ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูมีคำถามเรื่องการดูจิตค่ะ เมื่อจิตคิดฟุ้งซ่าน เราควรจะตามดูสภาวะจิตที่เกิด เพื่อระลึกว่าความคิดหรือจิตที่คิดนั้นไม่เที่ยง หรือควรจะตัดความคิดที่ฟุ้งซ่านนั้นค่ะ เหมือนที่พระอาจารย์ชาท่านได้บอกว่าให้ดึงจิตกลับเหมือนดึงว่าว ทุกวันนี้หนูพยายามทำอย่างหลังค่ะ คือเมื่อจิตตก ก็จะพยายามตัดความคิดนั้นค่ะ แต่บางท่านว่าให้ดูจิตแทนค่ะ กรุณาขอความกระจ่างค่ะ

    สุดท้ายนี้ หนูขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยช่วยคุ้มครองอาจารย์และครอบครัวค่ะ
    โมทนาสาธุค่ะ

    คำตอบ
    ดูจิตอย่างที่หลวงพ่อชาท่านแนะนำไว้นั้นถูกต้องแล้ว แต่จะดูเห็นสัจจธรรมของจิตได้ ผู้ดูต้องมีศีลคุมใจให้ได้ก่อน
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ถ้ามีผู้นำเงินมาช่วยเหลืองานศพมารดา แต่หลังจากหักค่าใช้จ่ายใด ๆ + ทำบุญถวายพระแล้ว ยังมีเงินเหลืออยู่แล้วเรานำเงินไปบริจาคหรือทำบุญที่อื่นแต่อุทิศให้มารดา และผู้บริจาคทุกท่าน จะถือว่าผิดหรือไม่ค่ะ? (ย้ายฐานเจดีย์) ถ้าผิดจะแก้ไขได้อย่างไรค่ะ ?

    ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    ไม่ผิดครับ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันช่วยเหลือน้องชาย เรื่องบ้านที่อยู่อาศัย โดยจ่ายให้ธนาคารเป็นก้อน แล้วให้น้องจ่ายเป็รายเดือนกับดิฉัน โดยไม่คิดดอกเบี้ย จ่ายบ้างไม่จ่ายบ้างก็ไม่ได้สนใจ หลังจากนั้นก็หาเงินมาช่วยลงทุนกิจการของน้องและตัวดิฉันร่วม สามล้านบาท กิจการก็ดำเนินการไปด้วยดี แต่มีปัญหาเรื่องน้องสะไภ้อยู่ร่วมกันแล้วเลี้ยงต้นไม้จำนวนหลายสิบต้นเช้า ขึ้นมาให้เด็กรดนำต้นไม้ จนคนไม่มีน้ำอาบ ดิฉันบอกให้เอาคนก่อน ก็โกรธ ย้ายต้นไม้ออกไปนอกบ้านหมด แล้วไม่พูดกับดิฉันตลอดมาเกือบ 2 เดือนจนถึงปัจจุบัน ในทางโลกดิฉันจะสอนให้เขารู้ว่าคนมีบุญคุณและการอยู่ร่วมกันควรจะทำอย่างไร โดยเมื่อเขาไม่ขอโทษและไม่พูดด้วย ดิฉันก็ไม่พูดด้วย ส่วนทางธรรม ดิฉันไม่ได้ถือโกรธเขาเพราะคนมีหลายประเภทอภัยให้ประเภทอย่างนี้อยู่บ่อยๆ

    ดิฉันจะถามอาจารย์ว่าดิฉันทำถูกหรือไม่
    (ดิฉันไม่ได้เดือดร้อนที่เขาไม่พูดด้วย) และอาจารย์มีข้อแนะนำอย่างไร


    คำตอบ
    อยู่บ้านเดียวกันแล้วเขาไม่พูดด้วยเป็นเรื่องของเขาแต่ผู้ถามปัญหาต้องพูดกับเขาเมื่อมีธุระจำเป็นที่เขาจะต้องรับรู้ พูดไปแล้วเขาจะเห็นด้วยหรือไม่เป็นเรื่องของเขา
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ทุกวันนี้ดิฉันต้องทำงานร่วมกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่มีอายุแล้ว โดยประมาณก็ อายุ 50 ปี และโดยตำแหน่งในที่ทำงานก็ถือว่าเป็นระดับผู้บริหาร และดิฉันก็เคยฝึกกรรมฐานมาก่อนแต่ทุกวันนี้ก็พยายามจะฝึกให้มีสติต่อเนื่อง แต่ทุกวันนี้ดิฉันรู้สึกถึงการไม่สติเลย เนื่องจากผู้ชายคนนี้ ชอบมีนิสัยพูดเสียงดัง,ชอบด่าว่าบุคคลทั่วไปโดยใช้คำหยาบ ๆ คลาย ๆ และชอบพูดดูถูกผู้หญิงบ่อยครั้ง ซึ่งดิฉันพยายามจะไม่ฟังเสียงเค้าแต่คำพูดที่เสียงดังของเค้าก็ทำให้ดิฉัน ได้ยินไปด้วย บางครั้งก็ด่าว่าพระสงฆ์ให้ได้ยิน

    ดิฉันจะขอเรียนถามว่า ดิฉันควรจะทำอย่างไรเมื่อต้องทำงานร่วมกับบุคคลเช่นนี้ และดิฉันต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้มีสติตลอดเวลาค่ะ

    ขอขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    ผู้ใดประพฤติอกุศลวจีกรรม เช่น ชอบพูดคำหยาบคาย คำดูถูกดูหมิ่น ฯลฯ เมื่อพูดไปแล้วผู้นั้นมีบาปสั่งสมอยู่ในจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาทำขึ้นด้วยตัวเอง ผู้ฉลาดเมื่อได้ยินได้ฟังอกุศลวจีกรรมเช่นนี้แล้ว จะไม่ไปแบ่งเอาบาปของเขามาเป็นบาปของตัว ผู้ฉลาดเอาวจีกรรมของเขา มาเป็นครูสอนใจตัวเองว่าเขากำลังสร้างเหตุนำเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ซึ่งเราจะไม่ประพฤติเช่นเขาผู้ใดมองเห็นถูกเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้นั้นจะขอบคุณเขาในฐานที่เขาเป็นครูสอนใจของเรา

    การที่จะอยู่กับคนเช่นนี้ได้ หากจิตมีกำลังสติไม่กล้าแข็งต้องนำตัวออกห่างจากรัศมีที่ได้ยิน แต่หากแก้ไขที่ตัวเองด้วยการพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็งได้เมื่อใด จิตจะตามดูเสียงที่เข้ากระทบหู จะเห็นว่าเสียงที่ได้ยินดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตไม่รับเอาเสียงมารปรุงให้เกิดเป็นอารมณ์ จิตจะปล่อยวางเสียง แล้วจิตจะว่างเป็นอิสระเข้าสู่อุเบกขารมณ์ ผู้รู้แก้ปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีการเช่นนี้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    คือมีคนรู้จักของเตือนให้คุณแม่ของหนูทำบุญเยอะๆค่ะ เพราะว่าเดือนสิงหาจะมีเคราะห์เพราะเจ้ากรรมนายเวร หนูเลยลองทำสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ ปรากฏว่าแผ่ส่วนกุศลไปได้สักพัก วิญญาณก็ปั่นป่วน ขันธ์เหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

    หนูจึงอยากเรียนถามอาจาร์ยว่า ที่หนูเกิดอาการอย่างนี้ เพราะนั่งสมาธิผิดวิธีหรือเปล่าค่ะ? หรือว่าเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่มารุมทึ้งหนู เพราะเวลาหนูอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรจองตนเอง ไม่เคยเกิดสภาวะแบบนี้เลยค่ะ

