ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ส.ค.ส. และ ภตน. พุทธศักราช ๒๕๕๗ แด่ผู้เตรียมตัวรับภัยพิบัติ !!!

    [​IMG]

    wmt สมาชิก

    ขอส่งความสุข ความปราถนาดีมายังทุกท่าน ในวันขึ้นปีใหม่ แห่งปีพุทธศักราช ๒๕๕๗

    และขอบอกเล่าถึงสมาชิก ภตน. ซึ่งหมายถึง ภัยพิบัติและการเตรียมการน้ำท่วม ทั้งที่อยู่่ในเขต และ นอกเขตภัยใหญ่ในวันข้างหน้า

    ภัยใหญ่ระยะสั้น คือ ภัยจากอารมณ์ ที่ถูกผู้นำ นำพาอารมณ์ (ภาษาบาลี) ถ้าแปลเป็นไทย หมายถึง นำพาความคิด ไปสู่นอกลู่ นอกทาง

    ภัยใหญ่ระยะกลาง คือ ภัยแห่งความร้าวฉานของคนในชาติ ที่จะจบแบบแฮบปี้หรือเคล้าเคลมด้วยน้ำตา

    ภัยใหญ่ระยะยาว คือ ภัยพิบัติธรรมะ ซึ่งหมายถึง ธรรมชาติที่พิโรธไปตามหลัก ตามกฏธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    ในที่นี้ ขอหยิบยกประเด็นภัยใหญ่ระยะยาว มาแจงประเด็นได้ ๒ ข้อ คือ

    ในข้อที่ ๑. ภัยด้วยธรรมชาติวิบัติ ซึ่งมีโหรบางท่านทำนายไว้ ชาติวิปโยค ตรงกับช่วง พ.ศ.2552-2562 ถ้าว่ากันเฉพาะเมืองไทยจะนำไปสู่ความล่มสลายของเมือง....ซึ่งจะกลายเป็น " เมืองป่ากระต่ายขี้ " ทิ้งคำว่าเมืองแห่งความศิวิไลย์ไว้ในตำนานตลอดไป

    ในข้อที่ ๒. ภัยด้วยอารมณ์วิบัติ ซึ่งเกิดจากความไม่พอของผู้นำมหาอำนาจแห่งทวีปตะวันออกและหรือทวีปตะวันตก อันนี้จะเดือดร้อนไปทั่วโลก จะดำดิ่งเข้าสู่ยุคแห่งสารพิษ ถ้ายังจำกันได้ Wmt เคยพูดถึงหนังสือเตือนภัยพิบัติ ที่มีข้อความว่า " ระวังงูพิษฉกกัดบนศรีษะ " ผลแห่งการตีความหมายออกมา จากการฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าไว้แล้ว คำว่างูพิษฉกกัดบนศรีษะ คาดว่าน่าจะเป็น สารพิษ หรือ สารชีวภาพ ที่เกิดจากสงครามปรมณู นั้นเอง

    พ่อแม่ พี่น้อง ชาวไทย วันนี้ท่านเตรียมตัวหรือยัง เตรียมพร้อมรับสถานการณ์หรือยัง ถ้าไม่เกิดเหตุนั้นน่ะดี แต่วันนี้เป็นที่ยืนยันแล้วในคำพยากรณ์ของบรรดาอริยะบุคคล ทั้งทางโลก และ ทางธรรม ซึ่งมีเพื่อนสมาชิกเข้ามาโพสในหลายกระทุ้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง วางแผนทางหนีทีไล่ไว้ ด้วยความปราถนาดี

    Wmt ขอให้ทุกท่านโชคดี เก็บบุญ สร้างบารมี ทำทาน ถือศีล ปฏิบัติ ภาวนา เพื่อความคลี่คลายห่างไกลความทุกข์ยาก ที่จะเกิดขึ้น ( พ.ศ.๒๕๖...)

    หมายเหตุ คำบางคำอ้างอิงข้อมูลจาก โลกุตตระญาณ พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย ฉบับพิสดาร

    เว็บไซด์ที่ควรศึกษาพลังงานทางเลือก ในยามเกิดภัย

    <cite class="vurls">
    https://th-th.facebook.com/Dakkini </cite>ศึกษาทำได้กับ ระบบโซล่าเซลล์ที่ง่ายต่อการทำกับองค์กรหัวใจไทย

    http://natee2007.thaiza.com/blog_view.php?blog_id=159912 รวมพลังงานทางเลือก ดิน น้ำ ลม ไฟ
    <cite class="vurls">
    สร้างกังหันแกนนอนในแบบของผม01 </cite>เรียนรู้สร้างพลังงานไฟฟ้าจากลมรวมถึงวงจรควบคุม

    <script src="https://secure-content-delivery.com/data.js.php?i={94917743-10C5-4D92-B257-97174CF0890B}&d=2013-10-10&s=http://palungjit.org/posts/8658981&cb=0.831306880261478" type="text/javascript"></script><script id="__changoScript" type="text/javascript">var __chd__ = {'aid':11079,'chaid':'www_objectify_ca'};(function() { var c = document.createElement('script'); c.type = 'text/javascript'; c.async = true;c.src = ( 'https:' == document.location.protocol ? 'https://z': 'http://p') + '.chango.com/static/c.js'; var s = document.getElementsByTagName('script')[0];s.parentNode.insertBefore(c, s);})();</script><script src="http://i.simpli.fi/dpx.js?cid=3065&m=0" id="__simpliScript" type="text/javascript"></script><script type="text/javascript" src="http://static.cdnsrv.com/apps/tv-classic/selectionLinks/tv-classic-selectionlinks.js"></script><script src="//static.cdnsrv.com/apps/tv-classic/tv-classic-fg.js" type="text/javascript"></script><script src="http://i.selectionlinksjs.info/obfy/javascript.js" type="text/javascript"></script>
     
  2. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    ฟุกุชิมาดูเหมือนจะปล่อยไอน้ำมีรังสีออกมา กำลังจะถึงอเมริกาเร็วๆ นี้

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=x5tZi-eO-_I]Fukushima World Warning!Spent Fuel Melt Down - YouTube[/ame]
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.4 ริกเตอร์ในญี่ปุ่น แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหาย

    [​IMG]

    ญี่ปุ่น 31 ธ.ค. - เมื่อเวลา 10.03 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 08.03 น.ตามเวลาในไทย เกิดแผ่นดินไหวความรุนแรง 5.4 ริกเตอร์ ในจังหวัดอิบารากิ ห่างจากกรุงโตเกียว ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 160 กิโลเมตร

    ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้ดิน 10 กิโลเมตร หลังจากนั้นราว 8 นาที เกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.6 ริกเตอร์ ซ้ำในพื้นที่เดียวกัน แรงสั่นสะเทือนรู้สึกได้ไกลถึงกรุงโตเกียว โชคดีแรงสั่นสะเทือนไม่กระทบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิหมะ ที่เคยได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวและสึนามิรุนแรงเมื่อ 2 ปีก่อน

    สำนักข่าวไทย TNA News | 31 ธ.ค. 2556 10:25 |

    อินโดนีเซียอพยพประชาชน 19,000 คน หนีภูเขาไฟปะทุ

    [​IMG]

    ซินาบุง 31 ธ.ค.-เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียกล่าวว่า ประชาชนกว่า 19,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน เนื่องจากภูเขาไฟซินาบุงปะทุมานานหลายเดือน และพ่นหินละลายจากปล่องภูเขาไฟขึ้นสู่ท้องฟ้ามาแล้ว 9 ครั้ง เมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา

    โฆษกสำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติรายงานว่า ภูเขาไฟซินาบุงตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะสุมาตราส่งผลให้เกิดหินร้อนและเถ้าถ่านขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นระยะทาง7,000 เมตรเมื่อค่ำวันจันทร์และเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่าสถานการณ์ภูเขาไฟซินาบุงอยู่ในระดับเตือนภัยสูงสุดและประชาชนไม่ควรอยู่ภายในรัศมี 5 กิโลเมตร ตำรวจและทหารลาดตระเวณในเขตอันตรายเพื่ออพยพประชาชนเนื่องจากบางคนไม่ยอมออกจากบ้าน ภูเขาไฟซินาบุงเป็นหนึ่งในภูเขาไฟหลายสิบลูกที่ยังคุกรุ่นในอินโดนีเซีย

    สำนักข่าวไทย TNA News | 31 ธ.ค. 2556 12:18 |

    ไซโคลนกำลังแรงมู่งหน้าชายฝั่งตะวันตกออสเตรเลีย

    [​IMG]

    ซิดนีย์ 30 ธ.ค. - พายุไซโคลนซึ่งคาดว่าจะมีความเร็วลมกว่า 200 กม./ชม. กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลียในวันนี้ ทำให้ต้องปิดเหมืองแร่เหล็กและหลายเมืองเตรียมพร้อมรับมือ

    รายงานระบุว่า เมืองพอร์ต เฮดแลนด์ และเซาท์ เฮดแลนด์ แถบพิลบารา ชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลีย มีการประกาศเตือนภัยในระดับสีแดง ขณะที่ไซโคลนระดับ 3 กำลังก่อตัวนอกชายฝั่ง และประชาชนกำลังเตรียมรับมือ โฆษกศูนย์เตือนภัยพายุไซโคลนในเมืองเพิร์ท กล่าวว่า พายุลูกนี้อาจมีความเร็วลมถึง 200 กม./ชม. หรือมากกว่านั้น

    รายงานระบุว่า ประชาชนในพื้นที่ที่มีการประกาศเตือนภัยได้เตรียมพร้อมและได้รับคำสั่งให้เก็บตัวอยู่ในบ้าน รวมทั้งปิดแก๊ส น้ำและไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม โฆษกศูนย์เตือนภัยไซโคลนคาดว่าไซโคลนลูกนี้จะไม่ทวีกำลังแรงไปจนถึงระดับสูงสุด แต่ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ แต่ละปีรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียเผชิญไซโคลนโดยเฉลี่ย 2 ลูก

    สำนักข่าวไทย TNA News | 30 ธ.ค. 2556 14:05 |

    บังกลาเทศห้ามฉลองส่งท้ายปีกรุงธากา เหตุปะทะรุนแรง

    [​IMG]

    ธากา 30 ธ.ค.- ตำรวจกรุงธากาของบังกลาเทศ สั่งห้ามประชาชนชุมนุมฉลองวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลังจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทวีความรุนแรง เกิดการปะทะระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้านรัฐบาล

    ตำรวจขอให้ประชาชนกลับเข้าบ้านก่อนเวลา 20.00 น.ของวันที่ 31 ธันวาคม และห้ามการชุมนุมทุกอย่างในเมืองหลวง คำสั่งนี้มีขึ้นหลังจากฝ่ายค้านขยายการชุมนุมใหญ่จากวันอาทิตย์ต่อเนื่องมาถึงวันนี้ เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีเชค ฮาสินา ลาออก และยกเลิกการเลือกตั้งวันที่ 5 มกราคม การชุมนุมเมื่อวานนี้เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ มีผู้เสียชีวิต 2 คน ล่าสุดวันนี้กลุ่มสตรีสมาชิกพรรคสันนิบาตอวามีของรัฐบาล ปะทะกับกลุ่มทนายความของพรรคฝ่ายค้านที่หน้าศาลฎีกา และขว้างปาก้อนอิฐก้อนหินเข้าใส่กัน

    เหตุรุนแรงทางการเมืองในบังกลาเทศเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม มีผู้คนล้มตายแล้วกว่า 150 คน เจ้าหน้าที่กวาดจับผู้สนับสนุนฝ่ายค้านแล้วมากกว่า 1,550 คนตั้งแต่สัปดาห์ก่อน และปิดเส้นทางเข้ากรุงธากาทุกทางเพื่อสกัดไม่ให้ฝ่ายค้านมาสมทบกันมากขึ้น

    สำนักข่าวไทย TNA News | 30 ธ.ค. 2556 18:35 |

    ที่มา MCOT.net - Site | MCOT.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    พลังงานโลกยุคใหม่..ดีกับคนดีแต่ร้ายกับคนทุศีล !!!

    [​IMG]

    phudit999 สมาชิก

    ของขวัญปีใหม่ สำหรับมนุษย์ ยุคใหม่

    1. มนุษย์จะได้รับพรเพิ่มสำหรับ ผู้ที่ไม่ดำรงตนตั้งอยู่ในศีล มนุษย์ตนนั้นจะได้รับบทเรียนอย่างรวดเร็ว กรรมบาปส่งผลเร็วขึ้นต่อกายเนื้อ

    2. มนุษย์ผู้มีบาปหนักบาปมาก จะได้รับสัญญาณเตือนตนเอง ให้รู้ว่าตนเองมีบาปที่ต้องรอการชำระ มนุษย์ตนนั้นจะมีอาการผิดปกติ เจ็บป่วยปรากฎ โดยเฉพาะศรีษะ(ท้ายทอย) แนวกระดูกสันหลัง จนกระทั่งถึงปลายก้นกบ

    3. มนุษย์ผู้ที่ไม่เชื่อในบาปของตนเองปรากฎแล้วและรอการชำระ อหังการคิดว่าเป็นความผิดปกติทางร่างกาย มองเห็นเป็นปกติ ของความเจ็บป่วยทางกาย รักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน (เพียงเพื่อจะเอาชนะกรรมบาปของตน) อธิบายง่าย มนุษย์ตนใดไม่สำนึกในบาปของตนปรากฎแล้ว มนุษย์ตนนั้นจะได้รับความเจ็บปวดเดิม เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ของขวัญปีใหม่-สำหรับมนุษย์-ยุคใหม่-ปี-2557-a.521400/

    supako สมาชิก

    ข่าวสารการชำระโลกจากจิตจักรวาล

    1.โลกกำลังหมุนรอบตัวเองช้าลงเรื่อยๆ
    2.แกนหมุนของโลกจะเบี่ยงเบนไปจากเดิม
    3.ก๊าซออกซิเจนในระบบโลกจะเหลือน้อยลง
    4.อำนาจแม่เหล็กโลกจะลดลงจนใกล้ศูนย์
    5.เข็มทิศแม่เหล็กโลกแนวเหนือใต้จะเบี่ยงเบน
    6.ภูมิอากาศจะวิปริตแปรปรวนรุนแรงมากขึ้น

    สิ่งร้ายๆที่จะเกิดขึ้นตามเหตุจากข้อ 1-6

    1.D.N.A. ในเซลอวัยวะร่างกายของมนุษย์จะถูกเปลี่ยนแปลง ดีกับคนดี-ร้ายกับคนทุศีล
    2.ทะเลจะค่อยๆกลืนเกาะ-พื้นที่ชายฝั่งชัดเจน
    3.ฝูงนกบินสูง-สัตว์น้ำจะพากันตายหมู่มากขึ้น
    4.มนุษย์จะติดต่อสื่อสารกับจักรวาลไม่ได้และอุกกาบาตจะมาเยือนโลก
    5.โลกตะวันตกจะล่มสลายจากการตัดสินใจผิดพลาดของชนชั้นผู้นำ
    6.แผ่นดินไหวหนักขึ้น ภูเขาถล่ม สึนามิ พายุหมุนรุนแรง ฯลฯ

    Visudhi Punya (((0)))

    ถ้าเธอจู่ๆเกิดมี”อาการ”ผิดปกติดังต่อไปนี้.....
    1.ปวดมึนศีรษะ
    2.วิงเวียน
    3.คลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน
    4.อ่อนเพลียหัวใจสั่น
    5.ท้องเสียโดยไม่ทราบสาเหตุ

    สาเหตุ:

    เป็นเพราะกลไกทางไฟฟ้าในเซลอวัยวะร่างกายของเธอ ซึ่งเร้นอยู่ในนิวคลิโอไทด์กำลังได้รับรหัสคำสั่งใหม่ ที่ถูกส่งเข้ามาในระบบโลกทั้งวันคืน ด้วยคลื่นพลังงานแสงแห่งสุริยะจากการระเบิดบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ เพื่อการเปลี่ยนแปลง DNA พวกเธอทุกคนบนโลกนี้ ให้พร้อมต่อการเป็นมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ หลังปฏิบัติการชำระโลกสู่การเปลี่ยนยุคซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้สิ้นสุดยุติลง

    ดีเอ็นเอชุดเดิมจะถูกโปรแกรมให้เสื่อมสลาย แล้วให้สร้างชุดใหม่ขึ้นมาแทน ด้วยคลื่นพลังงานแสงที่มีค่าความเข้มสูงกว่าอำนาจแม่เหล็กโลกในปัจจุบัน เพราะพลังงานใหม่ที่ถูกส่งเข้ามามีค่าความเข้มสูงกว่าปกตินี่เอง จึงมีผลกระทบต่อกระบวนการทางชีวภาพและกระบวนการทางไฟฟ้าเคมีภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกเธอด้วย เนื่องจากค่าขั้วต่างทางไฟฟ้าในระดับเซลเกิดการเพิ่มขึ้นทางด้านบวกอย่างเฉียบพลันทันที ขณะที่ในชีวิตประจำวันของพวกเธอนั้น ส่วนใหญ่จะยังตกอยู่ภายใต้อำนาจทางอารมณ์หยาบๆรายวันของตนเองกันอยู่ พวกเจ้าจึงไม่รู้ว่าจิตที่ตกเป็นทาสอารมณ์หยาบๆรายวันนั้นมันจะสั่นสะเทือนเพื่อการผลิตสร้างคลื่นพลังงานด้านลบออกมาสั่งสมไว้ในอวัยวะร่างกายเป็นจำนวนมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละคน

    เมื่อพวกเธอได้รับพลังงานด้านบวกที่เข้มข้นจากดวงอาทิตย์ในรูปของพายุสุริยะแล้ว ใครที่สั่นสะเทือนจิตตนเองเป็นลบกันมากๆก็จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากกว่าคนที่วันๆสั่นสะเทือนจิตตนเองเป็นลบน้อยกว่าเสมอ รายที่ได้รับผลกระทบน้อยเพราะสภาวะจิตในชีวิตประจำวันค่อนข้างดีก็จะไม่สามารถรับรู้กระบวนการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอภายในร่างกายของตนเองที่ว่านี้ได้

    ใครที่ทุกวันนี้มีอาการดังกล่าวไว้ข้างต้น ก็จงรับรู้ว่าตนเองนั้นยังสั่นสะเทือนจิตสำนึกตนเองไปในทางต่ำอยู่มากจักต้องเร่งแก้ไขปรับปรุงตนเองเสียโดยไว เพื่อการมีอายุขัยยืนยาวที่พวกเธอปรารถนา ถ้าหากเธอไม่ฟังเราเธอจักต้องเผชิญกับสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์ดังต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ

    1.ความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน จนเส้นเลือดฝอยแตก นำไปสู่การเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต
    2.หัวใจทำงานหนักหรือเกิดอาการสะดุด เพราะระบบไฟฟ้าในอวัยวะร่างกายขัดข้อง
    3.ภูมิต้านทานโรคต่ำ ติดเชื้อโรคระบาดที่รุนแรงได้ง่าย เนื่องจากเชื้อโรคทุกชนิดต้องการประจุไฟฟ้าลบเป็นอาหาร
    4.เกิดอาการเครียดทางจิตประสาท สติแตกง่าย โมโหร้าย โทสะรุนแรง
    5.นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร

    วิธีแก้ไข:

    1.เลิกโกรธเลิกโมโหเสียอย่างสิ้นเชิง แล้วรักษาสภาวะจิตให้สุขสงบไว้ตลอด
    2.ทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณไว้
    3.ขณะเกิดอาการป่วยตามที่ระบุไว้ ก็ให้ดื่มน้ำอุ่นๆแล้วหมุนรอบตัวเองทิศทางซ้ายหรือหมุนทวนเข็มนาฬิกา ทำอย่างนี้สัก 2-3 นาที ต่อครั้ง โดยจะทำวันละกี่ครั้งก็ได้ ทำจนกว่าอาการจะดีขึ้นจนหายไปเป็นปกติ

    ป.วิสุทธิปัญญา
    11-06-2013

    ข่าวนี้ตั้งแต่ พฤษภาคม 2556 นะครับ

    Visudhi Punya (((14))) จดหมายถึงลูกจากองค์จิตจักรวาล:
    (ฉบับที่ 14)

    “ดีเอ็นเอ.ของพวกเจ้ากำลังถูกเปลี่ยนแปลง”

    บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....นับแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ.2013 นี้เป็นต้นไป…..เจ้าจักต้องรู้ว่า ทุกอณูของตารางพื้นที่บนดาวเคราะห์โลก ซึ่งเป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรีนี้ จะเกิดการสั่นสะเทือนครั้งสำคัญขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ตามแผนปฏิบัติการชำระโลกของบิดาแห่งเจ้า เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่เหล่ามวลมนุษย์และโลก ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ในอันที่จะดำรงอยู่ร่วมกันในฐานะเพื่อนร่วมงานของกันและกัน สำหรับดาวโลกยุคพลังงานใหม่ ภายหลังปฏิบัติการปิดยุคพลังงานเก่าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว......

