วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณchdhorn<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_862385", true); </SCRIPT> ครับ

    ข่าวดีข้อแรกเรื่องหลานขอโมทนาบุญด้วยครับ การให้เด็กอยู่ใกล้คนมีศีลมีธรรมแต่เด็กมีผลอย่างที่สุดครับช่วยเลี้ยงหลานเองน่าจะดีกว่า

    เรื่องที่สองคุณน้องชายนั้น ก็ขอโมทนาบุญด้วยกับความก้าวหน้าในธรรมครับ สำหรับกสิณนั้นหากเข้าใจก็ไม่ใช่ของยากเกินไปนัก ในช่วงนี้ให้ฝึกจนได้เป็นแก้วประกายพรึกให้ครบทุกกองก่อน

    เรื่องการใช้ฤทธิ์ให้ลืมไปก่อนอย่าเพิ่งไปสนใจ ทำให้คล่องตัวใช้ได้ดังใจ เห็นอะไร เล่นเป็นกสิณได้ทุกอย่างให้ได้ก่อน จากนั้นก็ย้ายดวง ย่อขยาย เคลื่อนไปมาทำใจสบายเหมือน ของเล่น (จึงใช้คำว่าเล่นกสิณ)

    พอคล่องแล้วก็มาควบกสิณกับพุทธานุสติกรรมฐาน จับภาพพระสีต่างๆจนเป็นแก้วประกายพรึกไปทีละองค์

    ทำได้แล้วมาต่อครับ

    ส่วนคุณพี่สาว นับว่ามีความฉลาดอยู่มาก ไม่เสียแรงที่อยู่ในวิสัยปฏิสัมภิทาญาณ อธิฐานแล้วทำควบได้เลยครับ

    ต่อให้อีกขั้นหนึ่งซึ่งจะบรรจบกับของเก่าที่คุณคยได้มาเมื่อก่อน เรียกว่า"วิชชากายเพชรประกายพรึก"

    พอดึงลมหายใจเข้าไป อธิฐานให้เริ่มจากการชำระจิตของเราเองให้เป็นเพชรประกายพรึก เห็นจิตของเราสะอาดสว่างสดใส จากนั้นอธิฐานจิตให้ชำระล้างแก่นกระดูกไขกระดูก จนสะอาดใสเป็นเพชร ไล่ชำระล้างออกไปยังเนื้อกระดูก เนื้อ ไขมัน อวัยวะภายใน จนไปถึงผิวหนังภายนอก จนจิตเราเห็นกายเนื้อเป็นแก้วใสเป็นเพชร จนเป็นกายวิสุทธิเทพเป็นปกติ กำหนดต่อไปว่าเราคืออาทิสมานกาย กายหยาบไม่มีในเรา เราคือกายที่ส่องสว่างวิสุทธิเทพ อันมีพระนิพพานเป็นที่สุด

    เป็นการควบอาณาปานสติควบกายคตาและอาการ สามสิบสอง ควบกสิณ ควบอุปมานุสติกรรมฐานอารมณ์พระนิพพานในที่สุด

    คราวนี้สติจะรู้สึกแต่ว่าเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพ กายนิพพานอยู่ตลอดเวลา เห็นมือก็เห็นเป็นแก้ว ขึ้นนิพพานนี่แว่บเร็วยิ่งกว่าเร็ว ทำไปตลอดไม่ทิ้ง พอตายไป กระดูกก็จะกลายเป็น..... ให้ไปคิดเอาเอง

    ส่วนเรื่องการออกจากฌานนั้น พระท่านสอนเอาไว้ว่าให้ค่อยๆถอนจิตช้าๆ หายใจเข้าช้าๆลึกๆสามครั้ง พุทธโธ ธัมโม สังโฆ เพื่อให้กายทิพย์ไม่สะเทือน ซึ่งคุณมาช่วยยืนยันก็ดีครับ เพราะบางคนไม่มีประสบการณ์ก็จะไม่เข้าใจว่าทำไม

    ก็ขอกราบโมทนาในความก้าวหน้า ความเจริญในธรรมของทุกๆท่านครับ ยังมีอีกหลายๆท่านที่ก้าวหน้าแต่ยังไม่มาเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง

    คำแนะนำนี้ ท่านที่พอทำได้ก็ทำตามไปได้เลยครับ ไม่จำกัดเฉพาะเจ้าของความเห็นครับ
     
  2. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะคุณครู...

