ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เรียนถามปัญหาคือ ปัจจุบัน ตัวผู้ถาม ไม่มีบ้าน ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีงาน ไม่มีเงิน กลายเป็นคนเร่ร่อน นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้โกหก หรือหลอก แต่อย่างใด ขอเรียนถามความเห็น อ.สนองว่า ว่า ผู้ถามควรทำอย่างไรดี เพราะรู้สึกมืดมนจริง ๆ

    กราบแสดงความนับถือ

    คำตอบ
    ในความมืดยังมีความสว่างเป็นของคู่ผู้ตอบปัญหาเคยได้สนทนาธรรม กับหลวงพ่อดาบส (มรณภาพแล้ว) มีอยู่เรื่องหนึ่งได้เรียนถามท่านว่า “ อะไรเป็นเหตุให้ท่านต้องมาบวชเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ” หลวงพ่อตอบว่า “ เพราะความยากจนเป็นเหตุ จึงต้องมาบวชเป็นพระสงฆ์ ” หากผู้ถามมีชีวิตเป็นอิสระจากมนุษย์สมบัติดังที่บอกเล่าไปจริง นับว่าเป็นผู้มีโชคดี และจะดียิ่งขึ้น หากได้ประพฤติถูกตรงตามแบบอย่างหลวงพ่อดาบส และทำได้อย่างหลวงพ่อดาบส ผู้ตอบปัญหาจะได้อนุโมทนาด้วย
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันมีปัญหาอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องงานค่ะ คือดิฉันเพิ่งถูกเลิกจ้างค่ะ ตอนนี้ก็เลยต้องหางานใหม่ทั้ง ๆ ที่ทำงานเพียงแค่4 เดือน(ให้ออกเดือนมิถุนายน) และก็ไม่ได้มีความผิดอะไร แต่เค้าบอกว่าบริษัทมีปัญหาเรื่องการเงิน

    อาจารย์คะ ก่อนหน้านี้ดิฉันก็มีปัญหา อย่างงานก่อนหน้านี้ดิฉันก็ถูกนินทาโดยที่ดิฉันไม่มีโอกาสชี้แจงเลยว่าอะไร เป็นอะไร นินทาจนดิฉันไม่รู้จะเอาตัวไปวางตรงไหน จะทำอะไรก็ถูกจับผิดไปหมด เหมือนเล่นซ่อนหาอยู่ตลอดเวลา เอาเรื่องดิฉันไปเล่าให้นายจ้างฟังจนมองดิฉันไม่ดี ทุกอย่างเกิดขึ้นลับหลังดิฉันและก็มีเหตุที่ดิฉันต้องออก(ดิฉันไม่มีโอกาส ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าทำผิดตรงไหนเขาไม่บอกต่อหน้าแต่เอาไปพูดกับคนอื่น)

    ตอนนี้ดิฉันหางานใหม่ยอมรับว่าไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ถ้าย้อนกลับไปถ้าองค์กรที่อยู่ไม่มีปัญหาเรื่องการเงินจนต้องบีบพนักงานออก ก็เป็นเรื่องคนที่นินทาจนดิฉันไม่อยากจะอยู่ ทั้ง ๆ ที่พยายามทำดีด้วย พูดด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าฝืนตัวเองอย่างมากจริง ๆ ค่ะ แต่ก็ต้องทำ เราตอบโต้เขาไม่ได้
    ดิฉันจะทำอย่างไรดีคะกับสภาพเหตุการณ์ที่เป็นแบบนี้ ก็ต้องหางานใหม่ ดิฉันยอมรับว่ารู้สึกหวั่นใจ และกลัวไม่รู้ว่าจะเจอกับคนแบบไหน ยอมรับว่ากลัวคนจริง ๆ ค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าที่ดิฉันต้องเจอแบบนี้ติด ๆ กันนี้เป็นกรรมเก่าของดิฉันหรือปล่าว ดิฉันจะทำอย่างไรดีคะ ขอความกรุณาอาจารย์แนะนำด้วยค่ะ

    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    คำตอบ
    ไม่มีปรากฏการณ์ใดสามารถเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุที่ทำให้เกิดผู้ใดทำกรรมไว้ ก่อนแล้ว เมื่อกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบากผู้ทำกรรมต้องเป็นผู้รับและต้องชดใช้กรรมจน กว่าหนี้ของกรรมจะหมดไป

    ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและงาน มีคุณสมบัติประจำตัวดังนี้คือ ต้องเป็นคนเก่ง (มีความรู้+ความสามารถ) ต้องเป็นคนดี (มีคุณธรรม) ต้องมีดวงดี (ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 เนืองนิตย์) และต้องหยุดประพฤติอกุศลกรรมทั้งปวงให้ได้เมื่อใดกุศลที่ประพฤติส่งผล การถูกปฏิเสธ การถูกไล่ออกจากงาน การถูกนินทา ฯลฯ จะไม่เกิดกับบุคคลที่มีคุณสมบัติดังที่กล่าวมานี้
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนท่านอาจารย์ ดิฉันขอถามคำถามท่านอาจารย์ดังนี้คะ
    คือเมื่อหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ปรารถนาไม่อยากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก โดยปรารถนาจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ต่อเมื่อ พระอริยเมตตรัยบังเกิดในโลกมนุษย์(ปรารถนาพบพระพุทธเจ้า) โดยหลังจากที่หมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ในชาตินี้แล้ว ควรจุติเกิดเป็นอะไร เช่นเทวดา พรหม(เพื่อรอพบพระพุทธเจ้า) และความเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่ควรนำพาชีวิตอย่างไรเพื่อให้ไปจุติยังที่ ๆ ปรารถนาได้

    ขอบพระคุณอย่างสูงคะ

    คำตอบ
    ต้องสร้างมหาทาน เช่น ทำอาหารเลี้ยงพระในวัดที่มีพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติถูกตรงตามธรรมวินัย ต่อเนื่อง 7 วัน แล้วอธิษฐานขอเกิดมาพบพระศรีอารยเมตไตรย์ในกาลาข้างหน้า แล้วต้องทำเหตุให้ถูกตรงคือให้นำพาชีวิตไปเกิดในสวรรค์ด้วยการประพฤติ กุศลกรรมบถ 10 และในห้วงชีวิตที่เหลืออยู่ ต้องพัฒนาตนให้มีนิสัยชอบอยู่ในที่สร้างวิเวกพัฒนาตนให้ไม่มีความโลภ ไม่ตระหนี่ ยินดีบริจาคทานอยู่เสมอ มีจิตเมตตาอยู่เสมอ มีความยินดีสมาคมกับผู้มีสติปัญญาอยู่เสมอ ฯลฯ ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้แล้วโอกาสเกิดมาพบพระศรีอารยเมตไตรย์ในวันข้างหน้าจึง มีได้ และทำไมไม่อธิษฐานขอบรรลุธรรมของพระองค์ด้วยล่ะ
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1) ปัจจุบัน ดิฉัน ได้ทำงานเป็นพนักงานนวดแผนไทย ในสปาแห่งหนึ่ง มีปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นกับพนักงานนวดทุกแห่งก็ว่าได้ คือ ผู้ชายที่เข้ามาในสปามักจะปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ไม่ว่าการกระทำ หรือวาจา (คือว่าการที่ลูกค้าแต่ละคนมาใช้บริการนั้น ตอนแรกเราจะไม่สามารถทราบได้ว่าลูกค้าจะมีนิสัยอย่างไร กว่าจะรู้ก็ขณะตอนที่พนักงานทำการนวดให้ค่ะ คาดว่าบุคคลเหล่านั้นบ้างก็เคยไปที่สปาแห่งอื่นที่อาจจะพบการบริการที่แอบ แฝงด้วยการค้าบริการด้วย หรือไม่ก็เป็นนิสัยส่วนตัวของบุคคลเหล่านั้นที่หมกหมุ่นในเรื่องกามราคะ) ดังนั้น เมื่อบุคคลเหล่านั้นเข้ามาใช้บริการในสปา ซึ่งทางสปาจะไม่มีเรื่องการให้บริการแอบแฝงแต่อย่างใด สำหรับดิฉันเองยังไม่เคยเจอกับตัวเอง เพราะเพิ่งจะเข้าไปทำงาน แต่ทราบจากเพื่อน ๆ ว่าจะเจอบุคคลเหล่านี้ทุกคน โดยผู้ชายเหล่านั้นจะแสดงกิริยาลวนลามพนักงานบ้าง ใช้วาจาลวนลามพนักงานบ้าง พนักงานนวดก็จะบอกให้เขาเข้าใจว่าสปาแห่งนี้ไม่ได้มีการค้าบริการ ดิฉัน จึงรู้สึกกังวลและไม่อยากให้ตัวเองต้องพบเจอบุคคลที่เป็นลูกค้าแบบนี้เลย เพราะถ้าพูดแล้วเขารู้เรื่องแล้วหยุดพฤติกรรมไม่ดี ก็ไม่เป็นไร แต่กลัวว่าจะเจอพวกที่พูดแล้วไม่ฟังไม่รู้เรื่องก็อาจจะนำภัยมาถึงตนเองได้ จึงอยากจะขอคำแนะนำจากท่านว่าการที่ดิฉัน สวดมนต์นั่งสมาธิที่บ้านของดิฉัน แล้วแผ่เมตตาให้เจ้าที่เจ้าทางที่ร้านสปาที่ทำงานอยู่ และแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร และแผ่เมตตาให้เทวดาที่คุ้มครองตัวเอง พร้อมกับการอธิษฐานไม่ให้เจอลูกค้าแบบนี้ การปฏิบัติเช่นนี้จะมีผลช่วยให้ดิฉันไม่เจอลูกค้าแบบดังกล่าว และอยู่รอดปลอดภัยได้หรือไม่ค่ะ หรือจะต้องปฏิบัติธรรมอย่างไรให้ถูกทางและปลอดภัยที่สุด รบกวน ท่านดร.สนอง โปรดช่วยแนะนำด้วยค่ะ ( เพราะกว่าจะได้งานก็หายากแสนยาก หากจะไปทำที่อื่นในกิจการสายนี้ก็ต้องหนีไม่พ้นค่ะ )

