ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    คือผมตั้งใจจะฝึกสติปัฐาน4อย่างจริงจัง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร อยากถามว่า หนังสือมหาสติปัฐาน4 ที่คุณดังตฤณเขียนไว้ สามารถเอามาเป็นแนวทางในการปฎิบัติด้วยตนเองจะได้ไหมครับ (คิดว่าท่านอาจารย์คงเคยอ่าน) หรืออาจารย์มีวิธีปฎิบัติด้วยตนเองช่วยแนนำวิธีให้ผมหน่อยนะครับ ข้อมูลเผื่ออาจารย์จะใช้ในการพิจารณา ว่าผมควรปฎิบัติตามแนวทางไหน ผมเกิดวันที่21สิงหาคน 2527 เวลาเกิดตี4.50 ปีหนู สนใจในธรรมะ และเคยไปเข้าคอร์สปฎิบัติธรรมของหลวงพ่อจรัญมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งละ7วัน

    ขอบพระคุณอาจารย์มากนะครับ

    คำตอบ
    ผู้ตอบปัญหามิได้เคยอ่านเรื่องสติปัฏฐาน 4 ของพุทธบริษัทท่านใด แต่ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์ที่ได้นำตัวเข้าปฏิบัติกรรมฐานกับท่านเจ้าคุณ โชดกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงรู้เห็นเข้าใจและเข้าถึง (สนฺทิฏฐิโก) ธรรมที่นำจิตเข้าสู่ปัญญาเห็นแจ้งด้วยตนเอง

    ฉะนั้น หากผู้ถามปัญหาประสงค์ นำจิตตัวเองให้เข้าถึงความมีดวงตาเห็นธรรมต้องหยุดอ่านหนังสือ แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติสมถภาวนาจนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่ว แน่ (อุปจารสมาธิ) ให้ได้ก่อนแล้วใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ไปพิจารณาร่างกาย จนเห็นสัจจธรรมว่าร่างกายประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มารวมตัวกันชั่วคราว มีแต่ส่งที่สกปรกไหลเข้าไหลออก และในที่สุดเมื่อดับสลายตามกฎไตรลักษณ์แล้วจะไม่เหลือร่างกายปรากฏให้เห็น ร่างกายจึงเป็นของว่างเปล่า ที่จิตเข้าอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว ผู้รู้เห็นสัจจธรรมของร่างกายว่าเป็นเช่นนี้ จึงไม่ยึดไม่จับเอาร่างกายมาเป็นของตน ปัญญาเห็นแจ้งในกายานุปัสสนากรรมฐานก็จะเกิดขึ้น ผู้ใดนำจิตไปพิจารณาร่างกายแล้วยังไม่เข้าถึงดวงตาเห็นธรรม ต้องนำเอาจิตหรือธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นองค์พิจารณา โอกาสมีดวงตาเห็นธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้ ดังเช่นพระสารีบุตร ต้องพิจารณาทั้งกาย และเวทนาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) จิตจึงบรรลุอรหัตตผลขณะอยู่ในถ้ำสุกรขาตะ เชิงเขาคิชฌกูฏ ซึ่งอยู่ต่ำกว่ากุฏีของพระพุทธะลงมาเพียงเล็กน้อย
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมสนใจการฝึกสมาธิมานานแล้วครับ แต่มีข้อสงสัยในการปฏิบัติครับ คือ ผมสงสัยว่า
    1. การฝึกสมาธินั้น ถ้าเราฟังเพลง พวกเพลงที่วัยรุ่นชอบฟังทุกวันนี้อะครับ แล้ว ก็ ดูละคร อย่างนี้ จะเหมาะสมไหมครับ แล้วจะมีผมต่อการฝึกสมาธิ มากน้อยเพียงใดครับ
    2. ผมเคยได้ยินว่าการฝึกสมาธิ ควรจะงดเว้นจากการพูดคุยให้มากที่สุด เพราะอะไรครับ


    คำตอบ
    (1) การปล่อยจิตให้ตกเป็นทาสของ เพลงที่ได้ยินด้วยหูและปล่อยจิตให้เป็นทาสของละครที่ดูด้วยตา การประพฤติทั้งสองอย่างนี้เป็นการเปิดโอกาสให้กิเลสเข้ามามีอำนาจเหนือใจทำ ให้จิตสั่งสมบาปมากขึ้น (โอ่งรั่ว) การปฏิบัติธรรมเป็นการเอากิเลสออกจากใจจึงทำได้ยากขึ้น

    (2) ผู้ถามปัญหาได้ยินไม่ถูกตรง ผู้ที่ได้ถูกตรงได้ยินว่าให้เว้นการพูดคุยด้วยถ้อยคำอันขวางต่อทางพระนิพพาน (ติรัจฉานกถา) เช่น เว้นการพูดคุยในเรื่องของพระราชา เรื่องของโคจร เรื่องของบ้านเมือง เรื่องของลักษณะชาย-หญิง ฯลฯ เพราะการพูดคุยอยู่แต่ในเรื่องเหล่านี้ทำให้จิตฟุ้งซ่าน และผู้รู้ได้ยินว่า ถ้อยคำที่นำมาพูดคุยแล้วทำให้จิตสงบ (กถาวัตถุ) เช่น พูดคุยเรื่องชักนำให้เกิดความมักน้อย พูดคุยเรื่องที่ชักนำให้จิตเป็นสันโดษ พูดคุยเรื่องที่ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ พูดคุยเรื่องที่ชักนำให้เกิดความเพียรฯลฯ เหล่านี้ควรที่นักปฏิบัติธรรมจะนำมาพุดคุยกัน
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันมีใจชื่นชอบธรรมมะ นั่งสมาธิบ้าง สวดมนต์บ้างแต่ไม่ได้จริงจังนัก พื้นฐานจิตใจเป็นคนฟุ้งซ่าน คิดมาก จมทุกข์จนบางทีซึมเศร้า แต่ก็ได้หนังสือธรรมมะกับการสวดมนต์ทำให้ดีขึ้นบ้าง ก่อนหน้านี้มีทุกข์หนักเข้ามาในชีวิต ปัจจุบันทุกข์นั้นก็ยังดำเนินอยู่ ดิฉันได้รับการแนะนำว่าถ้ามีปัญหา สิ่งที่เราต้องแก้คือใจของเราเอง ดิฉันจึงเริ่มหันมาปฏิบัติธรรมจริงจังขึ้นค่ะ แต่ขณะนี้มีปัญหา ดิฉันขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

    1 แต่ก่อนดิฉันสามารถกำหนดลมหายใจโดยรู้สึกสงบดี แต่เดี๋ยวนี้พอกำหนดลมหายใจทีไรก็ปวดหัว ครั้งล่าสุดที่ลองดูลมหายใจแล้วสลับกาย(เผื่อวิธีนี้จะไม่เพ่งลมหายใจมาก เกินไป) ก็ปวดหัว เนื่องจากปวดหัวมาหลายทีเลยลองทำต่อและสังเกตไปเรื่อยๆก็กลายเป็นปวดมาก ขึ้นๆ และกลายเป็นว่าพอกำหนดลมหายใจ หรือเพ่งกายก็กลายเป็นปวดขึ้นมา กระทั่งยอมแพ้เลิกทำแล้ว(หลังจากทำมาประมาณอาทิตย์กว่าๆ)ก็ยังปวดหัวอยู่ค่ะ

    2 แม้มีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น ดิฉันยังสามารถตั้งต้นฝึกใหม่ได้ใช่ไหมคะ อาการปวดหัวถือเป็นการฆ่าตัวตายทางวิปัสสนาเลยหรือเปล่า(กลัวจะกลายเป็น นิสัยปวดหัวติดตัวไปน่ะค่ะ) ยังฝึกได้ใช่ไหมคะ
    ปล.ดิฉันพยายามหาสาเหตุเหมือนกันว่าอาการปวดหัวเกิดจากอะไร บางทีคงเป็นความเครียด แต่ปกติแต่ก่อนกำหนดลมหายใจก็ไม่ยักเป็นอะไรเลยค่ะ


    คำตอบ
    (1) สวดมนต์บ้าง นั่งสมาธิบ้าง อ่านหนังสือธรรมะบ้าง จึงได้ผลบ้างเล็กน้อย เพราะปฏิบัติไม่จริงจัง ทำให้จิตมีกำลังของสติอ่อนไม่สามารถรับทันสิ่งกระทบที่ทำให้เกิดอารมณ์ปวด หัวได้

    ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหา ประสงค์จะให้ฝึกจิตได้ผลก้าวหน้าและปัญหาเรื่องปวดหัวหมดไป ให้เปลี่ยนองค์บริกรรมจากอาณาปานสติไปเป็นการบริกรรมแบบที่หลวงพ่อเทียนนำ ออกเผยแพร่

    (2) เมื่อฝึกปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ตั้งต้นฝึกใหม่ได้โดยเลือกวิธีฝึกที่เหมาะสมกับจริตของตน ก่อนฝึกจิตตภาวนาต้องทำใจให้มีศีลทั้งห้าข้อคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยาวนานแล้วมรรคผลแห่งการปฏิบัติธรรม จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้ที่มีพฤติกรรมเช่นนี้
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1.อยากทราบว่าถ้าเรามีจิตอกุศลคิดปรามาสพระสงฆ์ แล้วฉุกคิดได้ จำเป็นต้องไปขอขมาท่านถึงตัวหรือไม่ หรือแค่ระลึกถึงท่านและขอขมาท่านที่หัวนอนได้หรือไม่ (ท่านอยู่ไกล)

    2.อย่างกรณีถ้าอยู่ที่บ้านแล้วมีความคิดอกุศลโผล่เข้ามา คิดไม่ดีต่อพระ แล้วฉุกคิดได้ แบบนี้ต้องนั่งรถไปขอขมาท่านทุกครั้งที่คิดหรือเปล่าครับหรือ ขอขมาที่ใดก็ได้และฝึกสติให้มากให้รู้เท่าทันความคิด (เนืองจากปุถุชนยังมีสติไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถห้ามความคิดอกุศลได้100%)