    ขอบพระคุณอาจาร์ยมากๆเลยค่ะ

    คำตอบ
    การเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการชดใช้หนี้เวรกรรมของผู้อื่น ผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือต้องได้รับผลกระทบในทางลบด้วยด้วยเหตุนี้พระป่าผู้มี คุณธรรมสูง ที่เดินไม่ถนัดต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันจึงห้ามมิให้ผู้ตอบปัญหาเข้าไปช่วยเหลือ ท่าน เพราะเจ้ากรรมนายเวรของท่านจะหันมาจองเวรกับผู้ที่ให้การช่วยเหลือ และในกรณีเช่นเดียวกัน ผู้ตอบปัญหาเคยไปถวายการบีบนวดไหล่ที่เคล็ดขัดของพระอริยบุคคล ผลปรากฏกว่า วันรุ่งขึ้นผู้ตอบปัญหาต้องรับอกุศลวิบากแทนท่านด้วยการเคล็ดขัดที่ไหล่อยู่ นานถึง 4 วัน เมื่อไปพบกันอีกจึงได้เรียนเรื่องนี้กับท่าน ท่านหัวเราะและพูดว่า “ ในสมัยที่อาตมาไปอยู่กับหลวงปู่อ่อนสี ได้ทำเช่นเดียวกันนี้ และได้รับผลเหมือนที่อาจารย์ได้รับ ”
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ปัจจุบัน ดิฉัน เพียรฝึกสติและนั่งสมาธิ และมีภาพบางอย่างเกิดขึ้น ต้องขอเล่าย้อนไป 10 กว่าปีก่อนนั้น เมื่อดิฉัน เริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ จำได้ว่าพอนั่งสมาธิเสร็จ ดิฉัน ก็จะนอนภาวนาพุทโธ ไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นอยู่ในห้องพระ แล้วก็เห็นภาพผู้ชายแต่งชุดขาว ( เหมือนชุดขาวผู้ชายที่ใส่ตอนบวชพราหมณ์ค่ะ) เดินเข้ามาในห้องแล้วผ่านกำแพงเข้าไป ภาพก็จบแค่นั้น (ตอนนั้นดิฉันก็คิดเพียงว่าบุคคลที่เห็นคงเป็นเจ้าที่ที่บ้านกระมัง) และก็ไม่เคยเห็นอีกเลย ประกอบกับหลังจากนั้น ดิฉันก็ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิอีก (ปกติภายหลังจากนั่งสมาธิเสร็จ ดิฉัน ก็จะแผ่เมตตาให้เจ้าที่เจ้าทางด้วยทุกครั้ง )

    แต่ปัจจุบันผ่านมา 10 กว่าปี วันนี้ดิฉันก็ตื่นตั้งแต่ดี 4 ครึ่ง แล้วนั่งสมาธิ เพียงแต่ไม่ได้นั่งในห้องพระ นั่งเสร็จดิฉันก็ล้มตัวลงนอนภาวนาพุทโธ เหมือนเดิม แล้วก็เห็นเป็นภาพดิฉันนั่งสมาธิอยู่ในห้องนั้น โดยห้องที่ดิฉันนั่งอยู่นั้น แปรเปลี่ยนกลายเป็นห้องเก่า ๆ โล่ง ๆ แล้วกลางห้องมีบ่อน้ำใหญ่ซึ่งดิฉันมองเห็นปลา 1 ตัวว่ายน้ำอยู่และน้ำกำลังจะล้นบ่อ ขณะที่เห็น ดิฉันคิดเพียงว่าถ้าน้ำล้นบ่อปลาก็ต้องหลุดออกมาด้วย คิดได้ไม่นานภาพนั้นก็แปรเปลี่ยนหายไปกลายเป็นห้องเดิมแต่บ่อน้ำกลางห้องหาย ไปแล้ว แล้วก็เห็นเป็นภาพผู้หญิง 1 คน เป็นผิวขาว แต่งชุดขาว (ชุดขาวเป็นชุดถักด้วยไหมพรมสีขาวทั้งชุด) เดินเข้ามาในห้องผ่านหน้าดิฉันไป แล้วก็ไปก้มลงกราบอะไรดิฉันมองไม่เห็น ถัดมาก็มีผู้หญิงผิวคล้ำ ๆ อีก 1 คน เดินเข้ามาในห้อง (แต่งชุดสีขาวเหมือนกันแต่เป็นชุดขาวที่ผู้หญิงใช้สวมใส่ตอนบวชชีพราหมณ์) กำลังจะเดินผ่านหน้าดิฉันไป ซึ่งขณะนั้นดิฉันก็กำลังเริ่มตั้งจิตแผ่เมตตาพอดี ผู้หญิงคนที่สองนี้ก็เลยหยุดเดินแล้วห้นมายืนตรงหน้าดิฉัน ขณะที่ดิฉันแผ่เมตตาอยู่นั่น ก็เหมือนมีลำแสงสีขาวอมส้ม นุ่ม ๆ เบา ๆ ค่อย ๆ กระจายออกไปจากส่วนศรีษะและลำตัวของดิฉันเองตลอดเวลา แต่ขณะนั้น ผู้หญิงคนที่สองกลับเดินตรงเข้าหาดิฉัน แล้วหันหลังทำท่าเพื่อจะนั่งสวมทับร่างดิฉันลงมา ดิฉัน ก็เลยตกใจสะดุ้งตื่นขึ้น มาดูนาฬิกาก็นอนภาวนาไปได้ 10 กว่านาทีเอง... ดิฉัน ก็เลยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นหมายถึงอะไร เป็นเพียงความฝันหรือนิมิต หรืออะไรไม่ทราบ ดิฉัน ก็เลยอยากจะเรียนถามท่านว่าบุคคลที่ดิฉันเห็นเป็นใคร มาให้เห็นเพื่ออะไร แล้วดิฉันต้องปฏิบัติตนให้ถูกทางอย่างไรต่อไป

    คำตอบ
    สิ่งที่ผู้ถามปัญหาเห็นนั้น เป็นการเห็นที่เป็นจริงแต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง นิมิตนั้นเป็นเพียงอมนุษย์ที่มาปรากฏให้เห็นชั่วคราว เพื่อมาอนุโมทนาบุญกับผู้ถามปัญหา หลังจากปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ควรอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ที่ถูกเห็นนั้นด้วย
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูมีโปรแกรมจิตติดลบกับพ่อแม่และเพื่อร่วมงานมาก เคยคิดจะฆ่าตัวตายด้วย ควรแก้ไขวาระจิตอย่างไรเพื่อเวลาหมดลมหายใจจะได้ไปสู่ภพภูมิทีดี
    อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายเรื่องสัมปรายภพ

    หนูเคยทำงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยากจะกลับเข้าไปทำงาน อีกเพื่อทดแทนพระคุณแผ่นดินจะช่วยให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ไหม

    คำตอบ
    จิตมีธรรมชาติรู้อารมณ์ มีความสามารถที่จะรู้คิด นึกว่าจิตที่ระลึกรู้ในสิ่งที่เป็นอกุศล สามารถปรับปรุงแก้ไขให้มารู้คิดนึกแต่ในสิ่งที่เป็นกุศลได้ ด้วยการพัฒนาจิตให้มีสติสัมปชัญญะ ทั้งนี้ต้องนำตัวเองเข้าฝึกปฏิบัติธรรม และหากเมื่อใดจิตเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้แล้วสติสัมปชัญญะสูงสุดจะเกิด ขึ้น สิ่งที่คิดไม่ดีจะมีสติเป็นตัวระลึกได้ทันและมีสัมปชัญญะ (ตัวปัญญา) ช่วยกำจัดความคิดที่ไม่ดีให้หมดไป คงเหลือไว้แต่ความคิดที่ดีสั่งให้ปากให้พูด สั่งอวัยวะของร่างกายให้ทำแต่สิ่งดีงาม ที่แสดงให้เห็นเป็นพฤติกรรมดีที่คนทั่วไปสามารถสัมผัสได้

    อนึ่งการทดแทนคุณของแผ่นดิน บุคคลสามารถทำได้ด้วยการประพฤติตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามแก่สังคมบ้านเมือง โดยไม่จำเป็นต้องกลับเข้าไปทำงานในหน่วยงานที่บอกเล่าไป
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันมีความกังวล คือ เมื่อประมาณสองสามปีที่ผ่านมาดิฉันได้ยุให้แม่เข้าวัดถือศีล ปฏิบัติธรรม เพราะว่าแม่เป็นคนทุกข์มาก เครียด และพยาบาท รวมทั้งเคยได้ทำกรรมไม่ดีไว้มากมาย (ตั้งแต่เกิดมา ดิฉันเห็นท่านทำบาปหลายอย่างโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผิดศึลข้อสาม และเคยทำแท้งบุตรถึงสองครั้ง)