    2) อยากทราบว่า การถวายสังฆทาน พร้อมผ้าไตรจีวร ทุก ๆ เดือน นั้น จะก่อเกิดบุญกุศลในลักษณะใดบ้างค่ะ

    3) ดิฉัน เคยอ่านหนังสือของท่าน ดร.สนอง ก็พอจะทราบว่าท่านไม่เชื่อเรื่องการทำนาย เพราะท่านจะบอกเสมอว่า คนเราสามารถทำให้ชีวิตตนเองให้อยู่เหนือดวงได้ แต่ทั้งนี้ ดิฉัน ได้ศึกษาศาสตร์ของการทำนายไพ่ยิบซี และการแปลงชื่อ-สกุลเป็นตัวเลขแล้วทำนายมาบ้าง เมื่อลองทำนาย จากที่สังเกตก็จะมีความแม่นยำ แต่คงจะไม่กล้าพูดว่า แม่นยำ 100% เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ดิฉัน เคยคิดว่าอยากจะหารายได้พิเศษจากการทำนายบ้าง เมื่อก่อนดิฉันก็เคยลองดูให้คนอื่น ทุกครั้งที่ดูให้ ดิฉัน ก็จะบอกกับทุกคนเสมอว่าอย่าเชื่อ 100% แต่สิ่งที่บอกเพื่อเป็นแนวทาง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับผลของกรรม และการกระทำของเราในปัจจุบันด้วย จากการที่เคยดูบุคคลอื่น ๆ มา จะทำให้ทราบว่าบุคคลที่มาดูนั้นเขามีพื้นฐานชีวิต นิสัย หรือกำลังพบเจอปัญหาในชีวิตเป็นอย่างไร ดิฉัน ก็จะแนะนำเขาโดยสอดแทรกธรรมะในการแก้ไข ซึ่งตามความเข้าใจของดิฉัน ๆ คิดว่าการนำธรรมะที่ครูบาอาจารย์และที่ท่านสอนไปสอดแทรก ก็เป็นเหมือนวิธีที่ทำให้บุคคลเหล่านี้นำไปปฏิบัติ แล้วอยู่เหนือดวงของตนเองได้ ความทุกข์ที่ประสบจะได้คลายลง ดิฉัน จึงอยากจะทราบว่าการทำนายไพ่ยิบซี อย่างที่ดิฉันตั้งใจจะทำนั้น สมควรที่จะกระทำหรือไม่ / แล้วถ้าบุคคลนั้นเขานำคำที่ดิฉันแนะนำไปปฏิบัติแล้วชีวิตดีขึ้น จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรของคน ๆ นั้น มาเล่นงานดิฉันหรือไม่ค่ะ / และอยากให้ท่านอธิบายเพิ่มเติมอีกนิดนึงว่า การที่สมัยก่อนเวลาเขาจะออกไปทำศึกสงคราม ก็จะให้โหรหลวงทำนายทุกครั้ง แม้ปัจจุบันโหรหลวงก็ยังคงต้องมีการทำนายดูฤกษ์ยามในการทำพิธีในวันสำคัญ ต่าง ๆ นั้น กับการที่ไม่ให้เชื่อเรื่องการดูดวงนี้ มันมีความแตกต่างกันยังไงค่ะ

    คำตอบ
    (1) สิ่งอันเป็นอกุศลที่ถูกสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณแล้วมาปฏิสนธิเป็น มนุสฺสติรจฺฉาโน เป็นสิ่งที่ปรับปรุงแก้ไขได้ยาก ด้วยเหตุนี้ผู้ใดเข้าใกล้และเข้ามีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ประเภทนี้ ย่อมเปิดโอกาสให้อกุศลกรรมเกิดขึ้นได้ง่าย หากไม่ประสงค์จะพบกับเหตุการณ์นี้ต้องนำตัวเองออกห่างจากอาชีพดังกล่าว แล้วไปหาอาชีพอื่นที่เป็นสัมมาทำจะดีกว่าการแผ่เมตตาหรืออธิษฐานดังที่บอก เล่าไป

    (2) อานิสงส์ที่จะเกิดจากการประพฤติดังที่บอกเล่าไปคือ ทำให้เป็นผู้เข้าถึงความบริบูรณ์ในเครื่องนุ่งห่ม เป็นที่รักของคนหมู่มากเป็นที่คบหาของคนดี เกิดในสุคติโลกสวรรค์ ฯลฯ

    (3) หากผู้ถามประสงค์นำพาชีวิต วนอยู่กับการเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสาร การประกอบอาชีพหมอดูสามารถทำได้และผู้ใดเข้าไปมีส่วนรวมในวงจรกรรมของผู้ อื่น ผู้นั้นต้องมีส่วนรับผลของกรรมนั้นด้วย ในสมัยก่อนมีการใช้ประโยชน์จากคำพยากรณ์ของโหรหลวง ก่อนออกสงครามรวมทั้งมีการประกอบพิธีกรรมในปัจจุบันยังต้องพึ่งความรู้จาก โหรหลวง เหตุเพราะบุคคลผู้เข้าร่วมกระบวนกรรมมิได้มีเจตนานำพาชีวิตให้พ้นไปจาก วัฏสงสารจึงสามารถทำได้ แต่หากผู้ใดปรารถนานำพาชีวิตให้พ้นไปจากทุกข์ ต้องเชื่อและประพฤติตามคำชี้แนะของผู้รู้ โดยไม่เอาจิตไปข้องเกี่ยวกับคำพยากรณ์ใด ๆ ความปรารถนาบรรลุธรรมสูงสุดคือพระนิพพานจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูได้สวดมนต์และอธิษฐานจิต ต่อพระบรมสารีริกธาตุที่รับไปบูชาจากวัดสังฆทาน ว่าขอพระเมตตา และอานุภาพของพระศาสดา ได้โปรดเมตตาให้การนั่งสมาธิของหนูเกิดผล และเข้าถึงสมาธิด้วยเถิด ...และจากนั้นประมาณ 3-5 นาที จิตใจหนูก็สงบเย็น และมองเห็นกลุ่มควันสีขาวคล้ายหมอกบริเวณปลายจมูกขณะหายใจ เข้า-ออก กล่มควันนั้นค่อยๆ ล่องลอยอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ เคลื่อนมารวมเข้าสู่ศูนย์กลางที่จุดๆ หนึ่ง ... แต่ยังไม่ทันไร ...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หนูเลยต้องออกจากสมาธิ

    อยากรบกวนเรียนถามอาจารย์ว่าสิ่งนี้คืออะไร..ถือเป็นสมาธิหรือไม่...และต้อง ทำอย่างไรต่อไปคะ...เพราะว่าอาการแบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกค่ะ...( อาการที่เกิดขึ้นส่วนมากขณะนั่งสมาธิจะไม่รับรู้ลมหายใจ...นิ่งแช่อยู่อย่าง นั้นนานๆ ค่ะ...)