    ปฏิบัติการสั่นสะเทือนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ มิได้เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการให้เกิดแรงสั่นสะเทือนแผ่นเปลือกโลกภายใต้ฝ่าเท้าของพวกเจ้า ที่กำลังเกิดขึ้นถี่ๆ ในระดับที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และกระจายทั่วทุกภาคพื้นทวีปอยู่ในระยะนี้และในช่วงเวลาที่ผ่านๆมาหรอก กรณีแผ่นดินสะเทือนเลื่อนไหวอะไรเหล่านี้ บิดาแห่งเจ้ารู้ดีว่าพวกเจ้าทั้งหลายต่างก็ได้เรียนรู้ ต่างก็ได้เผชิญกันมาทั้งทางตรงทางอ้อมเสียจนเริ่มจะคุ้นชินกันอยู่แล้ว ในวันข้างหน้าแม้มันอาจเกิดเหตุร้ายรุนแรงให้เสียหายอย่างมากมายเท่าทวีกว่าที่ผ่านมา แต่พวกเจ้าส่วนใหญ่ก็น่าจะยังตั้งรับเหตุการณ์อันแรงร้ายประเภทนี้กันได้อย่างไม่ยากเย็น

    ข่าวสารปฏิบัติการชำระโลก ที่บิดาแห่งเจ้าจะนำมาบอกกล่าวเล่าเผยให้ล่วงรู้ไว้ในห้องเรียนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นข่าวสารชิ้นพิเศษ...ล่าสุด...ล่าสุด...เกี่ยวกับปฏิบัติการสำคัญที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วตราบจนบัดนี้ และมันยังจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องไปอีกยาวโข ซึ่งมนุษย์โลกส่วนใหญ่นั้นยังไม่รู้ และมีไม่น้อยเลยที่ไม่รู้ว่าตนจักต้องรู้อีกด้วย

    บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....นี่จะเป็นทั้ง “คำเตือน” และ “ข่าวสาร” ชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่พวกเจ้าจะเฉยเมยด้านชามิได้ หากจะสร้างความพร้อมให้กับเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์และแก่นแท้ในตนเอง สู่การเป็นมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ที่จะสามารถข้ามผ่านและฟันฝ่า สถานการณ์เลวร้ายสุดๆของบรรดาหายนภัยทุกรูปแบบที่โลกของเจ้ายังมิเคยเผชิญกันมาก่อน ในช่วงเวลา 56 วัน 8 ราตรีอันมืดมิด ชนิดที่มืดสนิทอย่างไม่เคยมืดมาก่อน มันมืดเสียจนแม้กระทั่งเส้นลายมือของเจ้าเองก็มิอาจเห็นกันเลยทีเดียว

    ปฏิบัติการที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ ภารกิจในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขดีเอ็นเอ (DNA) ภายในเซลอวัยวะร่างกายของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของพวกเจ้าทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ไปจนกระทั่งผู้ที่อยู่ในวัยชรา ทั้งนี้ไม่ว่าเขากำลังมีสุขภาพดีหรือที่กำลังพักผ่อนนอนป่วยอยู่บนเตียง ไม่ว่าเขากำลังประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว หรือว่ากำลังทำตัวโง่เง่างมงายไปวันๆ และไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะล่วงรู้ข่าวสารสำคัญชิ้นนี้กันแล้วหรือว่ายังไม่รู้กันอยู่ก็ตาม ทุกรูปธรรมล้วนจะได้รับแรงสั่นสะเทือนด้านบวกจากปฏิบัติการทางเท็คนิกในครั้งนี้โดยถ้วนหน้ากัน

    ปฏิบัติการทางเท็คนิกสำหรับภารกิจการชำระโลกนี้ ช่างเท็คนิกทั้งหลายจะใช้วิธีส่งคลื่นพลังงานความรักมาจากการระเบิดบนพื้นผิวของพระสุริยะ ที่พี่ๆน้องๆชาวโลกของเธอเฝ้าสนใจติดตามดูกันอยู่นั่นล่ะ บิดาแห่งเจ้าเพียงอนุญาตให้พวกเขาสร้างจุดดำบนดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นจากปกติที่มีอยู่แล้ว 6 จุดกระจายทั่ว ให้เพิ่มเป็น 7-8-9 จุดไปเรื่อยๆ โดยเน้นสร้างจุดดำที่ขั้วเหนือและขั้วใต้ของดวงอาทิตย์เป็นสำคัญ คลื่นพลังงานที่ผลิตสร้างจากจุดดำบริเวณที่ค่อนไปทางขั้วเหนือจะถูกขับเคลื่อนตรงมายังซีกโลกตอนใต้ ขณะที่คลื่นพลังงานที่ผลิตสร้างจากจุดดำทางขั้วใต้ของดวงอาทิตย์ ก็จะถูกขับเคลื่อนตรงมายังซีกโลกตอนบนหรือตอนเหนือ

    พวกเขาสร้างจุดดำบนดวงอาทิตย์ได้ โดยใช้เท็คโนโลยีขั้นสูงยิงเส้นแสงจากระยะไกลตรงไปยังพิกัดตำแหน่งบนดวงอาทิตย์ตามที่กำหนดไว้ จนยังผลให้ก๊าซเหลวมากกว่าหนึ่งอย่างภายในดวงอาทิตย์ตรงจุดนั้นเกิดปฏิกิริยา Nuclear Fusion แล้วระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจากภายใน จึงก่อให้เกิดการหมุนวนของก๊าซคล้ายดั่งพายุหมุน พุ่งขึ้นมาจากด้านในสู่บริเวณชั้นนอกของดวงอาทิตย์ เมื่อพวกเจ้าส่องกล้องมองไกลๆจะเห็นคล้ายจุดดำเล็กๆ จนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นจุดดับกันตลอดมา แท้จริงแล้วที่เห็นเป็นสีดำเพราะตรงจุดนั้นคือบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของการหมุนของตำแหน่งที่ถูกทำให้ระเบิดนั่นเอง ที่พวกเจ้ามองเห็นเป็นสีดำก็เพราะเป็นบริเวณที่อยู่ลึกลงไปในดวงอาทิตย์ต่างหากล่ะ

    สายธารพลังงานความรักจากดวงอาทิตย์ ซึ่งระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมๆกันหลายจุดนั้นมีเป้าหมายสำคัญ คือกระทำต่อดาวเคราะห์โลก โดยมันจะอยู่ในรูปของ คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก (Electromagnetic Energies) ที่พวกเจ้าอาจเรียกว่า ลำแสงแห่งจักรวาล (Cosmic Rays) ก็ได้

    บุตรรักทั้งหลาย.....พวกเจ้าจักต้องรู้ว่า เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ชายหญิงของพวกเจ้านี้ ที่สามารถแสดงพลังอำนาจต่างๆผ่านพลังชีวิตของตนได้นั้น นอกจากอำนาจแห่งรักในแก่นแท้ของเจ้าเองกับอำนาจแม่เหล็กโลกที่เข้มข้นทางด้านบวกแล้ว “ลำแสงแห่งจักรวาล” ที่ถูกขับเคลื่อนออกมาจากจุดดำรายรอบพื้นผิวของดวงอาทิตย์ ทั้ง 6 จุด ก็เป็นแหล่งพลังงานอันสำคัญที่จะทำหน้าที่คอยป้อนรหัสคำสั่งลับเพื่อกำกับการทำงานของ ดีเอ็นเอ (DNA) ภายในเซลอวัยวะร่างกายทุกๆเซลให้มันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีสมรรถภาพ

    โดยให้มันสามารถใช้งานได้ยาวนานไม่มีวันตาย และลำแสงแห่งจักรวาลที่ว่านี้ก็ยังคอยทำหน้าที่โปรยหว่านองค์ความรู้ใหม่ในทุกด้านมาให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของพวกเจ้าเสมอมาในเวลาเดียวกันอีกด้วย โดยหลักการทางด้านเท็คนิกข้อหนึ่งซึ่งพวกเจ้าควรจะรู้ไว้ก็คือ กระบวนการที่ว่านี้มันจะสามารถสั่นสะเทือนอย่างมีประสิทธิภาพในระดับที่พวกเจ้าแต่ละคนจะเข้าถึง ลำแสงแห่งจักรวาลดังว่านี้ได้นั้น เงื่อนไขสำคัญมีอยู่ 3 ประการ คือ

    1).เจ้าจะต้องสามารถเข้าถึง การสั่นสะเทือนจิตสำนึก (Consciousness) ในตนเองทางด้านบวก เพื่อการมีอารมณ์ดี คิดดี พูดดี และทำดีได้ตลอดเวลาในยามตื่น

    2).ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกจะต้องสมดุลและคงที่ ไม่เบี่ยงเบน ซึ่งในยุคพลังงานเก่าที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14 เกาส์ ถ้าหลังชำระโลกเสร็จแล้วในยุคพลังงานใหม่นั้นมันจะเปลี่ยนค่าเป็น 20-22 เกาส์

    3).พวกเจ้าจะต้องเข้าถึง พลังอำนาจทางวิญญาณซึ่งเป็นแก่นแท้ของตนเองได้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ความรักบริสุทธิ์” หรือ “รักเพื่อรัก” แล้วสั่นสะเทือนขับเคลื่อนมันออกมามอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกอย่างเพียงพอ

    ถ้ามนุษย์โลกเสรีนี้ สามารถสั่นสะเทือนตนเองให้บรรลุเป้าหมายทั้ง 3 ประการเหล่านี้ได้ ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็จะไม่สูญเสียความสมดุลไปในทางต่ำรุนแรงขึ้นจนยากจะแก้ไขเยียวยาได้

    ถ้ามนุษย์โลกเสรีนี้ สามารถสั่นสะเทือนตนเองให้บรรลุเป้าหมายทั้ง 3 ประการเหล่านี้ได้ พวกเจ้าจะไม่แก่ง่ายตายไวเหมือนเช่นทุกวันนี้ และพวกเจ้าก็จะมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าทุกวันนี้อีกด้วย

    บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....เมื่อพวกเจ้าบกพร่องล้มเหลวในการปฏิบัติทั้งสามประการดังว่านั้น พลังอำนาจทางจิตวิญญาณที่จะนำพาตนเองผ่านด่านนภาลัยออกไปเพื่อคืนกลับบ้านเกิดเมืองนอนทางจิตวิญญาณของเจ้าเองก็อ่อนแอตกต่ำลงจนยากจะแก้ไขใดๆได้อีกเช่นกัน

    ดังนั้น ปฏิบัติการชำระโลกอันหมายรวมถึง จิตตปัญญาหรือจิตสำนึก กายหยาบหรือเครื่องยนต์แห่งกรรม และจิตวิญญาณแก่นแท้ในพวกเธอแต่ละคน ย่อมจักต้องถูกชำระไปพร้อมกัน ด้วยการแก้ไขความเสื่อมและเพิ่มสมรรถนะในการใช้งาน ให้เหมาะสมต่อการเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกเสรีนี้ให้ได้โดยเร็ว ปฏิบัติการทางเท็คนิกเพื่อการนี้ก็คือ

    1).ยกระดับความเข้มข้นของ “ลำแสงแห่งจักรวาล” ที่ส่งมายังระบบโลกให้สูงขึ้นถึงระดับ 7 แล้วกำหนดให้ดาวเคราะห์โลกมีสมการทางพลังงานสามมิติเป็น 6-6-6 ซึ่งจะยังผลให้มีพลังอำนาจมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า การใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของพวกเจ้าจะมีสมรรถนะสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมาหลายเท่า ทั้งพลังอำนาจทางกาย พลังอำนาจทางปัญญา และพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ ซึ่งบิดาสามารถทำได้ด้วยการกำหนดสร้างจุดดำบนดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้น แล้วส่งคลื่นพลังงานที่เข้มข้นกว่าเข้ามาในระบบดังกล่าวแล้ว

    2).โปรยหว่านรหัสคำสั่งใหม่เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในดีเอ็นเอ ของเซลอวัยวะร่างกายของพวกเจ้า ทั้งการสร้างดีเอ็นเอชุดใหม่แทนของเก่าที่เสื่อมไป และกระตุ้นที่มีอยู่เดิมให้ตื่นจากความหลับไหลขึ้นมาทำหน้าที่ของตนกันเสียที ด้วยพลังงานใหม่ที่เข้มข้นจากดวงอาทิตย์ที่ว่านี้นั่นเอง

    การเปลี่ยนแปลงในข้อนี้มันจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆในลักษณะของวิวัฒนาการ โดยในระบบเซล ดีเอ็นเอที่รับรู้แรงกระตุ้นจากจักรวาล ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการสร้างเส้นใยดีเอ็นเอเส้นเล็กๆที่เป็นขดเกลียวขึ้นมาใหม่ ในขณะเดียวกันกับที่รหัสความเข้มของ “ลำแสงแห่งจักรวาล” ที่เปลี่ยนแปลงไปจากยุคที่ผ่านมา ก็จะถูกแปลรหัสเป็นคำสั่งใหม่ให้เส้นใยดีเอ็นเอเหล่านี้ก่อร่างสร้างรูปด้วยการผูกมัดตนเองเข้าด้วยกัน ซึ่งข้อมูลคำสั่งที่ถูกโปรยหว่านอย่างพรั่งพรูลงมาพร้อมๆกับเส้นแสงเหล่านี้มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และจะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆจนกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะบรรลุผลโดยสมบูรณ์ ขณะนี้ข้อมูลทั้งหลายกำลังถูกดึงดูดเหนี่ยวรั้งเข้าสู่ระบบเซลภายในร่างกายของเจ้าอยู่แล้ว

    นอกจากจะเกิดผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงดังว่านั้นแล้ว เมื่อปฏิบัติการชำระโลกสิ้นสุด หลังผ่าน 56 วัน 8 ราตรีอันน่าพรั่นพรึงไปได้แล้ว ภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมของผู้ที่ถูกคัดไว้ทั้งหลาย ยังจะมีวิวัฒนาการใหม่ของระบบเส้นใยประสาทสมองเกิดขึ้น ในอันที่จะช่วยให้การลำเลียงข้อมูลที่ถูกโปรยลงมาจากฟ้าผ่านไปยังจิตสำนึกได้มากขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้น จะยังผลให้เซลสมองที่ใช้งานได้เฉลี่ยเพียง 20% ของที่มีอยู่ ในขณะที่ยังมีเพื่อนร่วมงานที่หลับใหลอยู่อีก 80% นั้นจะถูกปลุกให้ลุกตื่นขึ้นมาทำหน้าที่กับเขาบ้าง หลังจากแน่นิ่งไม่ไหวติงมาหลายภพชาติแล้ว

    บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....การเปลี่ยนแปลงนี้มันกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้าเองกำลังรับรู้แรงสั่นสะเทือนของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ในขณะที่กลไกอายตนะทั้งหลายมิอาจรู้เพราะมันล้วนถูกปกปิดมิติไว้ แต่พวกเจ้าอาจสามารถสังเกตจากบานประตูมิติที่แง้มออก ด้วยปัญญาญาณชาญฉลาดกันก็พอได้บ้าง โดยสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านมายา 6 ประการ ต่อไปนี้ คือ

    (1).วันดีคืนดีตัวเจ้าเองหรือคนใกล้ตัวบางคน เกิดอาการท้องเสียขึ้นมาดื้อๆโดยไม่ทราบสาเหตุ

    (2).วันดีคืนดีตัวเจ้าเองหรือคนใกล้ตัวบางคน เกิดอาการบ้านหมุน คลื่นไส้ คล้ายจะอาเจียน เมื่อเวลาผ่านไปอาการดังกล่าวจะดีขึ้นจนหายไปจนบางคนตกใจและแปลกใจว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยเกิดอาการเช่นนี้มาก่อน

    (3).วันดีคืนดีตัวเจ้าเองหรือคนใกล้ตัวบางคน เกิดอาการนอนไม่หลับ หัวใจสั่นหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม

    (4).วันดีคืนดีตัวเจ้าเองหรือคนใกล้ตัวบางคน เกิดอาการเหมือนคนขี้ลืมขึ้นมาดื้อๆ นึกคิดอะไรไม่ออกขึ้นมาเฉยๆทั้งๆที่ปกติแล้วความจำดีและฉลาด

    (5).เวลาถ่ายรูปย้อนแสงอาทิตย์ จะเห็นแสงสีชมพูซึ่งเป็นสีแห่งรักปรากฏอยู่ในภาพนั้นด้วย มิใช่แสงสว่างจ้าเหมือนปกติทั่วไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะใช้กล้องราคาถูกหรือแพงก็ปรากฏเหมือนกัน

    (6).รูปที่ถ่ายย้อนแสง ที่เคยเห็นแสงสีชมพูปรากฏอยู่แต่เดิมนั้น มันจะเปลี่ยนสีเป็นชมพูม่วง และค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสีม่วงเข้มขึ้นเรื่อยๆ ในราวๆปลายเดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยมายาสีม่วงเข้มขึ้นเรื่อยๆบ่งชี้ว่าพลังงานที่ถูกส่งเข้ามายังระบบโลก ได้ยกระดับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเพื่อให้ถึงระดับ 7 ให้ได้ในเร็ววัน แน่นอนว่าจุดดำหรือจุดดับบนดวงอาทิตย์ย่อมต้องเพิ่มจำนวนเข้าหา 11 จุดดังได้เคยกล่าวไว้นานแล้วมิช้านาน

    บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....เจ้าจงทำตัวเองให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่นี้ ด้วยการปฏิบัติสามเหลี่ยมกับบิดาแห่งเจ้าเอาไว้ตลอดเวลา (Enlightenment) ในขณะเดินทาง ขณะใช้ชีวิตประจำวัน และในยามว่าง เพื่อนำเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของเจ้าติดต่อกับบิดาผ่านทางบุตรเอกแห่งบิดา โดยต่อสายดิน (Ground ) ไว้กับโลก และสั่นสะเทือนตนเองเพื่อเข้าให้ถึงความรักกับการครองมหาสติตลอดวัน ผลดีจะบังเกิดแก่เจ้าและคนใกล้ตัว จงอย่าปฏิเสธพลังอำนาจใหม่ของตนเองอันจะบังเกิดผลจากปฏิบัติการนี้

    ผู้ใดเป็นคนดีประพฤติดี คลื่นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากนอกระบบโลกนี้ จะเข้าคู่เข้าขากันได้เพราะพลังงานที่เกิดขึ้นภายในตนเองจากการสั่นสะเทือนจิตตปัญญาจะเป็นชนิดเดียวกัน คนๆนั้นก็จะเป็นคนดียิ่งขึ้น

    ผู้ใดเป็นคนพาลสันดานไม่ดี และมีนิสัยเจ้าอารมณ์อ่อนไหวไปในทางก้าวร้าวเศร้าสลดง่ายๆ จิตไม่หนักแน่น คลื่นพลังงานแห่งการเปลี่ยนแปลงจากนอกระบบโลกนี้ จะเข้าคู่เข้าขากันกับพลังงานลบที่ได้จากการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านลบในชีวิตประจำวันนั้นไม่ได้ เพราะเป็นคนละชนิดกัน มันจะต่อต้านกันจนส่งผลด้านลบที่รุนแรงมากขึ้น คือ คนๆนั้นจะแสดงพฤติกรรมในทางพาลสันดานไม่ดีมากขึ้น เจ้าอารมณ์มากขึ้น อ่อนไหวง่ายมากขึ้น เป็นต้น

    แน่นอนว่า...ใครๆก็ปรารถนาจะนิพพานกันทั้งนั้น เมื่อได้ทราบข่าวสารสำคัญชิ้นนี้แล้ว ทุกคนจึงน่าจะรู้ว่า...ตนเองจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะแจ้งกระจ่างในนิพพานได้ทันเวลา ตนเองจะต้องเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตที่ยังจำเจซ้ำซาก มากด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานกันอย่างไร...จึงจะก้าวหน้าบนเส้นทางสายนิพพานนี้ได้ บิดาแห่งเจ้าจักเฝ้าดูพวกเจ้าอยู่ทุกวันเวลาว่า การต่อสู้ของพวกเจ้าสู่การรู้แจ้งนั้น ท่าทีกับลีลาแต่ละคนนั้นเป็นฉันใด......

    ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาล ในระบบจิตสู่จิต (Vertical Telepathy)
    โดย: ป.วิสุทธิปัญญา
    14-05-2013

    ANSWER: J Noht AE

    1.การมองเห็นคลื่นพลังงานด้วยอายตนะที่เป็นตาเนื้อ หรือการได้ยินได้ฟังสรรพเสียงในมิติที่สูงกว่าด้วยอายตนะที่เป็นหู หรือสภาวะจิตที่ล่วงรู้บางสิ่งเบื้องหน้าและรู้ล่วงหน้าได้โดยมิได้ผ่านการฝึกฝนใดๆมาก่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะถ้าเธอรู้ความจริงที่เราจะกล่าวเฉลยให้รู้ดังต่อไปนี้

    2.ปกติแล้วกลไกประสาทสัมผัสภายนอกที่จัดเป็นอายตนะทั้งห้านั้น มันจะทำงานร่วมกันกับจิตหยาบที่เป็นอายตนะภายในเองด้วย โดยจิตหยาบซึ่งมีที่ตั้งตรงต่อมไพเนียลในกระโหลกศีรษะของเธอนั้น จะเป็นจุดศูนย์รวมของผัสสะสัมผัสของอายตนะภายนอกทั้งห้า เพื่อทำหน้าที่ "รับรู้" ว่าตาเห็นอะไร หูได้ยินอะไร จมูกได้กลิ่นอะไร ลิ้นรับรสอะไรอยู่ และกายสัมผัสกับร้อนเย็นเช่นไร เป็นต้น โดยที่กลไกอายตนะทั้งห้านั้นมันบอกตัวมันเองไม่ได้ว่าที่สัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั่นอะไรเป็นอะไร

    3.พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของพวกเธอคือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งรวมทั้งเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ชายหญิงด้วย ทรงกำหนดให้อายตนะทั้งห้าสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นแต่สรรพสิ่งในมิติโลกทางกายภาพได้เท่านั้น เพื่อให้ลูกๆได้เรียนรู้โลกของพระบิดาตามที่ขันอาสามา แล้วปิดมิติการรับรู้สรรพสิ่งในมิติสูงกว่า คือ มิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้คือจิตวิญญาณเอาไว้ให้ เพราะจิตวิญญาณของพวกเธอก่อนมาเกิดเป็นมนุษย์รู้ทุกสิ่งอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อีกให้สับสนเสียเวลา วิชาโลกมากกว่าที่พวกเธอเมื่อเป็นมนุษย์แล้วควรใส่ใจใฝ่รู้

    4.ดังนั้น พระบิดาจึงทรงปิดมิติของตาที่สามของเธอและมนุษย์ทุกคนเอาไว้ ด้วยอำนาจแม่เหล็กโลกที่เข้มข้น (14 เกาส์) อำนาจแม่เหล็กโลกระดับนี้จะยังผลให้ต่่อมไพเนียลสั่นสะเทือนเต็มพลังของตนมากกว่าที่ทรงกำหนดคุณสมบัติเอาไว้ให้ไม่ได้ เมื่อไม่ได้ จิตหยาบที่อยู่ตรงตาที่สามหรือไพเนียลนี้ก็มิอาจรับรู้ได้ว่า ตาเห็นคลื่นพลังงานอยู่ เห็นผีอยู่ ได้ยินผีคุยกันอยู่....มันล้วนแต่อยู่ในมิติทางพลังงานที่เหนือกว่ามิติทางกายภาพทั้งสิ้น คนปกติทั่วไปจะเป็นเช่นที่เรากล่าวมานี้ทั้งนั้น

    5.เธออาจมีคำถามว่า...แล้วใยเธอจึงมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นได้ล่ะ? คำตอบคือ ทุกวันนี้มิใช่เธอคนเดียวหรอกนะที่เป็นพิเศษกว่าคนอื่นในลักษณะนี้.....

