ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    จากการที่อาตมาได้อ่านหนังสือและฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ เห็นท่านอาจารย์ได้พูดถึงการที่ท่านอาจารย์เมื่อปฏิบัติธรรมไปแล้ว สามารถเห็นผี เห็นเทวดาได้.....ว่าเป็นความจริง แต่ในคิริมานนทสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ ก็ดี นักบวชก็ดี มากล่าวว่าตัวรู้ตัวเห็นและได้พูดจากับด้วยผี ดังนี้ ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอาเป็นครูบาจารย์ เพราะเขาเป็นคนเจ้าเลห์เจ้าอุบายเจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริงเห็นจริงพูดจาสนทนากับผีได้มีแต่ พระพุทธเจ้ากับ พระอรหันต์ เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้น".......

    จากข้อความนี้ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าท่านอาจารย์เห็นจริง ๆ ตามที่ว่านั้น ท่านอาจารย์ก็เป็นพระอรหันต์นะสิ แล้วทำไมท่านอาจารย์ไม่บวช เพราะพระอรหันต์จะอยู่ในเพศคฤหัสถ์ไม่เกิน 7 วัน ต้องปรินิพพาน......

    อยากให้ท่านอาจารย์ตอบข้อสงสัยของอาตมาด้วย เพื่อให้อาตมากระจ่างแจ้งในสิ่งที่ต้องการรู้เพื่อคลายความสงสัย หากมีอะไรล่วงเกินผิดพลาดไปก็ขออภัยและอโหสิกรรมไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย


    คำตอบ
    ก่อนตอบปัญหานี้ ต้องกล่าวขอบคุณพระพุทธเจ้า ในฐานะครูผู้ทำให้ปัญญาบารมีได้เกิดขึ้นกับผู้ตอบปัญหา ในกาลามสูตรข้อที่ว่า อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์เช่นคิริมานนทสูตรนั้นเป็นสิ่งที่ พระพุทธะตรัสไว้ชอบด้วยธรรมแล้ว ซึ่งผู้ตอบปัญหาได้ประพฤติตามคือไม่เชื่อว่าเทวดามีจริงเพราะตัวเองไม่ สามารถสัมผัสได้จึงได้พิสูจน์ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม สมถกรรมฐานได้เพียง 7 วัน สามารถพิสูจน์จิตให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาณ (อัปปนาสมาธิ) ได้ต่อมาในวันที่ 10 จึงได้ไปเห็นเทวดาว่ามีอยู่จริง ฉะนั้นคฤหัสถ์หรือนักบวชอยู่ใดที่ยังมีสภาวะของจิตเป็นปุถุชนอยู่แต่สามารถ พัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นฌานได้ โลกิยาอภิญญาที่เรียกว่าตาทิพย์ (ทิพพจักขุ) ย่อมเกิดขึ้นกับจิตของผู้เป็นปุถุชนนั่นแล้ว ส่วนคฤหัสถ์หรือนักบวชผู้ใดที่ไม่สามารถพัฒนาจิตจนเข้าถึงความเป็นฌานได้ รวมถึงพระอรหันต์สุกขวิปัสสโกก็ไม่สามารถเห็นผีเห็นเทวดาได้เว้นไว้แต่ว่า อมนุษย์เหล่านั้น จะเนรมิตอยู่ในรูปกายหลายให้ตาเนื้อตาหนัง สามารถมองเห็นได้เข้าจึงจะมีสิทธิ์เห็นผีเห็นเทวดาได้

    สุดท้ายผู้ตอบปัญหาพูดว่า ไม่มีกรรมใดที่เกิดขึ้นจากการถามปัญหาไม่เป็นโทษต่อกันและกัน นั่นคือยุติไม่เอาโทษ (อโหสิ)
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ตอนนี้หนูอายุ 20 ปี เป็นคนจิตใจรวนเร เรียนไม่ค่อยเก่ง พูดไม่ค่อยเป็นขี้หลงลืมง่ายไม่ค่อยจริงจังกับชีวิต แต่บังเอิญได้ทำงานดีในสำนักงานแห่งหนึ่งตำแหน่ง บัญชี รู้สึกว่ายากและเกินความสามารถของตัวอง ขณะที่ทำงานอยู่นั้นมักใจลอย ตาลอย ซึมเซา หาวและง่วงนอนมากตลอดและมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ทำงานได้ 3 เดือนครึ่ง ได้ยื่นใบลาออกแล้วค่ะ และเป็นคนขี้เกียจไม่อยากทำงานเลยค่ะ เพราะรู้สึกเบื่อต่อสิ่งที่ไม่ดี ไม่ชอบค่อยชอบทำงานบ้านพี่เขาทักว่าเหมือนคิดอะไรในใจอยู่ตลอดเวลา หนูพยายามจะทำให้หายง่วงและฝืนตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่หายจนกว่าจะถึงเวลาเย็นควรแก้ยังไร และจะทำอย่างไรให้ชีวิตหนูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้คะ ขอรบกวน อาจารย์โปรดช่วยแนะนำด้วยนะคะ

    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    จิตที่มีอารมณ์มาก อารมณ์หลากหลาย ให้พลังงานของร่างกายลดลง แล้วความขี้เกียจจะเพิ่มขึ้นประสงค์แก้ปัญหานี้ต้องลดอารมณ์ด้วยการเจริญสติ ให้มีกำลัง ด้วยการสวดมนต์แล้วต่อด้วยอานาปานสติก่อนนอนเมื่อกำลังของสติกล้าแข็งแล้ว ปัญหาก็จะหมดไปได้เองในที่สุด
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูบุญน้อยเพิ่งมาพบทางสายเอกที่ทำให้ทุกข์น้อยลง เอาเมื่ออายุเข้าไปเกือบจะ 50 แล้ว มัวแต่ทำมาหากิน สร้างหลักฐานทางโลก คิดแค่เพียงว่า เราเป็นคนดี ขยัน ทำมาหากินเก่ง เลี้ยงลูกได้อย่างดี ดูแลและส่งเสริมสามีเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นความทุกข์ใจที่คนใกล้ตัวสร้างให้ได้ แต่หนูได้ click คำของอาจารย์ที่ว่า "ต้องยอมให้เจ้ากรรมนายเวรเขาเอาคืนให้หมดในชาตินี้" เหมือนตอนที่อาจารย์โดนแมวข่วนขา ตอนอาจารย์บวช

    ทุกวันนี้หนูยึดคำว่า " ต้องยอม" ไว้เป็นคาถาดับทุกข์ หนูไม่ปริปากพูดตำหนิอะไรเลย ได้แต่นึกไว้เสมอว่า " เราโชคดีที่ได้มีโอกาสชดใช้เขาในชาตินี้ ให้มันหมดๆกับไป"

    แต่บางที คำว่า "ต้องยอม" ของเราจะทำให้เขาและคนอื่นๆมองว่าเรา "โง่" หรือเปล่าค่ะอาจารย์ หนูจะใช้คาถาอะไรสะกดคำว่า "โง่" ดีคะอาจารย์

    หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง ที่อาจาย์ได้กรุณาสร้างทางสายเอกเพื่อให้หนูและผู้คนมากมายได้เดินออกจาก ความทุกข์ค่ะ

    คำตอบ
    สัมมาทิฏฐิได้เกิดขึ้นแล้วกับผู้ถามปัญหา ที่เห็นว่าตัวเองเป็นผู้มีโชคดี “ เราโชคดี ที่ได้มีโอกาสชดใช้เขาในชาตินี้ให้มันหมด ๆ กันไป ” สาธุ..

    อนึ่งใครจะมองว่าเราโง่ นั่นแหละคือความโง่ของเขาที่จะต้องมะงุมมะงาหรา นำพาชีวิตเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารอีกยาวนานไม่มีวันจบซึ่งไม่ต่าง ไปจากคนตาบอดหลงทางอยู่กลางป่าใหญ่หาทางออกไม่เจอนั่นเอง
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ในบางช่วงหนูจะว่างมากๆ ไม่มีงานเข้ามาเลย บางครั้งอาจจะทั้งวันเลย ดังนั้นในช่วงเวลาว่าง หนูก็จะเอาอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานมาทำบ้าง เช่น อ่านบทความธรรมมะในคอมพิวเตอร์ ฟังธรรมมะผ่านหูฟังบ้าง แต่ก็ไม่เสียงานนะค่ะ พอมีงานเข้ามาก็ทำทันทีเลยค่ะ บางครั้งก็ศึกษางานเพิ่มเติม(แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ศึกษามากนัก)
    หนูมีคำถามเกี่ยวกับศีล 5 และธรรม รบกวนขอสอบถามท่านอาจารย์ ดังนี้ค่ะ

    1. การที่เราอ่านบทความธรรมมะในคอมพิวเตอร์ ฟังธรรมมะผ่านหูฟังบ้าง ในเวลางาน ผิดศีล 5 และธรรม หรือเปล่าค่ะ มากน้อยอย่างไรค่ะ
    (เพราะจริงๆ เค้าจ้างให้เรามาทำงานให้เค้า ไม่ได้ให้มาทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงาน แต่ว่าบางครั้งมันว่างงานจริงๆ ค่ะ)

    2. การใช้ e-mail ที่บริษัทจัดให้ (ชื่อเราเอง) ส่งในเรื่องส่วนตัว และเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้ในคอมพิวเตอร์ของบริษัทที่ให้ไว้ทำงาน ผิดศีล 5 และธรรม หรือเปล่าค่ะ มากน้อยอย่างไรค่ะ หมายเหตุ: จริงๆ บริษัทก็ได้เขียนไว้ว่า ห้ามส่ง e-mail ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน และห้ามเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัท แต่ผู้บริหารบางท่านก็ได้ไม่ทำตาม และดูเหมือนบริษัทเองก็ไม่ได้เข้มงวดมาก

    3. การที่เราเอาซองทำบุญและจัดโครงการบุญต่างๆ แล้วก็มีการใช้เวลางานไปบอกบุญต่างๆ ในเวลางาน บางครั้งก็ใช้เวลามากบ้าง บางครั้งน้อยบ้าง
    (เป็นช่วงที่งานเสร็จแล้ว แต่ยังอยู่ในเวลางาน) ผิดศีล 5 และธรรม หรือเปล่าค่ะ มากน้อยอย่างไรค่ะ

    หนูควรปฏิบัติธรรมอย่างไรในขณะที่ว่างๆ และไม่มีงานเข้ามาค่ะ อาจจะดูเป็นคำถามที่คิดมากไปหน่อย แต่ก็ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ ช่วยให้คำแนะนำด้วยค่ะ
    ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    (1) อ่านและฟังบทความธรรมในเวลางาน หากมีเจตนาเอาความรู้ที่ได้จากการอ่านและฟังมาประยุกต์ใช้กับงานที่ทำไม่ถือ ว่าผิดศีลผิดธรรมดูให้ออกว่าผู้รู้จริงไม่เคยปล่อยใจให้ว่างจากงาน ทุกขณะเวลาที่เคลื่อนไปจะมีสติกำกับทุกอิริยาบถจึงทำให้เวลา ที่ผ่านไปนั้นมีคุณค่าเพราะชีวิตได้เรียนรู้งานเรียนรู้คุณโดยเฉพาะเรียนรู้ ตัวเองนั้นดีที่สุด ควรปรับทัศนคติในการทำงานให้ถูกต้องแล้วเวลาว่างงานจะไม่เกิดขึ้น

