ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ผมมักจะกราบพระก่อนนอนประจํา ผมกราบพระในห้องนอน แต่ชุดผมเป็นชุดธรรมดา ชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้น(ชุดใส่นอน) จะเป็นการสมควรหรือไม่ที่ผมจะใส่ชุดแบบนี้ หากใส่ขายาวรู้สึกว่าจะอึดอัดและร้อน อยากให้ ดร.สนองให้คําแนะนําด้วยครับ

    กราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    คำตอบ
    เรื่องนี้ผู้ถามปัญหาต้องดูตัวเองให้ออกว่าก่อนสวดมนต์เต็มใจ ขณะสวดมนต์ตั้งใจ และสวดมนต์เสร็จแล้วสบายใจ หากเป็นไปตามนี้ ปัญหาที่ถามไปก็เป็นเพียงเปลือกของการสวดมนต์
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    กราบขอบพระคุณที่เป็นแสงสว่างให้กับชีวิตของดิฉันค่ะ วันนี้ดิฉันมีเรื่องรบกวนถามปัญหาแทนสามีหนึ่งเรื่องค่ะ คือเราสองคนพยายามนั่งปฏิบัติกรรมฐานร่วมกันโดยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นผู้สอนชี้แนะค่ะ แต่สามีมีปัญหาเรื่องง่วงนอนมาก คือนั่งไปสักสองสามนาทีก็จะหลับอย่างง่ายดาย ปกติก็เป็นคนหลับง่ายอยู่แล้วค่ะ แต่ไม่มีปัญหาในเวลาทำงานหรือขับรถนะคะ อาจารย์ที่สอนพวกเราก็บอกว่าสอนมานานหลายสิบปี นานๆจะเจอสักคน สอนมาเก้าวันแล้วสามีก็ยังนั่งหลับ ซึ่งเขาเองก็ไม่อยากเป็น แต่อาจารย์ก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นอะไรทำไมนั่งทีไรจึงหลับทุกทีค่ะ เลยอยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์สนองว่า สามีควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะหายง่วงคะ เวลาเดินจงกรมเขาก็เดินได้ค่ะ แต่พอนั่งปั๊บหลับทุกทีเลยค่ะ


    คำตอบ
    ขณะปฏิบัติธรรมเกิดอาการง่วงนอนอย่างมาก ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นกับผู้ตอบปัญหา ในสมัยที่ไปบวชและฝึกกรรมฐานอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก จึงได้แก้ปัญหาให้กับตัวเองหลายวิธี อาทิ การบริโภคอาหารเท่าที่จำเป็นพอให้ร่างกายนี้ทรงอยู่ได้ บริโภคอาหารที่ย่อยง่ายหายใจเข้าลึก ๆ ประมาณ 21 ครั้ง แล้วค่อย ๆ ปล่อยลมออกยาว ๆ เดินจงกรมให้ยาวนาน ไม่หายง่วงนอนขณะนั่งต้องลุกขึ้นเดินจงกรมอาบน้ำเย็นและเอาน้ำราดรดศีรษะจนทั่ว ฯลฯ ในที่สุดปัญหาง่วงนอนขณะนั่งหมดไปได้

    ย้อนหลังไปสู่อดีตครั้งพุทธกาลก่อนบรรลุอรหัตตผล พระมหาโมคคัลลานะ มีปัญหาเรื่องความง่วงเช่นเดียวกัน พระพุทธะเสด็จไปสอนให้หาวิธีแก้ง่วงด้วยวิธีการต่าง ๆ ถึง 8 วิธี ที่มีความหมายในลักษณะนี้คือ

    1. ควรพิจาณราองค์บริกรรมที่นำมาใช้นั้นให้มาก

    2. ถ้ายังไม่หายห่วง ควรนำธรรมที่ศึกษาจนจำได้นั้นมาพิจารณา

    3. ถ้ายังไม่หายง่วง ควรท่องบ่นธรรมที่ได้ฟังมาโดยพิศดาร

    4. ถ้ายังไม่หายง่วง ควรท่องบ่นธรรมที่ได้ฟังมาโดยพิศดาร

    5. ถ้ายังไม่หายง่วง เอาน้ำล้างหน้าลูบตาแล้วแหงนดูดาวในท้องฟ้า

    6. ถ้ายังไม่หายง่วง ควรทำจิตให้ระลึกถึงความสว่างในตอนกลางวัน

    7. ถ้ายังไม่หายง่วง ควรเดินจงกรมให้จิตจดจ่อในเท้าที่ย่างก้าว

    8. ถ้ายังไม่หายง่วงควรนอนตะแคงขวา เอาเท้าวางซ้อนกัน แล้วกำหนดว่า เมื่อตื่นแล้วจะลุกขึ้นทันที จะไม่หาความสุขจากการนอนด้วยศรัทธาเต็มร้อย พระมหาโมคคัลลานะนำไปปฏิบัติโดยไม่สงสัยผลปรากฏว่าท่านสอบผ่าน
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ผมได้มีโอกาสไปดูดวงจาก เจ้า ที่เข้าทรง และทำนายทายทัก ทำไม ท่าน(เจ้า)นั้นจึงสามารถช่วยลด เคราะห์กรรม ช่วยเหลือหรือ ต่ออายุ (เฉพาะบางท่านที่ทำได้)ของผู้ที่ศรัทธาไปหาท่าน แล้วยังบอกโรคภัย และวัน-เวลา ตายของผู้ที่ถึงเวลา ได้ถูกต้องตรงมาก

    2. ทำไมท่านไม่ต้องไปเกิดได้ละครับ หรือท่านต้องการใช้ร่างทรงเพื่อ เพิ่ม บุญ บารมี เพราะท่านบอกว่ามีอายุมา 100 กว่าปีแล้วหรือท่านเป็น ภพภูมิ ก้ำกึ่ง ระหว่างมนุษย์ กับ เทวดา

    3. สำหรับผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ หลังจากนั้นเวลาทำบุญกุศลจะต้องถูกแบ่งบุญไปให้ท่านด้วยใช่หรือไม่เหมือนยืมบารมีท่านมาช่วยเหลือก็ต้องใช้ให้ท่าน นะครับ

    ขอกราบขอบพระคุณ

    คำตอบ
    (1) ผู้ใดใช้ปัญญารู้ไม่จริง (สุตมยปัญญาและจินตมยปัญญา) ส่องนำทางให้กับชีวิตแล้ว วิบากของชีวิตย่อมดำเนินไปตามเหตุดีและเหตุชั่วที่ผู้นั้นได้กระทำไว้ การไปร้องขอให้เจ้าเข้าทรง ช่วยเหลือลดเคราะห์กรรมหรือต่ออายุให้ เป็นการกระทำของผู้มีศักยภาพด้วยในทางปัญญา ผู้รู้จริงคือพระพุทธะสอนให้พึ่งตัวเองด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (ภาวนามยปัญญา) แล้วให้ใช้สติสัมปชัญญะส่องนำทางให้กับชีวิตตนเองจิตวิญญาณของผู้มีสติสัมปชัญญะจะมีแต่สิ่งดีงามสั่งสมสิ่งดีงามคือธรรมที่มีอยู่ในใจนั้นเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด

    อนึ่งการที่เจ้าเข้าทรงกำหนดรู้เรื่องโรคภัยและวันเวลาตายของผู้อื่นได้ถูกตรง เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ที่เคยพัฒนาจิตจนได้มรรคผลแห่งธรรมแล้ว ปุถุชนที่ไม่เคยฝึกจิตมาก่อนไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้กำหนดวันตายของผู้อื่นได้

    (2) สัตว์คือสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยรูปและนาม หากสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) ยังมีสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของสัตว์ใด สัตว์นั้นยังต้องเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในสังสารวัฏมิรู้จบ

    ฉะนั้นสัตว์ที่ตายตามปกติ เมื่อจิตวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วยังต้องไปแสวงหาร่างใหม่เข้าอยู่อาศัย จะไปได้ร่างอาศัยอยู่ในภพภูมิใด เป็นเรื่องของแรงกรรมผลักดันให้ไปสู่ ไม่มีภพภูมิเข้าถึงตามที่ผู้รู้ไม่จริงเข้าใจ แต่สัตว์บางตนมีศักยภาพที่จะโคจรไปสู่บางภพได้ อาทิ ฆฏิการมหาพรหมสุทธาวาส นำอัฐบริขารจากพรหมโลกมาถวายเจ้าชายสิทธัตถะในวันที่เปลี่ยนเพศจากฆราวาสมาเป็นเพศนักบวช ท้าวสักกะโคจรจากดาวดึงส์มาสู่มนุษย์โลกเนรมิตร่างเป็นมนุษย์มารอใส่บาตรพระมหากัสสปะในวันที่ออกจากนิโรธสมาบัติ เทพธิดา (หญิงชราจัณฑาลี) พาบริวารลงมาจากดาวดึงส์ มากราบขอบคุณพระมหาโมคคัลลานะ ที่ชี้ทางให้ไปเกิดในภพที่ดีฯลฯ

    (3) ผู้ใดประพฤติแล้วซึ่งบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้นั้นมีบุญสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญให้ผู้อื่นได้ ผู้ที่ถูกระบุถึงถ้ามาอนุโมทนาบุญได้ผู้นั้นจะได้รับบุญกุศลที่มีผู้อุทิศให้ตรงกันข้าม ผู้ใดมีบุญแล้วเก็บไว้กับตัวไม่อุทิศให้ใคร ใครก็ไม่สามารถเอาบุญของเขาไปได้ ดังอานิสงส์ที่ว่าโจรลักขโมยบุญไม่ได้ฉะนั้นผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ ถ้ามีบุญสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณแล้วผู้ที่ให้การช่วยเหลือ (เจ้าเข้าทรง) ไม่สามารถแบ่งบุญจากเขาไปได้ ถ้าเขาไม่ปรารถนาจะส่งบุญให้หรืออุทิศบุญให้
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    เวลาหนูกล่อมลูกนอน หนูจะอุ้มลูกเดินหรือนอนกอดลูกแล้วสวดมนต์ชัยมงคลคาถา(พาหุงมหากา)ให้ลูกฟัง กระทั่งลูกหลับ ขอเรียนถามอาจารย์นะคะว่าทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกที่สมควรหรือไม่

    กราบขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    มนุษย์ทำกรรมได้ 3 ทาง คือทางกาย ทางวาจา ทางใจ การสวดมนต์พุทธชัยมงคลคาถา หากผู้สวดมีใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด และมีวาจากล่าวบทมนต์ออกมาอย่างถูกต้องถือว่าเป็นการทำกรรมดีสมควรทำได้ต่อไป
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ผมมีความคิดเห็นเกี่ยวกับอาชีพบางอาชีพ เช่น การเล่นหุ้น เล่นค่าเงินตรา เป็นต้น มีความเห็นว่า ถ้าผู้ประกอบอาชีพมีความรู้ความสามารถดี ก็สามารถมีค่าตอบแทนที่ดีได้ แต่เมื่อพิจารณาไปลึก ๆ แล้ว อาชีพดังกล่าว เป็นอาชีพที่ ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ในขณะที่ผู้หนึ่งได้ อาจจะมีอีกผู้หนึ่งที่เสีย พิจารณาแล้วเห็นถึงความไม่สงบทั้งกายและใจที่ต้องจ้องติดตามข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงไปกับสิ่งที่เวียนวนไม่แน่นอน กับกระแสสังคม ฯลฯ เพื่อให้ผลตอบแทนมาโดยใช้จุดอ่อนของผู้อื่นมาเป็นจุดได้ของตนเอง ไม่ว่าผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้จะประสบผลสำเร็จในอาชีพทำนองนี้หรือไม่ก็ตาม จากธรรมบรรยายของอาจารย์สนอง ที่อาจารย์ใช้คำว่า take จากสังคม และ give เพื่อสังคม พิจารณาแล้วจึงคิดว่ายังมีอีกหลาย ๆ อาชีพที่เป็นไปในทาง take มากกว่า give เช่น การเปิดร้านอาหารที่ขายราคาแพงและฟุ่มเฟือย เป็นต้นไม่ว่าอาหารเหล่านั้นจะมีต้นทุนแพงหรือถูกก็ตาม ก็เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ไปกับอาหารเกินจำเป็นต่อการดำรงชีพและจะยังทำให้ติดกับกามสุข แต่ในเวลาเดียวกัน หากนำตนเองไปประกอบอาชีพพื้นฐานบางอย่าง เช่น การปลูกพืชผัก เกษตรกรรม ฯลฯ รายได้อาจจะมากน้อยไปถามการลงทุนของผู้ประกอบการ แต่ผลอย่างน้อยที่ได้คือ การได้สร้างวัตถุที่เป็นอาหารหล่อเลี้ยงให้กับสังคมซึ่งถือเป็นปัจจัยหนึ่งในปัจจัย 4 ถึงจะได้ค่าตอบแทนไม่มากเหมือนอาชีพอื่น ๆ และถ้าหากนำตัวเองไปประกอบอาชีพที่ดีกว่า เช่น อาชีพ ครู อาจารย์ ก็จะน่าสรรเสริญกว่า เพราะกระแสสังคมจะเป็นอย่างไร คุณงามความดีที่ออกมาจากอาชีพครู อาจารย์ ก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยบางอย่างน้อยกว่าอีกหลายอาชีพ

    สุดท้ายผมคิดว่า อาชีพหนึ่งอาชีพอาจจะประกอบด้วยบุญและบาปมากน้อยคละเคล้ากันไป อยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ในความเห็นดังกล่าวและขอคำแนะนำในการประกอบอาชีพในสังคมด้วยครับ

