Post- Mortem ขอสวยสักครั้งก่อนตาย

ความอาลัยอาวรณ์ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของบุคคลใน
ครอบครัวนั้นมีปรากฏให้เห็นในทั่วทุกมุมโลก ทุก ยุคทุกสมัย
ทุกวัฒนธรรม ดิฉันเคยนำเสนอกระทู้เรื่องราวการนำศพ
และโครงกระดูกของบุคคลที่เสียชีวิตมาทำเป็นเป็นเฟอร์นิเจอร์
ตกแต่งโบสถ์ วิหาร ในประเทศต่างๆทางยุโรปไปแล้ว
แต่ก็ต้องลบกระทู้ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเป็นภาพถ่ายวิว
ทิวทัศน์ทางยุโรปซึ่งที่ดิฉันถ่ายเองแม้จะมีแต่วิวไม่มีคนก็เถอะ
คุณแม่ไม่ชอบให้เราเปิดเผยตัวตน
และเที่ยวเอาอะไรเกี่ยวกับตนเองไปให้คนอื่นรู้ เอาเป็นว่ากลับเข้าเรื่อง
"Post- Mortem" ภาพถ่ายความงามของวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ต่อ.....

Post- Mortem photography เป็นการถ่ายภาพที่ได้รับ
ความนิยมมากในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 หรือ ยุควิคตอเรีย
ของประเทศทางฝั่งยุโรปและอเมลิกา นิยมทำกันในหมู่คนมีเงิน
เพื่อเป็นที่ระลึกถึงคนในครอบครัว
ที่เสียชีวิต เพราะในสมัยนั้นคนเราไม่ได้ถ่ายรูปกันบ่อยๆ
จะต้องมีการเรียกช่างถ่ายรูปมาถ่ายกันที่บ้าน ด้วยเหตุนี้เอง
บ่อยครั้งทีเดียวที่ พวกเด็กๆและ เด็กวัยรุ่น มักจะยังไม่มีภาพ
ถ่ายของตัวเอง ครั้นเมื่อเกิดการเจ็บป่วย หรือ ได้รับอุบัติเหตุ
ตายลงอย่างกระทันหัน จึงได้มีการเชิญช่างให้มาถ่าย
ภาพผู้ตายเอาไว้เป็นที่ระลึกและพิมพ์แจกให้แก่บรรดาญาติพี่น้อง
สมาชิคในครอบครัว ทำให้ ภาพถ่ายแนวนี้ส่วนใหญ่ที่มีตก
ทอดมาจนถึงปัจจุบันจึงมักเป็นภาพของคนอายุน้อยเช่นเด็กเล็ก
หรือ หญิงสาววัยรุ่น แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่มีการถ่ายภาพ
คนมีอายุ หรือ วัยกลางคนที่มีฐานะและชื่อเสียทางสังคมสูง
เช่น ท่าน บิชอพ แห่ง ซีเรีย จะถูกจัดท่าทาง ให้เปิดตา
และโพสต์ท่า เสมือนคนมีชีวิต และนั่งบนบัลลังค์เป็นประธาน
ในงานศพของตนเองเพื่อให้คนถ่ายภาพ

ความน่าพิศวงและน่าขนพองสยองเกล้าของการถ่ายรูปแนวนี้
อยู่ที่การนำคนตายมาจับโพสต์ท่า เปิดตา ทาแก้ม ให้เสมือน
ยังมีชีวิต เช่นถ้าเป็นเด็กๆ ก็มักจะจับให้นั่งทำท่าเล่นตุ๊กตา หรือ ของเล่น
มีการจับศพหญิงสาวให้แต่งกายด้วยชุดสวยงามราวกับเจ้าหญิง
และโพสต์ในท่ายืน โดยการมีขาตั้งล็อคใต้ชุด แบบตุ๊กตาบาบี้
ทำให้ศพยืนได้ และผูกมือด้วยลวด ให้ทำมือแบบที่ดูธรรมชาติ
คล้ายคนเป็น นอกจากนี้ศพของผู้ตายยังถ่ายคู่ในท่า โอลไหล่
หอมแก้ม กับคนในครอบครัวที่มีชีวิต



Post- Mortem สองพี่น้องภาพนี้ขึ้นชื่อว่ามีการจัดฉากได้สวยงาม
สมบูรณ์แบบ ดูแล้วเป็นเทพนิยายเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีกลิ่นศพลอย
คลุ้งออกมานัก ลองทายดูซิว่า คนไหนคือนางแบบ (ศพ) ตัวจริง ของภาพ?