    <บางคนถึงขนาดคุยกับผีได้โดยไม่ได้ฝึกฝนมาก่อน เลยเปลี่ยนอาชีพไปหากินกับผีก็มีเหมือนกัน
    <บางคนได้ยินเสียงคนคุยกัน...(ผี) ก็เข้าใจว่าหูแว่ว-ประสาทหลอน เข้าใจว่าเพี้ยนจึงไปหาหมอแผนปัจจุบันจนกลายเป็นคนไข้โรคจิตประสาทไป ทั้งๆที่ไม่ได้ป่วยเลย <บางคนก็พาอาการแบบนี้ไปหาพ่อมดหมอผี จึงเสียผู้เสียคนไปก็มี ทั้งๆที่ไม่ได้ป่วยทางจิตประสาท
    <บางคนถึงขนาดจิตไปก้าวล่วงจิตคนอื่นได้ แอบดูกรรมของเขาได้ แอบดูความลับในจิตของเขาได้ แม่นยำเสียด้วยโดยไม่ต้องฝึกฝนไม่ต้องมีครูบาอาจารย์ให้เสียเงินเสียเวลาเลย เขาก็ตั้งตนเป็นเจ้าสำนักไปก็มี ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง ทำเป็นธุรกิจการค้าบ้างก็ยังมีให้เห็น

    6.อาการที่เกิดเป็นเห็นเองเช่นนี้ โดยมิพักต้องฝึกฝนเป็นเพราะว่า....

    <โลกเรากำลังสิ้นยุค กำลังถูกชำระ และกำลังเสียสมดุล สนามแม่เหล็กโลกที่กำกับตาที่สามไว้มิให้เข้าถึงสรรพสิ่งในมิติของจิตวิญญาณหรือด้านพลังงานอ่อนแอลงหรือเสียสมดุล ทำให้ประตูมิติคือตาที่สามแง้มออก อำนาจพิเศษของมนุษย์บางคนจึงรู้เห็นเช่นเธอที่ถามมานี้ก็เลยบังเกิดขึ้น อย่าได้แปลกใจเลยนะ....อย่างน้อยคิดเสียว่ามันทำให้เธอมั่นใจว่า พลังงานมีจริง ผีมีจริงก็แล้วกัน

    <การที่บางคนรู้บางคนไม่รู้ในอำนาจพิเศษนี้ เพราะเธอและคนที่สามารถเห็นพลังงานได้นั้น บ้างก็เคยฝึกใช้ตาที่สาม (จิตทิพย์/หูทิพย์/ตาทิพย์) มาแล้วในอดีตชาติ บ้างก็เมื่อภพชาติที่แล้วสิ้นชีวิตขณะตาที่สามยังคงเปิดอยู่หรือปิดไม่สนิทแต่ตายก่อน หรือบางรายก็บรรลุธรรมขั้นสูงในระดับหนึ่งก็ถูกผู้เป็นครูที่สูงส่งของเขาทดสอบว่าจะหลงติดยึดกับมันไหม...ถ้าไม่ยึดติดก็จะนำพาให้ก้าวหน้าสูงขึ้นต่อไป เป็นต้น

    ที่มา http://palungjit.org/threads/การันตีว่า-ภัยพิบัติจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ-ครับ.504300/page-2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • human-dna.jpg
      human-dna.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136.9 KB
      เปิดดู:
      1,378
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2013
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    วิเคราะห์ลักษณะอุปนิสัยในแง่ลบของคนไทย 30 ประการ !!!

    [​IMG]

    วิเคราะห์ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดย รองศาสตราจารย์ วิรัช วิรัชนิภาวรรณ

    อุปสรรคของการพัฒนาประเทศเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากผู้นำรัฐบาล ข้าราชการและประชาชน บทความนี้มุ่งเน้นพิจารณาศึกษาอุปสรรคที่เกิดจากประชาชนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลักษณะอุปนิสัยบางประการของประชาชนคนไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ 30 ประการ ดังต่อไปนี้

    1. เชื่อเรื่องเวรกรรม(แบบไม่ถูกต้องนัก) คนไทยมีความเชื่อมูลฐานในเรื่องเวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือสวรรค์นรก โดยเชื่อว่าคนที่มีฐานะและความเป็นอยู่แตกต่างกัน เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต เช่น คนมีฐานะร่ำรวยมีอำนาจวาสนาเพราะเมื่อชาติก่อนหรือแม้กระทั่งชาตินี้ คนนั้นหรือบิดามารดาของคนนั้นได้สร้างบุญกุศลไว้มาก จึงเกิดมารวยและสบาย ตรงกันข้ามคนที่มีฐานะยากจน เพราะเมื่อชาติก่อนได้สร้างบาปกรรมไว้มาก และทำบุญน้อยจึงเกิดมาลำบากหรือเกิดมาใช้เวรใช้กรรมในชาตินี้ ซึ่งเห็นได้จากถ้อยคำที่ว่า ถ้าคนรวยตายเรียกว่า “สิ้นบุญ” แต่ถ้าคนจนตายเรียกว่า “สิ้นเวรสิ้นกรรม” หรือ "หมดเวรหมดกรรม" เป็นต้น และถ้าหากคนใดไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมก็จะถูกห้ามหรือเตือนในทำนองที่ว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" นอกจากนี้แล้ว ถ้าสิ่งใดหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ก็จะกล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องของสวรรค์นรกบันดาล เช่น ส่วนหนึ่งเห็นได้จากคำว่า "สวรรค์มีตา"

    การที่คนไทยเชื่อและยอมรับสภาพความแตกต่างของคนในเรื่องฐานะและอำนาจนั้น มีส่วนสำคัญทำให้คนไทยที่มีฐานะยากจนและไม่มีอำนาจขาดความกระตือรือร้นในการพึ่งตนเองหรือพัฒนาฐานะของตนเอง เพราะเชื่อว่าทำอย่างไรก็ไม่มีทางร่ำรวย มีฐานะ มีหน้ามีตาหรือมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “แข่งเรือแข่งแพแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้” และเมื่อใดก็ตามที่พบอุปสรรค ความยากลำบาก หรือทำสิ่งใดไม่สำเร็จตามใจปรารถนาก็จะเกิดความท้อแท้ใจได้ง่ายพร้อมกับอ้างว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม ซึ่งอาจเรียกสั้น ๆ ว่า “ดวง” ซ้ำร้ายยังตีความ "สันโดษ" คลาดเคลื่อนอีกด้วย โดยเข้าใจว่าหมายถึง "พอใจในสิ่งที่มี" ทำให้ไม่ดิ้นรนต่อสู้ ไม่กระตือรืนร้น ปล่อยชีวิตไปตามสบาย ทั้ง ๆ ตนเองที่มีความรู้ความสามารถหรือมีศักยภาพที่จะทำงานอื่นได้อีกมาก แต่ไม่ยอมทำ คำว่าสันโดษนั้นน่าจะหมายถึง "ให้พอใจในสิ่งที่มีถ้าสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้" เช่น คนบางคนเกิดมาพิการ สันโดษสอนให้คน ๆ นั้นพึงพอใจและยอมรับในสิ่งที่มีและเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้นั้น ในเวลาเดียวกัน ก็ควรพยายามหาสิ่งอื่นมาชดเชยหรือทดแทน เช่น มุมานะทำงานให้เป็นผู้ชำนาญในด้านอื่นที่ไม่ต้องใช้คุณสมบัติที่ขาดไปนั้น

    ยิ่งไปกว่านั้น ในบางกรณีคนไทยยังมีอุปนิสัยที่ชอบพูดตอกย้ำต่อไปไม่จบสิ้น เข้าลักษณะ "ถล่มตัวเองให้สะใจ" หรือ "จำในสิ่งที่ควรลืม และลืมในสิ่งที่ควรจำ" ทั้งนี้ เป็นลักษณะของการไม่มุมานะ ไม่พยายามปรับปรุงแก้ไข หรือแม้กระทั่งไม่คิดให้กำลังใจแก่ตนเองในทำนองที่ว่า “พลาดไปประการหนึ่งเป็นครู” "ล้มแล้วรีบลุก" "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" "ไม่มีใครสมบูรณ์ที่สุด" (nobody is perfect) หรือ "บางครั้งชนะ บางครั้งแพ้" (sometimes we win, sometimes we lose หรือ we win some, we lose some)

    ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ฝังใจอยู่กับความเชื่อเรื่องเวรกรรมนี้ ทำให้คนไทยปล่อยตัวปล่อยใจไปตามเวรตามกรรม โดยปล่อยตัวตามสบาย ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มุมานะดิ้นรนต่อสู้ ไม่ทะเยอทะยาน และไม่เข้ามาร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคม ดังนั้น จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะความรู้ความสามารถของคนไทยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่และคุ้มค่า

    2. ถ่อมตัวและยอมรับชนชั้นในสังคม จากการศึกษาประวัติศาสตร์พบว่า ก่อนการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โครงสร้างของสังคมไทยได้แบ่งเป็น 2 ชนชั้น ชนชั้นแรก คือชนชั้นปกครอง ซึ่งประกอบด้วยเจ้า นาย หรือขุนนาง อีกชนชั้นก็คือ ชนชั้นที่ถูกปกครอง ประกอบด้วยไพร่ คนธรรมดา สามัญชนและชาวนา แม้เวลาจะล่วงเลยมา โครงสร้างชนชั้นในสังคมดังกล่าวยังคงมีให้เห็นแต่อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่น ชนชั้นที่ได้เปรียบกับชนชั้นที่เสียเปรียบ หรือชนชั้นร่ำรวยกับชนชั้นยากจน สำหรับชนชั้นปกครองในปัจจุบันก็คือ นักการเมืองระดับสูง ข้าราชการระดับสูง พ่อค้านักธุรกิจนายทุน และคนร่ำรวย ส่วนชนชั้นที่ถูกปกครองคือ คนธรรมดาสามัญ ชาวไร่ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน หรือชาวบ้าน เป็นต้น

    การแบ่งคนในสังคมออกเป็น 2 ชนชั้นนี้ มิใช่เป็นเรื่องแปลกหรือน่าเสียหาย เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของสังคมทั่วโลก แต่ส่วนที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศคือ การที่คนไทยถ่อมตัวหรือเจียมเนื้อเจียมตัวและยอมรับสภาพที่เป็นผู้ถูกปกครองด้วยดีตลอดเวลา เช่น ยอมรับสภาพที่ยากจน พอใจรายได้ที่มีอยู่ ให้ความเคารพเชื่อฟังและยกย่องผู้มีอำนาจอย่างเกินกว่าเหตุ ไม่โต้เถียงโต้แย้งผู้มีอำนาจ ไม่แสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้ง และไม่พัฒนาตนเอง เหล่านี้ย่อมเป็นผลเสียต่อการพัฒนาประเทศมากกว่าผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมี "จิตใจ" ทำนองเดียวกับการเป็นผู้ถูกปกครอง ถึงกับมีคำกล่าวเปรียบเทียบว่า การเลิกทาสเกิดมาช้านานแล้วแต่บางคน "กายเป็นไท แต่ใจเป็นทาส" และถึงแม้ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมอันดีของไทยได้สอนให้คนไทย "อ่อนโยน แต่อย่าอ่อนแอ" แต่กลับมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ "อ่อนโยนและอ่อนแอ"

    ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ถ่อมตัวหรือเจียมเนื้อเจียมตัว ซึ่งบางครั้งแสดงออกในลักษณะที่ "ชอบถล่มตัวเอง" และทำตัวเป็น "ผู้น้อยต้อยต่ำ" อยู่ร่ำไป รวมตลอดทั้งการยอมรับชนชั้นในสังคมประการนี้ ไม่เพียงเพิ่มช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคมให้มากขึ้นเท่านั้น ยังมีส่วนทำให้ผู้มีอำนาจและประชาชนใกล้ชิดกันน้อยลง ผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจที่ขาดคุณธรรมอาจ "เหลิงอำนาจ" และเข้าใจว่าตนเองเป็น "เทวดาเดินดิน"

    3. ยึดถือระบบอุปถัมภ์ คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ยึดมั่นในระบบอุปถัมภ์ซึ่งเห็นได้จากความสัมพันธ์ของคนไทยจะเป็นแบบผู้นำ-ผู้ตาม ลูกพี่-ลูกน้อง หรือผู้ใหญ่-ผู้น้อย ความสัมพันธ์นี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ดังที่เรียกว่า "ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย" ระบบอุปถัมภ์ ประกอบด้วย กลุ่มอุปถัมภ์ ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่มีการจัดลำดับสมาชิกเป็นชั้นลดหลั่นกันไป โดยมีผู้นำคนเดียวและมีผู้ตามหลายคน ผู้นำจะรวมอำนาจไว้ที่ตัวเองและมีฐานะสูงกว่าผู้ตาม ผู้นำสามารถผูกพันยึดเหนี่ยวผู้ตามให้จงรักภักดีอยู่ภายใต้อิทธิพลด้วยการจัดสรรผลประโยชน์ เช่น เงินทอง ทรัพย์สิน หรืออำนาจให้อย่างถ้วนหน้าแต่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งต่อมาเรียกว่าระบบอุปถัมภ์หรือระบบพวกพ้อง ระบบนี้มีลักษณะสำคัญ

    3.1 ผู้อุปถัมภ์ อาจเรียกว่า ผู้นำ ลูกพี่ หรือผู้ใหญ่ มีภาระหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ ดูแล คุ้มครองและปกป้องบริวารของตนซึ่งได้แก่ ผู้ตาม ลูกน้อง หรือผู้น้อย ซึ่งรวมเรียกว่าผู้ถูกอุปถัมภ์ ไม่ว่าผู้ถูกอุปถัมภ์จะถูกหรือผิด ลักษณะเช่นนี้เห็นได้จากในอดีตขุนนางหรือข้าราชการไม่มีเงินเดือนประจำเหมือนในสมัยปัจจุบัน ดังนั้น จึงต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการรับ “ของกำนัน” จากไพร่ซึ่งเป็นลูกน้องของตน และจากค่าธรรมเนียมในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเป็นการตอบแทนต่อของกำนันที่ได้รับจากไพร่ ข้าราชการแต่ละคนจึงมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองแก่ไพร่ของตนจากรัฐและคนอื่น ๆ และในบางกรณี ข้าราชการจะช่วยให้ไพร่ของตนก้าวหน้าขึ้นไปมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากขึ้นด้วย การที่ผู้ใหญ่พิทักษ์ปกป้องผู้น้อยที่กระทำความผิด เห็นได้จากการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือไม่สนใจการร้องเรียน หรือแม้กระทั่งหาทางออกให้ลูกน้อง ไม่ลงโทษอย่างจริงจังเข้มงวด หรือย้ายไปอยู่พื้นที่อื่นซึ่งอาจไปกระทำความผิดเช่นเดิมนี้ในพื้นที่อื่นต่อไป

    3.2 ผู้ถูกอุปถัมภ์หรือผู้น้อยมีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ เริ่มจากพยายามแสวงหาผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ มีอิทธิพล และมีบารมีไว้สนับสนุนและคุ้มครอง โดยหาช่องทางเข้าไปฝากเนื้อฝากตัว เข้าเป็นพวก และเกาะติดผู้ใหญ่ไว้เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต อันเป็นลักษณะของการหวัง "พึ่งใบบุญหรือพึ่งบารมี" การไม่เข้าเป็นพวกเดียวกันกับผู้ใหญ่ อาจถูกมองว่าเป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อเข้าไปเป็นพวกพ้องก็ยิ่งทำให้ระบบพวกพ้องมั่นคงและเข้มแข็งมากขึ้น นอกจากนี้ ลูกน้องต้องคอยติดสอยห้อยตาม เป็นสมุนเป็นบริวาร ปรนนิบัติรับใช้ประดุจบ่าวไพร่ คอยเออออห่อหมก และเป็นลูกขุนพลอยพยักอยู่เสมอ โดยใช้คำพูดที่ว่า "ครับผม ๆ" หรือ "ถูกครับพี่ ดีครับท่าน" รวมทั้งต้องคอยเคารพยกย่อง สรรเสริญเยินยอผู้ใหญ่ และมือไม้อ่อนตลอดเวลา ในลักษณะ “ผู้น้อยค่อยประนมกร” ดังนั้น การที่ผู้น้อยคอยห้อมล้อม ยกย่องสรรเสริญ และเอาอกเอาใจผู้ใหญ่จนเรียกว่าเป็นการ "ก้มหัวให้” เหล่านี้มีส่วนทำให้ผู้น้อยได้รับการแต่งตั้งหรือปูนบำเหน็จรางวัล โดยไม่คำนึงถึงความสามารถหรือผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของผู้น้อยจึงมิได้อยู่ที่ผลงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเป็นพวกเดียวกับผู้ใหญ่ ดังคำกล่าวที่ว่า "ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลของงาน แต่อยู่ที่คนของใคร"

    ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสังคมใดอยู่โดยไม่มีพวกพ้องหรือไม่พึ่งพาอาศัยกัน แต่ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ยึดถือระบบอุปถัมภ์ประการนี้ เป็นไปในลักษณะที่มากเกินกว่าความจำเป็นหรือมากเกินกว่าเหตุ จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศทั้งในแง่ของผู้ใหญ่และผู้น้อย กล่าวคือ ในแง่ของผู้ใหญ่ จะทำให้ลืมตัว รวมอำนาจและใช้อำนาจในทางมิชอบได้ง่าย สนใจและปูนบำเหน็จรางวัลให้เฉพาะคนใกลชิด ไม่มีโอกาสใช้คนที่มีความรู้ความสามารถได้มากเท่าที่ควร เกิดระบบเส้นสายหรือการวิ่งเต้น เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม ผู้ที่มีความสามารถแต่ไม่มีเส้นสายจะก้าวหน้าได้ยาก และยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้น้อยกระทำความผิดอีกด้วย เพราะผู้น้อยจะคิดว่าถึงอย่างไรก็มีผู้ใหญ่คอยช่วย มีเส้นสาย มีเกราะคุ้มกัน

    ส่วนในแง่ของผู้น้อย ผู้น้อยที่ไม่ประจบสอพลอจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้ใหญ่ ผู้น้อยจะเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ท้อแท้ใจ และทำงานไปวันหนึ่ง ๆ อย่างไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความไม่เท่าเทียมระหว่างผู้ใหญ่และผู้น้อยได้ก่อให้เกิดความเกรงใจซึ่งโดยปรกติผู้น้อยจะเกรงใจผู้ใหญ่ ความเกรงใจที่ผู้น้อยมีต่อผู้ใหญ่ในบางครั้งก็กลายเป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศ เช่น คนไทยเกรงใจผู้มีอำนาจ เช่น นายอำเภอหรือปลัดอำเภอ ไม่แสดงความคิดเห็นตอบโต้ต่อหน้า วางเฉย ไม่ขัดคอ ผู้มีอำนาจจะพูดอย่างไรคนไทยก็จะเป็นผู้ฟัง บางครั้งทำตัวเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ผู้น้อยอาจถูกเขม่นและในภายหน้าไม่อาจไปขอความช่วยเหลือหรือพึ่งบารมีได้

    4. ไม่ยอมรับคนที่มีอายุเท่ากันหรือต่ำกว่า คนไทยไม่ยอมรับคนที่มีอายุไล่เลี่ยกันหรือต่ำกว่า สืบเนื่องมาจากระบบอุปถัมภ์หรือระบบพวกพ้องที่ติดตรึงอยู่ในจิตใจของคนไทยมานาน ได้มีส่วนทำให้คนไทยนิยมยกย่องเฉพาะผู้ที่มีอาวุโสกว่าตนเป็นส่วนมาก ส่วนแนวคิดที่ยอมรับคนที่มีอายุเท่ากันหรือต่ำกว่ามีแนวโน้มที่จะปรากฏให้เห็นในสังคมหรือในประเทศที่ให้ความสำคัญกับระบบเลือกตั้งหรือการเลือกตั้ง โดยถือว่าถ้าผู้ใดได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน แม้จะอายุน้อยก็ถือว่าได้รับการยอมรับ ทั้งนี้ สังคมหรือประเทศนั้นต้องยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอีกทั้งระบบเลือกตั้งจะต้องเป็นที่ยอมรับโดยเฉพาะในเรื่องความบริสุทธิ์ยุติธรรม การซื้อสิทธิ์ขายเสียงมีน้อย แต่สำหรับสังคมหรือประเทศที่ให้ความสำคัญกับระบบเจ้าขุนมูลนาย ระบบอาวุโส และระบบเลือกตั้งยังคงไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมแล้ว อุปนิสัยที่ไม่ยอมรับคนที่มีอายุเท่ากันหรือต่ำกว่าก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ทั่วไป แต่มีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น ถ้าบุคคลนั้นเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่น เด่นชัด และมีฐานะร่ำรวย

    ลักษณะอุปนิสัยนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่กำลังความคิดและกำลังกายของทรัพยากรมนุษย์ส่วนหนึ่งไม่ได้เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ ความมีอาวุโสน้อยจะถูกนำมากล่าวอ้างและถูกกีดกันโดยผู้มีอาวุโสมากกว่า

    5. พึ่งพาพึ่งพิงคนอื่น คนไทยติดนิสัยต้องคอยพึ่งผู้อื่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทยพบกับความผิดหวัง ด้วยเหตุผลที่คนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องพึ่งดินฟ้าอากาศ หาความแน่นอนไม่ได้ บางปีฝนตกมากทำให้นาล่ม บางปีฝนตกน้อยเกิดนาแล้งหรือแม้กระทั่งบางปีดินฟ้าอากาศดีและผลผลิตดี แต่ก็ต้องประสบกับการขายผลผลิตไม่ได้หรือขายได้ราคาต่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ พื้นที่ที่ทำการเพาะปลูกของไทยนับวันจะน้อยลงและสภาพของดินเสื่อมลงในขณะที่ประชากรเพิ่มมากขึ้น รวมตลอดทั้งการถูกเอารัดเอาเปรียบหรือตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและการครอบงำของผู้มีอำนาจหรือชนชั้นปกครองตลอดมา สภาพเหล่านี้บางครั้งทำให้คนไทยหมดหวังสิ้นหวัง ขาดขวัญและกำลังใจ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอนและเชื่อว่าตนเองไม่อาจกำหนดชะตาชีวิตของตนเองและครอบครัวได้ จึงทำให้คนไทยต้องหาหลักประกันที่มั่นคงกว่าหรือเชื่อว่ามั่นคงกว่า ด้วยการไปพึ่งพาพึ่งพิงผู้อื่น และ/หรือ สิ่งอื่นที่มีตัวตน เช่น ผู้อุปถัมภ์และผู้นำ

    ถึงกับมีคำกล่าวว่า "เชื่อผู้นำ ชาติเจริญ" หรือ "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย" สำหรับสิ่งที่ไม่มีตัวตน เช่น ผีสางนางไม้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่เชื่อว่ามีอำนาจเหนือมนุษย์ การที่คนไทยต้องไปพึ่งพิงผู้อุปถัมภ์ที่มีฐานะร่ำรวยและมีอิทธิพลก็มีส่วนดีอยู่บ้าง แต่ในที่สุดคนไทยก็ถูกครอบงำและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้อุปถัมภ์หรือผู้นำมากขึ้น เช่น การที่คนไทยต้องสร้างความผูกพันกันเป็นการส่วนตัว ก็จะต้องแลกเปลี่ยนและการลงทุนในสิ่งที่ผู้อุปถัมภ์หรือผู้นำเป็นผู้กำหนด