    2. ปัจจุบัน นั่งเจริญสติกำหนด ยุบหนอ พองหนอที่หน้าท้อง บางครั้งรู้สึกไม่ชัดถึงอาการพองยุบ แต่เมื่อทำขณะอยู่อิริยาบถนอนแล้วรู้สึกถึงการยุบพองของหน้าท้องได้ชัด บางครั้งจะนำมือทั้งสองมากุมไว้จะทำให้รู้สึกถึงการยุบพองได้ดีขึ้น รู้สึกว่าการกระทบลมหายใจเข้าออกที่จมูกรู้สึกได้ชัดและง่ายกว่าที่ท้องในขณะที่นั่งอยู่ ถ้าหากจะใช้การดูลมหายใจที่กระทบที่จมูกไปจนจิตตั้งมั่นพอแล้วจึงพิจารณาสิ่งต่างๆ ไปตามกฎไตรลักษณ์จะเหมาะสมหรือไม่ และรู้สึกว่าตนเองมีจริตแบบวิตกจริตเป็นอย่างน้อย เช่น ถ้ามีตัวเลือกหลายอย่าง ก็จะพยายามครุ่นคิดหาเหตุผลสักอย่างในการเลือกสิ่งเหล่านั้นออกมาตามเหตุผลที่ตนเองคิดว่าสมควร เมื่อปฏิบัติโดยการสวดมนต์และเจริญสติด้วยวิธีดังกล่าว ก็รู้สึกว่าลดอาการคิดมากลงได้ แต่ก็ยังไม่ทราบชัดเจนครับว่า จริง ๆ แล้วจะมีจริตไปทางด้านไหนบ้างมากน้อยเพียงใด อยากขอคำแนะนำในการปฏิบัติที่เหมาะสมด้วยครับ

    บุญกุศลที่ผมทำมาในทุกกาลขอจงเป็นพลวปัจจัยให้อาจารย์สนองมีสุขภาพดี เดินทางสะดวก ปลอดภัย ราบลื่น ได้เมตตาสร้างบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายต่อไป รวมถึงขอกราบขอขมาอาจารย์ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ในทางที่ไม่ดี ที่อาจจะมีไปโดยตั้งใจไม่ตั้งใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลังด้วยครับ

    คำตอบ
    (1) ในทางโลกอาชีพใดกระทำแล้วไม่ผิดกฎหมายถือว่าเป็นอาชีพที่ดีเช่นการขายล๊อตเตอรี่ การขายสุรา ขายยาฆ่าแมลง ขายอุปกรณ์ตกปลาฯลฯ แต่ในทางธรรมอาชีพที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นอาชีพที่เบียดเบียน ทุศีล ไร้ธรรม ทำแล้วได้บาปมากกว่าบุญผู้ปรารถนาอยู่เย็นเป็นสุขจะไม่กระทำ ผู้ที่ปรารถนาอยู่เป็นสุข จะประกอบอาชีพที่ไม่ผิดศีลผิดธรรม อาทิ ขายโลงศพ ขายอุปกรณ์ก่อสร้างบ้าน เป็นครูอาจารย์ที่สอนวิชาการที่ชอบธรรมฯลฯ

    ฉะนั้นผู้ถามปัญหาในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมโลกยังต้องอาศัยสังคมเลี้ยงชีพ เลี้ยงดูชีวิตให้ดำเนินอยู่ได้ ขณะเดียวกันต้องระลึกอยู่เสมอว่า ทุกคนต้องตาย ตายแล้วยังต้องไปเกิดในภพภูมิใหม่จะต้องเตรียมตัวเดินทางให้กับตัวเองอย่างไร ผู้ตอบปัญหาแนะนำว่า หนึ่งชีวิตที่ได้อัตภาพเกิดมาเป็นมนุษย์ ควรรักษาศีลอย่างน้อย 5 ข้อ ให้มีอยู่ในใจทุกขณะตื่น เพราะตายไปแล้วจะไม่เกิดต่ำไปกว่าภพมนุษย์จะดียิ่งขึ้นให้บำเพ็ญทานตลอดชีวิต เพราะการมีศีลมีทานอยู่ในใจเป็นคุณสมบัติของชาวฟ้าชาวสวรรค์ และจะดีที่สุดต้องเจริญจิตตภาวนาจนเข้าถึงธรรมที่ทำให้จิตสงบเป็นฌานโอกาสไปเกิดเป็นพรหมผู้สูงศักดิ์มีได้ หรือเจริญจิตตภาวนาจนได้ดวงตาเห็นธรรม จึงจะมีโอกาสนำพาชีวิตพ้นไปจากการเวียนตาย-เวียนเกิดได้แน่นอน

    (2) องค์บริกรรมใดเมื่อนำมาปฏิบัติแล้วทำให้จิตตั้งมั่นได้ดีองค์บริกรรมนั้นเหมาะกับจริตของผู้นั้น ผู้ถามปัญหาใช้ลมหายใจเข้า-ออกที่กระทบจมูกมาบริกรรมแล้วจิตตั้งมั่นได้ดีกว่า ควรเปลี่ยนไปใช้วิธีกำหนดลมเข้า-ลมออกจะเหมาะสมกว่า

    คำว่า วิตกจริต หมายถึงพื้นนิสัยที่หนักไปในทางคิดฟุ้งไปในเรื่องต่าง ๆ จึงต้องถามตัวเองว่า มีพื้นนิสัยเป็นแบบนี้หรือไม่ ถ้าเป็นแบบนี้ องค์บริกรรมที่เหมาะกับผู้มีวิตกจริตได้แก่อานาปานสติ หรือเลือกเอากสิณอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นองค์บริกรรมหรือเลือกเอาอรูปฌานมาเป็นองค์บริกรรมเพื่อใช้เป็นฐานนำสู่วิปัสสนา
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. เมื่อก่อนเวลานอนไม่ค่อยฝัน แต่เมื่อเริ่มมาศึกษาธรรมะนั่งสมาธิ เดินจงกรม จะฝันบ่อยขึ้น เป็นเพราะอะไรคะ
    2. เมื่อเราปฏิบัติฝึกตามดูจิตไปเรื่อยๆ (ปฏิบัติด้วยตนเอง) จะทราบได้อย่างไรว่าถูกวิธีและปฏิบัติได้ระดับใด

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สนอง เป็นอย่างสูงค่ะ ที่ชี้ทางสว่างให้กับหนูและทุกๆคน ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงมากๆค่ะ
    ด้วยความเคารพและศรัทธา


    คำตอบ
    (1) เหตุที่ฝันบ่อย เป็นเพราะสัญญาที่ถูกเก็บไว้ในดวงจิต ส่งผลกระทบพลังงานจิตที่มีความถี่คลื่นอยู่ในระดับหนึ่งระดับนี้จะไม่ถูกรบกวนด้วยสัญญาที่ถูกส่งเข้ากระทบ ความฝันจะไม่เกิด ฉะนั้นคนที่ฝึกจิตจนมีกำลังของสมาธิกล้าแข็งแล้วบุคคลประเภทนี้จะไม่ฝัน

    (2) ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนาจนได้ผลแล้ว จิตต้องเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาจนได้ผลแล้วจิตจะเกิดปัญญาเห็นแจ้ง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ผมมีคำถามที่จะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ 1.เป็นความจริงหรือไม่ที่คนเขาพูดกันว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมหากไปเดินลอดราวตากผ้าที่ตากเสื้อผ้าของผู้หญิงอยู่ทำให้ผลของการปฏิบัติธรรมนั้นเสื่อมลง 2.หากห้อยพระเครื่องไว้ที่คอแล้วเดินลอดราวตากผ้าเช่นเดียวกับข้อ 1. จะทำให้ความศักดิ์ของพระเครื่องเสื่อมลงหรือไม่

    ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

    คำตอบ
    (1) จริงตามปากคนที่พูด แต่ผู้ใดปฏิบัติธรรมจนมีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้าแข็งได้แล้ว ไม่จริง

