีมันจะขึ้นฝั่งมาทำร้ายเด็กๆ โดยซุ่ยจะใช้มือลูบศีรษะเหยื่อ หลังจากนั้นเด็กจะจับไข้ จากเด็กฉลาดเฉลียวจะกลายเป็นเด็กที่สมองเชื่องช้า

    ชาวบ้านเกรงว่า ปีศาจซุ่ยจะมาทำร้ายลูกหลาน เมื่อถึงคืนวันสุดท้ายของปี ก็จะจุดไฟเฝ้ายาม ไม่หลับไม่นอนตลอดทั้งคืน เรียกว่า “โส่วซุ่ย” (守祟 หรือ เฝ้าตัวซุ่ย) ต่อมาแผลงเป็น “โส่วซุ่ย” (守岁) ประเพณี“เฝ้าปี” ที่ชาวจีนนิยมปฏิบัติกันในค่ำคืนก่อนผัดเปลี่ยนสู่ปีใหม่แทน

    ในคืนนั้นเองมีเรื่องเล่าว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่งแซ่ กวน นำเงินเหรียญออกมาเล่นกับลูก ครั้นลูกน้อยเหนื่อยล้าหลับไป จึงได้นำเงินเหรียญห่อใส่กระดาษแดงแล้ววางไว้ข้างหมอนลูก เมื่อปีศาจซุ่ยบุกเข้าบ้านสกุลกวนหวังทำร้ายเด็ก แต่เพราะแสงทองจากเหรียญโลหะข้างหมอนกระทบเข้าตา ทำให้ซุ่ยตกใจและหนีไป

    เรื่องราวดังกล่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านอื่นๆ ต่างพากันลอกเลียนแบบ โดยทุกวันสิ้นปีผู้อาวุโสจะมอบเงินห่อกระดาษแดงแก่ลูกหลาน “ซุ่ย” จะได้ไม่กล้ามาทำร้าย นับแต่นั้นมาจึงเรียกเงินที่ให้นี้ว่า “ยาซุ่ยเฉียน” (压祟钱หรือ เงินทับตัวซุ่ย)ต่อมาแผลงเป็น “เงินทับซุ่ย (ปี)” แทน

    * ที่มาของคำว่า “แต๊ะเอีย” มาจากสมัยก่อนเงินตราที่ชาวจีนโบราณใช้กันเป็นโลหะ ขณะนั้นยังไม่มีชุดเสื้อผ้าที่มีกระเป๋า จึงได้นำเงินใส่ถึงและผูกรอบเอว เงินยิ่งมากน้ำหนักยิ่งกดทับที่เอวมากตาม

    [​IMG]
    กินบัวลอยแล้วออกไปชมโคมไฟ ในคืน ‘หยวนเซียว’

    เทศกาลหยวนเซียว(元宵节) คือวันที่ 15 เดือนอ้ายในปฏิทินจันทรคติ คำว่า 元หยวน มีความหมายว่า แรก ส่วน宵เซียว แปลว่า กลางคืน จึงใช้เรียกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปีหลังผ่านพ้นตรุษจีน สำหรับคืนนี้ มีประเพณีว่า ชาวจีนจะต้องรับประทานบัวลอยกันในครอบครัวและออกไปชมโคมไฟที่จะนำมาประดับประดากันอย่างสวยงาม ดังนั้น จึงมีการเรียกเทศกาลนี้อีกอย่างว่า เทศกาลโคมไฟ (灯节)

    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกครั้งที่ถึงค่ำคืนเทศกาลหยวนเซียว ผู้คนก็จะหลั่งไหลไปตามท้องถนนเพื่อชมโคมไฟที่มีรูปทรงต่างๆ ทายปัญหาเชาวน์ที่ซ่อนอยู่ในโคมไฟ เล่นดอกไม้ไฟ จุดประทัด แห่สิงโต ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมบันเทิงใจ

    นอกจากการชมโคมไฟแล้ว สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ คือการรับประทานบัวลอยที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า ภายในมีไส้ทั้งไส้หวานและไส้เค็ม ปั้นเป็นลูกกลมๆ แล้วนำไปต้มหรือนำไปทอด ในยุคแรก ชาวจีนเรียกขนมชนิดนี้ว่า浮圆子ฝูหยวนจื่อ (,浮-ลอย 圆子-ลูกกลมๆ) ต่อมาก็เรียกว่า 汤团ทังถวน(汤-น้ำแกง团-ลูกกลมๆ ) หรือ 汤圆ทังหยวน โดยมีความหมายเหมือนกัน ทั้งออกเสียงใกล้เคียงกัน และ 团圆เมื่อรวมกันแล้ว ก็ได้ความหมายถึงการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันของคนในครอบครัว


     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรให้ได้ผล

    -http://horoscope.sanook.com/1396332/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5/-



    สำหรับชาวสนุก!ดูดวง คนไหนที่ชอบการทำบุญไหว้พระ ขอพรเสริมดวง แต่การขอพรนั้นย่อมมีองค์ประกอบที่หลากหลาย โดยการเริ่มต้นบูชาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้ได้ผลนั้น ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ ผ่องใส และมีสมาธิตั้งจิตให้แน่วแน่และทำร่างกายให้บริสุทธิ์โดยการชำระร่างกายให้สะอาด มีความเชื่ออย่างแรงกล้าต่อสิ่งที่ขอไว้ จึงจะได้ผลตามที่ปรารถนาไว้ ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้

    1. การตั้งจิตให้มีสมาธิ มีพลังแข็งแกร่งตั้งมั่นด้วยแรงศรัทธาอธิษฐานอย่างแรงกล้าในสิ่งที่ปรารถนาไว้ จะส่งผลให้มีพลังมหาศาลทำให้ได้ผลตามที่มุ่งหวัง เนื่องจากจิตใจที่ตั้งมั่นจะเป็นแรงส่งหรือเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพลังขั้นแรกในการส่งไปขอพร ขออำนาจบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    พลังจิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของแต่ละบุคคล จะมีมากหรือน้อยจะส่งผลกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ขอไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และฐานกำลังจิตที่มาจากกรรมดี ที่เคยทำมาในอดีตชาติ หรือมีกรรมร่วมกันมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นหรือไม่ การทำสมาธิที่เป็นการตั้งจิตให้แน่วแน่และมีความปลอดภัยที่สุดคือการทำสมาธิแบบ "อานาปานสติ" โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก โดยการภาวนาตามลมหายใจ เมื่อจิตนิ่งไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่น จิตก็มีความบริสุทธิ์

    2. การทำร่างกายให้บริสุทธิ์ ผู้บูชาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้อยู่ในทาน ศีลและภาวนา นึกถึงบุญคุณความดีที่ได้กระทำมา ถึงจะเริ่มจะบูชาหรือสวดคาถาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีบุญของตัวเองเป็นที่ตั้ง บุญจากที่อื่นก็ไม่สามารถช่วยได้ ควรต้องรักษาศีลอย่างน้อยสุดคือศีล 5 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเรื่องของกรรมวาจา ซึ่งหมายถึง ต้องเป็นคนที่พูดจาเป็นมงคล เพราะการพูดมงคลนั้นเป็นการนำสิ่งที่ดีเข้าใส่ตัว แต่การพูดไม่ดีนั้นจะขัดแย้งกับมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งออกมา

    การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด เพราะกรรมนั้นจะขัดแย้งกันกับสิ่งที่เราปรารถนาจะได้มา การขอพรต้องขออย่างมีสติ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเรา มีศีลอะไรบ้าง มีความดีอะไรบ้าง เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับเรา

    3. เหตุจากกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ สิ่งที่จะต้องทำก่อนคือ ต้องสร้างกรรมดีขึ้นมาใหม่ ต้องทำให้สม่ำเสมอมากพอและนานพอ เป็นบุญใหม่เพื่อนำไปชดเชยหรือลดกรรมเก่าเพราะถ้าหากมีกรรมเก่ามากและเป็นวิบากกรรมหนักนั้นจะส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบัน ทำให้การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งมงคล ส่งผลกับแรงอธิษฐานได้น้อยมาก

    จึงจะต้องขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเสียก่อน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นยกโทษให้ และมาอนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ไปให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน เพื่อคลายวิบากกรรมไม่ดีออกไป เมื่อรู้จักการบูชาอนุโมทนาน้อมนำพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว พลังอำนาจเหล่านั้นก็จะหลั่งไหลรวมกันเข้าหาตัว ทำให้เกิดโชคลาภโดยเร็ว