    พรุ่งนี้เช้าจะรีบเอาไปวางไว้ให้เขาอ่านก่อนเลยค่ะ...

    ขอบพระคุณค่ะสำหรับวิชชากายเพชรประกายพรึก... จะนำไปปฏิบัติดูค่ะ... ได้ผลอย่างไรจะนำมาเล่าให้ฟังค่ะ

    ขอบพระคุณค่ะ
     
  3. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ขอบพระคุณพี่ๆทุกคนครับ ธรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ศึกษา ขอจงถึงซึ่งธรรมมะทั้งปวง
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ขออนุญาติมารายงานอารมณ์นะครับ ช่วยตรวจให้หน่อยครับว่าถูกหรือเปล่านะครับ ตอนนี้ผมเริ่มเกิดความความรู้สึกว่า สภาพต่างๆในขันธ์5 และก็ในจักรวาล มันไม่น่ายินดี ยินร้ายอีกต่อไป เหมือนกับว่า ความยินดียินร้าย เป็นแค่สิ่งสมมุติขึ้น หากเรายึดติดกับการยินดี ยินร้าย ก็ยังคงต้องทุกข์ต่อไป ตอนนี้ผมก็เลยตามดูสภาพต่างๆ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าความสุขทุกข์นี่ จริงๆเป็นแค่อะไรที่เราสมมุติเอาเอง หากเราคิดว่าสิ่งนี้ๆดี ก็ต้องดิ้นรนเพื่อหามันมาเสพ หากเราคิดว่าสิ่งนี้ๆไม่ดี ก็ต้องดิ้นรนเพื่อหนีจากมัน แต่ความเป็นจริงแล้วสภาพต่างๆมันไม่มีชื่อ เราไปอุปทานมันเข้าเอง ก็เลยต้องทุกข์เอง ตอนนี้ผมก็เลยไม่ค่อยรู้สึกยินดี ยินร้ายกับอะไร เท่าไหร่ รู้สึกเหมือนกับว่ามันเฉยครับ ก็ไม่มั่นใจว่ารู้สึกแบบนี้ถูกหรือเปล่าครับ ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้า สำหรับคำแนะนำด้วยครับ หากมีอะไรจะแนะนำในการปฏิบัติเพิ่มเติม ก็ขอขอบคุณอีกครั้งด้วยครับ เพราะไม่ทราบควรจะทำอย่างไรต่อจากจุดนี้ ขออนุโมทนากับความก้าวหน้าของคุณchdhorn<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_862573", true); </SCRIPT> และน้องชายด้วยครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2007
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** โลกุตตระธรรม จัดสรร ****
    <O:p</O:p

    ทำไม...ชีวิตท่าน ต้องมาคลุกคลีเรื่องภัยพิบัติ เรื่องเหนือความคิด เรื่องที่หลายคนว่างมงาย<O:p</O:p
    ทำไม....ชีวิตท่าน ต้องมาพบพลังจักรวาล เรื่องเหนือโลก เหนือเหตุผล<O:p</O:p
    ทำไม...ชีวิตท่าน ต้องพบเห็นจานบิน เรื่องเหนือโลก เหนือเหตุผล<O:p</O:p
    ทำไม....ชีวิตท่าน ต้องพบกับความฝัน เสียงบอกในฝัน ที่เป็นจริง<O:p</O:p
    ทำไม...ชีวิตท่าน ต้องมาพบเห็น สารข้อความของข้าพเจ้า<O:p</O:p
    ทำไม....ชีวิตท่าน ต้องมาพบเรื่องราว สัจจะปฏิบัติ<O:p</O:p
    ทำไม... ชีวิตท่าน ต้องมาพบเรื่องราวโลกุตตระธรรม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม !!!!!!!<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ลองถามใจตัวเอง ว่าความปรารถนาสูงสุดของท่าน คือ สิ่งใด คือ อะไร ???????<O:p</O:p

    *** ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ****<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เพราะ ท่านตามหาคำตอบเกี่ยวกับ ธรรมสูงสุด <O:p</O:p
    คือ "โลกุตตระธรรม" นำพาให้สัตว์พ้นทุกข์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนความเชื่อ ...ขึ้นอยู่กับจิตใจแต่ละคน ต่างกันไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2007
  6. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญกับคุณชัยมงคลสถาน คุณXorce และท่านอื่นๆ ด้วยนะคะในเรื่องของการปฏิบัติธรรมที่เป็นสัมมาทิฐิ

    ขอให้คุณทั้งสองคน รวมถึงท่านอื่นๆ ด้วย ได้เข้าถึงซึ่งที่สุดแห่งธรรม โดยปราศจากทุกข์ ปราศจากอุปสรรค โดยฉับพลันทันใดด้วยเถิดค่ะ
     
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    วันนี้น้องชายฝากให้พิมพ์ให้ค่ะ...