    (2) การนำอีเมลล์ของบริษัทมาใช้ในเรื่องส่วนตัว รวมถึงการไม่ปฏิบัติตามวินัยของบริษัท ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลและผิดธรรมคนอื่นละเมิดวินัยเป็นเรื่องของเขา หากผู้ถามปัญหาประสงค์ความก้าวหน้าในทางธรรมต้องไม่ประพฤติเช่นนั้น ถามว่าผิดมากหรือผิดน้อยขึ้นอยู่กับมุมมองในทางโลกถือว่าเป็นความผิด แม้จะผิดไม่มากและทางบริษัทก็มิได้เข้มงวด

    (3) ผิดทั้งศีลผิดทั้งธรรมครับ สิ่งที่ผู้ถามปัญหาควรทำคือใช้เวลาว่างช่วงพักเที่ยงวันไปทำอะไรก็ได้ที่ เป็นเรื่องส่วนตัว เช่นอ่านบทความธรรมะ ฟังธรรมถักลูกไม้ฯ หากเป็นการว่างในเวลางานควรหาความรู้อยู่เสมอด้วยการสนทนาปรึกษา อ่านฟังสิ่งที่เป็นความรู้ที่เกี่ยวกับสายงาน หรือนำมาใช้ประโยชน์กับงานที่ทำเพื่อให้ผลงานออกมาดียิ่ง ๆ ขึ้น
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1 ถ้าหากอธิฐาณจิต เมื่อทำบุญใดว่าขอให้ข้าพเจ้ามีบารมีแก่กล้าในการเสริมสร้างทาน ศีล สมถะวิปัสสนา ให้เต็มอิ่มบริบูรณ์และถูกต้องได้โดยง่ายดาย ตราบเข้านิพพานเทอญ จะทำให้เข้านิพพานช้าหรือไม่ และเป็นการสร้างเหตุที่จะให้ผลต่อไปในอนาคตอย่างไรบ้าง ดีหรือไม่ดีอย่างไรบ้าง

    2 การพบเหตุการณ์ไม่รบกวนจิตใจ ไม่พอใจเช่นคนทะเลาะกัน แล้ววางอุเบกขา กับวิธีที่บอกให้ดูรู้อยู่ ยินหนอ ไม่ชอบหนอ เฉยหนอ อย่างไหนจะดีกว่า และแตกต่างในผลการปฏิบัติอย่างไร การวางใจเป็นอุเบกขาจะเป็นหินทับหญ้าหรือไม่

    3 ถ้านั่งสมาธิภาวนาว่า ละโลภโกรธหลงตัดสังขารเข้านิพพาน จะได้หรือไม่อย่างไร เป็นการสร้างความรู้สึกทางใจ และการเห็นภาพซ้อนภาพที่เห็นด้วยตาปกติ เหมือนมีแผ่นใส อีกภาพ และเหมือนหน้าผากตรงกลางหมุนทำงาน เป็นภาพในบ้านแต่น่าจะเป้นคนที่ เป็นเจ้าที่เป็นภาพซ้อนปัจจุบันที่เห้นซ้อนกันในเวลาเดียวกัน เห็นทั้งสองภาพจิตไม่คิดอะไร เห็นเอง ซ้อนทั้งสองภาพ ใช่ตาที่สาม หรือตาทิพย์ แต่ไม่ได้มองทะลุผนังได้นะคะ

    คำตอบ
    (1) เพียงแต่อธิษฐานอย่างเดียวไม่สามารถนำจิตเข้าถึงพระนิพพานได้ หลังจากอธิษฐานแล้วต้องทำให้ถูกตรงคือนำตัวเข้าไปฝึกกรรมฐาน จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปกำจัดกิเลสที่เรียกว่า สังโยชน์ทั้งสิบตัวให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด การเข้าถึงพระนิพพานจึงจะปรากฏเป็นจริง ส่วนจะเข้าถึงพระนิพพานได้เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้สร้างและสั่งสมไว้ในจิต ยังขึ้นอยู่กับความเพียรยังขึ้นอยู่กับการปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรมฯลฯอีก ด้วย

    (2) อุเบกขาที่มีลักษณะเหมือนกับหินทับหญ้า ผู้ใดพัฒนาสมถกรรมฐานจนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้เมื่อจิตเข้าถึงฌาน ที่สี่ จะเกิดอุเบกขาและเอกัตตตาขึ้นกับจิต เมื่อนำจิตออกจากฌานอุเบกขาที่เคยเข้าถึงจะหายไป แล้วเกิดอารมณ์ปรุงแต่งขึ้นกับจิต จึงได้เรียกอุเบกขาในลักษณะเช่นนี้ว่า “ เหมือนหินกับหญ้า ”

    การได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน แล้วจิตของผู้ได้ยินหวั่นไหวจึงทำเป็นไม่สนใจในเสียงที่ได้ยิน อย่างนี้เป็นอุเบกขาที่เกิดจากโมหะเป็นเหตุ

    เมื่อได้ยินเสียงแล้วใช้จิตตามดูรูอยู่ แล้วกำหนดว่า “ ยินหนอๆๆ ” “ ไม่ชอบหนอๆๆๆ ” “ เฉยหนอๆๆๆ ” อย่างนี้เป็นวิธีดึงสติกลับมาสู่ตัว

    เมื่อได้ยินเสียงแล้วขณะจิตเป็นอุปจารสมาธิ หากตามพิจารราเสียงที่ได้ยินว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อเสียงที่ได้ยินเข้าสู่อนัตตาปัญญาเห็นแจ้งในเรื่องของเสียงที่ได้ยินจะ เกิดขึ้น จึงไม่รับเอาเสียงเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้นกับจิต เพราะรู้ว่าเสียงเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน จิตจึงปล่อยวางเสียงแล้วว่างเข้าสู่อุเบกขารมณ์นี่เป็นวิธีที่ผู้รู้นิยม ปฏิบัติ

    (3) การภาวนาดังที่บอกเล่าไปนั้นสามารถทำได้ แต่เป็นการทำเหตุที่ไม่ถูกตรองต่อการเข้าสู่พระนิพพานตามแบบอย่างของพระพุทธ โคดม คือการดับรูปดับนาม แต่หากเป็นนิพพานแบบพรหมมีทางเป็นไปได้คือรูปนามไม่ดับหรือดับแต่รูปนามไม่ ดับ แล้วกำลังของฌานจะผลักดันจิตวิญญาณไปสู่การเกิดเป็นพรหมที่มีอายุขัยยาวนาน เป็นมหากัปมีฌานสมาบัติเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง

    อนึ่ง การทำจิตตภาวนาแบบนี้เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวโอกาสเข้าถึงโลกิยอภิญญา เช่นทิพพจักขุ ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ฯลฯ จึงมีได้เป็นได้ดังที่บอกเล่าไป
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมสนใจเรื่องธรรมะ
    และมีข้อทีสงสัยเกิดขึ้นจาการปฏิบัติธรรมของผมและจะเรียนขอรบกวนเวลาท่าน ดร.ช่วยคลายความสงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยครับ และขอคำแนะนำแนวทางแก้ไขหรือแนวทางที่จะได้พบความจุดหมายถึงมรรคผลในชาตินี้ ครับ

    1. ผมปฏิบัติธรรมโดยศึกษาเอง อ่านในตำราจากหลายสำนัก ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือธรรมะมากอ่านของทุกคนทุกสำนักที่พอจะมีให้อ่าน อ่านในเวปไซค์บ้างหนังสือจากพระต่างๆ หรือท่านอาจารย์ที่ทำหนังสือออกมาจำหน่าย ผมก็อ่านเกือบทุกคน ผมรู้จากหนังสือและปฏิบัติตามที่ท่านอาจารย์ ดร. หรือท่านอาจารย์ต่างๆ เขียนไว้
    อย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติแบบมีอาจารย์หรือไม่มีครับ

    2. ผมสนใจธรรมะครั้งแรกจากการไปวัด แล้วมีหนังสือหลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง ท่านเขียนแล้วอ่านก็เกิดความสงสัย ว่าเรื่องจริงหรือบทนิยาย ไม่ค่อยเกิดความเชื่อมั่นเต็มร้อยครับ แต่ก็ทำให้ผมสนใจและศึกษาปฏิบัติธรรมมาจนทุกวันนี้ครับ ประมาณ 10 เดือนมาแล้วครับ แต่ก่อนก็ทำบุญ ทำทาน ไม่เคยภาวนา หรือนั่งสมาธิหรอกนะครับ แต่สวดชินบัญชรมาประมาณ 10 ปี ไม่สวดทุกวันหรอกครับ สวดบางวัน ปัจจุบันสวดเยอะครับ สวดทุกบทที่อยากสวดเลยครับ หนังสือพระมีเท่าไรก็สวดเกือบหมด แต่สวดทุกคนคือ ชินบัญชร พาหุง-มหากา สวดบทไตรปิฏก เกือบทุกวัน แล้วก็ ภาวนา ดูลมหายใจเกือบทุกวันแต่ไม่นานเกิน 30-60 นาที แต่ทำบ่อยๆ เพราะนั้งนานมันมีเหน็บชาเกือบทั่วร่างกาย โดยเฉพาะนั้งภาวนาปวดมากๆ เกือบตาย ผมผ่านเจอที่อาจารย์บอกเอาชีวิตเข้าแลก ผมลองบ้างเกือบตายแต่พอทำไปประมาณ 1 ชั่วโมงให้หลังกับรู้สึกว่าดี ปวดไม่มาก อาจารย์ทรมาณเกือบตาย หายไปจริงๆ อย่างที่อาจารย์ว่า แต่ไม่หายขาดไปเสียเลยนะครับ ยังเหลือนิดหน่อยพอรู้สึกบ้าง ไม่กังวลทนทรมาณเหมือนช่วงแรกๆ มันจะเป็นอย่างนี้ประจำ ผมเลยทำน้อยๆ แต่บ่อยเอา หากจะทน กำหนดหายหนอๆ ไปทุกครั้งผมไม่รู้ว่าจะหายจขาดหรือเปล่า

    3. เรื่องฆ่าสัตว์ หรืออิจฉาคน ดื่มสุราผมไม่กลัวศิลข้ออื่นผมทำได้ครับ แต่ข้อกาเมเนี้ยไม่ค่อยจะได้ครับ เพราะรู้ตัวตัณหากามารมย์ยังมากอยู่ ผมไม่มีแฟนนะครับ เกิดอารมย์ก็ช่วยตัวเอง ดูหนังเอ็กซ์เอาครับ ไม่รู้ว่าบาปหรือไม่ ดูเวปไซด์เอาหรือเล่นเวปแคมป์เอาครับ ผมว่าคงบาป ไม่มากนะครับ เพราะไม่ได้ผิดของใครครับ

    4. ปกติ ผมเป็นคนใจบุญอยู่แล้วครับ หากเจอใครเดือดร้อนหรือคนน่าสงสารผมช่วยได้ผมก็ช่วย หรือบางทีแม้ว่าตัวเองจะเดือดร้อนก็ช่วย อย่างทำบุญ มีเงินหรือมีน้อยผมก็ทำเพราะอยากทำ เพื่อนบอกหากไม่พอจะกินแล้วเราเดือดร้อนอยู่ อย่าไปทำ แต่ใจผมมันชอบทำบุญครับ ช่วยเหลือคนอื่น สงสารคนอื่นหากมีเงินตอนนั้นจะช่วยเลย ไม่สนใจอนาคตว่าจะเดือดร้อนหรือเปล่า ผมทำผิดหรือถูกครับ