    4. การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้อง การที่จะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะช่วยดลบันดาลให้มีอานุภาพสูงสุดนั้น จะต้องรู้จักวิธีการบูชาที่ถูกต้องเสียก่อน เพราะดวงจิตวิญญาณที่สถิตย์หรือรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีเจตจำนงในความต้องการแตกต่างกัน แล้วแต่พลังจิตวิญญาณนั้นๆ ว่าท่านอยู่ในระดับชั้นใด แต่ที่เหมือนกันก็คือท่านทรงไว้ด้วยคุณความดีและมีพลังบุญ บางองค์นั้นท่านเป็นพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ พรหมเทพเทวา หรือ เทพเจ้าต่างๆ วิญญาณบรรพบุรุษ หรือผู้ที่เคยมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน

    ก่อนการบูชาต้องจัดวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำแหน่งที่เหมาะสม อยู่ในทิศทางที่เป็นมงคลถูกต้อง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางครั้ง การถือศีล หรือเจริญภาวนา ทำสมาธิ ก็เพียงพอในการส่งบุญบารมี แต่ในบางครั้ง อาจจะต้องมีเครื่องเซ่นไหว้บูชาประกอบด้วย

    ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซ่นไหว้ใด ก็จะต้องเป็นสิ่งของที่บริสุทธิ์ ซื้อมาจากเงินที่บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ด้วยจิตใจที่พากเพียรน้อมนำในการจัดหา ในเวลาที่กำลังขอพรอยู่นั้นจะต้องรวมจิตให้แน่วแน่กับสิ่งที่ขอพรเพื่อให้มีพลังเชื่อมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้รับรู้ในสิ่งที่ปรารถนาซึ่งจะส่งผลให้ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น

    5. อำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละท่านแต่ละองค์มีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ กัน จึงไม่สามารถช่วยบันดาลสิ่งที่ขอพรได้ในทุกด้าน จึงควรระลึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีกำลังสูงเป็นพิเศษในด้านที่ขอ แต่สิ่งที่มีพลังอานุภาพสูงสุดในภูมิโลกนี้ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด เกินคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

    จึงควรตั้งนะโมฯ ขอกำลังคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ให้เป็นองค์ประธานในการอธิษฐานจิตขอพรใดๆ แล้วจึงต่อด้วยการขอบารมีพระสยามเทวาธิราช เทพพรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมดทั่วสากลโลกที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ระลึกถึงอานุภาพพระคุณของท่านทั้งหลาย

    6. สิ่งที่ขอ การที่จะขอพรให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ดีไม่เบียดเบียนหรือเป็นเรื่องที่เอาเปรียบใคร กุศลกรรมดีที่ทำไว้จะหนุนนำให้เกิดผลโดยเร็ววัน หากขอในช่วงเวลาที่เหมาะสมและดวงขึ้นก็จะส่งผลให้พรประสบผลสำเร็จได้ง่ายและเร็วขึ้น หากขอพรในสิ่งใดต้องขยันทำกรรมดีในเรื่องนั้นๆ ด้วย และการอธิษฐานในด้านกิจธุระต่างๆ ถ้าทำในจังหวะเวลาที่คนหมู่มากร่วมด้วย ก็จะยิ่งบังเกิดผลสำเร็จได้ง่าย

    7. อธิษฐานเผื่อแผ่ แรงอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่มุ่งเน้นประโยชน์ความต้องการของตนเองเพียงอย่างเดียว เมื่อได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนาแล้วควรจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นไปด้วยเพื่อให้คนที่เรารักและมีความปรารถนาดีมีความสุขไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าเป็นพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา ปรารถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุขเหมือนกับที่ตนได้รับการอธิษฐานเพื่อหวังผลประโยชน์สุขของผู้อื่นด้วยจะยังก่อให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริงด้วย