    ข้อที่สอง... ขณะหลับไปได้ยินเสียงแผ่วเบาลอยมาไกลๆ ... แต่ชัดมาก มาเรียกชื่อหนูประมาณ 5 ครั้งแต่หนูไม่ได้ลืมตามา อยากทราบว่าคืออะไร และต้องทำอย่างไรคะ... เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกิดแบบนี้3ครั้ง... ครั้งแรกมีคนเรียกชื่อหนูจริงหลังจากสอบถามคนที่สงสัยแล้ว... ครั้งที่2 เกิดขึ้นเพราะรุ่งเช้าหนูจะต้องไปทำธุระที่สำคัญ... แต่ครั้งสุดท้ายนี้เกิดขึ้นคืนวันอาทิตย์ก่อนวันวิสาข ... ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใดคะ... และต้องแก้ไขอย่างไร... ควรจะขานรับหรือไม่...


    คำตอบ
    (1) กลุ่มควันสีขาวที่เห็นเป็นผลเนื่องมาจากจิตเริ่มมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรใช้จิตที่เริ่มตั้งมั่นนี้มากำหนดด้วยการบริกรรมคำว่า “ เห็นหนอ ๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลุ่มควันสีขาวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม ทั้งนี้เพื่อให้จิตมีกำลังสมาธิเพิ่มมากยิ่งขึ้น

    (2) สิ่งที่ปรากฎให้จิตสัมผัสได้ เหมือนกับข้อ (1) แต่เปลี่ยนจากการเห็นเป็นการได้ยิน ควรกำหนดว่า “ ได้ยินหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียงที่ได้ยินหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม ไม่ควรเอาจิตเข้าไปปรุงแต่งเสียงที่ได้ยินด้วยการขานรับ เพราะจะทำให้กิเลสมีกำลังมากขึ้น นั่นคือสติที่ใช้ในการภาวนามีกำลังอ่อนลง
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูเรียนพึ่งจบและได้ทำงาน 2 เดือนแล้วกำลังศึกษางานแต่ยังไม่บรรจุในระหว่างอยู่ที่ทำงานรู้สึกว่าพี่ ๆเขาจะไม่ค่อยชอบหน้าหนูมักจะนินทาลับหลังพูดจาดูถูกและพูดเสียดสีแต่ง เรื่องขึ้นมาโดยไม่เป็นความจริงแต่หนูรู้สึกเฉย ๆ ค่ะไม่คิดอะไรเลยจนพี่เขาบอกว่าเหมือนหนูไม่เอาหัวใจมาทำงานเพราะหนูคิดว่า คงจะเป็นกรรมของหนู และพี่ที่สอนงานหนูเวลาหนูไม่เข้าใจถามงานเขาบ่อย ทั้งหนูเป็นคนเข้าใจยากด้วย และทำงานผิดพลาดพี่เขาก็จะดุว่าหนูเสียงดังจนคนอื่นก็ได้ยินกันทั่วในแผนก แต่หนูก็รู้สึกผิดนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่รู้สึกกลัวหรือร้องไห้เหมือนคนอื่นเวลาโดนดุ

    ไม่ทราบว่าหนูผิดปกติทางจิตหรือเปล่าคะ และพี่ที่ไม่ชอบหนูเขาก็แนะนำให้หนูไปทำงานที่อื่น หนูควรจะไปไหมคะ เพราะถ้าอยู่ไปก็คงจะไม่สบายใจที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะกรรมของหนูใช่ไหมค่ะ และจะทำอย่างไรปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับหนูอีกคะ

    จึงเรียนให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ
    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

    คำตอบ
    หากประสงค์ลดการถูกนินทาลง ต้องพัฒนาจิตให้มีศีล 5 คุมให้ได้ทุกขณะตื่น เมื่อศีลคุมใจได้แล้ว ให้ประพฤติจิตตภาวนาตามบทกรรมฐานที่เหมาะกับจริตของตน และเมื่อใดจิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง จิตจะไม่เคลื่อนออกไปนอกตัว ไม่เอาจิตไปรับเสียงนินทาของคนอื่นเข้ามาทางหู และสู่ใจปรุงแต่งให้เกิดเป็นอารมณ์ติดลบได้ คนที่ฉลาดในการใช้ตาดู ใช้หูฟังเสียง เขาทำกันอย่างนี้ เขาจึงไม่มีเรื่องไม่ดีเข้าสู่ใจ

    ส่วนเรื่องที่เป็นคนสอนยากและทำงานผิดพลาด เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ผู้อุดมด้วยกิเลส หากประสงค์จะลดพฤติกรรมติดลบของตนเองให้น้อยลง ต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนเก่ง เป็นคนมีความรู้มีความสามารถในงานที่ทำ และต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีมีคุณธรรมด้วยการประพฤติจริยธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการี เป็นคนตรงต่อเวลา เป็นคนมีสัจจะ มีความขยันในงานที่ได้รับมอบหมาย และสุดท้ายมีความอดทนต่อความยากลำบาก อดทนต่อการทำงานที่ตรากตรำ และอดทนต่อความเจ็บใจ ต่อคำพูดเสียดสีของคนอื่นมนุษย์เป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เขาประพฤติเช่นนี้

    สิ่งที่พี่แนะนำนั้นเขาพูดถูก กับคนที่ไม่ปรับปรุงแก้ไขตนเองแต่เป็นการพูดผิดกับผู้ที่ยอมรับความจริง และพัฒนาตัวเองให้ได้ตามคำชี้แนะดังกล่าวข้างต้น
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ตอนนี้หนูเรียนหนังสืออยู่ชั้นปีที่ 5 คณะทันตแพทย์ มีเรื่องที่หนักใจและทำให้เกิดวิตกจริตอยู่บ่อยครั้ง อยากให้ครูช่วยแนะนะด้วยความเมตตากับหนูด้วยนะคะ

    คือว่าหนูพยายามสังเกตตัวเองตั้งแต่อยู่ประถม มัธยม จนกระทั่งตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ว่าตัวหนูเองเป็นคนไม่กล้าแสดงออก และขลาดกลัวเวลาจะต้องนำเสนองานให้กับกลุ่มคนฟัง การให้ออกความคิดเห็นในที่ประชุม หรือกระทั่งทำฟันให้คนไข้โดยเฉพาะงานที่ไม่เคยทำมาก่อน หนูมักจะตื่นเต้นจนตัวสั้น มือทั้งเย็น เกร็งและสั่น หัวใจเต้นแรง เสียงก็สั่นด้วยคะ ตอนนั้นมักจะทำอะไรไม่ได้เลย มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมากจนหนูไม่อยากจะคิดแต่มันก็มักจะวนเวียนมาให้ได้พบ เจออยู่เสมอคะ เวลาเกิดความกลัวแล้วจะทำอะไรไม่ถูก สติ สมาธิ ปัญญา หายไปหมดเลยคะ และหลังจากผ่านเหตุการณ์แล้วกลับมาคิดว่าทำไมเราถึงไม่กล้า มันก็ทำให้เกิดความเครียด โกรธตัวเอง เกิดความกังวล และสีบสนขึ้นมาเสมอๆ ซึ่งหนูก็รู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ดี แต่หนูก็ห้ามที่จะไม่ให้เกิดความกล้วขึ้นมาได้คะ

    หนูเองจึงอยากทราบว่าความกลัวเหล่านี้เกิดจากอะไร และหนูจะมีวิธีการใดในการจะจัดการกับความกลัวเหล่านี้ได้บ้างคะ หรือมีวิธีการใดที่ฝึกให้มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกใหม่ด้วยความ มั่นใจและครองสติให้อยู่กับตัวตลอดเวลาได้บ้างคะ

    ขอบพระคุณคุณครูอย่างสูงคะ

    คำตอบ
    การมีพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก มีต้นเหตุมาจากคนที่อยู่แวดล้อมเป็นคนมีมิจฉาทิฏฐิ ชอบครอบงำความคิดเห็นของคนอื่นให้เห็นด้วยตามที่ตัวเองต้องการให้เป็น ซึ่งตรงข้ามกับผู้มีความคิดเห็นถูก เป็นได้เพียงผู้ชี้แนะแนวทางเท่านั้น ผู้เห็นถูกไม่บังคับหรือครอบงำความคิดเห็นของคนอื่น แต่ให้คนอื่นมีอิสรภาพในความคิดความเห็นด้วยตัวเอง

    หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะปรับปรุงแก้ไข พฤติกรรมไม่ดีดังที่บอกเล่าไป ต้องนำตัวเองเข้าพัฒนาจิตวิญญาณ ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมจนสามารถเข้าถึง ปัญญาเห็นแจ้งถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ได้แล้วสติสัมปชัญญะระดับโลกุตระจะ เกิดขัน ความกล้ารวมถึงพฤติกรรมไม่พึงปรารถนาต่าง ๆ จะหมดไป นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกตรง ที่ผู้รู้ประพฤติได้แล้วและแสดงให้ดูแล้ว จึงนำมาบอกกล่าว
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ถ้าหากเราจะใช้สิทธิในการเรียกร้องเงินชดเชยตามกฎหมายไม่ทราบว่าจะเป็นการ ถูกต้องหรือไม่(ในแง่กฎแห่งกรรม) ที่จริงทำใจได้แล้วแต่ทำเพราะเห็นว่าเป็นสิทธิของเรา ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอคำแนะนำว่า มันจะเป็นการสร้างกรรมใหม่หรือไม่ หรือดิฉันควรจะอยู่เฉยๆรับกรรมไปเพราะมันคือกรรมเก่าของดิฉันเอง

    ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ค่ะ

    คำตอบ
    การเรียกร้องสิทธิ์ตามกฎหมาย เป็นการกระทำที่ถูกต้องในทางโลก แต่ในทางธรรมแล้วถือว่าผิดเพราะเวรคือความแค้นเคือง ความแก้เผ็ด มิได้ถูกระงับ เมื่อใดที่คู่เวรโคจรไปพบกันอีกในกาลข้างหน้า การทวงหนี้และการชดใช้หนี้เวรกรรมก็จะเกิดขึ้นอีกไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้พระพุทธะจึงตรัสว่า “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ” ดังนั้นเรื่องที่บอกเล่าไปผู้ถามปัญหาต้องเลือกทางชีวิตของตนเองว่า จะบริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นว่าประสงค์จะจองเวรกันต่อไป หรือชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดกันไปจึงเป็นสิทธิ์ของผู้ถามปัญหา
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ตอนนี้ ดิฉันเพิ่งเริ่มฝึกนั่งสมาธิค่ะ เพิ่งเริ่มศึกษา แล้วลองทำ ทำแบบรวมจิตไปที่ใดที่หนึ่งก่อน เช่น ที่ปลายจมูก หรือกลางอก เป็นต้น หลังจากนั้น เพิ่งรู้ว่ามีอีกแบบ คือ การดูจิต
    ปัญหาก้อคือ ดิฉันสับสน ไม่รู้จะลำดับอย่างไรก่อน เพื่อให้เกิดสมาธิ เพราะเพิ่งลองนั่ง เลยอยากให้อาจารย์แนะนำเทคนิค ให้หน่อยค่ะ

    2. ดิฉันเคยทำไม่ดี ตอนสมัยมัธยม เคยมีเงินไม่พอซื้อของ ก้อเลยหยิบเอาเงินที่พี่วางไว้ในเก๊ะไป จะไถ่โทษยังงัย เพื่อไม่ให้บาปนี้ ติดตัวเราไปชาติหน้าคะ

    3. ดิฉันเคยชอบผู้ชายคนเดียวกับเพื่อน สุดท้ายก้อเคยกิ๊กกันนิดๆ แต่ก้อเลิกไปเพราะอยู่ไกลกันมาก และเพื่อนที่ชอบผู้ชายคนเดียวกัน ก้อรู้ แต่เขาก้อไม่ว่าอะไร แล้วก้อยังสนิทกับเราเหมือนเดิม แต่เราก้อรู้สึกผิดในใจตลอดเวลา เพราะเราเลือกเพื่อน ไม่เลือกคนนั้น อาจารย์แนะนำว่า เราจะไถ่โทษยังงัย เพื่อไม่ให้เรารู้สึกแย่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ หรือว่า เราเอาดอกไม้ไปขอขมาเพื่อนดีคะ คือไม่อยากรู้สึกบาปต่อเพื่อนคะ

    กราบขอบคุณอาจารย์มากมายล่วงหน้านะคะ

    คำตอบ
    (1) การพัฒนาจิตให้เกิดสมาธิปัญญาเห็นแจ้ง ควรนำตัวเองเข้าฝากตัวเป็นศิษย์และขอรับกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ผู้มี ประสบการณ์จะได้ผลสัมฤทธิ์มากกว่าขอให้ผู้ตอบปัญหาแนะนำเทคนิคการฝึกจิตให้

    (2) ประสงค์ไม่ให้บาปติดตัวไปถึงชาติหน้า ต้องไปบอกความจริงและยอมรับผิดกับพี่ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ ด้วยการขอชดใช้หนี้ หรือขอให้เขายกหนี้ให้ หากเมื่อใดเจ้าของทรัพย์กล่าววาจาให้คุณชดใช้หนี้ที่เอาไปเป็นตัวเงิน หรือกล่าววาจายกหนี้ให้ คุณก็พ้นผิด และต้องไม่ประพฤติอทินนาทานเช่นนี้อีก

    (3) ในฐานะที่ผู้ถามปัญหาเป็นฆราวาส และมิได้ประพฤติผิดศีล 5 ไม่ถือว่าเป็นบาป เหตุที่เกิดความรู้สึกว่าผิดในเรื่องที่บอกเล่าไป สาเหตุเกิดจากผู้ถามปัญหามีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) นั่นเอง
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ตอนกระผมนั่งสมาธิ จิตนิ่งสงบ มีสติอยู่ตลอด ในการนั่งสมาธิ พอนั่งไปสักพัก มีความรู้สึกว่ามีความเย็นเข้ามาที่ขาทั้งสองข้าง ตัวก้อรู้สึกเบา เกิดความสงสัยขึ้นกับจิต พอเกิดความสงสัย ความเบาตัวก้อหายไป ความรู้สึกเย็นที่กายและขาก็หายไป ความปวดขาก็ตามมา ผมพยายามนั่ง ต่อสู้กับความปวดเหมือนที่ ดร.สนองได้บอกไว้ในหนังสือ สมาธิมาอยู่กับความปวดที่ขา แล้วภาวนา ปวดหนอๆๆ ความปวดก้อหนักขึ้นๆ เรื่อยๆๆ ลักษณะเป็นมาสามวันแล้วอาการเจ็บปวดก้อไม่หายไป มีความรู้สึกกังวล หลังจากนั่งสมาธิทุกครั้ง ว่าจะเอาความเจ็บปวดออกไปได้อย่างไร

    ขอความกรุณาแนะนะนำในขอสงสัย และชี้แนะในการปฏิบัติ ให้กระผมด้วย

    คำตอบ
    เหตุที่นั่งภาวนาอาการปวดที่ขายังไม่หายไป นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า กำลังของสมาธิยังไม่กล้าแข็งจึงควรเพิ่มกำลังของสมาธิ ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งภาวนาไปอยู่ในอิริยาบถเดินจงกรม สลับกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตมีกำลังของสมาธิกล้าแข็ง จนถึงระดับที่อยู่เหนือทุกขเวทนา (ปวดขา) ได้แล้ว เมื่ออาการปวดที่ขาเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ อาการปวดดังกล่าวจึงจะหายไปได้
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1 การที่บางครั้งเราทำอะไรไปในชีวิตประจำวัน เช่นการปิดไฟ ปิดประตู แล้วเราขาดสติคือเราจำไม่ได้ว่าเราได้ทำไปแล้ว อาจจะต้องเดินย้อนกลับไปดูอีกครั้งทำนองนี้ อยากทราบว่ากรณีแบบนี้ 'รูป' ของเรานั้นขณะนั้นทำกิจนั้นไปได้อย่างไรคะ โดยที่เหมือนจิตไม่ได้รับรู้การทำนั้น แต่รูปได้ทำไปจริงได้อย่างไรคะ