    (2) คนทียังต้องอาศัยพระเครื่องห้อยคอ แล้วมีพฤติกรรมตามข้อ (1) ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องเสื่อมลง เหตุเพราะใจของคนที่ห้อยพระเสื่อมลงก่อน ผู้ใดมีศีลและสติอยู่กับใจทุกขณะตื่นผู้นั้นไม่เสื่อม
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูขอความกรุณาให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายให้ทราบสักหน่อยเถอะค่ะว่า “นิโรธสมาบัติ” และนิโรธกรรม” นั้นคืออย่างไร แตกต่างกันอย่างไร
    แล้วทำไมการที่เราได้ทำบุญกับพระสงฆ์ที่ปฎิบัติ “นิโรธกรรม” หรือ นิโรธสมาบัติ” จึงเป็นการทำบุญใหญ่คะ

    ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้า ที่ให้ความเมตตาตอบคำถามนะคะ


    คำตอบ
    คำว่า “ นิโรธ ” หมายถึงภาวะที่ใจปลอดจากความทุกข์ คำว่า “ กรรม ” หมายถึงการกระทำ นิโรธกรรมจึงหมายถึงการกระทำที่เป็นเหตุให้ใจปลอดจากความทุกข์

    ส่วนคำว่า “ นิโรธสมบัติ ” หมายถึงการเสวยอารมณ์ของจิตที่ปลอดจากสัญญาและเวทนา (สัญญาเวทยิตนิโรธ) ผู้ที่มีสภาวะของจิตเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ที่เจริญสมถภาวนา จนบรรลุฌานสมาบัติ 8 ได้แล้วจึงมีสิทธิ์เสวยอารมณ์ที่เป็นนิโรธสมาบัติได้
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันสวดมนต์ จิตตั้งมั่นในการสวดแล้วเกิดอาการร่างกายแกว่งและก็หมุนสลับกัน (ตกใจ) จึงลืมตาขึ้นก็ยังเกิดอาการอย่างนั้นอยู่ จึงตั้งจิตภาวนาสวดมนต์ต่อไป โดยจิตภาวนาว่าแกว่งหนอ หมุนหนอพร้อมกับการภาวนาสวดมนต์ไปด้วยเป็นอยู่ร่วม 5 นาที เมื่ออาการแกว่งและหมุนหายไปกลับมีอาการจิตเห็นร่างกายใหญ่โต มือโตขึ้น จึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ ว่าอาการที่เกิดขึ้นนี้เป็นด้วยสาเหตุใด

    ขอบพระคุณท่านอาจารย์คะ

    คำตอบ
    เกิดขึ้นด้วยเหตุขณะสวดมนต์มีจิตจดจ่อ (สติ) อยู่กับการภาวนาแล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ พลังสมาธิสามารถบันดาลให้เกิดปาฏิหาริย์ได้หลายอย่าง การเห็นร่างกายใหญ่โตขึ้น เห็นมือโตขึ้นเป็นหนึ่งในปาฏิหาริย์เหล่านั้น ผู้รู้แนะนำให้กำจัดปาฏิหาริย์เช่นนี้ให้หมดไปจากใจ ด้วยการกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกระทั่งสิ่งที่ถูกเห็นนั้นหายไปแล้วนำจิตไปพัฒนาให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งตามแนวสติปัฏฐาน 4
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ในขณะนี้หนูได้ทำการฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากได้อฐิษฐานจิตตั้งสัจจะว่าจะปฏิบัติเดินจงกรมนั่งสมาธิอย่างละ 45 นาทีตั้งแต่วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์จนถึงวันมาฆะบูชา เป็นการวัดศักยภาพในช่วงระยะสั้นว่าหนูจะมีความเพียรและตั้งใจมากแค่ไหน ซึ่งในการปฏิบัติครั้งนี้เป็นการทดสอบวัดใจของตนเองเพราะต้องตื่นตีสี่มาสวดมนต์ทำวัตรเช้าและต่อด้วยการปฏิบัติคะ ในการปฏิบัติเป็นแนวทางแบบยุบหนอพองหนอ ซึ่งหนูได้รับการฝึกมาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม แห่งวัดอัมพวันคะ หนูมีคำถามดังต่อไปนี้คะ

    1. ในการเดินจงกรม ในขณะยืนหนอ บางครั้งตัวจะสั่น บางทีสั่นไม่หยุด หนูระลึกถึงคำตอบของอาจารย์ที่เคยตอบไว้ว่าให้เรากำหนดว่าสั่นหนอ และตามดูจนเห็นถึงการดับไปของอาการนั้น แต่เนื่องจากประสบการณ์ทั่วไปอาการสั่นนี้มักเกิดขึ้นกับการนั่ง ส่วนการเดินหรือยืนนั้นหนูยังไม่เคยเห็นคำถามดังนี้ จึงมีความสงสัยว่าถ้าหากเกิดอาการใดๆ ขึ้นนั้นให้เราตามดูและกำหนดจนอาการเหล่านั้นดับไปเหมือนการนั่งใช่ไหมคะ

    2. ตามเดิมที่หนูเดินจงกรมหนูใช้ระยะที่ 3 แต่เมื่อฝึกในครั้งนี้ลองเปลี่ยนมาเดินระยะที่ 4 ซึ่งเมื่อเดินไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าหนูจะเห็นตัวต้นจิตว่าหากเราจะยกส้นเท้าหรือย่างนั้นจิตมันจะมีความอยากเกิดขึ้นก่อน หรือในอิริยาบถต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้นมันจะมีตัวอยากเกิดขึ้นก่อนการกระทำนั้นหากแต่ว่าจิตของเรามันเร็วมากจึงเหมือนว่าการทำสิ่งใดนั้นมันเหมือนอัตโนมัติ แต่จริงๆ แล้วจิตเป็นตัวรับแล้วสั่งให้เกิดการทำงานอย่างที่ท่านอาจารย์เคยบรรยายดังนั้นก่อนที่เราจะยกย่างเหยียบ หนูได้กำหนดว่าอยากยกหนอ อยากย่างหนอ ก่อนที่จะยกเท้า และย่าง ไม่ทราบว่าการทำอย่างนี้จะเป็นการกำหนดอิริยาบถย่อยมากเกินไปหรือเปล่าคะ

    3. ในการนั่งสมาธิ อาการสั่นของหนูนั้นได้เกิดขึ้นบ่อยมาก หนูได้ใช้จิตตามดู และกำหนดสั่นหนอ สั่นหนอ จนบางครั้งมันก็หายไป แต่บางทีหนูมาคิดว่าถ้าจิตไปยึดอยู่กับอาการสั่น มันเหมือนได้รับความสนใจจากจิต หนูก็กำหนดสั่นหนอ สั่นหนอ อยู่สักพัก แล้วดึงจิตกลับมาอยู่ที่ลิ้นปี่แล้วกำหนดรู้หนอ รู้หนอ รู้หนอ แล้วก็ดึงจิตกลับมาที่ท้องกำหนดพองยุบต่อจนกระทั่งการสั่นหายไปแล้วก็กำหนดรู้หนอ เนื่องจากหนูเป็นคนชอบอ่านหนังสือและชอบฟังการบรรยายมาก บางทีหนูสับสนว่าควรใช้วิธีไหน ก็พยายามทดลองหลายรูปแบบ จนหนูคิดว่าหนูควรถามท่านอาจารย์ซึ่งเป็นผู้รู้ เพื่อที่จะได้แนวทางที่ถูกต้อง และไม่หลงทาง และเสียเวลากับการลองผิดลองถูกคะ

    หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้คะ และขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ที่ได้เสียสละเวลาตอบคำถามต่างๆ บนอินเตอร์เนท ซึ่งสำหรับหนูนั้นสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์มากคะ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษห่างไกลจากครูบาอาจารย์ ซึ่งการบรรยายของอาจารย์ ทุกครั้งที่หนูได้ฟังก็จะเกิดกำลังใจอย่างมากในการปฏิบัติคะ สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงอำนวยพรให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงและได้สืบทอดพระพุทธศาสนาตลอดกาลนานเทอญ


    คำตอบ
    (1) ใช่

    (2) ไม่มากเกินไป

    (3) ใช้วิธีไหนก็ได้ที่กำหนดแล้วอาการสั่นหายไปได้จริง ต้องไม่อ่านหนังสือ ทำตัวเองให้เหมือนคนโง่ แล้วทำตามคำชี้แนะนั่นแหละดีที่สุด เพราะมรรคผลแห่งการปฏิบัติจะเกิดขึ้นได้เร็ว
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ดิฉันแอบชอบเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแต่เค้ามีแฟนแล้ว ดิฉันอยากทราบว่าการที่ดิฉันเพียงแต่คิดแต่ไม่ได้แสดงออก และไม่ได้มีการกระทำทางกาย วาจา แต่ดิฉันคิด ดิฉันจะเป็นบาปไหมคะ ดิฉันไม่เคยมีความคิดว่าจะแย่งของรักของคนอื่นมา ดิฉันกลัวว่าจะเป็นเศษกรรมติดไปในชาติหน้าคะ และถ้าความคิดที่ดิฉันคิดเป็นบาปจะทำอย่างไรดีคะ มันห้ามความคิดยากมากเลยคะ
    2. คนที่แต่งงานมีคู่ชีวิตแล้วก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ใช่หรือไม่ เพราะยังมีกิจกรรมที่ต้องเกี่ยวข้องกับกามคุณอยู่ ใช่ไหมคะอาจารย์
    3. การทานมังสวิรัติจะได้บุญไหมคะอาจารย์

    ขอบคุณคะ

    คำตอบ
    (1) ความคิดเป็นมโนกรรม คิดแล้วทำให้ไม่สบายใจถือว่าเป็นบาป ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติสัมปชัญญะได้แล้วความคิดดังกล่าวจึงจะดับไปได้

    (2) ใช่ ยังไม่สามารถหลุดพ้นไปจากความทุกข์ได้

    (3) รับประทานมังสวิรัติ แล้วมีกาย วาจา ใจ ดำเนินอยู่ในกุศลกรรมบถ 10 จึงจะถือว๋าได้บุญ
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ลูกรู้สึกไม่ชอบคนๆนึง หรือจนถึงขั้นเกลียดก็ว่าได้ค่ะ เพราะว่าเค้าไม่มีเหตุผล มีทิฐิ ยึดมั่นถือมั่นมากๆ แต่ว่าที่เค้าเป็นแบบนั้นอาจจะเพราะเหตุผลบางอย่างจากพื่นฐานครอบครัวเค้าเอง เค้าน่าสงสารมากๆ ลูกจะทำอย่างไรให้เค้า รู้สึกรักตัวเองมากขึ้นและมีใจเป็นอิสระ รักผู้อื่นอย่างเมตตา เค้าก็ศึกษาธรรมะบ้างแต่ลูกเห็นเค้ายังควบคุมสติได้ไม่ดีนัก เค้ายังมีความโกรธและอารมณ์รุนแรงอยู่มากค่ะ ถ้าเค้ามีโรคทางประสาทอ่อนๆ(คือเวลาอารมรณ์ดีก็คุยรู้เรื่อง แต่พอร้ายก็สติแตกทำร้ายร่างกายตัวเองเพื่อให้คนอื่นสนใจ)เราจะแนะเค้าได้ใหมคะคุณพ่อ ...

    คุณพ่อคะ คนๆนึงที่เค้ามัวแต่นั่งคิดเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนั้นซึ่งปัญหาไม่ใช่แค่ปัญหาเดี่ยวแต่ว่าเยอะแยะมากมายที่รอทางออกอยู่ เค้ามัวแต่นั่งคิดจะแก้ปัญหาแต่คิดหาทางลงมือทำไมได้สักที เพราะว่าเค้ามัวแต่นั่งคิดถึงผลกระทบที่จะตามมา บางปัญหาคิดหาทางออกได้แล้วแต่ว่าไม่สามารถลงมือทำให้มันบรรลุไปได้ พอไม่นานปัญหานั้นก็ต้องกลับมาหาเราให้เริ่มต้นคิดอีก ทำไมเค้าจึงลงมือแก้ปัญหาไม่ได้ค่ะ บางทีเราเห็นว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่ทำไมเค้ายังทำไม่ได้อีก คือลูกสงสารเค้า อยากให้เค้ามีสติและปัญหาแก้ปัญหาได้ ... ลูกอยากทราบค่ะ ว่าเรื่องบางเรื่องถ้าเราตัดสินใจทำไปแล้ว และมีผลกระทบกับคนอื่นซึ่งบางทีผลที่ออกมาแย่กว่าที่เราคิด อย่างนี้เราผิดไหมค่ะ หรือเราจะแก้ไขยังงัยคะ


    คำตอบ
    แนะนำได้แต่เขาจะเชื่อแล้วทำตามคำแนะนำหรือไม่เชื่อแล้วไม่ทำตามคำแนะนำนั่นเป็นสิทธิ์ของเขา ไม่มีใครสามารถเข้าไปก้าวล่วงได้ เว้นไว้แต่ว่าเขาจะเป็นทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ด้วยตัวของเขาเอง

    อนึ่งที่เขายังแก้ปัญหาไม่ได้เป็นเพราะปัญญาเห็นถูกยังไม่เกิดขึ้นกับเขา ผู้ใดคิดปรับแก้ไขคนอื่นเป็นความคิดเห็นถูกทางโลก แต่ผิดในทางธรรม แนะนำชี้ทางออกของปัญญาให้แล้ว หากเขาไม่ทำตามผู้รู้ทำได้เพียงปล่อยให้สัตว์โลกดำเนินไปตามแรงกรรม ที่เขาได้ทำไว้ก่อนแล้วด้วยตัวของเขาเอง
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ขณะที่หนูนอนหลับตา ประมาณสี่ทุ่มเศษ ยังได้ยินเสียงภายนอกที่มากระทบอยู่ ฉับพลันก็รู้สึกจิตรวมกันนิ่งอยู่ ก็นอนดูจิตไปเรื่อย ๆ ขณะนั้นยังรับสัมผัสจากเสียงภายนอกที่มากระทบได้ แล้วก็รู้สึกมีอะไรเข้ามาใกล้ ๆ ที่หน้า ตอนแรกนึกว่าลูกเข้ามาหา แต่ที่นอนไม่เคลื่อนไหว ยังนอนหลับตาดูจิตต่อไป รู้สึกว่าจิตน่าจะออกจากกายได้จึงพยายามออกไปจากร่าง แต่ออกไม่ได้ติดอยู่ที่ศรีษะ พยายามอยู่สองสามครั้งก็เลิก เพราะถ้าพยายามต่อจะปวดศรีษะเพราะรู้สึกติดอยู่ที่ศรีษะ จึงดูจิตเฉย ๆ สักพักจิตก็ค่อย ๆ กลับมาสู่ภาวะปกติเอง ลูกก็ไม่ได้เข้ามาหาด้วย นานมาแล้วเคยรู้สึกคล้าย ๆ แบบนี้ เกิดตอนกำลังนอนเหมือนกันตอนนั้นไม่แน่ใจว่าหลับหรือเปล่าแต่ขณะเกิดรู้สึกตัวดี มีอาการดังนี้ค่ะ คืออยู่ ๆ จิตก็รวมกันลึกลงไป ๆ เรื่อย ๆ เหมือนลงไปใต้น้ำแต่ไม่มีน้ำนะคะ มันดิ่งลงไปจนกลัวและตกใจ กลัวว่าถ้าลงต่อไปจะตาย ไม่แน่ใจว่ารู้สึกเหมือนคนตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำหรือเปล่า พอกลับสู่ภาวะปกติหัวใจยังเต้นแรงตึก ๆ อยู่เลย ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    1. ที่รู้สึกเหมือนมีใครมาใกล้ ๆ จนหน้าสัมผัสได้ อาจารย์คิดว่าเป็นอะไรหรือกระแสจิตใครส่งมา เป็นไปได้หรือไม่คะ