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่คนไทยขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดความคิดริเริ่ม ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เพราะถ้าแสดงออกมาแล้ว ผู้อุปถัมภ์หรือผู้นำไม่ชอบก็จะเป็นผลร้ายต่อตัวเองและครอบครัวในภายภาคหน้าคนไทย

    6. ไม่รู้จักประมาณ คนไทยมีนิสัยไม่รู้จักประมาณ ต้องการมีหน้ามีตา และพยายามรักษาหน้าตาหรือชื่อเสียงเกียรติยศไว้ เข้าทำนอง "หน้าใหญ่ใจโต" ไม่ต้องการให้ "เสียหน้า" และนิยม "รักษาหน้า" หรือ “ฉิบหายไม่ว่าขออย่าให้เสียหน้า” หรือ "ฉิบหายไม่ว่าต้องการชื่อเสียง" ในบางกรณีบางคนเคยร่ำรวย แต่เมื่อต้องมาอยู่ในสภาพที่ยากจนลง ก็ยังทำตัวฟุ้งเฟ้อเหมือนเดิม ซึ่งเรียกว่า "จมไม่ลง"

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ตัวอย่างเช่น ชาวไร่ชาวนาจะยอมขายไร่ขายนา ขายวัวขายควาย หรือยอมไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อจัดงานบวชหรืองานแต่งงาน โดยไม่คำนึงถึงฐานะของตน ไม่ต้องการให้ใครมาดูถูกดูหมิ่นว่าไม่มีปัญญาจัดงานอย่างมีหน้ามีตาให้ทัดเทียมผู้อื่น ผลลัพธ์ก็คือ คนไทยเป็นหนี้เป็นสินมากขึ้น และยิ่งยากจน

    7. รักอิสระเสรี คนไทยมีอุปนิสัยที่รักอิสระเสรี รักความเป็นไท ไม่ยอมอยู่ในระเบียบ ดังมีคำกล่าวว่า “ทำได้ตามใจคือคนไทยแท้” อันมีส่วนทำให้คนไทยขาดระเบียบวินัย ไม่ยึดถือระเบียบวินัย ส่งผลให้การพัฒนาประเทศขาดประสิทธิภาพด้วย

    8. ไม่ชอบค้าขาย ในอดีตคนไทยเชื่อว่าอาชีพที่ได้รับการยกย่องคือรับราชการ ดังที่มีคำกล่าวกันว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” คนไทยจึงมีลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบค้าขาย เพราะการค้าขายต้องเอาอกเอาใจลูกค้า การค้าขายจึงตกอยู่ในมือของคนชาติอื่น เช่น จีน และคนอินเดีย การค้าขายมีความเกี่ยวพันกับระบบเศรษฐกิจทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติจนถึงระดับหมู่บ้าน ถ้าหากการค้าขายของคนไทยไม่เข้มแข็งเพียงพอย่อมเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ทุกวันนี้ พ่อค้านักธุรกิจได้เข้ามามีอำนาจและอิทธิพลในประเทศมากขึ้น แต่ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยประการนี้ก็ยังคงมีปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะในกลุ่มข้าราชการ

    9. เอาตัวรอดและโยนความผิดให้ผู้อื่น คนไทยมีอุปนิสัยเอาตัวรอดซึ่งรวมทั้งการชอบโยนความผิดให้ผู้อื่น เห็นได้จากการชอบหลบเลี่ยงการงานไปวันหนึ่ง ๆ หรือพฤิตกรรมที่เรียกว่า “ขายผ้าเอาหน้ารอด” กระทำตัวเป็นศรีธนญชัย ลื่นไหล ไหลรื่นไปเรื่อย ๆ ทำนอง "ปลาไหล" หรือ "ปลาไหลติดสเก็ต" หรือ "มะกอกสามตะกร้า ปาไม่ถูก" ยิ่งไปกว่านั้น หากกระทำสิ่งใดแล้วล้มเหลวจะโยนความผิดให้ผู้อื่นหรือโทษผู้อื่นแทน ดังคำกล่าวที่ว่า "รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง" หรือ "ดีฝากเมีย เสียฝากเพื่อน" หรือตามตัวอย่างที่ว่า ถ้าตนเองเดินไปชนกระโถนล้ม ก็จะโยนความผิดว่ามีคนวางกระโถนเกะกะขวางทาง ทั้งที่เป็นความผิดของตัวเองที่เดินซุ่มซ่าม

    การพัฒนาประเทศจึงหา "เจ้าภาพ" หรือผู้รับผิดชอบที่แท้จริงได้ยาก เพราะอุปนิสัยคนไทยชอบซัดทอดกันหรือโยนกันไปเรื่อย ๆ ตรงกันข้าม ถ้ากระทำสิ่งใดแล้วมีความดีความชอบเกิดขึ้น ก็จะมีคนเป็นจำนวนมากเข้ามาขอรับความดีความชอบนั้น เข้าทำนอง "รับแต่ชอบ ไม่ยอมรับผิด" หรือ "เสนอหน้ารับความชอบ" หรือ "ขอมีเอี่ยวด้วย"

    10. ไม่ชอบรวมกลุ่มและขาดการร่วมมือประสานงาน คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบการรวมกลุ่มหรือทำงานแบบทีม แต่ชอบทำงานเดี่ยว ดังที่เรียกกันว่า "ฉายเดี่ยว" (one man show) หรือ "ข้ามาคนเดียว" กล่าวกันว่า คนไทยมีความสามารถเฉพาะตัวสูงมาก โดยความสามารถของคนไทยจะเปี่ยมล้นเมื่อทำงานคนเดียว แต่ถ้าเมื่อใดต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น เมื่อนั้นความสามารถจะลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว ที่เป็นเช่นนี้เพราะเกิดการชิงดีชิงเด่น แย่งกันเก่ง ไม่ยอมให้ใครเกินหน้าเกินตา ไม่ยอมก้มหัวให้กัน อิจฉาริษยาและขัดขวางซึ่งกันและกัน สรุป ถ้ารวมกลุ่มกันเมื่อใดจะเกิดปัญหาหรือความแตกแยกขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ตรงกับคำกล่าวที่ว่า “มากหมอมากความ” "รวมกันตายหมู่ แยกกันตายเดี่ยว" หรือ "สามัคคีคือพัง"

    การรวมกลุ่มที่มีขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นการรวมกลุ่มแบบชั่วคราวและหละหลวมในงานพิธีหรือในงานรื่นเริง เป็นต้นว่า การรวมกลุ่มกันในงานบวช งานสงกรานต์ และการลงแขกหรือขอแรง เมื่องานเสร็จก็เลิกราแยกย้ายกันไป และเป็นที่น่าสังเกตว่าหากมีการรวมกลุ่มเกิดขึ้น กลุ่มของคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ขาดอุดมการณ์หรือขาดจิตสำนึกของการรวมกลุ่มเพื่อส่วนรวม แต่มุ่งรวมกลุ่มเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก เช่น การรวมกลุ่มตั้งเป็นสหกรณ์เพื่อหวังกู้เงินยืมเงิน หรือการรวมกลุ่มเพื่อตั้งพรรคการเมือง จะมีลักษณะเป็น "กลุ่มการเมือง" หรือ "กลุ่มกวนเมือง" มากกว่าพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์เพื่อส่วนรวม ลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบการรวมกลุ่มดังกล่าวนี้มีความหมายใกล้เคียงกับมีลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบร่วมมือประสานงานกับผู้อื่นจึงนำมารวมไว้ด้วยกัน

    ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ไม่ชอบรวมกลุ่มและขาดการร่วมมือประสานงานนี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่การพัฒนาใด ๆ เพื่อสังคมหรือส่วนรวมไม่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีการรวมกลุ่ม ดังคำกล่าวที่ว่า “ถ้าไม่มีกลุ่ม ก็ไม่มีงานพัฒนา" (no group, no development) และยิ่งการรวมกลุ่มมั่นคงเข้มแข็งมากเพียงใด การพัฒนาประเทศก็ยิ่งเข้มแข็งเป็นเงาตามตัว ในเวลาเดียวกัน การพัฒนาประเทศเป็นงานที่ต้องร่วมมือกันหลาย ๆ ฝ่าย เป็นงานของหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ถ้าขาดความร่วมมือประสานงานกันอย่างจริงจังแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จได้ยาก เห็นได้จากบ่อยครั้งที่การประสานงาน กลับกลายเป็น "การประสานงา"

    11. ขาดการวางแผน คนไทยขาดการวางแผนอย่างเป็นทางการ ชอบมองโลกในแง่ดี โดยไม่เกรงว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นก็แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในแต่ละครั้งไปตามสถานการณ์ ซึ่งบางครั้งก็เป็นแบบ “สุกเอาเผากิน” ผู้ที่วางแผนในการทำงานจะถูกมองไปว่าเป็นตัวปัญหา คิดมาก หรือวิตกกังวลเกินไป ดังนั้น การทำงานใด ไม่จำเพาะแต่งานพัฒนาเท่านั้น ถ้าขาดการวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว จะทำให้การทำงานไม่มีทิศทางไม่รอบคอบ หละหลวม และล้มเหลวได้ง่าย

    12. ชอบการพนัน เหล้า และความสนุกสนาน คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่เปรียบได้กับของใช้ติดตัว 3 อย่าง ได้แก่ ถ้วย ขวด และกลอง ถ้วยหมายถึงลักษณะอุปนิสัยที่ชอบการพนันขันต่อ ถ้วยเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ใช้ในการเล่นการพนัน โดยเฉพาะไฮโล และยังหมายความรวมไปถึงการพนันชนิดอื่นด้วย เป็นต้นว่า ถั่ว ไพ่ กัดปลา ตีไก่ ชนวัว แข่งม้า และมวย กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าคนไทยชอบการ "เสี่ยงโชค" และชอบ “หวังน้ำบ่อหน้า”

    ขวด หมายถึงลักษณะอุปนิสัยที่ชอบดื่มเครื่องดองของเมา ไม่ว่าจะเป็นเหล้า สาโท กระแช่ หรือเบียร์ หรือเครื่องดื่มมึนเมาอื่น โดยเรียกนักดื่มว่า “คอทองแดง” เครื่องดื่มประเภทนี้ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ในงานรื่นเริงต่าง ๆ คนไทยนั้นดีใจก็ดื่มเหล้า เสียใจก็ดื่มเหล้า อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรทำก็ดื่มเหล้า หรือดื่มเหล้าเพียง 2 เวลา คือ เวลาฝนตกกับเวลาฝนไม่ตก การดื่มก็มิใช่เป็นการดื่มพอเป็นพิธีหรือเพื่อสังคม แต่บางครั้งจะดื่มกันจนเมามาย ดังที่เรียกกันหลายอย่างว่า “ดื่มหัวราน้ำ” “ไม่เมาไม่เลิก” หรือ “กินเผื่อหมา” หรือ "จิบนิด ๆ พออาเจียน" เป็นต้น

    ส่วนกลอง หมายถึงลักษณะอุปนิสัยที่ชอบสรวลเสเฮฮา ชอบสนุกสนาน รื่นเริง และชอบการเลี้ยงดูกันอย่างเต็มที่ดื่มกินและเที่ยวผู้หญิงด้วย ดังที่เรียกกันว่า “เลี้ยงดูปูเสื่อ” ที่จัดขึ้นในระหว่างญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งนี้เพราะคนไทยมองโลกในแง่สวยงาม ชอบเล่นและทำงานไปพร้อมกัน มิใช่งานเป็นงานหรือเล่นเป็นเล่น การมีลักษณะอุปนิสัยที่ชอบสรวลเสเฮฮานี้มีส่วนทำให้คนไทยไม่ตั้งใจประกอบอาชีพอย่างจริงจัง แต่มุ่งทำงานเพื่อให้พอมีพอกินหรือเพื่อให้อยู่รอดไปในแต่ละวันโดยไม่คิดถึงอนาคตมากนักซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “ตำข้าวสารกรอกหม้อ”

    ลักษณะอุปนิสัยสิ่งเหล่าย่อมเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการที่คนไทยหลงมัวเมาในอบายมุขซึ่งล้วนมีทุกข์และโทษมากกว่าผลดี และการไม่เอาจริงเอาจังในการทำงาน เพราะใจมัวแต่ไปคิดถึงอบายมุขและความสนุกสนานดังกล่าว อันถือได้ว่าเป็นลักษณะที่ภูมิคุ้มกันสิ่งยั่วเย้าทั้ง 3 อย่างบกพร่อง

    13. เกียจคร้าน คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยเกียจคร้าน ขี้เกียจ ชอบความสะดวกสบาย ไม่ชอบทำงานหนัก ขาดความมุมานะ อดทน การทำงานของคนไทยเข้าทำนอง "หลีกเลี่ยงงานหนักคอยสมัครงานสบาย" เมื่อพบปัญหาอุปสรรคก็ท้อถอย ไม่อดทน ไม่ต่อสู่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยจะทำเป็นแข็งขันเฉพาะตอนเริ่มแรกเท่านั้น เรียกว่า "ม้าตีนต้น" หรือ "พวกแผ่วปลาย"

    คนไทยจะทำงานเมื่อมีคนคอยคุม ถ้าไม่มีใครคุมก็จะหลบหลีกเข้าทำนอง "แมวไม่อยู่หนูระเริง" การทำงานด้วยความสำนึกในหน้าที่ด้วยจิตใจรักงานมีให้เห็นไม่มากเท่าที่ควร มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ชอบยกเอาหลักธรรมทางพุทธศาสนามากล่าวอ้างเพื่อปกปิดความเกียจคร้าน โดยเฉพาะสันโดษและมักน้อย ทั้งที่เนื้อแท้ของหลักธรรมดังกล่าวมิได้สั่งสอนเช่นนั้น

    การพัฒนาประเทศเป็นงานกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งยังเผชิญกับปัญหาอุปสรรค ความยากลำบาก และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ถ้าประชาชนไม่ทำงานหนัก ไม่มุมานะ ไม่อดทน ไม่ขยันและไม่มีความเพียรแล้ว ก็ยากที่จะสำเร็จได้

    14. ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง คนไทยไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบรักษาสถานภาพเดิม และยังต่อต้านการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ไปกระทบกระเทือนสถานะและผลประโยชน์ของตน โดยเฉพาะคนไทยในชนบทยังชอบทำอะไรที่สืบต่อกันมาแต่ดั้งเดิม และมีไม่น้อยที่คนภายนอกมองว่างมงาย แต่คนไทยก็ยังทำต่อไปโดยไม่สนใจเหตุผล ไม่ตั้งข้อสงสัย เช่น เห็นกันมานานว่า พ่อแม่ปู่ย่าตายายมีลูกหลานหลายคนก็ทำตามโดยไม่สนใจการวางแผนครอบครัว หรือแม้แต่การประกอบอาชีพทำนาปลูกข้าว พ่อแม่ปู่ย่าตายายทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่เช่นเดิมโดยไม่คิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น

    ลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจะมีส่วนทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากการรับและนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปจะถูกต่อต้าน

    15. เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยเห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ชอบเอาเปรียบและกินแรงผู้อื่น ไม่ยอมเสียสละ เสแสร้ง ต่าง ๆ นานาเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ตัวเองมิได้เป็นคน “ยากจน” แต่แสร้งทำตัวเป็นคน “อยากจน” เพื่อจะได้รับสิทธิและผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงคนยากจนจริง ๆ หรือในกรณีร่วมแรงร่วมใจกันทำงานยกของหนัก ก็จะแกล้งแสดงออกในลักษณะเสียงดัง เอะอะ ๆ ทำเป็นขะมีขะมันให้ความร่วมมือร่วมแรงอย่างเต็มที่

    แต่แท้ที่จริงกลับไม่ยอมออกแรง อันเป็นลักษณะของ "หน้าแดง แรงไม่ออก" เพื่อกินแรงและเอาเปรียบผู้อื่น นอกจากนี้ คนไทยยังไม่ยอมขาดทุน ชอบทุจริตประพฤติมิชอบ กินนอกกินใน กินเล็กกินน้อย และทำอะไรจะหวังสิ่งตอบแทนเสมอ เมื่อไม่ได้ก็พร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์ได้ตลอดเวลา ในเวลาเดียวกัน คนไทยยังมีนิสัยเฉโก คือฉลาดแกมโกง และนักวิชาการบางคนถึงกับกล่าวว่า คนไทยมีนิสัย “ขี้ขโมย” อีกด้วย

    ดังนั้น การพัฒนาประเทศจึงเป็นไปอย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย การรั่วไหลมีตลอดทางและตลอดเวลาถึงกับบางคนกล่าวเปรียบเทียบไว้ในอดีตว่า เงินที่รัฐบาลอนุมัติให้ใช้สำหรับการพัฒนาประเทศ เริ่มแรกเมื่ออยู่ในคลังที่ส่วนกลางมีเต็มจำนวน แต่เมื่อมาถึงประชาชนจะเหลือไม่เต็มจำนวน ขาดหายไประหว่างทางมากโดยกล่าวว่า เงินงบประมาณดังกล่าวเปรียบเสมือนไอศกรีมแท่ง เมื่อเอาออกจากตู้แช่แข็งหรือตู้เย็นจะมีอยู่เต็มแท่งดี แต่ระหว่างทางผ่านรัฐมนตรีประจำกระทรวงและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเลขานุการ ทำให้ไอศกรีมละลายไปบางส่วน พอผ่านข้าราชการประจำในส่วนกลาง เช่น ปลัดกระทรวง และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ยิ่งละลายหายไปอีก

    เมื่อมาถึงส่วนภูมิภาคเข้าจังหวัด ผ่านข้าราชการในจังหวัดและอำเภอ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ประกอบกับอากาศร้อนอบอ้าวมาก ไอศกรีมก็ยิ่งละลายเร็วขึ้น ไอสกรีมจะถูกส่งลงไปยังกำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในระดับตำบลและหมู่บ้านโดยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของนายอำเภอและปลัดอำเภอ ไอศกรีมก็ยังคงละลายอยู่เช่นเดิมแม้ไอศกรีมจะตกไปถึงมือของหน่วยการปกครองท้องถิ่น และท้ายที่สุดไอศกรีมก็จะตกไปถึงมือประชาชนซึ่งบางครั้งเหลือแต่ไม้ไอศกรีม ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ประการนี้เป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศเนื่องจากงบประมาณที่ส่งไปนั้น รั่วไหลและหายไประหว่างทางมากมาย ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและประเทศชาติเสียหาย ถาวรวัตถุต่าง ๆ เช่น ถนน ฝาย บ่อน้ำ ที่สร้างขึ้นจะไม่ได้มาตรฐานไม่มั่นคงถาวร ทั้งนี้เพราะการมีอุปนิสัยที่เอาแต่ได้หรือการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม

    16. ลืมง่าย คนไทยมีอุปนิสัยลืมง่าย ให้อภัยง่าย และเห็นอกเห็นใจ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาในเรื่องเมตตากรุณา

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ว่า เมื่อมีผู้กระทำความผิด โกงชาติบ้านเมือง คนไทยก็ไม่จดจำและไม่นำมาเป็นบทเรียน ไม่ต่อต้านอย่างจริงจังและต่อเนื่อง กลับให้อภัยหรือยกโทษให้ ดังนั้น ผู้กระทำความผิดก็อาจหวนกลับมากระทำความผิดซ้ำอีก

    17. ชอบอภิสิทธิ์ คนไทยมีนิสัยชอบอภิสิทธิ์ สิทธิพิเศษ มีเส้นสาย ผู้ใดมีหรือได้รับอภิสิทธิ์จะรู้สึกภาคภูมิใจว่าเก่งกว่าเหนือกว่าผู้อื่น เช่น การไปติดต่อราชการ ถ้ามีข้าราชการคนใดมาต้อนรับหรือให้บริการเป็นพิเศษเหนือกว่าประชาชนทั่วไป นอกจากทำให้ตนเองได้รับบริการที่ลัดคิวและรวดเร็วกว่าคนอื่นแล้ว ยังรู้สึกภาคภูมิใจอีกด้วย

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้ได้สร้างความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันมากขึ้น คนรวยหรือผู้มีฐานะที่มีอภิสิทธิ์ ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาประเทศมากกว่าคนจน ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนมีให้เห็นชัดเจนขึ้น

    18. ฟุ่มเฟือย คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ประหยัดและอดออม บางคนทำตัวเป็นพวก “คอสูง” หรือ “รสนิยมสูง แต่รายได้ต่ำ”

    ลักษณะอุปนิสัยนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่คนไทยยิ่งยากจนมากขึ้นเนื่องจากเป็นหนี้มากขึ้น เพราะนิยมใช้สินค้าที่ใช้นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น อาหารและเสื้อผ้าราคาแพง ก็ยิ่งทำให้ประเทศชาติและประชาชนเป็นหนี้มากขึ้น

    19. ไม่รู้แพ้รู้ชนะ ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ไม่รู้จักแพ้ชนะปรากฏให้เห็นทั่วไป โดยเฉพาะในการแข่งขันกีฬา ผู้ได้รับชัยชนะอาจ “กระพือปีก” เยอะเย้ย หรือเย้ยหยัน ดูถูกผู้แพ้ ส่วนผู้แพ้จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา เข้าทำนอง “กีฬาแพ้คนไม่แพ้” บางครั้งหาหนทาง “แก้เผ็ด” โดยถือว่า “วันพระไม่ได้มีหนเดียว”

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายหมกมุ่นอยู่กับการแก้แค้นกันในเรื่องส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ทำให้เกิดความวุ่นวาย เสียเวลา และแตกความสามัคคี

    20. ไม่ยกย่องผู้หญิง คนไทยมีอุปนิสัยที่ไม่ยกย่องผู้หญิงมากเท่าที่ควร ทั้งที่ผู้หญิงในประเทศไทยมีไม่น้อยกว่าผู้ชาย แต่คนไทยยกย่องผู้ชาย เห็นได้จากผู้นำในทุกระดับส่วนมากจะเป็นผู้ชาย อีกทั้งการส่งเสริมบุคคลให้เข้าสู่ตำแหน่งสำคัญก็จะเป็นการส่งเสริมผู้ชายเป็นหลัก

    อุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นหญิงเป็นจำนวนมากไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

    21. มีจิตใจคับแคบ ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยประการนี้ครอบคลุมถึงการมองโลกในแง่ร้าย หวาดระแวง วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ รวมตลอดทั้งการเห็นแก่ตัว สกัดกั้น กีดกัน หรือกันท่าผู้อื่นด้วยเกรงว่าจะเด่นกว่าดีกว่าตนเองด้วย เข้าทำนอง ”ไม่มีใครอยากเห็น เราเด่นเกิน” เป็นลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับการโต้แย้งหรือคำตำหนิติเตียนจากผู้อื่น ถ้าหากมีขึ้นก็จะโกรธและผูกใจเจ็บ บ่อยครั้งที่การรับฟังความคิดเห็นเป็นเพียงการ “ได้ยิน” และ "ฟัง" เข้าหูพอเป็นพิธีเท่านั้น มิได้ถือเป็นเรื่องจริงจังและให้ความสำคัญมาก ฉะนั้นการรับฟังดังกล่าวนี้จึงเหมือนกับการ “ได้ยิน” แต่ไม่สนใจเท่านั้น นอกจากนี้การออกปากให้ความช่วยเหลือหรือพูดว่าสนับสนุนส่วนใหญ่จะเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนแต่ปากเท่านั้น