    2 การที่คนเราทำอะไรตามสัญชาตญาน จะเรียกว่าทำไปโดยเป็น อวิชชา ได้ไหมคะ

    3 ระหว่าง จิตใต้สำนึก กับ จิตสำนึก ดูเหมือนว่ามีจิตอีกประเภทนึงคือ จิตที่รู้เฉยๆ ที่ไม่ใช่ทั้งจิตใต้สำนึก และจิตสำนึกใช่หรือไหมคะ เพราะมีความรู้สึกว่า จิตใต้สำนึก เราควบคุมไม่ได้ แต่จิตสำนึกก็เหมือนว่ามันจะมีการคิดปรุงแต่งปนอยู่ตามประสบการณ์ แต่บางทีมันก็เหมือนว่ามีแค่การรู้อาการเฉยๆ นั้น เลยสงสัยว่าในด้านจิตวิทยาเขาเรียกว่าการรู้เฉยๆ นั้นว่าอะไรคะ

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาช่วยตอบปัญหาให้ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ ได้ผ่อนคลายความสงสัย และขออนุโมทนากับการบำเพ็ญ บารมีของท่านอาจารย์ในทุกๆ กิจที่กระทำเพื่อพระพุทธศาสนาค่ะ



    คำตอบ
    (1) เป็นสัญญาเก่าที่จิตเก็บบันทึกไว้ จิตได้ใช้สัญญาเก่าสั่งร่างกายให้ปิดไฟปิดประตูโดยขาดสติกำกับพฤติกรรม

    (2) เรียกว่า จิตมีอวิชชาได้

    (3) ผู้ตอบปัญหามิได้เรียนวิชาจิตวิทยาใด ๆ จึงไม่ทราบสมมุติบัญญัติที่เขาใช้เรียกกันในหมู่นักจิตวิทยา แต่ผู้ตอบปัญหาขอสมมุติเรียกว่า จิตกึ่งสำนึก
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    กระผมได้ปฏิบัติกรรมฐานมาได้ สิบกว่าปี ได้มีคำถามอยากเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้
    1. การปฏิบัติในช่วง 3 ปีแรก ขณะที่เดินจงกลมอยู่ก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้นคือ ในขณะนั้นปรากฏว่าได้เห็นดวงแก้วไหลออกมาใสสว่าง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังปรากฏอยู่เช่นเดิม เหตุการณ์เช่นนี้ถือว่าได้ปฏิบัติถึงลำดับใดแล้ว และควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป

    2. ขณะที่นั่งกรรมฐานเวลาประมาณตี 3 ได้เกิดเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งขึ้น คือ รู้สึกเหมือนมีความเย็นบริเวณศีรษะแล้วค่อยๆไหลลงมาคล้ายของเหลวมาอุดอยู่ ที่ลำคอ กระผมก็ได้กำหนดคำบริกรรมต่อไป ความเย็นนั้นก็ไหลลงมายังหน้าอกแล้วค่อยๆหายไป รู้สึกตัวเบา แล้วก็ผมได้เห็นแสงสว่างพุ่งออกครอบตัวเราไว้ อยากทราบอาการเช่นนี้ อาการที่เกิดขึ้นกับกระผมเช่นนี้เรียกว่าอะไร และควรปฏิบัติต่อไปอย่างไร

    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ไว้ ณ ที่นี้

    คำตอบ
    (1) ที่เห็นดวงแก้วไหลออกมาใสสว่างนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง (วิปัสสนูปกิเลส) ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่เข้าถึงวิปัสสนาญาณอย่างอ่อน หากหวังความก้าวหน้าในการพัฒนาวิปัสสนาญาณให้แจ่มใสต้องกำหนดสิ่งที่ถูกเห็น ด้วยจิตนั้นว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกระทั่งดวงแก้วนั้นหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม

    (2) เรียกว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลส เช่นเดียวกันกับข้อ (1) เมื่อความเย็นเกิดขั้น ควรกำหนดว่า “ เย็นหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนความเย็นหายไป เมื่อรู้สึกตัวเบา ควรกำหนดวา “ เบาหนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนอาการรู้สึกว่าตัวเบาหายไป และเช่นเดียวกันเมื่อเห็นแสงสว่างพุ่งออกมาครอบตัว ควรกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” เรื่อยไปจนกว่าแสงสว่างที่พุ่งออกครอบตัวหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมทุกครั้งเมื่อเกิดวิปัสสนูปกิเลส (แสงสว่าง ความอิ่มใจ ความรู้ ความสงบกายและใจ ความสบายกายสบายใจ ความน้อมใจเชื่อความเพียรที่พอดี ความชัดของสติ ความวางใจเป็นกลางและความพอใจ) ต้องบริกรรมหรือกำหนดตามอาการที่เกิดขึ้นกับจิต จนสิ่งเหล่านี้หายไป วิปัสสนาญาณจึงจะมีกำลังมากขึ้น จิตจึงจะเป็นอิสระต่อกิเลสเหล่านี้ได้
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ผมอยากพบเนื้อคู่ และได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขา แต่ด้วยความที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ใจจึงโหยหา ที่จะตามหากันให้พบ ที่เคยพบก็โดนกระแสอกุศลกรรม ที่เคยทำมา ทำให้เสียใจอยู่ตลอด หาก ผมอธิษฐานให้พบคู่ที่ดี จะต้องทำเหตให้ตรงอย่างไรครับ?

    2. หากจะอธิษฐานขอพบคู่ ต้องอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานแบบไหนครับ?

    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ในความกรุณาที่มีให้เสมอมา ผมเกิดมาชาตินี้
    ได้พบท่านอาจารย์ ก็เป็นหนึ่งในความโชคดีที่สุดจริงๆครับ

    คำตอบ
    (1) อธิษฐานขอพบเนื้อคู่ที่ดีสามารถอธิษฐานได้แต่จะได้ผลถูกตรงตามที่อธิษฐานไว้ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำไว้แต่อดีตว่าคู่ที่ดีคือคู่สร้างคู่สม อันได้แก่ สมสัทธา สมสีลา สมจาคา สมปัญญา ตัวเองได้เคยสร้างเหตุ 4 อย่างนี้ ร่วมไว้กับใครหรือไม่ หากเคยสร้างกรรมดี 4 อย่างนี้ไว้ แต่กรรมดีผลักดันให้เขาไปเกิดอยู่ในสุคติภพที่มิใช่ภพมนุษย์ โอกาสที่ปัจจุบันจะพบกันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หรือหากผู้ถามปัญหาไม่เคยสร้างกรรมดีทั้ง 4 นี้ไว้กับใครผู้ใด การอธิษฐานพบเนื้อคู่ที่ดีย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้นอธิษฐานพ้นไปจากความทุกข์แล้วสร้างเหตุให้ถูกตรงด้วยการปฏิบัติ กรรมฐานจะมิดีกว่าหรือ

    (2) หากประสงค์จะพบเนื้อคู่ที่ดีต้องสร้างมหาทานให้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงอธิษฐาน พบเนื้อคู่ แล้วสร้างเหตุ 4 อย่างตามข้อ (1) ให้ถูกตรงอยู่เสมอ คือสัทธาในสิ่งดีงามทั้งปวง รักษาศีล 5 ข้อให้คงอยู่กับใจทุกขณะตื่น มีการบริจาคทานอยู่เสมอ และสุดท้ายพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นถูกตามเป็นจริง เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว โอกาสพบเนื้อคู่ที่ดียังมีความเป็นไปได้
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. การฝึกวิปัสสนาที่วัดจะมีขั้นตอนการสมาทาน การปฏิบัติ และหลังปฏิบัติ เช่น การแผ่เมตตา เมื่อกลับมาปฏิบัติเองที่บ้านควรปรับขั้นตอนวิธีการปฏิบัติอย่างไรคะ

    2. เมื่อปฏิบัติเองที่บ้าน เวลาจิตจะเริ่มเป็นสมาธิ มีความรู้สึกเหมือนกับถูกทดสอบทุกครั้ง คือ จะรู้สึกคันหรือปวดขามาก กำหนดรู้คัน รู้ปวดเท่าไรก็ไม่สามารถผ่านไปได้ จนต้องเกาหรือเปลี่ยนท่านั่ง เนื่องจากขันติยังไม่พอ อยากกราบขอคำแนะนำเพื่อให้การปฏิบัติก้าวหน้าขึ้นค่ะ

    3. สามีเป็นสัตวแพทย์ จำเป็นต้องฆ่าไก่เพื่อพิสูจน์โรค จะทำอย่างไรเพื่อให้กรรมเบาบางลงคะ เพราะเป็นความจำเป็นทางอาชีพที่เลี่ยงไม่ได้