    5. ช่วงที่ผมสวดมนต์ ผมเริ่มฝึกสมาธิ ก็เกิดอาการแปลก เกิดกับตัวผมคือ
    - ขณะนอนภาวนาอยู่เหมือนจิตออกจากร่างไปเที่ยว ออกมาเองไม่ได้อยากออกนะครับ เหมือนมันหลุดมาของมันเองครับ ออกแล้วก็พุ่งไป ในใจคิดว่าไปหาพุทธเจ้าครับ คือพอหลุดเหมือนกำหนดเองอัตโนมัตว่าจะไปไหน ตอบเองว่าไปหาพุทธเจ้าทันที เหมือนรู้สึกว่าจิตพุ่งไปเร็วมากสักครูเดียวถึงใครไม่รู้หน้าตาไม่เหมือน พุทธเจ้าเลย เห็นก็ไม่ค่อยชัดเห็นแค่ช่วงใบหน้ากรึ่งกลางหน้า หยุดดูหน้าท่านนั้นสักครู่ก็กลับคืนร่างเลย ( เวลาไม่เกิน 5 นาที่เองครับ) พอเห็นก็มองหน้าท่านแล้วก็กลับเลยไม่พูดอะไรเลยเหมือนสมาธิคลายก็กลับเองยัง งั้นแหละครับ ไม่ทราบว่าเป็นใครไม่แน่ใจไม่เคยเห็นมาก่อน ทางที่ตรงไปก็เป็นถนนลูกรังครับ น่าจะเป็นชนบท เห็นแต่ถนนและป่าข้างทางเห็นเพียงเท่านั้นจริงๆ ไม่ชัดเจนเหมือนตาเนื้อ ตรงไปก็ถึงเลย สักพักก็กลับ ผมคิดไปเองหรือจิตออกไปจริงครับ แต่ก่อนไม่เคยเป็นอาการอย่างนี้ เหมือนจิตพุ่งออกไปเร็วมากแล้วก็กลับเร็วเหมือนสมาธิคลายตัวครับ เลยกลับเข้าร่าง สมาธิผมคงไม่แกร่งพอใช่ไหมครับ

    - ครั้งที่สองก็เกิดขึ้นอีกวันใกล้ๆกันกับที่เกิดนั้นหละครับ คราวนี้ออกมาเหมือนออกเดินออกมาจากร่างเลยมองดูร่างตัวเองก็เห็นนอนตะแคง ข้างอยู่เพราะว่าผมนอนตะแคงข้างภาวนาอยู่ครับ ตอนจะออกผมรู้อาการจะเหมือนแน่นน่าอกนึบๆ แล้วก็หลุดครับ คราวนี้เดินทางหลังห้อง ห้องผมเป็นคอนโดมิเนียม พอออกมาเหมือนไปติดที่สายไฟด้านหน้าคอนโดครับรู้สึกว่ามันเก๊ะกะไปหมด ใจเกิดหงุดหงิด พอไปอีกก็เจอยอดต้นไม้รกรุงรังไปหมด ผมเอามือไปปัดออก แต่พอนึกได้ว่านี้เป็นจิต ไม่ใช่ตัวมนุษย์ ก็นึกขขึ้นได้ว่าต้องตั้งจิตใหแข็งแกร่ง พอคิดได้ก็หลุดพุ่งตรงไปหาพุทธเจ้าอีกแล้ว แต่คราวนี้ตรงไปที่ ที่เป็นป่าครับ มีหมู่บ้าน และมีคนนั่งอยู 2 คน ครับ คนแรกที่เห็นหน้าคล้าย ย่าผมเอง แต่จิตบอกไม่ใช่ ผิวพรรณเหมือนคนเป็นโรคผิวขรุขระ เต็มตัวเลย อีกคนคุยกับผม แต่ยังไม่ทันคุยกันเหมือนครั้งแรก สมาธิคลายจิตกลับเข้าร่างอีกแล้ว ในใจที่จะพูดกับเขาเรื่องจะให้เขาช่วยเจรจากับเจ้ากับนายเวรให้ครับ จิตผมบอกอย่างนั้น ก็งง ว่าเวลาจิตออกจากร่างทำไม ผมถึงนึกไปหาแต่พุทธเจ้าทุกครั้ง แต่ไม่เคยเจอ กลับเจอคนอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำและที่ไปก็ไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้ง ขอถามว่าจิตหลอกตัวเองหรือเปล่าทำไมเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนจริงมากเลยครับ และก็กลับเองทั้งที่ยังไม่อยากกลับเลย คุยกันยังไม่รู้เรื่องเลย

    - ครั้งที่ 3 ครับ เกิดขึ้นติดๆกันเรื่อยๆ คราวนี้ เกิดขณะผมนอนภาวนาและพี่เขยเปิดทีวีเอาไว้ แต่ผมไม่ทราบหรอกว่าเป็นช่องไหน ทางช่องนั้นเป็นรายการสารคดี
    ขณะที่พิธีกรพูดถึงว่า ที่ประเทศลาวมีพระอรหันต์เกิดขึ้นขณะท่านวาดรูป พอได้ยินผมเกิดอาการตึงๆที่หน้าอกผมรู้ว่าเป็นอาการที่เหมือนจิตหลุดออกทุก ครั้งที่ผ่านมาผมก็ปล่อย ไปตามที่รู้ พอปล่อยปุ๊บ หลุดตรงลิ่วไปลาวเลยครับ จิตบอกว่าตรงมาถึงแล้ว ก็หยุดที่หน้าท่านเลย เห็นเพียงแสงสว่างออกมาจากตัวท่าน รัศมีสีเหลืองๆครับ ผมก็คิดตั้งจิตให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะมองเห็นท่านให้ชัด ขึ้น แต่สว่างชัดขึ้นบ้างไม่มากหนัก ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือว่าเป็นองค์พระแน่ครับเพราะว่ารัศมีบังไว้คล้ายจะเป็น พุทธรูปหรือไม่ก็น่าจะเป็นท่านนั้งสมาธิอยู่ครับ ท่านรู้นะครับว่าเรามาแต่ท่านก็ไม่พูดอะไรเฉย สักแต่ว่ารู้ครับ ผมเหมือนเห็นตัวคลานไปกราบท่านเสร็จก็คลานหันหลังกลับเลย พอกลับมาห้องผม เกิดบัญหาครับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ครับ ไม่เห็นร่างตัวเอง จับดูคลำดูไม่แน่ใจลังเลสังสัย ว่าเป็นเราชัวร์หรือเปล่ายังงั้นแหละครับพอสักพักก็ไปดูพี่เขยนอนอยู่ท่า เดิม ทีวีก็เปิด ไปใต้เท้าพอเลียวหมองเห็นว่าเขานอน ก็มายับแขกดูตัวเอง สักพักก็เข้าได้ครับ แต่คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งเก่าๆ ครับรู้สึกเหนื่อยครับ คงเป็นเพราะจิตเราเกิดสงสัย เลยไม่แข็งแรงใช่ไหมครับ

    - ครั่งที่ 4 ผมออกหลายครั้งติดๆกันครับไม่นานแต่เหมือเกิดต่อเนื่องพอออกแล้วเข้า แล้ว ออกสลับกันไป 3 ครั้งเลยครับ
    เกิดที่ไม่นานก็สมาธิคลายกลับเข้าร่างเหมือนเดิม ออกมาจากร่างเหมือนผมนอนลอยไปผ่านโบสถ์หรือวังอะไรสักอย่าง มองหน้านอนลอยไปผ่านที่เห็นเป็นโบสถ์หรือวังใหญ่ เหมือนเรานอนหงายหน้าลอยผ่านไปบ้าง เพราะออกคราวนี้ผมตามรู้ว่ารู้ๆ ๆ ไปเรื่อย ลอยไปช้า โบสถ์เห็นลายโบสถ์สวยงามมากชัดเจนครับ เห็นแต่เพดานโบสถ์ครับเพราะรู้สึกว่าจิตนอนงายหน้าขึ้นข้างบนไป ด้านล่างหรือข้างๆ ไม่เห็น ผมตามดูจิตทีเห็นไปเรื่อย ใจก็กำหนดดูหนอ เห็นหนอ ช้าๆ ผ่านไปพอผ่านโบสถ์มาก็ลอยไปช้าๆ ไม่พุ่งปรื๊ดเหมือนครั้งก่อน เพราะผมใช้สติตามกำหนด ตามทีผมอ่าน ท่าน ดร.ให้หนดรู้ไปเรื่อยๆ พอไปถึงปลายทางเหมือนเป็นหมู่บ้านป่ามีทางเข้าไปถึงหน้าบ้านใครไม่รู้ครับ พอผมตามรู้ไปเรื่อยคิดจะลืมตาดูซิให้มันแจ่มชัดในใจคิดแอย่างนั้น เลยลืมตามา สมาธิคลายเลยกลับร่างกลายเป็นห้องเราไป
    งงๆ ครับ ไม่รู้ว่าเป็นฝันหรือหลุดไปจริง

    ขอแสดงความนับถือ

    ผมลืมเล่าไปว่าก่อนหน้านั้นจะเกิดอาการเหมือนจิตหลุดก็มีอาการได้ยิน เสียงผู้หญิเสียงนกเสียงดังมากๆแววมาในหูแล้วสมาธิก็คลายเพราะรำคาญเกิดแป๊บ ครับ
    เห็นภาพพระบ้างนิดหน่อยแล้วก็หายครับ ผมไม่ค่อยเห็นความสงบเลยครับ แต่ผมฝึกบ่อยๆแต่ไม่นานครับ ประมาณครั้งละ 30 นาที- 1 ชม.ครับ เกิดบ้างนิดหน่อยครับ แต่ไม่ฟุ่งซ่านนะครับ อาการที่เกิดจิตหลุดมันจะเป็นหลังจากผมภาวนาสวดมนต์ครับ หากไม่สวดมนต์หรือสวดน้อย ภาวนาน้อยไม่เกิดขึ้นครับและผมก็ไม่ได้ไปกำหนดมันครับเหมือนเวลาที่ภาวนา อยู่จะรู้อการเกิดครับแน่นหน้าอกนิดหน่อย บอกอาการไม่ค่อยถูกครับ แต่รู้หากเป็นอย่างนี้แล้วจะเกิดหลุดครับ

    ผมเองต้องการความสงบจาการภาวนา แต่ไม่เห็นค่อยมีครับ มีแต่อการภวังค์ครับตื้อๆ ครับนิ่งๆ แต่เกิดขึ้นไม่นานพอผมสงสัยว่าเกิดอะไร ผมก็ดึงกลับก็หายไปเลย ก็ต้องภาวนาใหม่ครับ ผมจะปล่อยให้ภวังค์นานๆ ดีหรือไม่ครับหรือว่าผมควรทำอะไร วิปัสนาญาณ ที่อาจารย์พูดถึง ไปตามดู ร่างกาย เวทนา สังขารอะไรเนี้ยผมก็ไม่รู้จะตามดูยังไง ผมเองรู้ว่าสังขารไม่เที่ยง ที่อาจารย์เล่าก็เข้าใจหมดแล้วคับ ว่าไม่เที่ยง ร่างไม่จีรังไม่มีตัวตน มีแต่ ธาตุ ดิน ไฟ ลม น้ำ อย่างที่เข้าใจ ผมก็เลยงงๆ ว่าต้องไปตามดูยังไงในเมื่อเรารู้อยู่แล้วครับ และผมจะตัดกิเลสยังไงครับ กิเลสผมว่าผมมีไม่มากครับ เวทนามีมากครับ เวลานั่งสมาธิเนี้ยมากๆ แต่พอเห็นอาจารย์บอกตามรุ้ปวด เจ็บ คันหนอมันก็ดีขึ้นครับไม่หายไปหมดทีเดียว ผมก็ภาวนาต่อเพราะไม่สนใจมันเท่าไร สนใจภาวนาอย่างเดียว ก็สงบขึ้นครับ แต่ผมเบื่อตอนพอนั่งไปนานประมาณ 30 นาทีเริ่มมีอาการปวดๆ เหมือนเดิมแต่ไม่แรงเหมือนกระดูกระแตกเสียให้ได้เหมือนครั้งแรก ๆ หรอกครับ
    ผมก็ทำตามอาจารย์สนองว่าแหละครับ ผมเชื้อมั่นอาจารย์สนองมาก พูดตรงและตอบตรงดีครับ