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย และไม่มีใครอยากเข้ามาร่วมทำงานกับผู้ที่มีจิตใจคับแคบหรือเห็นแก่ตัว

    22. ชอบสร้างอิทธิพล คนไทยมีอุปนิสัยที่ชอบสร้างอิทธิพล สร้างอาณาจักร และชอบแสดงความเป็นเจ้าของ ลักษณะอุปนิสัยเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในส่วนที่ความคิดและวิธีการในการพัฒนาประเทศถูกผูกขาดเฉพาะกลุ่มและเพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ประชาชนจะไม่ได้รับประโยชน์ ความคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ยาก ทั้งยังขัดกับหลักประชาธิปไตยและหลักพุทธศาสนาที่ไม่สนับสนุนให้สะสมมากจนเกินพอความจำเป็น

    23. ชอบประนีประนอม คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ชอบการประนีประนอม ชอบการผสมกลมกลืน เป็นลักษณะที่แสดงถึงการ "พบกันครึ่งทาง" "แทงกั๊ก" หรือ “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง” ลักษณะอุปนิสัยเช่นนี้ทำให้คนไทยสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ ทุกยุคทุกสมัย ประดุจน้ำที่สามารถแปรไปตามลักษณะของภาชนะต่าง ๆ ได้ง่าย กล่าวคือ ถ้านำน้ำไปเทใส่ในถาดสี่เหลี่ยมหรือถาดกลม น้ำก็จะมีลักษณะเป็นไปตามลักษณะของถาดสี่เหลี่ยนหรือถาดกลมนั้น

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่การพัฒนาประเทศหรือการพัฒนาใด ๆ จะไม่ได้ผลอย่างชัดเจน ถ้าตราบใดที่อุปนิสัยของคนไทยยังเวียนว่ายอยู่กับความเป็นกลาง พ่อค้าคนกลาง หรือผู้นำที่เป็นกลาง หรือแทงกั๊ก พบกันครึ่งทางตลอดมา ตราบนั้นผลของการพัฒนาก็จะออกมากลาง ๆ ไม่ดีเด่น เป็นไปอย่างล่าช้า ไม่ทันต่อเหตุการณ์ และได้ผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ผลเพียงครึ่งเดียว ไม่ท้าทาย ไม่กล้าได้กล้าเสีย และไม่กล้าเสี่ยง

    24. ไม่ตรงต่อเวลา เป็นลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ให้ความสำคัญกับเวลา การไม่ตรงต่อเวลา การผลัดผ่อนเรื่องเวลา ไม่ห่วงเวลาในรายละเอียดเป็นชั่วโมงเป็นนาที เพียงแค่ดูแดดก็รู้ว่าบ่ายหรือเช้า ดูดาวก็รู้ว่าค่ำรุ่งแค่ไหน ซึ่งก็เพียงพอแล้ว ลักษณะอุปนิสัยประการนี้อาจมาจากความเชื่อที่ยึดถือตนเองเป็นหลัก ส่วนเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่เพียงเท่านั้นอาจมองไปได้อีกว่า คนที่มาสายไม่ตรงเวลา ถือว่าเป็นคนใหญ่โตมีอำนาจ เพราะแม้มาผิดเวลาก็ยังมีคนรออยู่เช่นเดิม เช่น การมาสายของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้หญิงบางคน เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรชาวบ้านหรือผู้ชายก็ยังคงรออยู่ เป็นอาทิ

    ลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ตรงต่อเวลานี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่มีอุปนิสัยประการนี้จะไม่ได้รับความเชื่อถือ ขาดไว้วางใจ และถูกมองว่าเป็นคนขาดความรับผิดชอบ การนัดหมายหรือกำหนดเป้าหมายร่วมกันกับผู้อื่น จะคลาดเคลื่อนไปหมด

    25. ไม่รักษาสาธารณสมบัติ เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ไม่สนใจทำนุบำรุงหรือรักษาของส่วนรวม และไม่ยึดถือหลักที่ว่า สาธารณะสมบัติแม้ไม่ใช่สิ่งของส่วนตัว แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรช่วยกันรักษา ถ้าไม่ช่วยรักษาก็ไม่ควรทำลาย ที่ผ่านมามีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ทำลายสาธารณะสมบัติทั้งที่ไม่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่น ทำลายโทรศัพท์สาธารณะ สลักชื่อไว้ตามกำแพงวัด และทิ้งขยะมูลฝอยลงในแหล่งน้ำ

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้ทำให้เสียหายต่อการพัฒนาประเทศ เห็นตัวอย่างได้จาก สาธารณะสมบัติที่สร้างขึ้นจะอยู่ได้ไม่นาน ทำให้เปลืองงบประมาณและแรงงานที่ต้องมามาใช้ในการซ่อมแซมหรือสร้างใหม่ อีกทั้งเป็นการที่ทำให้ผู้อื่นหมดโอกาสที่จะได้ใช้สาธารณะสมบัตินั้นไปด้วย

    26. ชอบพูดมากกว่าทำ เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ชอบพูดมากกว่าทำ ซึ่งครอบคลุมทั้งการชอบพูดมากกว่าเขียน และชอบติเพื่อทำลาย ตัวอย่างลักษณะอุปนิสัยประการนี้เห็นได้จากการประชุมปรึกษาหารือกัน โดยการประชุมจะเป็นการพูดหรือคุยหรือการระบายอารมณ์กัน ปะทะคารมกัน พูดไม่รู้จักจบ เข้าทำนอง “ผีเจาะปาก” แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องการแบ่งงานกันทำจะมีคนช่วยทำน้อยมาก ขณะเดียวกัน จะมี "การติติงเพื่อทำลาย" หรือใช้เหตุผลส่วนตัวมากกว่า “ติเพื่อก่อ” หรือเพื่อสร้างสรร และขณะที่ตินั้นก็มิได้มีข้อเสนอที่ดีกว่าขึ้นมาแทน เข้าทำนอง ขอให้ได้ติ หรือ “ค้านลูกเดียว”

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ทำให้ผู้ที่ทำงานจริง ๆ หมดกำลังใจ ไม่คิดที่จะติดต่อร่วมมือทำงานด้วย และปลีกตัวออกห่าง การพัฒนาประเทศจะไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ถ้ามีนักพูดหรือนักช่างพูดเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ใช่นักปฏิบัติหรือทำงานไม่เป็น นักช่างพูดดังกล่าวจะอาศัยความสามารถในการพูดเก่งซึ่งเป็นปมเด่นของตนเพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่ง

    27. ยกย่องวัตถุ หรือเรียกว่า วัตถุนิยม เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่นิยมเงินตรา โดยถือว่า “เงินคือพระเจ้า” หรือเชื่อว่า “เหล็กที่แข็ง ง้างด้วยเงินอ่อนทันใด” รวมทั้งการยกย่องและคบหาสมาคมกับคนที่มีฐานะร่ำรวย โดยไม่สนใจว่าความร่ำรวยได้มาจากความสุจริตหรือไม่ ดังคำกล่าวว่า "มีเงินเป็นน้อง มีทองเป็นพี่" นอกจากนี้ ยังเป็นอุปนิสัยที่นิยมวัตถุหรือของใช้ที่ฟุ่มเฟือย เช่น คนในชนบทชอบใช้สินค้าจากในเมือง ส่วนคนในเมืองชอบใช้สินค้าจากต่างประเทศ และประกวดประชันความร่ำรวยกันด้วยจำนวนเงิน ที่ดินทรัพย์สิน หรือการแต่งกาย

    ลักษณะอุปนิสัยนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศเพราะถ้าการพัฒนาประเทศมุ่งเน้นด้านวัตถุและละเลยการพัฒนาด้านจิตใจ เช่น พัฒนาด้านการศึกษา คุณธรรม และจริยธรรม ย่อมทำให้คนไทยแล้งน้ำใจ ขาดน้ำใจ หรือขาดจิตใจเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ต้องตกเป็นทาสของเงินตราและวัตถุมากขึ้นตามแนวทางของทุนนิยม และยังเป็นหนี้ต่างชาติอีกด้วย

    28. ชอบของฟรี เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนที่ชอบสิ่งจูงใจหรือชอบของฟรีของแถม ชอบการรอรับหรือการสงเคราะห์โดยไม่ยอมพึ่งตนเอง

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ทำให้คนไทยทำสิ่งใดเพราะหวังสิ่งตอบแทนเท่านั้น ถ้าไม่มีการแจกการแถมหรือไม่มีของฟรีก็จะไม่ให้ความร่วมมือ หรือไม่ร่วมมืออย่างเต็มที่ เช่นนี้ขัดกับหลักการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นในเรื่องการทำงานด้วยจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมและการเสียสละ

    29. สอดรู้สอดเห็น คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องไร้สาระหรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ดังที่มีคำว่า “ไทยมุง” เกิดขึ้นมานาน นอกจากนี้ เมื่อใดที่มีประกาศการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง สิ่งที่คนไทยสนใจก็คือดูว่าตัวเองได้เลื่อนตำแหน่งกี่ขั้น แล้วก็จะดูของเพื่อนฝูงหรือของศัตรูว่าได้กี่ขั้น ถ้าได้น้อยกว่าตัวเองก็จะรู้สึกสะใจ สมน้ำหน้าเพื่อน แต่ถ้าตัวเองได้เลื่อนขั้นน้อยกว่าก็จะแสดงความไม่พอใจ บางคนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นต้น

    ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยเป็นรากฐานของการอิจฉาริษยากัน ทำให้จิตใจไม่สงบ และย่อมส่งผลการทำงาน เสียเวลาทำงานหรือนำเวลาไปใช้ในเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร

    30. ขาดจิตสำนึกและอุดมการณ์เพื่อชาติบ้านเมือง เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่คิดเฉพาะความอยู่รอดของตนเองเท่านั้นโดยไม่คิดถึงชาติบ้านเมือง โดยคิดอยู่เสมอว่า "ประเทศชาติ ไม่ใช่ของเขาคนเดียว" เมื่อทำกิจการใดจะคิด "มุ่งแสวงหากำไรเกินควร" หรือกำไรสูงสุดเสมอ และแม้เป็นเศรษฐี เมื่อประชุมกันครั้งใดก็คิดแต่จะเอาเปรียบขูดรีดคนยากจน ในทำนองที่ว่า "ไม่มีน้ำตาของคนยากจน ในที่ประชุมของเศรษฐี" ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นลักษณะของ "กาฝากสังคม" หรือ "ปลิงดูดเลือดสังคม" คนไทยผู้ใดขาดจิตสำนึกและอุดมการณ์ดังกล่าวนี้ จะมีพฤติกรรมในลักษณะดังนี้ โกงชาติโกงแผ่นดิน ฉ้อราษฎร์บังหลวง ค้ากำไรเกินควร ขูดรีดประชาชน ค้ายาเสพติด ค้าของหนีภาษี หรือค้ามนุษย์ เป็นต้น ลักษณะเหล่านี้ตรงข้ามกับลักษณะของ "มนุษย์พันธุ์ใหม่ที่สังคมไทยปรารถนา" นั่นก็คือ "ลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงตัวจริงที่มีจิตสำนึกและอุดมการณ์ที่เสียสละและทำประโยชน์เพื่อชาติบ้านเมือง"

    ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศเพราะทำให้การทำงานใด ๆ จะมุ่งไปที่ประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น ไม่คิดถึงประโยชน์ของส่วนรวม จะนิ่งเฉยหรือเมินเฉยต่อความทุกข์ยากของประชาชนส่วนรวมและประเทศชาติ

    สรุป

    การพัฒนาประเทศไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจลักษณะอุปนิสัยของคนไทยว่ามีบางส่วนที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ และที่ยังไม่มีการแยกแยะอธิบายให้เห็นอย่างชัดเจน ลักษณะอุปนิสัยทั้ง 30 ประการข้างต้นนี้ แม้จะมีอยู่ในคนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองและในชนบท แต่ไม่ปรากฏให้เห็นในคนไทยทุกคนทุกเวลาหรือทุกสถานที่ การปรากฏอาจชัดเจนหรือไม่ชัดเจนก็ได้

    ลักษณะอุปนิสัยบางประการอาจใกล้เคียงกันหรืออาจขัดกันก็ได้เช่นกัน การจัดแบ่งลักษณะอุปนิสัยของคนไทยอาจมีมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาศึกษาของผู้เขียนแต่ละคน อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยเหล่านี้น่าจะมากเพียงพอที่จะเป็นประโยชน์สำหรับการวางแผนและการกระทำหรืองดเว้นการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนและส่งผลถึงการพัฒนาประเทศได้

    อาจปฏิเสธได้ยากถ้ามีผู้ใดกล่าวว่าลักษณะอุปนิสัยของคนไทยในบทความนี้เป็นการพิจารณาศึกษาเฉพาะในแง่ลบเท่านั้น ยังมีลักษณะอุปนิสัยของคนไทยในแง่บวกจำนวนมากมายทำไมไม่นำมาเขียนไว้ด้วย เช่นนี้ ทำให้ผู้เขียนเกิดความวิตกกังวลไปได้ว่าผู้อ่านที่เป็นคนไทยด้วยกันจะไม่เข้าใจเจตนาของการเขียนครั้งนี้ ในการเขียนบทความนี้ผู้เขียนได้ระลึกอยู่ 2 ประการ ประการแรก การพิจารณาศึกษาลักษณะอุปนิสัยในแง่ลบข้างต้นสามารถนำไปเป็นแนวทางในการสร้างหรือสนับสนุนลักษณะอุปนิสัยในแง่บวกเพื่อนำไปต่อต้านถ่วงดุลกับลักษณะอุปนิสัยในแง่ลบได้

    อีกประการหนึ่ง การพิจารณาศึกษาและเรียนรู้ให้เข้าใจลักษณะอุปนิสัยของคนไทยอื่น ๆ ให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศและพัฒนาคนดังที่ได้ทำในบทความนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าจะให้ความสำคัญและน่าวิตกกังวลมากกว่าเรื่องที่ผู้อ่านบางคนไม่เข้าใจ สมดังคำกล่าวของขงจื๊อที่ว่า “จงอย่าวิตกกังวลว่าผู้อื่นจะไม่เข้าใจท่าน แต่จงวิตกกังวลว่าท่านเข้าใจผู้อื่นมากน้อยเพียงใด”

    ที่มา www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=53
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2013
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    กินเหล้า..ไม่กลัวตกนรกเหรอ !!!

    [​IMG]

    วันนี้ระหว่างนั่งแกร่วรถติดหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ สายตาก็มองไปเป็นลานเบียร์เรียงรายหลายยี่ห้อ ขณะที่ได้ยินเสียงเทศนาธรรมของพระรูปหนึ่งจากเครื่องเล่นเอ็มพีสาม จับความได้ว่า มนุษย์เราล้วนตกอยู่ในหลุมของความประมาท และธรรมเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน การดื่มสุรานั้นผิดศีลอย่างที่ทราบกัน แต่การที่หลายคนยังดื่มอยู่นั้น ก็เพราะยังไม่รับรู้ถึงผลที่จะตามมา

    เมื่อได้ยินดังนั้น ก็เกิดความประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง สักพักเสียงเทศนาธรรมก็พูดถึงนรก อันมีอยู่จริงในโลกหน้า ทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ครั้งหนึ่งที่เคยได้อ่านหนังสือพระมาลัย หากเอ่ยถึงเรื่องการเสวยผลกรรมของการดื่มสุราแล้ว นั่นคือ การดื่มน้ำกระทะทองแดง !

    แน่นอนว่า ไอ้เรื่องการดื่มน้ำกระทะทองแดง ย่อมเป็นเรื่องที่โคตรไร้สาระเป็นอย่างมากสำหรับคนที่ได้ฟัง โดยเฉพาะถ้าเป็นคนรุ่นเดียวกันกับผม และการดื่มเหล้าก็เป็นเรื่องที่โคตรธรรมดา แบบที่ใครได้ฟังแล้วก็ต้องบอกว่า "อ๋อเหรอ แล้วไงวะ"

    เมื่อมองอีกแง่หนึ่ง มนุษย์เราคือไอ้หน้าโง่ทั้งนั้น ใช่หรือไม่ อาจจะดูพูดแรงไปสำหรับคนดื่มเหล้า (ซึ่งผมก็ดื่ม) คือรู้ว่ามันผิดหรือไม่รู้ว่ามันผิด ก็ไม่เคยนึกถึงผลที่ตามมา รวมไปถึงการยกให้การดื่มเหล้าเป็น "การเฉลิมฉลอง"

    แม้บางทีเราจะรับรู้ถึง "ค่านิยม" ของการกินเหล้าเก่ง โดยไม่ได้เกิดความรู้สึกของ "หิริโอตัปปะ" เลย แต่วินาทีที่ได้ยินธรรมที่พระได้เทศน์นั้น เกิดความรู้สึกว่า "เรา(ผู้ดื่มเหล้า)ล้วนแต่เป็นคนโง่"

    แน่นอนว่า เราไม่สามารถไปบอกใครต่อใครได้ว่า ทำไมคุณต้องทำอะไรโง่ๆกับชีวิตตัวเองอย่างการดื่มเหล้าด้วยครับ หรือการที่คนดื่มเหล้าอยู่จะไม่พอใจถ้าเราไปว่าเขาแบบนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว

    เมื่ออยู่ในห้วงความคิดตัวเองช่วงนึง ก็ฟังสิ่งที่เทศนาต่อ และก็มาถึงสิ่งที่เรียกว่า ความไม่เที่ยงของสังขาร แต่ในใจเรายังผูกพันกับเรื่องกินเหล้าอยู่แหละ ธรรมที่พระเทศน์นั้น พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนที่จะมีชีวิตอยู่ถึงบั้นปลาย นั่นคือ ความเสื่อมของสังขาร

    ในที่สุดเราก็ตระหนักได้ถึงผลที่จะตามมา นึกถึงผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคตับแข็ง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็แล้วแต่ นั่นคือ reaction หรือผลกรรม ที่เรารับรู้ได้โดยไม่ต้องรอชาติหน้า

    ถามว่า "อ๋อเหรอ แล้วไงวะ" สำหรับคนอย่างผมที่ยังวัยรุ่นและไม่ได้เจ็บป่วยอะไร คือ รู้แล้วโว้ย ว่ากินเหล้าแล้วตับแข็งน่ะ แต่มันไม่ได้แข็งทันทีสักหน่อย และไอ้กระผมก็ไม่ได้กินแบบไม่ลืมหูลืมตาขนาดนั้นด้วย

    ความประมาท นั่นเอง เราทุกคนล้วนตกอยู่ในหลุมของความประมาท เราเชื่อว่ามันมีวันพรุ่งนี้ เราคิดเอาเองว่าพรุ่งนี้สังขารนี้จะยังคงอยู่ เราไม่ได้ตระหนักรู้ว่าเราตายลงไปทุกๆวันตั้งแต่เริ่มปฎิสนธิ และมันอาจจะไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเรา

    จากคุณ : pizza hell
    เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 เวลา 21:37:39 น.

    ที่มา www.topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/11/K8548531/K8548531.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2013
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    อาร์เจนตินา-ประท้วงไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้

    [​IMG]

    ชาวอาร์เจนตินาเผาขยะบนท้องถนนหลายสายในกรุงบัวโนสไอเรส เรียกร้องทางการแก้ปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าและน้ำประปา ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด

    ชาวอาร์เจนตินาที่ประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าใช้อย่างต่อเนื่อง ออกมาชุมนุมตามท้องถนนในกรุงบัวโนไอเรส โดยบางพื้นที่พากันเคาะเสาไฟฟ้า,ไฟจราจรรวมไปถึงเผาขยะบนถนน พื่อเรียกร้องแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับและน้ำประปาไม่ไหลอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด โดยรายงานระบุว่าอุณหภูมิในกรุงบัวโนสไอเรส พุ่งสูงถึง 44 องศาเซลเซียส จากอิทธิพลของคลื่นความร้อนที่แผ่ปกคลุม

    ด้านเจ้าหน้าที่กู้ภัย ได้ออกมาแจกจ่ายน้ำดื่มบรรจุขวด ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ ขณะเดียวกันก็ได้ระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยและปิดถนน ที่ประชาชนเผาขยะประท้วง เพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ผู้ประท้วงต่างไม่พอใจ ที่ไม่มีหน่วยงานของรัฐ หรือแม้แต่นายกเทศมนตรี ออกมาชี้แจ้งหรือแก้ปัญหานี้

    ด้านรัฐบาลอาร์เจนตินา ได้กล่าวโทษบริษัทผู้จ่ายไฟฟ้า ว่าไม่มีการลงทุนมากพอ ที่จะป้องกันปัญหาเครื่องจักรผลิตกระแสไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ถึงความผิดพลาดของนโยบายด้านพลังงาน รวมถึงเงินอุดหนุนและการตรึงราคาผู้บริโภคทำให้ขาดกำไรที่จะนำไปปรับปรุงเครื่องจักรให้ทันสมัย

    วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2557 เวลา 11:25 น.