    ดังนั้นผู้หวังผลเลิศจากการอธิษฐาน จึงควรชำระจิตใจตนเองให้บริสุทธิ์ ดังนี้

    ทานบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรให้ทานแบบไม่หวังผลตอบแทน
    ศีลบารมี : ก่อนอธิษฐานจิต สำหรับฆราวาสควรสมาทานศีล 8 แบบ 3 ชั้นคือจะไม่ทำลายศีล 8 ด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีที่ผู้อื่นได้ทำลายศีลของเขาแล้ว
    เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรขจัดนิวรณ์ 5 ประการออกจากใจ โดยการสวดมนต์ แผ่เมตตาไม่มีประมาณ เพื่อให้เป็นจิตของผู้ถือบวชที่เรียกว่าเนกขัมมะ
    ปัญญาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรพิจารณาปลดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อ เพื่อให้จิตบริสุทธิ์เทียบเคียงพระโสดาบันคือ

    - คิดว่าวันนี้เราอาจจะต้องตาย ตายเมื่อไรก็ช่างมัน เราขอไปนิพพานจุดเดียว (ตัดสักกายทิฏฐิ)
    - คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราขอเคารพจริงใจในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ไม่ยอมปล่อย (ตัดวิจิกิจฉา)
    - คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราจะยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด (ตัดสีลัพพตปรามาส)

    วิริยะบารมี : ให้ตั้งใจว่าเราจะเพียรคิดดี พูดดี ทำดี ทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้เต็มความสามารถที่เรามี
    ขันติบารมี : ให้ตั้งใจว่า อะไรที่จะมาขวางให้เราทรงอารมณ์พระโสดาบันไม่ได้ เราจับไล่อารมณ์นั้นออกไปอย่างเต็มความสามารถที่เรามี
    สัจจะบารมี : ให้ตั้งใจว่า เราจะไม่ยอมให้จิตละไปจากอารมณ์พระโสดาบันเด็ดขาด
    อธิษฐานบารมี อุเบกขาบารมี : ให้ตั้งใจว่า ถ้าเราตายเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพาน


    ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948



    ขอเพิ่ม ผมว่า สำคัญที่สุด


    ถ้าไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่เคยทำ ก็ไม่ได้

    ถ้าใช่ของเรา ถ้าเคยทำไว้ ก็ได้รับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนถูกหลอกเช่า “พระเครื่อง” ด้วยใบตรวจอายุคาร์บอนปลอม
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กุมภาพันธ์ 2557 08:42 น.

    -http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000017700-


    [​IMG]

    [​IMG]


    สทน.เตือนผู้นิยมพระเครื่อง เสี่ยงถูกหลอกขายพระ อ้างส่งสถาบันตรวจคาร์บอน-14 วัดอายุว่า “เก่าจริง” แต่ความจริงไม่ได้ส่ง และแสดงใบตรวจปลอม

    สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เตือน ผู้นิยมเช่าพระเครื่อง หรือ ผู้สนใจพระเก่าระวังถูกหลอกขายพระราคาแพง โดยอ้างว่า นำมาตรวจอายุกับสถาบันแล้วเก่าจริง พร้อมทั้งแสดงใบรับรองปลอมหรือตัดต่อใหม่ เพื่อหลอกขายพระแก่ผู้ซื้อในราคาเกินจริง

    ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ หรือ สทน.เปิดเผยว่า สทน.ให้บริการตรวจสอบอายุโบราณวัตถุ โดยใช้เทคนิคเชิงนิวเคลียร์ที่เรียกว่า การวัดอายุคาร์บอน (Carbon Dating) ซึ่งเป็นการวัดปริมาณการสลายตัวของธาตุคาร์บอน -14 ในวัตถุที่เป็นส่วนประกอบของโบราณวัตถุชิ้นนั้นๆ เพื่อกำหนดอายุ และออกใบรับรองให้

    นอกจากกรมศิลปากรที่นำตัวอย่างโบราณวัตถุมาให้ สทน.ในการหาค่าอายุแล้ว ดร.สมพร ระบุว่า ยังมีกลุ่มบุคคลที่เป็นเจ้าของพระเครื่อง หรือเป็นเจ้าของโบราณวัตถุชนิดต่างๆ มักนำโบราณวัตถุจำนวนมากมาตรวจ เพื่อให้ได้ใบรับรองอายุ หลังจากนั้นก็นำกลับไปขายให้ผู้สนใจในราคาสูง