    เรื่องแก้กรรมผมก็เชื่ออาจารย์ครับว่าไม่สามารถจะไปตัดกรรมตัดเวรได้แน่ นอน หากตัดได้คนเราทำกรรมไว้ก้อไม่ต้องรับผลกรรมกันหมดแล้วใช่ไหมครับ ผมคิดว่าหากเรามีกรรมก็ควรสร้างกรรมดีขึ้นไปให้มากๆ เวรกรรมอาจจะตามเราไม่ทันก็ได้หรือหากเราเข้านิพพานไปแล้วเท่านั้นแหละกรรม ถึงจะตามเราไม่ได้ ผมเชื้ออย่างที่อาจารย์เชื้อครับ บางสำนักพอใครเข้าปรึกษาก็ช่วยเกือบหมดครับ ตัดเวร ตัดกรรมให้หมด เหมือนกะเป็นการหลอกลวงกันอย่างนั้นแหละ ใครเชื่อก้อบ้าแล้วครับ ผมเลยเชื่ออาจารย์ ดร.สนองดีกว่า ครับ สอนได้ดีและน่าอ่านน่าปฏิบัติตามกว่า บางอาจารย์ที่ผมอ่านแล้วเชื้อไม่ถึง 50 % ครับ อะไรพอลูกศิษย์เล่าอาการอะไรให้ฟังท่านก็บอกดี บอกปฏิบัติดแล้ว บุญเก่าทำมาดีแล้ว อะไรก็ดีไปหมดครับ ผมจะศรัทธาเต็มร้อยก็ไม่สนิทใจครับ

    คำตอบ
    (1) ผู้ใดมีสติกำกับจิตจะเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวล้วนเป็นครูสอนใจ ฉะนั้นหนังสือที่ผู้ถามปัญหาอ่านถือว่าเป็นครูสอนใจได้

    (2) การสวดมนต์จะสวดบทใดก็ตาม ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น การกำหนดดูลมหายใจเข้า-ออกเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นกลางผู้ใดเอาเวทนา (อาการเหน็บชา,ปวดขา) มาใช้จิตตามดูให้เห็นว่าเวทนาเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อเวทนาดับ(อนัตตา)อาการเหน็บชาอาการปวดไม่มีตัวตนความเห็นแจ้งในเวทนาจะ เกิดขึ้นนี่เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูงสุดที่เรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน ผู้ใดมีบุญบารมีสั่งสมมามากแต่ชาติปางก่อนผู้นั้นสามารถปฏิบัติธรรมได้เอง โดยไม่ต้องมีครูเนื้อครูหนังมาพร่ำสอน

    (3) เป็นบาปไม่มาก ซึ่งถูกตามความเห็นของผู้ถามปัญหาแต่ผู้ตอบปัญหาบอกว่าหากยังคงพฤติกรรมเช่น ที่บอกเล่าไปไว้ การปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้ดวงตาเห็นธรรมตามแบบของพระพุทธะจะไม่สามารถเกิด ขึ้นได้

    (4) เป็นการทำถูกของผู้ถามปัญหา คือเป็นผู้มีเมตตากรุณาซึ่งเป็นหนึ่งในเบญจกัลยาณธรรม (เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะ สติสัมปชัญญะ) ที่ผู้มีความเป็นมนุษย์เขามีอยู่ในจิตใจ

    (5) ที่บอกเล่าไปทั้งหมดเป็นโลกิยอภิญญาที่ผู้รู้ปฏิเสธ และไม่แนะนำให้ใครผู้ใดเอาจิตไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้ เพราะนั่นคือความเห็นผิด เห็นการหลงทางที่นำชีวิตออกไปจากการพ้นทุกข์ ซึ่งมิใช่ทางดำเนินของพระอริยะ

    อนึ่ง ผู้ถามปัญหาพูดว่ามีความเชื่อมั่นและทำตามผู้ตอบปัญหา หากคำกล่าวนั้นเป็นคำจริงต้องลด ละ เลิกสิ่งที่บอกเล่าไปทั้งหมด แล้วหันมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยการเอาจิตที่มีความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาญาณ) จะเกิดขึ้นเป็นโคมส่องสว่างส่องทางดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ปัจจุบันนี้ ดิฉันอายุ 31 ปี แล้วแต่ไม่คู่และก็ยังไม่ลูกและยังไม่ได้แต่งงานเหมือนคนอื่น แต่ตอนนี้ดิฉันก็มีบิดาและมารดาที่จะต้องคอยดูแลอยู่ อยากถามว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่าค่ะ แต่ใจของดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องดี ในด้านของการปฎิบัติธรรม แต่ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่านะค่ะ

    2. พี่ที่งานเดี๋ยวกันเค้าแต่งงานแล้วแต่ยังไม่ลูกหรือถือเป็นเรื่องดีหรือเปล่าค่ะ ในทางธรรม เพราะถามบุคคลในทางโลกมักจะบอกว่าไม่ดีควรมีอย่างน้อย 1 คน เพื่อทีจะได้ดูแลเราในต้องที่เราชราภาพแล้ว

    3. ดิฉันได้นั่งปฏิบัติภาวนาไปสักพัก รู้สึกว่าภายในตัวเองเหมือนกันมีดวงจิตดิ่งหรือตกลงข้างล่างไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร และในบางครั้งที่ดิฉันนั่งภาวนาไปเรื่อยจนเกิดเวทนา ก็กำหนดปวดหน่อไปเรื่อยแต่นอกจากอาการที่ปวดแล้วก็มีการอาการเหมือนหายใจไม่ออก รู้สึกแน่นหน้าอกมากจะทำอย่างไรต่อดีค่ะ

    ขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    (1) เป็นความเห็นถูกในทางธรรมซึ่งเป็นเรื่องดีที่มีความเป็นไทแก่ตัว ทำให้โอกาสในการพัฒนาจิตตนเองเปิดกว้างที่จะนำชีวิตไปสู่อิสรภาพในวันข้างหน้า ฉะนั้นเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ดีจะได้เป็นบุญหนุนส่งการปฏิบัติธรรม ให้เข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ง่ายเมื่อเวลานั้นมาถึง ....สาธุ

    (2) คนที่แต่งงานแล้วเป็นคนที่ขาดความเป็นอิสระด้วยมีห่วงผูกมัดมือ แต่ไม่มีลูกมาเป็นห่วงผูกคอ ในทางธรรมถือว่าเป็นเรื่องดีแต่ดีน้อยกวาคนที่ไม่มีทั้งสองห่วงมาผูกมัดเช่น ผู้ถามปัญหา

    อนึ่งการหาที่พึ่งให้คนอื่นมาดูในวัยชรา เป็นความเห็นถูกทางโลกแต่เป็นการแสวงหาที่ไม่ดีนักผู้รู้จึงได้บอกว่า การพึ่งตนเองนั่นแหละดีที่สุด หมายถึงการพึ่งธรรมะที่มีอยู่ในใจตนเอง เพราะผู้ใดมีธรรมอยู่ในใจได้แล้วจะเป็นที่พึ่งที่ดีสุดทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ซึ่งผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เป็นสิ่งที่ดีที่สุดจึงได้แสวงหาธรรมะมาคุ้มครองใจ และเป็นที่พึ่งของใจเพื่อการนำพาชีวิตให้ก้าวข้ามวัฏสงสารในกาลข้างหน้า

    (3) เป็นเพราะจิตเริ่มมีกำลังของสมาธิเพิ่มขึ้น เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น เช่นมีอาการปวด ต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอ ๆ ๆๆ ” ไม่ปล่อย ๆ จนกวาอาการปวดจะหายไป เช่นเดียวกันเมื่อรู้สึกแน่นที่หน้าอก ให้กำหนดว่า “ แน่นอกหนอๆๆๆ ” จนกว่าอาการแน่นที่หน้าออกจะหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม วิธีปฏิบัติเช่นนี้เป็นการเพิ่มกำลังของสติ เพื่อให้ก้าวข้ามทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1) เมื่อสองปีก่อน ดิฉันฝึกนั่งสมาธิเองที่บ้านจากการอ่านหนังสือของอาจารย์และหลวงพ่อจรัญโดย ใช้วิธีตามดูลมหายใจเข้าออก เมื่อเริ่มนั่งใหม่ๆ ดิฉันรู้สึกดีมาก และมีความสุขสงบใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเมื่อออกจากสมาธิ รู้สึกเหมือนตัวลอยตลอดเวลา เป็นเวลาถึง 3 วัน จิตใจแจ่มใสมาก ไม่โกรธใครเลยทั้งที่เป็นคนขี้โมโห มีความสุขมาก จนกระทั่งมีผีเสื้อ บินตัดหน้ารถตาย ดิฉันเศร้าใจมาก อาการตัวลอยและสุขใจจึงหายไป อยากถามอาจารย์ว่า การนั่งสมาธิเองของดิฉันมาถูกทางแล้วหรือไม่ รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วย (ดิฉันเคยเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นที่ปฏิบัติธรรมฟัง เค้าเตือนว่า อย่าไปเล่าให้คนอื่นฟังเพราะ จะถูกมองว่าบ้า ทำให้ไม่กล้าถามใครอีก)

    2) ช่วงที่ดิฉันนั่งสมาธิ และถือศีล 8 ทุกวันพระที่บ้านเป็นเวลาหลายเดือน ดิฉันมีอาการเจ็บป่วยแปลกๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ ครั้งหนึ่งที่ดิฉันป่วยและ มีเจ้ากรรมนายเวรมาปรากฎให้เห็นเป็นตัวเป็นๆ ไม่ใช่เป็นนิมิตรเหมือนคนอื่นๆที่ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือ ทำให้ดิฉันนึกได้ว่าเคยไปรังแกสัตว์ชนิดนั้นเมื่อตอนเด็กๆ ดิฉันนั่งลงไปกราบขอโทษอยู่นานมาก มันก็ไม่ยอมไป จะไล่ยังไงก็ไม่ไป จนดิฉันเห็นว่ามันจะถูกสัตว์อื่นทำร้ายจึงเข้าไปช่วย และมันก็ยอมบินจากไปเอง และอาการเจ็บป่วยของดิฉันก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที ทำไมดิฉันจึงเห็นเจ้ากรรมนายเวรเป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่ในนิมิตรเหมือนที่คนอื่นเล่ากัน