    ดิฉันเป็นคนชอบธรรมะและศึกษามาตั้งแต่วัยรุ่น ก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมากมายแต่ก็ได้อ่านหนังสือธรรมะ ต่างๆ และมีความเข้าใจประมาณหนึ่งคือสามารถประคองชีวิตให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและ ประกอบด้วยศีล ธรรม จนมีความสงบร่มเย็นดี ก็อยากให้แม่ได้เป็นอย่างนี้บ้าง ในที่สุดแม่ของดิฉันก็ได้ไปปฏิบัติธรรม และถือศึลคล้ายๆชีพรหมณ์ ดิฉํนก็มีความยินดีและอนุโมทนาในเบื้องต้น ก็คอยส่งเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ ตามปกติวิสัยลูกที่ควรทำ และคอยโทรไปเช็คอยู่เรื่อยๆ ว่าปฏิบัติถูกทางก้าวหน้าดีหรือไม่อย่างไร เพราะตัวเองก็ทราบอยู่ว่าท่านไม่ค่อยปกติทางด้านจิตใจเท่าไร (คือ น่าจะเป็นคล้ายๆ โรคประสาท แต่ไม่เคยไปหาหมอเพราะไม่ได้มีอาการร้ายๆ แต่คล้ายๆ หลงผิดไม่อยู่ในโลกความเป็นจริงแต่โดยทั่วไปปกติคล้ายคนทั่วไป หากไม่ทราบมาก่อนจะไม่มีทางรู้ได้เลย ตัวท่านเองก็ไม่ยอมรับว่าเป็นอาการอย่างนี้)

    จนได้ฟังท่านเล่าเรื่องอภินิหารย์ต่างๆ ท่านชอบว่าพระ หรือชี ท่านอื่นว่าเป็นมาร รูปไหนปฏิบัติเคร่งท่านก็ว่าเป็นเทพ มีการระลึกชาติ และหมกมุ่นในเรื่องต่างๆเหล่านี้ รวมถึงเรื่องภัยพิบัติน้ำท่วมโลกต่างๆ (ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ดิฉันก็ไม่ได้เถียงว่ามันไม่มีจริง เพราะก็เคยอ่านมาเหมือนกัน แต่มีความสงสัยอย่างมากว่าท่านปฏิบัติไม่ถูกทาง เพราะมันไม่เป็นไปเพื่อการปล่อยวางเลย ยิ่งทำยิ่งยึดมั่นอดีต ชาติ)ล่าสุดที่ทำให้ดิฉํนกังวลอย่างหนักคือ ท่านบอกว่าท่านเป็นเนื้อคู่กับพระอาจารย์เจ้าสำนักปฏิบัติธรรม ทำให้ดิฉัน กลัวเหลือเกินว่ามันจะนอกรูปนอกรอยที่ควรแม้แค่เพียงคิด หากพระท่านเป็นพระปฏิบัติดีจะยิ่งบาปไปกันใหญ่ใช่ไหมค่ะ ดิฉันอยากถาม อาจารย์ว่า

    1 จะมีหนทางช่วยแม่ได้อย่างไรบ้าง เพราะพูดไปปรามไปท่านก็ไม่เชื่อซักเท่าไร ตอนแรกก็เชื่อกันดี ตอนหลังท่านคิดว่าตัวเองเก่งมากแล้วลูกไม่รู้อะไร ก็เลยไม่ฟัง (ซึ่งจริงๆก็สับสนว่าตัวเองคงไม่รู้อะไรจริงๆหรือเปล่า)

    2 การที่ดิฉันผลักดันให้แม่ไปปฏิบัติธรรมแต่มันกลับกลายเป็นแบบนี้ไป ดิฉันบาปไหม

    3 แล้วตัวแม่เองหากกระทำ อกุศลจิตกับพระผู้ปฏิบัติดี (โดยสมมติว่าท่านมีอาการทางจิต และไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำผิด) แม่จะบาปไหมค่ะ


    คำตอบ
    (1) บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่มีใครสามารถแก้ไขเส้นทางเดินของชีวิตให้กับใครได้ เว้นไว้แต่ว่า เจ้าของชีวิตต้องปรับปรุงแก้ไขชีวิตด้วยตัวเอง ฉะนั้นสิ่งที่ผู้ถามปัญหาในฐานะลูก ได้พยายามช่วยเหลือแม่ ด้วยการแนะนำแม่ให้ไปปฏิบัติธรรม นั้นทำถูกต้องแล้วแต่วิบากกรรมของแม่ยังจำเป็นต้องชดใช้ ด้วยการมีจิตเป็นทาสของความเห็นผิด ซึ่งลูกไม่สามารถช่วยเหลือได้ ควรต้องปล่อยวางและหากผู้ใดยังเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นภาระให้กับใจของตัว เอง ผู้นั้นยังได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้ไม่จริง

    (2) บาปในฐานะเป็นผู้ร่วมกระบวนกรรมจะพ้นบาปเช่นนี้ได ้ต้องพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองจนเป็นอิสระจากวิบากกรรมของผู้เป็นแม ่นั่นคือจิตมีกำลังสติสัมปชัญญะกล้าแข็ง จนสามารถปล่อยวางผลกรรมของคนอื่นได้ แล้วจิตเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขาอารมณ์เป็นเครื่องวัด

    (3) เพียงแค่ความคิดที่เป็นอกุศลก็บาปแล้ว และหากไปประพฤติอกุศลกรรมจนสำเร็จด้วยกาย เท่ากับเป็นการตอกย้ำบาปให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ตอนนี้ในการปฏิบัติแต่ละครั้ง ผมมีความรู้สึกว่าใช้เวลาน้อยลงกว่าเดิมในการที่จิตจะเริ่มนิ่ง พยายามจะไม่ไปกำหนดว่าจะต้องไปให้ถึงอารมณ์ที่เข้าถึงตามที่อาจารย์แนะนำ (แรก ๆ มันก็ยังอยากถึงตามที่มันเคย ปรากฏว่ากลายเป็นเพ่งเกินแล้วเครียดไปเลย) พยายามวางใจให้สบาย เพราะหลายครั้งที่ปฏิบัติรู้สึกว่าถ้าเริ่มแบบนี้ เดี๋ยวก็ไปถึงตรงนั้นเองได้ดีขึ้น ผมเข้าใจว่าคล้าย ๆ กับเราจะกระโดดไปเกาะอะไรที่สูงขึ้นไป ถ้ากำลังแขน(สติ)ไม่มี ถึงเกาะได้ก็อยู่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็ตกลงมาที่เดิม เป็นการเข้าใจถูกหรือไม่ครับ

    2. ล่าสุดในการปฏิบัติ ขณะที่นั่งปฏิบัติอยู่ สภาวะที่รู้สึกว่าคล้าย ๆ ขนลุกก็ไม่เชิงแต่เย็นวูบวาบทั่วตัว (กำหนดรู้แต่ไม่ตกใจ พยายามไม่สนใจ) หลังจากนั้นเหมือนจิตมีที่เกาะอยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่งตามที่เรากำหนด นิ่งมากกว่าเดิมและอยู่ได้นานขึ้น ความคิดมีบ้างแต่เหมือนจาง ๆโผล่มาแล้วก็หายไปเหมือนว่าจะสนใจที่ความนิ่งมากกว่า (ความคิดไม่เข้มข้นเหมือนตอนแรก ๆ) แต่ความรู้สึกเมื่อยขายังรู้สึกอยู่ สภาวะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น เรียกว่าอะไรครับ และต้องปฏิบัติอย่างไรต่อครับ

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ

    คำตอบ
    (1) ความอยากเป็นตัณหา ถ้ายังกำจัดความอยากให้พ้นไปจากใจไม่ได้ การพัฒนาจิตให้เกิดสติและปัญญาเห็นแจ้ง จะยังไม่เกิดขึ้น นั่นคือ จิตมีกำลังสติไม่กล้าแข็ง ดังที่เข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว

    (2) ในขณะปฏิบัติจิตตภาวนา อารมณ์ใดเกิดขึ้นแล้วไม่สนใจเรียกว่าความหลง (โมหะ) ได้เกิดขึ้นแล้ว ถือเป็นการปฏิบัติธรรมผิดทางทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นต้องมีสติระลึกได้ทัน แล้วใจจิตตามดูจนเห็นว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นดับไปตามกฎไตรลักษณ์ อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ปฏิบัติธรรมถูกทาง

    ความรู้สึกเมื่อยที่ขา ยังปรากฏให้สัมผัสได้ แสดงว่ากำลังสติไม่กล้าแข็ง จึงไปรับเอาอารมณ์เมื่อย เข้ามามีอำนาจเหนือใจวิธีแก้ไขต้องกำหนดว่า “ เมื่อยหนอ ๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าความเมื่อยจะหมดไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1.มีความจำเป็นที่จะต้องประกอบอาชีพที่เสื่ยงต่อกฏหมาย และหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะสินค้านั้นถูกผลิตตามความต้องการของลูกค้า ทราบว่าอย่างไรก้อบาป และผิดศีลแน่นอน เราไม่อยากทำงานนี้และไม่เต็มใจรับ แต่จำเป็นต้องทำ ไม่ทราบว่าควรอธิษฐานจิตอย่างไร เพื่อจะได้ไม่ต้องมีอาชีพที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคะ และเราทำกรรมแบบไหนมาจึงต้องมาประกอบอาชีพแบบนี้