ภาพเด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตด้วยโรคร้ายถูกจัดให้นอนหลับ
พริ้มกอดตุ๊กตาเสมือนเด็กที่นอนหลับธรรมดา

















ศพเด็กผู้หญิงถูกจับให้โพสต์ทำท่านั่งเล่นตุ๊กตา






หญิงสาวลูกคนมีตระกูลซึ่งตายแล้วแต่ถูกจับให้โพสต์ในท่ายืน
ลองสังเกตขายันเหล็กที่ล็อคตัวของเธอไว้ใต้ชุดกระโปรง
ให้ยืนได้แบบเดียวกับตุ๊กตา





ภาพเด็กผู้หญิงกอดแม่ อันนี้คงเดาได้ไม่ยากว่าใครคือนางแบบตัวจริง






พี่ชายกะน้องสาว ดูคงไม่ยากว่าใครคือ น้องซอมบี้
เพราะน้องนั้นทำหน้าเย้เก เอาเรื่องอยู่ทีเดียว ทีต้องไปยืนข้าง
ๆศพพี่ชายที่เอามือโอบ






ภาพนี้ดูแล้วออกแนวหลอนๆ บ่อยครั้งถ้าศพเปิดตาไม่ได้และ
กลายสภาพความเสื่อมเร็ว เช่นในการตายของคนที่ป่วยเป็นโรค
ช่างภาพจะทำการแต่งฟีล์มวาดตาลงไปที่ฟีล์มด้วย ให้ตาเปิด






เด็กโดนจับโพสต์ท่านั่งแล้วเปิดตา อืม ศพมักไม่มีแวว
ความสดใสในดวงตาและรอยยิ้ม










เจ้าสาวผู้โชคร้ายก็ตายเช่นกัน เธอถูกจับให้โพสต์เหมือนคน
ยังมีชีวิตแต่ดู ตำแหน่งการวางมือก็คงรู้ว่าเธอตายไปแล้ว


















อันนี้ก็มีฐานล็อคใต้ชุดให้ยืนได้เช่นกัน ลองสังเกตมือ
ที่วางบนโต๊ะ ถ้าคนยังไม่ตายเราต้องเอามือ เท้าโต๊ะจริงไหม?





ทายดูซิว่าใครคือน้องซอมบี้ตัวจริง?








ดิฉันไม่เข้าใจความหมายของการโพสต์ของนางแบบรูปนี้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอเองก็เป็นศพเช่นเดียวกัน บางทีอาจจะเป็นการพยามทำให้เธอยิ้มถ่ายรูป




















สังเกตมือ ....









รูปนี้เห็นแล้วเศร้าๆ ภาพ สาม พ่อ แม่ และลูกสาว สายตาเธอที่เปิด
และไร้แววความมีชีวิตอันเนื่องมาจากป่วยตายนี้ ทำให้ดิฉันนึก
ถึงคนรู้จักที่รักมากที่สุดในจักรภพที่ตายไป ท่าเหมือนกันเป๊







หนูน้อยป่วยตายเป็นโรคบวม ยืนคู่กับมารดา

 

เส้นเกศาของพระนางมารีอังตัวเน็ตที่ถูกบั่นพระเศียรด้วยกิโยติน
ในจี้สร้องคอ พฤติกรรมการเก็บรักษาความทรงจำของคนตาย
ที่เรารักของชาวตะวันตกนั้น เหมือนดิฉันไม่มีผิดคะ ตัดทั้งผม
เก็บทั้งรูป ใส่ จี้รูปหัวใจเปิดปิดได้ ทำจากแก้วเขียนสีเพ้นท์รูปดอกไม้
ของแบรนน์ เอมมิรี่ โรส ไว้ห้อยคอ เวลาไปไหนเขาก็อยู่กับเราตลอด

