    3) ตอนนี้ดิฉันกลับมาเริ่มนั่งสมาธิอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไปประมาณเกือบสองปี เพราะหายกลัวจากการถูกทวงหนี้จากเจ้ากรรมนายเวรแล้ว ครั้งนี้ดิฉันรู้สึกว่า สามารถเข้าสมาธิได้นิ่งเร็วขึ้น เมื่อนั่งไปเรื่อยๆ ก็หายจากอาการปวดขาซ้ายทั้งที่เมื่อก่อนเคยปวดมากจนต้องออกจากสมาธิทุกครั้ง เมื่อหายปวดขาก็มีน้ำตาไหลออกมาเองโดยไม่สามารถบังคับได้ พอนั่งสมาธิครั้งต่อไปก็ไม่มีอาการปวดขาข้างเดิมอีกเลย ดิฉันอยากถามให้อาจารย์ช่วยแนะนำว่าดิฉันควรจะทำอย่างไรต่อไป หรือควรจะไปศึกษากับอาจารย์ท่านใด ดิฉันมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะมาปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง เพื่อจะบรรลุธรรม

    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากที่สละเวลาอันมีค่ามาช่วยตอบคำถามของดิฉัน ในครั้งนี้ และขอให้อาจารย์มีบุญบารมียิ่งๆขึ้นไป

    คำตอบ
    (1) การเจริญสมาธิ ปฏิบัติได้ถูกทางแล้ว จงดำเนินปฏิปทาเช่นนี้ต่อไป ผีเสื้อที่บินมาชนหน้ารถแล้วตาย เขาบินมาชนรถด้วยมีกรรมเก่าของเขา เป็นแรงผลักดันผู้มีเมตตาควรสงสารเขาด้วยการอุทิศบุญส่งให้เขาเป็นสุขและไป เกิดใหม่ในภพที่ดีกว่า

    อนึ่งสิ่งที่ผู้ร่วมปฏิบัติธรรมให้คำเตือนนั้นถูกต้อง แล้วสำหรับผู้ฟังที่ยังไม่นำพาชีวิตมาเดินในทางธรรม แต่คนที่เข้าปฏิบัติธรรมแล้วสามารถบอกเล่าให้เขาฟังได้ถือว่าเป็นการแลก เปลี่ยนประสบการณ์ของชีวิตให้แก่กันและกัน

    (2) การที่ผู้ถามปัญหาเห็นเจ้ากรรมนายเวรมาปรากฏตัวนั้นเป็นการเห็นจริง เป็นอุคคหนิมิตแบบหนึ่ง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง เขาจึงบินหายลับไป สิ่งที่ควรทำคือไม่ควรจะไปขับไล่เขาผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ถามปัญหา แต่ควรมีเมตตากรุณาต่อเรา ด้วยการอุทิศบุญกุศลที่คุณมีให้เขาจงเป็นสุข ๆ อย่าได้ผูกเวรต่อกันอีกเลย แล้วอาการเจ็บป่วยดังเช่นที่เคยเป็นก็จะไม่เกิดขึ้นอีก

    (3) ปฏิบัติจนเกิดเป็นความเจริญในธรรมแล้วไม่ควรหยุดปฏิบัต ิควรดำเนินปฏิปทาที่ดีเช่นนี้ให้มีกำลังความดีมากยิ่ง ๆ ขึ้น แล้วต้องรักษาความดีที่ทำได้แล้วให้คงอยู่กับตัวตลอดไป แล้วบททดสอบกำลังใจที่เกิดเอาจิตมาพิจารณาอาการขาว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อการปวดขาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา อาการปวดขาจะดับไปแล้วไม่หวนกลับมาเกิดขึ้นได้อีก จึงจะเลิกพิจารณา เช่นเดียวกันอาการน้ำตาไหล ให้พิจารณาว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการน้ำตาไหลเข้าสู่ความเป็นอนัตตาอาการไหลของน้ำตาจะดับไปแล้วไม่ เกิดขึ้นอีก จึงเกิดพิจารณาอาการเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไปเป็นธรรมดา นี่แหละที่ผู้รู้เรียกว่า “ ดวงตาเห็นธรรม ” คือเห็นว่าสรรพสิ่งมีเกิดขึ้นแล้วสรรพสิ่งย่อมดับไปเป็นธรรมดา จิตจะปล่อยวางสรรพสิ่งจิตเป็นอิสระว่างเป็นอุเบกขาพร้อมกับปัญญาเห็นแจ้งได้ เกิดขึ้น จงดำเนินปฏิปทาเช่นนี้ต่อไป ด้วยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน แล้วอีกไม่นานและไม่ต้องรอ การบรรลุธรรมดังที่ใจปรารถนาก็จะเกิดขึ้น
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อาจารย์คะได้ฟังธรรมะบรรยายของอาจารย์แล้วมีความสำนึกในการกระทำในสิ่ง ที่ผ่านมาที่ทำผิดไว้ค่ะ เช่นนำของในส่วนราชการมาใช้ส่วนตัว และอีกหลายอย่างค่ะขออนุญาติเรียนถามนะคะ
    1. การที่เรานำของราชการมาใช้ส่วนตัวในที่ผ่านมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราจะมีวิธีแก้ใขได้อย่างไรคะที่จะทำให้เราชดใช้สิ่งนั้นๆๆคืนได้
    2. การที่ผิดศีล ทั้ง 5 ข้อที่ผ่านมา เราควรทำอย่างไรเพื่อให้ชีวิตในวันข้างหน้าดีขึ้น และสามารถชดให้อะไรได้บ้างคะในสิ่งที่กระทำลงไป
    3. ทุกวันนี้ก็ศึกษาและปฎิบัติธรรมค่ะ แต่ในใจลึกๆๆจะนึกถึงความเลวร้ายของตัวเองตลอด จะแก้ไขได้อย่างไรคะ

    อาจารย์คะกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

    คำตอบ
    (1) เมื่อมีจิตสำนึกได้แล้วว่าพฤติกรรมที่เคยทำเป็นการทุศีลให้ผลเป็นบาป ผู้ที่จะเจริญในทางธรรม ดังเช่นอัมพปาลี สิริมา อัฒกาสี ฯลฯ ซึ่งเคยมีอาชีพขายบริการทางร่างกาย ได้เลิกพฤติกรรมอันเป็นบาปอย่างเด็ดขาด แล้วเปลี่ยนมารักษาศีลบำเพ็ญทานประพฤติธรรมบุคคลที่อ้างถึงเหล่านั้น เคยทำบาปมากกว่าผู้ถามปัญหาเป็นหลายเท่า ยังสามารถพัฒนาจิตวิญญาณ จนถึงความเป็นอริยบุคคลในพุทธศาสนาได้

    (2) ควรนำดอกไม้ธูปเทียนไปสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือต่อหน้าพระพุทธรูป ต่อหน้าพระธาตุเจดีย์ พระธรรมเจดีย์ ฯลฯ แล้วกล่าววาจาสารภาพบาป แล้วอธิษฐานเลิกประพฤติทุศีลอย่างเด็ดขาด เมื่ออธิษฐานแล้วเสร็จต้องมีสัจจะแล้วปฏิบัติตามข้อ (1)

    (3) แก้ไขปัญหานี้ได้ ด้วยการกระทำให้ได้ตามข้อ (2)
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    กระผมได้ติดตามฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ผ่านทางเวปกัลยาณธรรมมาและ ตามหนังสือเท่าที่จะหามาอ่านได้มาโดยตลอด ซึ่งธรรมที่ท่านอาจารย์ได้เขียนหรือบรรยายไปนั้นเข้าใจง่ายและทำได้ในชีวิต ของฆารวาส เพราะท่านอาจารย์ได้บอกกล่าวหรือแสดงธรรมโดยละเอียดทุกๆเรื่อง กระผมขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ด้วยครับ

    กระผมมีปัญหาขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ด้วยครับ คือว่า ในขณะที่นั่งภาวนาโดยบริกรรมว่าพุท-โธ พอทำไปสักพักเหมือนลืมคำบริกรรมแล้วก็เหมือนจะหลับก็ไม่หลับ คือไม่รู้สึกอะไรเลย อย่างนี้เรียกว่าอาการของอะไรแล้วจะแก้ไขอย่างไร ขอท่านอาจารย์โปรดเมตตาด้วยครับ

    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ดร. สนอง เป็นอย่างสูงครับ

    คำตอบ
    อาการที่เกิดขึ้นเป็นเพราะขันธมารมีกำลังมากกว่า กำลังสติหากประสงค์ผ่านมารต้องเจริญสติด้วยการหายใจเข้าให้ลึกแล้วผ่อนออก ยาว ๆ ด้วยการบริกรรม “ พุทโธ ” ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ หมุนจิตมีกำลังสติกล้าแข็งกว่ากำลังของขันธมาร
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1 จิตที่เป็นอุเบกขารมณ์ได้กับจิตที่เพิ่งออกจากสมาธิ จิตใดมีพลังในการแผ่เมตตามากกว่ากันคะ
    2 ทำอย่างไรจึงจะทำจิตเป็นอุเบกขารมณ์ได้ตลอดคะ
    3 ทำอย่างไรจึงจะมีกัลยาณมิตรอยู่ใกล้ๆบ้างคะ คือหนูรู้สึกว่าทั้งชีวิตหนูมีครูบาอาจารย์ทางธรรมเท่านั้นที่เป็น กัลยาณมิตร ส่วนคนอื่นนั้นไม่ใช่ค่ะ เหมือนเกิดมาใช้เวรใช้กรรมกันยังไงไม่ทราบ แต่ครูบาอาจารย์นั้นก็อยู่ไกลและพบยากจริงๆ อย่างอาจารย์ดร.สนองก็เป็นกัลยาณมิตรของหนู แต่เข้าไม่ถึงตัวท่านค่ะ และไม่อยากรบกวนไปมากกว่าการมาถามคำถามในเว็บด้วย เพราะรู้ว่าอาจารย์มีภารกิจมาก หนูพยายามช่วยเหลือตัวเอง เอาคำสอนของครูบาอาจารย์เป็นแนวทางค่ะ ถูกผิดก็แสวงหาคำตอบเอาเอง แต่ก็อยากได้กัลยาณมิตรที่กล้าพูดความจริงกับเรา เหมือนกับที่อาจารย์เล่าน่ะค่ะว่า มีเพื่อนอาจารย์ทักอาจารย์ว่า ทุเรศ ตอนที่อาจารย์ไว้ผมยาวตอนอยู่อังกฤษ หนูอยากมีเพื่อนอย่างนั้นมั่งจังค่ะ ตัวหนูเองก็พยายามเป็นกัลยาณมิตรกับคนอื่นนะคะด้วยการช่วยเหลือตามที่เรา ช่วยได้ มีความจริงใจ ไม่ทำความชั่วใส่ทั้งต่อหน้าและลับหลัง กล้าพูดความจริง แต่แค่คนเดียวก็หาไม่ได้ เขาไม่ชอบความจริงที่เราทำเราพูด ประหลาดจริงๆค่ะ ยิ่งปัจจุบันใครต่อใครก็เกรงใจเราไปหมด บางทีเราอาจจะทุเรศในสายตาคนอื่นก็ไม่พูด ปล่อยเราไปเผชิญกับคนภายนอก ให้เขาว่าเราแทน หนูเผชิญกับสิ่งนี้บ่อยๆจนคิดว่า นี่เป็นวิบากกรรมหรือเราไม่มีกัลยาณมิตรกันแน่


    กราบขอบพระคุณสำหรับคำตอบค่ะ และหนูขออนุโมทนาบุญกับกุศลกรรมทั้งหลายของอาจารย์ด้วยค่ะ