    2. ดิฉันเป็นคนที่ไม่มีโชคเรื่องงานเลยค่ะ ตั้งแต่เรียนจบหางานเกือบปีงานที่ได้ก็เป็นธุรกิจของคนใกล้ชิด ทำได้แปดเดือนเท่านั้น จากนั้นก็ว่างไปสี่เดือน ได้งานใหม่ เป็นงานที่เพื่อนแนะนำมาค่ะ ทำได้สองปีกว่าก็เบื่อ ส่วนงานที่สามก็ทำได้แค่สองเดือนเท่านั้นเป็นงานที่เพื่อนแนะนำอีกก็ออกมา อีก (ทั้งสามที่นี้เราเป็นคนตัดสินใจลาออกเอง) และสมัครงานไปก็มักจะไม่ถูกเรียก,หรือถ้าได้งานแล้วทำไปได้ไม่นานก็เบื่อ อยากเปลี่ยนงาน เนื่องจากทางบ้านมีธุรกิจเลยไม่ลำบากเรื่องปัจจัย แต่เราก้ออยากมีงานที่เราคิดว่าทำแล้วชอบและรักกับงานนั้นๆ แต่ก็ยังหาไม่เจอ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร และควรแก้ไขอย่างไรคะ

    3.หันมาปฏิบัติธรรมมากขึ้น รู้สึกดีและคิดว่าจะทำต่อไปเรื่อย ใช้การบริกรรมยุบ-พองหนอ และอานาปาณสติ แต่จิตยังซัดส่ายมากๆๆๆ ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรดีคะ (เคยอ่านพบว่าให้เอาอสุภกรรมฐานมาเป็นอารมณ์ แต่กำหนดไม่เป็นค่ะ) รบกวนแนะนำด้วยค่ะ

    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงปกปักคุ้มครองรักษาให้ท่าน ดร สนอง มีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขนะคะ
    ขอบคุณมากๆค่ะ

    คำตอบ
    (1) คนที่มีอาชีพเป็นมิจฉาอาชีวะ เมื่อรู้แล้วยังประกอบอาชีพนั้นต่อไป เท่ากับเป็นการสั่งสมบาปให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น หากเมื่อใดกำลังของบาปให้ผลผู้ทำบาปต้องับผลของอกุศลวิบากนั้น

    อธิษฐานจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมิจฉาอาชีวะ สามารถอธิษฐานได้ แต่คำอธิษฐานจะเป็นจริงได้ต่อเมื่อต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรง คือเลิกทำอาชีพปัจจุบัน แล้วหันไปทำอาชีพที่ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม

    ส่วนเหตุที่ต้องมาประกอบมิจฉาอาชีวะอยู่ในปัจจุบัน เป็นเพราะอดีตเคยทำอาชีพทุศีลมาก่อน

    (2) การหางานที่ชอบกับใจของตัวเอง และได้งานชนิดนั้นมาทำเป็นอาชีพ ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่ง คือมีความรู้ มีความสามารถในงานนั้น ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดี มีคุณธรรม มีความกตัญญูฯ ต่อผู้มีพระคุณ และสุดท้ายต้องพัฒนาตัวเองให้มีดวงดี ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เนืองนิตย์ จนอานิสงส์ของบุญส่งผลได้เมื่อไรแล้วความปรารถนาข้างต้นจะสัมฤทธิ์ผลปัญหามี อยู่ว่าจะประพฤติได้ไหม

    (3) ปฏิบัติธรรมแล้วจิตยังซัดส่าย “ มาก ๆๆๆ ” นั้นถูกต้องแล้วเหตุเป็นเพราะ ปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม การจะแก้ปัญหาจิตซัดส่าย (ขาดสติ)ให้ได้ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องทำใจให้มีศีล 5 สถิตอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น เลือกเอาบทกรรมฐานเพียงหนึ่งอย่างมาเป็นองค์บริกรรมและสุดท้าย เร่งความเพียรในการปฏิบัติให้ต่อเนื่องยาวนานผลสำเร็จในการปฏิบัติธรรมจึงจะ เกิดขึ้นได้
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1.ที่อาจารย์บอกว่าให้กิน โปรตีน กับ ไขมัน เยอะๆ จะได้ไปเลี้ยงสมอง กินแบบฝรั่งจะได้หัวดี
    ขอถามว่า ผมกินไขมันเยอะๆโดยกินอาหารฝรั่ง คือ พวก mcdonald กินเฟรนฟาย(มันฝรั่งทอด) จะได้มั้ยครับ และพวก พิซซ่า kfc ด้วยครับ เพราะผมเห็นว่ามันมีโปรตีนกับไขมันเยอะดี หรือถ้าไม่ควรกินอะไรดี ผมอายุ 24 ครับ และ น้อง 18 ปีครับ
    2.โปรตีนกับไขมัน ควรกินเยอะๆเพื่อไปบำรุงสมองได้ ควรกินถึงอายุประมาณเทาไหร่ดีครับ แล้วจึงหันไปกินพักแทน
    3.อาจารย์บอกว่าจะเรียนดี ต้องทำจิตให้ว่าง 10-15 นาที ขอถามว่า ทำจิตให้ว่าง คือ ไม่คิดอะไรเลย นั่งหลับตาเฉยๆ หรือว่า กำหนด พองหนอ ยุบหนอ ดีครับ

    ถ้าอาจารย์มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเรียน ช่วยบอกเพิ่มเติมหน่อยนะครับ
    ขอบคุณอาจารย์มากๆครับ ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงอยู่ช่วยเพื่อนๆมนุษย์ต่อไปนานๆครับ

    คำตอบ
    (1) ตัวอย่างอาหารที่บอกเล่าไป อุดมด้วยโปรตีนและไขมัน บริโภคแล้วดีกับผู้มีอายุอยู่ในช่วงวัยเด็ก

    (2) อาหารที่อุดมด้วยไขมันและโปรตีน ควรรับประทานในช่วงวัยเด็กคือมีอายุแรกเกิดจนถึงอายุ 15 ปี เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นควรลดบริโภคอาหารที่เป็นโปรตีนและไขมันลง โดยเพิ่มพืชผักผลไม้ให้มากขึ้น ส่วนอาหารที่ให้พลังงานเช่นประเภทคาร์โบไฮเดรต บริโภคพอประมาณ นักกีฬาที่ใช้พละกำลังมากสามารถบริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรตได้มากตามความต้อง การใช้พลังงานของร่างกายได้

    (3) คำว่าจิตว่าง หมายถึงจิตที่ว่างจากการรับสิ่งกระทบภายนอกเข้ามาปรุงอารมณ์เช่นจิตที่ตั้ง มั่นเป็นสมาธิในฌาน

    ที่แนะนำว่าผู้ใดประสงค์จะเรียนได้ดี ต้องทำจิตว่างนั้นหมายถึงพัฒนาจิตให้มีสติ จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วคลื่นสมองจะเปลี่ยนความถี่มาอยู่ในช่วงความถี่ คลื่นสั้น ส่งผลให้ความจำเพิ่มขึ้นเป็นอัตโนมัติทำให้เรียนเก่ง
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ที่คณะ 5 ที่อาจารย์แนะนำแล้วค่ะ แต่หนูประสบปัญหาหลายอย่าง ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    1. หนูไม่สามารถนั่งสมาธิได้นาน อาจเนื่องจากสรีระของหนูเอง คือหนูเป็นคนตัวอ้วนเตี้ย ขาจึงสั้นและใหญ่ หนูจะปวดขามากเวลานั่ง จิตจึงฟุ้งมาก เพราะไม่มีสมาธิอยู่แล้ว ปวดขา และรู้สึกเหมือนจะหงายท้องด้วย แต่หนูรู้สึกดีและมีสมาธิกว่ากับการเดินจงกรม หนูจะเดินจงกรมอย่างเดียวได้ไหมคะ

    2. หนูมีโอกาสไปฝึกมา 4 ครั้งแล้ว ครั้งแรกรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ครั้งที่ 2 รู้สึกโล่งสบาย ครั้งที่ 3 รู้สึกปวดหัว ครั้งที่ 4 รู้สึกปวดหัวมากกว่าครั้งอื่นๆ เป็นเพราะอะไร หนูตวรปฏิบัติอย่างไร

    3. หนูยังไม่สามารถสวดมนต์ช่วงที่กราบแล้วหมอบได้ค่ะ แล้วหนูจะได้บุญไหมคะ เมื่อหนูไม่สามารถสวดมนต์ได้ครบทุกขั้นตอน (หนูจะพยายามฝึกท่องให้ได้ค่ะ)