    “ปัจจุบันมีผู้สนใจเช่าพระแต่ดูพระไม่เป็นจำนวนมากกว่า ที่ถูกหลอกหรือเสียเงินไปแต่ได้พระที่ไม่สมกับเงินที่เสียไป ยิ่งปัจจุบันมีคนหัวใสนำพระเครื่องมาตรวจหาอายุ เพื่อให้ สทน.ออกเอกสารรับรองให้ และเดือนที่ผ่านมามีผู้นำไบรับรองของ สทน.ไปปลอมแปลง หรือทำสำเนา เพื่อประโยชน์ในการให้เช่าพระหลายราย จึงอยากเตือนผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่อง แต่ต้องการเช่า หรือเชื่อในเอกสารปลอม ท่านอาจจะได้พระปลอมไปโดยไม่รู้ตัว จากมูลค่าของตลาดพระที่แต่ละปีมีเงินหมุนเวียนกว่า 20,000 ล้านบาท ผมเชื่อว่าอาจจะมีผู้ให้เช่าบางรายดำเนินการในลักษณะนี้บ้าง” ดร.สมพรกล่าว

    ด้าน น.ส.นิภาวรรณ ปรมาธิกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สทน. ผู้ดูแลการออกใบรับรอง เผยถึงขั้นตอนการให้บริการหาค่าอายุโบราณวัตถุว่า สทน.จะรับตรวจวัตถุที่เชื่อว่าจะมีอายุมากกว่า 200 ปี เพราะหากต่ำกว่าเทคนิคนี้จะใช้ไม่ได้ผล

    “ผู้ที่มารับบริการต้องยอมให้ สทน.ทำลายตัวอย่างนั้น เพราะขั้นตอนคือ ต้องบดวัตถุให้ละเอียดจนเป็นผง แล้วไปผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปวัดค่าการสลายตัวของธาตุคาร์บอน-14 ผลการรับรองที่ปรากฏในเอกสารที่ส่งกับไปให้ผู้บริการ คือ ค่าอายุของเนื้อวัสดุที่นำมาทำเป็นพระ ไม่ใช่อายุพระ และเป็นเวลาของการสลายตัวของคาร์บอน-14 ไม่ใช่ปีปฏิทิน” น.ส.นิภาวรรณกล่าว

    น.ส.นิภาวรรณ อธิบายอีกว่า ใบรับรองดังกล่าวจะเป็นการรับรองตัวอย่างที่นำมาตรวจเท่านั้น ซึ่งได้ถูกทำลายไปในขั้นตอนการตรวจเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นผู้เห็นใบรับรองที่ออกจาก สทน.อาจต้องใช้วิจารณญาณ ในการเช่าพระเครื่อง เพื่อจะไม่เสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ในส่วนใบรับรองที่มีผู้นำไปปลอมแปลงขึ้น สทน.จะปรับปรุงให้ใบรองรองมีรูปแบบเฉพาะมากขึ้น เพื่อให้ยากต่อการปลอมแปลงหรือนำไปตัดต่อ

    หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจอายุโบราณวัตถุ พระเครื่อง หรือสงสัยว่าเอกสารที่รับรองเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ สามารถติดต่อที่ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 02 401 9885 ได้ทุกวันเวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ 8.30-16.30 น.
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตามรอย′สยามวงศ์′ ไทย-ศรีลังกา วัดธรรมาราม

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1392374575&grpid=&catid=08&subcatid=0804-

    โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ และกฤตยา เชื่อมวราศาสตร์


    [​IMG]

    หอไตรที่พระอุบาลีมหาเถระจำพรรษา


    [​IMG]

    (ซ้าย) ประตูพระวิหารขนาดใหญ่ (ขวา) หน้าต่างหอไตร


    [​IMG]

    พระอุบาลีมหาเถระ



    วัดธรรมาราม ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา แต่เดิมชื่อ วัดสนามไชย หากจะเทียบกับวัดแห่งอื่นในจังหวัด วัดนี้เป็นเพียงวัดเล็กๆ บนเนื้อที่ 25 ไร่ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้าม อนุสาวรีย์ศรีสุริโยทัย