    "สวัสดี กัลยาณมิตรทุกท่านครับ ครั้งนี้จะไม่ขอถามถึงการปฏิบัติธรรมของตัวเอง แต่ขอถือว่าเล่าเรื่องสู่กันฟังนะครับ... ก่อนอื่นผมขอถามปัญหาคาใจก่อน ขอคุณคณานันท์ช่วยตอบด้วยครับ คือ...

    1. ยุคก่อนที่จะมีสมเด็จองค์ปฐมท่านลงมาตรัสนั้น มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาตรัสก่อนหรือไม่ครับ

    2. ยุคอันตรายะกัป กับ ยุคสูญกัป เป็นอย่างไร และไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสทั้ง 2 ยุคใช่ไหมครับ

    3. ยุคไดโนเสาร์นี้จัดอยู่ในยุคใด (อันตรายะกัปหรือเปล่าครับ) ทำไมผมชอบยุคนี้จัง เจอหนังสือที่ไหนเป็นต้องพลิกดูแล้วดูอีก

    คำถามจบไปแล้ว แต่จะขอเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ผู้อื่นฟังบ้าง... เพราะอาจจะเป็นการคุยกันในหมู่กัลยาณชนครั้งสุดท้ายของผมก็ได้ ไม่มีใครรู้... คือ มีอยู่ 2 ครั้ง ที่ผมฝันไปว่า...

    ฝันแรก
    สมัยหนึ่ง ผมเกิดเป็นคนเฝ้าประตู คอยเปิด - ปิด ประตู มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีการประชุมคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ ในฝันบอกว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ไม่ต่ำกว่า 100 รูป

    พอพระท่านประชุมกันเสร็จ ผมมีหน้าที่เปิดประตูให้พระท่านออก แต่จิตขณะนั้นเลวอย่างมาก ดันคิดไปว่า "อย่าออกเลย" แล้วก็ปิดประตูเสีย แต่ทันใดนั้น จิตก็คิดไปอีกว่า "เราพลาดไปซะแล้ว" แล้วก็รีบเปิดประตูให้พระท่านออกทันที

    ต่อไปเป็นฝันที่สอง...
    คือว่า ในสมัยหนึ่งผมเกิดเป็นอีกา มีจิตสกปรกครับ มีวันหนึ่งผมเกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่ บังเอิญมีพระอรหันต์ท่านหนึ่งเดินผ่านมา จิตอกุศลก็คิดไปว่า "เออดีเหมือนกัน เกาะบ่าท่านไป จะได้ไม่ต้องบิน" แล้วก็บินลงมาเกาะบ่าท่าน เลวอย่างมากใช่ไหมครับ

    ทั้งสองความฝันนี้ ทำให้มาคิดภายหลังว่า คงจะเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมของผม บางทีทำสมาธิไป จิตกำลังราบเรียบสงบลงก็คิดไปว่า "เออ! เดี๋ยวไปห้องน้ำก่อน" ... บางทีสงบลงกำลังมีปิติน้อยๆ ก็ว่า "เออ! ง่วงนอนแล้ว นอนก่อนดีกว่า"... หรือบางทีทำสมาธิไปจิตกำลังนิ่งลงเรื่อยๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็คิดไปอีกว่า "เดี๋ยวไปคุยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมกับพี่สาวก่อน" ก็ต้องออกจากสมาธิหลายครั้งหลายหน แล้วก็เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างคือ "สติตามไม่ทันกิเลส" นั่นเอง... ทำให้ชาตินี้ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งทางโลก และทางธรรมมันจะตันไปหมด คิดไม่ทันคนอื่นเขา บางคนบอกว่าเราโง่ บางคนพูดสุภาพหน่อยก็บอกว่า เออ! มันซื่อเนอะ

    ทำให้คิดไปว่า ทำไมมันยากเย็นแสนเข็ญอะไรอย่างนี้หนอ... แค่เข็นเดียวมันก็หนักแล้ว

    ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ คือ อยากจะเตือนผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ขอให้พูดดี ทำดี คิดดี กับทั้งตนเองและผู้อื่นให้มากๆ ครับ จะได้ไม่มีอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม

    ต่อไปนี้ขออนุญาตแนะนำนะครับ สำหรับผู้ที่ได้อภิญญาแล้วไม่ห่วงหรอกครับ เพราะมีหลักอยู่แล้ว... แต่ผู้ที่ยังด๊อกแด๊กอยู่ (เหมือนผม) หรือผู้ยังใหม่อยู่ จะใช้วิธีนี้ก็ได้ครับ คือ ใช้หลัก "อารักขกรมฐาน" มี 4 ข้อ ครับ

    1. เกิดในพุทธศาสนาต้องมี "พุทธานุสสติ" เป็นธงชัยครับ

    2. แผ่เมตตาให้มากๆ ไม่ว่าจะออกจากบ้าน ไปทำงาน ไปท่องเที่ยว ไปที่ต่างๆ แผ่เมตตานำไปก่อน ของผมใช้ทั้ง 4 ตัวเลย คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แผ่ไปในสิบทิศ

    ใครแผ่รัศมีได้ก็แผ่ไปกว้างๆ ใครแผ่ไม่ได้ก็ใช้จิตระลึกก็ได้แล้วครับ ข้อ "มุทิตา กับ อุเบกขา" นี่สำคัญนะครับ ทำให้กรรมบถ 10 ของเราพลาดน้อยลง บารมี 10 จะได้เต็มเร็วๆ ครับ

    3. เจริญอสุภกรรมฐานไว้ จะได้ติดโลกน้อยลง

    4. เจริญมรณานุสสติ จะได้กลัวเกิดให้มาก กลัวตายน้อยลงครับ

    เสร็จแล้วใช้หลักวิปัสสนาบ้าง เอาพระไตรลักษณ์นี่ก็เหลือแล้ว คือ เห็นอะไร อะไร ก็ไม่เที่ยง เห็นผู้คนทำการทำงานอยู่ก็ทุกข์เนอะ เห็นอะไรไม่เจริญหูไม่เจริญตา ก็ เดี๋ยวก็เป็นอนัตตา

    ข้ออนัตตานี่มี่อยู่ครั้งหนึ่ง ผมคุยด้านธรรมะอยู่กับพี่สาว แต่จิตคิดไปถึงอนัตตา ทันใดนั้นจิตเห็นภาพไปว่า โลกนี้โล่งไปหมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย

    ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่า อยากให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ ยิ่งในช่วงวิกฤติอย่างนี้แล้ว ใครที่ยังไม่ได้ หรือยังไม่ได้กระทำในหลักอภิญญา ขออย่าทิ้ง "อารักขกรรมฐาน" นะครับ ทุกคนจะได้มีหลักชัยของตัวเอง

    สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุข และเจริญในธรรม ถึงที่สุดแห่งธรรมในเร็ววันนี้เถิด
     
  8. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    วันนี้ตัวเองขอนอกเรื่องธรรมะสักวันนะคะ... คือ มีเรื่องจะขอเรียนถามคุณครูน่ะค่ะ...

    คือ เมื่อหลายปีมาแล้ว อยู่ๆ (โดยเฉพาะตอนกลางคืน)... แขน และมือทั้งสองข้าง มันเหมือนกับมีชีวิต มีความรู้สึก ของมันเองน่ะค่ะ... คือ ว้า! อธิบายยากจัง... คือ อยู่ๆ มันชอบที่จะมีความรู้สึกว่า แขนและมือทั้งสองข้างนี้มันจะต้องทำอะไรบางอย่างก็ไม่รู้... แล้วมัน (แขนและมือ)จะหงุดหงิดงุ่นง่านเหมือนมันไม่ได้ทำ... ทำให้ตัวเองจะนอนก็ไม่หลับ จะทำสมาธิก็รำคาญ... เหมือนกับทั้งมือและแขนมันอยากจะหลุดออกจากตัวไปทำอะไรๆ ที่มันอยากจะทำ (ซึ่งก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าจะทำอะไร)... รู้แต่ว่ามันอยากจะทำ อยากจะเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด... แต่ก็แค่เพื่อบรรเทาอาการที่มันอยากจะทำอะไร เท่านั้นเองค่ะ