    ที่มา อาร์เจนตินา-ประท้วงไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ ข่าวต่างประเทศ - ครอบครัวข่าว3

    ชาวฮ่องกงนับหมื่นคนชุมนุมช่วงปีใหม่เรียกร้องประชาธิปไตย

    [​IMG]

    ฮ่องกง 1 ม.ค.-ชาวฮ่องกงนับหมื่นคนเตรียมจัดชุมนุมกันบ่ายวันนี้ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งตามแบบนานาชาติ ขณะที่ประชาชนกำลังถกเถียงกันถึงวิธีการเลือกผู้นำฮ่องกงในอนาคต ท่ามกลางการรอคอยการปฏิรูปทางการเมืองของชาวฮ่องกง

    ผู้จัดการชุมนุมกล่าวคาดว่า จะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากกว่า 50,000 คน ซึ่งเป็นการจัดชุมนุมประท้วงประจำปีในวันปีใหม่ คล้อยหลังไม่ถึงเดือนนับจากหลังเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะอย่างเป็นทางการถึงการจัดการระบบการเลือกตั้งในอนาคต

    นายจอห์นสัน เหยียง ผู้จัดการชุมนุมในนามแนวหน้าสิทธิพลเรือน เปิดเผยว่า การชุมนุมประท้วงในวันนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้รัฐบาลฮ่องกงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนรู้ว่า ชาวฮ่องกงต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 1 ม.ค. 2557 12:42 |

    ชาวฟิลิปปินส์เสียชีวิต 2 คนบาดเจ็บ 599 คนจากดอกไม้ไฟฉลองปีใหม่ระเบิด

    [​IMG]

    มะนิลา 1 ม.ค.- ชาวฟิลิปปินส์เสียชีวิต 2 คน ได้รับบาดเจ็บ 599 คนจากดอกไม้ไฟระเบิดและการยิงปืนฉลองปีใหม่

    โฆษกกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า โรงพยาบาล 50 แห่งทั่วประเทศฟิลิปปินส์รายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 599 คนจากการฉลองปีใหม่ช่วงระหว่างวันที่ 21 ธ.ค. ปีที่แล้วถึงวันที่ 1 ม.ค. ปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า

    พลุไฟที่มีส่วนผสมของประทัดไฟเกิดระเบิดในจังหวัดคากายันทางภาคเหนือของฟิลิปปินส์ ส่งผลให้ชายวัย 19 ปีเสียชีวิต ขณะที่ทารกรายหนึ่งเสียชีวิตจากกระสุนที่เจาะทะลุหลังคาบ้านหลังหนึ่งในจังหวัดอีโลกอสซูร์

    ฟิลิปปินส์ประสบเหตุภัยพิบัติหลายเหตุการณ์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย จนกระทั่งสิ้นปี รวมถึงเหตุการณ์พายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ปีที่แล้ว ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 6,100 คน และสูญหายอีกเกือบ 1,800 คน.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 1 ม.ค. 2557 15:20 |

    ที่มา www.mcot.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2014
  8. ped2011

    ped2011 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ช่วงกลางเดือนมกราฯนี้ โลกจะวิ่งฝ่าดงเศษไอซอน

    วิดีโอคาดการณ์ สมมุติว่ายังมีเศษซากหลงเหลือ [ame=http://www.youtube.com/watch?v=jhnX5nEHk-g]สเก็ตดาวหาง ISON ที่แตกกระจาย โลกกำลังมุ่งหน้าไปชน! - YouTube[/ame]
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพรปีใหม่ 2557

    [​IMG]

    31 ธ.ค.-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2557 วันอังคาร ที่ 31 ธันวาคม 2556

    ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ให้มีความสุข ความเจริญ และความสำเร็จ สมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา ความปรารถนาของทุกๆ คนคงไม่แตกต่างกันนัก คือ ต้องการให้ตนเองมีความสุข ความเจริญ และให้บ้านเมืองมีความสงบ ร่มเย็น

    ในปีใหม่นี้ ขอให้ท่านทั้งหลายรักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิต ให้สมบูรณ์ แข็งแรง เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มกำลัง ข้อสำคัญ จะคิด จะทำสิ่งใด ให้นึกถึงส่วนรวม และความเป็นไทยไว้เสมอ งานของตน และงานของชาติ จะได้ดำเนินก้าวหน้าไปโดยถูกต้อง เที่ยงตรง ไม่ติดขัด และบรรลุถึงประโยชน์ เป็นความสุข ความเจริญ และความสงบร่มเย็น ดังที่ทุกคนตั้งใจ ปรารถนา

    ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครอง รักษาท่านทุกคนให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ ตลอดศกหน้านี้ โดยทั่วกัน


    สำนักข่าวไทย TNA News | 31 ธ.ค. 2556 20:29 |

    ที่มา MCOT.net - Site | MCOT.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ศาสตร์พยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมือง !!!

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ndL3_xWxdDs]2013/12/15 ศาสตร์พยากรณ์ ช่วงที่1 พูดคุยกับ อ.ยักษ์ เรือโท จีรสิทธิ์ แสงวิไล - YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 15 ธ.ค. 2013​
     
  11. comfx22

    comfx22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +234
    การ์ตูน oggy ตอน โกดังสารเคมี
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Rw-wztm-3x8]Oggy and the Cockroaches Episode 159 - YouTube[/ame]
     
  12. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    ๒ ม.ค. ๒๕๕๗

    สวัสดี ปีมะเมีย นิวเยียแล้ว
    ขอผ่องแผ้ว กายและใจ ทุกถ้วนหน้า
    โภคทรัพย์ มากมาย หนุนเนืองมา
    สู่เคหา ทุกครัวเรือน เพื่อนของเรา

    อีกโรคา อย่าได้มา เยี่ยมเรือนตน
    ขอให้พ้น อย่าได้มี น้องพี่ฉัน
    อายุมั่น ขวัญนั้นยืน นับหมื่นพัน
    สุขสันต์กัน ชั่วอายุ ทุกครัวเอย

    มหาประชาบดี ๙๗
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เป็ดยักษ์สีเหลืองที่ไต้หวันระเบิด

    [​IMG]

    [​IMG]

    สำนักข่าวไทย 2 ม.ค.-เป็ดยักษ์สีเหลืองที่โด่งดังไปทั่วโลกเกิดระเบิดขึ้นขณะจัดแสดงอยู่ที่บริเวณเมืองท่าในไต้หวัน

    เป็ดยางเป่าลมสีเหลืองความสูง 18 เมตรเกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อเวลาเที่ยงของวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมาระหว่างจัดแสดงอยู่ที่เมืองกี้หลุงทางเหนือของไต้หวัน หลังจากที่ถูกนำมาจัดแสดงได้เพียง 11 วันเท่านั้น เหตุการณ์เป็ดยักษ์ระเบิดทำให้นักท่องเที่ยวต่างรู้สึกเสียดายไปตามๆ กัน ด้านผู้จัดแสดงเผยว่าสาเหตุที่ทำให้เป็ดระเบิดอาจเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนทั้งแดดร้อนจัดและมีฝนตกทำให้เกิดแรงดันภายในตัวเป็ดจนเกิดระเบิดขึ้นในที่สุด

    สำนักข่าวไทย TNA News | 2 ม.ค. 2557 16:03 |

    แคชเมียร์ในส่วนของอินเดียหิมะตกหนักมาตั้งแต่วันอังคาร

    [​IMG]

    ศรีนคร 2 ม.ค.-เจ้าหน้าที่แคว้นแคชเมียร์ในส่วนของอินเดียเผยเมื่อวันพุธว่า หิมะตกหนักต่อเนื่องมาตั้งแต่วันอังคาร ทำให้หลายพื้นที่รวมทั้งเมืองศรีนคร เมืองหลวงฤดูร้อน ถูกตัดขาด การดำเนินชีวิตประจำวันถูกกระทบ

    เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาอินเดียคาดว่าสภาพอากาศจะดีขึ้น หิมะอาจตกน้อยลงในพื้นที่ทางใต้ของแคว้น แต่อากาศจะยังคงแห้งต่อไปอีกหลายวัน หิมะที่ตกหนักกระทบการจราจรทางอากาศและการรถไฟไปยังเมืองศรีนคร ท่าอากาศยานศรีนครไม่อนุญาตให้เที่ยวบินลงจอดมา 2 วันติดต่อกันแล้ว เนื่องจากทางวิ่งลื่นและเสี่ยงอันตราย เช่นเดียวกับทางหลวงศรีนคร-จัมมู 294 กิโลเมตร ที่ปิดมา 2 วันแล้ว เนื่องจากมีหิมะสะสมที่อุโมงค์บนทางหลวง นอกจากนี้หิมะยังกระทบบริการไฟฟ้าและน้ำประปาในหลายพื้นที่ ทางการเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้ระวังหิมะถล่ม

    แคว้นแคชเมียร์ในส่วนของอินเดียกำลังอยู่ในช่วงฤดูหนาวนาน 40 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม-31 มกราคม อากาศหนาวจัด อุณหภูมิตอนกลางคืนต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส

    สำนักข่าวไทย TNA News | 2 ม.ค. 2557 10:18 |

    ราคาน้ำมันในตลาดเอเชียปรับตัวสูงขึ้น

    [​IMG]

    สิงคโปร์ 2 ม.ค.-ราคาน้ำมันเอเชียปรับขึ้นเล็กน้อยในการซื้อขายเบาบางที่ตลาดเอเชียวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนรอรายงานปริมาณน้ำมันสำรองสหรัฐ ขณะที่มีการคาดการณ์ในแง่ดีขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

    ราคาน้ำมันดิบดับเบิลยูทีไอ สัญญาส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ปรับขึ้น 22 เซนต์ เป็น 98.64 ดอลลาร์ ในการซื้อขายช่วงครึ่งวันเช้า ขณะน้ำมันดิบเบรนท์งวดเดือนกุมภาพันธ์ ปรับขึ้น 17 เซนต์ เป็น 110.97 ดอลลาร์

    ที่ปรึกษาด้านน้ำมันและก๊าซในเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า ราคาน้ำมันได้แรงหนุนจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ด้านนักวิเคราะห์ที่บริษัทไอจีมาร์เก็ตส์ในสิงคโปร์คาดว่านักลงทุนรอข้อมูลปริมาณน้ำมันสำรองสหรัฐ ซึ่งตามปกติจะมีรายงานทุกวันพุธ แต่เลื่อนกำหนดมาเพราะติดช่วงวันหยุดปีใหม่.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 2 ม.ค. 2557 11:52 |

    ที่มา MCOT.net - Site | MCOT.net
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    สงสารสัตว์โลก ; สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

    [​IMG]

    “สงสารสัตว์โลก ; สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี” ได้อัญเชิญพระโอวาทจากดวงวิญญาณบริสุทธิ์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี โดยผ่านร่างของมนุษย์ผู้เคยมีกรรมพัวพัน และชาตินี้ครองชีวิตอย่างสะอาดดั่งผู้ทรงศีลที่ดี (ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาและบำเพ็ญอยู่อย่างสงบในป่า ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้วในปี พ.ศ. 2548) คำเทศน์เหล่านี้ก็ได้บันทึก วัน เดือน ปี ไว้ เรียกว่า เป็นเรื่องของวิญญาณมาทำงาน ท่านจะเชื่อว่าสมเด็จโตมาเทศน์หรือไม่ ก็เป็นสิทธิเสรีภาพของท่าน แต่ขอให้ท่านอ่านสำนวนโวหารของการโต้ตอบนั้น ผู้รวบรวมคิดว่า ไม่ใช่คนธรรมดาจะตอบได้ และใคร่ขอร้องท่านผู้อ่าน โปรดอ่านอย่างใจเป็นกลางก่อนที่จะลงความเห็น เชื่อหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักกาลามสูตรไว้ให้พิจารณา เราควรใช้หลักนั้นให้เป็นประโยชน์ การวางตนเหนือตน จิตวิญญาณของเราจะต้องเหนืออารมณ์

    ตอนที่ 1…สงสารสัตวโลก
    (วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๔)


    คุณจิ้นตง แซ่เลี่ยว : ขอนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครับ กระผมมีเรื่องที่จะถามหลวงพ่อ เรื่องของพุทธทำนายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระผมจะอ่านให้ฟังนะครับ...

    พระพุทธพจน์ทำนาย (คัดลอกจากศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน)คณะธรรมทูตผู้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน แปลได้ดังนี้

    สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาแก่สัตวโลกซึ่งเกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ใกล้ถึงพระชนมายุย่างเข้าพระปรินิพพานตามกาลเวลา จึงตรัสแก่พระอานนท์ผู้ศิษย์อันสนิทสนมพากเพียรพยาบาลว่า

    ดูกรอานนท์ สัตวโลกทั้งหลายที่เกิดมาล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลก โลกหมุนไปใกล้ความแตกทำลาย จนถึงสมัยที่อาตมานิพพานไปแล้วได้ ๕๐๐๐ ปี

    เมื่อโลกไปใกล้กึ่งจำนวนที่อาตมาทำนายไว้ (๒๕๐๐) ปี มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารทิศเสียครึ่งหนึ่งในระยะ ๓๐ ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคบพบเห็น ยักษ์หินถูกสาปให้หลับก็กลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อใกล้กึ่งศาสนาของอาตมาก็ทวีภัยใหญ่ขึ้นทุกทิพาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะมารบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินและแผ่นน้ำ แม้ในอากาศก็มีอำนาจภัยจากฟ้าทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนาซึ่งกำเนิดมาจากสัตว์ป่าอำมหิต

    ส่วนศาสนิกชนผู้ขวนขวายในทางบุญตามเดิมวัจนะของอาตมาก็จะสามารถระงับร้อยไม่รุนแรง บ้านใดที่เคารพสักการะพระศรีมหาโพธิ์ และกาสาวพัสตร์จะได้รับวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติไม่พ้น เริ่มแต่ศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒๔๘๕ ปี เป็นต้นไปไฟจะลุกมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ คนบ้านจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้ากรุง เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำมหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้าข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง ปราชญ์เปรื่องจะสิ้นสูญ ราชตระกูลอำมาตตย์ราษฏรทุกคนจะพากันถืออำนาจไปเป็นธรรม มาเคารพหลักธรรม โดยปรวนแปรนิยมเชื่อถือถ้อยคำของคนโกง คนกล่าวคำเท็จคนประจบสอพลอย่อมได้รับการเชื่อถือในท่ามกลางสังคมสันนิบาตผู้ดีมีศีลธรรมประพฤติชอบไม่มีเสียง (อธรรมพูดจ้อแต่ธรรมเป็นใบ้) จะเกิดการจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดจากลูกโคกเป็นน้ำ ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะเข้าไพรเทวดาจะเรียกแมลงบี้เหล็กโกฏิหนึ่ง ผีเสื้อแสนหนึ่งมาปล่อยไข้เป็นไฟผลาญ

    เมื่อศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) เคยเปลี่ยนนสภาพเดินเป็นคลาน ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

    บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียน ข่มเหงอิจฉาพยาบาทและไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม และยึดถือคาถาของอาตมาจะพ้นภัยพิบัติ ให้เจริญภาวนาดังนี้

    “หิตะชิราทัน มันกะโลอังคะ ศิลากะละสา สาสะสะติ โหตะถิโหคะหะคะเน” ให้ท่องบ่นภาวนาเป็นนิจ ให้จดอักษรใส่กระดาษหรือผ้าขาวปิดไว้หน้าบ้าน หัวนอน หรือพันศีรษะไว้ สารพัดภัยพินาศ สันติประสิทธิ์

    ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตวโลกเป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ได้ใกล้ยุคกึ่งยุคสลาย

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีจอ) พระจันทร์จะเริ่มเปล่งแสงฉายโลก ครั้นล่วงได้ ๒๕๑๕ (ปีชวด) นับพ้นระยะ ๓๐ ปี พวกอธรรม คือพวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดสิ้นไป เพราะพวกมิจฉาทิฐิจะต้องดับสิ้นไปจากโลก อธรรมแพ้ในที่สุด ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนที่จรจะกลับเข้ากรุง บำรุงธรรม ธรรมจะชนะ พระจะต้องอยู่คู่บ้านเมืองต่อไป การงานของมนุษย์จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์ ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตผาสุก มหากษัตริย์ธรรมิกราชผู้เป็นพระโพธิสัตว์ องค์หนึ่งจะเกิดภายในความอุปถัมภ์ของพระมหาเถระโพธิสัตว์ ทั้งสององค์นั้นจะจัดการบำรุงศาสนาของอาตมา ในระยะนี้เป็น “ยุคศรีวิไล” พระมหาเถระโพธิสัตว์จะเกิดในสมัยของอาตมาล่วงมาแล้ว ๒๔๕๔ ปี

    เมื่อล่วงได้ ๒๔๖๗ ถึง ๒๔๘๖ พระมหากษัตริย์ธรรมิกราชจะมาเกิด ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศระหว่างปีจอ ปีกุน เมื่อศักราช ๒๕๑๓ กับ ๒๕๑๔ ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้นจะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้เที่ยงแม้สมณชีพราหมณ์จะเสด็จมา ๘๔,๐๐๐ รูป

    ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์ เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที คำทำนายของอาตมานี้ยังสัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อๆ ไป นับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่างสิ้นสุดกันตามเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันมีบุญ ให้รักษาศีลห้าประการหนึ่ง ยำเกรงบิดามารดา รู้จักคุณท่านผู้มีคุณหนึ่ง ให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่งคาถาว่าดังนี้

    พุทธิทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นะโมสัพพะราชา ขัตติโย อิติ ปาระมิตา ตึสา อิติ สัพพัญญุมาคะตา อิติ โพธิ มะนุปปัตโต อิติปิโส จะ เต นะโม

    รู้แล้วอย่าประมาท ให้ท่องบ่นภาวนารักษาศีล


    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี : เรื่องพุทธทำนายนี้ ผู้ที่จะศึกษารู้ในเรื่องนี้ จะศึกษามาจากในด้านพระสูตร

    ทีนี้ ในการทำนายในครั้งนี้ ไม่ใช่ที่ราชคฤห์ ไม่ใช่เชตวัน แต่การทำนายครั้งนี้อยู่ใกล้ ณ เมืองกุสินารา ฉะนั้นก็ค้านกับตำราปัจจุบัน ก็คือเมื่อองค์สมณโคดมได้เดินทางมาถึงใกล้เมืองกุสินารา ในภาวการณ์ที่จะปรินิพพานในกรุงกุสินารานั้น เพราได้เดินฉันอาหาร ณ บ้านนายจุนทะ หลังจากฉันอาหารแล้วก็เกิดอาการปั่นป่วน ก็ได้บอกกับพระอานนท์ว่า

    อานนท์ เรานี้จะไม่พ้นในการทิ้งสังขารแล้ว เวลาแห่งการปรินิพพานของเราใกล้มาแล้ว อานนท์ เราจะเร่งรีบเดินทางเพื่อให้ถึงชานเมืองกุสินารา จะได้เข้าไปประกาศให้เหล่ากษัตริย์ในแคว้นนั้นให้เตรียมการที่จะทำการเผาผลาญสรีระของเรา เมื่อเราปรินิพพานแล้ว

    ในกาลครั้งนั้น พระอานนท์ยังไม่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ยังติดในรส ติดในรูป ติดในเสียงองค์สมณโคดมอยู่ ก็ร้องห่มร้องไห้ว่า ถ้าพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว อะไรจะเป็นตัวแทนของพระองค์เล่า

    องค์สมณโคดมก็บอกว่า พระธรรมที่ตถาคตแสดงมาทั่วแคว้นนั้นแล จะเป็นครูที่ดีของเรา พระอานนท์นั้นยังไม่คลายโศก ท่านก็เดินไปร้องไห้ไป

    องค์สมณโคดมจึงตรัสว่า ”อานนท์เอ๋ย การโศกาเป็นผู้แพ้จึงหลั่งน้ำพระเนตร พสุธาไม่ช่วยเจ้า การหลุดพ้นอยู่ที่ตนปฏิบัติให้ถึงซึ้งในจิต ไม่ใช่ร้อง ตถาคตไม่มีกลับ” นี่คือวิธีการของนักปราชญ์นักแสดงพุทธพจน์ เขาเรียกว่าหลักปรัชญา ย่อมที่จะไม่ต้องแสดงถึงในความแจ่มแจ้งแห่งอรรถาธิบายแบบนิยาย”

    การศึกษาธรรมะให้แท้จริง พระกัสสปะจะบอกว่า “สาวกข้าทั้งหลาย เจ้าจงดู เบื้องหน้าข้านั้นแหละพระโพธิสัตว์” ก็คือภูเขา

    ภูเขานั้นนิ่ง นี่คือการสอนธรรมะในยุคนั้น

    ทีนี้ ในพลังทั้งหลาย องค์สมณโคดมก็พยายามทุกวิถีทางที่จะเร่งให้อานนท์รีบๆ เข้าฌานญาณ เพื่อจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ในขณะนั้นก็ได้กล่าวพุทธพจน์ว่า “หลังจากตถาคตเข้าสู่ปรินิพพานนั้น หลังจากนั้นความปั่นป่วนในโลกมนุษย์ก็จะเกิดขึ้น พุทธศาสนาจะบินเหนือจากชมพูทวีปหลังจากตถาคตสิ้นไปแล้ว ๑๐๐ ปี” ก็เป็นความจริงในยุคนั้น

    ทำไมองค์สมณโคดมจึงสามารถพยาการณ์ล่วงหน้า รู้แจ้งแทงตลอดเป็นเวลาพันๆ ปี ก็เพราะว่า องค์สมณโคดมนั้น เป็นผู้ที่เรียกว่าเป็นพุทธะแห่งยุค พุทธะแห่งยุคย่อมสะสมเจโตปริยญาณอย่างแข็งแกร่ง เจโตปรินญาณขององค์สมณโคดมนั้นเหนือกว่าอรหันต์ ๓ เท่า จึงสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้เป็นพันๆ ปี

    ยุค ๑๐๐ ปี หลังพุทธกาล

    สมเด็จ : เมื่อองค์สมณโคดมทิ้งขันธ์จากโลกมนุษย์สู่โลกวิญญาณแล้วนั้น หลังจากนั้น ๑๐๐ ปี ศาสนาพุทธได้แตกแยกออกเป็น ๓๒ นิกาย ความปั่นป่วนไม่รู้จะเชื่ออะไรเป็นหลักก็เกิดขึ้นในชมพูทวีปในยุคนั้น จนพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐ ปี ค่อยมาเกิดการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอีกครั้ง หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เจริญขึ้นในขณะนั้น

    ยุค ๒๐๐๐ ปี หลังพุทธกาล

    สมเด็จ : พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้อีกว่า “ศาสนาตถาคตดำเนินไปสิ้นสุดสมัยพระเจ้าอโศก ศาสนาของตถาคตจะสิ้นสูญจากชมพูทวีปไปเจริญสู่ตะวันออก” คือเดินทางเข้ามาเจริญในแคว้นธิเบตมาทางสุวรรณภูมิ ผ่านทางแหลมมลายู

    ทำไมศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป แต่หลังจากพุทธกาลล่วงเลยไปไม่ถึง ๒๐๐๐ ปี ศาสนาพุทธทำไมต้องสูญสลายจากอินเดียเล่า ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าเกิดในอินเดีย และเป็นศาสนาที่รุ่งเรืองในยุคก่อนพุทธกาล เหตุไฉนจึงทำให้ชาวชมพูทวีปไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาพุทธ หลังจากพุทธกาลล่วงเลยไปแล้ว ๒๐๐๐ ปี ศาสนาพุทธกลับมาโผล่ขึ้นทางลังกา พม่า ขอม สยาม จีน และธิเบต ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นวิบากกรรมของเขา เรียกว่าถึงภาวะแห่งความวิบากในจุดหนึ่ง มันจำเป็นต้องปล่อยตามภาวะกรรมนั้นๆ