ทายซิว่าคนไหน









หนูน้อยคนนี้ก็สีแขนเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว






















รูป น้องหมาอันเป็นที่รักที่ลาโลก ก็ขอมาทำสวยในภาพถ่ายเช่นกัน
นี้แหละข้อดีของการถ่ายภาพ ที่เราสามารถสตาฟวันเวลาให้คงที่
ความสุขที่เคยมี ทั้งหมด ไม่มีวันตายบนรูปถ่าย























ทายซิว่าคนไหน



















นี้ก็อีกเช่นกันมีการจัดฉากสวยงามเมือนไปถ่ายรูปเทพนิยาย
ในสตูดิโอ เด็กสาวคนนี้ก็มีฐานล็อคให้ยืนเหมือนตุ๊กตาเช่นกัน





ส่วนหนูน้อยคนนี้ก็เช่นกัน

























ปัจจุบันการถ่ายภาพแบบนี้ยังเป็นที่นิยมทำกันอยู่ตามความเชื่อศาสนาในประเทศ
ที่เคร่งศานาเช่นใน ทางยุโรปตะวันออกและ อเมลิกาใต้ จะมีตากล้องชื่อดังที่รับถ่ายภาพแนวๆนี้
ดิฉันเองอาศัยอยู่ในประเทศทางตะวันตกและเคย เข้าพิธีฝังศพที่มีการแต่ง
ศพลักษณะเช่นนี้มาก่อนรวมทั้งได้รับเกียรติ จากญาติของผู้ตายให้ช่วยแต่งผม
& แต่งหน้าศพ แต่ ขั้นตอนการ เปลี่ยนชุด ทำความสะอาดต่างๆ
ไปจนถึงจัดท่าทางมีตุ๊กตา ฯ อันนั้นจะมีบริษัทรับจัดงานศพเป็นผู้ทำให้ทั้งหมด




[MUSIC]http://k007.kiwi6.com/hotlink/xsmu14xoum/Ophoi_Louisa_John-Krol_-_Cavern_Of_Dreaming_Shells_I_Hear_The_Water_Dreaming.mp3[/MUSIC]

 

เค้าตกแต่สวยดีนะครับและก็ดูผ่านๆตาค่อนข้างดูยากนะครับ
ว่าตายหรือยัง..แต่ปกติส่วนตัวจะสังเกตุดูส่วนภพภูมิบางกลุ่ม
ที่อยู่บนจุดใดจุดหนึ่งบนใบหน้าที่ไม่เหมาะสมที่จะพูดตอนนี้
ถึงหลักสังเกตุและวิธีการดู.
และปกติก็ไม่ค่อยชอบดูครับนอกจะว่าจะเกลียดหนังหน้าใครบาง
คนแล้วก็ดูรูปเค้าเล่นๆเฉยๆครับว่าเค้าจะตายตอนไหน ๕๕๕ (ล้อเล่นครับ)
ถ้ารูป ญ คู่คือคนทางซ้ายที่น่าจะเปลี่ยนภพภูมิไปแล้ว
ผิดถูกไม่ทราบถือว่าเดาๆเล่นๆขำๆแล้วกันครับ...
ปล.ก็เดาๆขำๆอีกแระครับ

 

ต้องยกความดีให้ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีการถ่ายภาพเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เพราะบางทีรูปภาพ เหล่านี้ อย่างน้อยคงช่วยคลายความคิดถึงและอาลัยอาวรณ์บุคคลอันเป็นที่รักของเค้าเหล่านั้นได้บ้าง (แถมยังทำให้คนในยุคนี้รับรู้เรื่องราวของผู้คนในยุคก่อนๆได้อีก) แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความทรงจำและสัมพันธภาพดีๆ ระหว่างกัน ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะไม่รู้ว่าจะตายจากกันเมื่อไหร่ <O</O

 

ชอบกระทู้คุณทุกกระทู้เลยนะ เราชอบอะไรๆแนวคุณมากจริง

 

ความจริงดิฉันพิมพ์ตอบคุณนพพกานต์ไปแล้วทีนึงคะ
แต่ไม่รู้เวปเป็นอะไรของมัน บางทีรำคาญตรงนี้แหละ พิมพ์แล้วหายหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดิฉันไม่มีคีบอร์ด ต้องพิมพ์ในกูเกิ้ล ทำให้ช้ามาก
และ เรื่องที่พิมพ์ มันเป็นการบรรยายใส่ภาพ ถ้าหายทีแล้วต้องมา
พิมพ์ใหม่นี้ แย่เลยคะ .....ถูกต้องคะ คนซ้ายคือน้องซอมบี้คะ