    4. ตอนท้ายที่มีการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่และผู้มีพระคุณ ท่านจะได้รับบุญกุศลอย่างไรคะ มากแค่ไหนคะ พ่อหนูกำลังป่วยหนักจะมีวิธีที่จะทำให้ท่านได้บุญมากๆ และมีโอกาสได้ไปสวรรค์ไหมคะ

    กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะที่กรุณาสละเวลาอันมีค่ายิ่งตอบคำถามดัง กล่าว
    หนูขออนุญาตอวยพรให้อาจารย์และครอบครัวมีความสุข สุภาพแข็งแรงตลอดไปนะคะ

    คำตอบ
    (1) การฝึกจิตให้มีสติ สามารถใช้ได้กับทุกอิริยาบถ อิริยาบถใดนำมาใช้ฝึกจิตให้มีสติ แล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ อิริยาบถนั้นเหมาะกับผู้ถามปัญหา

    (2) วิธีการฝึกจิตแล้วมีปัญหาปวดศีรษะเข้ามารบกวนควรเลือกฝึกในอิริยาบถที่เหมาะ สมเข้าได้กับจริตของผู้ฝึก เช่นโภชนสัปปะได้แก่การบริโภคอาหารที่ถูกับร่างกาย อุตุสัปปายะ เช่นอากาศไม่หนาวเกินไปไม่ร้อนเกินไป อิริยาบถสัปปายะ เช่น ใช้วิธีเดินจงกรมแทนการนั่งภาวนา ฯลฯ รวมถึงการใช้บทกรรมฐานที่ถูกับจริตของตน ซึ่งต้องทดลองปฏิบัติดูด้วยตนเอง

    (3) สวดมนต์ในขณะหมอบกราบ หากไม่เหมาะกับสรีระของตนให้นั่งสวดมนต์แล้วจึงกราบภายหลังก็ได้บุญเหมือน กัน

    (4) อุทิศบุญกุศลหลังปฏิบัติธรรมให้พ่อแม่ ก่อนเข้าปฏิบัติควรบอกให้พ่อแม่ทราบก่อนว่า เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในแต่ละวัน ลูกจะอุทิศบุญกุศลให้ท่าน บอกให้ท่านกล่าววาจาตามเวลาที่กำหนดให้ หากพ่อแม่กล่าวอนุโมทนาบุญที่ลูกอุทิศให้เขาก็จะได้รับบุญเป็นส่วนจะได้บุญ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความตั้งใจกล่าวคำอนุโมทนาว่าตั้งใจมากหรือตั้งใจ น้อย

    พ่อมีโอกาสได้ไปเกิดอยู่ในสวรรค์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับขณะจิตหลุดออกจากร่าง หากมีแรงกรรมของกุศลกรรมบถ 10 ผลักดัน โอกาสไปเกิดในสวรรค์จะมีได้
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูรู้สึกว่าพ่อเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้เพราะตั้งแต่อยู่กันมาไม่มี ความสุขเลย พ่อชอบกินเบียร์จนเมา ชอบจิกใช้แม่เหมือนชี้ข้า และถ้ารู้ว่าหนูและแม่ไม่ชอบอะไรก็จะยิ่งทำสิ่งนั้นด้วยความสะใจ และไม่ยอมหย่ากับแม่เพราะต้องการผลประโยชน์คือเงิน หนูทุกข์และโกรธมากเวลาพ่อมาตะคอกขอตังค์จากแม่ โดยให้แม่ไปกู้สหกรณ์มาให้ ถ้าไม่ให้จะไปยืนด่าหน้าสหกรณ์ แม่ก็กลัวต้องยอมไปกู้มาให้ทุกครั้งเพราะรู้ว่าสู้คนแบบนี้ไม่ไหว โดยเค้าไม่เคยคืนให้เลย เอาของแม่ไปหลายแสน ถ้าทวงถามก็จะพาลตอบว่า ไม่เคยยืมเลย ตอนนี้หนูมีเรื่องทะเลาะกับพ่อ เค้าโกรธมากอยากตัดขาดจากหนูและแม่ โดยไล่หนูและแม่ออกจากบ้าน ต้องไปอาศัยอยู่บ้านญาติ และให้โอนบ้านซึ่งเป็นชื่อหนู คืนให้กับเค้า พร้อมเงินที่เคยให้ ซึ่งหนูก็ไม่ได้ว่าอะไร ยินดีคืนให้ ทุกอย่าง เพราะถ้าไม่มีเค้าในชีวิตแล้ว ชีวิตมันดีขึ้นเยอะ

    หนูรู้สึกทุกข์ใจมากในตอนนี้เพราะเค้ายังคงอยากตามพยาบาทจองเวรต่อไป โดยบอกว่าให้ออกค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์และค่าเคเบิ้ลให้เค้าต่อไป (ก่อนหน้านี้หนูก็เป็นคนออกให้มาตลอด) ตอนแรกนึกว่าเค้าอยากตัดขาดจากเราแล้วจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก แต่เค้าเหมือนอยากแกล้ง อยากพยาบาทจองเวรต่อไป ทั้งที่เงินที่หนูโอนคืนให้ก็เป็นหลักแสนแล้ว และเค้ามีเงินเก็บอีกประมาณ 2 ล้าน แต่เค้าก็ยังมาขอให้ออกค่าในบ้านต่อไป เค้าชอบเปิดแอร์ทั้งวันเปลืองค่าไฟมาก หนูก็มีเงินเดือนไม่มาก ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีเงินเก็บเพราะเอามาจ่ายค่าในบ้านและให้เงินเดือนเค้าหมด โดยเค้ามีนิสัยพาล ถ้าสั่งอะไรแล้วไม่ได้อย่างใจ หนูกลัวว่าเค้าจะมาทำร้ายร่างกายหรือมายืนด่าหน้าบริษัท (เค้าเคยขู่ว่าจะมายืนด่าหน้าบริษัทค่ะ) หนูและแม่จะทำอย่างไรดีคะ ที่จะไม่ต้องพบเจอและเกี่ยวข้องกับเค้าอีกต่อไป ต้องทำบุญอะไรถึงจะไปพ้นเวรกรรม บ่วงพยาบาทของคนนี้ค่ะ

    กราบขอบพระคุณค่ะที่เมตตาตอบคำถาม

    คำตอบ
    ในครั้งพุทธกาล ที่วัดเชตะวัน กรุงสาวัตตถี พระพุทธตรัสความเป็นมงคลจำนวน 38 ข้อ ให้กับเทวดาที่มาขอให้พุทธองค์บอก ซึ่ง 1 ใน 38 ข้อนั้นมีคำว่า “ อเสวนา จ พาลานัง... ” ซึ่งมีความหมายว่า ความไม่คบชนพาลเป็นมงคลสูงสุด

    การไม่คบชนพาลต้องไม่เข้าใกล้ ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่พบเห็นคนพาล เว้นให้ห่างไกลจากคนพาล ดังคำของคนโบราณได้กล่าวไว้ว่า “ เว้นหมาให้ห่างศอก เว้นวอกให้ห่างวา เว้นพาลาให้ไกลถึงแสนโยชน์

    ดังนั้นหากผู้ถามปัญหาเชี่อพระพุทธะและเชื่อคำกล่าวของ คนโบราณและปฏิบัติตาม ปัญหาที่ถามไปจะหมดไปชั่วคราวและจะหมดไปสิ้นต่อเมื่อนำชีวิตเข้าสู่พระ นิพพาน
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ได้อ่านคำตอบที่อาจารย์ให้ไว้ว่า ควรจัดหิ้งพระให้หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก อยากทราบเพราะเหตุใดจึงเป็นทิศที่เหมาะสมครับ

    2. การเข้าอรูปฌานได้ไม่จำเป็นต้องฝึกกสิณมาก่อนใช่หรือไม่ครับ และอยากให้อาจารย์อธิบาย อรูปฌาน ทั้ง ๔ อย่างย่อๆ พอให้เห็นภาพครับ เพราะพยายามอ่านและใช้ความคิดตามแล้ว รู้สึกเข้าใจสภาวะอรูปฌานเหล่านั้นได้ยาก เช่น "กำหนดวิญญาณเป็นอารมณ์" และอยากทราบว่า ผู้ที่ฝึกเข้า "รูปฌาน"ได้สามารถรู้วิธีการเข้าสู่ "อรูปฌาน" ต่อไปเป็นลำดับได้ด้วยตนเองได้หรือไม่ หรือว่าอาจจะต้องมีครูอาจารย์เป็นผู้แนะนำการพัฒนาลำดับฌานขึ้นไปครับ