    คำตอบ
    (1) จิตที่เพิ่งออกจากสมาธิ มีกำลังสติน้อยกว่า จิตที่อยู่ในอุเบกขารมณ์ ฉะนั้นการแผ่เมตตาในขณะที่จิตมีกำลังของสติมากกว่าจึงแผ่เมตตาไปได้ไกลกว่า

    (2) ประสงค์ให้จิตทรงอยู่ในอุเบกขารมณ์ได้ตลอดต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงฌานระดับ 4 (อุเบกขา เอกัคคตา) ให้ได้ตลอดไปและดีที่สุด คือพัฒนาจิตให้เกิดสติและปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ไปตาม ดูสิ่งกระทบภายนอกที่เข้ากระทบจิต จนเห็นทุกผัสสะดับไป(อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ จิตจะปล่อยวางผัสสะ ผันตัวเองเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ซึ่งดีที่สุดที่มนุษย์สามารถพัฒนา ได้

    (3) ต้องสร้างมหาทานแล้วอธิษฐานให้มีกัลยาณมิตรอยู่ใกล้และต้องสร้างเหตุให้ถูก ตรง คือพัฒนาจิตจนเป็นมหาสติ พัฒนาจิตจนเป็นมหาปัญญา ก็จะเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเป็นครูสอนใจ มีกัลยาณมิตรในทางธรรมอยู่ใกล้ มีกัลยาณมิตรในทางธรรมอยู่รอบตัว
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    คำถามดิฉันอาจจะเฟ้อไปเสียหน่อย แต่ดิฉันมีความสงสัยมานานมากแล้ว จีงเรียนถามท่านผู้รู้ที่ปฏิบัติธรรมและได้พบเจอสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง รบกวนช่วยตอบให้คลายสงสัยด้วยเถิด

    ดิฉันเคยอ่านเรื่องเล่าของผู้ที่ตายแล้วฟื้น ที่ได้พบเห็นสวรรค์ชั้นที่ 1,2 เหตุใดผู้ที่อยู่ชั้นนี้ถึงได้มีความเป็นอยู่ที่ลำบาก ลักษณะบ้านเรือนที่อยู่ก็เหมือนในเมืองมนุษย์ ต้องอยู่ในห้องที่มืดมิด ยังมีความหิว ความทุกข์ ฟังดูแล้วเหมือนจะมีความเป็นอยู่ลำบากกว่าตอนเป็นมนุษย์เสียอีก แต่ในหนังสือธรรมะที่ดิฉันเคยอ่าน เทวดาจะอยู่วิมานแก้ว ไม่ว่าสวรรค์ชั้นใดก็จะมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายและมีร่างกายเป็นทิพย์ แต่ทำไมสิ่งที่ท่านไปพบเห็นถึงได้ไม่เหมือนกับในหนังสือที่ดิฉันเคยอ่านเลย

    ด้วยความเคารพและนับถือ

    คำตอบ
    การไปรู้เห็นอมนุษย์ที่มีลักษณะดังที่บอกเล่าไป ไม่ใช่ภพภูมิของชาวฟ้าชาวสวรรค์ดังที่ผู้ตายแล้วฟื้นมาเล่าให้ฟังซึ่งเป็น ความเห็นถูกของเขา แต่ไม่ใช่ความเห็นถูกดังที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือธรรมะ
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูเป็นกุ๊กของโรงแรมแห่งหนึ่งค่ะ มีหน้าที่ประกอบอาหารตามความต้องการของลูกค้า จากการติดตามอ่านหนังสือและเคยเข้ารับฟังการบรรยายธรรมของอาจารย์ หนูขอเรียนถามดังนี้ค่ะ

    1.อาชีพที่หนูทำอยู่นี้ จะผิดศีลหรือเข้าข่ายอาชีพต้องห้ามหรือไม่คะ
    2.ถ้าหากมีความจำเป็นต้องประกอบอาชีพนี้ต่อไป อาจารย์มีคำแนะนำอย่างไรบ้างคะ


    คำตอบ
    (1) ลูกค้าเป็นผู้สั่งให้ผู้ถามปัญหาทำ หากเป็นการสั่งให้ประพฤติผิดศีล ผู้สั่งให้ทำเป็นจำเลยบาปที่หนึ่ง ผู้ทำตามคำสั่งเป็นจำเลยบาปที่สอง ซึ่งเป็นอาชีพที่ถูกต้องทางโลก แต่ไม่ถูกต้องทางธรรมในพุทธศาสนา

    (2) หากยังมีความจำเป็นต้องประกอบอาชีพนี้ต่อไปต้องรู้วิธีบริหารจัดการหนี้เวร กรรมที่เกิดขึ้น ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำที่กล่าวไว้ในเว็บไซด์ข้อ 728
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ข้อ 728

    อาตมาภาพ ได้บวชเรียนในบวรพระพุทธศาสนา สายธรรมยุติ ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานี เมื่อ 14 ก.ค. 2550

    เนื่องจากต้องการปฏิบัติกรรมฐาน อยู่ป่า เพื่อหลีกเร้นและหนีสงสาร จากโลก ((ปัจจุบันจำวัตรอยู่วัดสีตลาราม(ธ) จ.ตาก)) และความที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการประพฤติในเพศฆราวาส จนเป็นเหตุให้ถูกอดีตภริยา ได้ใส่ร้ายฟ้องร้องเป็นคดีอาญา กล่าวหาว่าได้ทำการอนาจารบุตรสาว วัย 4 ขวบ ซึ่งอาตมาภาพในสมัยเป็นฆราวาสนั้น ก็ถูกอดีตภริยาและครอบครัว ได้กีดกันและไม่ให้พบลูกสาวเลยตั้งแต่ ลูกสาวอายุได้ 6 เดือน และต้องต่อสู้ฟ้องร้องกันมาตลอด 4 ปี จนลูกอายุได้ 4 ขวบ และการที่เขาไม่ทำตามข้อตกลงเลย จึงเป็นเหตุให้อาตมาภาพ ขอออกหมายจับและหมายขัง จนศาลอนุมัติตามคำขอ แล้วต่อมาก็เกิดความกลัว จึงส่งมอบลูกสาววัย 4 ขวบ ให้อาตมาภาพ และเป็นเหตุให้เขาและครอบครัว ใส่ร้ายว่าอาตมาภาพ(ฆราวาส) ทำอนาจาร ลูกสาวตนเอง นี่คือกรรม ณ ปัจจุบัน และผูกพันมาแต่อดีตในชาตนี้ ิ

    อาตมาภาพมีความซาบซึ้งในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนา จนเป็นเหตุให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ที่จะครองเพศสมณ เพื่อเจริญในธรรม ตราบเท่าที่บุญยังมีอยู่

    จึงเจริญพร มาเพื่อขอให้คุณโยม ช่วยแนะนำบุพกรรมและกรรมในปัจจุบันแก่อาตมาภาพ
    ตามความเหมาะสมด้วย


    คำตอบ
    นักวิทยาศาสตร์เชื่อในความเป็นเหตุผล เมื่อมีเหตุเกิดย่อมมีผลเกิดตามมาหรือผลที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด ผู้ที่เข้าถึงธรรมในพุทธศาสนารู้ว่าไม่มีแม้เพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยบังเอิญทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิดทั้งสิ้น กรรมวิบาก มีจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหาจึงขออนุญาตแนะนำพระคุณเจ้าว่า การจะให้ปัญหาของพระคุณเจ้าหมดไปสามารถทำได้ 4 อย่างคือ

    1. ยอมรับความจริงของบุพกรรมและยอมชดใช้วิบากของกรรมที่ตามมาทันในชาติปัจจุบัน ชดใช้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น

    2. ทำบุญใหญ่แลกหนี้บุญใหญ่ต้องทำด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนาแล้วอุทิศบุญที่เกิด ขึ้นให้กับเจ้าหนี้เวรกรรม (อดีตภรรยาและลูกสาว) ไปเรื่อย ๆ วิธีนี้เป็นการเอาบุญของพระคุณเจ้าแลกกับหนี้บุพกรรมที่เป็นเวรต่อกัน

    3. สร้างความดีหนีหนี้ ด้วยการพัฒนาตัวเองให้มีความเพียรไม่ประพฤติอกุศลกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น เพียรกำจัดอกุศลกรรมเก่าให้หมดไปเพียรทำความดีทุกรูปแบบให้มีกำลังหนีทัน อกุศลวิบากที่จะตามมาให้ผลและสุดท้ายเพียรรักษาความดีที่พัฒนาได้ให้คงอยู่

    4. หนีเข้านิพพานด้วยการพัฒนาจิตตนเองหมดอาสวกิเลสแล้วดับรูปดับนามเข้านิพพาน

    ทั้ง 4 ข้อเป็นทางปฏิบัติของอริยบุคคล ในการบริหารจัดการนำพาชีวิตของตนเองข้ามวัฏฏะ คือข้ามไปจากความทุกข์ทั้งมวล
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันขอกราบเรียนห้ท่านอาจารย์ทราบดังนี้นะคะ
    ดิฉันสนใจในการปฎิบัติธรรมโดยไปเริ่มต้นที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี กับเพื่อนที่เค้าปฎิบัติอยู่ซึ่ง ตัวดิฉันเองได้ปฎิเสธเค้ามาหลายครั้งมาก จนครั้งสุดท้ายที่จำได้ ในเสียงโทรศัพท์ที่เค้าพูดมา ว่า "มึงต้องรอให้หลวงพ่อสิ้นก่อนหรือมึงถึงจะไป" เสียงที่ว่ามานั้นดิฉันมีความรู้สึกว่าไม่ใช่ เพื่อนดิฉัน ดิฉันก็ขาดงานไปเลยค่ะ แต่ไปแล้วก็ทำไม่ได้ มันจะเกิดอาเจียนอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เวลาท่านพระอาจารย์เทศน์สอนก็ยังจะอาเจียน ก็เลยอธิษฐานจิตว่าท่านพระอาจารย์ ดิฉันจะไม่ไหวแล้วพอก่อนเถิดเจ้าค่ะ เหมือนท่านรับรู้ ท่านบอกว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อน พอลงมา ข้างล่างแม่ชีบอกว่าทำไมวันนี้ถึงเลิกเร็วกว่าทุกครั้ง ปฎิบัติได้ครบตามที่แม่ชีแนะนำค่ะ อาจารย์ แต่ก็ยังไม่ได้ สมาธิหลุดตลอดเลยค่ะ แต่ก็พยายามนะคะ จนคาบสุดท้ายได้อธิษฐาน ถึงหลวงพ่อจรัญ ว่าหลวงพ่อขานี่ก็เป็นคาบสุดท้ายแล้วลูกจะต้องกราบลาหลวงพ่อแล้วขอบารมี หลวงพ่อให้ลูกทำได้ด้วยเถิด ในคาบสุดท้ายก็ทำได้ค่ะ และตัวดิฉันเองก็ยังหาที่ปฎิบัติธรรม ไปเรื่อยๆๆ เพราะไม่ทราบว่าตัวเองถูกกับจริตชนิดไหน เคยเพ่งกสินดิน ก็ไปได้ค่ะ ท่านพระอาจารย์บอกว่ากสินดินเป็นการเริ่มต้นของสมาธิทุกอย่างเพราะกสินอย่าง หยาบ ไม่ละเอียด เหมือนการกำหนดลมหายใจ ทำให้ตัวเองไปได้เร็ว แต่ก็อีกแหละค่ะ เพิ่งกสิณอยู่เห็นดวงวิณญาณ มายืนอยู่ข้างๆๆ ก็กลัวค่ะ เลิกทำเลย อาจารย์ค่ะ โดยนิสัยส่วนตัวดิฉันเป็นคนโกรธงาน โมโหร้าย แต่จะโกรธง่ายหายเร็ว และเป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงามมากค่ะ