    2. สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากสมอง หรือจากจิตเรา หรือจากผู้ที่มาทำให้รู้สึกคะ ปกติหนูจะนั่งสมาธิตอนกลางวันวันละ
    ประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย อาการเหล่านี้เกิดจากอะไรคะ
    (อาการนี้เกิดเมื่อคืนพอเช้ามาก็เขียนมาเรีนยถามอาจารย์เลยค่ะ )

    3. อาการที่เคยเป็นนานแล้วที่เล่าข้างต้น เป็นอาการของอะไร และเกิดจากอะไรคะ

    กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


    คำตอบ
    (1) เป็นไปได้ที่จิตไปรับสัมผัสเอาพลังงานอื่นมาปรุงเป็นอารมณ์ให้เป็นเช่นนั้น

    (2) เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต มิได้เกิดขึ้นที่สมอง

    (3) เหมือนที่ได้ตอบไว้ในข้อ (1) แล้ว
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    กระผมได้มีโอกาสทำบุญกับพระอริยสงฆ์องค์หนึ่ง และระหว่างที่อยู่ในสถานที่นั้น ชั่วขณะหนึ่งจิตของผมได้คิดสิ่งที่เป็นอกุศลกับพระองค์นั้น ซึ่งกระผมไม่ได้อยากคิดแบบนั้นเลยจึงพยายามดึงจิตกลับมาไม่ให้คิดต่อและพยายามเจริญสติไม่ให้วอกแวก แต่ด้วยความที่กลัวต่อบาปมากและตกใจด้วยตอนนั้นจึงได้อุทานออกมาเบาๆ(ซึ่งคำนั้นเป็นถ้อยคำที่หยาบคาย) แต่ความหมายและคำที่อุทานนั้นเป็นการต่อว่าตนเองทั้งสิ้น ดังเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนี้อยากเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ครับ

    1. กระผมรู้ว่าสิ่งที่เล่าไปข้างต้นนั้นกระผมบาปอย่างแน่นอน ถึงแม้จะเพียงแค่คิดก็ตามดังนั้นจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไรได้บ้างครับ ให้บาปลดน้อยลงหรือหมดไป
    2. การที่กระผมกล่าวอุทานไปแบบนั้นถือว่าเป็นการปรามาสพระอริยสงฆ์ด้วยวาจาหรือไม่ ดังตัวอย่างที่ท่านอาจารย์เคยเล่าเรื่อง วัสสการพราหมณ์ ที่พูดลบหลู่พระมหากัจจายนะองค์อรหันต์
    3. การขออโหสิกรรมต่อบุคคลอื่นที่เราได้ล่วงเกินไปด้วยกาย วาจา ใจ ซึ่งในกรณีที่บุคคลนั้นๆไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วเราจะสามารถทำได้อย่างไรบ้างครับ
    4. การอโหสิกรรมจำเป็นหรือไม่ที่บุคคลนั้นต้องกล่าววาจาอโหสิกรรมให้เรา

    ขอบพระคุณอย่างสูงในความเมตตาครับ

    คำตอบ
    (1) ต้องไปขอขมากรรมต่อพระอริยสงฆ์องค์ที่ผู้ถามปัญหาไปคิดอกุศลกับท่าน

    (2) ผู้ถามปัญหากล่าวคำอุทานที่ไม่ดีออกมา ด้วยมีเจตนาต่อว่าตนเอง มิได้ถือว่าเป็นการกล่าววาจาปรามาสต่อพระอรหันต์

    (3) ประพฤติตนให้เป็นผู้มีบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) แล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร พร้อมทั้งขออโหสิกรรมต่อสรรพสัตว์ที่ผู้ถามปัญหาเคยไปกระทำไม่ต่อเขา ให้เขาเหล่านั้นยกโทษให้

    (4) ขึ้นอยู่กับเจ้ากรรมนายเวรว่าจะยกโทษให้หรือไม่แต่การกล่าวคำขออโหสิกรรมเป็นธรรมของผู้เจริญ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ได้ยินมาว่าสมัยปัจจุบันนี้มีพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ด้วย แต่ที่เคยทราบมาว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าจะเกิดมีเฉพาะในช่วงสมัยที่โลกเว้นว่างจากศาสนา ไม่มีพระพุทธเจ้ามาประสูติ แล้วทำไมปัจจุบันถึงมีได้ล่ะค่ะ ทั้งๆ ที่ก็ยังอยู่ในช่วงศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรา ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับพระปัจเจกฯ ค่อนข้างจะหายากค่ะ

    2. อยากมีโอกาสได้ทำบุญกับพระปัจเจกฯ สักครั้งในชีวิตนี้จะมีทางไหนที่จะมีโอกาสได้ทำบ้างไหมคะ

    3.ท่านอาจารย์เคยตอบหลายคำถามเกี่ยวกับการบรรลุธรรมในชาตินี้ของพวกเพศที่ 3 ซึ่งคำตอบคือ "ไม่สามารถเป็นได้ในชาติปัจจุบัน" น่าเศร้านะคะ แล้วถ้าในเรื่องการพัฒนาทางจิตจากการปฏิบัติสมถะ หรือวิปัสสนาแค่ในชั้นโลกียะละค่ะ จะเป็นไปได้ไหม จะก้าวหน้าได้หรือเปล่า

    ขอบคุณท่านอาจารย์ที่สละเวลามาช่วยตอบคำถามค่ะ ขออนุโมทนาในบุญและขอให้บุญของดิฉันที่อาจจะน้อยนิดนี้ช่วยเป็นแรงหนุนให้อาจารย์สำเร็จทุกอย่างที่ปรารถนาได้โดยง่ายมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ ขอบคุณค่ะ

    คำตอบ
    (1) ฟังด้วยหู ยังไม่แจ่มแจ้งเท่ากับสัมผัสด้วยตา ฉะนั้นพระพุทธะจึงตรัสสอนชาวกาลามะ ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลักกาลามสูตร 10 ข้อ หากผู้ถามปัญหาปรารถนาสัมผัสได้ด้วยตา ต้องสร้างเหตุให้ถูกตรง ด้วยการพัฒนาจิตให้มีคุณธรรมสูงจนถึงระดับที่พลังบุญพลังบารมี ผลักดันตัวเองให้ไปพบพระปัจเจกพุทธเจ้าได้แล้ว หลักกาลามสูตรที่พระพุทธตรัสสอนไว้จึงจะเป็นจริง