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ

    คำตอบ
    (1) สมาทานอะไร หากเป็นการสมาทานศีลเมื่ออยู่ที่บ้านแล้วไม่ต้องสมาทาน เพียงแต่รักษาศีล 5 ให้อยู่กับใจทุกขณะตื่นเป็นอันใช้ได้ หลังจากนั้นนำเอาวิธีปฏิบัติกรรมฐานที่วัดมาปฏิบัติเองที่บ้านตามรูปแบบที่ ครูผู้ให้การฝึกกรรมฐานแนะนำ ให้ปฏิบัติทั้งให้อิริยาบถใหญ่ (ยืน เดิน นั่ง นอน) และในอิริยาบถย่อย (กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ) เมื่อปฏิบัติกรรมฐานแล้วเสร็จในแต่ละวันให้อุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นแล้วแก่ เจ้ากรรมนายเวรของผู้ปฏิบัติ และให้แก่สรรพสัตว์ตามที่ตัวเองปรารถนา

    (2) ขณะนั่งปฏิบัติกรรมฐาน หากมีอาการรู้สึกคันเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ คันหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการคันจะหายไป หากมีอาการปวดขาเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการปวดขาจะหายไป หากกำหนดแล้วอาการดังกล่าวยังไม่หายไป ต้องเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งภาวนาไปเป็นเดินจงกรม ทั้งนี้เพื่อเพิ่มกำลังของสติให้มีมากขึ้นจนถึงระดับที่เมื่อกำหนดแล้วอาการ คันอาการปวดขาหายไป

    (3) ไม่มีใครผู้ใดสามารถทำให้กรรมไม่ดีเบาบางลงได้นอกจากต้องชดใช้อกุศลวิบากของ กรรมไม่ดีให้หมดไป
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เวลาทำความดีที่เป็นบุญ อธิษฐานว่า ขอให้อานิสงฆ์ผลบุญช่วยให้ข้าพเจ้าเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกจริตและขอให้ ข้าพเจ้าบรรลุธรรมอันประเสริฐในชาตินี้ด้วยเทอญ
    ถ้าอธิฐานแบบนี้บ่อยๆจะสำเร็จตามคำอธิษฐานได้หรือไม่อะครับ

    2. เป็นคนฟุ้งซ่านค่อนข้างที่จะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ครับ ชอบคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ไม่ดี หรือบ้างทีก็คิดถึงเรื่องอนาคตบ้าง บางทีก็ชอบนึกถึงเรื่องอื่นขณะที่ทำอย่างอื่นอยู่
    อยากถามอาจารย์ว่า ควรจะฝึกสมาธิแบบไหน แนวไหนดีครับ ขออาจารย์ช่วยแนะนำ และบอกวิธีฝึกด้วยครับ

    กราบขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าด้วยครับ

    คำตอบ
    (1) อธิษฐานพบครูอาจารย์ที่ถูกกับจริตของตนก็จะพบแต่ครูบาอาจารย์ที่ไม่ดี คือครูบาอาจารย์ที่ยังมีจิตเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อธิษฐานในลักษณะเช่นนี้จะไม่สามารถนำตัวเองให้บรรลุธรรมอันประเสริฐในชาติ นี้ได้ คำอธิษฐานเช่นนี้จึงเป็นไปไม่ได้คือไม่สำเร็จตามที่อธิษฐาน

    แต่หากอธิษฐานให้ได้พบครูบาอาจารย์ ที่มีความเห็นถูกตรงตามธรรมจะเป็นปุถุชนหรืออริยบุคคลก็ได้และขอบรรลุธรรม อันประเสริฐนั้นด้วย คำอธิษฐานเช่นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ อธิษฐานแล้วมีโอกาสพบกับความสำเร็จได้

    (2) ก่อนฝึกสมาธิต้องพัฒนาใจให้มีศีลห้าข้อสถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่นให้ได้ก่อน และต้องนำบทกรรมฐานที่ถูกกับจริตของตัวมาใช้เป็นองค์บริกรรมตัวอย่างเช่น วิตกจริตหรือโมหะจริต ควรใช้อานาปานสติมาเป็นองค์บริกรรม สัทธาจริตควรให้อนุสติ 6 ข้อแรก คือระลึกถึงคุณของพระพุทธะ ระลึกถึงคุณของพระธรรม ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ ระลึกถึงคุณของศีลที่ตนรักษาได้ ระลึกถึงคุณของทานที่ตนได้บริจาคแล้ว ระลึกถึงคุณที่ทำคนให้เป็นเทวดา มาเป็นองค์บริกรรม โทสจริตควรใช้เมตตาพรหมวิหารหรือวรรณกสิณมาเป็นองค์บริกรรม พุทธิจริตควรใช้มรณัสสติ อาหารปฏิกูลสัญญา ฯลฯ มาเป็นองค์บริกรรมและสุดท้าย ราคจริต ควรให้อสุภะ หรือกายคตาสติมาเป็นองค์บริกรรม
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ผมจะสอบถามไปนี้ สมควรถามท่าน อจ.ณ ที่นี้หรือเปล่า เพราะเห็นใน webbroad ถามเรื่องแนวการปฏิบัติทั้งนั้น แต่มีพี่ท่านหนึ่งให้ลองลองถามท่าน อจ.ดูน่ะครับ หากผมได้ล่วงเกินท่าน อจ.ผมก็ขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยน่ะครับ

    ผมมีเรื่องเรียนสอบถามถึงปัญหาครอบครัวและการปฏิบัติ ครับ เลยขอรบกวนท่าน อจ.ช่วยชี้แนะด้วยครับ

    1. คุณแม่ผมท่านหายออกไปจากบ้านประมาณ 4 ปีแล้ว ผมอยากเจอท่านครับ อยากนำท่านกลับมาดูแล ครับ ไม่รู้ว่าผมยังพอมีหวังไหม ท่านป่วยทางจิตครับ ผมดูแลท่านมาประมาณ 10 ปี หลังจากท่านกลับ มาจากต่างประเทศ อาการท่านเคยดีขึ้นมาก ผมพาท่านไปวัดทุกวันอาทิตย์ หวังว่าจะได้กุศลจากการฟังธรรมบ้าง ผมรู้สึกดีมากที่ชวนท่านไป ท่านก็ไป (2 คนแม่ลูก)

    2. ผมมีน้องสาวอีกคน ก็ป่วยทางจิตเหมือนกัน ตอนนี้อาการสงบบ้างแต่ยังไม่หายดี หมอบอกว่าไม่หายขาด ผมอยากให้น้องดีขึ้น สงสารเค้าน่ะครับ ผมอ่านเจอคำตอบเกี่ยวกับคยป่วยทางจิตในกระทู้มาแล้วครับ ว่าเป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร แต่ก็อยากเรียนถามท่านอจ.อีกครั้ง เผื่อว่าจะมีทางอื่นด้วยน่ะครับ

    3. ผมเคยบวชเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีความสุขมากและดีใจที่ตนเองเจอหนทางนี้ เคยคิดว่าจะบวชตลอดชีวิต แต่ระหว่างที่ตนเองยังไม่สามารถบวชได้เพราะยังมีภาระ ก็ปฏิบัติเองไปเรื่อยๆก่อน แต่ 10 กว่าปีที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าไม่คืบหน้าไปไหน ศรัทธาก็ตกลง ไม่เท่าเดิม เจอ อจ.ท่านใดก็ลองปฏิบัติตามแนวท่าน แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
    เหมือนลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆครับ ก็เลยอยากรบกวนท่าน อจ.แนะนำแนวทางปฏิบัติ ที่เหมาะสมกับผมด้วยน่ะครับ


    คำตอบ
    (1) ตราบใดที่ความหวังยังไม่สิ้น และตั้งเหตุให้ถูกตรงด้วยการสร้างมหาทาน แล้วอธิษฐานขอพบแม่และสุดท้ายรักษาศีล 5 ให้มีอยู่กับใจได้ตลอดไป เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัวคือบุญส่งผล โอกาสพบกันอีกย่อมเกิดขึ้นได้ในกาลข้างหน้า

    (2) อาการป่วยทางจิตเป็นโรคที่เกิดจากรรมของผู้เป็นน้องได้ผูกพยาบาทไว้กับเจ้า กรรมนายเวร หากเขายกเลิกการจองเวรอาการป่วยทางจิตจึงจะหมดไปได้