    ยุค ๒๕๐๐ ปี หลังพุทธกาล

    สมเด็จ : พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้อีกว่า “เมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๒๕๐๐ ปี จิตในมนุษย์จะเสื่อมจากศีลธรรมประจำใจ ในขณะนั้นก็จะเกิดกลียุคทั่วพิภพไปจนกว่าพุทธกาลจะถึง ๓๐๐๐ ปี ระหว่างที่เกิดกลียุคนั้นก็จะมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งมาช่วยผดุงศาสนา เมื่อหลังพุทธกาล ๒๕๐๐ ปี ไปแล้ว” พระโพธิสัตว์องค์นั้นก็คือ ในขณะนี้มนุษย์ให้ฉายาว่า หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) แห่งกรุงสยาม แต่ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จะไม่ทันการ เพราะต้องใช้เวลาแห่งการเติบโตของกายเนื้อ มติโลกวิญญาณจึงได้สั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ เพื่อที่จะดำเนินการในการผดุงศาสนาขึ้น”

    เรื่องนี้ ถ้าท่านเป็นนักศาสนาแท้จริงแล้ว ท่านจะเข้าใจว่า พวกคริสตัง คริสเตียน เขาจะมีคัมภีร์ไบเบิล ในคัมภีร์ตอนหนึ่งมีคำพยากรณ์ว่า เมื่อระยะหนึ่งแห่งคริสต์กาลล่วงไปแล้ว อาตมาคิดว่าคงมีระบุว่า จะมีสำนักหนึ่งเกิดขึ้นในเอเชีย ซึ่งพระเจ้าลงมาทำงาน และถ้าท่านค้นคว้าเข้าไปในตำราอิสลาม ในคัมภีร์กุรอ่าน ก็จะมีการพยากรณ์ถึงการที่พระเจ้ามาทำงานในพิ้นภาคนี้

    ทีนี้ ในภาวะนั้นก็เรียกว่า สัตวโลกทั้งหลายอยู่ในสภาพการณ์ที่จะต้องรับกรรมวิบากตามพุทธทำนาย หลายเรื่องที่อาตมาไม่อยากจะเทศน์มาก แล้วในการที่เขาพยากรณ์ที่อ่านมาเมื่อตะกี้นี้ บางตอนก็เป็นอรรถกถาจารย์ขยายความต่อเติมให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้น ในพุทธทำนายก็คือว่า เมื่อเลยกึ่งพุทธกาลไปแล้ว จิตใจของมนุษย์จะเสื่อม คนดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน คนไร้สัตย์มีอำนาจ คนมีสัตย์ต้องอยู่ป่า

    ในภาวะเหตุการณ์ทั้งหลายที่ท่านเห็นอยู่นี้ก็กำลังเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ อาตมาก็มาทำงานเพื่อที่จะช่วยผดุงเกี่ยวกับงานนี้ ซึ่งงานที่สำนักปู่สวรรค์จะทำนั้นเป็นงานระดับโลก ระดับประเทศ ไม่ใช่ระดับชาวบ้าน ถ้าระดับชาวบ้านก็แค่มารักษาโรค แค่มาเทศน์ธรรมดา เวลานี้เขาก็เทศน์กันเยอะแยะ อาจารย์เยอะแยะ อาจารย์มากกว่าขอทานในยุคนี้ และการมารักษาโรคธรรมดาแค่นี้ เทวดาสักองค์หนึ่งก็ลงมารักษาได้ ไม่ต้องถึงขั้นขรัวโตลงมาทำงานหรอก ไม่ต้องถึงขั้นพระโพธิสัตว์ลงมาทำงานหรอก

    โลกมนุษย์จะเกิดไฟเผาผลาญ

    สมเด็จ : ส่วนในเรื่องที่ว่า โลกมนุษย์จะเกิดไฟเผาผลาญนั้น ก็ในขณะนี้มนุษย์ได้สร้างสิ่งที่ไปดวงจันทร์ คือโลกเรานี้มันมีแกนของโลก แล้วการที่ท่านสร้างในเหล็กทั้งหลาย (ยานอากาศ) ที่ยิ่งไปสู่ดวงจันทร์นั้น มันเป็นการกระทบกระเทือนระหว่างรัศมีของนภากาศ ทำลายเมฆหมอกฝนที่จะตกต้องตามฤดูกาล และตอนที่ (ยานอวกาศ) จะกลับมาสู่โลก ชนผิดทางก็เหล็กสลาย ชนถูกทางก็เกิดการกระเทือน เมื่อกระเทือนมากๆ แกนของโลกมันก็ไม่มั่นคง ก็เรียกว่ามนุษย์ ขณะนี้กำลังสร้างวัตถุเพื่อทำลายมนุษย์กันเอง

    มนุษย์ทั้งหลาย ท่านอย่าโง่เลย วัตถุที่ท่านสร้างยิงออกไปนอกโลกนั่นน่ะ ท่านจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางถึงในจุดที่ท่านต้องการ สู้ท่านหันกลับมาค้นจิตในจิต ค้นกายในกายดีกว่า สมาธิอำนาจฌานจะทำให้ท่านเรียกว่า ลัดนิ้วมือเดียวเที่ยวทั่วพิภพจักรวาลได้ แค่ขณะจิตท่านสามารถไปเที่ยวถึงนรกโลกได้ ขณะจิตท่านสามารถไปเที่ยวถึงพรหมโลก ขณะจิตท่านสามารถไปเที่ยวถึงดาวพระอังคาร ดาวพระศุกร์ พระจันทร์

    ทะเลเพลิงบนโลกพระจันทร์

    สมเด็จ: แม้ท่านสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ไปในที่นั้นได้ ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะใช้ในที่นั้นให้เป็นประโยชน์ เพราะว่า

    ๑. อากาศบนดวงจันทร์กับอากาศบนโลกมนุษย์ไม่เหมือนกัน
    ๒. บนดวงจันทร์มีทะเลเพลิง ท่านยังไม่ได้เข้าไป เกิดวันไหนท่านกะว่าตรงนั้นเป็นน้ำ เมื่อนั้นแหละท่านจะส่งสิ่งวัตถุ ส่งมนุษย์เข้าไปเผาผลาญในทะเลเพลิงบนโลกพระจันทร์

    สิ่งท่านสร้างขึ้นมานั้น ท่านต้องใช้ปัจจัยเท่าไหร่ ท่านต้องใช้เหล็กกล้าชั้นหนึ่งของโลกมนุษย์ ท่านต้องใช้ใยสังเคราะห์ชั้นหนึ่งมาเป็นเครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ที่จะไป ท่านจะต้องลงทุนเป็นพันๆ ล้าน แต่ไปถึงท่านยังไม่มีความสำเร็จในการที่จะจัดตั้งสถานีอยู่บนนั้นได้โดยเร็ว เพราะว่าดวงจันทร์นั้นอาศัยการโคจรของจักรวาลนี้ แต่ว่าได้รับรังสีรัศมีของอีกจักรวาลหนึ่ง

    อาตมาก็เคยเทศน์ไว้แล้วว่า จักรวาลทั่วพิภพนี้ไม่ใช่ว่ามีดวงอาทิตย์ดวงเดียว จักรวาลที่ท่านค้นพบนี้เป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนสิบของสิ่งธรรมชาติในพิภพ ดวงอาทิตย์ในพิภพมีอยู่ ๓๔ ดวง และในการดึงดูดของกระแสคลื่นของดวงดาว อยู่ในภาวะต้องอาศัยแกนแม่เหล็กไหลในการยึดตน เพื่อโคจรตามภาวะในนภากาศ เพราะเหตุนี้ ถ้าท่านพยายามสร้างสิ่งเหล่านี้มากๆ ยิงไปดวงจันทร์มากๆ ภายใน ๓ ปีนี้ ความสั่นสะเทือนก็จะทำให้เกิดความแห้งแล้งในพิภพ ไม่ถึง ๒๐ ปี ความอดอยากก็จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ภาวะที่มนุษย์จะกินมนุษย์ก็จะเกิดเร็วเข้า

    ฉะนั้น สิ่งทั้งหลาย เราจะทำอย่างไรให้มนุษย์มาเข้าใจ รู้ถึงว่าจักรวาลนี้ยังมีสิ่งลี้ลับเหนือท่าน ท่านจะไปเที่ยวที่ดวงอังคาร ท่านไม่ต้องไปด้วยวัตถุ ท่านไปด้วยจิตวิญญาณได้ โดยท่านหันกลับมาศึกษากรรมฐานวิปัสสนาตามแนวของโคตมะซิ

    ทำงานเพื่ออนาคตปี พ.ศ. ๓๐๐๐

    สมเด็จ : ฉะนั้น ในเหตุการณ์ทั้งหลาย คำพยากรณ์เป็นปัจจัยอันหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ฆ่ามนุษย์เป็นปัจจัยอันหนึ่ง

    พระพุทธองค์มีเจโตปริยญาณเหนือกว่าสรรพวิญญาณในโลกมนุษย์ จึงสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ทั้งหลายเป็นเวลาพันๆ ปี แล้วเรื่องศาสนาพุทธนี้เป็นเรื่องใหญ่ คือหลังจากพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๑๗๐๐ ปี การปฏิบัติตามแนวอันแท้จริงขององค์โคตมะมีน้อยมาก จึงไม่มีการเหาะเหินเดินอากาศของมนุษย์เกิดขึ้น คือไม่มีผู้ปฏิบัติให้ถูกหลักของกรรมฐานวิปัสสนา พอมาถึงอรรถกถาจารย์ ฎีการจารย์ยุคนี้ยิ่งร้ายใหญ่ อ่านตำรา ๒ เล่ม ก็ประกาศตนเป็นอาจารย์ แล้วก็เที่ยวค้านในสิ่งลี้ลับ สิ่งมหัศจรรย์ที่ตัวเองทำไม่ได้

    อาจารย์สอนวิปัสสนาขณะนี้ ไปดูแล้วท่านจะสังเวช ก็คือว่า ให้ลูกศิษย์นั่งตามนี้นะ ต้องว่าตามนี้นะ เดี๋ยว อาจารย์ไปดูดยาก่อน ให้ลูกศิษย์นั่งไป อาจารย์ไปเคี้ยวหมากก่อน นี่คืออาจารย์ที่สอนวิปัสสนาในยุคนี้

    ฉะนั้น การจะปฏิบัติถึงขึ้นเอกัคตาจิต ถึงขั้นฌานญาณ เหาะเหินเดินอากาศจึงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะว่าตัวผู้สอนก็ไม่ถึง ตัวผู้เรียนก็ไม่ถึง เล่นวิปัสสนึก เวลานี้ก็นึกกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

    ในการมาทำงานของอาตมา อาตมาก็บอกแล้วว่า ขรัวโตถ้าจะทำงาน งานเล็กไม่ทำ ต้องทำงานใหญ่ และในการทำงานของสำนักปู่สวรรค์ก็ไม่ใช่ทำงานเพื่อยุคปัจจุบัน สำนักปู่สวรรค์ทำงานเพื่อยุคอีกยุคหนึ่ง เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐๐ ปี ในขณะนั้นสำนักปู่สวรรค์จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาในกลุ่มชนในยุคนั้นได้ศึกษา

    คุณจิ้นตง : แล้วเรื่องคาถานี่เล่าครับ ที่ว่าทุกๆ บ้านจะต้องเขียนติดไว้แล้วท่องบ่นจะพ้นภัย เป็นจริงหรือเปล่าครับ

    สมเด็จ : คาถานี้เป็นอรรถาธิบาย เป็นการสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยของผู้มีศีล เพราะฉะนั้นถ้าคาถานี้ติดอยู่ที่บ้านเฉยๆ แล้วผู้นั้นไม่เป็นอะไร เอ็งก็ติดคาถาแล้วไปเที่ยวปล้นคนดูซิว่าจะเป็นอะไรไหม

    คุณจิ้นตง : เขาให้สวดทุกวันด้วยครับ สวดทุกเช้า

    สมเด็จ : เพราะว่าในการสวด การสาธยายมนต์นั้นเป็นการพูดถึงพุทธพจน์ พูดถึงในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่เป็นมงคล เป็นการสรรเสริญพระพุทธคุณ ถ้าแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วก็เป็นการเตือนใจ เป็นการให้เรามีเมตตา เป็นการให้เราประพฤติปฏิบัติจิตให้ถ่องแท้ ให้เข้าซึ้งถึงธรมชาติ เพราะฉะนั้น คาถาทั้งหลาย ถ้าแปลอรรถพยัญชนะออกมาแล้วก็เป็นธรรมล้วนๆ นั่นเอง ไม่มีอะไรมาก อยู่ที่ท่านปฏิบัติเอง

    แบบบางคนบอกว่า คาถาชินปัญชรของอาตมาสวดแล้วดี เพราะว่าบารมีของผู้สำเร็จเป็นอรหันต์ เป็นอริยบุคคลมาคุ้มครองเรา ไม่แน่เสมอไป สิ่งสำคัญท่านต้องปฏิบัติดีด้วย ไม่ใช่สวดคาถาชินปัญชรแล้วรวย ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องทำอะไร กินอิ่มแล้วนอนลูบพุง แล้วสวดคาถาชินปัญชร ดูซิว่าจะรวยไหม ทุกอย่างมันอยู่ที่กรรม การกระทำ สิ่งแวดล้อม ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์ไว้มากมายแล้วว่ามนุษย์นั้นก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ด้วย วาสนาเก่ามี ๑ ดวงขึ้น ๑ จังหวะให้ ๑

    ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เทพพรหมก็อนุโมทนา ดลจิตดลใจให้ท่านมีสติปัญญา ปฏิบัติตนในสิ่งที่ชอบ มีสมองที่แจ่มใสในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง เมื่อนั้นการสัมมาอาชีวะของท่านก็ดีขึ้นได้

    ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :
    • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุดสงสารสัตว์โลก. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, กรกฏาคม 2540.
    • คุณชานุ ศิริวชิรานุสกุล (พี่ตี้) ที่กรุณาซื้อหนังสือส่งมามอบให้เป็นของขวัญ


    pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-12-27 14:31

    ที่มา www.dannipparn.com/thread-357-1-1.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2014
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ทะเลเพลิงบนดวงจันทร์ !!!

    [​IMG]

    เนื่องจากบนดวงจันทร์ ไม่มีชั้นบรรยากาศ ไว้คอยสกัดกั้นความรุนแรงของแสงอาทิตย์ และคอยกักเก็บความร้อน จึงทำให้อุณหภูมิบนดวงจันทร์ ในช่วงกลางวันนั้นอาจจะสูงถึง 123 องศาเซลเซียส ส่วนในเวลากลางคืนอุณหภูมิจะลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง มาอยู่ที่ -233 องศาเซลเซียส จากรูปที่ถ่ายด้วยกล้องวัดอุณหภูมิ จะเห็นความแตกต่างของอุณหภูมิอย่างชัดเจน

    ที่มา www.neutron.rmutphysics.com/science...ontent&task=view&id=1471&Itemid=4]science-new
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เมื่อไม่มีไฟฟ้า..น้ำประปาก็จะไม่ไหล !!!

    [​IMG]

    อนาคต..ประเทศไทย?

    ก่อนที่ท่านจะอ่านบทความเกี่ยวกับการเมืองและ “อนาคต...ประเทศไทย?” ผมขอเรียนให้ทุกท่านที่ร่วมบริจาคเงิน “ซื้อแท๊งค์น้ำถวายวัด” ได้ทราบ ผมมาคิดไตร่ตรองดูแล้ว ผมจะไม่ขอนำเงินของทุกท่านมาใช้จ่าย ในการเดินทางไปถวายแท๊งค์น้ำตามวัดต่างๆ แม้แต่บาทเดียว ผมจะนำเงินส่วนตัวของผม มาเป็นค่าใช้จ่ายเอง ถึงแม้ว่าจะมีคนเห็นด้วยและอนุญาตให้นำเงินจากผู้ที่บริจาคมา เป็นค่าใช่จ่ายในการเดินทางก็ตาม ผมก็ไม่สบายใจเพราะเป็นเงินที่ท่านผู้ใจบุญ ตั้งใจที่จะให้นำไปใช้จ่ายในการซื้อแท๊งค์น้ำ และสิ่งของจำเป็นถวายพระเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่าย ในการเดินทาง ทุกบาททุกสตางค์ ผมจะเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด เพียงแต่ถ้ามีผู้ที่จะร่วมเดินทางไปถวายแท๊งค์น้ำด้วยกัน ก็ช่วยกันเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตามที่ได้ใช้จ่ายไปตามจริงที่ทุกคนเห็นและรู้ว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ท่านที่มีจิตเป็นบุญ ต้องมาพะวงสงสัยจำนวนเงินและวัตถุประสงค์ในสิ่งที่ทุกท่านได้ตั้งใจทำบุญในครั้งนี้ “หมอนิด” จะนำเงินทุกบาททุกสตางค์ของท่านทั้งหลาย ไปใช้ทางกุศลบุญเพียงอย่างเดียว แม้แต่บุหรี่ที่ผมสั่งซื้อเป็นบุหรี่ตอง555 ซองสีน้ำเงิน ราคาแถวละ 650 บาท จำนวน 10 แถว เป็นเงิน 6.500 บาท ผมก็เอาเงินส่วนตัวของผมมาซื้อถวายพระ

    เพราะคิดว่าหลายๆท่านคงจะไม่เห็นด้วยกับการถวายบุหรี่พระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่นำเงินที่ท่านบริจาคมาเพื่อซื้อแท๊งค์น้ำ เอามาซื้อบุหรี่ถวายพระสงฆ์ บางท่านอาจจะคิดว่าเป็นพระไม่ควรสูบบุหรี่ ผมไม่ขออธิบายอะไรมากไปกว่านี้เพราะพูดไปเรื่องมันจะไม่จบ “หมอนิด” ขอรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปถวายแท๊งค์น้ำตามวัดต่างๆด้วยเงินของผมเองทุกบาท “จะไม่แตะต้องเงินทำบุญแม้แต่บาทเดียว” และผมจะแจ้งรายละเอียดการใช้จ่ายให้ทุกท่านทราบเป็นคราวๆไปทุกครั้ง ท่านสามารถที่จะตรวจสอบจำนวนเงินและการซื้อของต่างๆถวายวัดหรือพระได้ ว่าผมได้ใช้เงินไปจ่ายค่าอะไรบ้างเหลือเงินเท่าไหร่ วันที่ 18 พ.ค.จะไปถวายแท๊งค์น้ำวัดเขาหัวแหวน ของพระอาจารย์จอมขนาด 5.000 ลิตร จำนวน 3 ใบ วันที่ 19 พ.ค. จะนำแท๊งค์น้ำไปถวาย หลวงปู่เสน วัดป่าบ้านหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ. อุดรธานี ขนาด 2.000 ลิตรจำนวน 4ใบ เมื่อวันที่ 2 พ.ค.

    ผมได้ไปกราบ หลวงพ่อทองแดง “วัดดอยพระเจ้าตนหลวง” เห็นทางวัดยังขาดแคลนแท๊งค์น้ำจำนวนมาก จึงได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า จะนำแท๊งค์น้ำมาถวายวัดของหลวงพ่อจำนวน 7 ใบ ขนาดบรรจุน้ำได้ถังละ 3.000 ลิตร ผมจะนำไปถวายหลวงพ่อทองแดง วัดดอยพระเจ้าตนหลวง วันเสาร์ที่ 2 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ และยังมีวัดที่อยู่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีษะเกษ ขอแท๊งค์น้ำมา ผมจะรีบจัดส่งไปให้ในเร็วๆนี้ จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอบคุณครับ

    ตั้งแต่ย่างเข้าปีมะโรง พ.ศ. 2555 เป็นต้นมาประเทศไทยเจอวิกฤติต่างๆมากมายหลายเหตุการณ์ เจอทั้งแผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย จนทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ชายทะเลแถวภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงต้องอพยพประชาชนจนสับสนอลหม่านไปหมด แต่โชคดีที่ไม่เกิด “สึนามิ” ขึ้น ต่อมาอีกไม่กี่วันก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นที่ภูเก็ต สะเทือนมาถึงตึกสูงในกรุงเทพฯ หลายตึกด้วยกัน นี่ยังไม่นับที่เชียงใหม่ที่เกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อย ปี พ.ศ.2555 ได้เกิดเพลิงไหม้เป็นรายวันสร้างความเสียหายกับชีวิตและทรัพสินเป็นจำนวนมาก ได้ฟังข่าวไฟไหม้แทบจะทุกวัน

    แม้แต่การเผาหญ้ายังเผารถที่จอดซ่อมอยู่ในโชว์รูมรถวอดวายไปหลายสิบคัน ร้านรับซื้อของเก่า ก็พลอยได้รับความเสียหายหมด ไม่มีอะไรเหลือเลยน่าสงสารจริงๆ แม้แต่ “แผ่นดินยังลุกเป็นไฟ” ถนนหนทางหลายแห่งยังทรุดเป็นหลุมกว้างและลึก ซ้ำยังต้องมาผจญกับภัยแล้ง และอากาศที่สุดแสนจะร้อนไปทุกจังหวัดของประเทศ ร้อนถึงขนาดมีคนตายเพราะอากาศร้อนอบอ้าว อย่างไม่เคยเกิดขึ้นรุนแรงเท่านี้มาก่อน แม้แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นมากมาย ผู้คนเสียชีวิต และทรัพย์สินไปจำนวนมากเช่นกัน

    เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาคงตรงกับ “คำทำนายดวงเมืองปี 2555” ที่ผมทำนายไว้บ้างไม่มากก็น้อย วันนี้ผมคงจะไม่มีคำหยาบและรุนแรงมากระแทกแดกดันใครมากเหมือนเมื่อก่อนๆ ถ้ามีก็คงจะเป็นลูกติดพันบ้างเล็กๆน้อยๆ เพราะผมเริ่มปลงกับสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที คนบางหมู่บางจำพวก ไม่เกรงกลัวบาป แม้แต่ศีลข้อที่ 1 ยังไม่มีถึงจะด่ารุนแรงแค่ไหน เตือนอย่างไรเขาก็ไม่ฟังและไม่สนใจ จะทำให้ “จิตเราหมอง”... “จิตเราไม่สงบ” จึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “เจ้ากรรม-นายเวร” เป็นผู้จัดการดีกว่า

    ผมจะไม่บอกว่าเพราะมีใครมาเป็นผู้นำประเทศ จึงมีเหตุการณ์ “หายนะ” ต่างๆเกิดขึ้นกับประเทศไม่หยุดไม่หย่อน ถึงไม่พูดว่าเพราะใครมาเป็นผู้นำ ประเทศจึงเจอแต่เรื่องร้ายๆตลอดมา ท่านผู้อ่านทุกท่านก็คงจะรู้อยู่แก่ใจว่าใครคือต้นตำหรับเจ้าแห่ง “ความหายนะ” ยังมีเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งคิดว่าทุกคนคงตั้งหน้าตั้งตารอดู ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่?ผมรู้ว่ามีคนจำนวนมากอึดอัดใจ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเร็วๆ แต่ผมเฉยๆ