ที่ต่างประเทศ ไม่เพียงแต่ในยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่นด้วย เขาจะมีศิลปินส์
ที่คอยแต่งหน้าศพให้สวย จับแต่งตัวเหมือนพวกที่เค้าไปถ่ายสตูดิโอ
ชุดเจ้าสาว ชุดโบราณต่างๆ แต่ในกรณีนี้คือศพ คะ
งานศพที่ต่างประเทศนั้นต่างจากเมืองไทย เพราะฝรั่งนั้นให้สำคัญ
เรื่องความรัก มากกว่าการปลงสังขาร และปล่อยวางให้คนตายไปสู่สุขติ
อย่างคนที่เป็นมะเร็ง จะมีการพาบริษัทรับจัดงานศพมาที่บ้าน
มีการให้คนป่วยบอกความต้องการ ถึงสิ่งที่ตนปรารถนาจะให้เกิด
ขึ้นในวันตาย เลือกการ์ดเชิญ มีแคทตาลอก โรงศพแบบต่างๆเช่น
ของผู้หญิง ก็จะมีการบุนวมด้วยผ้าซาตินสีชมพู มีลูกไม้ มีลวดลายที่ตัวโลง


มีการเลือกชุดที่ใส่ อย่างน้องสาวของเพื่อนชายที่เสียชีวิต
ก็มีตุ๊กตาตัวโปรดอายุเท่าชีวิตเธอ คือ สิบเก้าปีถือไว้ในมือ ขณะอยู่
ในโลงด้วย และสวมชุดคลุมสีขาวคะ เธอตายก่อนเขาหนึ่งอาทิตย์
และเพลงประกอบ สไลด์ฉายในงาน ขนมเสิร์ฟแขก พูดถึงตรงนี้ทำ
ให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์แย่ๆเมื่อ ปีก่อน ฝรั่งเขาถึงเรียกการ
พรีเซิร์ฟ ความทรงจำเกี่ยวกับคนตายเหล่านี้ว่า โมเมนโต้โมรี่
Memento Mori คะ แต่ดิฉันไม่คิดว่าตัวเองจะอยากข้ามพ้นไปได้
เพราะใจเราไม่อยากจะลืมต่างหาก อืม กลับเข้าเรื่อง
ภาพถ่ายความตายกันต่อ ....



ภาพนี้เป็นอีกหนึ่งภาพที่ มีการจัดแต่งให้คนตายแลดูมีชีวิต
ชีวาคล้ายคนเป็นมาก















ภาพถ่ายสองสามีภรรยา ลองทายกันดูคะว่าใครคือน้องซอมบี้ในภาพนี้






ลองสังเกตดู อาจจะเห็นได้ว่าคนตายนั้นไม่มีแววตาความสดใสมีชีวิตชีวา
จากประสบปารณ์ส่วนตัวทีคลุกคลีกับศพของชาวฝรั่งที่เพิ่งตาย
จะเห็นความแตกต่างกับศพของชาวไทยอย่างนึงคะ คือ ศพฝรั่ง
ที่ตายไปแล้วถึงห้าชั่วโมงจะเริ่มมีผิวพรรณออก ฟ้าม่วงๆ มีเส้นเลือด
สีฟ้าเห็นชัดขึ้นที่ฝ่ามือ และฝ่าเท้ากับใบหน้า ในขณะที่ศพของคนไทย
จะออกเหลืองดำ อีกข้อที่สังเกตคือ คนทุกคนเวลาตายใบหน้าจะดูใหญ่ขึ้น
หรือดูอ้วนขึ้นกว่าใบหน้าเดิมตอนมีชีวิต ในกรณีฝรั่งอาจดูยาก
เพราะโครงหน้าผอม แต่ ก็จะดูมีแก้ม คางกลมขึ้นมา ในขณะที่ศพ
คนเอเชียหน้าจะบวมจนเห็นได้ชัดว่าผิดสัดส่วน ปาก คนตายมัก
จะห้อยด้วย และ แก้มกับใบหน้าดูยาน บานออกด้านข้างเพราะ
ไม่มีพลังงานชีวิต เลี้ยงเนื้อหนังให้เด้ง คงรูป นั้นเอง ดังนั้นการทำ
ให้ศพดูสวยคงสภาพจนวันฌาปนกิจ ก็ควรเอาใส่ในโลงเย็นคะ






