มีเรื่องอยากเล่าไม่รู้จะพูดให้ใครฟังไม่รู้จะตั้งกระทู้ห้องสมาธิหรือห้องนี้ดี

เรื่องมีอยู่ว่ามีคนๆหนึ่งมาทึกทักเราว่า เราเป็นเนื้อคู่เขาแต่อดีตชาติ แรกๆเขาก็คุยปกติพอเราเริ่มสนิทเขา เขาเลยบอกเราว่าเขาตามหาเรามาหลายภพหลายชาติรอมานานแล้วด้วย แรกๆที่เขาเห็นเราเขาบอกว่าเขารู้แต่เขาไม่กล้าพูดกลัวเราไม่เชื่อเลยรอจังหวะบอก ซึ่งคนๆนี้เขามีครอบครัวแล้วแต่เลิกกันนานแล้วลูกๆเขาก็มีครอบครัวแล้ว เขาบอกว่าที่แฟนเขาเลิกเพราะกลัวเขามีอยู่วันหนึ่งเขาหลับแล้วไม่รู้ตัวแฟนเขาเห็นเขาเป็นพญานาคตกใจเลยกลัว บางครั้งเขามีอาการตาแดงเขาเคยส่งรูปมาให้ดูด้วย อาการตาแดงที่ว่านี้คือลูกตาดำออกสีแดงๆ ซึ่งก็มีหลายคนทักเขาเหมือนกันแต่เขาก็จะตอบว่าเหลี่ยงๆไป แรกก็ไม่เชื่อแต่คำพูดที่เขาพูดมาบางครั้งมันเหมือนอะไรมากระตุ้นให้เราเหมือนจะระลึกไรได้บางครั้งก็เผลอน้ำตาไหลกะเขาเหมือนคิดถึงกันมาก แล้วเขารู้นิสัยเรายังกะสนิทกันรู้แม้กระทั่งท่านอนว่าเราชอบนอนท่าไหน เขาถามเราว่าเราหนีเขามาทำไมเราก็พูดเออ ออกะเขาไปได้ด้วยแฮ่ะเขาก็เล่าเรื่องในอดีชาติให้เราฟังเรื่อยๆเราก็ฟังหูไว้หู จนมาวันหนึ่งนั่งสมาธิกับเพื่อน แล้วอยู่ๆเพื่อนมันก็ถามว่ามันตามจิตของเราไปแล้วมันเห็นพญานาค 2 ตน เขียวกะแดง สีแดงอยู่หลังพระ บลาๆไป ซึ่งทำให้ต้องตกใจ เนื่องจากมันตรงกับ คนที่ทึกทักว่าเราเป็นแฟน หลังจากนั้นเวลานั่งสมาธิจิตชอบดิ่งลงไปใต้น้ำลึกเรื่อยๆจนถึงปากถ้ำ แต่ต้องดึงจิตกลับมาเพราะคิดว่าตัวเองคิดไปเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรยังหาคำตอบไม่ได้ แล้วต่อมาเพื่อนชวนไปนั่งสมาธิจิตมันก็ตามเราอีกมันบอกว่าเห็นเราลอยน้ำลงไปมันเลยตามไปดิ่งไปยังที่ๆเราเคยไปมันก็ถามเราอีกก็ไม่รู้ว่าทำไม
1. อยากรู้ว่ามีอะไรพิสูจน์หรือพอให้เรารู้ได้มัยว่าสิ่งที่เขาพูดว่าเราเป็นเนื้อคู่เขาจริงๆ
2. อยากรู้ว่าทำไมจิตเพื่อนกะจิตเรา จะต้องผูกกันเวลานั่งสมาธิ เพื่อนมันบอกว่ามันก็นั่งของมันดีๆแต่เหมือนมีอะไรมาดึงจิตมันไปในสมาธิเรา ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม
3. อยากรู้ว่าทำยังไงหรือต้องฝึกยังไงผมถึงจะมีสามธิไม่หลุดลงไปใต้น้ำ

จะเล่าให้ใครฟังเด่วหาว่าบ้า...เลยมาเล่าในนี้ละกันเผื่อได้คำแนะนำอะไรบ้าง?

 

ชอบเขารึเปล่าละ ถ้าไม่มีอะไรเสียหาย ก็ลองคบดู
ถ้าไม่ได้ชอบ คุณจะให้คำว่า "เป็นเนื้อคู่กันตั้งกะชาติที่แล้ว" มาเป็นเหตุผลในการเลือกคู่เหรอ?