    ทุกครั้งที่เป็น ต้องเอามือซ้ายทั้งเกาทั้งถูแขนขวามือขวาแรงๆ ในขณะที่มือขวาก็ต้องทำกับแขนซ้ายมือซ้ายเช่นกัน... ต้องทำจนกว่าแขนทั้งสองข้างจะชาจึงค่อยยังชั่วขึ้น... แต่ก็แป็บเดียว เดี๋ยวก็เป็นอีก... บางทีก็ต้องสะบัดแขนแรงๆ เผื่อมันจะดีขึ้นบ้าง... แต่ก็ไม่ค่อยจะช่วยเท่าไหร่... ปกติอาการมันจะไม่เคยหายไปเอง แต่จะเป็นที่เราเพลียหลับไปเองก่อนที่อาการมันจะหายน่ะค่ะ

    อาการนี้มันหายไปเฉยๆ ได้สักเกือบปีแล้วมั้งคะนี่... แต่แล้วอยู่ๆ เพิ่งจะอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง อยู่ๆ อาการมันกำเริบขึ้นมา หลายคืนแล้วค่ะ... เวลาที่เป็นเราจะหงุดหงิดรำคาญอาการที่มันเกิดขึ้นมากๆ เลยค่ะ

    อยากจะเรียนถามว่า สาเหตุมันเกิดจากอะไรคะ และควรจะแก้ไข หรือปฏิบัติอย่างไรดีคะ อาการที่ว่าถึงจะหายไปแบบถาวรเลย

    ขอบพระคุณค่ะ
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณXorce
    ขออนุญาติมารายงานอารมณ์นะครับ ช่วยตรวจให้หน่อยครับว่าถูกหรือเปล่านะครับ ตอนนี้ผมเริ่มเกิดความความรู้สึกว่า สภาพต่างๆในขันธ์5 และก็ในจักรวาล มันไม่น่ายินดี ยินร้ายอีกต่อไป เหมือนกับว่า ความยินดียินร้าย เป็นแค่สิ่งสมมุติขึ้น หากเรายึดติดกับการยินดี ยินร้าย ก็ยังคงต้องทุกข์ต่อไป ตอนนี้ผมก็เลยตามดูสภาพต่างๆ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าความสุขทุกข์นี่ จริงๆเป็นแค่อะไรที่เราสมมุติเอาเอง หากเราคิดว่าสิ่งนี้ๆดี ก็ต้องดิ้นรนเพื่อหามันมาเสพ หากเราคิดว่าสิ่งนี้ๆไม่ดี ก็ต้องดิ้นรนเพื่อหนีจากมัน แต่ความเป็นจริงแล้วสภาพต่างๆมันไม่มีชื่อ เราไปอุปทานมันเข้าเอง ก็เลยต้องทุกข์เอง ตอนนี้ผมก็เลยไม่ค่อยรู้สึกยินดี ยินร้ายกับอะไร เท่าไหร่ รู้สึกเหมือนกับว่ามันเฉยครับ ก็ไม่มั่นใจว่ารู้สึกแบบนี้ถูกหรือเปล่าครับ ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้า สำหรับคำแนะนำด้วยครับ หากมีอะไรจะแนะนำในการปฏิบัติเพิ่มเติม ก็ขอขอบคุณอีกครั้งด้วยครับ เพราะไม่ทราบควรจะทำอย่างไรต่อจากจุดนี้ ขออนุโมทนากับความก้าวหน้าของคุณchdhorn<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_862573", true); </SCRIPT> และน้องชายด้วยครับ สาธุ
    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Xorce : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:53 PM.



    ถูกต้องแล้วครับ เป็นอารมณ์ของวิปัสนาญาณ จุดสำคัญก็คือ อารมณ์ใจที่เป็นการรู้เท่าทันสภาวะธรรมนั้นๆ เมื่อรู้เท่าทันจิตจึงเกิดอุเบกขาธรรม ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่หลง ไม่รังเกียจ จิตเป็นกลางๆ ไม่ยึดติดอีก จนเมื่อจิตเกิดสังขารุเบกขาญาณ จิตก็จะยิ่งเกิดความรู้เท่าทันในร่างกาย จนปล่อยวางไม่ยึดติด ไม่ต้องการเกิด ไม่ต้องการมีกายเนื้ออยู่ การมีชีวิตก็อยู่เพื่อการสร้างบุญ กายเรามีสภาวะแก่ ไป เสื่อมไป ตายไป จิตก็วางเฉย ไม่ยินดียินร้าย แต่มีอารมณ์ใจแนบแน่นจุดเดียวก็คือพระนิพพานครับ

    การพิจารณาช่วงนี้ให้พิจารณาด้วยอารมณ์จิตที่เย็นๆ สบายๆ เบาๆครับ อย่าให้อารมณ์พิจารณาหนักเกินไป ให้จิตปล่อยวางแล้วจิตเราเบา เราโปร่ง จิตหลุดจากการยึดเหนี่ยวของอวิชชาครับ