    คำตอบ
    (1) ขอขมากรรมต่อหน้าพระรัตนตรัยดีกว่าขอขมากรรมที่หัวนอนเหตุเพราะความตั้งใจใน การขอขมาต่อหน้าพระรัตนตรัยมีมากกว่าความตั้งใจขอขมาที่หัวนอน

    (2) จะขอขมากรรมที่ใดก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้ขอขมา แบบไหนมีความตั้งใจมากกว่าให้ใช้วิธีการขอขมาแบบนั้น สำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อขอขมาแล้วต้องพยายามรักษาใจไม่ให้ความคิดปรามาสพระสงฆ์ เกิดขึ้นซ้ำอีก
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉัน ปฏิบัติธรรมสาย พุทโธ ค่ะ ขณะนี้ดิฉันมีปัญหา คือ
    1. เมื่อลงนั่งสมาธิได้สักครู่ จะมีน้ำลายเต็มปาก ดิฉันเกาะติดพุทโธ ต่อไป แต่น้ำลายก็ยังไหลมาเรื่อยๆ ดิฉันควรทำอย่างไรคะให้น้ำลายหยุดไหล เพราะทำให้เสียสมาธิมากค่ะ

    2. ปํญหาต่อมาคือ มีความง่วงจะเกิดขึ้นหลังจากนั่งสมาธิได้สักครู่อีกเช่นกันค่ะ ทั้งที่หลังจากออกจากสมาธิ ไม่มีความง่วงเหลืออยู่เลย ดิฉันควรทำอย่างไร จึงจะทำให้สมาธิก้าวหน้าได้คะ

    ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


    คำตอบ
    (1) ควรเปลี่ยนไปใช้บทกรรมฐานอย่างอื่น (ดูจากกรรมฐาน 40) มาใช้เป็นองค์บริกรรมแล้วไม่ทำให้น้ำลายไหล

    (2) ลองใช้วิธีแก้ง่วงอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่พระพุทธะแนะนำให้พระมหาโมคคัลลานะ ปฏิบัติดังนี้
    1. ให้พิจารณาลมหายใจเข้า-ออกให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
    2. หากยังไม่หายง่วงให้คิดพิจารณาถึงธรรมที่ได้ฟังหรือได้ศึกษามาจนขึ้นใจ
    3. หากยังไม่หายง่วงให้ท่องบ่นธรรมที่ฟังมาแล้วโดยพิสดาร
    4. หากยังไม่หายง่วงให้แยบหูทั้งสองข้างและเอาฝ่ามือลูบตามตัว
    5. หากยังไม่หายง่วงให้ยืนขึ้นแล้วเอาน้ำล้างหน้าและแหงนดูดาวในท้องฟ้าที่อยู่ ในทิศต่าง ๆ
    6. หากยังไม่หายง่วง ควรนึกถึงแสงสว่างในตอนกลางวันอยู่เสมอ
    7. หากยังไม่หายง่วง ควรเดินจงกรมโดยเอาใจจดจ่ออยู่กับเท้าที่ก้าวย่าง
    8. หากยังไม่หายห่วง ให้นอนตะแคงขวาแล้วบริกรรมจนกว่าจะหลับไป

    หมายเหตุ ผู้ตอบปัญหาแก้ง่วงด้วยการอาบน้ำ เอาน้ำล้างหน้า เอาน้ำราดศีรษะ และเดินจงกรมไม่หยุด ผลปรากฏว่าความง่วงหายไปการปฏิบัติธรรมได้ผลก้าวหน้า
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ต้องขอโทษที่จะต้องรบกวนให้อาจารย์มาสละเวลาเพื่อตอบคำถามน่ะค่ะ
    เนื่องด้วยหนูได้มีโอกาสไปฟังธรรมของอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
    เลยได้มีโอกาสรู้จักอาจารย์
    คือ หนูมีเรื่องจะสอบถามดังนี้น่ะค่ะ

    ทำไมหนูเป็นคนชอบร้องไห้
    เศร้าก็ร้อง สงสาร ฟังเรื่องต่างๆ ดูหนัง ยินดี ซาบซึ้งหรือปิติเมื่อได้ฟังธรรมก็น้ำตาซึม
    ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่อยากร้องไห้หรือน้ำตาซึม
    คนอื่นที่ไม่เข้าใจ ก็จะคิดว่าเหมือนแกล้งทำ แต่จริงๆ แค่นั่งฟังธรรม พอถึงตอนที่โดนใจ
    น้ำตาก็จะซึมออกมาไม่รู้ตัว

    ไม่ทราบว่าจะมีวิธีการยังไงไม่ให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ค่ะ
    รวมถึงหนูทำอะไร ทำไมต้องร้องไห้ตลอดด้วย
    เคยถามพระอาจารย์ปราโมทย์
    ท่านบอกว่าเป็นจริตของเรา ไม่ต้องแก้ และก็ไม่ต้องบังคับ
    แต่หนูไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าอ่อนแอค่ะ


    คำตอบ
    เหตุที่ยังร้องไห้ เป็นเพราะจิตมีเบญจธรรมข้อแรก (เมตตากรุณา) เป็นพื้นฐานของใจและมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง เมื่อมีสิ่งภายนอกที่เหมาะสมเข้ากระทบ จิตจะรับเอาสิ่งกระทบเข้าปรุงเป็นอารมณ์ให้จิตเกิดหวั่นไหวดังที่บอกเล่าไป ผู้ใดประสงค์จะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปต้องพัฒนาจิตให้มีสติรับทันสิ่งกระทบ และพัฒนาจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้ง จึงจะเห็นว่าสิ่งที่เข้ากระทบจิตไม่มีตัวตน จิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบ ไม่รับเข้าปรุงอารมณ์ให้จิตหวั่นไหวได้อีกต่อไป
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจกับการปฏิบัติอย่างจริงจังเป็นคนขี้เกียจทางธรรมและไม่มี ความรู้ ครั้งแรกได้ไปวัดทำสมาธิและจงกรมโดยมองแค่จิตตัวเองเฉย ๆเพราะสบายดีที่สุด เดินจงกรมได้วันที่ 7 เหมือนตัวลอยเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างอยู่ในตัว ให้ไม่ต้องเดินเอง แค่กำหนดจิตกายก็จะเดินเองให้อย่างสวยงามและจิตรับรู้ได้อย่างละเอียดทุก ขั้นตอน นอกจากนั้นกินดื่มทำพูดคิดแค่กำหนดจิตก็จะเหมือนมีคน(กาย)ทำให้เองทุกขั้น ตอนและมีสติรู้อิริยาบทกายใจทุกขณะ และจะบังคับให้ข้ามขั้นตอนอย่างรวดเร็วไม่ได ้บังคับไม่ได้ เมื่อกำหนดจิตแล้วกายวาจาใจก็จะต้องค่อย ๆ เป็นไปทุกขั้นตอนโดยมีจิตคอยรู้เอง แม้กินอาหารก็ยังเคี้ยวให้อย่างสวยงามและไม่มีรสชาตรู้สึกรสชาดเป็นเส้น เดียวเหมือนกันหมด ไม่อร่อยเลย มีพลังตลอดเวลาแม้นั่งก็เห็นเหมือนดวงอาทิตย์สีขาวมาส่องตรงหน้าจนรำคาญ นึกว่าตนเองบ้าจึงไปถามหลวงพ่อบอกว่าสมาธิเกิด จากนั้นจึงค่อย ๆ หายไปเอง แต่จะกลับมาเวลาที่ทำอะไรซำ ๆ กันจะรู้สึกมีพลังในตัวสามารถสั่งให้เขาทำแทนได้ รู้สึกเบื่อรำคาญและไม่สนใจ มันคืออะไรกัน

    2.ช่วงที่ 2 ได้ไปกับวัดประมาณ 5 วันแยกตัวไปนั่งสมาธิเดินจงกรมมองจิตเฉย ๆ รู้สึกข้างในตีกันมากไม่มีทางออก หลวงปู่สังวาลย์ซึ่งมานอนป่วยอยู่ใกล้ ๆ ฝากคำพูดลอย ๆ ว่าตามดูจิตกับพระมา เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวข้างในหมุนเป็นลูกข่างเลยสักพักก็หยุดรู้สึกเหมือน ก้าวหน้าไปหนึ่งขั้น แต่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่

    3.ไปวัดช่วงที่ 3 เดินจงกรมเห็นจิตตัวเองเวลามองหรือกายสัมผัสก่อนมาถึงใจที่สร้างให้ยึดถือ ไว้ซ้อนเป็นชั้น ๆ ประมาณ 5 ชั้น โดยแสดงให้เห็นเหตุตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนมาถึงใจที่ไปปรุงแต่งยึดเอาไว้เอง ย้อนไปย้อนมา แต่ก็จะเห็นอีกดวงหนึ่งแยกไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครและนิ่งสงบตลอด จากนั้นก็สังเกตุไปเรื่อย ๆ ก็เห็นมันดับเอง ดูไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเห็นดับชัดทันมั่งไม่ทันมั่งอย่างหยาบ ๆ ต่อมาก็เห็นตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นอย่างเดียวกันอย่างอยาบ ๆ ไม่มีสมมุติบัญญัติหรือการปรุงแต่งแต่ไม่ค่อยทันเห็นตอนเกิด สักพักก็เบื่อเลยเลิก