แต่มันก็ฟังดูโรแมนติกดีเหมือนกันนะ "เป็นคู่กันเมื่อชาติที่แล้ว"

 

1. อยากรู้ว่ามีอะไรพิสูจน์หรือพอให้เรารู้ได้มัยว่าสิ่งที่เขาพูดว่าเราเป็นเนื้อคู่เขาจริงๆ
...เคยได้ยินว่า"มี"...
แต่ก็ต้องวนเวียนเพื่อหาทางพิสูจน์หรือหาหลักฐานกับสิ่งที่ได้พิสูจน์อีกว่ามัน"จริงหรือไม่จริง"...
แต่หากคุณหาคำตอบให้กับตัวเองได้ว่า "จะพิสูจน์ไปเพื่ออะไร" ...
และหากรู้(ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง)จะทำให้ชีวิตที่ต้องเดินต่อไปข้างหน้ามันมีอะไรดียิ่งขึ้นหรือไม่...
นั่นจะทำให้คำตอบข้อที่ ๓ ของคุณปรากฏ...

2. อยากรู้ว่าทำไมจิตเพื่อนกะจิตเรา จะต้องผูกกันเวลานั่งสมาธิ
เพื่อนมันบอกว่ามันก็นั่งของมันดีๆแต่เหมือนมีอะไรมาดึงจิตมันไปในสมาธิเรา ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม...
...ในภาษาอังกฤษที่กำลังฮิตคือ"imprint"...หรือ "ผูกจิต"ต่อกัน...

3. อยากรู้ว่าทำยังไงหรือต้องฝึกยังไงผมถึงจะมีสามธิไม่หลุดลงไปใต้น้ำ
...คำตอบในข้อที่ ๑ของคุณจะสามารถทำเรื่องนี้ให้พ้นไปเองโดยไม่ต้องฝึกแต่อย่างใด...

ความเห็น...นี่เป็นเรื่องของการป้อนข้อมูล...
ซึ่งคุณได้ไปยอมรับข้อมูลนั้นจนเกิดความเชื่อไปเกือบเก้าสิบเปอร์เซนต์
จึงทำให้เกิดภาพอะไรต่อมิอะไรขึ้นกับจิตที่ไปจดจำข้อมูลนั้น ๆ...
แต่เอาล่ะ...ถึงแม้ว่ามันจริง...
คุณก็ยังมีทางเลือกเหมือนกันว่าจะกลับไปอยู่กับประสบการณ์เก่าๆ
หรือ คุณจะเดินไปข้างหน้าเพื่อไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ดีหนอ...

...ชีวิตจะเป็นไปในทิศทางใด ย่อมมีให้เลือกเสมอ...
ต่อให้พูดคำว่า "ไม่มีทางเลือก" นั่นก็ยังหมายถึง "ได้เลือกแล้ว"...

อจิตตะ...

 

1.ฝึกสมาธิพิสูจน์ด้วยตัวเอง หรือ ไปให้นักสะกดจิตย้อนอดีตชาติให้ มีอยู่ในเืมืองไทยลองหาดูในกูเกิล
2.เขามาผูกกับคุณเอง ไม่เกี่ยวกับคุณ
3.ก็อย่าลงไปแค่ไหน ที่เห็นเป็นนิมิต เห็นแล้วก็ไม่ต้องสนใจไม่ต้องตามไปดึงสติให้อยู่กับคำภาวนา ลมหายใจ นิมิตกสิณ ถ้ายังขืนตามไปดู เกิดตายตอนนั้นก็ไปเกิดเป็นพญานาคกลัวหรือเปล่าล่ะ

 

จริงๆแล้วข้อมูลมันอยู่ในความรู้สึกตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะมีคนมาสะกิดให้มันรับรู้ได้เพิ่มขึ้น ตอนเด็กของเราสองคน คิดคล้ายกันตรงที่รู้สึกคิดถึงใครสักคนอยากกลับไปที่ไหนสักแห่งเหมือนมีคนเฝ้ารอ ความรู้สึกเป็นอะไรที่อธิบายอยากบางครั้งไม่ต้องคุยกันแค่คิดถึงมันก็ไหลแล้วน้ำตาทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันเลยในชาตินี้ แต่ก็ไม่อยากจมอยู่กับอดีตชาติ ไม่ได้จำอดีชาติได้นะแค่รับรู้มันด้วยความรู้สึก ส่วนเขาที่รู้เพราะว่าเริ่มจากนั่งสมาธิจนรับรู้ได้ อธิบายความเป็นมาได้หมดทุกอย่าง
แต่ก็บอกเขาไปว่าไหนๆเกิดมาเป็นคนแล้วขอทำอะไรดีๆ ส่วนข้างหน้าเป็นไงก็ค่อยว่ากันไม่เคยจะกลัว เรื่องบางเรื่องก็ไม่เชื่อแต่ก็มีเหตุต้องเชื่อ บางอย่างก็ฟังหูไว้หูรับรู้แบบใช้สติพิจารณา
เราคุยกันแบบเขาไม่เคยเห็นหน้าเรา แต่เขาบอกว่ารับรู้ด้วยความรู้สึกมันอุ่นๆใจเเชื่อใจ พอคุยได้หลายๆเดือนเลยส่งรูปเราให้เขาดูเขาบอกว่าน้ำตาไหล บอกเคยเห็นหน้าเราแล้วก็เลย งง ๆ
ประเด็นคืออยากนั่งสมาธิแล้วให้จิตไม่ฟุ้งไปที่นั้น ภาวพุทโธทุกลมหายใจ แต่มันก็มีอะไรมาดึงลงไปเลยอยากขอคำแนะนำกับทุกท่านหรือต้องทำไง?