    ขอโมทนาบุญในการก้าวหน้าในวิปัสนาญาณด้วยครับ
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณ Chdhorn ครับ

    ขอตอบคุณน้องชายก่อนครับ ที่ถามมาล้วนแต่เป็นเรื่องอจินไตยทั้งนั้นเลยครับ

    1.ก่อนยุคของสมเด็จองค์ปฐมนั้นไม่มีปรากฏ พระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์ใดมาในกาลก่อนเลยครับ ยุคนั้นมีเพียงสูงสุดที่พรหม และอรูปพรหมเท่านั้น

    2. ใช่ครับเป็นยุคที่ว่างจากพระพุทธเจ้า

    3.เป็นยุคจูราสสิค ครับ พระพุทธเจ้าท่านไม่ปรากฏในเขต ในกาล ในประเทศที่ไม่อาจประกาศพระพุทธศาสนาได้ครับ

    สำหรับคุณพี่สาว นั้นอาการที่แขนเหมือนมีชีวิตยุกยิกนั้นเป็นอาการทางกายและมาเอาจิตไปจับเพิ่มขึ้น

    วิธีแก้ไขก็คือ การออกกำลังกายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแขน ทานวิตามินบีคอมเพล็กซ์เพิ่ม เช้าเย็น

    และกำหนดจิตให้สงบยิ่งขึ้น กำหนดให้เห็นแขนทั้งสองข้างใส และสว่างยิ่งๆขึ้นไปทีละน้อย อาการที่ปรากฏจะค่อยๆดีขึ้นครับ
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    กราบขอบพระคุณค่ะคุณครู
     
  12. Digital

    Digital เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +612
    ขอโมทนาในอารมณ์วิปัสนาญาณของคุณค่ะ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เห็นธรรมดา ในร่างกาย
    เห็นธรรมดา ในสภาวะทั้งปวง
    เห็นธรรมดา ในทุกสรรพสิ่ง

    ฟังคล้ายง่ายแต่ กว่าจะทำได้(โดยเป็นธรรมชาติ)นั้นยาก
     
  14. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    อันนี้กึ่งฝันกึ่งฝึกนะครับ ขอ Post ไว้หน้านี้ดีกว่า

    เมื่อคืนที่ผ่านมา 16/12/07

    ได้ทำสมาธิอธิษฐานว่าตั้งใจฝึก วาโยกสิณ โดยจับลมจากพัดลมที่มากระทบตัว ขอให้หลวงพ่อฤาษีท่านช่วยหากปฏิบัติไม่ถูกวิธี จากนั้นก็นอนทำสมาธิไป พอทำได้ระดับหนึ่งก็หลับฝันไปเรื่อยเปื่อย เกี่ยวกับการไปหาที่ปฏิบัติธรรม เป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่เป็นถ้ำแห่งหนึ่ง มีพระพุทธรูปอยู่ในนั้นโดยรอบ ถ้ำมีลักษณะตื้น แต่กว้างพระที่ดูแลสถานที่ท่านให้ไปเตรียมอุปกรณ์การฝึก ซึ่งเป็นสีน้ำมีจานสีพู่กัน และแก้วล้างพู่กัน ของคนอื่นไปหยิบเอาตามปกติ ส่วนเราไปเลือกเอาแบบที่มีสีเดียว แล้วน้ำล้างพู่กันก็มีสีคล้ำ ขณะหยิบได้ยินเสียงหลวงพ่อว่า "อย่ายึดติดในตำรา" หลังจากนั้นจำรายละเอียดไม่ได้ ตื่นมาอีกครั้งตี 3

    นึกทบทวนเรื่องราวที่ฝันแล้วตีความเอาว่า เรามุ่งปฏิบัติโดยยึดสิ่งที่อ่านมามาก ขอสารภาพตามตรงว่าแม้สิ่งที่พี่คณานันท์พยายามถ่ายทอด เรื่องการปฏิบัติอรูปฌาณ เรายังลังเล คือรู้สึกว่าเมื่อถึงฌาณ 4 ไม่ควรได้ยินเสียงภายนอก ถึงแม้ว่าลมหายใจจะเกือบไม่มีแล้วก็ตาม แต่ที่พี่คณานันท์สอนนั้นได้ยินเสียงโดยตลอด อีกทั้งภาพพระที่นึกก็ไม่ได้มีการดูรูปพระมาก่อน ด้วยความรู้สึกที่คิดว่าไม่ตรงตำรานี้ทำให้ไม่ได้ไปปฏิบัติต่อมากนัก หลังจากนึกได้ดังนี้จึงตั้งใจปฏิบัติต่อ ตามที่พี่คนานันท์แนะนำ