    4.ป่วยกระเซาะกระแซะแต่รู้สึกไม่อยากขาดทุนจากการป่วยจึงพิจาณายิ่งเห็นเกิด ขึ้นตั้งอยู่ดับไปไม่มีสมมุติบัญญัติหรือการปรุงแต่ง และมีพลังปวดเล็กน้อยถึงปานกลางมองแล้วค่อย ๆ ดับลงได้ แต่เนื่องจากทุกขเวทนาแรงกล้าจึงต้องหาหมอ เมื่อหายแล้วก็เลิกพิจารณาเพราะเบื่อไม่รู้จะเห็นไปทำอะไรได้

    5.ป่วยกระเซาะกระเซาะอย่างมากทุกขเวทนาสูงมากเกินกว่าคนปกติจะทนได้และเป็น เวลานาน ไม่ยอมไปหาหมอ จึงพิจาณาเต็มทีให้มันตายไปเลย เห็นเป็นเส้นหรือดวงๆไม่มีสมมุติบัญญัติหรือการปรุงแต่งเห็นเกิดขึ้นตั้ง อยู่ดับไปเหมือนเดิมแต่เร็วทัน จึงไม่เจ็บไม่ปวด สัดพักใหญ่จิตสงบเหมือนเดินออกจากบ้านที่คนในบ้านทะเลาะกันอยู่ สบายดี มันคืออะไรกัน

    6.รู้สึกว่าอะไรข้างในเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมันรวมตัวกันครั้งใหญ่ขณะกำลัง เดินอยู่บนถนนแล้วรวมลงประมาณเรียกว่าพับลงราบเป็นหน้ากลอง ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง ใจรู้สึกบอกไม่ถูก ไม่มีอะไรเลย ทั้งที่ตายังเห็นถนนตึกรามบ้านช่องอยู่ปกติ จากนั้นรู้สึกเหมือนข้างในทำงานเองจับกิเลสหยาบ ๆ ดับลงฟับทันที ไม่เหลือเลย แต่ก็รู้สึกยังมีอีกมากมายข้างใน ยังมีงานต้องทำอีกเยอะ มันคืออะไรกัน

    7.กายสบายดีแล้วแต่ข้างในเป็นหนักข้อขึ้นเรื่อยจนสังเกตุได้ว่าข้างในโทสะ ตัดเร็ว ดับแล้วไม่เหลือ ข้างในความผูกเวรอาฆาตพยาบาทน้อยมากแทบไม่ให้ผล ความยึดถือตัวตนน้อยลง ปัญหาอยากยึดก็ยึดไม่อยากยึดก็พิจารณาแล้วดับยกเว้นตอนตามกิเลสไม่ทันถึง ฟุ้งมาก แต่พบข้อเสียไม่มีสติไม่ได้ทำสติไว้ในการทำการงานความจำ ผ่านแล้วมันดับให้เลย เหมือนคนขี้ลืมมาก จะแก้อย่างไรคะ

    8.ช่วงที่เพิ่งผ่านมาเห็นข้างในเกิดดับ ๆ มากจนน่าเบื่อและรำคาญสุด ๆ ไม่รู่ทำอย่างไรถึงจะพ้น ทรมาณจนแทบจะร้องกรีด ๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยดูแต่ผิว ๆ จนนอนไป รุ่งเช้าสบาบดีมันไม่มายุ่งกับชีวิตมากจนถึงปัจจุบัน จะทำอย่างไรต่อไปดีคะ

    9.สิ่งที่ข้าพเจ้าประสบมาดังกล่าวนั้นเป็นสัมมาหรือมิฉาทิฐิใช่หรือไม่ตรง ไหนอย่างไรบ้าง แล้วจะเดินไปอีกอย่างไร นอกจากนั้นหากข้าพเจ้านึกสนุกอยากเพ่งกสิณ อ่านจิตใจผู้อื่น มีฤทธิ์ จะได้หรือไม่ ทำอย่างไร

    10. ทำไม่เหมือนรู้สึกข้างในอยากที่จะช่วยคน ที่ยิ่งใหญ่ ให้ได้มาก ๆ ตลอดตั้งแต่เล็ก แม้ทั้งที่ตนเองก็ประสบกับปัญหาและอุปสรรคมากและหนักพอสมควร

    คำตอบ
    (1) ที่บอกเล่าไปทั้งหมดเป็นผลงานของจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิที่ยังไม่นำไปสู่ การเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ความเบื่อความรำคาญความไม่สนใจ (โมหะ) ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น

    (2) ที่หลวงปู่สังวาลพูดนั้นถูกแล้ว อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดับจิตจะตีกันยุ่งตุงนังอย่างไร ในที่สุดหนีไม่พ้นกฎไตรลักษณ์ คือเข้าสู่ความเป็นอนัตตา เหมือนกับการหยุดลงของลูกข่างนั่นแหละ สรรพสิ่งที่อุบัติขึ้นกับจิตดับไปทุกเรื่อง ผู้ใดเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) เป็นไปเช่นนี้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ปัญญาเห็นแจ้งในสรรพสิ่ง

    (3) ผลของปฏิปทาที่เกิดขึ้นในช่วงที่สามนี้ มาถูกทางแล้วให้ดำเนินต่อไป ด้วยการเอาจิตความเพียรและสัจจะ มาเป็นเครื่องสนับสนุนใจ เพื่อให้ผ่าแรงต้านของกิเลสสมาร (เบื่อและเลิก) ให้ได้ แล้วความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมก็จะดำเนินต่อไปได้

    (4) ทุกขเวทนาจะแรงกล้าอย่างไร ก็ยังแรงไม่เท่าพลังจิต ของผู้มีสติและมีปัญญาเห็นแจ้งไปได้ จิตที่มีสติสัมปชัญญะกล้าแข็งไม่สะดุ้งสะเทือนหรือหวั่นไหวต่อทุกขเวทนาใด ๆ ทำไมไม่เดินหน้าต่อไป หรือว่าจะยอมต่อขันธมารเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เอาใจไปสยบเป็นทาสของมารไปตลอดชีวิต

    (5) สิ่งนั้นคือปัญญาเห็นแจ้งในทุกขเวทนา คนที่มีความดีเกิดขึ้นกับจิตของตนเองแล้ว ไม่รักษาความดีให้คงอยู่ตลอดไป เขาเรียกว่าคนโง่ ขออภัยพูดตรง

    (6) นั่นคือปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกเห็น

    (7) ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการพัฒนาจิตให้มีสติคุมใจ ให้ได้ทุกขณะตื่น

    (8) รักษาใจดีกว่ารักษากาย เพราะจะรักษากายให้ดีเลิศอย่างไรก็หนีไม่พ้น สักวันหนึ่งจิตต้องทิ้งร่างกายอย่างแน่นอน ดังนั้นรักษาใจให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะตื่น นั่นแหละดีที่สุด

    (9) สิ่งที่เกิดขึ้นมีทั้งสัมมาทิฏฐิ และมิจฉาทิฏฐิ เมื่อใดที่ใช้มิจฉาทิฏฐิส่องนำชีวิต ทุกขเวทนา ความเบื่อ ความรำคาญ ฯลฯ จะเกิดขึ้นให้ตนเองได้รับ และยิ่งปรารถนาอ่านใจคนอื่น หรือปรารถนามีฤทธิ์จะยิ่งเป็นการเพิ่มมิจฉาทิฏฐิให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น

    ในทางตรงกันข้าม เมื่อใดใช้สัมมาทิฏฐิส่องนำชีวิต ความเบา ความสบาย ความเป็นอิสระ ฯลฯ จะเกิดขึ้นให้ตนเองได้รับ ฉะนั้นชีวิตเป็นของตัวเอง จะบริหารจัดการหรือเลือกทางเดินของชีวิตเป็นแบบไหนเจ้าของชีวิตต้องเป็นผู้ เลือก...เลือกเอาตามที่ชอบ ๆ

    (10) ก่อนไปช่วยคนอื่น ต้องช่วยตัวเองให้ได้ก่อน ดูจากตัวอย่าง ของพระสมณโคดม ออกป่าพัฒนาตัวเองจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วจึงมาสั่งสอนคน ดูจากตัวอย่างพระวิมลโกณทัญญะ ช่วยแม่อัมพปาลีผู้มีอาชีพโสเภณีให้บรรลุอรหัตตผล ดูจากตัวอย่างของปฏาจารา (เสียสติไม่นุ่งผ้า) ช่วยตัวเองจนบรรลุอรหัตตผล จึงได้เป็นพระอุปัชฌาย์และสอนภิกษุณีอีกหลายรูป ฯลฯ
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูขอถามว่าหนูได้ไปรับกรรมฐานแบบยุบหนอพองหนอมา แต่ปฎิบัติมาแล้วรู้สึกอีกอัดมากไม่สบายเลย หลังจากนั้นลองเปลี่ยนพุธโธกับสบาย อย่างนิ้จะเปลี่ยนบริกรรมได้หรือเปล่า แล้วจะผิดต่อครูบาอาจารย์ที่ขอกรรมฐานหรือเปล่าค่ะแล้วจะเสียสัจจะหรือเปล่า ค่ะเพราะเคยคิดว่าจะไม่เปลี่ยนองค์บริกรรม เพราะถ้าเสียสัจจะจะได้ไม่เปลี่ยนนะค่ะ