ลองสังเกตใบหน้าของเธอคนนี้ซิ มันขาดพลังงานชีวิต ซึ่งเห็น
ได้จากแววตา เพราะเธอคือ ศพ คะ อีกอย่างเรามีวิธีการสังเกต
คนมีชีวิตที่จะอายุสั้นด้วยคะ เวลา พวกเขาถ่ายรูป จะมีแววตา
แบบ หญิงสาวศพคนนี้ อีกประการพวกที่ตายเร็วจะไม่มีติ่งหูคะ
หรอ ถ้าตายตอนวัยกลางคนจะมีติ่งหู แต่ติ่งหูดูขมวด ไม่สวย
คือ หน้าอาจจะสวย แต่หูไม่สวย (พวกคนที่อายุสั้น)













คนไหนน๊า....






ลองเทียบดูกับภาพโบราณของคนเป็นคะ
เราเห็นพลังงานชีวิตที่มันพราวออกมา

















แถม ภาพถ่ายโบราณของเจ้าหญิง อินเดีย สมัยก่อน

 

คุณ DuchessFidgette เข้าใจหาภาพมาให้สมาชิกได้ชมกัน ผมยังไม่เคยรู้ว่า มีการถ่ายภาพแบบนี้ด้วย

 

มาเทียบดูกับภาพถ่ายโบราณของคนเป็นในสมัยนั้น
เช่นภาพเด็กผู้หญิงอุ้มตุ๊กตาอิซานน่า วอลเกอร์ ดอล
























































ส่วนรูปนี้น้องซอมบี้คะ (ศพ)







ทายซิแม่หรือลูกที่ตาย

 

มาดูสุดยอดภาพถ่ายแนว Post Mortem






มาดูสุดยอดภาพถ่ายแนว Post Mortem
ที่ว่าโพสต์ได้หลอนราวกับว่ามีชีวิต









ชอบเล่นตุ๊กตาเหมือนดิฉันเลย




































































รูปนี้ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่บ้าที่สุดต้องเป็นเด็กเล็กๆ
ในภาพนี้ที่ถูกจับให้ถ่ายรูปคู่กับมารดาซึ่งไร้ชีวิต

 

ศพนั้นจะมีตาลอยและไร้แวว


เชื่อไหมว่านี้คือคนตาย?




สังเกตใบหน้าของเด็กผู้หญิงเริ่มบวมๆ



















ตายแล้วแต่ก็ยังคงความงาม





ภาพนี้ถ่ายในปี 1900 ลองทายดูว่าคนไหนคือน้องซอมบี้




คนไหนเอ่ย

 

หนทางของการถ่ายภาพแนว Post Mortem ในยุคปัจจุบัน






สำหรับในยุคปัจจุบันนั้น ในประเทศทางตะวันตกก็ได้มีศิลปปินส์
มากมาย และผู้คนที่สนใจสะสมภาพถ่ายแนวนี้เอาไว้เป็นไกล์ไลน์
ในการฝึกปลงสังขาร มีศิลปปินส์มากมายที่หันมารับทำงานถ่าย
ภาพความทรงจำอันสวยงามสุดท้ายให้แก่ศพ นอกจากนี้ยังมีการ
ทำเป็นสมุดบันทึก หนทางไปสู่ความตายของบรรดาลูกค้าที่สนใจ
ที่จะเป็นที่จดจำในหน้าประวัติศาสตร์อีกด้วย ผู้ที่ใช้บริการ
การถ่ายภาพแนวนี้โดยมากจะเป็นผู้ป่วยเรื้อรังที่มีกำหนดว่า
จะต้องตายแน่เช่น โรค มะเร็งที่ไม่มีทางรักษา พวกเขาปรารถนา
ที่จะให้ชีวิตที่หลงเหลือในระยะนี้เต็มไปด้วยความสวยงามที่สุด