    คราวนี้ไม่นอนสมาธิเพราะเกรงจะหลับ จับภาพพระ (ซึ่งไม่ค่อยชัดนัก) ระยะหนึ่งเมื่อลมหายใจไม่มีแล้ว ก็เพิกภาพตั้งใจนึกถึงอากาสานัญจา คราวนี้ตั้งใจทำโดยไม่สงสัย สามารถรู้สึกได้ว่าแม้เรายังได้ยินเสียงภายนอก แต่เราสามารถรู้สึกถึงความเวิ้งว้างไม่มีขอบเขตได้จริง ซึ่งแตกต่างอย่ามากจากฌาณ 4 ปกติ เมื่อพิจารณาอารมณ์โดยละเอียดแล้วก็เปลี่ยนเป็น วิญญานัณจา อากิญจัญญา และเนวะสัญญา ตามลำดับ ซึ่งสามารถทรงอารมณ์และพิจารณาได้ดี โดยใช้เวลาไม่นาน เมื่อครบแล้วจึงล้มตัวนอน

    ขอบคุณพี่คณานันท์ที่ช่วยสอน และขอขมาอย่างสูงที่ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติมาแต่แรกครับ<!-- / message --><!-- sig -->
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอกราบโมทนาบุญด้วยครับ ในความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

    มีที่โจ้ฝันลงในกระทู้ความฝันนั้น หลวงพ่อมาบอกเอาไว้ว่า ท่านมาคุมการปฏิบัติของคุณให้

    ให้คุณอธิฐานขึ้นกรรมฐานกับท่าน และขอเรียนหมดครบ เอาให้ได้ ขอเรียนวิชชาของท่านหมดไส้หมดพุงเลยครับ

    โมทนาด้วยครับ
     
  16. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    ขอบคุณมากครับคุณ chdhorn ผมเคยมีประสบการณ์คล้ายๆ
    เดินจงกรม ช้าๆ สักพักจิตเข้าสมาธิแน่นๆจิตแยกกับกาย
    จิตเห็นกายเคลื่อนเรารู้อยู่สักพัก ขากับแขน เริ่มเคลื่อนไหว
    ลองปล่อยดูเราดูเฉยๆแขนไปทาง ขาไปทาง ยืนขาเดียว
    เหมือนรำมวยจีนเลยมีหลายท่า กลัวล้มแต่ตัดใจปล่อย ไม่ล้มครับ
    คุณ chdhorn ลองปล่อยดูอาจมีรำไทยให้ดูก็ได้นะ
    คงเป็นปิติ เป็นทางผ่านแต่ละคนที่ต้องเจอมีทั้งเหมือนและไม่เหมือนครับ
     
  17. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    เรียนคุณ พุทธโกมุท
    พอดีช่วงนี้ผมอยู่ตรงนี้พอดี
    ผมว่าฌาณ4 แบบจับลมน่าจะไม่หายใจครับแต่พอเรารู้ว่าไม่หายใจ
    (ผมก็ติดตำรา)
    จิตเราจะตกจากฌาณ4ทันที เลยหายใจใหม่ พอสักพัก ไปฌาณ4ใหม่
    ไม่หายใจอีก พอเราคิดว่าเออเราเข้าฌาณ4แล้วนะ มันตกอีก
    ผมว่าต้องทำให้มากๆมันจะเลิกตื่นเต้นเอง
    เราต้องรู้เบาๆถึงจะยังอยู่ฌาณ4 ได้
    บางทีเรายืนสวดมนต์ มันเหมือนไม่หายใจ พอเรารู้ว่าไม่หายใจ
    มันจะหายใจทันทีหรือเหมือนคนกลั้นหายใจแล้วก็เฮือก
    ผิดถูกอย่างไร ขอ อ.คณานันท์ และ อ.คลิก แนะนำด้วยครับ
     