    3. "ฉันทะ" คือกิเลสตัวหนึ่งใน "สังโยชน์ ๑๐" คือ "กามฉันทะ" แต่ "ฉันทะ" ก็ปรากฏอยู่ใน
    "อิทธิบาท ๔" ด้วยเช่นกัน การใช้อิทธิบาท ๔ ในการทำการงานภาระหน้าที่ทางโลก ยังคงต้องแฝงอยู่ด้วยกิเลสอยู่ใช่หรือไม่ครับ แล้วจะพัฒนาจิตอย่างไร ให้ใช้อิทธิบาท ๔ เพื่อความสำเร็จแต่จิตไม่ยึดติดกับความเป็นตัวตนสมมติของภาระหน้าที่เหล่า นั้นได้ครับ และการปฏิบัติธรรมควรจะประกอบด้วยฉันทะด้วยหรือไม่ครับ เพราะเคยได้ยินคำว่า "ฉันทะในการปฏิบัติธรรม"

    ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาตอบคำถามเหล่านี้ครับ

    คำตอบ
    (1) ตอนที่พระมหาโพธิสัตว์ ประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ในคืนที่ตรัสรู้ ท่านได้นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกในฐานะพุทธบริษัทที่เลื่อมใสศรัทธาในพระ ศาสดา ควรดูเป็นแบบอย่างแล้วประพฤติตาม จิตให้เข้าถึงอรูปฌานได้ ยังสามารถใช้อุเบกขาอัปปบัญญา หรือ อาณาปานสติ มาเป็นองค์บริกรรมให้จิตเข้าถึงรูปฌานทั้ง 4 ได้ ผู้ใดปฏิบัติได้แล้ว กำลังของรูปฌาน 4 จะส่งผลให้จิตของผู้เขาถึงแล้วสามารถพัฒนาอรูปฌานได้เป็นผลสำเร็จ

    (2) การอ่านจากตำราไม่สามารถเข้าถึงอรูปฌานได้ แต่ผู้มีทักษะมาแต่อดีตชาติ เมื่อจิตตั้งมั่นถึงระดับรูปฌาน 4 สามารถใช้พลังจิตตามดู (โยนิโสมนสิการ) ความเป็นไปสี่อย่างของอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตได้เองโดยไม่ต้องมีผู้แนะนำ คือรู้เห็นเข้าใจด้วยจิตของตนเอง (สนฺทิฏฐิโก) ว่าอากาศไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏเป็นอารมณ์เกิดขึ้นในจิต โดยไม่ต้องบริกรรมคำว่า “ อากาโส อนฺนโตๆๆๆ ” จิตสามารถบรรลุถึงคาวมเป็นอรูปฌานที่เรียกว่า อากาสานัญจายตนฌาน เมื่อจิตออกจากอากาสามัญจายตนฌานแล้ว จะปรากฏว่า วิญญาณ(ความรู้แจ้งอารมณ์)ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์เกิดขึ้นในจิต โดยไม่ต้องบริกรรมคำว่า “ วิญญาณํ อนฺนตํๆๆๆ ” จิตสามารถบรรลุถึงความเป็นอรูปฌานที่เรียกว่า วิญญาณัญจายตนฌาน เมื่อจิตออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว จะปรากฏความไม่มีอะไรเป็นอารมณ์เกิดขึ้นในจิต โดยไม่ต้องบริกรรมคำว่า “ นตฺถิ กิญจิๆๆๆ ” จิตสามารถบรรลุถึงความเป็นรูปฌาน ที่เรียกว่า อากิญจัญญายตนฌาณ และสุดท้ายเมื่อนำจิตออกจาก อากิญจัญญายตนฌานแล้ว จะปรากฏความไม่มีสัญญาอย่างหยาบ แต่มีสัญญาอย่างละเอียด เป็นอารมณ์เกิดขึ้นในจิต โดยไม่ต้องบริกรรมคำว่า “ เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํๆๆๆ ” จิตสามารถบรรลุถึงความเป็นอรูปฌานที่เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌานเป็นอรูปฌานสุดท้าย

    ส่วนผู้ฝึกจิตที่มีบุญบารมีหรือมีทักษะสั่งสมมาไม่มากพอ แต่ชาติปางก่อน สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นอรูปฌานได้จำเป็นต้องพึ่งครูบาอาจารย์ผู้ มีประสบการณ์ หรือเคยเข้าถึงฌานสมาบัติ 8 มาก่อน เป็นผู้ชี้แนะการฝึกให้ ด้วยการนำคำบริกรรมดังกล่าวข้างต้นมาเป็นองค์ภาวนา

    (3) ในสังโยชน์ 10 ตัวแรกคือ กามราคะ คำว่าราคะหมายถึงความกำหนัด ความยินดีในกาม ส่วนคำว่าฉันทะในอิทธิบาท 4 เป็นหนึ่งในคุณธรรมที่ส่งผลให้เกิดเป็นความสำเร็จในทางโลก คือมีความยินดีในกิจที่ทำ ผู้รู้ใช้ฉันทะให้เกิดเป็นประโยชน์ ผู้รู้ได้ประโยชน์จากฉันทะ แต่ผู้รู้ไม่เอาจิตไปผูกติดกับฉันทะ ด้วยเหตุนี้การปฏิบัติธรรม หากประสงค์จะเข้าถึงธรรมของพระพุทธะ ต้องใช้ฉันทะให้เป็นโดยมีสติสัมปชัญญะระดับโลกุตระ เป็นตัวระลึกรู้เท่าทันในการใช้ฉันทะให้เกิดประโยชน์ แล้วจิตจึงจะเป็นอิสระจากฉันทะได้
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    บ้านพักของผมมีแมลงสาบชนิดหนึ่ง เป็นแมลงสาบขนาดเล็ก ตัวเต็มวัยขนาดกว้าง x ยาว ประมาณ 3 มม. x 1 ซม. (ชึ่งต่างกับแมลงสาบทั่วไปที่ตัวมีขนาดใหญ่) ลูกของมันเล็กมาก (ประมาณเท่ามดคัน) แมลงสาบชนิดนี้ขยายพันธุ์ได้เร็วมาก เมื่อประมาณ 3 เดือนก่อนผมเคยคิดจะกำจัดโดยใช้ยาเบื่อ แต่ก่อนใช้ผมได้ตั้งจิตอธิษฐานบอกว่าหลังจากนี้อีก 3 วันผมจะใช้ยาเบื่อแล้วนะ ขอให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นก่อนอย่ามารบกวนกันอีกเลย เมื่อครบ 3 วันผมก็ซื้อเหยื่อสำเร็จรูปมาวาง เช้ามาก็พบแมลงสาบตายไป 10 กว่าตัว แต่ด้วยความที่ผมได้เคยตั้งใจไว้ว่าจะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ก็รู้สึกไม่ดีที่เห็นแมลงสาบตาย ก็เลยเก็บยาเบื่อไว้ไม่นำมาใช้อีก

    ผมก็พยายามทำความสะอาดบ้านไม่ให้เหลือเศษอาหารไว้เป็นเหยื่อแมลงสาบเพื่อมัน จะได้ไม่ต้องมาอยู่ แต่มาถึงปัจจุบันนี้แมลงสาบเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว กลางคืนผมลุกเข้าห้องน้ำผ่านห้องครัวเห็นมันออกมาเดินกันเป็นพันตัว (ไม่น้อยนะครับ) เพื่อหาเศษอาหาร เช้ามาหม้อข้าว หม้อแกงก็พบมันมุดฝาลงไปกินตายอยู่ในหม้อหลายตัว โดยเฉพาะกับข้าวที่เป็นน้ำเช่นต้มจืดมันจะลงไปแล้วตกน้ำตายเป็นประจำ ไปหาซื้อตู้กับข้าวก็ไม่มีแบบที่ป้องกันแมลงสาบตัวเล็กได้ ตอนกลางวันไปรื้อดูพบมันแอบอยู่ตามใต้ภาชนะต่างๆ มากมาย เช่นใต้ขวดน้ำปลาขวดเดียวพบทั้งพ่อแม่ลูกและไข่เป็นสิบตัวผมทนกับเหตุการณ์ แบบนี้มานานพอสมควรจนตอนนี้ผมทนไม่ไหวแล้ว ก็เลยต้องเลิกรักษาศีล 5 เอายาเบื่อที่เคยเก็บไว้มาใช้อีก ผมวางมา 3 คืนแล้ว เช้ามาก็พบมันนอนตายเกลื่อนพื้นวันละ 200 - 300 ตัว รู้ว่ามันบาบมากแต่หาทางออกไม่ได้

    อยากจะขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่ามีทางออกวีธีอื่นบ้างหรือไม่ครับ
    ขอขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