    แต่ประวัติศาสตร์ของวัดธรรมารามนั้นไม่ธรรมดา

    สมัยกรุงศรีอยุธยา กองทัพพม่าจะมาตั้งค่ายบริเวณวัดธรรมาราม เพื่อล้อมกรุงทุกครั้ง เพราะอยู่ตรงข้ามพระราชวังโบราณ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั้งยังสามารถควบคุมการสัญจรทางน้ำของอยุธยาได้

    ปัจจุบัน หากขับรถเข้ามายังวัดซึ่งในอดีตเป็นเพียงทางเกวียนเล็กๆ จะเห็นว่าถนนคั่นกลางระหว่าง เขตสังฆาวาส ซึ่งติดแม่น้ำ ประกอบด้วยหอไตร หอระฆัง เรือนหมู่กุฏิ และพิพิธภัณฑ์พระอุบาลีเถระ และ เขตพุทธาวาส ล้อมรอบด้วยระเบียงแก้วสมัยอยุธยา อันประกอบด้วยวิหารสมัยอยุธยาที่เครื่องหลังคาและหน้าบันเป็นไม้ทั้งหมด ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้า 4 องค์ คือ พระกกุสันธพุทธเจ้า, พระโกนาคมพุทธเจ้า, พระกัสสปพุทธเจ้า และพระโคตมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) และอุโบสถด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปพี่น้อง ปางมารวิชัย ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระพักตร์เหมือนกันมาก เจดีย์ประธาน และหน่อจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากประเทศศรีลังกา

    ทั้งสองพื้นที่ล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ร่มครึ้มไปด้วยร่มเงาของไม้ยืนต้นอายุกว่าร้อยปี อาทิ ต้นตะเคียนคู่ในเขตสังฆาวาส และต้นเขยตายซึ่งดั้งเดิมใช้ทำปลัดขิกในเขตพุทธาวาส ใกล้กับโบสถ์หลังเก่าสมัยอยุธยา และถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน

    แม้เป็นวัดเล็กๆ ของกรุงศรีอยุธยา แต่เป็นส่วนหนึ่งซึ่งสะท้อนว่า พุทธศาสนาในแผ่นดินสยาม เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด

    หากย้อนหลังไปราว 700 ปีในสมัยกรุงสุโขทัย พุทธศาสนาในแดนลังกา เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เช่นกัน มีพระธรรมทูตเดินทางมาเผยแผ่ศาสนาในสยาม จน ศาสนาพุทธแบบเถรวาท นิกายลังกาวงศ์หยั่งรากลึกในสยาม

    ทว่าในยุคอาณานิคม แผ่นดินซึ่งมีรูปร่างเสมือนหยดน้ำของอินเดียแห่งนี้ถูกปกครองทั้งจากโปรตุเกส อังกฤษ และฮอลันดา พุทธศาสนาจึง "หายไป"

    เมื่อศรีลังกาได้รับเอกราช พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ กษัตริย์ลังกา จึงส่งราชทูตมาเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพื่อขอนิมนต์สงฆ์ไทยไปฟื้นฟูศาสนา ณ ศรีลังกา ทราบความดังนั้นกษัตริย์สยามจึงส่ง พระอุบาลีมหาเถระ พระราชาคณะฝ่ายอรัญวาสี ผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎกทั้งฝ่ายปริยัติและปฏิบัติ ซึ่ง พระอธิการประสาทเขมะปุญโญ เจ้าอาวาสวัดธรรมารามบอกว่า ตำแหน่งเทียบเท่านายกรัฐมนตรีของสงฆ์ในสมัยนั้น

    พระอุบาลีมหาเถระ รอนแรมไปกลางทะเลกับเรือสินค้าสัญชาติดัตช์นานกว่า 5 เดือน เมื่อถึงศรีลังกาจึงเป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทพระ 700 และบรรพชาสามเณร 2,300 รูป พระพุทธรูปในศรีลังกาจึงเจริญรุ่งเรืองกระทั่งปัจจุบันรวม 260 ปี และให้เกียรติตั้งชื่อว่า นิกายสยามวงศ์ หรือ อุบาลีวงศ์