 

ฝึกอยู่กับปัจจุบัน คิดไตร่ตรองโดยใช้วิจารณญาณของตน จะไปข้างหน้า หรือจะกลับไปหาอดีต เป้าหมายของคุณคืออะไร ตอบตัวเองเถอะ กว่าจะได้มาเป็นมนุษย์ผู้ชาย โชคดีได้สิทธิ์บวช แถมมีกัลยาณมิตรด้วย (เรื่องของใครคนนั้นตัดสินใจเอง เพียงแต่ตอบตามความเห็นส่วนตัวอาจดีหรือไม่ก็ได้ เพราะคุณถามจึงขอตอบเท่านั้น)

 

รอไปอีกชาติได้มั๊ยอ่ะ... ชาตินี้แก่ไปแล้วมั๊ง

ระหว่างรอฝ่ายชาย ก็เลยมีผัวกับลูกฆ่าเวลา ไม่สมเหตุสมผลเลย

ลองคุยกับผัวเก่ากับลูกเขาดูบ้างดิ เผื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น

 

ระหว่างรอ ขอมีเมีย มีลูกไปพลางๆก่อน
เรื่องคล้ายๆ ละครช่อง 3 เมื่อหลายปีก่อนเลย ที่ ศรีริต้า เจนเซ่นเล่น
นะ ชีวิตดั่งละคร

 

คุณอาดโดนป้อนข้อมูล
คล้ายกับการสะกดจิต ใส่ข้อมูลทุกวัน
ว่าเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ ทำให้เราคล้อยตาม
จิตเริ่มคิดว่าอาจจะจริงคิดเป็นตุเป็นตะว่าแบบนั้นแบบนี้
ทำให้หลงไปได้ สติและปัณญาสำคัญสุด ปล่อยวาง
แต่ถ้า คล้อยตามเขาไป ก็แล้วแต่กรรม
คำถามอืนๆไม่มีความคิดเห็นครับ

 

คงต้องใช้สติให้มากๆ ไม่รู้นะละครอะไรเป็นยังไง แต่ความจริงมันมีเรื่องของกรรม มาเกี่ยวข้อง เลยบอกเขาไปว่าขอใช้ชีวิตกับปัจจุบันชาติแล้วกัน

 

ถูกต้อง ต้องมีสติ ในทุกๆเรื่อง อย่าปรุงแต่งจิตมากไป

 

บางครั้งน้ำหยดใส่หินทุกวันหินก็กร่อนได้เหมือนกันนะ :'(

 

อ้าววววว... กร่อนไปแล้วเหยอออ

หินกร่อนแล้ว ระวังจะมีหินงอกตามมาด้วยนะครัฟฟฟ

 

คุณกับเค้ายังมีจิตที่ผูกพันกันอยู่ หรือยังมีกรรมที่ยังเกี่ยวข้องต่อเนื่องกันมา จนถึงปัจจุบัน การตั้งจิตอธิฐานอโหสิกรรมต่อกัน จะทำให้จิตที่ผูกพันกันค่อยๆ คลายออกไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยก็คบกันแบบเพื่อน อนาคตจะเป็นอย่างไร กรรมได้กำหนดไว้แล้ว อย่าสร้างเงื่อนไขปัจจุบัน ให้เกิดผลที่ไม่ดีในอนาคตก็แล้วกัน

 

เคยขออโหสิกรรมกันแล้วให้อภัยกันหมด บอกไปแล้วไม่สร้างกรรมต่อกันอีก แต่เขาขอให้กลับบ้านหลังจากจบชาตินี้ เขาบอกว่าชาตินี้ดีแค่ไหนแล้วที่จำกันได้ ถ้าหากอนาคตต้องกลับไปที่เดิมก็ขอ ทำความดีในชาตินี้เยอะๆละกันเพราะ ที่นั้นเขาปกครองกันแบบ บุญญาธิการ คนบุญมากปกครองคนบุญน้อย การจะทำบุญก็ไม่ได้ทำกันง่ายๆเหมือนข้างบนแม้แต่ การจะฟังเทศน์แต่ละครั้งก็ต้องนิมนต์พระท่านมา...

 

คงไม่มีหินหงอกหินย้อยใดๆทั้งสิ้น 5555++
ที่ว่ากร่อนนี้ แค่รู้สึกแอบสงสารนิดหน่อย 5555++

 

อดีตชาติช่างลึกล้ำนัก