    ขอบคุณค่ะ


    คำตอบ
    เปลี่ยนได้ครับ หากจิตยังระลึกได้ว่า การเปลี่ยนไปใช้วิธีบริกรรมอย่างอื่น เป็นความผิดต่อครูบาอาจารย์ผู้ให้กรรมฐาน ให้ไปขอขมาต่อหน้าพระรัตนตรัย ขอยกเลิกหรือบอกลาวิธีการภาวนาเดิมที่ไม่ถูกกับจริต แล้วขอรับวิธีการภาวนาแบบใหม่ที่ถูกกับจริตมาปฏิบัติแทนอย่างนี้ไม่เรียกว่า เสียสัจจะ
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา หนูก็จะมีการกำหนดจิตไว้กับลมหายใจในตลอดวันบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้างแต่ก็พยายามเกาะจิตไว้กับลมหายใจ และพยายามระลึกรู้เกี่ยวกับเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆด้วย พร้อมกับมีการฟังธรรมบรรยาย และสวดมนต์ ทำสมาธิควบคู่ไปด้วย แต่ว่าหนูมีสับสนบางอย่างค่ะ คือว่า หนูมีครอบครัวแล้ว และมีลูกสาวหนึ่งคน หลังจากหนูหันมาศึกษาธรรมะในช่วง 2-3เดือนที่ผ่านมา หนูไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกามกับสามีเลย และสามีก็ไม่กล้าที่จะแตะต้องหนูเท่าไหร่เพราะเห็นหนูตั้งใจจะปฏิบัติธรรม ถือศีล อะไรประมาณนี้ แต่หนูกลัวว่ามันจะก่อเป็นปัญหาครอบครัวภายหลัง หนูหมายถึงความต้องการของคนสองคนไม่ตรงกัน แล้วหนูเองก็ต้องมีภาระหน้าที่ของแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูลูกน้อยให้ดีที่สุด ไม่อยากสร้างปัญหาให้ลูก เค้าว่าเค้ายังเป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง (ตอนนี้ปัญหานั้นยังไม่เกิดขึ้นแต่หลังจากได้คุยกับสามีบ้างแล้วเหมือนว่าจะ เป็นปัญหาในอนาคตค่ะ เค้าเตือนสติหนูให้ระวังปัญหาไว้ด้วย) แล้วโดยส่วนตัวหนูแล้วก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นด้วย อาจาร์ยมีข้อประนีประนอมให้ทางโลกและทางธรรมของหนูไปด้วยกันได้มั้ยค่ะ หนูอยากขอคำแนะนำของอาจารย์ด้วยนะค่ะ

    2.มีคนในศาสนาอื่นอยู่บนสวรรค์หรือเปล่าค่ะ ชาวคริสต์ อิสลาม สามารถบรรลุ โสดาบันได้หรือเปล่าค่ะ ศาสนาอื่นเค้ามีการสอนสมาธิ และวิปัสสนาหรือเปล่า มีคนฝากถามค่ะ

    ขอบพระคุณอาจาร์ยนะค่ะที่ช่วยไขข้อสงสัยให้หนู


    คำตอบ
    (1) ชีวิตมีงานให้ทำอยู่สองอย่างคืองานภายนอกที่ทำให้กับหน่วยงานทำให้กับสังคม ทำให้กับครอบครัว กับงานภายในที่ทำให้กับตัวเอง เด็กหญิงวิสาขาบรรลุโสดาบันตั้งแต่มีอายุได้ 7 ขวบ พอโตเป็นสาวได้แต่งงานมีลูกได้ถึง 20 คน เพราะวิสาขารับผิดชอบทำงานภายนอกและงานภายในได้สมบูรณ์ ฉะนั้นผู้ใดประสงค์จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ต้องทำให้ได้อย่างนางวิสาขา

    (2) ผู้ใดให้ทานและรักษาศีลอยู่เสมอ เมื่อทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว โอกาสไปเกิดเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์ย่อมเกิดขึ้นได้

    พระโสดาบันและอริยบุคคลระดับอื่น เป็นความมหัศจรรย์ที่มีอยู่ในพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นมีการฝึกจิตให้เป็นสมาธิแต่มิได้สอนฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันอยากทราบว่าการออกกรรมเป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ เพราะดิฉันเคยไปออกกรรมกับเพื่อน ๆ อยู่ 3 ครั้ง ปรากฎว่าไม่เคยออกเลยสักครั้งเดียว แค่รู้สึกตัวมันชา ๆ และเกร็งเท่านั้น ทั้งที่คนอื่น ๆ มีอาการแตกตกต่างกันออกไป บางคนเหมือนกับจะมีใครมาเอาตัวไป บางคนก็เลื้อยเป็นงู บางคนก็รำ (ดิฉันดูทางเทปที่เค้าอัดเอาไว้ค่ะ) ดิฉันเลยคิดว่าการออกกรรมเป็นอุปทานหรือเปล่า อยากทราบว่าอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร

    คนเราทุก ๆ คนมีกรรมเป็นของตนเอง และ การทำบุญไม่สามารถลบล้างกรรมไม่ดีที่เราเคยทำมาให้หายไปได้ แต่สามารถทำความดีเพื่อให้กรรมในส่วนไม่ดีตามเราช้าลง แต่ดิฉันอยากทราบว่า เวลาที่คนเราเจอกับอุปสรรค ทั้งเรื่องงาน เงิน สุขภาพ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ดี คือการที่เจ้ากรรมนายเวรของตัวเราตามมาทวง การที่เราปล่อยให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเรา เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรเค้ามาตามทวงไปเรื่อย ๆ (จนเค้าพอใจ) เพราะเราคิดว่าเรายังสามารถรับสภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อยู่นั้น จะ เป็นการชดใช้หนี้เวรกรรมที่เราได้ทำไว้ให้หมดไปได้หรือไม่คะเพราะมันจะได้จบ ๆ กันไปเลย หรือว่ามันคนละส่วนกัน

    การทำสมาธิ กับ การนั่งวิปัสสนา คืออย่างเดียวกันหรือไม่

    อยากทราบว่าการนั่งวิปัสสนา คือ การที่เรานั่งเฉย ๆ ในสมองไม่ต้องคิดอะไรเลย ปล่อยให้มันว่างเปล่าใช่หรือไม่คะ และ ที่เค้าว่ากันว่าให้นั่งพิจารณาถึงกฎไตรลักษณ์ หมายถึง ต้องให้เราใช้สมองคิดทบทวนถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เราเจอในทุก ๆ เรื่องว่ามันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด และมันจะต้องสิ้นสุดลงอย่างนั้นหรือคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะไม่เป็นการคิดมากหรือคะ

    ขอรบกวนให้อาจารย์ช่วยชี้ทางสว่างด้วยค่ะ

    คำตอบ
    คำว่า “ กรรม ” หมายถึงการกระทำ คำว่า “ ออก ” หมายถึง พ้นภาวะ ทำให้ปรากฏ หลุดไปได้ฯลฯ ผู้ตอบปัญหาไม่เคยได้ยินคำว่า “ ออกกรรม ” มาก่อน แต่สิ่งที่บอกไปให้ฟังว่าเมื่อไปออกกรรมแล้ว บางคนแสดงพฤติกรรมเลี้อยเหมือนงูบางคนแสดงพฤติกรรมร่ายรำ ซึ่งคนมีพฤติกรรมปกติเขาไม่แสดงเช่นนี้ดังนั้นการแสดงออกจึงมิใช่อุปาทาน แต่เป็นการทำงานของจิตที่ขาดสติ สั่งให้ร่างกายแสดงออก

    อนึ่งการที่เจ้ากรรมนายเวรตามทวงหนี้เวรกรรมที่เคยผูกพัน กันไว้ ผู้ถูกทวงหนี้ยอมรับความจริง และยินดีชดใช้หนี้เวรกรรมจนหมดสิ้นไปได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ผู้รู้นิยมประพฤติกัน เรื่องทั้งหมดที่บอกเล่าไปจึงเป็นเรื่องเดียวกัน

    การฝึกจิตให้มีสติ ผลที่เกิดตามมาคือจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเรียกวิธีการเช่นนี้ว่าสมถภาวนา ส่วนการฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งเรียกว่า วิปัสสนาภาวนา ดังนั้นการทำสมาธิกับการนั่งวิปัสสนาจึงมิใช่สิ่งเดียวกัน

    การนั่งวิปัสสนาเป็นการใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ)ตามพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เห็นว่าเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งจึงเกิดขึ้นได้ เรื่องทั้งหมดนี้มิได้เกี่ยวกับการใช้สมองคิด แต่เป็นเรื่องการทำงานของจิต (จิตตภาวนา) โดยเฉพาะ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1.เวลานั่งสมาธิจนจิตตั้งมั่นระดับหนึ่ง รู้สึกว่ามีการทรงตัวของอารมณ์ที่จิตจดจ่ออยู่นะครับจะนิ่งจะว่างอยู่อย่าง นั้นนานอารมณ์ไม่เคลื่อนไปไหน พิจารณากำหนดรู้อารมณ์ ก็แล้ว พิจารณาดูอารมณ์แบบ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปก็แล้วนะครับ แต่ผ่านอารมณ์ ปิติ สุขมาแล้ว ผมเองรู้สึกระดับสมาธิ ว่าไม่ก้าวหน้าเลยครับ ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดี จึงจะสามารถที่จะพัฒนาให้ระดับสมาธิให้สูงสุดได้ และละเอียดกว่านี้ได้ครับ แต่ผลของการปฏิบัติ ผมจะรู้จิตรู้อารมณ์รู้ความคิด และรู้กาย ในชีวิตปกติดีขึ้นนะครับ

    2. ช่วงก่อนที่จะเดินจงกลมมีอาการง่วง ฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ แต่เมื่อได้ย่างหนอ ก้าวแรก อาการที่ง่วง ฟุ้งซ่านได้หายไปทันที่ จนตัวเองรู้สึกแปลกใจ ทำไมอาการที่กล่าวมาหายไปครับเพราะเหตุใดครับ

    3. การที่จิตเรามีพลังมากขึ้น และบางครั้งก็รู้วาระจิต หรือเหตุการณ์ในอนาคตบางอย่างได้ อาจารย์ครับ มีการแก้ไขให้จิตเราไม่ยึดติดกับของอย่างนี้อย่างไรครับ และรูปนามนี้เป็นสิ่งสมมุติที่เราเข้าไปยึดติดเองใช้มั้ยครับ เลยทำให้จิตเรามัวหมอง ทั้งหมดนี้เป็นอวิชาที่เราไม่รู้จริงและเราต้องพัฒนาปัญญาทำให้รู้แจ้งใช่ มั้ยครับ