    พระอธิการประสาทเขมะปุญโญเล่าว่า อุปสมบทและจำพรรษาที่วัดธรรมารามมา 25 ปีแล้ว อยากคงความดั้งเดิมและเรียบง่ายของวัดไว้ แต่เนื่องในวาระครบรอบ 260 ปีสยามวงศ์ รัฐบาลไทยและศรีลังกาจึงร่วมกันก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระอุบาลีเถระ เปิดเมื่อธันวาคม 2556 โดยใช้ศาลาการเปรียญหลังเก่า ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท จากสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ประดิษฐานรูปจำลองของพระอุบาลีมหาเถระขนาดเท่าองค์จริง ด้านในพิพิธภัณฑ์มีรูปจำลองของพระอุบาลีมหาเถระอีกองค์ เป็นไม้มะฮอกกานีแกะสลักปิดทอง ที่รัฐบาลศรีลังกามอบให้

    "บอกเล่าเรื่องราว ความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างนิกายลังกาวงศ์ในไทย และนิกายสยามวงศ์ในศรีลังกา"

    สถานที่หนึ่งที่บอกเล่าตัวตนของพระอุบาลีเถระ คือ "หอไตรและหอระฆัง" ที่ปัจจุบันเป็นอาคารสีขาวหลังกะทัดรัด ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

    "จากประวัติศาสตร์และตำนานที่เล่าขานกันมา หอไตรเป็นสถานที่ที่พระอุบาลีจำพรรษาและปรึกษากับ พระอริยมุนี ถึงการเดินทางไป "ปักหลัก" พุทธศาสนา ณ ศรีลังกา แม้ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการบูรณะครั้งใหญ่ หลักฐานหนึ่งคือตราสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่หน้าประตูทางเข้า แต่บานประตูและหน้าต่างไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรยังเป็นของเดิมสมัยกรุงศรี ส่วนจิตรกรรมฝาผนังเลือนรางเกือบหมด" เจ้าอาวาสกล่าว

    สหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา เล่าว่า วัดธรรมารามมีการบูรณะเรื่อยมา ล่าสุดเป็นการบูรณะโบสถ์และวิหารเมื่อ 2555 เมื่อดูจากรูปแบบสถาปัตยกรรมของตัวพระอุโบสถจะมีลักษณะโค้งเหมือนท้องสำเภา เป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย ส่วนหอไตรบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะมีจิตรกรรม มีพระบรมสาทิสลักษณ์ (รูปวาด) ของรัชกาลที่ 5 ปรากฏอยู่

    จากวัตรปฏิบัติของสงฆ์ไทยในอดีต ศรีลังกาจึงมีศาสนาพุทธหยั่งรากอีกครั้งในชื่อ "นิกายสยามวงศ์"

    พระอุบาลีมหาเถระ

    เป็นพระธรรมทูตในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่เดินทางไปยังประเทศศรีลังกาตามคำร้องของฝ่ายศรีลังกาในการเป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแก่ สามเณรสรณังกร ชาวสิงหล เพื่อสืบทอดพุทธศาสนาในศรีลังกา

    ได้รับการจดจำในเรื่องความกล้าหาญของท่านที่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังศรีลังกา และได้มรณภาพที่นั่นหลังจากปักหลักเผยแผ่ศาสนานาน 2 ปี 9 เดือน นับเป็นพระธรรมทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

    พระอุบาลีมหาเถระ เมื่อแรกได้พำนักอยู่ที่วัดธรรมาราม ซึ่งเป็นวัดเล็กๆ มีอาณาเขตทิศเหนืออยู่ติดกับวัดท่าการ้อง ทิศใต้อยู่ติดกับวัดกษัตราธิราช ทิศตะวันออกอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทิศตะวันตกอยู่ติดกับถนนบางบาล ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา

    พระอุบาลีมรณภาพด้วยโรคหูอักเสบ ภายในกุฏิวัดบุปผาราม (มัลวัตตวิหาร) เมืองแคนดี เมื่อปี พ.ศ.2299 พระเจ้าแผ่นดินศรีลังกาให้จัดพิธีถวายเพลิงศพอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ โดยจัดขึ้นที่สุสานหลวงนามว่าอาดาหะนะมะลุวะ ปัจจุบันคือวัดอัศคิริยะเคดิเควิหาร เมืองกัณฏี