    (2) ความอยากคือตัณหา พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้มีจิตเป็นอิสระจากตัณหา ดังนั้นผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตวิญญาณตนเองให้หมดจากตัณหาได้เมื่อใด โอกาสได้ทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงจะเกิดขึ้นได้

    (3) การปฏิบัติธรรมของเพศที่สาม ไม่สามารถบรรลุธรรมนั้นหมายความว่า ไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงที่ทำให้เข้าถึงโลกุตตรสมบัติได้ ตรงกันข้าม การปฏิบัติธรมของเพศที่สามสามารถเข้าถึงได้เพียงโลกิยสมบัติเท่านั้น
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. การรักษาศีล 8 ในวันธรรมดา กับการรักษาศีลอุโบสถวันพระ กุศลจะแตกต่างกันไหมคะ

    2. ลูกชายของพี่สาวดื้อและซนมาก เป็นไปได้ไหมคะว่าเป็นลูกที่ขอมาจากพระ พอดีพี่สาวดิฉันอยากมีลูกผู้ชายเลยไปขอกับหลวงพ่อโสธร ปรากฎว่าเลี้ยงยากมาก ลูกพระจะเลี้ยงอย่างไรให้เลี้ยงง่ายคะ

    3. คนที่มีสามี ภรรยา แล้วถ้าปรารถนาจะไม่เกิดอีกในชาติต่อไป แปลว่าต้องตัดกิเลสและแยกกันอยู่หรือเปล่าคะ

    ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงคะ

    คำตอบ
    (1) วันธรรมดามีจำนวนวันมากกว่าวันพระ ผู้ใดรักษาศีล 8 ในวันธรรมดาได้ทุกวัน จะได้กุศลมากกว่ารักษาศีล 8 เฉพาะในวันพระ ซึ่งมีจำนวนวันน้อยกว่า

    (2) เป็นไปได้ จะเลี้ยงลูกประเภทนี้ไม่ให้ดื้อแม่ แม่ต้องพัฒนาจิตตัวเองให้มีคุณธรรมสูงเท่าเขาหรือมากกว่าเขาแล้วเขาจะไม่ดื้อ

    (3) คำว่าไม่เกิดอีกในชาติต่อไป หากหมายถึงไม่เกิดในภพใด ๆ ในวัฏสงสาร ต้องพัฒนาจิตตนเองจนละสังโยชน์ทั้ง 10 ได้ แล้วโอกาสไม่กลับมาเกิดอีกจึงเป็นได้ หากยังไม่ทิ้งขันธ์ลาโลก จำเป็นต้องแยกกันอยู่เพราะเข้ากันไม่ได้ด้วยธรรม ดูพระนางเขมามเหสีรองของพระเจ้าพิมพิสารเป็นตัวอย่าง
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1 ดิฉันอธิษฐานจิตว่าถ้าดิฉันได้โบนัส ดิฉันจะนำเงินมาให้อดีตแฟน เพื่อใช้ในการศึกษาต่อเมืองนอก ปรากฎว่าดิฉันได้โบนัสจริงๆทั้งๆที่เพิ่งทำงานมาได้ 4 เดือน ดิฉันจึงนำเงินโบนัสที่ได้นี้ไปให้พ่อและแม่อดีตแฟน แต่ปรากฎว่าท่านทั้ง 2 ไม่รับเงินดังกล่าว ดิฉันไม่สบายใจมาก เพราะเหมือนดิฉันผิดคำสัญญา ที่เคยอธิษฐานไว้ ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ

    2 ดิฉันเคยเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตไป แต่ตอนหลังกลัวบาปและละอายใจเลยคิดจะนำไปคืน ถ้าดิฉันคืนแล้ว ดิฉันยังมีบาปติดตัวอยู่หรือไม่คะอาจารย์

    3 การที่เราได้งานทำแล้วคิดจะลาออกไปทำงานที่ใหม่ ที่ได้เงินเดือนเยอะกว่า จะถือว่าเราเนรคุณเจ้านายเก่าไหมคะ เพราะเค้ามีบุญคุณที่รับเราเค้าทำงาน
    ชอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงคะ

    คำตอบ
    (1) เหตุด้วยไม่รักษาสัจจะจึงให้ผิดคน อธิษฐานให้อดีตแฟนแต่กลับไปให้พ่อแม่ของเขาจึงไม่ประสบผล ลองทำดูใหม่ด้วยการให้ที่ถูกตรงกับคำอธิษฐาน ถ้าเหตุปัจจัยลงตัว คำอธิษฐานมีโอกาสเป็นจริงได้

    (2) ถ้าเจ้าของเขายกโทษให้ คุณก็ไม่มีบาปติดตัว

    (3) ควรบอกระยะเวลาที่คุณจะทำงานให้กับเจ้านายว่าจะอยู่ทำงานให้เขานานเท่าไร พอครบกำหนดคุณก็ลาออกไปหางานทำใหม่ทำอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการเนรคุณ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1 เขาเข้าใจผิดหรือเปล่าว ว่าแม้หญิงนั้นจะเต็มใจ พ่อแม่เขาจะเต็มใจ และดิฉันไม่รู้เรื่องดังกล่าว ไม่ บาป ตกลงจริงๆเป็นยังไงคะ

    2.ตกลงไม่มีวันรู้ได้ใช่ไหมคะ ว่าทุกข์ที่ดิฉันได้นี้มาจากกรรมใครเริ่มก่อน อาจะเป็นเขามาเริ่มก่อกรรมกับดิฉันก่อนได้หรือไม่ เพราะไม่เชื่อว่าตนเองจะสามารถทำผิดศีลข้อสามได้ในอดีตชาติ

    3.เขาคงคิดว่าหากดิฉันทราบ เข้า ก็เป็นบาป ไหนๆเป็นบาปแล้วก็กระทำต่อไป บาปคงไม่เพิ่มไปกว่านี้แล้ว คิดอย่างนี้ถูกหรือเปล่าคะ หากมีอีกคน ถึงจะมีบาปมากขึ้น อะไรทำนองนี้คะ

    4 เขาเองก็หันทาทางบุญ เหตุเพราะฟังเทปอาจารย์ ปัจจุบันก็ยังฟังอยู่ เคยพูดกับเขาว่า ทำผิดศีลข้อสาม อย่างนี้ แล้วจะสวดมนต์สมาธิต่อไปทำไม ก็ทำนองต่อว่า แต่ก็รู้คะว่าพุทธศาสนาเป็นของดีของจริงแน่แท้คะ

    กราบขอบพระคุณคะ

    คำตอบ
    (1) ถ้าเจ้าของ (ภรรยา) ไม่อนุญาต ถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นบาปด้วยการผิดศีลข้อ 3

    (2) ผู้ถามปัญหาประสงค์จะรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ต้องพัฒนาจิตตนเองจนเข้าฌานให้ได้ แล้วโอกาสรู้ต้นเหตุด้วยตนเองจึงเป็นไปได้