    คำตอบ
    (1) ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตเกิดอารมณ์ภายในที่เรียกว่า ปีติและสุขได้สภาวะของจิตในขณะนั้นจะไม่รับสิ่งกระทบภายนอกใด ๆ มาปรุงให้เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นได้ สภาวะของจิตที่มีลักษณะแบบนี้เรียกว่าอัปปนาสมาธิ หรือคือความมีจิตตั้งมั่นเป็นฌานนั่นเองเป็นสมาธิระดับสูงสุดขั้นที่จิตทรง อยู่ในรูปฌาน หากผู้ปฏิบัติปรารถนาให้จิตมีกำลังของสมาธิสูงขึ้นได้อีก ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีกแล้วจิตจะเข้าสู่สภาวะของอรูปฌานได้

    (2) เพราะกำลังของสติที่มีอยู่ในจิต ระลึกได้ว่าอาการง่วงอาการฟุ้งซ่าน เข้าสู่อนัตตาตามกฎไตรลักษณ์ อาการง่วง อาการฟุ้งซ่านจึงหายไปพร้อมกับการเกิดของปัญญาเห็นแจ้งในเรื่องของความง่วง ความฟุ้งซ่าน ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนแท้จริง

    (3) แก้ไขได้ด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนา จนจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว จึงใช้ปัญญาเห็นแจ้งมาพิจารณาโลกิยอภิญญาเช่นรู้ภาวะจิตผู้อื่น รู้เหตการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน เมื่อโลกิยอภิญญาที่ปรากฏหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจึงจะปล่อยวางโลกิยอภิญญานั้นได้
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เคยอ่านหนังสือคนที่วิปัสสนามานาน ๆ จะสามารถทำวิปัสสนาได้แม้กระทั่งกำลังใช้ชีวิตประจำวันอยู่ และดิฉันได้อ่านย้อนไปในคำถามเก่า ๆ ทีอาจารย์ได้ตอบเอาไว้ วิปัสสนากรรมฐาน คือ การที่จิตรู้แจ้งเห็นจริง ดิฉันไม่กระจ่างกับคำว่ารู้แจ้งเห็น จริง ในทางปฏิบัติถ้าเราใช้ชีวิตประจำวันและปฏิบัติวิปัสสนาไปด้วย ก็เท่ากับว่าเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เท่านั้นเองหรือคะที่เรียกว่าวิปัสสนา ถ้าอย่างนั้นคนทุก ๆ คนก็ทำวิปัสสนากันได้หมดหรือคะ ไม่เข้าใจจริง ๆ ค่ะ

    คำตอบ
    ขณะทำงานแล้วรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ การรู้ในลักษณะนั้น เป็นการระลึกได้ของสติเพียงส่วนเดียว ส่วนปัญญาเห็นแจ้งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อระลึกรู้แล้ว ยังต้องเห็นว่าสิ่งที่ถูกระลึกรู้นั้นดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คือมิใช่ตัวมิใช่ตน (อนัตตา) คือไม่มีตัวตนแท้จริง การเห็นในลักษณะเช่นนี้จึงจะเรียกว่าเห็นด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องของจิตเท่านั้น มิได้เกี่ยวกับสมองแต่อย่างใด ที่เขียนบอกเล่ามาทั้งหมด จะอ่านซ้ำกี่ครั้งกี่หนก็ไม่สามารถเข้าใจได้ หากเลิกอ่าน แล้วหันไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยตัวเองเมื่อใดที่ปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น แล้ว ..... บางอ้อก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมที่จะไปให้ถึง
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันอยากเริ่มต้นสวดมนต์ แต่ไม่อยากกดดันตนเองโดยสวดมาก ๆ อยากเริ่มแบบง่าย ๆ ค่ะ พอจะแนะนำได้ไหมสำหรับบดสวดมนต์ที่จำเป็นที่สามารถสวดได้ทุกวัน และจำได้ง่าย ๆ

    การสวดมนต์จำเป็นต้องสวดบทแปลด้วยหรือไม่ สวดเฉพาะภาษาบาลีอย่างเดียวได้ไหมคะ

    ดิฉันอยากเริ่มต้นวิปัสสนาค่ะ ควรเริ่มต้นปฏิบัติอย่างไร สามารถเริ่มได้ด้วยตนเองไหมคะ คงไม่สามารถทิ้งภาระไปปฏิบัติได้ธรรมได้ รบกวนอาจารย์แนะนำอย่างละเอียดด้วยค่ะ

    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    คำตอบ
    ผู้ถามปัญหาเริ่มมีบุญส่งผล ให้เกิดความคิดที่ถูกต้องคือเริ่มอยากสวดมนต์ การสวดมนต์เป็นการพัฒนาจิตขั้นต้น เพื่อไม่ไห้การสวดมนต์เป็นการกดดัน จึงแนะนำวาให้สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยที่ขึ้นต้นด้วย
    1. นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ 3 จบ แล้วต่อด้วย
    2. อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ...
    3. สวากขาโต ภะคะวาตา ธัมโมฯ...
    4. สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวกะสังโฆฯ..

    เมื่อสวดแล้วเสร็จให้อุทิศบุญกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวร หากไม่รู้คำสวดมนต์ และไม่รู้วิธีอุทิศบุญกุศล แนะนำให้หาหนังสือสวดมนต์จากร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์มาอ่านแล้วสวดมนต์ด้วย การเปล่งเสียง เริ่มต้นวิปัสสนาภาวนาด้วยการสวดมนต์แล้วเจริญอานาปานสติที่บ้าน
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันทำงานที่รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง มีผลตอบแทนสูงพอสมควร แต่กิจการกำลังแย่ลงทุกวัน มีเพื่อนร่วมงานที่รับผิดชอบงานบ้าง ไม่รับผิดชอบบ้างคละเคล้ากันไป แต่มีเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ติดการพนันอย่างหนัก มีหนี้สินจนศาลสั่งอายัดเงินเดือนบางส่วนให้เจ้าหนี้ที่ฟ้องร้อง แต่ใครทำอะไร ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่จรรยาบรรณของหน่วยงานก็ห้ามเล่นการพนัน เพื่อน ๆ ที่ค้ำประกันบางคนก็ถูกฟ้องอายัดเงินเดือน เพื่อนคนนี้ ปกติก็ไม่ค่อยรับผิดชอบงานที่หัวหน้ามอบหมายอยู่แล้ว ยิ่งมีหนี้สินมาก ๆ เจ้าหนี้ตามทวงไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งไม่ทำงานไปใหญ่ บางครั้งยืมรถจักรยานยนต์ของเพื่อนไปจำนำเล่นการพนัน ทุกคนไม่อยากเกี่ยวข้องแล้ว แต่ยังอยู่รับเงินเดือนขององค์กร โดยใครทำอะไร ไม่ได้ ตามลักษณะคนไทย

    ล่าสุดนี้เพื่อนคนนี้เปรย ๆ ออกมาว่าจะขอย้ายไปที่จังหวัดอื่น ส่วนหนึ่งเพื่อน ๆ เข้าใจว่า คงหนีเจ้าหนี้ แต่ดิฉันเห็นแล้ว สงสารองค์กร สงสารหน่วยงานปลายทางที่ต้องพบปัญหาที่คนนี้สร้างอีก เช่นพื้นที่ที่เขารับผิดชอบ ลูกค้าร้องเรียนบ่อยเรื่องการไม่ร้บผิดชอบในบริการ ที่แรกดิฉันคิดจะส่ง จดหมายเตือนเขาเรื่องบาป บุญ ให้เขาได้สำนึก แต่ดิฉัน ไม่มีความรู้พอที่จะสั่งสอนเขาให้ถูกต้อง ถ้าจะพูดแนะนำ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะขนาดหัวหน้าโดยตรงเขาก็ยังเอาไม่อยู่ ดิฉันเสนอให้หัวหน้าเขาพูดแนะนำตักเตือน แต่หัวหน้าเขากลับตอบว่า เป็นบัวชนิดอยู่ในโคลนตม แต่หัวหน้าเขายินดีให้เขาย้ายไปจังหวัดอื่น ดิฉันเห็นด้วย เพราะจะได้ไปให้พ้น ๆ ปัญหาที่เราจะได้ลดลง แต่ดิฉันว่าเป็นการเห็นแก่ตัว ที่ส่งไปสร้างปัญหาให้คนอื่นต่อ ถ้าย้ายได้ก็ดี แต่ใจหนึ่งอย่างแก้ปัญหาถาวร ให้เขาได้พ้นจากบาปที่จะก่อขึ้นใหม่เรื่อย ๆ แต่ดิฉันไม่ทราบจะสอนเขาอย่างไร (ทางจดหมาย) ดิฉันไม่ได้สนิทมากแค่เป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่คนละแผนก สงสารครอบครัว สงสารลูกเขา

    ทีแรกจะพิมพ์จดหมายว่า " ที่คุณได้เกิดมาเป็นมนุษย์ใน ชาตินี้ แสดงว่าคุณเคยทำดีถึงระดับหนึ่งมาแล้ว แต่พฤติกรรมที่คุณกำลังทำ การไม่ซื่อสัตย์กับองค์กร รับเงินเดือน แต่ไม่ทำงาน มีแต่ตักตวงผลประโยชน์จากองค์กร องค์กรของเราให้ค่าตอบแทนสูง สวัสดิการดีมาก คุณทำให้เพื่อน ๆ เดือดร้อนเพราะคุณก่อหนี้แล้วไม่รับผิดชอบยังไม่สายที่จะเปลี่ยนไปทำดี ดูสิ แม้แต่องคุลิมาล ที่ร้ายกาจ ยังเปลี่ยนเป็นคนดีได้เลย จนถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ได้เลย ตัวคุณเองบาปน้อยกว่าองคุลิมาลเยอะ ขอให้ชนะใจตัวร้ายในตัวคุณ หันกลับมาทำดี ก่อนที่จะสายเกินไป ด้วยความปรารถนาดี" ลักษณะนี้ไม่ทราบจะได้มั้ยคะ ขอรบกวนท่านอาจารย์สนองแนะนำหน่อยค่ะ