    (3) การปฏิบัติธรรมที่เหมาะสมคือ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้วความสำเร็จในผลแห่งการปฏิบัติย่อมเกิดขึ้นได้ การปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรมคือ ต้องมีศีล 5 คุมใจให้ได้ก่อน เร่งความเพียรในการปฏิบัติ โดยใช้บทกรรมฐานที่เหมาะกับจริต มาเป็นองค์บริกรรมให้ต่อเนื่องและยาวนาน สุดท้ายพัฒนากายและใจให้ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยมีสัจจะคุมกายใจเมื่อใดที่เหตุปัจจัยดังกล่าวลงตัวผลสัมฤทธิ์ในการ ปฏิบัติจะเกิดขึ้นได้
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูมีปัญหาอยากถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนูเครียดมาก เครียดเป็นอาทิตย์จากการที่ตัองอ่านหนังสือสอบและลุ้นผลประกาศสอบเข้าทำงาน จนหนูมีอาการปวดหัวข้างเดียว ร้าวไปทั้งกระโหลก พอนึกเรื่องสอบที่ไร ท้องอืดทันที กินข้าวไม่อร่อยเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดมาก่อนในชีวิต

    หลังจากเครียดอยู่เป็นอาทิตย์ พอตื่นมาเช้าวันจันทร์ กลายเป็นว่า หนูมีความสุขมาก สุขมากที่สุดในช่วงหลายปี ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ที่จิตมันพลิกกลับจากทุกข์มากเป็นสุขมาก สุขมากจนสามารถนอนอมยิ้มได้ ทั้งที่หนูเป็นคนหน้าเครียด หน้าตาดุดัน เพราะหนูไม่ค่อยสมหวังเรื่องงานเลยค่ะทำให้หน้าตาอมทุกข์ตลอดเวลา แต่ช่วงนั้นหน้าตาและจิตใจผ่อนคลายเยอะมาก หนูมีความสุขอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ

    หนูอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ แต่หนูก็พยายามรู้ตัวอยู่เสมอค่ะว่า อาการขณะนี้กำลังคิดอะไร ทำอะไร รู้สึกอะไร เจอใครทำอะไรก็ไม่ปรุงแต่งไปเองค่ะ เห็นก็คือเห็น ได้ยินเสียงด่าก็รู้ว่าเขาด่าเรา แต่มันเฉย มันแค่ได้ยินเสียงค่ะ แต่ไม่คิดต่อ มันมีความสุขมากค่ะ

    อารมณ์สุขนี้อยู่ได้ประมาณห้าวันค่ะ จนเจอเรื่องที่มีผลกระทบกับจิตใจมากๆ นั่นคือออกไปสัมภาษณ์และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คราวนี้มันเหมือนกับรู้สึกตัวค่ะ ที่ผ่านมามีความสุขมากนั้นเหมือนมันฝันไป แต่ตอนนี้ที่สุขมันเกิดกระทบและคลายออกมันเหมือนกับกลับมาสู่ความเป็นจริง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหนูก็พยายามรู้ตัวอยู่เสมอ สุขหนอๆ อิ่มเอมใจหนอ อะไรไปตามเรื่อง มันก็ไม่ได้ดับไปโดยง่าย แต่มันอยู่หลายวันและก็มีความสุขอยู่อย่างนั้น

    หนูขอเรียนถามว่า จิตของเรานี้พอมันสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่งมากๆมันจะพลิกเป็นตรงกันข้ามใช่ไหม คะ หรือ มันเป็นการเสวยอกุศลกรรรมและกุศลกรรม ทั้งๆที่ชีวิตหนูส่วนใหญ่ก็อยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้ออกไปไหน เหตุการณ์เดิมซ้ำซากแต่บางวันทุกข์มาก บางวันสุขมาก บางครั้งหนูคิดว่า เอ ใครหนอแผ่เมตตาให้เรา (เคยได้รับค่ะ) จิตนี้ทำงานอย่างไรคะ


    คำตอบ
    ที่อารมณ์ของจิตพลิกจากความเลวร้ายกลับมาอยู่ในอารมณ์สงบสุขได้ เหตุเกิดเพราะจิตระลึกได้ทันสิ่งกระทบ (ผัสสะ) ไม่รับเอาสิ่งกระทบเข้าปรุงเป็นอารมณ์ จิตจึงสงบแล้วความสุขที่ละเอียดประณีตจึงเกิดขึ้นดังที่บอกเล่าไป ปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้ถูกตรงตามพุทธวจนะที่ว่า “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปเป็นธรรมดา ” นั่นหมายความว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นกับจิตจะดำเนินไปตามกฎของไตรลักษณ์ ผู้ใดมีสติระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต ไม่รับเอาสิ่งที่เข้ากระทบจิตมาปรุงเป็นอารมณ์แล้วใช้จิตที่มีความตั้งมั่น จวนแน่วแน่ ตามดูสิ่งที่เข้ากระทบว่าดำเนินไปตมกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบผันตัวเองเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ความเป็นตัวตนของสิ่งกระทบย่อมไม่มี จิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบแล้วเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ ความสุขที่ละเอียดประณีตอันเกิดจากจิตสงบจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้แล

    หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของสติมากจนเป็น “ มหาสติและพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของปัญญาเห็นแจ้ง จนเป็น “ มหาปัญญา ” ได้แล้วเมื่อใด ความสุขจากจิตสงบและความสุขจากจิตเป็นอิสระ จะเกิดขึ้นแน่นอนและตลอดไปหากพัฒนาได้เช่นนี้...สาธุ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. กระผมเป็นคนที่มีใจไว ซุกซนเหมือนลิง มาเร็วไปเร็ว ควบคุมลำบากมาก จิตใจขุ่นเหมือนน้ำซาวข้าว ทำอย่างไรถึงจะทำให้ใจนิ่งๆได้ครับ อีกอย่างกระผมคิดว่ากระผม มีจริต ครบ 6 อย่าง ทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ วิตก หนักไปทางกามราคะ (เหมือนเป็นเศษกรรมอะไรติดมา) แม้พิจารณาด้วยอสุภะต่างๆ แต่ก็เป็นเพียง สัญญา ความจำได้หมายรู้ ไม่ใช่ ภาวนามย ปัญญา รู้สึกว่าเวลาตาเห็นรูป จิตจะปรุงแต่งไปมาก ต้องกำหนดว่า รู้เท่าทันอารมณ์ มันถึงจะหยุด ผมควรจะปฎิบัติต่ออย่างไรบ้างครับ

    2. กระผมมีลูกสาวคนเล็กอายุประมาณ 1 ขวบเศษ ชื่อ ดญ.ชนิดาภา สมณะ ป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง และเนื้อเป็นเนื้อร้ายระดับ 3 รักษาที่ รพ. เด็ก อนุสาวรีย์ชัย ปัจจุบันอยู่บ้านต่างจังหวัด ก็สบายดี ผมรู้ว่าเขาคงมีกรรมที่หนัก เพราะการผ่าตัด ถือเป็นกรรมหนัก ผมได้อธิฐาน ตั้งจิต ถือศีล 5 และวันพระ ศีล 8 ตลอดชีวิต เพื่อเป็นกุศลให้ตัวกระผมและลูกสาว พยายามสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่ส่วนบุญกุศลทุกวัน และบนบวชพระให้ 3 วัน 7 วัน
    อาจารย์ช่วยกรุณาชี้ทางสว่างให้กระผมด้วยว่า ควรทำสิ่งใดเพิ่มเติมบ้าง เขาทำกรรมใดมา ถึงเป็นอย่างนี้ อยากทำให้เขามากๆเท่าที่พ่อในชาติปัจจุบันจะทำได้ ครับ พอมีทางช่วยให้เขาอยู่ได้นานไหมครับ

    3. ผู้ปฏิบัติถึงขั้นใด จึงจะสามารถ ได้พบเห็น หรือ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ และ สามารถ พูดคุยได้หรือครับ