ศิลปินจะถูกเชิญมา สนธนาด้วยตั้งแต่ที่ผู้ป่วยที่ประสงค์จะทำ
สมุดบันทึกเรื่องราวความตายของเขา ยังมีชีวิตอยู่และใกล้ตาย
นอนซมอยู่บนเตียง ผู้ป่วยจะถูกถ่ายภาพลงในหนังสือเรื่องราว
ของตนเองตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ และจะได้รับสิ่งที่พวกเขาขอ
เช่นการพบคนที่เขาอยากเจอ การได้สิ่งที่อยากได้ และ ความ
ประสงค์ในวันสุดท้ายของความตาย คือ มีภาพถ่าย ชุดเสื้อผ้า
ทรงผม และงานเลี้ยงส่งเปลี่ยนภพภูมิ ที่งดงามตามอย่างที่ใฝ่ฝัน

Walter Schels & Beate Lakotta สองสามีภรรยา
ชาวเยอรมันชื่อดังที่ เป็นผู้คิดริเริ่มการนำภาพถ่ายแห่งความ
ตายสมัยวิคตอเรียมาฟื้นฟู ทำกันอีกครั้งในฝั่งยุโรป
ได้บอกเล่าเรื่องราวว่า ตัวสามีนั้นมีอายุเกิดทันในช่วงสงคราม
และเขาเห็นการตาย และระเบิดถล่มถลายไปทุกหนทุกแห่งทำ
ให้เขามีความฝังใจเรื่องการตายและความสูญเสียมาตั้งแต่เป็น
เด็กเล็กๆ จึอยากจะให้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ทำบันทึกการตาย
ด้วยเรื่องราวจากภาพถ่ายเอาไว้ แต่ให้ทำอย่างสวยงาม
ที่สุดเพื่อเป็นตัวอย่างสอนแก่คนในครอบครัวและคนอื่นๆ
ที่มาอ่านจะได้เรียนรู้วิธีการเตรียมตัวตายอย่างสงบ
และไม่ต้องรู้สึกช็อค เมื่อวันนั้นของตนเองมาถึง


ภาพถ่าย ของคนยุคปัจจุบัน












Post Mortem สมัยยุคศตวรรษที่ 19-20












ลองเดาดูคะว่าคนไหน











รูปนี้เด็กน้อยโดนจับให้ถ่ายบนตักมารดาที่เสียชีวิต














































เห็นฐาน ตัวเด็กให้ยืนไหม?

 

ลองเดากันว่าในนี้คนไหนคนตาย คนไหนคนเป็น








































สังเกตเหล็กเส้นที่รัดตรงข้อมือเด็ก





เห็นขาตั้งด้านหลังไหม? สองคนเลยรูปนี้

 

บางรูปทายไม่ถูกเลยค่ะ อย่างถ้าเป็นรูปหมู่หลายคน บางทีดูแทบไม่ออก ช่างภาพสมัยนั้นฝีมือ (ล้วนๆ ) จริง ๆ เพราะไม่มีโปรแกรมคอมพ์ช่วยตกแต่ง
นอกจากดูที่แววตาแล้ว อาจจะดูกิริยาท่าทาง การวางมือ ลักษณะการนั่ง การยืน ดูแล้วบางรูปคนตายก็เหมือนคนเป็น คนเป็นก็เหมือนคนตาย

 

ปีใหม่ 2557 นี้ ขอให้คุณดัชเชส

สวยนิรันดร์ จนวันตาย

 

ยังไม่ได้อ่านเนื้อหา เปิดมารูปแรกก็งานเข้าละ

Sense บอกว่านี่คนตาย มาอ่านเนื้อหาข้างล่างยิ่งตกใจ

 

เดี๋ยวว่างๆจะหามาให้ชมอีกคะ พูดเรื่องนี้ทีไร ได้โมโหเล็กน้อย
เพราะดิฉันก็มีรูปโบราณพวกนี้ของแท้สะสมอยู่เหมือนกัน
แต่ก็โดนคนอื่นเอาไป เอาไปเฉยๆจากบ้านของดิฉัน
คนพวกนี้จะต้องได้รับกรรมสนองคืนโดยเร็ววัน




























อันนี้ไม่ใช่รูปคนตายแต่สวยดีจึงนำมาให้ดู





ฝาแฝดตัวติดกัน





ขาเทียมสมัยโบราณ

 