    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอบุญกุศลที่ท่านอาจารย์สร้างสมมาจงส่งให้ท่านอาจารย์บรรลุถึงซึ่งนิพพานโดย เร็ว


    คำตอบ
    ที่บอกเล่าไป และตั้งใจจะพิมพ์จดหมายไปตักเตือนเพื่อนร่วมงานคนที่สร้างปัญหา เป็นความคิดของคนที่ใจมีเมตตากรุณาเป็นพื้นฐาน แต่ยังเป็นความเห็นไม่ถูกคือ ในทางโลกผู้ถามปัญหามิได้เป็นผู้บังคับบัญชาของเขา จึงไม่มีสิทธิ์ไปตักเตือนเขา ส่วนในทางธรรมเขายังไม่ศรัทธา และยังไม่เปิดใจขอคำชี้นำจากผู้ถามปัญหา ดังนั้นจึงเสนอแนะให้เอาเขาเป็นครูไม่ดีสอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ประพฤติเช่นเขาแล้วเราก็จะไม่เป็นคนไม่ดีเช่นเขา ผู้ใดเห็นถูกเช่นนี้บุญกุศลจะเกิดกับผู้ดูนั่นเอง

    ส่วนจดหมายที่พิมพ์ไว้แล้ว เอาเข้ากรอบไว้เป็นเครื่องเตือนสติให้กับตนเอง ดีนะครับจะบอกให้
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันมีคนที่ไม่ชอบดิฉันเอามากๆในที่ทำงาน เคยเอ่ยปากว่าจะเอาดิฉันออกจากงานหากตนเองมีอำนาจ ดิฉันทราบว่าในใจลึกแล้วดิฉันก้ออยากจะเอาชนะเค้า แต่อีกใจบอกตรงๆว่าไม่อยากจองเวรกลัวจะได้เจอกันอีกชาติหน้า ทุกวันนี้พยายามทำบุญอุทิศกุศลผลบุญให้เค้าเพื่อขอให้เค้าอโหสิกรรมเราดิฉัน เพราะเราทุกข์ใจทุกครั้งที่มีเรื่องกัน

    ดิฉันขอคำแนะนำจากอาจารย์หากจำเป็นดิฉันคงต้องลาออกจากงาน

    คำตอบ
    พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้หมดไป ไม่มีใครผู้ใดหนีใจตนเองได้พ้น หนีคนไม่ดีจากที่นี่ก็ไปเจอคนไม่ดีในที่ใหม่ ให้เป็นปัญหาเกิดขึ้นได้อีก คิดจะลาออกจากงานเดิมไปหางานใหม่ทำ ก็หนีใจตัวเองไม่พ้น ฉะนั้น “ อยู่แล้วสู้สิ ” อยู่กับที่ทำงานเดิม อยู่กับคู่เวรคู่กรรมตนเดิมด้วยการพัฒนาจิตตนเอง ให้มีสติปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริง แล้วใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ มากำจัดปัญหาที่เกิดขึ้นให้หมดไป ด้วยการดูให้เห็นถูกตรงว่าปากของคนมีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี ที่เขาพูดไม่ดีเพราะใจของเขามีความคิดเป็นอกุศล(บาป) เก็บสั่งสมไว้เมื่ออกุศลสั่งให้ปากพูด จึงพูดออกมาไม่ดีและเช่นเดียวกัน หากผู้ถามยังไปต่อปากต่อคำโต้เถียงโต้แย้งกับคนบาป ตัวเองก็จะบาปมากยิ่งขึ้นผู้รู้จัดการกับปัญหาเช่นนี้ ด้วยการใช้ความเห็นถูกต้องว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เมื่อใดหนี้เวรกรรมตามทันจะยอมรับความจริงโดยดุษณี แล้วยอมชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดสิ้นกันไป และปัญญาเห็นถูกยังเห็นว่า ตัวเองเป็นผู้มีโชคดีที่หนี้เวรกรรมตามมาให้ผลทันในชาตินี้ จะได้ชดใช้กันให้หมดสิ้นไปและหากผู้ถามปัญหามีความเห็นถูกแจ้งชัดยิ่งขึ้น ก็จะเห็นว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้มีพระคุณ ที่ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี และทำให้เราได้เจริญพรหมวิหาร 4 ... มีครูดีอยู่ใกล้อย่างนี้แล้วยังจะคิดหนีครูด้วยการลาออกจากงานอยู่อีกหรือ
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมเคยมีอาการร้องไห้ น้ำตาไหลพราก จนควบคุมไม่ได้ ขณะที่กำลังสวดมนต์ (ทั้งสวดมนต์ทำวัตร หรือ บทอื่นๆ) รวมทั้งในขณะที่ฟังธรรมบรรยาย
    แต่ไม่มีอาการดีใจ หรือ เป็นสุขใจ...รู้ตัวว่าในใจสงบและไม่ยินดียินร้ายในเรื่องใดๆ อยากรบกวนสอบถามว่า อาการนี้ เป็นอาการอะไรครับ? ควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ?


    คำตอบ
    อาการตามที่บอกเล่าไป ผู้รู้เรียกว่า “ ปีติ ” ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้ขัดขวางการพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง ดังนั้นต้องกำจัดปีติให้หมดไปด้วยการบริกรรมคำว่า “ ร้องไห้หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการร้องไห้หมดไป น้ำตาจะหยุดไหลได้เอง
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1) เราจะใช้หลักของข้อธรรมใด ในการที่ภาระทางโลกนั้น อยู่กับมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง ต้องแบกค่าใช้จ่ายทุกอย่างบนบ่าของตนเองเลี้ยงดูพ่อ แม่ สามี ลูก ทุก วันนี้ปฏิบัติโดยการนั่งสมาธิทุกๆวันๆละ 30 นาที (เช้า - เย็น ; เมื่อได้เวลาก็จะถอนออกจากสมาธิเอง) และเดินจงกลมวันละ 30 นาที “ ทำบ้านให้เป็นวัด ” เพราะยังมีภาระอยู่เลยยังไม่มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรม รู้สึกเดินมาถูกทางแล้วที่ได้พบเจอกัลยาณธรรมอย่างอาจารย์ ที่มีความเห็นที่ถูกตรง สุขใจค่ะ

    2) ช่วงปฏิบัติใหม่ๆก่อนนั้นหนูนั่งสมาธิ จะเห็นแสงสว่างจ้า , บางครั้งก็เหมือนกายไม่มี , รู้สึกปลื้มปิติมีความสุข , ตัวลอย , บางครั้งก็เหมือนไม่มีกายเรามันดับวูบลงไป , รับรู้ถึงกลิ่นหอม , เสียงนกร้อง แต่ปัจจุบันนี้อาการเหล่านี้ไม่มี มีแต่จิตนิ่ง สงบเย็น เป็น ธรรมดา เมื่อคิดฟุ้งก็กำหนด “ คิดหนอ ๆ ” ไปเรื่อยๆจนหยุดคิด เกิดอะไรก็กำหนดไปตามเหตุ เดินจงกลมก็กำหนดให้มีสติ หากฟุ้ง ก็ตามกำหนดภาวนา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้ว่าทุกข์ ก็ละทุกข์ไป พยายามให้จิตนิ่ง มีแต่ตัวรู้ มีสติ หนูกำลังฝึกมองว่า “ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ” คงจะได้สักวันหนึ่ง

    3) มีสิ่งที่เป็นความดีงามในจิตที่สัมผัสรับรู้ได้ หลังจากปฏิบัติธรรมมานานเนื่องต่อกันทุกๆวัน อุปนิสัยที่เป็นกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ลดลงไปค่อนข้างเยอะ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ มีความเห็นที่ถูกตรง รู้แจ้ง ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์ สาธุ สาธุ สาธุ อะไรใช่ อะไรที่ไม่เป็นสาระประโยชน์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเจอบททดสอบ บางครั้งก็ผ่าน แต่หลากหลายครั้งก็ไม่ผ่าน ซึ่งก็ต้องหมั่นฝึกปฏิบัติจิตของตนไปเนืองๆ ตามแนวทางของผู้รู้ ของครูบาอาจารย์ โดยไม่ต้องลังเลสงสัย (ศรัทธาในคุณธรรม จริยธรรม)

    ของอาจารย์ที่สุดเลยค่ะ ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

    คำตอบ
    (1) ผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดีที่เอาภาระของบุคคลอื่นมาเป็นภาระของตัว พระโพธิสัตว์เขาประพฤติกันอย่างนี้เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสให้ตัวเองได้สร้าง บารมีอาทิ ทานบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี ฯลฯ ผู้ถามปัญหากำลังดำเนินตามปฏิปทาของพระแม่กวนอิม ดูให้ออกแล้วเจริญอุเบกขามีให้มากยิ่งขึ้น...สาธุ

    (2) แต่ก่อนสภาวะของจิตยังไม่ดี จึงได้ไปเห็น ไปได้ยิน ไปได้กลิ่น ฯลฯ แต่ปัจจุบันจิตได้รับการพัฒนาสูงขึ้น จึงเข้าถึงความสงบและเย็นได้ จงรักษาความดีเช่นนี้ให้ได้ตลอดไป แล้วความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง รวมถึงรูปและนามของตัวเอง ก็จะเข้าสู่ความเป็นอนัตตาได้ในวันข้างหน้า