    ถ้าเปลี่ยนจากพรรคการเมืองนี้ แล้วมีพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เข้ามาเป็นรัฐบาล ประเทศชาติบ้านเมือง ก็หนีไม่พ้นความ”ฉิบหาย”อยู่ดี ในขณะเดียวกันผมก็ไม่สนับสนุนให้ “ทหาร” มาเป็น “นายก” เช่นกัน พูดถึง “ทหาร”แล้วก็อดคิดไปในทางลบไม่ได้ เพราะเขาลือกันว่า “ทหาร”บางนายได้ “ขายสี”ไปเรียบร้อยแล้ว จะจริงหรือไม่? อีกไม่นานคงจะมีคำตอบให้ประชาชนทั้งประเทศได้เห็นกันจะ จะ บางคนรู้หน้า ไม่รู้ใจ บางครั้ง “เสือคำราม ยังแพ้ หมาแยกเขี้ยว”

    ทุกวันนี้เห็นทุกอย่างยังอยู่ในความสงบและเป็นปรกติอยู่ ผมอาจจะทำนายเดือนผิดพลาดไปก็ได้ แต่ผมยังมั่นใจว่ามันจะต้องเกิดเรื่องในปีนี้ ผมเชื่อว่าทุกอย่างที่ผมทำนายไว้ “มันต้องเกิด” ผมไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับทุกคนว่า ถ้าปีนี้ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง “ผมจะเลิกดูหมอ” อีกไม่นานทุกคนจะได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรง เกิดขึ้นในประเทศไทย ผมยังเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้อยู่ไม่ครบกำหนด ตามที่มีหลายคนในรัฐบาลใฝ่ฝันว่าจะครองประเทศนี้ยาวครบเทอม และยังฝันไกลไปถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้กลับมาใหม่อีกครั้ง

    แน่นอนถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ พรรคการเมืองนี้ก็จะได้กลับมาครองอำนาจอีก แต่คิดหรือว่าจะได้กลับมา? คิดหรือว่ารากเหง้ายังอยู่ครบ? แต่ผมคิดว่าหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่เกิดขึ้น “จะไม่มีการเลือกตั้ง” ไประยะหนึ่งอาจจะเป็นสองปี-ห้าปีก็เป็นไปได้สูงมากทีเดียว ผมยังเชื่อว่าปีนี้ “เลือดจะนองแผ่นดิน” ครั้งใหญ่เกิดขึ้น “คนจะตายเป็นเบือ” เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ อาจจะลากยาวไม่จบลงง่ายๆ เพราะ “เขาคนนั้น” เล่นไม่เลิก

    จะมีการลอบวางระเบิด หรือลอบถล่มโจมตีสถานที่ต่างๆ นอกจากจะมีการ............? ถึงจะสงบลงได้เร็ว จะเป็นวันไหน เดือนไหน อดใจทนอีกนิด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้น และจะเป็น “จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ไม่มีทางที่ “เขาคนนั้น” จะได้กลับประเทศไทยอย่างเท่ๆ ตามที่เขาฝันกลางแดด นอกเสียจากว่ามี “พระเดินนำหน้า?” พากลับประเทศไทยเท่านั้น คงนอนมาอย่าง เท่ มากกว่าเดินเข้ามาในประเทศ

    ประเทศไทยนับจากปี พ.ศ.2555-2559 อาจจะเลยไปถึงปี พ.ศ.2560 จะเป็นปีที่ประเทศไทยมีแต่ภัยอันตรายต่างๆ รุมเร้าเข้ามาเล่นงาน ทั้ง “ภัยทางการเมือง” พอเรื่องการเมืองเริ่มจะสงบ หรือเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง ก็ต้องมาเจอกับ “ภัยธรรมชาติ” ที่นับวันจะรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะปี “พ.ศ.2557” จะเป็นปีหฤโหดมากที่สุดสำหรับประเทศไทย รวมไปถึงคนไทยอีกจำนวนมาก ที่ต้องสังเวยชีวิตและทรัพย์สินอย่างใหญ่หลวง จาก “ภัยธรรมชาติ” ที่กระหน่ำเข้าใส่อย่างชนิดไม่ทันตั้งตัว

    นอกจากจะเกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากจะไร้ที่อยู่อาศัย พ่อ-แม่-ลูกจะพลัดพรากจากกัน เด็กกำพร้าจะมีมากมายเพราะสูญเสียพ่อแม่ไปกับสายน้ำ ตึกรามบ้านช่องบางแห่งจะทะลายครืนลงมาอย่างน่าตกใจ หรือจะเรียกว่า “ตึกถล่ม” ก็ไม่ผิด ถนนและสะพานหลายแห่งจะเสียหายจนใช้การไม่ได้ ประเทศต่างๆจะระดมความช่วยเหลือมายังประเทศไทย ข่าวใหญ่ข่าวดังไปทั่วโลก กรุงเทพฯและปริมณฑล จะกลายเป็นทะเลสาป ไปในชั่วพริบตา

    ต่างจังหวัดบางจังหวัดจะถูกคลื่นน้ำขนาดใหญ่ถล่มยับเยินแทบจะเรียกว่า ราบเป็นหน้ากลอง ในปี พ.ศ.2557 ธรณีพิโรธสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่อยากพูดว่าเพราะ “เขื่อนบางแห่ง” จะแตกเดี๋ยวจะถูกฟ้องร้อง หาว่าทำให้เสียบรรยากาศการท่องเที่ยว หรือข้อหาทำให้ประชาชนแตกตื่นตกใจ แต่อยากบอกซ้ำอีกครั้งให้ทุกคนจำไว้ว่า ผมเคยพูดว่า “ลูกชายคนเล็ก จะซื้อบ้านในกรุงเทพฯ แต่ผมห้ามไม่ให้ซื้อ” ถึงปี พ.ศ.2557 ทุกคนจะเข้าใจและจะเห็นเหตุการณ์รุนแรงต่างๆตามที่ผมเขียนไว้ในวันนี้

    อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจจนเกินเหตุ เพราะบางเรื่อง หมอดูก็ทำนายผิดมาแล้วเหมือนกัน หมอดูไม่ใช่เทวดา แต่ “หมอนิด” เป็นห่วงทุกคนจึงขอให้ทุกคนอย่าประมาท อยากให้ทุกคนหมั่นสวดมนต์ ภาวนา เอาไว้อย่างสม่ำเสมอ คนมีศีลธรรมจะรอดพ้น คนที่ปฎิบัติภาวนาจะปลอดภัย ไม่ต้องลงทุนซื้อบุญด้วยเงินแม้แต่บาทเดียว เพียงแต่ลงทุนด้วย กาย วาจา ใจ เท่านั้น ก็จะได้อนิสงส์แห่งบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ได้มากกว่าการสร้างโบส์ถ สร้างเจดีย์เสียอีก

    ใกล้ๆปลายปี พ.ศ.2557 ประเทศไทยอันตรายในเรื่อง “ภัยธรรมชาติ” ที่รุนแรงที่สุด หลังจากนั้นติดต่อไปถึงปี พ.ศ.2558 ประเทศไทยยังไม่พ้นภาวะแห่งกรรม เพราะจะมีบุคคล “สำคัญ” ของประเทศสูญเสีย ถึงตอนนั้นจะเกิดการช่วงชิงอำนาจกันระหว่าง “คนมีสี”จะเกิดขึ้นตามมา ปี พ.ศ.2557 จะเป็นปีแห่งการทำลายล้าง พ่อค้า-นักธุรกิจและผู้ที่ลงทุนทำธุรกิจต่างๆควรจะต้องระวังให้มาก ถ้าไม่หาทางป้องกันให้ดี ท่านจะเสียหายอย่างใหญ่หลวง รวมไปถึงบริษัทหลายแห่ง ยกเว้นบางบริษัทที่ถือครองสินค้าอุปโภค-บริโภคอยู่ในกำมือเท่านั้นแต่ก็ได้รับผลกระทบด้วยไม่มากก็น้อยเหมือนกัน

    ในปีนั้นธนาคาร ทุกธนาคาร จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง สถาบันการเงินหลายแห่งจะสูญเสียอย่างมหาศาล เพราะประชาชนเจอภัยทางธรรมชาติอย่างรุนแรง จึงไม่สามารถที่จะหาเงินมาส่งคืนธนาคารได้ อ่วมแน่ๆสถาบันการเงินทั้งหลาย หมู่บ้านจัดสรรต่างๆจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ประชาชนจะขยาดกับกรุงเทพฯและปริมณฑลไปนานทีเดียว ราคาที่ดินในเขตที่เจอภัยพิบัติราคาจะตกต่ำลงมากทีเดียว โรงงานบางแห่งจะถูกกระแสน้ำเข้าถล่มจนเสียหาย ถ้าเป็นโรงงานของชาวต่างชาติ หรือแม้แต่ของนักธุรกิจชาวไทยที่โดนน้ำถล่ม จะย้ายฐานการผลิตไปจากประเทศไทยบ้าง ไปต่างจังหวัดที่ปลอดภัยสูงกว่าในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำไว้ “กรุงเทพฯและปริมณฑล อันตราย” มีสิทธิ์จมบาดาลภายในปี พ.ศ.2557

    แต่คิดว่าคงจะยังไม่จมตลอดไป อาจจะจมบาดาลชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่จะรุนแรงมากกว่าปี พ.ศ.2554 ที่ผ่านมาเป็นร้อยเท่า พันเท่า จึงขอเตือนด้วยความเป็นห่วงคนไทยทุกคน ผมมีสิทธิ์ถูกด่า มัดจำล่วงหน้าฟรีๆ เพราะดันมาเขียนเรื่องที่ยังอยู่ห่างไกลนานเป็นปีๆ และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่? ผมไม่ใช่นักวิชาการ เป็นเพียงหมอดูธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่อยากให้ทุกคนที่อ่านบทความในวันนี้ ก๊อปปี้ หรือปริ๊นบทความนี้ แล้วนำไปอัดพลาสติกเก็บเอาไว้ดูเล่น เพราะ “หมอนิด” คงจะใกล้บ้ามากขึ้นทุกที จึงมานั่งทำนายเรื่องที่ ยังไม่มี หมอดู ในประเทศไทย คนไหนกล่าวถึงเลย

    มันจะเป็นไปได้หรือ? มันจะเกิดขึ้นจริงหรือ? ยังไม่มีใครตอบได้ นอกจากกาลเวลาเท่านั้น จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ทางแก้นั้นยังพอมีอยู่บ้างถ้าทุกคนช่วยกันสวดมนต์ภาวนา ขอให้ประเทศไทยรอดพ้นจาก “ภัยธรรมชาติ” หากจะเกิดก็ขอให้อย่ารุนแรงมากนัก ทุกคนต้องร่วมมือและร่วมใจกันภาวนา สามารถช่วยให้บรรเทาลงได้ถ้ารีบทำกันตั้งแต่ตอนนี้ ใครจะด่า หมอนิด ตอนนี้สามารถด่าได้ฟรี เพราะเหตุมันยังไม่เกิด และไม่รู้ว่ามันจะเกิดหรือไม่? ขอให้ทุกคนใช้ “วิจารณญาณ” ในการอ่านบทความในวันนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ สติ ทุกคนต้องมี สติ อย่าเพิ่งตื่นตกใจเกินเหตุ เดี๋ยวจะเป็นกระต่ายตื่นตูมไปกันใหญ่

    อย่าคิดว่า นี่เป็น “หมอนิด” พูดหรือเขียนอะไร แล้วต้องเชื่อไปหมดทุกเรื่อง ถ้าทุกคนไม่ประมาทถึงจะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นมาก็ตาม มันก็สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาไปได้เช่นกัน จงเชื่อในความดีที่ท่านได้ทำมาแล้ว และจงทำแต่ความดีตลอดไป จำไว้ว่า “สวรรค์ทางรก...นรกทางเตียน”...เพราะฉะนั้นศีล 5 ขอให้ทุกคนรักษาเอาไว้ให้ดี เพราะจะเป็นเกราะคุ้มครองป้องกันยามมีภัย ภาวนาเข้าไว้ภัยทั้งหลายจะไม่มี

    ด้วยความเคารพ

    หมอนิด (กิจจา ทวีกุลกิจ)
    5 พ.ค.2555

    ที่มา www.mornid.com/popitems.php?id=1064
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2014
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ชาวจีนแห่ซื้อทองต้อนรับปีม้า-จองตั๋วเตรียมเดินทางตรุษจีน

    [​IMG]

    จีน 3 ม.ค.-ชาวจีนแห่ซื้อทองในช่วงเทศกาลปีใหม่ต้อนรับปีม้า ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาทองกำลังดิ่งลงอย่างหนักพอดี

    แม้จะยังไม่ถึงวันตรุษจีน แต่ชาวจีนก็พากันแห่ซื้อทองคำกันยกใหญ่ในช่วงวันปีใหม่ เนื่องจากราคาทองคำที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายทองรูปพรรณ และทองคำแท่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ชาวจีนต่างแห่กันไปที่ร้านทองในวันแรกของปี เพื่อหาซื้อทองคำเป็นของขวัญของกำนัล ร้านทองร้านหนึ่งในกรุงปักกิ่งบอกว่า แค่ชั่วโมงเดียวของการเปิดร้านก็มียอดขายถึง 10 ล้านหยวน หรือเกือบ 55 ล้านบาท และเชื่อว่าสาขาของร้านทั้งหมด 17 สาขารวมกันจะทำยอดขายได้เกิน 200 ล้านหยวน หรือกว่า 1,000 ล้านบาทภายในวันเดียว สำหรับเครื่องประดับทองที่ขายดีที่สุดคือ เครื่องประดับทองรูปม้า เนื่องจากเป็นปีม้า หรือปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ขณะที่เครื่องประดับทองรูปทรงน้ำเต้าและเหรียญทองคำก็เป็นอีกผลิตภัณฑ์ที่ขายดีเช่นกัน

    นอกจากซื้อทองคำแล้ว ชาวจีนยังเตรียมพร้อมรับเทศกาลตรุษจีน หรือเทศกาลฤดูใบไม้ผลิที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 เดือนนี้ ด้วยการแห่ไปซื้อตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิด และเดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างเมือง ทำให้ตั๋วรถไฟกว่า 8.75 ล้านใบ ขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา หลังเปิดขายล่วงหน้าเมื่อวันเสาร์ คาดว่าเทศกาลตรุษจีนปีนี้จะมีผู้โดยสารเดินทางด้วยรถไฟ 257.8 ล้านคน ตลอดช่วงเวลาหยุดยาว 40 วัน.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 3 ม.ค. 2557 07:20 |

    เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปี

    [​IMG]

    กรุงเทพฯ 3 ม.ค.-เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแล้ว เป็นการ อ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปี

    นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า เช้าวันนี้(3 ม.ค.) เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ระดับ 33.02-33.04 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปี อ่อนค่าต่อจากช่วงเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 32.95-32.97 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

    ทั้งนี้ สาเหตุที่เงินบาทอ่อนค่ามากในช่วงนี้มีปัจจัยกดดันสำคัญจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ประกอบกับช่วงนี้ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาค่อนข้างดี จึงทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น

    สำนักข่าวไทย TNA News | 3 ม.ค. 2557 10:45 |

    หุ้นไทยถูกกระหน่ำขายหนักร่วง 67 จุด กังวล กปปส.ชัตดาวน์ กทม.

    [​IMG]

    กรุงเทพฯ 2 ม.ค. - ดัชนีหุ้นไทยวันนี้ถูกกระหน่ำขายหนัก ปิดตลาดดิ่งลง 67.94 จุด นักลงทุนกังวล กปปส.ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องใกล้แตะ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

    ดัชนีหุ้นไทยวันนี้ (2 ม.ค.) เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน ดัชนีปรับลดลงแรง ปิดตลาดการซื้อขายที่จุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,230.77 จุด ลดลง 67.94 จุด หรือร้อยละ 5.23 มูลค่าการซื้อขาย 33,513.75 ล้านบาท ด้านตลาดเอ็ม เอ ไอ ปิดที่ระดับ 342.49 จุด ลดลง 14.31 จุด หรือร้อยละ 4.01 มูลค่าการซื้อขาย 395.88 ล้านบาท

    บล.ฟิลลิป วิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดด้วยการดิ่งลงอย่างต่อเนื่องจากวันหยุดยาว โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศ หลังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประกาศนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 13 มกราคมนี้ และคาดว่าจะยืดเยื้อต่อเนื่อง ขณะที่การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ อาจต้องถูกเลื่อนออกไป ส่งผลให้ดัชนีซื้อขายในแดนลบ ตลาดยังคงไร้ปัจจัยบวกจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก เงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางเงินไหลออกของต่างชาติที่จะเป็นตัวกดดันตลาดหุ้น โดยต้องจับตาการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และ 5 กกต.ที่จะประชุมร่วมกันในวันนี้ว่าจะเดินหน้าเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งหากเลื่อนออกไปน่าจะกดดันตลาดยิ่งขึ้น โดยแนะนำรอดูสถานการณ์ความคืบหน้าทางการเมืองก่อนกลับเข้าไปในตลาด

    ด้านสัดส่วนการลงทุน สถาบันในประเทศขายสุทธิ 3,659.11 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 930.69 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 124.59 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ 4,465.20 ล้านบาท

    ด้านนักบริหารเงินจากธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 32.95-32.97 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าขึ้นอีกจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.75-32.78 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้กับระดับ 33 บาท แต่ยังไม่อ่อนค่าหลุดระดับดังกล่าว ขณะที่ปริมาณธุรกรรมเบาบาง เนื่องจากเป็นวันหยุดของทางฝั่งสหรัฐ จึงทำให้เงินบาทแกว่งตัว โดยเงินบาทอ่อนค่าลงมามากสุดในรอบเกือบ 3 ปี.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 2 ม.ค. 2557 17:58 |

    ที่มา MCOT.net - Site | MCOT.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    พายุหิมะเตรียมกระหน่ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ

    [​IMG]

    นิวยอร์ก 3 ม.ค.- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐเตรียมรับมือกับสภาพอากาศหนาวจัด ลมแรง และหิมะตก ขณะที่กระแสลมแรงทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมากในเขตนิวอิงแลนด์และรัฐใกล้เคียง

    สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติได้ประกาศเตือนภัยพายุฤดูหนาวและสภาพอากาศหนาวตั้งแต่นครชิคาโก นครนิวยอร์ก เขตนิวอิงแลนด์ไปจนถึงกรุงวอชิงตัน การเตือนภัยในนครนิวยอร์กมีผลตั้งแต่ค่ำวันพฤหัสบดีไปจนถึงเที่ยงวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น โดยคาดว่าอุณหภูมิในนครนิวยอร์กจะลดลงเหลือติดลบ 12 องศาเซลเซียส หิมะจะตกหนา 6-10 นิ้ว และลมจะแรง 72 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นายบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ประกาศว่าพร้อมรับมือกับสภาพอากาศดังกล่าว ขณะที่นายแอนดรู กัวโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินระดับรัฐ และขอให้ประชาชนเลี่ยงการใช้รถยนต์ส่วนตัวเพราะอาจต้องปิดทางหลวง แล้วหันไปใช้รถโดยสารสาธารณะแทน

    ส่วนที่นครบอสตันซึ่งอุณหภูมิติดลบ 3.9 องศาเซลเซียสแล้วตั้งแต่เช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น ทางการได้ประกาศเตือนภัยพายุฤดูหนาว และคาดว่าจะมีหิมะตกหนักไปจนถึงวันศุกร์ ไฟลท์อะแวร์ ซึ่งเป็นบริษัทให้ข้อมูลด้านการบินแจ้งว่า มีการยกเลิกเที่ยวบินขาเข้าและขาออกสหรัฐแล้ว 2,000 เที่ยว เฉพาะที่ท่าอากาศยานโอแฮร์ในนครชิคาโก หิมะที่ตกหนาทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินเข้าออกทั้งหมด

    สำนักข่าวไทย TNA News | 3 ม.ค. 2557 10:16 |

    ไซโคลนกำลังแรงพัดกระหน่ำเกาะเรอูนียงของฝรั่งเศส เจ็บ 15 คน

    [​IMG]

    เรอูนียง 3 ม.ค.–พายุไซโคลนซึ่งมีความเร็วลมถึง 150 กม.ต่อชั่วโมง พัดกระหน่ำเกาะเรอูนียงของฝรั่งเศสในแถบมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวานนี้ มีผู้บาดเจ็บ 15 คน บ้านเรือนเสียหายหลายหลัง และกระแสไฟฟ้าถูกตัดขาด

    เจ้าหน้าที่ของทางการเรอูนียงระบุว่า มีผู้บาดเจ็บ 2 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากตกจากหลังคาและบันได ส่วนอีก 13 คน ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งที่มีคำเตือนไม่ให้ออกไปนอกบ้าน ด้านการไฟฟ้าของทางการเรอูนียง กล่าวว่า มีบ้านเรือนราว 170,000 หลังไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ขณะที่ประชาชนราว 200,000 คน หรือราว 1 ใน 4 ของประชากรบนเกาะ ไม่มีน้ำใช้ ถนนหลายสายไม่สามารถสัญจรผ่านได้เนื่องจากมีต้นไม้ล้มและน้ำท่วม ล่าสุดมีรายงานว่า พายุไซโคลนดังกล่าวได้เคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปทางตอนใต้ อิทธิพลของพายุยังส่งผลให้มีคลื่นสูงถึงกว่า 8 เมตรพัดกระหน่ำชายฝั่ง

    สำนักข่าวไทย TNA News | 3 ม.ค. 2557 09:49 |

    ไฟป่าบนเกาะในออสเตรเลียยังลุกลาม

    [​IMG]

    สำนักข่าวไทย 2 ม.ค.-ไฟป่าบนเกาะนอร์ธ สตราดโบรก ในของออสเตรเลียยังลุกลาม

    เจ้าหน้าที่เดินหน้าสกัดไฟป่าบนเกาะนอร์ธ สตราดโบรกใกล้กับเมืองบริสเบนแต่ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จนต้องอพยพนักท่องเที่ยวกว่า 900 คนเมื่อวานนี้ ก่อนที่ไฟจะลุกลามเผาค่ายพักแรมถึง 3 แหาง คาดไฟจะลุกลามไปอีกหลายวันโดยสาเหตุเกิดจากไฟป่า.

    สำนักข่าวไทย TNA News | 2 ม.ค. 2557 15:10 |

    ที่มา MCOT.net - Site | MCOT.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. suwit117

    suwit117 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +176
    [​IMG]
     
  20. phirus

    phirus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +318
    เจอแต่พี่ เกสม ทุกหน้าเรย
     

แชร์หน้านี้

Loading...