    คำตอบ
    การกระทำที่บอกเล่าไป เป็นการประพฤติผิดศีลข้อ ปาณาติบาต ผู้ใดประสงค์จะเลิกประพฤติผิดศีลในข้อที่กล่าวถึงทำไมไม่ทำตามแบบคนโบราณ เขาแก้ปัญหาเช่นนี้ได้เป็นผลสำเร็จด้วยการใช้พิมเสน 1 ส่วน ผสมกับ การบูร 3 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้ว บรรจุใส่ถุงผ้าดิบเล็ก ๆ (3-5ช้อนโต๊ะ) รัดปากถุงให้แน่นแล้วนำไปวางไว้ในที่มีแมลงสาปรบกวน เช่นในตู้เสื้อผ้า ในตู้เก็บเครื่องถ้วยชาม ในตู้เก็บแก้ว เก็บช้อน ฯลฯ ปรากฎว่าไม่มีแมลงสาปตายและไม่มีแมลงสาปปรากฏให้เห็นอีกเลยทำไมไม่ลองทำตามที่คนโบราณเขาได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างดูบ้างล่ะ
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ตามที่ดิฉันได้ศึกษาประวัติแม่นางอิสิทาสี ทำให้อยากทราบประวัติโดยละเอียด ไม่ทราบว่าดิฉันจะสามารถสืบค้นหาได้จากที่ไหนคะ ทั้งนี้เพราะดิฉันอยากทราบขั้นตอนและแนวคิดวิธีปฏิบัติเช่นไร เพื่อหลุดพ้นจากอกุศลกรรมวิบากดังกล่าว ไปให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อยึดเป็นแบบอย่างคะ ไม่ทราบว่าดิฉันจะหาข้อมูลได้ที่ไหนคะ

    ขณะนี้ดิฉัน ได้ย้ายกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดแล้วคะ เรามีร้านขายยาเล็กอยู่หน้าตลาด ดิฉันสังเกตถึงพฤติกรรมของพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดแล้วรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก คือ บ้างก็ดื่มเหล้า เล่นหวย นินทาว่าร้ายกัน บ้างก้อขายเต่า ปลาไหล ปลาดุก ขังพวกมันไว้ในถัง น่าสงสาร ฆ่าปลา ทุบหัวกันสดๆ เห็นแล้วรู้สึกหดหู่ มากเลยคะ
    ดิฉันจึงตัดสินใจขออนุญาตคุณพ่อแม่ จัดแบ่งพื้นที่ในร้านขายยา จัดทำมุมหนังสือธรรมะ ไว้ที่ร้านโดยอนุญาตให้เข้ามานั่งอ่านหรือหยิบยืมหนังสือธรรมะ ที่ดิฉันทำการสั่งซื้อหนังสือและซีดี ทั้งหมดที่มีจำหน่ายในเวปไซน์ของกัลยาณธรรม และหนังสือธรรมะอื่นๆอีกมากมาย ทั้งนี้หวังเพียงแค่ให้พ่อค้าแม่ค้า ได้มีหนังสือดีๆอ่าน ได้ซึมซับสิ่งดีๆบ้าง ที่กล่าวมายืดยาวนี้ เพียงแค่จะ ขออนุญาตอาจารย์สนอง ขอใช้มุมหนังสือธรรมะนี้ว่า มุม กัลยาณธรรม จะได้ไหมคะ หรือหากอาจารย์เห็นชื่ออื่นเหมาะสมกว่า ดิฉันขออนุญาตอาจารย์ช่วยแต่งชื่อ มุมหนังสือธรรมะนี้ด้วยคะ

    ดิฉันขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ด้วยความเคารพอย่าสูง และขอให้อาจารย์เชื้อได้ว่า ดิฉันจะใช้ ศีล สมาธิและปัญญา ที่อาจารย์ สนอง เคยแนะนำมานี้ มาช่วยเหลือคนที่อยู่ใกล้ดิฉันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้คะ

    กราบขอบพระคุณคะ

    คำตอบ
    โปรดสอบถามดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ท่านมีความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาอย่างดีคงให้ความกระจ่างในเรื่องที่ถามไป ได้

    ส่วนเรื่องพฤติกรรมของพ่อค้าแม่ค้าที่คุณได้เห็นด้วยตก ได้ยินด้วยหู มันเป็นเรื่องของเขา คุณไม่มีสิทธิไปบอกเขาให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเขาเป็นครูที่ดีสอนคุณให้ระมัด ระวังหูที่ได้ยิน ระมัดระวังตาที่ได้เห็นมันจะเป็นสื่อนำบาปกรรมของคนอื่นมาเป็นบาปกรรมของตัว ฉะนั้นหากคุณปรารถนาจะไม่ให้บาปเข้าสู่ใจ ต้องปรับปรุงใจของตนเองให้มีสติสัมปชัญญะ คุมหู คุมตา คุมใจ ของตนเองให้ดีได้เมื่อใดแล้ว การเห็นด้วยตา การได้ยินด้วยหู ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง

    ดำริจะทำมุมธรรมะไว้ที่ร้านให้ผู้อื่นได้มาหยิบยืม หนังสือหรือซีดีไปอ่านไปฟัง เป็นความคิดถูก (สัมมาสังกัปปะ) อนุโมทนาด้วยและไม่ขัดข้องตามที่ขอใช้ชื่อมุมกัลยาณธรรม เพียงแต่แจ้งให้ทางชมรมกัลยาณธรรมทราบด้วย เขาจะได้อนุโมทนาแล้วบุญก็จะเกิดมากยิ่งขึ้น
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันมีความพร้อมทุกอย่างในการปฏิบัติธรรม ทางบ้านไม่ขัดข้อง และมีรายได้ทุกเดือนโดยไม่ต้องเดือดร้อนหางานทำ แต่ดิฉันยังไม่สามารถหาสถานที่อยู่ปฏิบัติธรรมได้เป็นเวลานานๆ จนสามารถเห็นธรรมได้โดยไม่ต้องบวชชี จึงอยากให้ อาจารย์ช่วยแนะนำสถานที่ที่ดิฉันสามารถอยู่ปฏิบัติธรรมได้ยาวนานจนบรรลุธรรม ได้ด้วยค่ะ ปัจจุบันดิฉัน อาศัยอยู่ที่ กรุงเทพ เคยปฏิบัติแนว พองยุบ มาก่อน แต่ทางวัดคนเยอะมาก ไม่สามารถให้อยู่ปฏิบัติได้นาน ดิฉันจึงต้องไปๆกลับๆ ปฏิบัติไม่ต่อเนื่องเพราะที่บ้านคนเยอะจะชวนคุยมากจนฟุ้ง ต่อมาดิฉันรู้จักเพื่อนพาไปปฏิบัติ แนวพุทโธ ดิฉันลองปฏิบัติดู รู้สึก โปร่ง โล่ง เบา แต่ก็ยังไม่มีสติ เนื่องจากวัดที่เพื่อนพาไปปฏิบัติ จะเป็นแนวอิสระ อยากปฏิบัติเมื่อไรก็ทำเอง ดิฉันเพิ่งจะเริ่มต้นปฏิบัติจึงเคว้งคว้าง

    รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ฆราวาสสามารถอยู่ปฏิบัติ ธรรมแบบมีกฎระเบียบให้ด้วยค่ะ
    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    คำตอบ
    สถานที่ปฏิบัติธรรมมีคนมาก ยังไม่สำคัญเท่ากับปรับตัวเองให้เหมาะสม (สัปปายะ) กับสถานที่ นั่นเป็นที่ถูกต้องและควรทำที่สุด ประสงค์จะแสวงหาที่สงบในการปฏิบัติธรรมผู้ตอบปัญหาแนะนำให้ไปหาเจ้าอาวาส และขออนุญาตปฏิบัติธรรมที่วัดทับทิมแดง ซึ่งอยู่หลังตลาดไท จ.ปทุมธานี
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันเพิ่งเข้ามาศึกษาการปฏิบัติธรรมไม่นานมานี้ ครั้งแรกที่ปฏิบัติธรรมคือที่ ยุวพุทธฯ มีเพื่อนแนะนำหนังสือทางสายเอกของท่านอาจารย์สนองให้อ่าน ดิฉันก็ไปดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ กัลยาณธรรมนี้ หลังจากนั้นก็ติดตามงานหนังสือของท่าอาจารย์มาโดยตลอด ถ้ามีเวลาว่างจะเข้ามาดาวน์โหลดธรรมบรรยายของท่านอาจารย์สนองอย่างเป็นประจำ และทุกวันเวลานั่งทำงานจะฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ตลอด รู้สึกว่าซึ้งถึงรสพระธรรมดีมาก มีธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ที่เป็นการตอบคำถามธรรมทางรายการวิทยุ ฟัง ๆ ไป เจอคำถามแต่ละอัน ตัวดิฉันเองก็คิดว่า ทำไมคำถามแต่ละอันถึงได้........ (อันนี้ขอละไว้นะค่ะ) ก็มีความรู้สึกว่า ท่านอาจารย์มีความเมตตาอย่างแรงกล้า หากเป็นตัวดิฉันเองคงไม่มานั่งฟังเรื่องอะไรแบบนี้ เพราะบางเรื่องรู้สึกว่ารับไม่ได้จริงๆ (เพราะดิฉันไม่มีบารมีพอ) ก็อยากจะขออนุโมทนา สาธุ ในความเมตตาของท่านอาจารย์นะค่ะ ทุกวันนี้พยายามรักษาศีล 5 ให้บริสุทธ์ และพยายามหาเวลาว่างไปนั่งปฏิบัติธรรมตามแต่ละโอกาสจะเอื้ออำนวย