    คำตอบ
    (1) สภาวะจิตของผู้ถามปัญหา กับสภาวะจิตของผู้ตอบปัญหาก่อนเดือนเมษายน 2518 มีสภาวจิตเป็นเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันเป็นตรงข้าม ไม่โลดโยนโจนทะยานออกไปรับกระทบภายนอกทั้งดีและไม่ดีเข้ามาปรุงอารมณ์ให้จิต หวั่นไหว ด้วยเหตุเคยไปบวชเป็นพระสงฆ์ปฏิบัติธรรมจนจิตมีกำลังของสติ ระลึกทันสิ่งกระทบ และมีกำลังของปัญญาเห็นแจ้งเห็นสิ่งกระทบดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วจิตผันตัวเองเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ ดังนั้นก่อนที่ผู้ถามปัญหาจะพัฒนาจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ ต้องทำใจให้มีศีล 5 คุมให้ได้ก่อน แล้วเลือกองค์บริกรรมที่เหมาะกับจริต ราคะจริตควรใช้อสุภะหรือกายคตาสติมาเป็นองค์บริกรรมเร่งความเพียรและมีสัจจะ ได้แล้ว โอกาสพัฒนาจิตตนเองให้นิ่งเหมือนลิงชรา จึงจะเป็นไปได้

    (2) อธิษฐานตั้งจิตถือศีล 5 และวันพระถือศีล 8 ยังไม่ดีเท่ากับไม่ต้องอธิษฐานแต่ทำใจให้เป็นปกติมีศีล 5 มีศีล 8 อยู่ได้ทุกขณะตื่น จะได้อานิสงส์ของศีลมากกว่า การอธิษฐานถือศีล

    การบนบานไม่ใช่วิถีแห่งพุทธะ แต่การนำครอบครัวปฏิบัติธรรมร่วมกัน แล้วอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับลูกสาวที่กำลังป่วยด้วยโรคกรรมยังดีกว่า นำตัวเองเขาบวชเป็นพระสงฆ์ เหตุเพราะการปฏิบัติมีอานิสงส์แห่งบุญสูงสุดที่สามารถส่งผลให้ผู้ปฏิบัติ เข้าถึงนิพพานได้ หากได้อุทิศบุญเช่นนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของลูกสาว หากเขามาอนุโมทนาบุญแล้วยกเลิกการจองเวร โอกาสหายจากโรคกรรมจะเป็นไปได้

    (3) ผู้ที่จะประพฤติเช่นนี้ได้ต้องเคยเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าเช่น ปฏาจารา พาหิยะฯลฯหากพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วบุคคลดังกล่าวต่อไปนี้ยังมีโอกาสได้ เห็น ได้เข้าเฝ้าและได้สนทนากับพระพุทธเจ้า ได้แก่มนุษย์ปุถุชนผู้พัฒนาจิตให้เข้าถึงความมีฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ) หรือมนุษย์ปุถุชนผู้เข้าฌานได้ หรือมนุษย์ที่ไปเกิดเป็นเทวดาปุถุชน เช่น อังกุรเทพบุตร อินทกเทพบุตร หรือพรหมปุถุชนเช่น พกาพรหม สนับบดีพรหม ฯลฯ หรือพรหมอนาคามี เช่น ฆฏิการพรหมหรือมนุษย์อริยบุคคลที่มีอภิญญาฯลฯ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ข้าพเจ้า(ขออนุญาตใช้ข้าพเจ้า เพราะดิฉันและหนูล้วนเกี่ยวข้องกับวัย) เพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมเมื่อไม่นานนี้เอง ด้วยเหตุว่าคืนหนึ่งขณะหลับ จิตตื่นขึ้นกะทันหัน และรู้สึกว่ากายที่นอนหายใจอยู่นี้ไม่ใช่เรา จึงเริ่มสนใจธรรมะ และเริ่มฝึกสติโดยการดูจิตในชีวิตประจำวัน ก่อนนอนก็จะดูลมหายใจจนหลับไป เวลาหลับข้าพเจ้ามักมีสติรู้ตัว ขยับตัวก็รู้ ฝันก็รู้ บ่อยครั้งรู้สึกว่ากายเป็นคูหา บางคราวก็เห็นรูปเกิดดับ เสียงเกิดดับ ไม่ต่อเนื่องกันและไม่พร้อมกัน

    ๑. ทำไมจึงไม่เห็นเช่นนั้นในเวลาปกติคะ (ปกติจะเห็นแต่ว่ากายนี้ไม่ว่าจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆล้วนเป็นไปตามจิต ทั้งสิ้น) เพราะเวลาปกติจิตจะไม่ยอมทำสมถะเลย กำลังสมาธิไม่พอใช่ไหม

    ๒. ครั้งหนึ่งจิตสงบตั้งมั่นดีนอนดูลมหายใจอยู่ เกิดมีดวงสีขาวปรากฏขึ้น และในดวงสีขาวนั้นปรากฏภาพเคลื่อนไหว คล้ายๆกับเราดูกล้องวงจรปิดค่ะ ดวงนี้คืออะไรคะ (ข้าพเจ้ากลัวเลยไม่ได้ตามดู)

    กราบขอบพระคุณในความกรุณาต่อทุกขิตสัตว์เช่นข้าพเจ้า และกราบขออภัยที่รบกวนธาตุขันธ์ค่ะ

    คำตอบ
    (1) คำว่าสมถะ หมายถึง ธรรมอันเป็นเครื่องสงบระงับจิต เวลาปกติเห็นกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปตามการสั่งงานของจิตการเห็นในลักษณะ นั้นเป็นเรื่องของปัญญา ที่มีพื้นฐานมาจากจิตมีกำลังของสมาธิมากพอที่จะทำให้เกิดปัญญาเช่นนั้นได้

    (2) ดวงสีขาวที่ถูกเห็นเป็นอาหารของจิตที่เริ่มมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ การเห็นดวงสีขาวเป็นอุปกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิตที่มีวิปัสสนาญาณอ่อน หากไม่รู้วิธีการกำจัดอุปกิเลสตัวนี้จะไม่มีโอกาสพัฒนาจิตให้เกิดวิปัสสนา ญาณที่ชัดเจนได้ ฉะนั้นเมื่อดวงสีขาวปรากฏขึ้นกับจิตต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกวาดวงสีขาวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม วิปัสสนาญาณจึงจะกล้าแข็งขึ้นได้
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. การถวายภัตตาหารแด่หมูสงฆ์ เพื่อเป็นมหาทานนั้น หากทำไม่ติดต่อกันเจ็ดวัน ยังจะเรียกเป็นมหาทานหรือไม่ครับ? เช่น ทำวันที่1-3ติดกัน หยุดหนึ่งวัน และต่อวันที่ 5-8 ครับ

    2. หากการทำมหาทานไม่จำเป็นต้องทำติดกัน เราสามารถสะสมทำไปเรื่อย เดือนละวัน พอครับเจ็ดวัน เมื่อไหร่ ก็เรียนกเป็นมหาทานเหมือนกันใช่ไหมครับ

    3. ผมศรัทธาทำมหาทานเป็นนิจ แต่เนื่องด้วยตัวไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ ไม่สามารถไปร่วมถวายมหาทานด้วยตนเอง แต่ได้ร่วมปัจจัย และมีเพื่อนในคณะเดียวกันไปถวายอย่างพร้อมเพรียง อย่างนี้ ยังจะสามารถเรียกว่ามหาทานได้อีกหรือเปล่าครับท่าน?

    ขอกราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

    คำตอบ
    (1) คำว่ามหาทาน หมายถึงการบริจาคทานอันยิ่งใหญ่ เช่นการให้ทานแก่อริยบุคคลในวันที่ออกจากนิโรธสมาบัติการให้ทานแกหมู่อริย สงฆ์ การให้ธรรมะเป็นทานแก่คนหมู่มาก การบริจาคทรัพย์สร้างถนน สร้างสะพาน สร้างน้ำอุปโภคบริโภค สร้างแสงสว่าง ฯลฯ เป็นทานให้สาธารณะชนได้ใช้สอย อนึ่งการสร้างโรงทานไว้กับวัดที่มีการปฏิบัติธรรม การถวายอาหารเลี้ยงหมู่สงฆ์นาน 7 วันเหล่านี้จัดเป็นมหาทานได้

    (2) การกระทำดังตัวอย่างที่บอกเล่าไปไม่เรียกว่าเป็นมหาทาน

    (3) การได้ร่วมบริจาคปัจจัย เพื่อใช้ในสัจจธรรมตามข้อ (1) แม้ไม่มีเวลาไปร่วมกิจกรรมด้วยตัวเอง ยังถือว่าเป็นมาทานเช่นกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...