  18. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ขอบคุณอย่างสูง ทั้งคุณลุงชัยมงคล และพี่คณานันท์ ที่แนะนำครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2007
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ก็ขออนุญาตเล่าเรื่องความฝันที่ได้ประสบมาช่วงนี้นิดนึงนะครับ คือผมมีฝันเกี่ยวกับภัยพิบัติประมาณ 3 ครั้งครับ บางครั้งฝันแล้วแต่จำไม่ได้ ครั้งแรกเห็นเป็นแผ่นดินไหว แล้วก็มีตึกพังทลาย ครั้งที่ 2 ก็เห็นแผ่นดินไหว แล้วพื้นแยก รู้สึกว่าเกิดในประเทศไทยครับ ครั้งที่ 3 เห้นเป็นคลื่นยักษ์ ประมาณ สึนามิ แต่ว่าหลายระลอกมากซัดมาเรื่อยๆ หร้อมมีพายุฝนรุนแรง หลังจากฝันเสร็จ ผมก็รู้ลมหายใจทันที เลยคิดว่าไม่น่าจะใช่ฝันธรรมดาครับ ขอถามเรื่องการปฏิบัติด้วยครับ ในอรูปที่2 วิญญาณ ผมไม่ทราบว่าผมจำได้ถูกต้องรึเปล่า คือผมกำหนดเป็นกายทิพย์ออกมานั่งข้างๆ แล้วให้กายหยาบหายไปเหลือแต่กายทิพย์ แล้วก็หลังจากอรูปที่4 เนวะสัญญา ผมก็กำหนดให้อายตนะทั้ง6 หายไป แต่ตอนที่เข้าอรูปนี่ผมควรจะรู้ลมหายใจไหมครับ หรือว่าเพิกลมหายใจไปเลย หรือว่ารอจนลมหายใจขาดไปเอง ขออีกคำถามนึงครับ หลังจากที่ลมหายใจเบาขึ้นเรื่อยๆ จนปีติเริ่มหายไป ทำไมบางทีจิตยังซัดส่ายไปคิดเรื่องต่างๆครับ เพราะน่าจะเป็นเอกทัคตารมณ์ได้แล้ว หรือผมอาจจะยึดตำรามากไป ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้าด้วยครับ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณลุงชัยมงคลครับ

    การเข้าฌานสี่นั้นสามารถทำได้ ทั้งจากอานาปาณสติกรรมฐาน และจากกสิณครับผม

    ในอานาปา นั้นพอเรารู้สึกว่า ลมหายใจหายไปแล้ว เรื่องไปคิดว่า ตอนนี้เป็นฌานสี่แล้ว ตัวนี้เป็นตัวถอยมาพิจารณา ทำให้ตกจากฌานสี่

    วิธีการก็คือพอลมหายใจของเราหายไปก็ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นฌานอะไร (เหตุนี้พระท่านจึงให้สอนว่าเป็นเพียงลมสบายเพื่อไม่ให้ติดในตำรามากไป)

    ให้ระลึกรู้แต่เพียงว่า ลมหายใจหายไปแล้ว ประคองอารมณ์ให้นิ่งๆ เบาๆ สบายๆเอาไว้ แล้วมากำหนดดูอารมณ์ของจิตว่า มีอารมณ์อย่างไร ในขณะลมหายใจหายไป จากนั้นก็จำอารมณ์ใจนั้นเอาไว้ แล้วเริ่มอธิฐานวสีว่า

    "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงสภาวะธรรมนี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ที่ข้าพเจ้าต้องการตราบจนถึงพระนิพพานด้วยเทอญ"

    จากนั้นก็ถอยอารมณ์ออกจากสมาธิ ช้าๆ ลืมตาขึ้น จากนั้น ลองเข้าทั้งที่ยังลืมตาแบบไม่ต้องตั้งท่า ให้เข้าได้ตลอด พอได้คล่องดี ก็ทรงทั้งที่พูดอยู่ โดยพูดในฌาน (สังเกตุว่าพอว่าอะไรก็เป็นตามนั้น) พอได้จนชำนาญคราวนี้ ก็ลองดูว่าวิ่งเราก็ ลมหายใจหายไปได้ เดินก็ได้ ได้ทุกอิริยาบท

    พอจิตรวมจนชินคราวนี้ไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องกำหนด พอเผลอก็เข้าฌานของมันไปเอง

    พอได้แล้วเอากำลังของฌานมาพิจารณาในวิปัสนาญาณ

    ฌานจากอานาปาณสติเหมาะกับการพิจารณาวิปัสนาญาณ

    ฌานจากกสิณเหมาะกับการฝึกอภิญญา

    ขอโมทนาบุญกับคุณลุงชัยมงคลด้วยเป็นที่สุดครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...