สุดยอดมากๆ ขอชื่นชมมากๆ จริงๆ เพิ่งได้เคยเห็นเป็นครั้งแรกในช่วง ๖๕ ปี ของชีวิต ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ขอขอบคุณ และขอให้คุณ Duchess มีความสุขตลอดปี ๒๕๕๗ ค่ะ

 

ตายแล้ว ก็ยังสวย

 

ถ้าทางฝั่งเอเชีย อันนี้ คนที่เค้าอยู่ญี่ปุ่นเล่าให้ฟังว่าบริษัทรับจัด
งานศพจะแต่งหน้าเก่งมากมีเท็คนิคทำให้หน้าศพดูคล้ายคนจริง
แต่ถ้าทางตะวันตกจะเน้นพรีเซิร์พที่ตัวศพเอง หลายที่มีการ
รักษาศพให้คงสภาพด้วยวิธีธรรมชาติปนสารเคมี แบบของ
หนูน้อย โรซาเลีย แห่ง ปาเลอโม เขาจะมีตระกูลที่เก่งด้าน
รักษาศพให้เสมือนคนได้มากที่สุด อย่าง ท่านผู้หญิง
อีวิต้า เปอร์รองซ์ ผู้นำอาเจนติน่า ศพ ท่านก็จะมีการนำมา
ดูแลบำรุงทุกปีให้คงสภาพใกล้คนจริงมากที่สุด ตอนเธอมีชีวิต
อยู่ก็สวยมาก แต่จากความคิดเห็นส่วนตัว


คนที่ตายแล้วศพสวย
ตอนมีชีวิตอยู่จะมีลักษณะดังนี้

1.) รูปร่างผอม

2.) ไม่ได้ป่วยตายหรืออุบัติเหตุ ยิ่งเป็นการบังคับตาย
เช่น ใช้มอร์ฟีน ปม ให้หยุดหายใจไปเอง

3.) ถ้าเป็นผู้หญิง ตอนมีชีวิตอยู่เป็นคนเนี้ยบ
โกนขนทุกส่วนทั้งร่าง บางศาสนาเช่น อิสลาม
ศาสนาทางนั้นบังคับโกนขนทุกส่วนใน ร่างกาย ทั้งหญิงและชาย
ถ้าเป็นชายมักเป็นชาวตะวันตกที่ขนตามตัวเส้นเล็กสีอ่อน

4.) ไม่ปล่อยให้ศพดีคอมโพสนานเกินหนึ่งชั่วโมง เพราะห้่าชั่วโมง
ศพจะเริ่มบวมๆแล้ว และสีเปลี่ยน

5.) การรับประทาน อาหารที่แห้งเช่นเปลือกไม้ สมุนไพร
ไม่ทานเนื้อสัตว์ ศพจะมีความแห้งและไม่เน่า

 

นักบุญแบร์นาแด๊ต ( พรหมจารี ) ศพที่สวยที่สุดในโลก

นักบุญแบร์นาแด๊ต ( พรหมจารี )
St. Bernadette Soubirous
ค.ศ. 1844-1879

แบรนาแดต ผู้ได้เห็นแม่พระที่ลูรด์ เธอได้บวชเป็นแม่ชี และเสียชีวิตเมื่ออายุ36ปี แต่สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเธอไม่ได้หยุดแค่การได้เห็นแม่พระ แต่ร่างกายของเธอไม่เน่าเปื่อยเลย และเป็นศพไม่เน่าเปื่อยที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก เพราะไม่ได้แห้งแข็ง เป็นมัมมี่ เหมือนศพไม่เน่า ที่มีโอกาสเกิดได้ตามธรรมชาติ แต่สภาพเธอยังสดสวยงามราวนอนหลับเช่นนี้มานานกว่า100ปีแล้ว

แต่ใครจะ ทราบว่า หลังจากเสียชีวิตและฝังลงดินตามธรรมดาไป40ปี เมื่อขุดศพเธอขึ้นมา เธอจะยังสดสวยงดงาม ราวกับเพิ่งเคลิ้มหลับไปเมื่อวานนี้ และใครจะคาดคิดว่า ศพของเธอจะอยู่ยาวนานจนมีเทคโนโลยีเจริญจนได้ถ่ายภาพสี