    (3) ความโลภ ความโกรธ ความหลง ลดลงไปค่อนข้างเยอะแสดงว่ายังมีกิเลสใหญ่สามตัวนั้นหลงเหลืออยู่ในจิตวิญญาณ ของผู้ถามปัญหา จงอย่าประมาทเพราะกิเลสเหล่านี้ถ้ามีโอกาสฟื้นคืนมาให้ผลได้อีกเมื่อใด ยังมีอบายภูมิเป็นแดนเกิดได้อยู่ ดังนั้นต้องกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดไปจากใจ หรือปิดประตูอบายภูมิให้ได้ด้วยการพัฒนาจิตจนบรรลุความเป็นโสดาบันบุคคลได้ แล้ว จึงจะถือได้ว่ามีชีวิตปลอดภัย..แน่นอน
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ตอนเด็ก ๆ เคยได้ยินเสียงเปรตร้อง และช่วงสมัยเรียนถูกผีอำบ่อยมาก ๆ บางครั้งตอนอ่านหนังสือ ขณะที่เรารู้สึกสงบ บางครั้งจะรู้สึกเหมือนมีคนเดินผ่าน อยากทราบว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ขณะนั้นควรปฏิบัติตนอย่างไร และอาการผีอำเป็นผีจริง ๆ หรือไม่ หรือว่าเป็นอาการทางร่างกายที่เราพักผ่อนไม่เพียงพอตามทางหลักวิทยาศาสตร์

    ตั้งแต่เล็กจนโต จวบจนเดี๋ยวนี้ มักจะฝันล่วงหน้าบ่อย ๆ แต่เป็นเหตุการณ์ไม่สำคัญอะไร คนในครอบครัวเป็นกันหลายคนค่ะ โดยเฉพาะดิฉันกับน้องชาย เป็นเพราะสาเหตุอะไรคะ และการฝันล่วงหน้ามีกันได้ทุกคนหรือไม่ ดิฉันไม่กล้าเอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง กลัวเค้าหาว่าเพ้อเจ้อ เลยคุยกันแต่ในครอบครัวเท่านั้น

    ครอบครัวดิฉันทำธุรกิจค้าขายมานาน ดิฉันรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าครอบครัวเราติดหนี้ธนาคารอยู่เยอะ แต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน จนเรียนจบถึงรู้ตัวเลข เป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท และตอนนี้ก็กำลังจะถูกธนาคารยึดทรัพย์สินแล้ว ตัวดิฉันเองรับได้ค่ะ เพราะอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ห่วงแต่แม่เท่านั้นเพราะท่านเป็นโรคหัวใจ และเป็นคนคิดมาก อยากทราบว่าการที่ดิฉันต้องมารับผลกรรมที่ไม่ได้สร้างหนี้สินเอาไว้ เกิดจากการกระทำกรรมใด และควรจะยุติกรรมนั้นด้วยวิธีไหน เจ้ากรรมนายเวรถึงจะเลิกจองเวรคะ

    ดิฉันอยู่ที่ จ.พิษณุโลก ค่ะ อยากไปปฏิบัติธรรม คุณ ฐิติขวัญ (นิตยสารซีเคร็ท) ให้ชื่อเว็บไซด์สถานที่ปฏิบัติธรรม ในพิษณุโลกเป็นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมอาภา ที่นี่อาจารย์มีความเห็นอย่างไรคะ ถ้าดิฉันจะเลือกไปปฏิบัติ เพราะดิฉันไม่เคยปฏิบัติมาก่อนรู้สึกว่าที่นี่จะเคร่งครัดมาก แต่อยากไปเพราะอยู่ในจังหวัดบ้านของดิฉันเอง

    ขอความกรุณาช่วยตอบด้วยนะคะอาจารย์
    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    คำตอบ
    ควรปฏิบัติจิตตภาวนา จนเข้าถึงความมีสติสัมปชัญญะสูงสุดได้แล้ว ก็จะสามารถรู้เท่าทันความเป็นจริงของเปรตของการเกิดผีอำ ที่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่า เป็นอาการของร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอ นี่เป็นความเห็นถูกของนักวิทยาศาสตร์ แต่มิได้หมายความว่า เป็นความเห็นถูกของผู้รู้ทีเข้าถึงปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) นั่นคือจะบอกว่าผีมีจริง การที่พลังงานจิตของผี (อมนุษย์) เข้ามามีอำนาจเหนือกายหยาบของมนุษย์ แล้วทำให้กายหยาบแสดงอาการที่เรียกว่าผีอำจึงได้เกิดขึ้น

    การฝันล่วงหน้า เป็นเพราะความถี่คลื่นจิตเริ่มคงที่ จึงมีโอกาสไปรับรู้สิ่งที่จะเกิดในกาลข้างหน้าได้

    ครอบครัวเป็นหนี้ธนาคาร เป็นผลมาจากผู้ถามปัญหา เคยร่วมกระบวนการกับพ่อแม่ ที่ไปเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นทรัพย์สินของตนโดยวิธีการที่ไม่ถูกต้องชอบ ธรรม ปัจจุบันผู้ถามปัญหามิได้ก่อเหตุตรงด้วยตัวเอง แต่มีส่วนร่วมในกระบวนกรรมของทรัพย์ที่ได้มาดังตัวอย่างเช่น นักเรียนได้รับเงินอุดหนุนทางการศึกษา เป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์เป็นเงินร้อน เช่นเงินรายได้จากการพนัน รายได้จากการขายล๊อตเตอรี่ (อบายมุข) เมื่อใดอกุศลกรรมให้ผลนักเรียนผู้รับทุนต้องเป็นผู้มีส่วนรับอกุศลวิบากนั้น ด้วย

    ขออภัยชื่อของสถานปฏิบัติธรรมดังที่บอกเล่าไป ผู้ตอบปัญหาไม่มีประสบการณ์
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พ่อหนูเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ด้วยโรคมะเร็ง และโรคไตวาย ก่อนจะสิ้นลมซึ่งไม่ทราบเวลาที่แน่นอน ท่านทานข้าวได้ดี พูดคุยด้วยอารมย์ดี และขอนอนพักก่อนที่จะกินยาก่อนนอน เมื่อถึงเวลากินยาไปเรียกท่านปรากฎว่าท่านเสียชีวิตแล้วค่ะ แต่ก็ยังนำไปโรงพยาบาล หมอพยายามปั๊มหัวใจแต่ท่านก็ไม่กลับมาแล้ว หนูมีคำถามถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    1. การที่หลับแล้วเสียชีวิต บ่งบอกถึงอะไรได้บ้างคะ หมายถึงท่านไปดีไปสบายเหมือนกับที่หลายๆ คนชอบพูกกันหรือเปล่าคะ
    2. จนถึงวันนี้ท่านจากไป 1 เดือนกับอีก 16 วันแล้ว ท่านไม่เคยกลับมาหาใครเลย ไม่มีใครฝันถึง ไม่มาปรากฎตัวให้เห็น นี้เป็นสัญญาณว่าท่านไปอยู่ในที่สบายในที่สุคติใช่ไหมคะ
    3. หนูได้ไปปฏิบัติธรรมที่คณะ 5 วัดมหาธาตุฯ ตามคำแนะนำในหนังสือของอาจารย์ ได้ประมาณ 10 ครั้งแล้ว แต่หนูก็ไม่สามารถเข้าถึงสมาธิได้สักครั้งเดียว แต่ในด้านของความรู้สึก หนูรู้สึกว่าเบาสบาย มองโลกในแง่ดีขึ้น การปฏิบัติได้ในระดับนี้ หนูจะสามารถอุทิศบุญกุศลนี้ไปให้พ่อหนูได้ไหมคะ
    4. หนูควรทำบุญแบบใด จะได้ส่งถึงพ่อหนูโดยตรงคะ
    5. ถ้าเกิดพ่อหนูไม่ได้อยู่ในที่สุคติจริง การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน จะทำให้ท่านได้รับและได้ไปอยู่ในที่สุคติไหมคะ
    6. มีวิธีไหนไหมคะที่จะทราบว่าตอนนี้พ่อหนูอยู่ที่ไหน หนูอยากทราบว่าท่านเป็นอยู่อย่างไร
    7. การลอยอังคารเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องและควรทำไหมคะ ในครอบครัวตกลงกันว่าจะนำกระดูกท่านไปลอยอังคารในวันครบรอบ 100 วันค่ะ และต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างคะ

    กราบขอบพระคุณที่อาจารย์สละเวลาตอบคำถามนะคะ
    ขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนยาวเป็นที่พึ่งกับพวกเราชาวกัลยาณ ธรรมตลอดไปนะคะ

    คำตอบ
    (1) หลับเพียงเปลือกตา แต่ใจยังไม่หลับ ยังมีการเกิด-ดับอยู่ จึงเคลื่อนออกจากร่างปัจจุบัน ไปหาร่างใหม่อยู่อาศัยได้ในกรณีนี้ใจของท่านทิ้งร่างด้วยมีสติกำกับ สุคติภพจึงเปลี่ยนเป็นที่หมายที่ท่านไม่รู้

    (2) หนึ่งเดือนกับอีกสิบหกวันเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับมนุษย์ผู้รอคอย แต่เป็นเวลาชั่วขณะเดียวในสุคติภพที่สูงกว่ามนุษย์ ฉะนั้นไม่ควรห่วงกังวลที่ท่านหายลับไป ควรห่วงแต่เพียงว่าผู้เป็นลูกได้ทำบุญอุทิศให้ท่านหรือเปล่า เพราะนั่นคือจริยธรรมที่ลูกผู้มีความกตัญญูต้องประพฤติให้เป็นปกติ