    มีคำถามเดียวที่สงสัย คือ พี่สาวของดิฉันเคยนั่งสมาธิที่บ้าน และทุกครั้งที่จะออกจากสมาธิพี่สาวจะตัวสั่น ซึ่งมันไม่ได้สั่นเเองนะค่ะ พี่สาวจะทำตัวให้สั่นเพื่อเรียกจิตกลับมา อันนี้มันคืออะไรค่ะ เพราะว่าที่พี่สาวดิฉันปฏิบัตินี่ก็ทำตามพระสงฆ์ที่ประจำอยู่ที่วัดแห่ง หนึ่งค่ะ วิธีแบบนี้มีในพระพุทธศาสนาจริงหรือไม่ เพราะเท่าทีทำการ search หาข้อมูลดูไม่เคยเห็นกล่าวไว้เลยค่ะ

    ขอขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

    คำตอบ
    ผู้ใดนำธรรมะของพระพุทธะมาสถิตไว้ในใจได้แล้ว พฤติกรรมติดลบจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าผู้ใดปฏิบัติผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ พฤติกรรมดังบอกเล่าไปย่อมเกิดขึ้นได้นั่นคือปฏิบัติไม่ถูกตรงตามธรรม

    ฉะนั้นหากประสงค์จะแก้ปัญหานี้ต้องนำตัวเองของเข้าหาและขอรับคำชี้แนะจากครู บาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์และเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ ถ้าคำชี้แนะมาปฏิบัติตามให้ได้ปัญหาที่บอกเล่าไปจึงจะแก้ได้เป็นผลสำเร็จ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูประสบปัญหาถูกเพื่อนบ้านกลั่นแกล้งรังแก ค่ะ ถึงขั้นปีนเข้ามาในบ้านทำลายทรัพย์สินต่างๆ ไม่ได้มากมายอะไรนักเหมือนกับต้องการก่อกวนให้โมโหไม่มีความสุข หนูเคยตบะแตกมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งแต่หาคู่กรณีไม่ได้ เพราะใครจะยอมรับจริงไหมคะ หนูพยายามใช้ธรรมะทุกข้อเข้าแก้ ให้อภัย เมตตา มันก็บรรเทาได้เป็นบางครั้ง แล้วมันก็โกรธเกลียดพยาบาทอีก แต่พอนึกได้ว่า เราเคยก่อกรรมนี้ไว้ ก็ควรชดใช้ซะ เขาย่อมเคยทุกข็ร้อนใจก็เพราะเรามาก่อน มันก็ทำให้อารมณ์เย็นลงและทำให้ปลงได้ค่ะ คราวนี้อยากทำอะไรก็ทำซะ ฉันขอใช้ให้หมดๆไป

    แต่หนูก็ยังมีความคาดหวังว่า เมื่อไรเขาจะหยุด ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือสำนึกอะไร ก็เลยเศร้า เสียใจ เบื่อหน่ายอีก มีอยู่วันหนึ่งหนูมองดูต้นไม้ในกระถาง เสียงแม่บ่นว่า ใครหนอมาเด็ดหักทำลายช่อกล้วยไม้ที่เพิ่งออกใหม่ หนูก็ไม่รู้หรอกค่ะว่า ใครทำ อาจเป็นหลานที่อยู่ในบ้านหรือเป็นเจ้ากรรมนายเวรพวกนั้น แล้วมันก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัว "เพราะเราไปถือเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสิ่งเหล่านั่น การยึดถือเป็นเจ้าของนั่นแหละทำให้เป็นทุกข์ ต้นไม้ข้าวของต่างๆมันอยู่ของมันเฉยๆ คนเรานี่ล่ะที่ไปทึกทักกันว่า เราเป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ สรรพสิ่งต่างๆไม่มีใครเป็นเจ้าของใคร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เรามีกรรมสิทธิ์ในโลกนี้ก็ด้วยกติกาสมมุติ สมมุติเงินทองเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของต่างๆ ไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรที่แท้จริงเลย"

    หนูอยากเรียนถามอาจารย์ว่า ความคิดที่แวบเข้ามานี้เป็นอย่างไรคะแล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทุกวันนี้ หนูเห็นสิ่งของต่างๆที่ไม่เป็นระเบียบ อาจจะด้วยน้ำมือคนหรือเหตุบังเอิญก็ตาม หนูก็คิดทำความสะอาดหรือจัดเก็บให้เรียบร้อย ไม่ต้องคิดว่า เกิดจากอะไร โทษใครอีก มันก็เหมือนจิตเบาๆดีค่ะ และทำให้หนูไม่คิดมากเรื่องหนูถูกนินทาให้ร้ายต่างๆด้วยค่ะ หนูสามารถยิ้มให้คนพวกนั้นได้ด้วยค่ะ หนูไม่อยากปรุงแต่งแล้วว่า เขายิ้มให้เรา ทำหน้าอย่างนั้นอย่างนี้เพราะนินทาเรา ด่าเรา

    กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่สละแรงกายแรงใจช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังสารวัฎ และขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ทุกประการค่ะ
    ขอแสดงความเคารพอย่างสูง

    คำตอบ
    ความคิดที่ไม่ดีแวบเข้ามาให้ระลึกรู้ แสดงว่าโปรแกรมจิตที่ติดลบยังหลงเหลืออยู่ในใจ ผู้รู้ไม่แก้ปัญหาที่คนอื่น แต่ผู้รู้ดูใจของตนเองแล้วแก้ปัญหาที่ตนเอง เมื่อใดที่จิตระลึกถึงความคิดที่เป็นลบ ต้องทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ แล้วใช้จิตตามดูว่า ความคิดติดที่เป็นของไม่เที่ยง ไม่คงที่ (อนิจจตา) คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกมีด้วยความเกิดขึ้นและความดับสลาย (ทุกขตา) และเป็นสิ่งที่มิใช่ตัวมิใช่ตน (อนัตตา) ผู้ใดเห็นชัดแจ้งดังนี้แล้ว จะไม่เอาความคิดติดลบ ที่ไม่มีตัวตนแท้จริงมาไว้กับตัว จิตจะปล่อยวางความคิด มีความเป็นอิสระจากความคิด แล้วความสุขจะเกิดขึ้นแทนที่
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1.การสร้างทานบารมีกับพระอริยะสงฆ์แล้วอธิฐานขอพระนิพานจะทำให้เราเติม เต็มบารมีในเจริญสติได้เร็วกว่าใช่ไหมครับและรบกวนท่านอาจารย๋สนองแนะนำคำ อธิฐานเพราะๆ หน่อยครับ

    2.ถ้าทำบุญทุกวันกับพระอริยสงฆ์หลายๆรูปจะมีผลยังไงและจะหนีวิบาก กรรมได้เร็วกว่าใช่ใหม่ครับ.

    คำตอบ
    (1) การอธิษฐานขอพระนิพพานเป็นการตั้งจิตปรารถนานำจิตเข้าสู่ภาวะนิพพาน เมื่อตั้งเป้าหมายไว้แล้ว ต้องทำเหตุให้ถูกต้องคือพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิและพัฒนาจิตให้เกิด ปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้สติกับปัญญาเห็นแจ้ง ส่องดูใจตนเองแล้วกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์10) ให้หมดไปได้เมื่อใดสภาวะนิพพานตามที่อธิษฐานจึงจะมีจริงได้

    (2) ทำบุญทุกวันกับหมู่อริยสงฆ์ ไม่สามารถหนี้วิบากกรรมได้เร็วเท่ากับการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์แต่ละตัวให้หมดไปจากใจ จนจิตบรรลุความเป็นอริยบุคคลได้แล้ว จะหนีวิบากของกรรมได้เร็วกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...