    ปัจจุบันได้ก่ออิฐล้อมสถานที่เผาศพท่านไว้ หลังเสร็จสิ้นพิธีถวายเพลิงศพแล้ว ทรงมีรับสั่งให้สร้างเจดีย์บนยอดเขาใกล้วัดอัสคีริยะบรรจุอัฐิเพื่อสักการบูชาซึ่งมีปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน กุฏิท่านพระอุบาลีและห้องพักของท่านได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นเพียงห้องเล็กๆ มีเพียงเตียงเก่าๆ และโต๊ะเก้าอี้อีกหนึ่งชุดเท่านั้น บริขารและสิ่งของที่ท่านเคยใช้สอยที่ยังเหลืออยู่

    ชาวศรีลังกาก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรเคารพเช่นกันและได้เก็บรักษาไว้จนทุกวันนี้




    หน้า 21 มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อารมณ์ขันสมเด็จโตวัดระฆัง

    :: INN online .

    ในหนังสืออารมณ์ขันและความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี มีบันทึกเรื่อง "แกงร้อนสมเด็จฯ"ให้แง่คิดที่น่าสนใจยิ่ง

    สิ่งหนึ่งที่ทำให้สมเด็จโตรู้สึกอึดอัดใจ ก็คือ ไม่ว่าท่านจะทำกิจการใดๆ ก็ตาม
    เมื่อปรึกษาหารือกับภิกษุในวัด ก็มักจะได้รับคำตอบว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นสมควรแล้ว ดีแล้ว ทุกครั้งไป ..

    วันหนึ่งมีผู้นำแกงร้อนวุ้นเส้นชามใหญ่มาถวายท่าน ท่านสั่งให้ศิษย์วัดนำกระทะใบบัวใหญ่ มาตั้งน้ำเต็มกระทะจนกระทั้งเดือนพล่าน แล้วนำแกงร้อนถ้วนนั้นเทลงในกระทะแล้วให้ศิษย์วัดไปเก็บผักบุ้งในลำคลองข้างวัด มาล้างทำความสะอาดแล้วหั่น ใส่ลงไปในแกงร้อนนั้น นำอาหารอีกหลายอย่างที่มีผู้นำมาถวาย เทใส่รวมลงไปหมด แลดูไม่น่าขบฉันเลยแม้แต่น้อย

    เมื่อเสร็จแล้ว ก็ให้ศิษย์วัดตีกลองเป็นสัญญาณให้ภิกษุสามเณรต่างๆ นำปิ่นโต ถ้วยชามมาแบ่งอาหาร โดยท่านกำชับให้บอกภิกษุสามเณรทุกรูปว่าเป็นแกงร้อนที่ท่านปรุงเอง ภิกษุทั้งวัดระฆังจึงได้ฉันแกงร้อนสมเด็จฯ ในมือเพลวันนั้นโดยทั่วถึง

    ครั้นตกเวลาเย็น ภิกษุทุกรูปจะต้องมาร่วมทำวัตรค่ำในพระอุโบสถ สมเด็จโตไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูโบสถ์ คอยถามภิกษุทุกรูปที่เดินผ่านท่านเข้าไปในโบสถ์ว่า

    “แกงร้อนของท่านเมื่อตอนเพลเป็นอย่างไรบ้าง”?

    ปรากฏว่าภิกษุทุกรูปตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า อร่อยดีมาก

    ท่านก็ถามภิกษุทุกรูปเรื่อยมา จนกระทั้งถึงภิกษุชราองค์หนึ่งซึ่งบวชอยู่วัดระฆังมานานหลายสิบพรรษา เดินผ่านมาสมเด็จฯก็ถามเหมือนเดิมว่า

    “ขรัวตา แกงร้อนของฉันเมื่อตอนเพลเป็นอย่างไรบ้าง? ฉันลงมือทำเองทีเดียวนะ”

    ขรัวตา ชงักนิดนึงแล้วตอบว่า

    “ไม่ไหวครับ พระเดชพระคุณท่าน กระผมเทให้หมามันยังไม่กินเลย”
    สมเด็จฯ ยิ้มด้วยความพอใจ แล้วประนมมือไหว้ขรัวตา

    สาธุ สาธุ ขรัวตานี่แหละศีลบริสุทธิ์โดยแท้ ควรแก่การเคารพ สาธุ ..

    ที่มา หนังสือ อารมณ์ขันและความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...