    (3) คิดผิดปัญหาทุกข์ใจจึงเกิด เมื่อใดความเห็นถูกเกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา ความคิดฟุ้งซ่านเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น

    (4) รู้ว่าพุทธศาสนาเป็นของดีของจริง แต่ผู้ถามปัญหาไม่สามารถเอาธรรมะในพุทธศาสนา มาประดับไว้ในใจของตนเองได้การบ่นเพ้อรำพันจึงได้เกิดขึ้น
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. การปิดทองลูกนิมิต ที่ทางวัดจัดไว้ไห้ญาติโยมได้ร่วมปิดทองก่อนที่จะนำไปฝัง จะเป็นเหตุปัจจัยใดๆ และมีอานิสงค์อะไรบ้างครับ เทียบเท่ากับการปิดทององค์พระพุทธรูปหรือไม่ครับ

    2. กราบขอคำแนะนำจากอาจารย์ช่วยแนะนำครูบาอาจารย์ที่ผมสามารถเรียนรู้การฝึกวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างดีและเกิดผลสูงสุดครับ (ผมเข้าใจว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านจะมีแนวทางการสอนที่เหมาะกับบางท่านแต่อาจจะไม่เหมาะกับบางท่าน เนื่องจากพื้นฐานจิตใจของผู้เรียนต่างกัน และกรรมของผู้เรียนที่เคยทำมาร่วมกันกับผู้สอนต่างกัน ผมเข้าใจถูกไหมครับ)

    3. การทำบุญใหญ่ นอกจากการตักบาตรพระที่ออกจากนิโรทกรรม แล้วยังมีอย่างอื่นอีกไหมครับ (พึ่งไปตักบาตรท่านครูบาที่วัดศรีดอนมูลมาครับ และอยากจะทำบุญใหญ่อื่นๆอีกครับ)

    4. การเลี้ยงพระ 7 วัน ที่เป็นมหาทานนั้น สามารถทำโดยการตักบาตร 7 วันต่อกัน จะได้อานิสงค์เดียวกันไหมครับ ถ้าได้ต้องตักบาตรพระกี่รูปครับ ถ้าไม่ได้การเลี้ยงพระ 7 วันนั้นควรทำโดยวิธีไหนครับ

    ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

    คำตอบ
    (1) ลูกนิมิตใช้สำหรับฝังให้เป็นเครื่องหมายบ่งเขตของโบสถ์ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ใช้ประชุมทำสังฆกรรมต่าง ๆ อาทิใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์ทางวินัย (สวดปาฏิโมกข์) ใช้สำหรับบวชฆราวาสให้เป็นเณร บวชเณรให้เป็นพระสงฆ์ใช้สำหรับวัตรปฏิบัติ (สวดมนต์เช้า-สวดมนต์เย็น) ของหมู่สงฆ์ฯลฯ

    การปิดทองลูกนิมิต เป็นเพียงพิธีกรรมที่ทำให้เกิดเป็นความสมบูรณ์ของสถานที่ดังกล่าว อานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ร่วมกระทำกรรมเป็นมหากุสลที่นำสู่ความมีใจผูกอยู่กับพุทธศาสนา นำสู่การได้สมบัติของสวรรค์นำสู่ความสำเร็จในสิ่งปรารถนาที่ชอบธรรม ฯลฯ และมีอานิสงส์มากกว่าปิดทองพระพุทธรูปซึ่งเป็นเพียงสวรรค์สมบัติ

    (2) การปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้ มิได้ขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์เพียงส่วนเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับบุญบารมีของตัวเองที่ทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ ร่วมกับศีลสัจจะและความเพียรในการสร้างบุญบารมีในชาติปัจจุบัน

    ฉะนั้นครูบาอาจารย์เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นเอง ที่จะทำให้ผู้ถามปัญหาประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ผู้ตอบปัญหาแนะนำให้ไปฝากตัวเป็นศิษย์กับพระอาจารย์มานพ อุปสโม สำนักปฏิบัติธรรมกิ่งอำเภอหางแมว จังหวัดจันทบุรี

    (3) ทำบุญกับหมู่สงฆ์ที่เป็นพระอริยบุคคล เป็นเจ้าภาพหรือร่วมเป็นเจ้าภาพเผยแผ่ธรรม เป็นเจ้าภาพฯปฏิบัติธรรม เป็นเจ้าภาพฯสร้างสถานปฏิบัติธรรม เป็นเจ้าภาพสร้างทางเดินจงกรม ฯลฯ เหล่านี้เป็นบุญใหญ่

    (4) การเลี้ยงพระ 7 วัน หรือตักบาตรหมู่พระสงฆ์ 7 วันจะได้อานิสงส์เท่ากันหรือไม่ขึ้นอยู่กับ คุณธรรมของพระสงฆ์ที่ร่วมในการเลี้ยงพระหรือพระสงฆ์ที่มารับบิณฑบาตหากเป็นพระอริยสงฆ์จะได้บุญมากกว่าสมมุติสงฆ์ และยังขึ้นอยู่กับความตั้งใจในการทำบุญตั้งใจมากจะได้บุญมาก และยังขึ้นอยู่กับความอิ่มใจหลังจากทำบุญแล้วอิ่มใจมากได้บุญมากกว่าฯลฯ
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    เดิมทีน้องคนนี้มีอาชีพขายประกันชีวิตปัจจุบันเลิกแล้วเพราะเป็นอาชีพที่สร้างวิบากกรรมตามที่เธอเข้าใจ กระผมเองก็เป็นตัวแทนประกันชีวิตมานานหลายปี แต่โดยความรู้สึกลึกๆก็อยากจะหาอาชีพอื่นทำและได้พยายามหลายครั้งแต่ก็เหมือนกับว่าถูกดึงกลับมาวนเวียนอยู่ในอาชีพนี้ด้วยต้องรับผิดชอบลูกค้าเก่า และรายได้จากการไปทำงานใหม่ไม่สามารถจุนเจือครอบครัวได้ แต่พอมาฟังความคิดเห็นของน้องคนนี้แล้วกระผมเองไม่อยากสร้างวิบากกรรมกับอาชีพที่ต้องทำเพื่อเลี้ยงครอบครัวครับ ตอนนี้ก็เลยทุกข์ใจจะมุ่งมั่นในอาชีพก็ตะขิดตะขวงใจ ถ้าไม่ทุ่มเทรายได้ก็ไม่พอเลี้ยงครอบครัว

    อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การขายประกันชีวิต เป็นงานที่สร้างวิบากกรรมอย่างที่น้องเขาพูดให้ฟังหรือไม่ ถ้าใช่แต่ยังจำเป็นต้องทำจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นได้เพราะไม่มีเงินสำรองพอจะหยุดทำงานนี้แล้วไปศึกษาเริ่มงานใหม่ได้ทันที

    กระผมอาจจะถามสับสนไปบ้าง เพราะตอนนี้ก็รู้สึกเช่นนั้น กราบรบกวนท่านอารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ


    คำตอบ
    จริงอย่าที่น้องพูดให้คุณฟัง ถ้ายังมีความาจำเป็นต้องทำงานประเภทนี้อยู่ควรไปทำบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) อยู่เนืองนิตย์เพื่อให้พลังบุญถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณมากกว่าพลังบาป แล้วชีวิตจะยังคงดำเนินต่อไปได้ ต้องอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ เพื่อให้บาปตามส่งผลไม่ทัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...