    อยากเรียนถาม อาจารย์ว่า
    1.ดิฉันควรฝึกสมาธิชนิดใดคะ ที่ถูกกับจริตของตัวเอง
    2.ดวงวิญญาณที่เห็นคืออะไรคะ
    3.เหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่ดิฉันเคยฝันมาก่อน หรือไม่ก็มีความรู้สึกว่า เป็นเหตุการณ์ที่เราเคยประสบมาและเป็นเพราะอะไรคะ แล้วคืออะไรคะท่านอาจารย์

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากนะคะ ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และ ได้ชี้ทางสว่างให้กับชาวเราตลอดไปนะคะ คำสอนของอาจารย์ทำให้ดิฉันกลัวบาปมาก และ ทุกวันนี้ก็จะมีคำสอนของอาจารย์อยู่ในใจตลอดเวลาค่ะ

    สวัสดีค่ะ

    คำตอบ
    (1) จริตของผู้ถามปัญญาเหมาะต่อการพิจารณาซากศพ (อสุภกรรมฐาน) พิจารณาร่างกาย (กายคตาสติ) หรืออรูปฌาน โดยเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง

    (2) เป็นอมนุษย์ที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งที่ใกล้กับภพมนุษย์

    (3) เป็นเพราะสัญญาเก่าที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิตส่งผลกระทบจิตในขณะที่มีความ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ จึงทำให้เห็นนิมิตปราฏให้จิตสัมผัสได้
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1.เพื่อนคุณแม่ฝากให้ดิฉันซื้อของแห้งถวายพระ แต่เขาไม่ให้เงินเมื่อเจอกัน แม่บอกว่า เราเป็นผู้จ่ายเงินเราได้บุญ (ไม่ติดใจเรื่องเงิน คิดว่าเราอาจเคยติดค้างเขามาแต่ปางก่อน)
    ถาม -เพื่อนแม่แค่เสียสัจจะ แต่จะมีบาปด้วยหรือไม่ เพราะเราบอกพระว่าของนี้มีผู้ฝากมาถวาย (คือถวายของรวมทั้งสองฝ่ายค่ะ)

    2.เมื่อเราไปบอกบุญเรี่ยไรเงินเพื่อสร้างบ่อน้ำให้พระต่างจังหวัดที่มาบอก บุญ แต่เมื่อนำไปถวาย พระท่านมีความจำเป็นต้องใช้เงินนี้ในการขนอัตถบริขารและพระพุทธรูปองค์ใหญ่ จากกรุงเทพกลับต่างจังหวัด(เป็นค่าเช่ารถตู้) ดิฉันได้เรียนให้ท่านแบ่งเงินไปสร้างบ่อน้ำด้วย
    ถาม - ดิฉันไม่ทราบว่าจะผิดและเป็นบาปด้วยหรือไม่ เพราะผู้ให้เงินทราบว่าจะไปสร้างบ่อน้ำ

    3. เนื่องจากเงินปัจจัยต่าขนส่งไม่พอ พระท่านขอบิณทบาตรปัจจัย ขณะนั้นดิฉันเองไม่มีรายได้ มีผู้ใหญ่แนะนำให้จัดเป็นเงินสำรองให้ไป โดยแยกเป็นเงินที่ต้องการถวาย และเงินสำรองจ่ายส่วนที่เหลือ(ไม่ต้องภาวนา เมื่อถวาย) โดยอธิบายให้พระทราบ มีผู้อื่นรับทราบด้วย
    ถาม - เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่ กรุณาแนะนำด้วยค่ะ

    4. ผู้ใหญ่แนะนำให้เรี่ยไรเงินค่าขนส่งจากญาติธรรม และเมื่อได้เงินมาให้หักเงินไว้เท่าที่เราได้สำรองจ่ายไป และส่วนที่เหลือให้นำไปถวายพระรูปนั้น (ผู้ใหญ่แนะนำว่าเงินสำรองนั้น ควรเก็บเอาไว้ต่อบุญโดยใช้เพื่อทำบูญในโอกาสอื่น) * แต่ตอนนี้ดิฉันไม่ต้องการเงินสำรองคืนแล้ว เพราะหาเงินมาได้และจะนำเงินที่เรี่ยไรครั้งใหม่นี้ถวายพระไปทั้งหมด*
    ถาม - .อยากทราบว่า จะเป็นบาป ไหมถ้าเราเอาเงินสำรองส่วนนี้คืน

    5. ตอนเรียนประถม2. ครูให้ไปเรี่ยไรเงินกฐินเพื่อนในโรงเรียน แต่ทางวัดกลับไปแล้ว ครูก็ปฎิเสธจะรับเงินที่ดิฉันเก็บมาให้ (ประมาณ 10 กว่าบาท)ไม่แนะนำอะไร ด้วยความเป็นเด็กอายุประมาณ6-7 ขวบ แต่ไม่ได้ดีใจที่ได้เงินนะคะ รู้สึกกลุ้มใจ ตอนนั้นดิฉันไม่ทราบจะทำอย่างไร คิดว่าไม่มีใครต้องการเงินนี้แล้ว และไม่รู้จะคืนใคร จึงเอาเงินไปซื้อขนมกิน (ตอนนี้อายุจะ 50 แล้วค่ะ)
    ถาม - ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ดิฉันต้องมารับใช้พระพุทธศานาหรือเปล่าคะ ตอนนี้ดิฉันก็ไปร่วมงานบุญและบอกบุญญาติธรรม เพื่อรวบรวมปัจจัยถวายพระ และโรงเรียนในชนบท แต่ทำด้วยจิตศรัทธานะคะ

    ถาม -จากข้อ 4-5 ดิฉันจะอธิษฐานเงินสำรองจ่ายนี้ เป็นเงินถวายพระและอุทิศบุญให้แก่เพื่อนนักรียน ป.2 ตอนเด็กได้มั้ยคะ กรุณาแนะนำวิธีอธษฐานด้วยค่ะ

    ขอเรียนถามท่านอาจารย์ กรุณาตอบเพื่อเป็นธรรมทานด้วยค่ะ ดิฉันเองก็ตั้งใจสืบสานงานพระพุทธศานาและหมั่นเจริญสติ-วิปัสสนากรรมฐานค่ะ ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาอาจารย์ด้วยค่ะ

    ด้วยความเคารพอย่างสูง


    คำตอบ
    (1) เพื่อนของแม่เป็นผู้ไม่มีสัจจะคือไม่ทำตามที่พูด ถือว่าผิดศีลข้อสองเป็นบาป ผู้ออกเงินซื้อของถวายพระโดยไม่ติดใจเรื่องเงินที่เขามิได้ให้ ผู้ออกเงินซื้อของและนำไปถวายพระเป็นผู้ได้บุญและพร้อมกันนั้นได้ชดใช้หนี้ เวรกรรมเก่าที่ตัวเองเคยก่อไว้ ส่วนผู้พูดให้ซื้อของมาถวายพระเป็นผู้ได้บุญตรงที่มีเจตนาซื้อของถวายพระ และได้บาปตรงที่เสียสัจจะ

    (2) บอกบุญเรี่ยไรเพื่อสร้างบ่อน้ำ แต่ผู้รับเงินนำไปใช้ไม่ตรงเจตนารมณ์ของผู้บริจาค การกระทำในลักษณะเช่นนี้ หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านบอกว่า เป็นการย้ายฐานเจดีย์ ผู้กระทำต้องรับอานิสงส์บาป เมื่อตายแล้วมีภพเปรตเป็นที่หมายของชีวิตหน้า

    ส่วนผู้ใดพูดว่าให้ภิกษุแบ่งเงินไปสร้างบ่อน้ำด้วย หากมีจิตเห็นพ้องในการย้ายฐานเจดีย์ (เอาเงินไปใช้เป็นค่าเช่ารถ) ถือว่าเป็นผู้ร่วมกระบวนกรรมฯจึงต้องมีส่วนในอานิสงส์บาปนั้นด้วย

    (3) หากผู้ถามปัญหามิได้ปวารณาให้ภิกษุรูปนั้นขอได้ตามที่จำเป็นต้องใช้ แล้วภิกษุมาขอบิณฑบาตปัจจัยโดยพละการ ภิกษุผู้ขอปัจจัยประพฤติละเมิดวินัยสงฆ์ถือว่าเป็นบาป หากผู้ถูกขอยินดีและถวายปัจจัยให้ถือว่าเป็นผู้ร่วมกระบวนกรรมบาปกับภิกษุ ผู้ขอ ดังนั้นการแก้ปัญหาดังที่บอกเล่าไปเป็นการแก้ปัญหาตามความเห็นถูกของผู้ใหญ่ แต่ไม่ถูกต้องตามความเป็นของพระพุทธะ

    (4) หากผู้ถามปัญหาไปหักเอาเงินที่เรี่ยไรได้มาใช้คืนเงินที่สำรองจ่ายไปถือว่า เป็นบาป

    (5) เป็นการชดใช้หนี้กรรม ที่เคยไปเอาเงินของพระศาสนาใช้เป็นการส่วนตัวในสมัยที่ยังเป็นเด็ก

    ส่วนเงินสำรองที่ตัวเองได้จ่ายไป ต้องอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับเจ้าของเงินทุกคน ที่ผู้ถามปัญหาเข้าไปมีส่วนร่วมการย้ายฐานเจดีย์
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันเป็นคนใจร้อนมากค่ะ และเป็นคนที่พูดตรงมากเลยค่ะ จึงเป็นอันตรายในการทำงานมาก และไม่เป็นที่ชอบใจของใครหลายๆๆคน ซึ่งที่เป็นอย่างนี้ถ้าเห็นว่าสิ่งใดคุณทำไม่ถูกต้องก็จะไม่ยอมเลย และโดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบศึกษาธรรมะ และปฎิบัติธรรม แต่ยอมรับว่าจิตยังไม่นิ่งค่ะอาจารย์ บางครั้งก็มีคนว่า ว่าทำไมเป็นคนธรรมะ ธรรมโมแล้วยังโกรธอีก ก็ตอบว่ายังไม่บรรลุค่ะ ยังมีโลภ โกรธ หลง อยู่

    สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือก็คือ เวลาโกรธสีหน้าจะบ่งบอกเลยค่ะว่าฉันโกรธนะ ทั้งๆๆที่ใจพยามระงับเอาไว้ แต่สีหน้าเก็บไม่ได้เลยค่ะ แต่จะไม่พูด เพราะรู้ว่า เป็นคนพูดตรงและแรง เพราะเป็นคนที่เสียงดังด้วย เวลาพูดอะไรออกไปเหมือนกับไปตวาดเค้า ไปดุเค้า ดิฉันก็พยามยามนะคะ แต่ทำไม่ได้ค่ะ แล้วบางทีก็ทำให้ไม่อยากมีใครมาข้องเกี่ยวด้วย แต่ถ้ามีการทำบุญเค้าจะมาหาให้ดิฉันเป็นคนทำก่อน เพราะดิฉันไม่เคยปฎิเสธการทำบุญเลย และชอบทำด้วยค่ะ มีความสุขมากค่ะอาจารย์ เวลาพักเที่ยงก็จะเปิดเว็บ เกี่ยวกับธรรมะอ่าน หรือฟังเวลาอยู่ที่บ้าน ทำให้ใจเป็นสุขค่ะ และอยากไปปฎิบัติธรรม 3 วัน 7 วันบ้าง แต่โอกาสไม่อำนวยเลยค่ะ