    (3) ไม่ควรพะวงถึงการมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ความรู้สึกว่าเบาสบาย และมองโลกในแง่ดี นั้นเป็นบุญที่ผู้ถาม ปัญญาได้ทำให้เกิดมีขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในใจแล้ว ฉะนั้นพึงอุทิศบุญกุศลที่ลูกมีให้แก่พ่อ เพราะทุกครั้งที่อุทิศ บุญอันเกิดจากการอุทิศส่วนบุญจะเกิดขึ้นเป็นอีกโสดหนึ่งด้วย

    (4) ทำได้ทุกรูปแบบตามที่ระบุไว้ในบุญกิริยาวัตถุ 10 เมื่อทำสำเร็จแล้ว บุญจะเกิดขึ้นกับผู้กระทำ ผู้มีบุญอยู่กับใจควรตั้งใจมั่นเอาใจจดจ่ออยู่กับการอุทิศ ด้วยการกล่าวเป็นวาจาว่า “ บุญที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ข้าพเจ้าอุทิศให้แก่พ่อ (เอ่ยชื่อ) ผู้ไปเกิดอยู่ในปรภพ จงเป็นสุขเถิด ” จะกรวดน้ำตามหลังหรือไม่กรวดน้ำทำได้ตามอัธยาศัย

    (5) ความสงสัยเป็นสันดานของมนุษย์ผู้ไม่รู้จริง ฉะนั้นควรเชื่อและประพฤติตามที่ผู้รู้บอกกล่าว ความเห็นถูกในทางโลกก็จะเกิดขึ้น ความสงสัยจะหมดไปชั่วคราว

    (6) ความอยากรู้คือตัณหา เป็นตัวกิเลสปิดบังใจไม่ให้รู้ไม่ให้เห็น ผู้ใดขัดข้องความอยากให้หมดไปจากใจได้ โอกาสไปรู้ไปเห็นย่อมเกิดขึ้นได้ มิน่าเล่า ผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตแล้วไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิก็เนื่องด้วยเหตุแห่งตัณหานั่ง เอง

    (7) การลอยอังคารเป็นประเพณีนิยมทางโลกของบางกลุ่มชนถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ผู้รู้จริงไม่ลอยอังคารให้เสียเงินไปกับพิธีกรรมไม่เสียเวลาไปทำสิ่งดีน้อย กว่าให้กับชีวิต ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจะปฏิบัติอย่างไรกับการลอยอังคาร ต้องไปถามวิธีการกับคนที่ยังมีจิตเป็นทาสของพิธีกรรมเช่นนี้
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. การที่เรายึดติดแม่มากเกินไปเป็นอย่างไรคะ เนื่องจากหนูได้มีโอกาสฟังธรรมเทศนา พระท่านได้กล่าวกับผู้มาปฏิบัติธรรมโดยสรุปดังนี้ค่ะ "การปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ต้องละลูก หลาน ผู้ที่เป็นเด็กต้องละความเป็นพ่อ เป็นแม่" คือทุกวันนี้หนูยังไม่มีครอบครัว ทำธุรกิจกับที่บ้าน ก็จะมีปฏิสัมพันธ์เฉพาะกับพ่อแม่ พี่น้องซึ่งมากกว่าเพื่อนมาก โดยเฉพาะคุณแม่ เวลาจะตัดสินใจไปไหน ทำอะไรก็จะนึกถึงแต่คุณแม่ก่อน ซึ่งท่านอายุ 57 ปี สุขภาพท่านแข็งแรงดี แต่พักหลังท่านเริ่มเข้าวัยทอง เหมือนต้องการคนเอาใจ หนูเองก็พยามทำเท่าที่ทำได้ ซึ่งหนูเองก็สนใจในธรรมเป็นพื้นก็พยามให้คุณแม่เข้าใจในธรรมเช่นกัน ซึ่งก็ได้ในระดับหนึ่ง หนูจึงมาคิดถึงตนเองค่ะ ว่าสภาพปัจจุบันหนูมีความยึดติดท่านมากเกินไปหรือไม่ เท่าที่เข้าใจก็คือตอนนี้พยามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด แต่ก็ไม่แน่ใจว่าบางครั้งนั้นมากเกินไปหรือไม่

    2. หนูได้มีนิมิตในฝันว่าตนเองถูกไล่ยิงโดยคนร้ายที่เราไม่รู้จัก หนูวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต ปกติปฏิบัติธรรม ก็ทำความเข้าใจในธรรมว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา แต่พอระลึกถึงนิมิตในฝันก็รู้สึกว่าตนรักชีวิตตนเองอย่างที่สุด ในฝัน เหมือนจะเข้าใจอีกว่าคุณแม่ก็เป็นฝ่ายบอกทางให้ผู้ร้ายด้วย หนูยังวิ่งหนีคุณแม่และผลักท่านตกบันได เพราะเหมือนท่านจะสามารถเดินตามหลังมาติด ๆ แต่ก็หันกลับมาดูว่าท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ จากในฝัน ยิ่งทำให้หนูเข้าใจว่าหนูรักตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก อาจารย์มีอุบายในการปฏิบัติอย่างไรบ้างคะ เพื่อความก้าวหน้าในธรรม

    3. ขณะนี้หนูอายุ 26 ปี มีความหวังถึงพระนิพพานอย่างแน่วแน่ ขณะนี้แม้อายุยังไม่มาก และเป็นหญิง แต่ก็สนใจในธรรม และตั้งเป้าหมายไว้กับการบรรลุธรรมสูงสุดในโลกุตตรธรรม มีข้อสงสัยว่าฆราวาสอย่างหนูจะสามารถเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดนั้นในฐานะฆราวาส ได้บ้างหรือไม่ ทำไมเท่าที่เคยฟังมาการเป็นอรหันตสาวกจึงไม่มีในฐานะของฆราวาสได้เลย พื้นฐานทางครอบครัวหนูมีอาชีพค้าขาย ทำธุรกิจส่วนตัว การงานภายในบ้านพร้อมสรรพ ถ้าหนูใช้จ่ายอย่างประมาณทรัพย์สินที่มีอยู่ก็อาจเลี้ยงดูตนเองไปจนตลอด และชีวิตไม่คิดจะมีสามี เพียงแต่ถ้ายังต้องอาศัยครอบครัวอยู่ก็จำเป็นจะต้องช่วยภาระกิจการทางครอบ ครัวไปตามหน้าที่บ้าง อ.มีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ และควรประมาณตนอย่างไรบ้าง

    กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

    คำตอบ
    (1) อะไรที่มากเกินไป มีเครื่องชี้วัดคือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขปัญหา ตัวอย่างความผูกพันใกล้ชิดกับผู้เป็นแม่ หากไปทำให้แม่ต้องสูญเสียอิสรภาพ อึดอัดขัดข้อง รำคาญใจ ฯลฯ นั่นคือสิ่งที่ต้องแก้ไข นั่นคือปัญหาที่ผู้เป็นลูกได้ทำให้เกิดขึ้น ตรงกันข้ามหากปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้น ไม่เรียกว่ามากเกินไป ไม่ต้องแก้ไข มีสิ่งที่ไม่ควรละเลยคือจริยธรรมของลูกที่มีต่อแม่ ต้องประพฤติให้เป็นปกติ เมื่อประพฤติแล้วจะเกิดเป็นความกตัญญูที่ผู้มีความจริงในหน้าที่การงานและ เจริญในชีวิตเขานิยมประพฤติกัน

    (2) “ รักตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ” เป็นเครื่องหมายบ่งบอกให้เห็นถึงความมีตัวตน (อัตตา) หรือคือความเห็นแก่ตัวนั่นเอง ผู้รู้ทำให้ชีวิตมีคุณค่า ด้วยการใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ 5 ดับ (อนัตตา) ความเป็นตัวตนไม่มีตรงกันข้ามความเห็นแก่ผู้อื่นจะเกิดขึ้น ชีวิตจึงเหมือนต้นไม้ใหญ่ดำรงอยู่เพื่อทำประโยชน์ที่เป็นคุณแก่มวลชน คุณค่าของชีวิตเกิดด้วยวิธีการเช่นนี้

    (3) ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย สามารถพัฒนาจิตไปสู่การดับรูป ดับนาม (นิพพาน) ได้ การเข้าสู่พระนิพพาน มิได้เอาร่างกายที่เป็นตัว บ่งชี้ฐานะทางเพศเข้า แต่เอาจิตที่ปราศจากกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ (สังโยชน์ 10)
    เข้านิพพาน ดังตัวอย่างของเด็กชายโสปากะ นายพาหิยะ เจ้าหญิงเขมา ฯลฯ นำจิตเข้าสู่พระนิพพานได้ในขณะยังดำรงอยู่ในเพศของฆราวาส

    ส่วนเรื่องที่บอกเล่าและถามไป ผู้ตอบปัญหาเห็นว่า ผู้ใดเกิดมาเป็นสมาชิกของสังคมครอบครัว หรือสังคมอื่นใด มีงานที่ต้องทำอยู่สองงาน คืองานภายนอกได้แก่งานที่ทำให้กับครอบครัว มีความรับผิดชอบในงานที่ทำ ทำงานได้ผลสำเร็จ งานเสร็จทันเวลา ผลงานเข้าตา เป็นที่เรียกหาเรียกใช้ หากทำได้เช่นนี้แล้วสมาชิกของครอบครัวอยู่สุขสบายและมีความสุข ส่วนงานภายในคือ งานพัฒนาจิตวิญญาณให้กับตนเอง พัฒนาจิตให้มีสติมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม มีบุญมีบารมีสั่งสม เพื่อใช้ในการเดินทางสู่ปรโลกได้อย่างปลอดภัย ผู้หวังความสวัสดีในชีวิตหน้า นิยมปฏิบัติเช่นนี้ ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเองฉะนั้นต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ผู้รู้เป็นได้เพียงผู้ชี้แนะเท่านั้น จะบอกให้
     

แชร์หน้านี้

Loading...