    ดิฉันควรประพฤติปฎิบัติตนอย่างไรคะ ในการดำเนินชิวิตประจำวัน ให้มีความสขทั้งทางโลกและทางธรรม ควรทำอย่างไรเมื่อโกรธแล้วไม่ให้สีหน้า ออกมาให้ใครทราบว่าเรากำลังโกรธอยู่ รบกวนท่านอาจารย์ช่วยชี้ทางส่วางในการดำนเนิชีวิต ด้วยค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ด้วยนะคะทุกบุญที่ท่านอาจารย์ได้ทำ บุญใดที่ดิฉันได้ทำขอให้ถึง
    ท่านอาจารย์ด้วยค่ะ ขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดไปนะคะ

    คำตอบ
    มนุษย์ทุกคนปรารถนามีชีวิตที่สะดวกสบายและมีความสุข การจะมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย ต้องมีงานดีทำเพราะจะได้เงินมาจุนเจือชีวิต การจะให้มีงานดีทำอยู่เสมอ ต้องพัฒนาจิตตนเองให้เป็นคนเก่ง มีความรู้และความสามารถในงานที่ทำ และจำเป็นต้องเป็นคนดีอีกด้วยผู้ใดพัฒนาตนเองให้มีลักษณะเป็นดังเช่นนี้ จะเป็นผู้ทำงานได้เป็นผลสำเร็จงานแล้วเสร็จทันเวลา ผลงานเข้าตาเป็นที่เรียกหาเรียกใช้ของสังคมตัวเองก็จะไม่เป็นผู้ว่างจากงาน

    ความปรารถนาในเรื่องที่สองจะเป็นจริงได้ต้องพัฒนาตัว เองให้เป็นผู้มีเมตตา เมื่อมีสิ่งขัดใจใด ๆ เกิดขึ้น ต้องให้อภัยเป็นทานแก่ผู้ที่เป็นเหตุขัดใจ ด้วยการเจริญสติให้มีกำลังกล้าแข็ง เช่น บริกรรม “ พุท-โธๆๆ ” ตามลมหายใจเข้า-ออก ก่อนนอนอย่างน้อย 15 นาที รักษาปฏิปทาเช่นนี้ให้ได้ตลอดไป แล้วสติจะกล้าแข็งได้เอง สติและเมตตามีอยู่กับใจได้โทสะคือความโกรธจะหมดไปเอง ทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมที่ร้อนมาเป็นพฤติกรรมที่สงบและเย็นได้
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันได้ฟังบรรยายเรื่องอฐิษฐานบารมี ของท่าน ท่านได้ใช้บทกรวดนำเช้า ปัฏฐะนะฐะปะนะคาถา (คาถาเป็นที่ตั้งแห่งความปราถนา) ใช่หรือไม่ค่ะ

    ดิฉันใช้วิธีฟังบรรยายของท่าน เพื่อกระตุ้นตนเองในการปฏิบัติ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นนั่งสมาธิให้จิตนิ่ง (อย่างน้อยที่สุดได้สวดมนต์ แต่ก็ยังออกเสียงดังไม่ได้) จากการไม่สัปปายะ แต่มีพื้นฐานในการอยากทำดี ทั้งการคิดและการพูด และนำคำสอนในการบรรยายของอาจารย์มาใช้ในเรื่อง การที่มีคนมาเบียดเบียนทั้งกาย วาจา และใจก็ถือว่าเขาเป็นครู เป็นกรรมของเราที่เคยทำกับเขาแบบนี้ และมุ่งมั่นทำดีต่อไปไม่ท้อ เพราะเชื่อเรื่องธรรมะจัดสรรค่ะ ถ้ามีกิเลสอะไรที่รบกวนจะกลับไปฟังการบรรยายของอาจารย์ทั้งเก่าและใหม่ เพื่อกระตุ้นตนเองให้ทำดีต่อไปไม่ท้อค่ะ
    ขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาแนะแนวชีวิตที่ดีให้ค่ะ


    คำตอบ
    ปัฏฐานปนคาถาเป็นบทกรวดน้ำเพื่ออุทิศบุญกุศล แล้วอธิษฐานให้ตนเอง ได้เข้าถึงโลกุตตรธรรม (มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1) คำว่าตนเองหมายถึงผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อถึงในคำบรรยาย ซึ่งท่านเหล่านั้นปรารถนาสภาวะพ้นโลก สาธุ ทำดีแล้วจงทำต่อไป
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ดิฉันได้อ่านหนังสือเสียงจากนรกภูมิค่ะ เป็นประสบการณ์ที่พบว่ามีเปรตที่เป็นบรรพบุรุษขึ้นมาจากนรกตอนทำบุญเดือนสิบ เพื่อมาเตือนลูกหลานไม่ให้ทำความชั่ว มีเปรตท่านหนึ่งบอกว่า ตอนเป็นมนุษย์ชอบทานเนื้อวัวมาก แต่ไม่ได้ฆ่าเอง คือซื้อมาทาน เมื่อตายไปเป็นเปรต(คือทำผิดศีลข้ออื่นมากๆด้วยค่ะ)แล้วสาเหตุที่ทานเนื้อ ก็เลยต้องทานเนื้อตัวเอง ควักไส้ พุงตัวเองมาทาน
    ดิฉันจำคำที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าเราไม่ได้บงการฆ่า ไม่ได้รู้เห็น หรือเจตนาฆ่า และเนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงนั้นเป็นเพียงศพ ไม่ถือว่าผิด แล้วทำไมจึงต้องรับกรรมทานเนื้อตัวเองอย่างทุกข์ทรมานค่ะ

    2. ดิฉันเรียนจบปริญญาตรีและได้บรรจุทำงานทันทีเป็นเวลา 12 ปีแล้วค่ะ ดิฉันหวังจะลาศึกษาต่อระดับปริญญาโทตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ทางบ้านก็ต้องการให้เรียนต่อเลยหลังจบปริญญาตรี แต่ดิฉันสงสารพ่อแม่ที่ต้องส่งดิฉัน ดิฉันปฎิเสธแล้วสอบบรรจุข้าราชการทันที หลังจากทำงานก็มีความตั้งใจจะเรียนต่อค่ะ แต่เนื่องจากคุณแม่อายุมากแล้วและมีโรคประจำตัวมากมาย ดิฉันจึงย้ายมาทำงานที่บ้านเพื่อดูแลท่านหลังจากนั้นคุณแม่เสียไป 3 ปีแล้ว เหลือแต่คุณพ่อ ท่านก็มีโรคต่างๆเหมือนคุณแม่ดิฉันก็ไม่มีโอกาสเรียนต่อ ทั้งที่สามารถเรียนต่อได้ แต่ดิฉันรู้ว่าท่านต้องคิดถึงดิฉันหากดิฉันไปเรียนต่อที่กรุงเทพ เพราะแค่ดิฉันไม่ได้มาหาท่านบางอาทิตย์ท่านก็ถามถึง คุณพ่ออยู่กับพี่สาวค่ะ ความจริงทางบ้านมีพี่น้องหลายคน มี 5 คนที่อยู่จังหวัดเดียวกับคุณพ่อค่ะ ดิฉันเป็นคนสุดท้องค่ะ ซึ่งถ้าดิฉันลาศึกษาต่อ ก็มีพี่ๆ ช่วยดูแลท่านได้ แต่ดิฉันไม่สบายใจ ถ้าไม่ได้มีส่วนดูแลท่านบ้าง เพราะดิฉันคิดว่าลูกแต่ละคนนั้นแทนกันไม่ได้ ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้เป็นลูกรักของพ่อก็ตามค่ะ เมื่อก่อนดิฉันอดน้อยใจไม่ได้ แต่ได้คำสอนคำเตือนให้คิดได้จากท่านอาจารย์สนองทำให้ดิฉันไม่คิดถึงเรื่อง นั้นเลยค่ะ

    จึงเรียนถามว่าดิฉันควรลาเรียนศึกษาต่อไหมค่ะ ความจริงคุณพ่อก็ถามบ่อยๆว่าเมื่อไหร่จะเรียนต่อ ท่านอยากให้เรียนต่อค่ะ แต่มหาวิทยาลัยที่จังหวัดไม่มีสาขาที่ดิฉันอยากเรียน เพราะถ้าเรียนไปเพื่อแค่ได้ปริญญาบัตรแค่นั้นดิฉันไม่ต้องการค่ะ

    ขอขอบพระคุณที่ท่านได้ให้คำแนะนำและความเห็นที่ถูกต้องค่ะ

    คำตอบ
    (1) ผู้ทานเนื้อสัตว์ นอกจากมิได้บอกให้ผู้อื่นฆ่าเพื่อตนเอง ไม่ได้รู้เห็นในการฆ่า ไม่สงสัยว่าผู้อื่นฆ่าสัตว์เพื่อเราและรู้ว่าเนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงอาหาร เป็นเพียงซากศพที่ทิ้งไว้แล้วผู้บริโภคเนื้อสัตว์นั้นไม่ถือว่าผิดศีลข้อ ปาณาติบาต แต่หากสัตว์ที่ถูกฆ่า ผูกอาฆาตไว้ก่อนตาย กับผู้เอาเนื้อของเขาไปกินต้องถือว่าผู้บริโภคเป็นบาปที่ถูกจองเวรจากจิต วิญญาณที่เคยเป็นเจ้าของซากศพนั้น

    (2) หากคุณพ่อปรารถนาจะให้ผู้ถามปัญหาเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ควรทำตามที่ท่านปรารถนา และต้องเรียนให้ได้ผลสำเร็จแล้วจึงค่อยกลับไปดูแลท่านเหมือนพี่น้องคนอื่น ๆ ได้ดูแลอยู่
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันมีปํญหาที่จะเรียนถามท่านว่า การทำความสะอาดโต๊ะหมู่บูชา และ ทำความสะอาดองค์พระ เป็นบาป ไหม และสามารถทำได้ไหม เพราะทุกวันพระดิฉันต้องทำความสะอาดทุกครั้ง แต่บังเอิญมีคนมาทักว่า เป็นผู้หญิง ทำความสะอาดหิ้งพระและองค์พระไม่ได้ เป็นสิ่งที่ค้างคาใจ และกังวลมาก ถ้าได้คำตอบจากท่านก็ จะได้นำ ไปบอกให้เพื่อนๆ บางคน ทราบด้วย

    ขอบพระคุณท่านมากที่ให้ความกระจ่าง

    คำตอบ
    การทำความสะอาดโต๊ะหมู่บูชาและองค์พระพุทธปฏิมากร เป็นเจตนาดีที่ควรทำเพราะทำสำเร็จแล้วได้บุญตรงที่มีความสุขใจเกิดขึ้น

    ส่วนคนที่มาท้วงทักวาเป็นผู้หญิงทำความสะอาดหิ้งพระและองค์พระไม่ได้ เป็นความเห็นถูกของผู้ท้วงทัก แต่ไม่ถูกตามความเห็นของผู้รู้ ที่รู้ว่าบุญคือความดี คือกุศล คือความสุขเหล่านี้เมื่อใดเกิดขึ้นแล้วกับใจของผู้ทำกรรมดีถือว่าผู้กระทำเป็นผู้ได้รับบุญนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...